กรณีใหม่ครับลง นสพ.ไทยโพสต์ ออนไลน์
ทุกข์ของครูใกล้เกษียณถูกทุกข้อ 15 มีนาคม 2553 00.00
เรียน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ข้าพเจ้านางสาวศิรารัตน์ หงษ์ทองกิจเสรี ตำแหน่งครู ค.ศ.2 โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยสมบูรณ์กุลกันยา (ญ.ส.) สังกัดสำนักงานการเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดสงขลา เขต 2 (สพท.เขต 2) อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110 โทรศัพท์ 08-3192-1451 เลขที่บัตรประชาชน 3 93040002222 9
ดิฉันรับราชการครูมาถึง 30 ปี ไม่เคยคิดที่จะยอมก้มหัวให้กับผู้บริหารที่ไม่มีความจริงใจต่อนักเรียน จึงเป็นของธรรมดาที่ชีวิตราชการของดิฉันจะไม่รุ่ง ไม่เพียงแต่ไม่รุ่งดิฉันยังถูกผู้บริหารกลั่นแกล้งสารพัด ด้วยการออกคำสั่งลงโทษโดยไม่ยึดระเบียบวินัยราชการ
มาถึงวันนี้ดิฉันถูกโรงเรียนออกคำสั่งลงโทษตัดเงินเดือน ไม่เลื่อนขั้นเงินเดือนมาแล้ว 5 คำสั่ง โดยตั้งข้อกล่าวหาเดิมๆ ว่ากล่าวหาผู้อื่นด้วยข้อความอันเป็นเท็จ สอบสวนดิฉันเสร็จไม่ถึง 2 สัปดาห์ สรุปรายงานผลการสอบสวนว่าดิฉันผิดจริง แล้วออกคำสั่งลงโทษทันที
โรงเรียนกล่าวหาพร้อมกับตั้งกรรมการสอบสวน และออกคำสั่งลงโทษใช้เวลาไม่ถึง 2 เดือน โดยไม่ต้องยึดระเบียบวินัยราชการ โรงเรียนมักอ้างว่าตนเองมีอำนาจเต็ม 100% ดิฉันต้องกลายเป็นเหยื่อสนองอำนาจอย่างไม่เป็นธรรมของผู้บริหาร
ไม่นึกเลยว่าฉันต้องกลายเป็นเหยื่อ ให้ผู้บริหารบ้าอำนาจเหล่านี้เชือดครั้งแล้วครั้งเล่าถึง 5 คำสั่ง และคำสั่งที่ 6 กำลังจะตามมาอีก
ดิฉันกล้าประกาศเรียกตัวเองว่าเป็นครูที่ดี สามารถเป็นครูตัวอย่างให้กับครูทั้งประเทศได้ ประเมินการเรียนการสอนออกมา คะแนนเป็นที่หนึ่งของโรงเรียนเกือบทุกปี แต่ก็ถูกเปลี่ยนข้อมูลไปทุกครั้ง
ดิฉันไม่ยอมก้มหัวให้กับความเลวร้ายของสังคม แต่ดิฉันอยู่ในขอบเขตของตนเอง อย่างเช่นโรงเรียนให้ผู้ปกครองไปชำระค่าพัฒนาคุณภาพการศึกษา (ไม่มีคำว่าค่าเล่าเรียน) โดยจ่ายผ่านธนาคารเป็นเงิน 1,950 บาท ต่อมาโรงเรียนออกใบเสร็จให้นักเรียนเป็นเงิน 1,650 บาท
นักเรียนมาถามดิฉันว่า แม่ให้มาถามว่าจ่ายเงินกับธนาคารไป 1,950 บาท แต่ทำไมออกใบเสร็จให้นักเรียน 1,650 บาท ดิฉันตอบว่าไม่ทราบให้ไปถาม ผอ.เอาเอง
ต่อมามีผู้ปกครองโทรศัพท์เข้าไปในรายการร่วมด้วยช่วยกัน โรงเรียนออกใบเสร็จให้นักเรียนเพิ่มอีกคนละ 200 บาท นักเรียนบอกว่าเงินยังได้ไม่ครบ คนดีของผู้อำนวยการรีบไปประกาศกับนักเรียนหน้าเสาธงว่า ถ้าผู้ปกครองมีอะไรสงสัยให้มาคุยกับผู้อำนวยการ
