23 พฤศจิกายน 2567, 10:40:16
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 21  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)  (อ่าน 235799 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 10 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #250 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2554, 05:34:32 »

อ้างถึง
ข้อความของ Soponเท่านั้น เมื่อ 27 พฤษภาคม 2554, 22:36:46
The Haircut
One day a florist went to a barber for a haircut. After the cut, he asked about his bill, and the barber replied, 'I cannot accept money from you , I'm doing community service this week.' The florist was pleased and left the shop.
When the barber went to open his shop the next morning, there was a 'thank you' card and a dozen roses waiting for him at his door.
Later, a cop comes in for a haircut, and when he tries to pay his bill, the barber again replied, 'I cannot accept money from you I'm doing community service this week.' The cop was happy and left the shop.
The next morning when the barber went to open up, there was a 'thank you' card and a dozen donuts waiting for him at his door.
Then a politician came in for a haircut, and when he went to pay his bill, the barber again replied, 'I can not accept money from you. I'm doing community service this week.' The politician was very happy and left the shop.
The next morning, when the barber went to open up, there were a dozen politicians lined up waiting for a free haircut.

And that, my friends, illustrates the fundamental difference between the citizens of our country and the politicians who run it.


POLITICIANS AND DIAPERS NEED TO BE CHANGED OFTEN AND FOR THE SAME REASON!

เอามาฝากตะวันและพี่น้องคอการเมืองครับ
__________________
เปี๊ยก เพื่อนรัก

ภาษาปะกิต ไม่ค่อยแข็ง แรงไม่มี  พอจะจับใจความได้บ้าง
ถ้าจะสรุป แปลได้ว่า นักการเมือง กับ ผ้าอ้อมเด็ก สกปรกและเหม็นพอๆกัน ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ
      บันทึกการเข้า

Preecha2510
Cmadong Member
Full Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2510
กระทู้: 788

« ตอบ #251 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2554, 08:49:51 »


                  
อ้างถึง
ข้อความของ Intania๑๖ เมื่อ 28 พฤษภาคม 2554, 05:34:32
อ้างถึง
ข้อความของ Soponเท่านั้น เมื่อ 27 พฤษภาคม 2554, 22:36:46
The Haircut
One day a florist went to a barber for a haircut. After the cut, he asked about his bill, and the barber replied, 'I cannot accept money from you , I'm doing community service this week.' The florist was pleased and left the shop.
When the barber went to open his shop the next morning, there was a 'thank you' card and a dozen roses waiting for him at his door.
Later, a cop comes in for a haircut, and when he tries to pay his bill, the barber again replied, 'I cannot accept money from you I'm doing community service this week.' The cop was happy and left the shop.
The next morning when the barber went to open up, there was a 'thank you' card and a dozen donuts waiting for him at his door.
Then a politician came in for a haircut, and when he went to pay his bill, the barber again replied, 'I can not accept money from you. I'm doing community service this week.' The politician was very happy and left the shop.
The next morning, when the barber went to open up, there were a dozen politicians lined up waiting for a free haircut.

And that, my friends, illustrates the fundamental difference between the citizens of our country and the politicians who run it.


POLITICIANS AND DIAPERS NEED TO BE CHANGED OFTEN AND FOR THE SAME REASON!

เอามาฝากตะวันและพี่น้องคอการเมืองครับ
__________________
เปี๊ยก เพื่อนรัก

ภาษาปะกิต ไม่ค่อยแข็ง แรงไม่มี  พอจะจับใจความได้บ้าง
ถ้าจะสรุป แปลได้ว่า นักการเมือง กับ ผ้าอ้อมเด็ก สกปรกและเหม็นพอๆกัน ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ


 สวัสดีครับวณิชย์,เปี๊ยก

                     ไม่ได้คุยกันเรื่องการเมืองบ้านเรานานแล้ว ที่ผ่านมาผมไม่อยากพูดถึงและมองมันเลยเพราะรู้
 รู้สึกผิดหวังและเซ็งอย่างสุดๆ สรุปแล้วบ้านเราหานักการเมืองในอุดมคติไม่ได้เลย  น่าเสียดายที่เรามีคนที่

ฉลาดมีชาติตระกูลมีการศึกษาอย่างดีเช่นคุณอภิสิทธิ์ที่พอจะเป็นความหวังของคนไทยเราได้บ้าง  ในการพัฒนา

เปลี่ยนแปลงระบบการเมืองของไทย  แต่พอมามีอำนาจรัฐในมือก็กลายเป็นขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่พอเหลาลงไป

ก็กลายเป็นบ้องกัญชา  ไม่มีความกล้าหาญและความเป็นผู้นำทางการเมืองเลย กลายเป็นเพียงหุ่นเชิดและเป็น

เพียงเบี้ยทางการเมืองให้พวกกาฬเลวกกาฬลากทางการเมืองจับเดินตามที่พวกมันต้องการเท่านั้นเอง น่าเสีย

 มากๆครับ  การเลือกตั้งใหม่ที่มีขึ้นเร็วๆนี้ผลออกมาก็คงจะทราบกันล่วงหน้าได้เลยว่าเงินคงเป็นปัจจัยชี้ขาดได้

 เช่นเคยว่าใครจะได้รับเลือกเข้ามาในสภาฯ  ขออนุญาตพูดอย่างท้อแท้ใจ(และหยาบคาย)ว่า ตัววรนุช..เต็มสภาฯ
      บันทึกการเข้า
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #252 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2554, 15:46:00 »



พี่ปรีชาครับ เห็นด้วยกับพี่ปรีชาทุกประการ

นี่คือวงจรอุบาทว์การเมืองไทย ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าประชาชนคนไทยจำนวนมาก เข้าใจถึงระบอบประชาธิปไตยเพียง 4 วินาที คือหย่อนบัตรเลือกตั้งเสร็จ ก็จบ ไม่มีปากไม่มีเสียงอีกต่อไป ใครจะไปปู้ยี้ปู้ยำ โกงกินชั่งมัน เพราะพรรคไหนๆ ก็กินทั้งนั้น แต่พรรคนี้ กินแล้วให้ นี่คือถ้อยคำของชาวบ้าน


      บันทึกการเข้า

seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #253 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2554, 10:26:49 »

พิชาย”ซัด “กนก”ติดหล่มความคิดเดิม-แจงโหวตโน “5เพราะ-5เพื่อ”- “ปานเทพ”จวกป้ายสีรับเงิน“แม้ว”ไม่แฟร์

นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวในช่วงการเสวนา “ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน” ที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กรณีที่นายกนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรรายการโทรทัศน์เครือเนชั่น ได้เขียน
       บทความในเฟซบุ๊ก เหน็บแนมการรณรงค์โหวตโนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า แสดงว่านายกนกยังอยู่ในวิธีคิดหรือกระบวนทัศน์เก่า ไม่สามารถก้าวข้ามวิธีคิดแบบเดิมๆ ได้ การที่เราโหวตโนนั้น เรามี “5 เพราะ” และ “5 เพื่อ” นั่นคือเรามีสาเหตุที่ทำให้ต้องโหวตโน 5 สาเหตุ และมีวัตถุประสงค์ในการโหวตโน 5 ข้อ ไม่ใช่โหวตโนแล้วเอาไปทิ้งน้ำ
       
       นายพิชายกล่าวต่อว่า 5 สาเหตุที่เราโหวตโนเพราะ 1.ระบบการเมืองไทยปัจจุบันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เป็นระบบที่ไม่สามารถกีดกันคนเลวไม่ให้เข้าสู่สภาและมีอำนาจได้ และไม่สามารถป้องกันคนเลวในสภาไม่ให้ไปโกงกินและฉ้อฉลได้ 2.นักการเมืองและพรรคการเมืองที่เสนอตัวเข้ามาให้เราเลือกประมาณร้อยละ 80-90 หรือบางคนอาจบอกว่าร้อยละ 99 เป็นนักการเมืองที่ไร้ปัญญาและฉ้อฉลอย่างสิ้นเชิง เป็นนักการเมืองที่ดูถูกประชาชนอย่างร้ายกาจ และไม่มีคนใดพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าจะสร้างชาติหรือทำตัวเป็นรัฐบุรุษนำประเทศไปสู่ความรุ่งเรืองปราศจากคอร์รัปชั่นได้ มีแต่โกหกตอแหลทั้งสิ้น
       
       3. เราจะไม่สร้างความชอบธรรมให้นักการเมืองพวกนี้อีกต่อไป ถ้าเราไปโหวตให้เราก็ไปสร้างความชอบธรรมให้ระบบที่เลวให้อยู่ต่อไป หรือให้นักการเมืองเลวนั่งชูคอต่อไป 4.ประชาชนที่โหวตโนจะสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ทางการเมือง มีวิธีคิดใหม่ที่จะไม่ให้นักการเมืองมาครอบงำเราอีกต่อไป เป็นการเปลี่ยนแปลงความเชื่อใหม่ ใครที่ตามไม่ทันแปลว่าตกอยู่ในกระบวนทัศน์เดิม งมงายกับนักการเมืองชั่วแบบเดิม และ
       
       5.เราเป็นพลเมืองที่ตื่นแล้ว ไม่ตกอยู่ในมายาภาพของนักการเมืองที่พูดไปวันๆ สร้างภาพไปวันๆ อย่างนักการเมืองไทยขณะนี้ และล่าสุดมีบางคนเสนอตัวเป็นตัวเลือก คนหนึ่งบอกว่าจะต่อต้านคอร์รัปชั่น ทั้งที่ในอดีตเคยทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบาดคาดสินบนทั้งนั้น และไม่มีประวัติต่อต้านคอร์รัปชั่นมาก่อน ใครเลือกคนคนนี้ก็สิ้นคิด
       
       นายพิชายกล่าวต่อว่าที่บางคนวิเคราะห์ว่าการโหวตโนจะสร้างความยิ่งใหญ่ให้พันธมิตรฯ นั้น เป็นการวิเคราะห์ที่เลยเถิด เพราะภาคประชาชนยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ไม่ได้ยิ่งใหญ่ด้วยปริมาณ แต่ยิ่งใหญ่ด้วยปัญญาและเหตุผลที่จะต่อสู้ เพราะฉะนั้นวัตถุประสงค์ 5 ข้อที่เราจะโหวตโนคือ 1.เพื่อแสดงเจตนารมณ์ของเราว่าต้องการให้โหวตโนเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาของของชาติ แก้ปัญหาการเมือง การโหวตโนนั้นเราได้ใส่เจตจำนงทางการเมืองเข้าไปเต็มเปี่ยม ไม่ใช่โหวตโนเฉยๆ
       
       2.เราขยายความคิดเรื่องโหวตโนเพื่อทำให้พลังของภาคประชาชนมีมากขึ้น แล้วเราเอาพลังนั้นมาตรวจสอบถ่วงดุลนักการเมือง ซึ่งปัจจุบันการเมืองมี 3 ขั้วหลัก คือ ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย และภาคประชาชน เราต้องเลือกขั้วภาคประชาชนเพื่อให้ประชาชนเข้มแข็ง 3.เราโหวตโนเพื่อเป็นกุญแจเปิดประตูไปสู่การปฏิรูปการเมืองอย่างทรงพลัง และมีรากฐานจากประชานที่มีเจตจำนงทางการเมืองอย่างเปี่ยมล้น เพราะรัฐสภาไม่สามารถสร้างความหวังให้เราได้ว่าจะมีการปฏิรูปการเมืองหรือขจัดคอร์รัปชั่น ส่วนการรัฐประหารเราก็ไม่เอาอีกต่อไป เราจะใช้พลังของประชาชนเป็นกุญแจที่ทรงคุณค่าทรงพลัง
       
       4.หลังเลือกตั้งเราจะเชิญตัวแทนประชาชนทุกกลุ่มมาสร้างสถาปัตยกรรมทางการเมืองใหม่ จัดสรรอำนาจในสังคมเสียใหม่ สร้างระบบการเมืองที่มีธรรมาภิบาล ให้อำนาจทางการเมืองกระจายไปอยู่กับทุกกลุ่ม แทนที่จะอยู่กับการเมืองและนายทุนพรรคเท่านั้น และ 5.เราจะโหวตโนเพื่อไม่ให้นักการเมืองหยิ่งผยองอีกต่อไป หรือเรียกว่าโหวตโนเพื่อตีคางคก ให้มันสำนึกว่าประชาชนไม่ใช่บันไดไปสู่อำนาจ ไม่ใช่บันไดไปสู่การใช้อำนาจฉ้อฉลอีกต่อไป
       
