น่าอ่านครับ
โลกอันตราย!!!ท่านขุนน้อย29 ตุลาคม 2553 - 00:00
ถ้าหากว่ากันตามคำแถลงของรองอธิบดีกรมชลฯ คุณ วีระ วงศ์แสงนาค ครั้งล่าสุด...สถานการณ์น้ำท่วมในบ้านเรานับจากนี้ ก็คงพอได้หายใจ หายคอ หายห่วง คลายกังวลลงไปตามลำดับ ไล่มาตั้งแต่ กทม.เมืองที่คนตกท่อ ผ่านวันที่ 27-28 ตุลา. อันถือเป็นช่วงจังหวะวิกฤติมาได้แบบหวุดๆ หวิดๆ ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งยังคงทรงๆ อยู่ในขณะนี้ ก็น่าจะค่อยลดๆ ลงไปในช่วงอีกวันสองวัน ก่อนจะไปถึงจุดวิกฤติอีกครั้งก็ช่วงวันที่ 8-9 พฤศจิกายนโน่นแหละ...
-----------------------------------------
ส่วน มวลน้ำ หรือ ปริมาณน้ำ ที่ใครๆ พากันเรียกขานว่า ก้อนน้ำ อยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งแผ่กระจายครอบคลุมไปทั่วทั้งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ว่ากันว่าตั้งแต่ช่วงประมาณวันที่ 12-13 พฤศจิกา. แถบบริเวณจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง ปริมาณมวลน้ำ หรือก้อนน้ำเหล่านี้...ก็จะค่อยๆ ลดๆ จนกลับคืนเข้าสู่ภาวะปกติได้อีกครั้ง แต่แถวๆ จังหวัด อยุธยาอาจช้าหน่อย คือน่าจะเข้าสู่ภาวะปกติจริงๆ ก็ในช่วงประมาณวันที่ 13-15 พฤศจิกายนเป็นต้นไป สำหรับแถบภาคอีสานบ้านเฮานั้น พื้นที่บริเวณปลายน้ำอย่างจังหวัดอุบลราชธานีกว่าจะเข้าสู่สภาพปกติ คงต้องล่าไปถึงวันที่ 17-18 พฤศจิกายน จากนั้น...การบรรเทาทุกข์ เยียวยา ปลอบประโลมจิตใจใครต่อใคร คงพอได้เริ่มต้นกันอย่างเป็นระบบ...
-----------------------------------------------
อย่างไรก็ตาม...ไม่ว่าความเสียหายจากภาวะน้ำท่วมคราวนี้จะถูกประเมินเป็นตัวเลขกลมๆ ระดับ 5,000 ล้านบาท หรือ 50,000 ล้านบาท ไปตามมุมมองของใครต่อใครก็แล้วแต่ แต่ความพังพินาศ เสียหาย ที่เกิดขึ้นกับบ้านเรา ว่าไปแล้วน่าจะยังน้อยกว่าบ้านอื่น เมืองอื่นไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แค่ตัวเลขคนตายประมาณ 68 ราย เมื่อลองไปเทียบกับ ประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม รายนั้น...ชีวิต เลือดเนื้อของอาณาประชาราษฎร์ต้องสูญสิ้น สูญหาย นับเป็นร้อยๆ ยิ่งประเทศอินโดนีเซียยิ่งน่าสลด หดหู่ หนักขึ้นไปใหญ่ นอกจากต้องเจอกับคลื่นยักษ์ สึนามิ ลูกใหญ่ ถล่มหมู่เกาะเมนตาไว ด้านตะวันตกของเกาะสุมาตรา คนตายปาเข้าไปถึง 300 สูญหายอีก 400 กว่าๆ ยังเจอกับภูเขาไฟเมราปิในเกาะชวา ปะทุสนั่นหวั่นไหว แม้จะเตรียมการเอาไว้แล้วล่วงหน้า แต่ตัวเลขคนตายยังมีให้เห็นนับเป็นสิบๆ ราย แถมยังต้องวุ่นวายกับการอพยพผู้คนนับจำนวน 4 หมื่น 5 หมื่นออกจากพื้นที่ กว่าจะฟื้นฟู เยียวยา สภาพต่างๆ ให้กลับคืนเข้าสู่ภาวะปกติ ก็น่าจะเหนื่อยยาก ลำบาก มิใช่น้อย...