และอีกหลายๆ เรื่อง ดิฉันต้องกลายเป็นผู้ต้องสงสัยโดยไม่ได้ทำอะไร (คนอย่างดิฉันเป็นคนจริงและคนกล้า ไม่ทำอะไรลับหลังหรือแทงหลังใคร)
จริงๆ แล้วเมื่อก่อนดิฉันเคยต่อสู้ ปกป้องผลประโยชน์ให้นักเรียนในที่ประชุมครู ถูกกลุ่มผู้บริหารและพรรคพวกต้อนดิฉัน รวมไปถึงไล่ดิฉันออกจากที่ประชุมก็โดนมาแล้ว ในที่สุดดิฉันเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรกับการต่อสู้กับคนที่หาความดีไม่ได้ จึงยุติบทบาทตัวเองและทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด
แต่โรงเรียนกลับอาฆาตแค้นที่ดิฉันเป็นที่รักของนักเรียน ผู้ปกครองให้ความไว้วางใจ จึงจงใจกลั่นแกล้งดิฉันสารพัดเรื่อง ดิฉันได้ทำหนังสือร้องเรียนไปที่กรมสามัญศึกษา (สพฐ.) แต่ไม่ได้รับการเหลียวแลช่วยเหลือแต่ประการใด
จนทนไม่ได้จึงไปหานักการเมืองท่านหนึ่ง เขาไม่ช่วยเหลืออะไรเลย แต่แนะนำให้ไปฟ้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ดิฉันก็ฟ้องไปที่ผู้ตรวจฯ ต่อมาผู้ตรวจให้ดิฉันชี้แจงกลับด้วยความที่ไม่มีความรู้ ดิฉันได้รับหนังสือเลยกำหนด 15 วันจึงไม่ได้ชี้แจงกลับ ผู้ตรวจฯ สั่งให้ยุติเรื่องทั้งหมด จึงเป็นที่มาของการออกคำสั่งลงโทษดิฉัน ดังรายละเอียดดังนี้
ปี พ.ศ.2548 ผู้บริหารได้ออกคำสั่งลงโทษดิฉัน 3 คำสั่ง ภายในเวลา 6 เดือนก่อนที่จะเกษียณอายุราชการไป โดยทำหนังสือแบบ สว 2 สว 3 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2548 (สร้างหลักฐานลงวันที่ 16 มีนาคม 2548 ทั้งหมด 6 แห่ง)
ดิฉันรับหนังสือวันที่ 28 มีนาคม 2548 โรงเรียนออกคำสั่งที่ 34/2548 (คำสั่งที่ 1) ลงโทษให้ข้าพเจ้ารอการเลื่อนขั้นเงินเดือน ลงวันที่ 12 เมษายน 2548 (ขั้นเงินเดือนราชการปรับทุกวันที่ 1 เดือนเมษายน และตุลาคมของทุกปี)
ดิฉันได้ถามเขาว่า ออกคำสั่งให้ดิฉันรอการเลื่อนขั้นเงินเดือนด้วยเรื่องอะไร ดิฉันทำผิดอะไรหรือ หากดิฉันทำผิดโรงเรียนต้องตั้งข้อกล่าวหา และตั้งกรรมการสอบสวนดิฉันก่อนออกคำสั่งลงโทษ (ดิฉันถามวันที่ 2 พฤษภาคม 2548)
ผู้อำนวยการท่านนั้นตอบว่าต้องการสั่งสอนให้รู้สำนึก โดยอ้างคำสั่ง สพท.ที่ 75/2548 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2548 ตั้งข้อกล่าวหา 3 ข้อ 1.ใส่ร้ายผู้อื่นด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ข้อ 2.ทำให้สังคมแตกความสามัคคี ข้อ 3.กระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชา
โรงเรียนรีบออกคำสั่งที่ 61/2548 ลงโทษตัดเงินเดือนดิฉัน 10% เป็นเวลา 2 เดือน ดิฉันโต้แย้งว่าข้าราชการที่ทำผิดวินัย โรงเรียนมีอำนาจตัดเงินเดือนได้ 5% 1 เดือน โรงเรียนก็แก้ไขคำสั่ง 68/2548
ดิฉันทำหนังสืออุทธรณ์คัดค้านไปถึง สพฐ. ทุกอย่างเงียบสนิท
ต่อมาวันที่ 22 กันยายน 2548 โรงเรียนออกคำสั่งลงโทษไม่เลื่อนขั้นเงินเดือนดิฉันโดยไม่แจ้งให้ดิฉันทราบ แล้วผู้บริหารก็เกษียณอายุราชการไป
ดิฉันเอาคำสั่งทั้ง 3 คำสั่งไปฟ้องศาลปกครอง ปรากฏว่าศาลปกครองยกฟ้องทั้งหมดทั้ง 3 คำสั่ง ดิฉันไม่มีความรู้ทางด้านกฎหมาย ดิฉันใช้สามัญสำนึกคิดเอาเองว่า หลักฐานที่โรงเรียนร่วมกับ สพท.ออกเอกสารวันเดียวกันลงวันที่ 16 มีนาคม 2548 ทั้งหมด 6 ครั้ง และเอกสารตัดเงินเดือนดิฉันลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 ทั้งหมด 4 แห่ง มันเป็นหลักฐานเท็จทั้งหมด
โรงเรียนไม่เลื่อนขั้นเงินเดือนให้ดิฉัน ก็ไม่มีการแจ้งให้ดิฉันทราบก่อนว่าทำผิดอะไร แถมมีการเอาคำสั่ง สพท.277/48 มายัดไส้คำสั่งโรงเรียน ทำให้ดิฉันเข้าใจผิดฟ้องศาลปกครองไม่สำเร็จ ต้องไปอุทธรณ์ที่ศาลปกครองสูงสุด
โรงเรียนออกคำสั่งลงโทษดิฉันโดยไม่ยึดระเบียบใดๆ และที่น่าแปลกใจมากคือ โรงเรียนยกเลิกคำสั่งลงโทษดิฉัน ไม่มีการแจ้งให้ดิฉันทราบ แต่ทำเอกสารไปประกอบคดีหมายเลขดำที่ 136/48 คดีหมายเลขแดงที่ 50/2552 และคำสั่งโรงเรียน 107/2548 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2548
นายวิทยา รัตนอรุณ ผู้อำนวยการที่ลงโทษดิฉัน เกษียณอายุราชการวันที่ 30 กันยายน 2548 ทำเอกสารประกอบคดีไปที่ศาลปกครองวันที่ 7 พฤศจิกายน 2548 ไปประกอบคดีหมายเลขดำที่ 178/2548 เลขแดงที่ 84/2552 นายวิทยาใช้สิทธิ์อะไรไปทำหนังสือให้ศาลปกครองในเมื่อเกษียณอายุราชการไปแล้ว สุดท้ายศาลปกครองยกฟ้องหมดทั้ง 3 คดี
โรงเรียนเกิดความเหิมเกริมที่ศาลปกครองยกฟ้อง ดังนั้นในเดือนมิถุนายน 2552 โรงเรียนตั้งข้อกล่าวหาดิฉันเหมือนเดิมอีก คือกล่าวหาผู้อื่นด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และทำร้ายผู้อื่น (จริงๆ แล้วดิฉันเป็นฝ่ายถูกทำร้ายร่างกาย ครูผู้เป็นแบบอย่างนั้นทะเลาะทำร้ายร่างกายกันเหมือนหมา ถ้าเห็นเด็กทะเลาะกันอย่าไปด่าเด็กเลย)
ผลการสอบสวนออกมาดิฉันผิดอีก ตัดเงินเดือนดิฉัน 5% เดือนตุลาคม 2552 ไม่เลื่อนขั้นเงินเดือนให้ดิฉันโดยไม่แจ้งให้ดิฉันทราบ