       นายพิชายกล่าวต่อว่า คนที่ไม่เข้าใจโหวตโนนั้น บางคนแกล้งไม่เข้าใจ เพราะมีผลประโยชน์กับการเมืองปัจจุบัน อยากจะถามว่า ยังทนอยู่กับการเมืองที่สกปรกอยู่ได้อย่างไร เมื่อไหร่จะปลดแอกจากการเมืองเหล่านี้เสียที นักการเมืองที่กำลังเสนอตัวลงเลือกตั้งอยู่ขณะนี้คิดแต่นโยบายที่ไร้ปัญญา ดูถูกประชาชน เมื่อดูนโยบายทุกพรรคที่ใช้หาเสียงอยู่ขณะนี้ สามารถสรุปออกมาได้ 4 อย่าง คือ “แจกขนมหวาน สร้างปราสาททราย ทำลายนิติรัฐ และกำจัดคู่แข่งทางการเมือง”
       
       “แจกขนมวาน”คือการใช้นโยบายประชานิยม เพราะสิ้นคิด ไร้ความสามารถวิเคราะห์ปัญหาอย่างลึกซึ้งแล้วคิดนโยบายออกมาแก้ จึงคิดออกอย่างเดียวคือแจกขนม คิดอะไรซับซ้อนไม่เป็น “สร้างปราสาททราย” ก็คือทำเมกะโปรเจกต์วาดวิมานในอกาศ เป็นช่องทางทำมาหากินกับงบประมาณและสร้างหนี้สินให้ประเทศ “ทำลายนิติรัฐ”คือออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับพรรคพวกตัวเอง ซึ่งไม่มีนักการเมืองในประเทศประชาธิปไตยทำกัน มีแต่คณะรัฐประหารเท่านั้นที่ออกกฎหมายนิรโทษให้ตัวเอง และ “กำจัดคู่แข่งทางการเมือง” คือการปราบปรามยาเสพติดในอดีตที่ฆ่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องไป 2 พันกว่าคน หลายคนเป็นหัวคะแนนพรรคคู่แข่ง เลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าตั้งกองกำลังปราบยาเสพติด ส่วนพรรคเพื่อไทยจะทำสงครามยาเสพติดอีกครั้ง ซึ่งน่ากลัวว่าจะมีคนบริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่ออีก
       
       นายพิชายกล่าวเพิ่มเติมว่า คนที่พูดว่าโหวตโนเป็นแนวร่วมของทักษิณนั้นขอให้เข้าใจว่าคนที่พูดแบบนี้เป็นพวกประชาธิปัตย์ เพราะเขาอยากให้พวกเราโหวตให้ประชาธิปัตย์จึงพูดแบบนั้น อยากจะบอกว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์อยากได้คะแนนให้ไปหาเอาเอง อย่าเอาความกลัวทักษิณมาหากิน ให้เอาฝีมือตัวเองไปหากินดีกว่า และขอให้พวกเราอย่าเอาคะแนนไปทิ้งลงน้ำเน่าให้พวกที่ดีแต่พูด ให้พวกฉวยโอกาสทางการเมือง ไม่โหวตให้ใครทั้งสิ้น เราต้องโหวตโนเท่านั้น
       
       ด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวตอบโต้กรณีบทความของกนก รัตน์วงศ์สกุล ในเฟซบุ๊ก ว่า ในฐานะคนทำสื่อด้วยกันขอนำบทความของคุณกนกมาแลกเปลี่ยนทัศนะ ถือว่าแลกเปลี่ยนความคิดไม่ได้เป็นศัตรูกัน ซึ่งคุณกนกเริ่มจากว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเขียนมาบอกว่าจะทำอย่างไรในภาวะที่บ้านเมืองหน้าสิ่วหน้าขวาน พวกเผาไทยกำลังได้ใจ พวกโหวตโนก็สำคัญตัวผิด คุณกนกบอกว่าเธอชอบมาก ซึ่งที่จริงพวกเราไม่ได้สำคัญตัวผิด เราทำจนสุดความสามารถ ผลเป็นอย่างไรก็สุดแท้แต่ประชาชน เราทำให้ถึงที่ดแค่นั้น คุณกนกบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้แปลกประหลาด นอกจากป้ายหาเสียงที่เห็นกันแล้วยังมีป้ายรณรงค์ให้โหวตโนแปะข้อความอย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น เขายอมเสียเงินทำป้าย เพื่อให้คนโหวตโนเพื่ออะไร รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็มีสัตว์เข้าสภา แต่เขาก็ยังทำ คนทำต้องการอะไร (แอบแฝงหรือเปล่า) ที่จริงพอพูดเรื่องเงินก็จะมีพรรคการเมืองบางพรรคพยายามจะใส่ความว่า พวกเรารับเงินทักษิณ มารณรงค์โหวตโน
       
       แต่ที่จริงคุณกนกถ้าได้ติดตามบนเวทีอย่างใกล้ชิด และเนชั่นทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาในการรายงานข่าวของภาคประชาชนให้ทัดเทียมกับการรณรงค์ทั่วไปของทุกพรรคการเมืองแล้ว น่าจะเห็นด้วยว่า เงินที่เราได้มาจากการรณรงค์โหวตโนครั้งนี้ไม่ได้มาจากใครคนอื่นเลยมาจากประชาชนทั้งสิ้นที่ร่วมกันบริจาค ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะทักษิณ แต่เกี่ยวข้องกับประชาชนที่มีเจตนารมณ์เดียวกันว่าเราต้องรณรงค์โหวตโนให้เกิดขึ้นมากๆ ในประเทศนี้ เพราะฉะนั้นมันไม่มีแอบแฝง ถ้าพูดว่าพันธมิตรรับเงินทักษิณ จึงมารณรงค์โหวตโนอย่างนี้ ตนก็จะพูดได้ว่ามีพรรคการเมืองบางพรรครณรงค์ให้ประชาชน อย่าไปโหวตโน เพื่อจะได้สร้างความชอบธรรมในชัยชนะของทักษิณให้มากขึ้น เรื่องนี้ตนพูดได้ แต่ตนไม่เคยพูด มันเป็นเรื่องง่ายกับการกล่าวหาและสงสัยว่าคุณกนกจะรับงานจากพรรคการเมืองบางพรรค เราก็ไม่เคยพูดและกล่าวหาอย่างนั้น เพราะการพูดว่ามีเรื่องแอบแฝงนั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่ยอมรับความแตกต่างทางความคิด มัวมาคิดแต่ว่าคนที่คิดแตกต่างจากตัวเองนั้น ต้องทำชั่วเท่านั้น เรื่องนี้จึงไม่แฟร์ในประเด็นนี้
       
       นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ตนขอบอกว่าหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าโหวตโนครึ่งหนึ่งแล้วจะล้มคะแนนที่เลือกส.ส.ได้ พวกเราไม่ได้เข้าใจผิด เรารู้ว่าหากคะแนนโหวตโนเกินครึ่งก็ไม่ได้จะล้มคะแนนเลือกตั้งส.ส.ได้ แต่จะลดความชอบธรรมได้ เราเข้าใจดี ไม่มีใครถูกหลอก หรือเข้าใจผิด และถ้าเรากลัวว่าคนจะคิดแบบนี้เราคงไม่กล้าที่จะนำบทความของคุณกนกในเฟซบุ๊คมาเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบในวันนี้คุณกนกบอกว่าโหวตโน หลายคนคิดว่ากาโหวตโนกันเยอะๆแล้วไปกดดันพวก ส.ส.ได้ เราเชื่อว่าได้ครับ ที่เชื่อว่าได้ เพราะว่า 6 ปีที่ผ่านมาในท่ามกลางที่พรรคประชาธิปัตย์แพ้ในสภาหลายครั้งหลายหน แม้กระทั่งในยามที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลไม่ต้องโหวตโน แค่มีผู้ชุมนุมไม่ต้องถึงจำนวนผู้โหวตโน เรายังยับยั้งทั้งเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเมืองมาแล้วไม่รู้กี่หน นี่คือเรื่องจริง แต่ครั้งนี้เรารณรงค์โหวตโน มันเสมือนเป็นการสร้างสัญลักษณ์ของประชาชนที่เขาไม่เห็นด้วยกับระบบ ที่เขาไม่ยอมจำนนกับระบบ และเขาก็เชื่อว่า เขาเป็นกลุ่มที่ไม่ยอมประกาศเป็นผู้ลงคะแนนให้กับนักการเมืองที่ไปโกงบ้านกินเมือง เขาไม่ยอมเป็นผู้พ่ายแพ้ในระบบรัฐสภาที่ต้องยอมจำนนว่าเป็นเสียงข้างน้อยในสภา อย่างไรเสียก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับการโกงชาติกินเมือง แต่เขาคือผู้สงวนในสิทธิ์ของตัวเองที่ไม่เลือกใครเลย จะไปกล่าวหาได้อย่างไรว่าเขาโหวตโนเพื่อทักษิณ ไร้สาระและไม่เป็นความจริง
       
       "การที่คุณกนกบอกว่า รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็มีสัตว์เข้าสภา แต่เขาก็ยังทำตรงนี้มีความหมายครับ ถ้าคุณกนกใช้คำว่ารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็มีสัตว์เข้าสภา แสดงว่าคุณกนกก็คงคิดไม่ต่างกันว่าทุกวันนี้มีสัตว์เข้าไปอยู่ในสภาได้ ซึ่งการคิดและเชื่อแบบนี้สำคัญคือเราจะยอมจำนน มองดูสัตว์อยู่ในสภาหรือจะเป็นผู้เริ่มต้นในการไม่ยอมจำนนต่อการที่สัตว์นั้นเข้าสภา จริงอยู่ ส.ส.สุดท้ายต้องเข้าไป แต่เสียงที่โหวตโนเป็นเสียงที่สำแดงว่า เราพร้อมไล่สัตว์ออกจากสภาได้ และทำมาแล้ว เหมือนเทปผีซีดีเถื่อน ถ้าพูดถึงปัญญาชนเขาจะบอกว่าไม่เป็นไร ใครๆ เข้าก็ซื้อทั้งนั้น ถ้าเราไม่ซื้อคนอื่นเขาก็ซื้อ เพราะฉะนั้นแล้วเราไปทานต่อระบบไม่ได้หรอก ถ้าคิดกันแบบนั้น ศิลปินก็ไม่มีอาชีพ หลักการเดียวกันครับ คุณกนกบอกว่าทั้งๆที่รู้ว่ายังไงก็มีสัตว์เข้าสภา แต่เขาก็ยังทำ เหมือนที่เราเชื่อว่าอะไรเป็นความดี เราก็ทำมัน เชื่อมั่นและมุ่งมั่นทำไปอย่าไปกลัวว่าเราทำความดีอยู่คนเดียวคนอื่นก็ชั่วอยู่ดี ถ้าคิดอย่างนั้นบ้านเมืองก็ล่มสลาย ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้เลย"โฆษกพันธมิตร กล่าวย้ำ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Soponเท่านั้น
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,405

« ตอบ #254 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2554, 22:30:27 »

สุดยอดคำตอบ สวย เก่ง ฉลาด   กับคำถามชิงมงกุฏ

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส อเมริกา ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>>มิส อเมริกา : ในบ้านของไอ เราเรียกมันว่า สุภาพบุรุษ
>>พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>>มิส อเมริกา: เพราะว่ามันลุกขึ้นทุกครั้ง ที่เห็นสุภาพสตรี
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ!)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส สเปน ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของอวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิส สเปน : ไอ้นั่นของผู้ชาย ในประเทศของเรา เหมือนกับ วัวกระทิงที่เราใช้ในการแสดงการสู้วัวกระทิง
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส สเปน : เพราะว่า มันพุ่งเข้าหาทุกครั้ง ที่เห็นช่องเปิด
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ!)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส ฟิลิปปินส์ ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิสฟิลิปปินส์ : ฉันพูดได้เลยว่า ไอ้นั่นของผู้ชายในบ้านดิฉัน เหมือนกับข่าวซุบซิบ และ ข่าวลือ
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส ฟิลิปปินส์ : เพราะว่า มันผ่านจากปากนึง สู่อีกปากนึงต่อๆกัน
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ! พร้อมทั้งลุกขึ้นโห่กรี๊ดลั่นต่อด้วยเสียงปรบมือยาว

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส อิหร่าน ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิส อิหร่าน : โอ้ ในบ้านชั้น เราว่า ไอ้นั่นของผู้ชายมันเหมือนกับ ขโมย
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส อิหร่าน : เพราะว่า พวกมันชอบเข้า ทางประตูหลัง
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ แปะๆ! พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ยาวต่อด้วยเสียงปรบมือยาว)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส ไชน่า ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิส ไชน่า : ในจีนพวกเราว่าไอ้นั่นของผู้ชายคล้ายกับท่านผู้นำ  Deng Siu Ping.
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส ไชน่า : คือว่า แม้มัน สั้น(เตี้ย) และ ต้องตรากตรำ งานหนัก
>> แต่ว่ามันก็ยัง ทำงานได้จนถึงอายุ  90  ปี 
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ยาว ต่อด้วยเสียงปรบมือยาว)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิสไทยแลนด์ ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิสไทยแลนด์ : ในประเทศของเรา เราเปรียบไอ้นั่นเหมือนกับนักการเมือง
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ  ?
>> มิส มิสไทยแลนด์ : อ๋อ เพราะว่า พวกมันวันๆ งานการไม่ทำ
>> ได้แต่เดินแกว่งไป แกว่งมา!!! ไปวันๆ เท่านั้น