------------------------------------------------
ยิ่งประเทศพี่เบิ้ม ยักษ์ใหญ่แห่งภูมิภาคเอเชียอย่างจีน...ต้องเรียกว่า หนักหนา สาหัสมาโดยตลอด หรือหนักตั้งแต่ต้นปี ยันปลายปีเอาเลยทีเดียว ไล่มาตั้งแต่เจอภาวะภัยแล้งกินอาณาเขตครอบคลุมไปทั่วทุกมณฑลในภาคตะวันตกเฉียงใต้ ผสมภาวะน้ำท่วม โคลนถล่ม แถบภาคกลางและภาคเหนือบางส่วน ถ้าคิดมูลค่าความเสียหายออกมาเป็นตัวเลขกลมๆ นับตั้งแต่ช่วงต้นปีมาถึงกลางปี ว่ากันว่า...ปาเข้าไปในระดับนับเป็นแสนๆ ล้านดอลลาร์ หรือนับไม่รู้กี่ล้านล้านบาทเข้าไปแล้ว แม้กระทั่งช่วงล่าสุด เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ปริมาณมวลน้ำ หรือก้อนน้ำก็แล้วแต่จะเรียก ที่พายุลูกต่างๆ หอบหิ้วเข้าไปโปรยปรายในส่วนลึกของแผ่นดินใหญ่ รวมทั้งธารหิมะที่ไหลละลายเพราะอุณหภูมิความร้อน ได้ทำให้อภิมหาเขื่อนที่เรียกๆ กันว่า เขื่อน 3 ผา หรือ 3 โตรก อันถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์พอๆ กับกำแพงเมืองจีน ต้องเก็บกักมวลน้ำ หรือก้อนน้ำเอาไว้เป็นแท่งๆ สูงพอๆ กับตึกรามอาคารนับเป็นสิบๆ ชั้น หรือขึ้นสู่จุดสูงสุดของขีดความสามารถในการเก็บกัก ระดับ 175 เมตร เป็นครั้งแรก...
------------------------------------------------------
ยิ่งถ้าหากลองจินตนาการนึกถึงภาพตึกอาคารสูงนับเป็นสิบๆ ชั้น ที่ถูกกด ถูกอัด ทับลงไปในตลอดแนวความยาวของลำน้ำแยงซีเกียง หรือตลอดระยะทางประมาณ 660 กิโลเมตรด้วยแล้ว แทนที่จะรู้สึกยินดีปรีดา หรือได้ เฮ แบบที่เจ้าหน้าที่ทางการจีน พยายามแสดงความรู้สึก หรือแสดงอาการกลบเกลื่อนไปตามรายงานข่าวต่างประเทศในช่วงวันสองวันนี้ที่ผ่านมานี้ ปริมาณน้ำหนักของมวลน้ำ หรือก้อนน้ำ ระดับอภิมากมายมหาศาลที่มันอาจกดทับลงไปในบริเวณรอยเลื่อน หรือรอยแยกของเปลือกโลก ซึ่งอยู่ใต้แนวเขื่อนไม่รู้กี่รอยต่อกี่รอย มันน่าจะก่อให้เกิดความรู้สึกสยดสยอง พองขน หวาดหวั่น สั่นประสาทซะมากกว่า!!! ยิ่งถ้าหากไปนำเอาสถิติการพังทลายของแผ่นดินรอบๆบริเวณแนวเขื่อน ตลอดช่วงระยะเวลาของการสร้างอภิมหาเขื่อนแห่งนี้ มาคิดคำนวณด้วยแล้ว อาจถึงขั้นขนลุก ขนตั้ง พอๆ กับได้ดูหนังผีในช่วงเทศกาลฮัลโลวีนเอาเลยก็ไม่แน่...