และ ณ วันนี้ โรงเรียนออกคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนดิฉันด้วยข้อกล่าวหาเดิมอีก คือกล่าวหาผู้อื่นด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ผู้อำนวยการคนนี้จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2553 มีตัวอย่างจากนายวิทยาแล้วว่าจะเล่นงานใครอย่างไรก็ได้ เกษียณอายุราชการไปใครฟ้องอะไรตนเองไม่ได้
แต่ครั้งนี้ดิฉันจะไม่มีวันให้พวกข้าราชการชั่วอาศัยตำแหน่งหน้าที่มาเล่นงานดิฉันได้อีก ดิฉันเองก็กำลังจะเกษียณอายุราชการในปีหน้าเช่นเดียวกัน ดิฉันคือข้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่ขี้ข้าใคร
เรื่องทั้งหมดนี้ดิฉันได้นำไปร้องทุกข์ กลับไปที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาอีกครั้งหนึ่ง (นายวิทยา รัตนอรุณ) และที่ศูนย์ร้องทุกข์นายกรัฐมนตรี (นางสาวผ่องศรี เรืองดิษฐ์) ในเรื่องใช้อำนาจมิชอบ ทั้ง 2 หน่วยงานมีหนังสือถึงดิฉันแจ้งว่า ได้ส่งเรื่องกลับไปที่ สพฐ.เพื่อตรวจสอบใหม่
ดิฉันตามเรื่องจนรู้สึกเหนื่อย และดิฉันจะไม่ยอมเกษียณอายุราชการไปอย่างคนมีมลทินเด็ดขาด และจะไม่ยอมให้คนชั่วครองเมือง
หากบรรณาธิการต้องการเห็นเอกสาร รวมทั้งแผ่นบันทึกเสียงที่ดิฉันแอบบันทึกการสอบสวน และเขาด่าประณามดิฉัน ดิฉันพร้อมที่จะส่งไปให้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่าดิฉันเล่าเรื่องจริงทั้งหมด
ดิฉันต้องการให้สังคมรับรู้ และอย่าอยู่เฉยหรือเข้าข้างผู้มีอำนาจ โดยทำร้ายเพื่อนร่วมงานเหมือนสังคมครูในโรงเรียนของดิฉัน ครูทุกคนรู้ความสกปรกหลายๆ อย่างแต่ก็ปิดปากเงียบ ไม่เคยมีใครกล้าพูดกล้าถามว่าเงินที่รับบริจาคเอาไปใช้อะไร
ดิฉันขอให้ท่านโปรดให้โอกาสดิฉันตีแผ่ความเลวร้ายของสังคม เพื่อสังคมไทยของเราคงจะดีขึ้นสักวัน อย่าอยู่กันแต่เปลือกทำร้ายเด็ก หากินกับเด็กไปวันๆ เด็กยากจนยังต้องถูกพวกโรงเรียนขูดรีด ไหนว่าเรียนฟรี 8 ชั่วโมงนักเรียนมาโรงเรียนไม่ได้ความรู้ ได้ความรู้เพียง 2 ชั่วโมงที่โรงเรียนเปิดสอนพิเศษเอง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสถานที่ ค่าโฆษณาไม่ต้องจ่าย
ใครเคยกล่าวว่าเด็กคืออนาคตของชาติ
ขอแสดงความนับถือ
นางสาวศิรารัตน์ หงษ์ทองกิจเสรี
ตอบ ครูศิรารัตน์
ผมลงจดหมายร้องทุกข์ของคุณครู เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ตรวจสอบ และหวังว่าคุณชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ คงจะช่วยให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ได้
สามวา สองศอก
http://www.thaipost.net/news/150310/19331