จบข่าว    
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #255 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2554, 10:26:59 »

อ้างถึง
ข้อความของ Soponเท่านั้น เมื่อ 11 มิถุนายน 2554, 22:30:27
สุดยอดคำตอบ สวย เก่ง ฉลาด   กับคำถามชิงมงกุฏ

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส อเมริกา ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>>มิส อเมริกา : ในบ้านของไอ เราเรียกมันว่า สุภาพบุรุษ
>>พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>>มิส อเมริกา: เพราะว่ามันลุกขึ้นทุกครั้ง ที่เห็นสุภาพสตรี
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ!)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส สเปน ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของอวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิส สเปน : ไอ้นั่นของผู้ชาย ในประเทศของเรา เหมือนกับ วัวกระทิงที่เราใช้ในการแสดงการสู้วัวกระทิง
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส สเปน : เพราะว่า มันพุ่งเข้าหาทุกครั้ง ที่เห็นช่องเปิด
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ!)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส ฟิลิปปินส์ ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิสฟิลิปปินส์ : ฉันพูดได้เลยว่า ไอ้นั่นของผู้ชายในบ้านดิฉัน เหมือนกับข่าวซุบซิบ และ ข่าวลือ
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส ฟิลิปปินส์ : เพราะว่า มันผ่านจากปากนึง สู่อีกปากนึงต่อๆกัน
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ! พร้อมทั้งลุกขึ้นโห่กรี๊ดลั่นต่อด้วยเสียงปรบมือยาว

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส อิหร่าน ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิส อิหร่าน : โอ้ ในบ้านชั้น เราว่า ไอ้นั่นของผู้ชายมันเหมือนกับ ขโมย
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส อิหร่าน : เพราะว่า พวกมันชอบเข้า ทางประตูหลัง
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ แปะๆ! พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ยาวต่อด้วยเสียงปรบมือยาว)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส ไชน่า ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิส ไชน่า : ในจีนพวกเราว่าไอ้นั่นของผู้ชายคล้ายกับท่านผู้นำ  Deng Siu Ping.
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส ไชน่า : คือว่า แม้มัน สั้น(เตี้ย) และ ต้องตรากตรำ งานหนัก
>> แต่ว่ามันก็ยัง ทำงานได้จนถึงอายุ  90  ปี 
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ยาว ต่อด้วยเสียงปรบมือยาว)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิสไทยแลนด์ ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิสไทยแลนด์ : ในประเทศของเรา เราเปรียบไอ้นั่นเหมือนกับนักการเมือง
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ  ?
>> มิส มิสไทยแลนด์ : อ๋อ เพราะว่า พวกมันวันๆ งานการไม่ทำ
>> ได้แต่เดินแกว่งไป แกว่งมา!!! ไปวันๆ เท่านั้น

จบข่าว    

RATE X นะครับคุณโสภณ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #256 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2554, 10:32:36 »


การเมือง : นโยบาย
หนองจาน ถึงคุกเปร็ยซอ คดีอัปยศข้ามชาติ
โดย : ประชุม ประทีป



ซ้ำซัดซับซ้อนสับสน ยุดยื้อยึกยัก ชิงไหวชิงพริบสร้างภาพ
 ใครหลายคนหวังผลคดี
วีระ, ราตรี"ติ่งของปัญหาไทย-เขมร แต่อาจเป็นน้ำผึ้งหยดเดียววันหน้า


29 ธันวาคม 2553 ประมาณ 13 นาฬิกา ชะตาชีวิตสองคนหักเหอย่างแรง จากทีม 10 คนให้รอที่รถ 3 อีก 7 คน* ก้าวพ้นถนนศรีเพ็ญเข้าบริเวณบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ไปดูปัญหาคนไทยร้องเรียนที่ดินใกล้หลักเขตแดนที่ 46 ถูกต่างชาติยึดครอง
เดินเข้าไปประมาณ 600 เมตร คนที่รถเห็นทหารกัมพูชา 5-6 คนถืออาวุธมาคุมตัวทั้งหมดเดินหายไป

สำหรับ วีระ บริเวณนี้เขาเคยมาสำรวจด้วยเรื่องเดียวกันนี้ และถูกจับเมื่อ 20 สิงหาคมปีกลาย ตชด.ไทยช่วยเจรจาปล่อยตัวออกมา

เขาคัดค้านอย่างสุดตัว ไม่ยอมให้กัมพูชายึดดินแดนที่มีหลักฐานคนไทยครอบครอง เขาร่วมชุมนุมค้านนำร่างบันทึกข้อตกคณะกรรมาธิการชายแดนไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี เข้าสู่รัฐสภาเพื่ออนุมัติ คัดค้านยูเนสโก้เข้าข้างเขมรจะรวบรัดรับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว

"วีระ" เป็นคนเดียวไปประท้วงการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่บราซิล มิ.ย.53
เขาร่วมระดมมวลชนนำไปสำแดงพลังทวงคืนเขาพระวิหาร ปะทะกับชาวบ้านภูมิซรอล ถึงสองหน!

วันนั้น เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ เทียนพุทธ พุทธพงษ์อโศก ผอ.สถานีโทรทัศน์ FMTV นำมวลชนชุมนุมหน้าประตู 4 ทำเนียบรัฐบาลไทย เพื่อเรียกร้องรัฐบาลไทยให้ขับไล่ทหารกัมพูชาและชุมชนกัมพูชาออกจากดินแดนไทย และนำคนไทยกลับบ้าน

เล่ห์เขมร กลไทย
ข่าวจับ 7 คนไทยดังไปทั่วราวไฟลาม แต่ระหว่างนั้น การให้ข่าวของคนในรัฐบาล และกองทัพพูด ล้วนวกอ้อมไม่ชัดเจน ซ้ำไปเพิ่มน้ำหนักข้อกล่าวหาคนไทยกระทำผิดได้ทั้งสิ้น ผ่านไประยะหนึ่งจนกระทั่งประเมินได้ว่า การเคลื่อนไหวมวลชนอย่างเดียว กดดันรัฐบาลไทยที่ไม่เอาธุระไม่พอ ที่ประชุมเครือข่ายคนไทยฯ ตั้งหลักจะต่อสู้เพิ่มด้วยแนวทางกฎหมายระหว่างประเทศ ตามอนุสัญญาเจนีวา และตั้งทีมเฉพาะกิจไปช่วยสู้คดี

นายการุณ ใสงาม อดีต ส.ส. ส.ว.บุรีรัมย์ เป็นทนายความ พูดภาษาเขมรถิ่นซึ่งสื่อสารได้กับกัมพูชา มีประสบการณ์ในกัมพูชาพอตัว เป็นหัวหน้าทีม

กำหนด “ธงนำ” ไม่รับคำตัดสินทุกศาลของกัมพูชา 

หม่อมหลวงวัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิชาการรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกตั๋วการบินไทยไว้ล่วงหน้า 2-3 วัน ในฐานะส่วนหนึ่งครอบครัวการบินไทย ทีมที่ปรึกษากฎหมายเครือข่ายคนไทยฯ 7 คนบินไปพนมเปญถึงเช้าวันอาทิตย์ 9 ม.ค. สถานทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ประสานงานมีรถตู้มารับและพาส่งโรงแรมเดอะ รีเจนท์ พาร์ค 10 โมงเช้า

พลันรถจอดหน้าหน้าโรงแรม เธอเปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือ ข้อความมีสคอลเพียบ และสัญญาณดังขึ้น กดรับ เป็นผู้สื่อข่าวไทยเร่งเร้าถาม “อาจารย์หม่อมอยู่ไหนแล้ว” ...ไม่นานล็อบบี้โรงแรมก็พรึ่บ กองทัพนักข่าว

"หนึ่งทุ่มคืนนี้ สถานทูตให้ไปพบ" การุณ เอ่ยขึ้น

...หัวโต๊ะทำดูราวราชสีห์ คือ ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัครราชทูตไทยประจำพนมเปญ ธรรมเนียมไทยยกมือไหว้ต่างทิ้งหมด ญาติของวีระ สมความคิด ญาติ นฤมล จิตรวะรัตนา ญาติของราตรี ต่างมากันเองอยู่ร่วมโต๊ะด้วย   

ท่านทูตแหงะหน้าดูคนนั้นที คนนี้ที แล้วถามขึ้น
"คุณเป็นใคร?" การุณ นั่งใกล้หัวโต๊ะ ถัดมา ณฐพร โตประยูร และ ม.ล.วัลย์วิภา สองคนแรกแนะนำตัวอย่างเสียมิได้ แต่เธอไม่ทันจะเอ่ย ท่านทูตโบกมือพลางว่า “ไม่ต้องแล้ว อาจารย์วัลย์วิภา ผมรู้จักดี”

บรรยกาศการหารือไม่ค่อยเป็นกันเองนัก ดูราวกับไม่ญาติเชื้อคนไทยกำลังหารือจะช่วยคนไทยด้วยกัน ตกลงวันจันทร์ 10 ม.ค. ก็ยังไม่ได้อนุญาตให้เข้าเยี่ยม

เหยียบพนมเปญหนนี้ “จันศรี นิวาส” กรรมการเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ ชาวขุนหาญ ศรีสะเกษ โผล่มาแสดงตัว ดักรอที่โรงแรม พร้อมกับชาวเขมรสองคน กุลีกุจอช่วยยกของ ขับรถตามเหมือนอารักขา ไปรอหน้าเรือนจำเปร็ยซอ หากาแฟให้ดื่ม

จันศรี มีเชื้อสายเขมร แม่ของ”จันศรี” ข้ามมาฝั่งไทยหนีสงครามกลางเมือง จนลูกได้สัญชาติไทย แต่น้า น้องสาวแม่ยังอยู่ในกัมพูชา สายสัมพันธ์จึงแน่นแฟ้น ไปมาหาสู่กัน   

"วีระ" ลั่นเจตนารมณ์หนแรก
พนมเปญ 13-14 ม.ค. การุณ ล่วงหน้าไปตั้งสำนักงานย่อย พยายามติดต่อพบทนายความกัมพูชาที่สถานทูตไทยว่าจ้างช่วยคดี นายรุ โอน ทนายของราตรี นายปริก วิจิตรา ทนายของวีระ

สถานทูตไทยให้เบอร์มา ก็ไม่ตรง กลับเป็นชาวเขมรเสียอีกช่วยค้นชื่อเบอร์โทร พาตามหา แต่ก็ติดต่อไม่ได้อยู่ดีเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว คณะให้พาตระเวนร้านหนังสือ ไปซื้อรัฐธรรมนูญกัมพูชา และวิธีพิจารณาความ ไป council of Bar คล้ายสภาทนายความของไทย

ไม่นานก็สืบรู้ว่า "ออกญา ลี ยง พัต" ส.ว.กัมพูชา เจ้าของคาสิโนตามแนวชายแดน ต่างหากเป็นคนออกค่าจ้างทนายชาวเขมรให้ดูคดีคนไทย รวม 1.4 ล้านบาท

ดังนั้น...ชวนให้ทุกคนคิด!