-----------------------------------------------------
อันที่จริงความอ่อนไหว เปราะบาง ของอภิมหาเขื่อน 3 ผา ต่อสภาวะแวดล้อมในแผ่นดินจีนนั้น ก็เคยมีการพูดๆ กันมานานแล้ว หรือนับตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นลงมือสร้างเขื่อนแห่งนี้เอาเลยก็ว่าได้ แต่ก็อย่างว่า...ด้วยความต้องการที่จะเติบโต ก้าวหน้า ในทางเศรษฐกิจ การเมือง ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ และแรงที่สุดเท่าที่จะแรงได้ ไม่ว่าใครก็ใครก็มิอาจหยุดยั้งโครงการอภิมหาเขื่อนแห่งนี้ รวมทั้งเขื่อนอีกนับพันๆ เขื่อน ที่ถูกสร้างถูกกองระเกะระกะเอาไว้ทั่วทั้งแผ่นดินจีน จนทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่มีเขื่อนมากที่สุดในโลกไปแล้วในขณะนี้ ด้วยเหตุนี้...การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับความอ่อนไหวทางสภาพแวดล้อมในแผ่นดินจีน จึงกลายเป็น จุดอ่อน ชนิดหนึ่ง ซึ่งใครต่อใครอาจไม่ได้นำเอามาคิดคำนวณในระหว่างการประเมินศักยภาพทางการเมือง และเศรษฐกิจของจีนเอาเลยแม้แต่น้อย...
------------------------------------------------------
แต่ถ้าหากนำเอาสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาร่วมคิดคำนวณ ในการประเมินศักยภาพของจีนในอนาคตข้างหน้าควบคู่ไปด้วย ไม่แน่นักว่า...สิ่งที่ใครต่อใครเรียกขานกันว่า ศตวรรษแห่งมังกร มันอาจกลายเป็นเพียงแค่ มายาภาพ ไปเลยก็ไม่แน่??? โดยเฉพาะใครก็ตามที่ดันไปเชื่อ ข่าวลือ ของเจ้ากรมข่าวลืออย่างประธานาธิบดี อูโก ชาเวซ ซึ่งเคยออกมาปล่อยข่าวเรื่องโครงการอาวุธมหาประลัยของสหรัฐอเมริกา ที่เรียกๆ กันว่า HAARP ช่วงที่เกิดภาวะแผ่นดินไหวในประเทศเฮติเมื่อไม่นานมานี้ เพราะถ้านำเอา ข่าวลือ ที่ว่ามาคิดคำนวณควบคู่ไปกับภาวะปริมาณน้ำในเขื่อน 3 ผา ซึ่งกำลังเอ่อล้นถึงจุดสูงสุดด้วยแล้ว ยิ่งมีสิทธิ์ขนหัวลุกหนักยิ่งขึ้นไปใหญ่ แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่าความเท็จ ความจริง ในเรื่องราวเหล่านี้จะเป็นเช่นไร สิ่งที่เราทั้งหลายย่อมมิอาจปฏิเสธได้อีกต่อไปก็คือ...นับจากนี้ต่อไป ความเป็นไปทางธรรมชาติ หรือสภาวะสิ่งแวดล้อมนั้น กำลังกลายมาเป็นตัวชี้เป็น ชี้ตาย ชี้ขาดอนาคตทางการเมือง เศรษฐกิจ ของประเทศต่างๆ ยิ่งไปกว่าเรื่องอื่นๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้โดยเด็ดขาด...
---------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก สตีเฟน ฮอว์กิ้ง...ภัยคุกคามจากสภาวะโลกร้อน กำลังกลายเป็นตัวการสำคัญที่จะนำไปสู่ฉากเหตุการณ์กลียุคได้มาก เสียยิ่งกว่าภัยคุกคามจากการก่อการร้าย หรือภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์ด้วยซ้ำ...
-----------------------------------------------------
http://www.thaipost.net/news/291010/29342