ก่อนหน้านั้น พณิช กับ นฤมล ได้ประกันตัวออกมาอยู่สถานทูตไทยก่อน ด้วยเหตุผลป่วย มีโรคประจำตัว นที่สุด ศาลชั้นต้นกัมพูชา ตัดสินให้ทั้งหมดมีความผิดรุกล้ำดินแดน เข้าหมู่บ้านโจกเจ็ย(โชคชัย) จ.บันเตียเมียนเจ็ย

จนกระทั่ง 19 ม.ค. อีก 4 คนศาลปล่อยตัวชั่วคราว รวมทั้ง ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ด้วยมาพักอยู่สถานทูตไทย ทีมเครือข่ายคนไทยฯ จึงได้เข้าเยี่ยม และวันรุ่งขึ้นจึงได้รับอนุญาตเข้าเยี่ยม วีระ สมความคิด

ทันทีเห็นหน้า เขาตรงเข้ากอดการุณอย่างแน่น ตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้า ดวงตาก่ำ
"ผมรอวันนี้นาน ผมรู้ว่าต้องมีวันนี้" สีหน้า แววตา กระตือรือร้น ขณะที่ยังไม่ได้นั่งเก้าอี้กันเลย
"พี่สู้เลยนะ ตามที่พี่เห็นสมควร ผมสู้ตลอด ผมอยู่ได้" วีระ บอกเจตนารมณ์

คืน 20 ม.ค. เวลา 20.30 น. มีประชุมกับทีมทนายชาวกัมพูชา จากนั้นราวเที่ยงคืน สถานทูตเรียกให้ 6 คนลงนามหนังสือยื่นขอให้ศาลกัมพูชาร่นเวลาตัดสินให้เร็วขึ้นทุกคน ยกเว้น ราตรี ไม่ลงนาม เหตุผลคือเชื่อแนวทางต่อสู้ของวีระ เธอเสียสละจะอยู่สู้คดีด้วย ส่วนคนอื่นๆ ก็คิดหนัก สำหรับ นฤมลนั้นโรคประจำตัวคือไทรอยด์ จึงไม่น่าจะดีนักจะยืดอยู่สู้คดี

วันรุ่งขึ้น ศาลชั้นต้นพนมเปญเริ่มกระบวนครั้งที่สอง ตัดสิน 5 คนไทยที่สารภาพรุกล้ำแดนกัมพูชา จำคุก 9 เดือน โทษจำให้รอลงอาญา ปรับคนละ 1 ล้านเรียล ประมาณ 1 หมื่นบาท  และส่งกลับเมืองไทย 22 ม.ค.

แต่ 2 คนกลับถูกเพิ่มโทษกล่าวหา 3 สถานหนัก เป็นจารชน มุ่งจารกรรมข้อมูลที่ตั้งทางทหาร
ขณะที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งเวทีชุมนุมสะพานมัฆวานรังสรรค์วันแรก 25 ม.ค.ตามกำหนดเดิม

ศาลชั้นต้นเขมร กำหนดพิจารณาตัดสินสองคนไทย 1 ก.พ. จู่ ๆ ล่วงหน้าหนึ่งวัน สหพันธ์นักข่าวอาเซียน มีนักข่าวคนไทยด้วยชื่อ "ประสิทธิ์" ติดต่อ ม.ล.วัลย์วิภา อยากให้มาหารือ นายเขียว กัณฤทธิ์ รัฐมนตรีกระทรวงสื่อสารกัมพูชา สำทับอีกว่า “จะมีผลต่อรูปคดีในศาล”
เช้าวันนั้น การุณ, วัลย์วิภา กับ สก โสวัน ประธานสหพันธ์นักข่าวอาเซียน(ยูเอ็มเอ) นายโปรย สมบัติ รองเลขาธิการสหพันธ์ฯ เป็นคนไทย มาพร้อมกับนายเขียว 

"ให้พี่วีระออกไปก่อน อย่างไงก็ได้...วีรบุรุษต้องรู้จักการเอาตัวรอด" รัฐมนตรีช่วยกระทรวงสื่อสาร เอ่ยขึ้น

"รัฐบาลสองฝ่ายไม่สามารถยุ่งกระบวนการตุลาการได้ แต่จะช่วยเท่าที่ช่วยได้ จะเอาคำขอนี้ไปปรึกษานายกฯฮุนเซน คือเอาคนไทยกลับบ้านก่อน" คำพูดของนายเขียว 
"ที่ดินไม่สูญหายหรอก จะเป็นของใครก็ตาม" นายเขียว ว่าต่อ
"ความยุติธรรมก็ต้องไม่สูญหายเหมือนกัน" อาจารย์หม่อม ตอบสวน
"ช้างชนกัน หญ้าแพรกแหลกลาญ" รัฐมนตรีสื่อสาร เปรยภาษิตคุ้นเคยทั้งสองชาติ เสริมให้มีนัยยะ
"เราก็มีภาษิตอย่างนี้เหมือนกัน" เธอตอบ
"ทางเก่า จะสะดวกกว่าทางใหม่"
การุณ และ ม.ล.วัลย์วิภา รู้หมายถึงทางเก่าไม่ต้องขึ้นศาล แต่การเจรจาในห้อง ล้มเหลว!
ออกจากห้องเจรจา นักข่าวหลายคนมาท้วง "รูปคดีอยู่ในมือคุณ เขียนให้ฉบับได้ไหม เชื่อมั่นในเจบีซี"
เธอฉุนขึ้นมาทันที "ถ้าเจบีซี ไม่ต้องมาพูดเลย"
แต่นักข่าวพวกนี้ยังไม่ลดละ เสนออีกว่า “ก็แค่เขียนว่าเชื่อมั่นคณะกรรมการไทยกัมพูชา ท่านเขียวรออยู่นะ"
"ขอโทษ ฉันไม่สามารถ ไม่ต้องมาอะไรกับฉัน" เธอตัดบท

ค่ำวันเดียวกัน ทีมไทยได้พบทนายกัมพูชาทั้งสองคน จึงชวนไปภัตตาคารจีนแห่งหนึ่ง สั่งอาหารมาเยอะ แต่แทบไม่ได้กิน เน้นทำความเข้าใจกับทนายเขมรไปพร้อมๆ กับพี่ชายของราตรี
"คุณต่อสู้ไม่มีเอกสารอะไรเลย เราสิทำให้ได้ทั้งหมด แฟ้มเบ้อเร่อ" การุณ พูดภาษาเขมร เชิงกำชับ
 แต่ทนายกัมพูชาทำเหมือนแค่รับทราบ จังหวะนั้นญาติของราตรีถามขัดขึ้น "จะเชื่อถือได้เหรอ" การุณ พยายามอธิบายอย่างเนิบ ๆ กลับถูกสำทับให้อีก "ไปพบท่านทูตไม่อ่อนน้อม ทำให้ผลออกมาอย่างนี้"
"แล้วจะให้คลานไปกราบหรือไง" ม.ล.วัลย์วิภา โพล่งขึ้น ทำเอาทั้งวงอึ้ง รวมวงคณะติดตามอีกโต๊ะด้วย

ศาลเขมร ชี้ชะตาโหด 
1 กุมภาพันธ์ ที่ศาลชั้นต้นกัมพูชา กรุงพนมเปญ
เผอิญหรือลางชะตา เสียงกรี๊ดร้องโหยหวนของหมูจากโรงเชือดดังขึ้น มีเสียงทุบหนัก ๆ ดัง ป๊อก เงียบไป นี่ฆ่าหมูข่มขวัญกันหรือไง...เปล่าหรอก เข้าเทศกาลตรุษจีน
กลิ่นสาบความตายคลุ้งแตะนาสิก สัญญาณไม่เป็นมงคลเสียเลย
...อัยการ(ซก เฮียน) ลุกขึ้นถามและสรุปในศาลตอนหนึ่งความว่า ท่านเข้ามาในเขตกัมพูชา เห็นกองฟาง คูนา นั่นคือ ยุทธศาสตร์ที่อ่อนของกัมพูชา แต่ถ้าไม่ได้เห็นอะไร ก็คือ ยุทธศาสตร์ที่แข็งของเรา
นี่มันกำปั้นทุบดินชัด ๆ เห็นหรือไม่เห็นอะไร ก็ผิดอยู่ดี!

ล่ามที่ศาลเลือก แปลคำโต้ตอบของวีระ ไม่ค่อยตรงนัก ที่ตลกร้าย ล่ามคนเดียวกัน ก็วิ่งเป็นนักข่าวด้วย ทั้งสองคนไทยจึงร้องขอเปลี่ยนล่ามคนใหม่ แต่ศาลพนมเปญก็ไม่อนุญาต ไม่สนกระทั่งแฟ้มเอกสารพยานหลักฐาน แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ

ล่ามชั้นดีและที่ปรึกษาชาวกัมพูชา เป็นหญิง ภาษาราชการได้ เธอเคยอยู่สถานทูต ภาษาชาวบ้านก็ดี คุณสมบัติอีกอย่างคือ เธอพูดไทยได้ เพราะอดีตสามีเธอเป็นวิศวกรคนไทย คอยบอกข้อผิดพลาดของฝ่ายโจทก์

คืนก่อน ได้ขอตัวราตรีจากสถานทูต มาซักซ้อมการเบิกความ และจะต้องนำแนวทางนี้บอกกับวีระ ด้วย เพราะอยู่ใกล้กัน 

ในศาลเธอกระซิบบอก วีระ ชั่วเสี้ยวนาที สารัตถะ คือ เหมือนสู้คดีศาลนางรอง คนของเครือข่ายถูกจับ 4 คน ศาลนางรองตัดสินยกฟ้อง ศาลนางรองไม่รับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน เอกสารวางอยู่ตรงนั้น มีอะไรบ้าง วีระเรียนกฎหมายและผ่านการฟ้องร้องมาพอสมควร จึงยกมือให้การค้านอย่างฉะฉาน แต่ศาลไม่สนใจหลักฐานต่าง ๆ เลย

ในแฟ้มนั้นแสดงรายการตามหมวด 30 กว่าเรื่อง เช่น แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ รัฐธรรมนูญกัมพูชา ทั้งเน้นมาตรา 2 กัมพูชาถือแผนที่ประเทศมาตราส่วน 1 ต่อ 1 แสนด้วย และประมวลกฎหมายอาญากัมพูชา มาตรา 38 ตรงกับ หลักการ "น็อน คอมมูนิกาโด้" 

ในที่สุด ศาลชั้นต้นก็ตัดสินให้ทั้งสองมีความผิด เมื่อปิดศาล ราตรีเดินออกมาอย่างหงอย ๆ ส่วนวีระหันมาทางทีมคนไทยและสื่อมวลชนตะโกนว่า
"ผมบริสุทธิ์ ผมจะสู้ ๆ" เป็นครั้งที่สองยืนยันเจตนารมณ์

กุมภา บีบคั้นมหาโหด
ช่วงกุมภาพันธ์ บีบคั้นหัวใจทีมที่ปรึกษากฎหมาย ที่ต้องอุทธรณ์คดีให้ได้ แต่ขอเยี่ยมกี่ครั้งก็ถูกบอกเลื่อนตลอด 11 ก.พ. โทรมาล่วงหน้าวันเดียว กำหนดเยี่ยม 17 ก.พ.ก็อีกโทร 16 ยกเลิก อ้างมียิงปะทะที่ชายแดน หลายครั้ง อ้าง นายฮอ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศ ไปภารกิจต่างประเทศ 3 ทุ่มโทรมาเลื่อน กำหนด 23 ก.พ.ก็โทรมาสี่โมงเย็น

ทีมกฎหมายจึงขึงขังเอาว่า ขอให้บอกมาเป็นลายลักษณ์อักษร อย่างน้อยเป็นอีเมล์ ไม่ใช่แค่โทรบอก
เธอกับทีมกฎหมายแน่ชัดแก่ใจว่า การต่อสู้คดีของงวีระ ราตรี เป็นการยืนยันอธิปไตยเขตแดน ทั้งสองคือพยานอ้างอิงเป็นประโยชน์ต่ออนาคต

แต่ในประเทศไทยมี 3 จำพวก คือ พวกแนวทางเสียชาติ กับแนวทางต่อสู้กู้ชาติ และไม่มีแนวทาง(กูไม่สนใจเรื่องนี้) ก็จะมีค่าเท่ากับแนวทางแรก

เรื่องมันยากไปกันใหญ่ เมื่อ ณฐพร โตประยูร ซึ่งร่วมคณะไปด้วยตั้งแต่แรก ในฐานะที่ปรึกษากฎหมาย จู่ ๆ ไม่มีมติเครือข่ายคนไทยฯ เลย เขานำแม่กับน้องชายวีระ เข้าพบนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตัวเขาไม่พูด แต่นายกฯ ให้สัมภาษณ์ ว่าเป็นคนนำญาตินายวีระมาเล่าสภาพ และขอความช่วยเหลือ ซึ่งแนวทางก็คือขออภัยโทษ

เครือข่ายคนไทยฯ เรียกประชุมและมีมติปลด ณฐพร ออกจากที่ปรึกษากฎหมายเครือข่ายฯ
พิรุธมีมาก แต่เพิ่งถูกทบทวนก็คราวนี้ หลังศาลพนมเปญตัดสิน 2 คนไทย ณฐพร บินกลับมาก่อน ทุกคนก็เดินทางกลับเมืองไทยตอนหัวค่ำ เมื่อเครื่องบินลงจอดสนามบินสุวรรณภูมิ “การุณ” ก็ถูกตำรวจจับคดีร่วมกับพันธมิตรฯ ยึดสนามบิน ก่อการร้าย
ปกติ ณฐพร จะมารอรับที่สนามบิน แต่ค่ำนั้นเขาส่งลูกน้องมาแทน
"ณฐพร คุณอยู่ไหน" ม.ล.วัลย์วิภา โทรศัพท์ถาม
คำตอบอ้างว่า "อยู่แถวนี้แหละ อาจารย์กลับได้เลย" เธอยังถามย้ำอีก "คุณอยู่ไหน" แต่ดูเหมือนไร้ประโยชน์จะเซ้าซี้ เธอกับเลขาต้องขนอุปกรณ์สำนักงานของการุณ กลับด้วย
ก่อนขึ้นเครื่องที่พนมเปญก็จะโทรบอกแล้วว่า อีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงให้มาช่วยขนอุปกรณ์ แต่ ณฐพร ไม่รับโทรศัพท์

ไปพนมเปญครั้งที่ 2 ณฐพร โทรบอกเธอว่า "อาจารย์ไม่ต้องมาหรอก ผู้หญิง เป็นเรื่องผมกับการุณ"
ครั้นรุ่งเช้า การุณ โทรมาหา "อาจารย์หม่อม มาช่วยกันคิดซี"
ณฐพร ให้ข่าวบ่อย ๆ ทั้งๆ ที่การจะแถลงอะไร ต้องผ่านการหารือประเด็นก่อน พูดถึงความรู้กฎหมายระหว่างประเทศ ถ้าฟังจับความให้ดี สิ่งที่ ณฐพร พูดเรื่องอนุสัญญาเจนีวา และอะไรอีกมากมาย ก็เหมือนลอกความมาจาก อาจารย์ธนบูลย์ จิรานุวัฒน์

ระหว่าง 28 ก.พ. ถึง 1 มี.ค. ความพยายามเข้าเยี่ยมวีระ เพื่อให้ลงนามมอบอำนาจยื่นอุทธรณ์ ท่ามกลางข่าวสะพัด การขออภัยโทษ ทีมกฎหมายก็หนักใจ กัมพูชามันจะให้อุทธรณ์ได้หรือไม่ 

สำหรับราตรี ลงนามขออุทธรณ์ไว้แล้วช่วงได้ประกันตัว ช่วงนั้นส่งตัวแทนไปสำนักงานกาชาดระหว่างประเทศ เรียกร้องให้เป็นคนกลางนำหนังสือให้วีระเซ็นมอบอำนาจแทน กาชาดระหว่างประเทศ ไม่ทำ การุณ กับม.ล.วัลย์วิภา กับทีมทำงานก็ไปหาสถานทูตไทย เรียกร้องในเรื่องเดียวกัน ยื่นหนังสือลงนามมอบอำนาจทำการแทน ขอให้ทูตไทยทำหน้าที่ นำไปอธิบายวีระให้เข้าใจ ว่าเครือข่ายกำลังทำตามเจตนารมณ์ของเขา ทูตมอบให้ จักรกฤษณ์ ตอนแรกอ้างว่า เกรงจะไม่ทัน แต่พวกเขายืนยัน ไม่ทันไม่เป็นไร เรื่องเป็นเรื่องตายของวีระ เขาควรจะได้รับรู้
เธอยก เรื่องสถานทูตยังเรียกทนายเขมรมาพบได้เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว เรื่องนี้ถ้าจะทำให้จริง ย่อมทำได้

"คุณมีเอกสารไหม เอามาให้ดูด้วย คุณวีระ คุณราตรี ไม่อุทธรณ์ เรื่องอุทธรณ์นี่ ถ้ายื่นไปแล้ว เขาไม่พอใจก็ถอนได้ เพราะต้องยื่นภายใน 1 เดือน และเราอุทธรณ์ตามหลัก น็อน คอมมูนิกาโด้" เธอบอก

สถานทูตยังยืนยัน แม่ของวีระไม่อุทธรณ์ ทีมงานจึงโทรศัพท์ติดต่อน้องชายวีระ แต่ปิดเครื่องหมด

28 ก.พ.เป็นโอกาสสุดท้าย พรุ่งนี้ต้องยื่นอุทธรณ์ให้ได้ ทีมเครือข่ายฯ ยืนยัน ถ้าสถานทูตดำเนินการอย่างไรก็ให้โทรศัพท์มาเลย กลับไปรอที่ห้องพักโรงแรม การุณ ดูร้อนใจ เธอแนะให้อยู่นิ่ง ๆ รอจนหลังหลังเที่ยงวันไปแล้ว เราก็รอจนนาทีสุดท้าย ก็ไม่มีโทรศัพท์มา

กระทั่ง บ่ายสามโมง ม.ล.วัลย์วิภา การุณ กับล่ามหญิงชาวเขมร จึงไปยื่นอุทธรณ์ต่อเจ้าหน้าที่ศาลชั้นต้น "การุณ"คนเดียวแปะโป้งเป็นพยาน รับรองเอกสารเลขที่ 159 ลงวันที่ 1 มี.ค.2554 เวลา 15.30 น.

ในคำอุทธรณ์ ใช้หนังสือลงนามชื่อราตรี และพ่วงวีระลงไป "ข้าพเจ้าทั้งสองคนไม่ยอมรับคำตัดสินศาลกัมพูชา และขออุทธรณ์สู้คดี"

แทบจะเฮ ปิดโทรศัพท์ กระทั่ง 6 โมงเย็นวันถัดมา จึงแถลงข่าวอุทธรณ์ได้แล้ว แต่ก็ไม่ปฏิเสธญาติขออภัยโทษ ใครต่อสู้แนวไหนได้ก็ทำไป

มีใครในรัฐบาลไทยพูดบ้าง กัมพูชากระทำขัดรัฐธรรมนูญกัมพูชา มาตรา 38 และแน่นอนกฎหมายไทยย่อมมี ตามหลักกฎบัตรระหว่างประเทศ นั่นคือหลัก “น็อน คอมมูนิกาโด” คนถูกคุมขัง ไร้สภาพการสื่อสารกับโลกภายนอก ไม่รู้ข้อมูลความจริงอันใด ถูกรบเร้า โน้มน้าว ข่มขู่ ให้ลงชื่ออะไร ย่อมไร้สภาพบังคับ

ย้อนไปช่วงหลังตัดสินประมาณ 2 สัปดาห์ วีระก็ล้มป่วยหนักกะทันหัน อาหารเป็นพิษ เนื่องจากที่ครอบฟันหลุด แต่สถานทูตไทยไม่เข้าไปช่วย นายพนิชเองเป็นคนเปิดเผยกับสื่อ ซึ่งล่วงเลยเข้าต้นมี.ค.แล้ว

ปรีชา กับแม่วิไลวรรณ ต้องรีบแจ้นไปเยี่ยม พบหน้ากัน ก็โอบกอดกันร้องไห้ วีระตัวสั่นเทิ้ม นัยน์ตารื้นแดงก่ำ
“แม่รู้ไหม ผมเกือบตาย” 
หลังจากบอกอาการให้ฟังแล้ว เขาก็วกมาถามถึงความยากลำบากของแม่ น้องชายต้องเสียการงานมาเป็นภาระ วีระ ไม่มีเมีย ไม่มีลูก ได้แต่ถามถึงหลาน ๆ ด้วยความคิดถึง ยิ่งตัวเล็กสุด ที่เขาเอ็นดู หยอกเอิน
ข่าวล้มป่วยเหมือนจะเป็นจุดหักเห เป็นแรงกดดันให้ญาติต้องขอพบนายกอภิสิทธิ์ เมื่อ 8 มี.ค. เพื่อขอคำยืนยันแนวทางขออภัยโทษ ตามที่ยื่นไป 

รัฐบาลหมอง- มอง"วีระ"อย่างปุถุชน 
วีระ เมื่อเห็นน้ำตาแม่ ขอร้องอยากให้ยื่นขออภัยโทษ เขาก็ยอม เดิมทีรัฐบาลไทยบอกคงไม่ทันในสิ้นกุมภา แต่ล่วงเลยมีนาคม จนมิถุนายน ก็ยังไม่ได้ขออภัยโทษ

เสมือนตัวประกันในคุกเปร็ยซอ โยงเป็นหนึ่งเงื่อนไขในหลายๆ เงื่อนไข ที่กัมพูชากดดันไทย แต่ดูเหมือนศัตรูจะมาก พวกนักการเมืองไม่ชอบขี้หน้า รวมทั้งคนในประเทศไทยก็มีจำนวนไม่น้อยคิดต่างสุดขั้วด้วย จึงไม่ส่งผลอะไรกับรัฐบาลนัก

สถานทูตไทยในพนมเปญหว่านล้อมด้วยข้อมูลเหตุผลข้างเดียวว่า รัฐบาลไทยยังไม่สามารถขออภัยโทษได้ เพราะพวกเครือข่ายคนไทยฯ ไปจุ้นจ้าน จึงต้องให้ถอนอุทธรณ์ออกไป
ข่าวกระท่อนกระแท่นแบบนี้ส่งผลเสียต่อเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ถูกมองเป็นจำเลยสังคมไป

"เราเป็นผู้หญิงในทีม ไม่สบายนักหรอก เรื่องความปลอดภัย ลองใครมันแกล้งเมามาใกล้ ๆ เสียบเราก็ได้ เราถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนชัด ๆ ทำไม่จะปกป้องตัวเองไม่ได้ แล้วทำไมรัฐบาลไทยต้องเพลี้ยงพล้ำกัมพูชาตลอด เขาเดินเกมนี้อยู่แล้ว ประสานสื่อมวลชนด้วย" ม.ล.วัลย์วิภา โอด

เธอรู้ด้วยว่า 4 ก.พ. วีระเขียนคำอุทธรณ์ด้วยลายมือตัวเอง แต่ กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ไปเกลี้ยกล่อม แล้วใบนั้นหายไป ทนายเขมรนำร่างหนังสือขออภัยโทษมาให้ดู ภาษาไทยกับภาษาเขมร...สารภาพรุกล้พดินแดน วีระขอปากกามาเขียนแก้ว่า ถูกจับในดินแดนไทย แล้วส่งกลับให้ไปแก้ จนกระทั้ง 14 มี.ค.นำมาให้ดู แต่เป็นภาษาเขมร วีระก็พาซื่อเซ็นไป
เขาคิดว่า นายกประเทศไทยจะทำให้ได้ คิดว่ามีคนหวังดีจะช่วย แต่ฮุนเซนย้ำแล้วว่า ต้องติดคุกสองในสามก่อนจึงจะขออภัยได้

21 มี.ค.น้องชายเข้าเยี่ยมวีระ และ 25 มี.ค.ทีมที่ปรึกษาเครือข่ายคนไทยฯ และญาติของราตรีไปเยี่ยมด้วย พบหน้ากันคราวนี้ วีระ แววตาสลด พูดเกือบจะเป็นโอดครวญ "ขออภัยโทษ ดูสิป่านนี้ยังไม่ได้ รัฐบาลหลอกกระทั่งแม่ผม"

การุณ เอ่ยขึ้น เอาล่ะจะอธิบายให้ฟังถึงแนวทางการต่อสู้ แล้วเราทำอะไรบ้าง ฯลฯ
"คุณแค่อยู่นิ่ง ๆ ไม่จำเป็นต้องอยู่ประตุ 4 ประตู 5 ทำเนียบ หรือไปศาลโลก คุณอยู่ที่นี่ ทำสมาธิ คุณอุทธรณ์ ไม่ใช่ ขออภัยโทษ การขออภัยโทษคือเสียแผ่นดินอย่างเดียว คุณเข้าใจไหม"
การุณ ยังพูดถึงหลักการใหญ่ การจับกุมตั้งข้อกล่าวหาและตัดสินคดีไม่เป็นธรรมเช่นนี้ ไม่เข้าข่ายความผิด มีอนุสัญญาเจนีวาบัญญัติไว้ 
แววตาวีระกลับมีประกายอีกครั้ง "ผมจะสู้ถึงที่สุด ผมอยู่ได้ ผมจะประทังชีวิตด้วยการกินข้าว กินให้มาก ๆ จะได้มีแรง"
เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ครั้งที่สาม

เล่ห์ไทย บทตีหน้าเฉย เอ่ยแค่เยื่อใย
แล้วเหตุอุปสรรคก็โผล่ 4 เม.ย. เครือข่ายคนไทยฯ นำมวลชนไปหน้ากระทรวงต่างประเทศ พร้อมหนังสือคำร้องให้ดำเนินการ ลงนาม ดร.มาลีรัตน์ เอี้ยวสกุล ลงนามตัวแทนเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ยื่นเรียกร้องต่อบัวแก้ว ไปมอบเอกสารให้ วีระ, ราตรี ลงนามมอบอำนาจให้ดำเนินการแทน แต่บัวแก้วไม่ส่งให้ 18 พ.ค.มวลชนจึงไปทวงถามอีก คืบหน้าอย่างไร ให้ตอบมา

การุณ แถลงบรรยายเมื่อวันที่ 21 พ.ค. ว่า “บัวแก้วใช้เอกสาร 2 แผ่นตบหน้าเรา แผ่น 1 ภาษาเขมร เนื้อความถอนการมอบอำนาจให้ผมและอาจารย์หม่อม ขอถอนทั้งหมด ลง 31 มีนาคม 2554 เราเพิ่งเห็น 18 พฤษภาคม 2554 อีกแผ่นภาษาไทยให้ยกเลิกทั้งหมดเช่นกัน แต่ลงวันที่ 9 พฤษภาคม จึงต้องเดินทางไปเปร็ยซอ 21 พฤษภาคม ตอนนี้ครบ เจ้าหน้าที่เรือนจำ วีระ ทนายความเขมร สถานทูตไทย คุณแม่ น้องชายวีระ ผม เจริญ กับล่าม”

ล้มเหลวเพราะ แม้จะยื่นอุทธรณ์ได้ทัน 1 มี.ค. แต่ 6 มี.ค. ได้พบกับครอบครัววีระ กับราตรี ที่สำนักสันติอโศก สองคนต้องการให้ไปถอนอุทธรณ์ วันนี้คณะได้เห็นเอกสารลงวันที่ 17 ก.พ. 21 ก.พ. 24 ก.พ. และ 3 มี.ค.

17 ก.พ. ญาติทั้งสองไปพบวีระ ราตรี ทำเรื่องถวายฎีกาต่อกษัตริย์กัมพูชา เรือนจำส่งกระทรวงมหาดไทยๆ ส่งกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ๆ แถลงข่าวจะให้อภัยโทษต้องติดคุกแล้ว 2 ใน 3 

21 ก.พ. ราตรี ก็ไม่อุทธรณ์ และขออภัยโทษ 24 ก.พ. ทั้งภาษาไทยและเขมร ไม่อุทธรณ์ และขออภัยโทษ เอกสารไทยและเขมร 3 มี.ค. สองคนลงชื่อขอถอนอุทธรณ์ เพื่อถวายฎีกาขออภัยโทษ

แต่กระทั่ง 25 มี.ค. เข้าเยี่ยม วีระก็ยืนยันจะสู้ถึงที่สุด เรียกหาเอกสารจะเซ็นใบมอบอำนาจ แต่เรือนจำดึงตัวเขาออกไป

จนถึง 18 พ.ค.มวลชนจึงไปทวงถามกระทรวงบัวแก้วอีก คืบหน้าอย่างไร ให้ตอบมา
"บัวแก้วใช้เอกสาร 2 แผ่นตบหน้าเรา แผ่น 1 ภาษาเขมร เนื้อความถอนการมอบอำนาจให้ผมและอาจารย์หม่อม ขอถอนทั้งหมด ลง 31 มีนาคม 2554 เราเพิ่งเห็น 18 พฤษภาคม 2554 อีกแผ่นภาษาไทยให้ยกเลิกทั้งหมดเช่นกัน แต่ลงวันที่ 9 พฤษภาคม จึงต้องเดินทางไปเปร็ยซอ 21 พฤษภาคม ตอนนี้ครบ เจ้าหน้าที่เรือนจำ วีระ ทนายความเขมร สถานทูตไทย คุณแม่ น้องชายวีระ ผม เจริญ กับล่าม”

นายการุณ พูดต่อหน้านำหนังสือมาแสดง 17 ก.พ.คุณเซ็นสู้คดีใช่ไหม 21 ก.พ. 3 มี.ค.ยื่นถอนทั้งไทยทั้งเขมรใช่ไหม ยอมรับเซ็นเองทั้งหมดใช่ไหม มีการถวายฎีกาใช่ไหม “ใช่” 

หลัง 25 มี.ค. 6 วันถัดมา เซ็นยกเลิกอำนาจใช่ไหม “ใช่” 9 พ.ค.เซ็นภาษาไทยใช่ไหม “ใช่” ยืนยันลงนามเอง โดยครอบครัวยินยอม

วีระบอกเขาและครอบครัวต้องการให้ใช้ใบมอบอำนาจนี้หลังการเลือกตั้งเสร็จแล้ว จะเป็นรัฐบาลใครก็ไม่รู้ ถ้าไม่มีพรรคใดช่วยแล้ว จะมอบอำนาจให้เครือข่าย

"คุณวีระจะทำหมายเหตุไว้ แต่เราติง เอกสารนี้จะส่งให้ยูเอ็น กาชาดระหว่างประเทศ คณะมนตรีความมั่นคง ใช้ได้ไหม ขีดฆ่าวันที่ 20 พฤษภาคม ได้ไหม หลังเลือกตั้งให้ดำเนินการแทน ใครจะเชื่อ”

การุณ สรุปจบ “ก็ได้ขอยุติ ไม่ขีดฆ่า 20 พฤษภา ไม่หมายเหตุ แต่จะมอบให้แม่ น้องชาย รักษาไว้”

ถึงกระนั้น “น็อน คอมมูนิกาโด้” ยังเป็นแนวทางต่อสู้ เรียกร้องความบริสุทธ์ให้ทั้งสองได้ และยังคงทำอยู่.
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #257 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2554, 10:41:38 »

เป็นห่วง คุณวีระ กับคุณราตรี

เเต่ยังมีความหวังไว้โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง

ทั้งเเดงเเละฟ้า(ปชป) อาจจะ ชิงข้อได้เปรียบในโค้งสุดท้าย เอาคุณวีระ เเละคุณราตรี ออกจากคุกได้

เพื่อผลคะเเนนเสียง

เเต่ใครจะเล่นเกมส์ยังไงก็ตาม

ขอให้คุณวีระ กับคุณราตรี ออกมาได้ก่อนเถอะค่ะ

เป็นห่วงจังเเล้ว ไม่ทราบจะตายซะก่อนก็ไม่รู้

เรียนทั้งสองท่านให้ ให้ออกกำลังกายทุกวัน

ให้ร่างกายเเข็งเเรง มีภูมิต้านทานเชื้อโรคในเขมร นะคะ
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #258 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2554, 21:38:16 »

7 สุดยอดนโยบายพรรคเพื่อไทย สมกับคำขวัญ ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ

นโยบายด้านเศรษฐกิจ
1. แนะนำวิธีการเลี่ยงภาษีและซุกหุ้นจนถูกศาลพิพากษายึดทรัพย์
2. โครงการนำน้ำมันล้านลิตรมาเปลี่ยนกรุงเทพเป็นทะเลเพลิง
3. อบรมและฝึกอาชีพมวลชนให้ตกใจแล้วทุบATM ปล้นร้านค้าและเผาร้าน (คนอื่น) เพื่อกระจายรายได้
4. อพยพครอบครัวเจ้านายไปช้อปปิ้งต่างประเทศระหว่างก่อเหตุจลาจล

นโยบายด้านศาสนา สังคม ศิลปวัฒนธรรม
1. ปลอมโจรให้เป็นพระ
2. ย้อมสีกรุงเทพให้เป็นงานศิลปะด้วยเลือดสดๆ
3. ประดับศาลากลางจังหวัดด้วยเพลิง
4. อบรมการประท้วงและต่อสู้ทางการเมืองให้พระสงฆ์

นโยบายด้านสาธรณสุข
1. บุกเยี่ยมผู้ป่วยในยามวิกาลที่โรงพยาบาลจุฬา

นโยบายด้านการต่างประเทศ
1. ซ้อมหนีเหตุจลาจลให้ผู้นำประเทศอาเซียนที่พัทยา
2. เซ็นอนุญาตยกเขาพระวิหารให้เป็นมรดกโลก (ผลงานโบว์แดงนพเหล่) หลังถูกเพื่อนบ้านเผาสถานฑูตไม่นาน
3. บริการเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับประเทศที่มีปัญหาเขตแดนกับประเทศตัวเอง

นโยบายด้านการทหารและกลาโหม
1. ทดลองระเบิดของจริงที่สมานเมตตาแมนชั่น
2. ฝึกมวลชนให้รู้จักการปล้นและใช้อาวุธปืนของทหาร
3. สนับสนุนให้ผู้ใหญ่ใช้เด็กน้อยเป็นโล่มนุษย์
4. แกนนำปลอดภัยมวลชนตายก่อน
5. ให้มีการยิง M-79 อย่างเสรี

นโยบายด้านการท่องเที่ยวและกีฬา
1. จัดคาราวานมวลชนเสื้อแดงสัญจรรอบๆกรุงเทพ ปิดถนน ปิดทางแยกทางร่วม
2. ยกพวกไปแสดงพลังและออกกำลังกายที่พัทยาจนประตูโรงแรมพัง
3. ทำม่านบังแดงให้กรุงเทพด้วยควันจากการเผายางรถยนต์
4. ทำแสงสีเสียงให้กรุงเทพด้วย M-79 ระเบิดปิงปอง พลุ ตะไล และเพลิงเผาห้าง

นโยบายด้านการเมือง
1. ปิดแยกราชประสงค์รายเดือนเพื่อประชาธิปไตยและละเมิดสิทธิ์คนอื่น
2. ให้มีการฆ่า ให้มีศพมากที่สุด เพื่อใช้ต่อสู้ทางการเมือง
3. ปรองดองด้วยการนับเหมาผู้เสียชีวิตรวมกันหมดระหว่างประชาชนทั่วไป
เจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่และศพผู้ก่อการร้าย
4. สนับสนุนประชาธิปไตยในครอบครัวโดยให้เมียผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีหนี
คดีมาลงปาร์ตี้ลิสต์
5. แปลงผู้ต้องหาก่อการร้ายและทนายความผู้ติดสินบนศาลให้เป็นผู้แทน
ราษฎร
ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #259 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2554, 09:41:35 »

กูรูกม.มหาชน จุฬาฯ วิพากษ์ “การหาเสียงเลือกตั้งที่ไร้สาระ”ประเทศไทยล้มละลายแน่คราวนี้ !

ศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ บรรณาธิการเว็บกฎหมายมหาชน วิพากษ์การเมืองการเลือกตั้ง  คุณสมบัติผู้สมัคร และนโยบายพรรค 2 พรรคใหญ่ อย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ผ่านบทบรรณาธิการ www.pub-law.net     สาระสำคัญมีดังนี้ 
 

 
...การหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะมีขึ้นในวัน อาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคมที่จะถึงเป็นไปอย่างเข้มข้น ผ่านไปทางไหนก็เห็นแต่แผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งเต็มไปหมด ดูแล้วรู้สึกสงสารกรุงเทพมหานคร เลือกตั้งทีไร “เมืองเทวดา” ของเรากลายเป็นเมืองอะไรก็ไม่ทราบ


 สงสารกรุงเทพ !!!!
จริง ๆ แล้วผมเคยเสนอเอาไว้เมื่อหลายปีมาแล้ว เกี่ยวกับเรื่อง การกำหนดให้มีสถานที่ติดแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งเอาไว้เป็นการเฉพาะ ดังเช่นที่ในหลาย ๆ ประเทศทำกัน วิธีการดังกล่าวนอกจากจะไม่ทำให้บ้านเมืองสกปรกและก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ ใช้รถใช้ถนนแล้ว ยังสามารถ “ควบคุม” ค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้งได้อีกทางหนึ่งด้วย เพราะแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งต้องทำเท่ากับจำนวนสถานที่ที่รัฐกำหนดให้ปิด ประกาศ จริงๆ แล้วคณะกรรมการการเลือกตั้งน่าจะลองศึกษาเรื่องดังกล่าวดูสำหรับการเลือก ตั้งครั้งต่อไปนะครับ
         
  จากแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งที่เห็นอยู่บนถนนในกรุงเทพมหานครที่ผ่านตาผมไป นั้น ผมลองแยกออกดูพบว่ามีอยู่ 3 กลุ่มคือ กลุ่มแรกเป็นแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง กลุ่มที่สองเป็นแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร และกลุ่มที่สามเป็นของกลุ่มที่ออกมารณรงค์ไม่ให้เลือกใครเลย
         

ข้อสังเกต  3 ประการ
 
ผม พิจารณาดูป้ายหาเสียงเลือกตั้งทั้งหมดแล้วมีข้อสังเกตอยู่ 3 ประการด้วยกัน แต่ก่อนที่จะไปถึงข้อสังเกตของผม เนื้อหาสาระที่ปรากฏอยู่บนแผ่นป้ายทั้งหลายสร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับผม เป็นอย่างมากเพราะแผ่นป้ายส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นของผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือ ของพรรคการเมืองล้วนแล้วแต่เน้นเรื่องประชานิยมเป็นหลัก มีบ้างประปรายที่เห็นกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาของประเทศ เช่น การแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน แต่ก็เป็นเพียงข้อความสั้น ๆ ที่ไม่สามารถทำให้มองเห็นได้ว่าจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร
   
ส่วนนโยบายระยะยาวที่จะกำหนดทิศทางของประเทศในวันข้างหน้า เช่น รัฐสวัสดิการนั้น แทบจะไม่เห็นเลยบนแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้ง สิ่งที่ผมเห็นจึงมีแต่เรื่องของการ “ซื้อ” ประชาชนด้วยการ “แจก” เป็นหลักครับ ส่วนแผ่นป้ายที่สร้างสีสันให้กับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ ก็คือ แผ่นป้ายของพรรคเพื่อฟ้าดินที่ออกมารณรงค์ให้ “ไม่เลือกใคร” จริงอยู่แม้รูปภาพที่ปรากฏบนแผ่นป้ายจะดู “โหดร้าย” ไปบ้าง แต่เราคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ลึก ๆ แล้วในบางขณะเราก็มองและคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันไม่มากก็น้อย แผ่นป้ายของพรรคเพื่อฟ้าดินจึงเป็นแผ่นป้ายที่มีความชัดเจนในตัวของตัวเอง โดยไม่ต้องมีการสรรหาถ้อยคำอะไรมา “ซื้อใจ” ประชาชนเพราะ “เห็นรูป” ก็ชัดเจนแล้วถึงพฤติกรรมที่ผ่าน ๆ มาของนักการเมืองบางคนครับ
     
ผู้สมัครหน้าตา"เด็กๆ" 
   
  ข้อสังเกตประการแรกของผมที่มีต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 3 กรกฎาคมที่จะถึงนี้คือเรื่องของผู้สมัครรับเลือกตั้งครับ ที่ผ่านตาในกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียงที่ผมไปก็จะเห็นแผ่นป้ายหา เสียงเลือกตั้งของนักการเมืองเจ้าของพื้นที่และผู้ท้าชิง ในครั้งนี้ ผมเห็นผู้สมัครรับเลือกตั้งหน้าตา “เด็ก ๆ” เป็นจำนวนมากที่ไม่ทราบว่า “เด็กจริง” หรือรูปถ่ายทำให้ดู “เด็ก” กันแน่ และก็มีการประชาสัมพันธ์ของพรรคการเมืองบางพรรคถึงการส่ง “คนรุ่นใหม่” เข้าสมัครรับเลือกตั้ง
         
ในระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่นั้น มีข้อถกเถียงกันมากว่า ใครดีกว่ากัน แต่เรื่องดังกล่าวก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องมาถกเถียงกันสำหรับผู้ที่จะมา เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพราะไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่าหรือคนรุ่นใหม่ต่างก็ ต้องทำหน้าที่เหมือนกันคือเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมีสองภารกิจสำคัญที่ต้องทำคือ พิจารณาร่างกฎหมายและควบคุมการทำงานของฝ่ายบริหาร
         
การพิจารณากฎหมายเป็นหน้าที่หลักและเป็นหน้าที่ดั้งเดิมของฝ่าย นิติบัญญัติมาตั้งแต่ครั้งที่มีการแบ่งแยกอำนาจเกิดขึ้นมาในโลกของเราแล้ว การพิจารณาร่างกฎหมายต้องทำโดยผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ มีความชำนาญทางวิชาการ รวมทั้งยังต้องมีความเข้าใจและมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่จะตามมาภายหลังจากร่างกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว และต้องมีความเข้าใจเป็นอย่างดีกับผู้ที่จะได้รับผลจากการบังคับใช้กฎหมาย ด้วยเหตุนี้เองที่ผู้ที่จะเข้าไปทำงานร่างกฎหมายจึงควรมีประสบการณ์ในการทำ งานระดับสูงในภาครัฐหรือภาคเอกชนมาแล้วเป็นอย่างดี และจะต้องมีความรู้ความสามารถที่ได้จากการศึกษามาแล้วในระดับที่สามารถเข้า ใจกลไกต่าง ๆ ของระบบเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมเป็นอย่างดีด้วยเช่นกัน
 
 ความรู้ ประสบการณ์  เป็นสิ่งที่พึงมี
       
   ความรู้และประสบการณ์จึง “เป็นสิ่งที่พึงมี” สำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนเพราะหาไม่แล้ว ประชาชนกว่า 60 ล้านคนจะต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายที่ผู้เขียนกฎหมายขาดความรู้และ ประสบการณ์ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นอย่าง มากได้ นอกจากนี้แล้ว แนวคิดทางการเมืองยังเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ต้องมีติดตัวมาก่อนสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเพราะแต่ละพรรคการเมือง ต่างก็มี “จุดยืน” ของตัวเองที่ชัดเจน การสมัครเข้าพรรคการเมืองใดจึงไม่ใช่การ “หาที่ลง” ให้กับตัวเองเพื่อจะได้มีโอกาสสมัครรับเลือกตั้ง แต่ต้องเป็นไปเพราะตนเองมีอุดมการณ์เดียวกับพรรคการเมืองนั้นด้วย
         
     คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาสมัครรับเลือกตั้งจึงควรมีคุณสมบัติเหล่านี้อย่างครบถ้วนก่อนที่จะเข้ามาสมัครรับเลือกตั้งครับ
       
คนรุ่นใหม่ควรหาประสบการณ์จากท้องถิ่น
 
ใน ระบบที่ถูกต้องและควรจะเป็น คนรุ่นใหม่ที่ “สนใจ” จะเข้ามา “เล่นการเมือง” ควรจะเริ่มต้นจากการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองระดับท้องถิ่นก่อน การทำงานการเมืองในระดับท้องถิ่นจะช่วยให้การเข้าถึงและเข้าใจประชาชนได้ เป็นไปอย่างดี ได้ประโยชน์กับทุกฝ่าย คนรุ่นใหม่ควรหาประสบการณ์จากท้องถิ่น ไต่เต้าขึ้นมาจากสมาชิกสภาท้องถิ่นขนาดเล็กไปถึงสมาชิกสภาท้องถิ่นขนาดใหญ่ เป็นผู้บริหารท้องถิ่นระดับเล็กไปจนถึงผู้บริหารท้องถิ่นระดับใหญ่ สร้างสมประสบการณ์ไว้ให้มาก พอได้เวลาอันสมควรก็กระโดดเข้ามาเล่นการเมืองระดับชาติ เอาประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้สะสมไว้มาใช้ในการทำงานระดับชาติ ขณะเดียวกันก็สามารถช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้กับท้องถิ่นที่ตนเคยอยู่มาแล้วได้อย่างดีโดยไม่ต้องไปใช้เวลาในการศึกษา เลยครับ
       
     
แต่ที่เห็นตามแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งในวันนี้ ภาพของคนรุ่นใหม่ที่เห็น ส่วนใหญ่ไม่ใช่แบบที่ผมได้กล่าวไปแล้ว แทนที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะเน้นความสามารถเฉพาะตัวที่มีมาจากการทำงานการ เมือง เรากลับเห็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์คุณสมบัติส่วนตัวที่เป็นคุณสมบัติเฉพาะ เช่น การเป็นลูกนักการเมือง เป็นลูกเศรษฐี เป็นดารา เป็นนักร้อง เป็นนักกีฬา เป็นต้น
 
บางคนก็อายุน้อย(เด็ก)เหลือเกิน 
   
   นอกจากนี้ เท่าที่ทราบ บางคนก็อายุน้อยเหลือเกิน จริงอยู่แม้มาตรา 101 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบันจะกำหนดให้บุคคลที่มีอายุไม่ ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้งเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎร แต่ตัวผู้สมัคร พ่อแม่ และผู้สนับสนุน ควรมองประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักด้วย ไม่ใช่มองแต่เพียงว่า “คนของตน” เหมาะสมที่จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่ได้มองอีกด้านหนึ่งเลยว่า หาก “คนของตน” ชนะการเลือกตั้งได้เข้าไปอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรแล้วจะทำงานได้ดีกว่าคนที่ ต้องแพ้การเลือกตั้งด้วยเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุเกี่ยวกับความสามารถเฉพาะตัว หรือไม่ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเทศชาติและประชาชนกว่า 60 ล้านคนโดยตรงครับ
 

       
 ข้อสังเกตประการแรกของผมจึงจบลงตรงที่ว่า ผิดหวังกับผู้สมัครรับเลือกตั้งบางคนที่เข้าใจผิดในสาระสำคัญอย่างร้ายแรง ที่คิดว่า คนรุ่นใหม่คือคนอายุน้อยแค่เพียงอย่างเดียว ทั้งๆ ที่โดยอาชีพ คนรุ่นใหม่เหล่านี้ควรจะต้องมีประสบการณ์อย่างมากติดตัวมาก่อนที่จะมาสมัคร รับเลือกตั้งครับ ผิดหวังครับ
         
   
ข้อสังเกตประการที่สองของผมเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองโดย ตรง การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ พรรคการเมืองมีบทบาทน้อยมากในการสร้างนโยบายทางการเมืองของพรรคการเมืองและ ในการนำเสนอนโยบายทางการเมืองของพรรคการเมือง ที่เห็นอยู่ในวันนี้ ตามแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองต่าง ๆ ส่วนใหญ่ (ยกเว้นพรรคเพื่อฟ้าดินที่นำเสนอนโยบายที่ชัดเจน นโยบายเดียวคือ “ไม่เลือกใคร”) แข่งกันนำเอานโยบายประชานิยมมานำเ
2 พรรคใหญ่คิดแบบเดิม
         
ลอง มาดูตัวอย่างนโยบายพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคที่ปรากฏอยู่ในเอกสารที่ กกต. แจกให้กับประชาชนกันดีกว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยคือ “สานต่อนโยบายแก้ความยากจน ยาเสพติด ทุจริตคอร์รัปชัน เดินหน้านโยบายใหม่ : ก้าวข้ามวิกฤตสู่สังคมสันติสุข : รับจำนำข้าวและออกบัตรเครดิตเกษตรกร : กองทุนตั้งตัวได้ คืนภาษีบ้านหลังแรก / รถคันแรก : พัฒนาโครงข่ายระบบราง : เพิ่มเงินเดือนปริญญาตรี / ค่าแรงขั้นต่ำ ปรับปรุงคุณภาพการศึกษาไทย - คอมพิวเตอร์ฟรี - อินเตอร์เน็ตฟรีในที่สาธารณะ - เพิ่มกองทุน ICL - 1 อำเภอ 1 ทุนต่างประเทศ : สร้างเมกะโปรเจคท์กระตุ้นเศรษฐกิจ - ป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ / ภาคกลาง - พัฒนาระบบน้ำทั้งประเทศ - สะพานเชื่อมเศรษฐกิจภาคใต้”
 
   ส่วนนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์คือ “ครอบครัวต้องเดินหน้า เพิ่มรายได้และลดรายจ่ายด้วยการมอบเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุทุกคน มีไฟฟ้าฟรีให้ผู้ที่ใช้น้อย ตรึงราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้ม เพิ่มเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำเพื่อการศึกษา และจัดการปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด เศรษฐกิจต้องเดินหน้า ยกระดับความเป็นอยู่ด้วยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มเงินกำไรในการประกันรายได้เกษตรกร ปรับโครงสร้างหนี้นอกระบบ ให้เกษตรกรมีที่ทำกิน และมีบำเหน็จบำนาญให้ประชาชนทุกคน ประเทศต้องเดินหน้า พัฒนาศักยภาพประเทศด้วยการเร่งจัดหาพลังงานทดแทน สร้างเขตเศรษฐกิจเพื่อยกระดับสินค้า มีรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงกรุงเทพฯ และภูมิภาค และจัดหาแหล่งน้ำ”
       
    เป็นอย่างไรบ้างครับกับนโยบายของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ผมยังคงคิด “แบบเดิม” ว่า นโยบายของพรรคการเมืองนั้นน่าจะมีการนำเสนอสิ่งต่าง ๆ ให้กับประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่านี้ เช่น นโยบายการกระจายอำนาจอย่างเป็นระบบว่าจะทำอย่างไรที่จะให้งานและเงินกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้มากกว่านี้ นโยบายเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการที่จะเปลี่ยนประเทศเป็นรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้า หรือแบบเฉพาะกลุ่ม และจะเอาเงินที่ไหนมาจัดทำสวัสดิการเหล่านั้น หรือแม้กระทั่งนโยบายปรองดองเองก็ตามที่หลาย ๆ พรรคการเมืองกล่าวถึงเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าต้องทำอย่างไร รัฐบาลชุดที่ผ่านมาก็พยายามสร้างความปรองดองในแบบของรัฐบาล หมดเงินหมดทอง เปลืองตัวกันไปตั้งเยอะแต่ก็ไม่สามารถสร้างความปรองดองในสังคมได้ พรรคการเมืองที่นำเสนอนโยบายปรองดองจึงควรนำเสนออย่างเป็นรูปธรรมว่าจะทำ อย่างไรด้วยเช่นกัน
   
   ไม่เห็นนโยบายสำคัญ แก้ปัญหาประเทศระยะยาว 
แต่ในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ เราแทบจะไม่ได้เห็นนโยบายสำคัญ ๆ ที่จะแก้ปัญหาของประเทศในระยะยาวจากพรรคการเมืองเลย พรรคการเมืองในบ้านเราจึงเป็นพรรคการเมืองแต่เพียงรูปแบบ ขาดจุดเชื่อมโยงกับประชาชนและประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแก้ปัญหาของประเทศในระยะยาวและทิศทางที่ประเทศจะเดินต่อไปอย่างยั่งยืน ครับ
         
    ข้อสังเกตประการสุดท้ายของผมคือ เรื่องการหาเสียงเลือกตั้ง มีประเด็นอยู่สองประเด็นด้วยกันคือ ประเด็นที่เกี่ยวกับตัวบุคคลกับประเด็นที่เกี่ยวกับสิ่งที่นำมาใช้ในการหา เสียง เอาประเด็นเรื่องตัวบุคคลก่อน ตอนกลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมอยู่บนถนนหรือกลุ่มคนเสื้อเหลืองชุมนุมอยู่หน้า ทำเนียบรัฐบาล นักการเมืองส่วนใหญ่ที่เป็นฝ่ายรัฐบาลต่างก็ตั้งอยู่ในที่มั่นกันอย่าง เหนียวแน่น ไม่ค่อยยอมออกมา “สัมผัส” กับพี่น้องประชาชนของคุณ
 
 
ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านั้นก็เป็นคนไทยเหมือนกับคุณแต่อาจไม่ชอบคุณ ก็แค่นั้นเอง แต่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ทุกอย่างเป็นไปอย่างตรงกันข้าม นักการเมืองสำคัญ ๆ ระดับหัวหน้าพรรคการเมืองต่างก็ลงพื้นที่กันหมด บางคนไปช่วยชาวบ้านทำไร่ไถนา (ประมาณ 2 นาที) บางคนนั่งรถอีแต๋น บางคนไปร่วมพิธีทำบุญและพิธีไสยศาสตร์กับชาวบ้าน บางคนนุ่งผ้าขาวม้านอนกับชาวบ้าน กินข้าวกับชาวบ้าน ฯลฯ เอาเป็นว่าทำได้ทุกอย่างที่ไม่เคยทำในยามปกติครับ
         
คำถามที่ตามมาก็คือ ทำแบบนั้นกันไปทำไม หรือเพื่อให้หนังสือพิมพ์รายวันถ่ายรูปมาลงหน้าแรก !!!
     
ประชาชนกลายเป็นบันไดให้นักการเมืองเหยียบ   
   
   
ผมไม่คิดว่า ชาวบ้านจะโง่พอที่จะไม่เข้าใจว่า นี่คือการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นภาพมายาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่นาทีแล้วก็ผ่านไป ทุกคนสามารถทำทุกอย่างได้ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ ถ้าแน่จริงก็ควรไปช่วยชาวบ้านทำนาสัปดาห์ละ 1 วันเต็ม ๆ ตลอดชีวิตไม่ว่าจะได้เข้าไปอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ ไม่ว่าจะเข้าไปอยู่ในฝ่ายบริหารหรือไม่ครับ !!! กล้าทำไหมล่ะครับ !!!
       
     
ลองมาดูกันดีกว่าว่า เมื่อคนเหล่านี้เข้าไปเป็นฝ่ายบริหาร ชาวบ้านที่เคยได้สัมผัสโดยตรงอย่างใกล้ชิดในช่วงเวลาของการหาเสียงเลือกตั้ง จะมีโอกาสหรือได้โอกาสแบบเดิมอีกไหม หรือว่าจะต้องรอไปจนถึงการหาเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไป
         
         
ประชาชนกลายเป็นบันไดให้นักการเมืองเหยียบขึ้นไปสู่จุดที่ตัวเองต้องการ พออยู่ข้างบนแล้วใครจะพบก็คงยากเป็นธรรมดา
         
         ผมไม่คิดนะครับว่าประชาชนจะโง่และหลงเชื่อภาพมายาที่กำลังพยายามทำกันอยู่ !!
         
         
ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับสิ่งที่นำมาใช้ในการหาเสียงนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ถ้อยคำที่อยู่บนแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งต่าง ๆ สร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับผมเป็นอย่างมาก ลองไปดูกันเล่น ๆ ว่ามีอะไรบ้าง ตัวอย่างนะครับ กองทุนพัฒนาสตรีจังหวัดละ 100 ล้านบาท / เกิดวันนี้ 20 ปีมีเงินล้าน / เงินกู้รายละ 1 ล้าน / ทำงาน 5 ปีแรกไม่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา / เงินเดือนข้าราชการเท่ากับเอกชน / เรียนฟรี 19 ปี / เริ่มทำงานเว้นภาษี 5 ปีแรก / สร้างที่ทำกิน 1 ล้านคน / สร้างถนนปลอดฝุ่นทั่วประเทศ / คืนภาษีรถคันแรก / เพิ่มเงินเดินปริญญาตรี 15,000 บาท / ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน / สร้างงาน 100,000 อัตรา / ถมทะเลตื้นออกไป 10 กิโลเมตร / หยุดไฟฟ้าปรมาณู ชูพลังงานทดแทน ฯลฯ
           
ประเทศไทยล้มละลายแน่คราวนี้
     
ผมเห็นสิ่งที่บรรดานักการเมืองและพรรคการเมืองนำมาใช้ในการหาเสียงแล้วก็ รู้สึกสมเพชและโกรธ ที่ต้องสมเพชก็เพราะแทบจะทุกเรื่องที่นำมาใช้ในการหาเสียงเป็นเรื่องที่ยัง ไม่ได้มีการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ แค่นึกอะไรได้ก็เอามาเขียนให้คนเห็น ยกตัวอย่าง สองเรื่องสุดท้ายคือ ถมทะเลตื้นออกไป 10 กิโลเมตร กับหยุดไฟฟ้าปรมาณู ชูพลังงานทดแทน ผมอยากถามเจ้าของความคิดพวกนี้ว่า จะมีวิธีการทำอย่างไร และในระหว่างทำหรือเมื่อทำไปแล้วจะกระทบกับอะไรบ้าง แค่นี้ก็ตอบไม่ได้แล้วครับ
   
ส่วนนโยบายอื่น ๆ ที่เป็นประเภทประชานิยมคือ แข่งกันเสนอให้สวัสดิการต่างๆ แล้วก็แข่งกันลดภาษี ถามจริง ๆ เถิดครับว่า จะเอาเงินที่ไหนมาจัดทำสวัสดิการที่นำเสนอมา รัฐบาลก่อนหน้านี้ก็กู้เงินต่างประเทศและออกพันธบัตรไปจำนวนมากเพื่อไปจัดทำ ประชานิยม แค่ที่ผ่านมาเรายังไม่ทราบตัวเลขที่ชัดเจนเลยว่า ประเทศไทยเรามีหนี้อยู่เท่าไรและเมื่อใดจะใช้หนี้หมด ถ้าหากปล่อยให้พวกคุณได้เข้ามาบริหารประเทศแล้วพวกคุณต้องทำตามที่ได้สัญญา ไว้ทั้งหมดกับประชาชน
         
         ประเทศไทยล้มละลายแน่ครับ !!!
         
         
ผมรู้สึกโกรธกับสิ่งที่ทั้งพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งนำมาเสนอ ทั้งหมดเพราะนี่คือ การดูถูกประชาชนอย่างร้ายแรง สิ่งที่นำมาเสนอเป็นเพียงแค่ความคิดที่คิดกันมาเพื่อให้ “ชนะ” การเลือกตั้งได้เพราะ “มั่นใจ” ว่า ประชาชน “โง่” พูดอะไรก็เชื่อหมด ประชาชน “ละโมบ” ต้องนำเอาสารพัดสิ่งมาล่อประชาชนเพื่อให้เลือกตนเองหรือพรรคการเมืองของตน นี่คือการดูถูกประชาชนอย่างร้ายแรงครับ
         
     น่าเสียดายโอกาสของพรรคการเมืองและนักการเมืองเหล่านี้ แทนที่จะใช้เวลาที่มีอยู่หลายปีก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง “คิด” ทุกอย่างอย่างเป็นระบบเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน กลับคิดแต่เพียงจะ “เอาชนะ” พรรคการเมืองอื่น ๆ ด้วยการนำเสนอสิ่งที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบโดย ไม่คำนึงเลยว่า หากต้องทำสิ่งที่ได้นำเสนอไปทั้งหมดจะเกิดผลกระทบอย่างไรตามมา
 
       3 กรกฎาคม... วันพิพากษา
         
    วันที่ 3 กรกฎาคม จึงไม่น่าจะใช่วันเริ่มต้นของการปฏิรูปการเมืองตามที่หลาย ๆ คนกำลังพูด จึงไม่ใช่วันที่เราจะได้นักการเมืองดี ๆ เข้ามาสู่ระบบ จึงไม่ใช่วันสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
         
    แต่ควรเป็น “วันพิพากษา” นักการเมืองที่หลอกลวงประชาชน นักการเมืองที่คิดว่าประชาชนโง่ รวมทั้งผู้ที่อยากเป็นนักการเมืองทั้ง ๆ ที่ขาดความรู้และประสบการณ์ขั้นพื้นฐานของนักการเมือง
         
     คงต้องไปร่วมแรงร่วมใจกัน “ลงโทษ” นักการเมืองเหล่านี้เพราะหากขืนปล่อยให้เข้ามา คงต้องเริ่มนับถอยหลังกันได้เลยเพราะประเทศไทยคงต้องล้มละลายแน่หากต้องทำ ทุกอย่างให้เป็นไปตามที่พรรคการเมืองและนักการเมืองได้โฆษณาหาเสียงเอาไว้
       
      แต่ถ้าพรรคการเมืองและนักการเมืองกลับลำบอกว่าไม่ทำทั้งหมด นี่ก็คือการโกหกประชาชนอีกเช่นกันครับ
       
        ใช้วิจารณญาณกันให้ดี ๆ นะครับ อนาคตของชาติอยู่ในมือของพวกเราทุกคนครับ !!!
         

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #260 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2554, 22:01:41 »

การเมือง : นโยบาย
ศาลโลก-คณะกรรมการมรดกโลก กรณีเขาพระวิหาร
โดย : ประชุม ประทีป


ศาลโลกจะชี้คำร้องเขมรอย่างไร? คกก.มรดกโลกจะเลื่อนหรือรับแผนบริหารจัดการเขาพระวิหาร
 ยังประมาทมิได้ เพราะรัฐบาลไทย ดีแต่พูด รอแต่โชคช่วย!


กัมพูชาประกาศเป็นเจ้าของพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารอย่างหนักแน่น ด้วยการตั้งชุมชน สำนักสงฆ์ ฐานทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ ตอกย้ำด้วยจรวดชุด ปืนใหญ่ ระดมใส่ทหารและพลเรือนไทย ลามไปปราสาทตาควาย ตาเมือน แล้วยังยื่นร้องต่อศาลโลก อีกด้วย 

ขณะที่ การประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 35 ที่กรุงปารีส 19-29 มิ.ย. ก่อนหน้านั้นไทยได้เจรจากัมพูชาเมื่อ 25-26 พ.ค. ขอให้เลื่อนวาระแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร แต่ก็ล้มเหลว

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการณ์นายกรัฐมนตรี พูดว่า ยูเนสโกเห็นคล้อยตามไทย พยายามบอกสื่อผ่านถึงประชาชนในระหว่างหาเสียงว่า จะมีข่าวดี เรื่องเลื่อนวาระกัมพูชาออกไป ซึ่งไม่ใช่!

นายสก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และประธานมรดกโลกกัมพูชา แถลงไม่ยอมให้เลื่อน นายไพ สีพาน โฆษกสำนักนายกฯกัมพูชา ก็อ้างถึงนางอิรินา โบโกวา ผอ.สำนักงานใหญ่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก้) ก็ไม่เห็นชอบกับข้อเสนอของไทย

30 พ.ค. สุวิทย์ คุณกิตติ (หัวหน้าพรรคกิจสังคม) ประธานมรดกโลกฝ่ายไทย ยอมรับเลื่อนไม่ได้! 

31 พ.ค. ปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาล แถลงผลการประชุม ครม.ชุดเล็ก อ้างคำพูดนายอภิสิทธิ์ในที่ประชุมว่า เป็นในรอบ 2 ปีที่ยูเนสโกเห็นคล้อยตามไทย
แต่ต้องชัดในละเอียด...จะเลื่อนหรือรับขึ้นอยู่กับอีก 19 ชาติภาคีลงมติ ซึ่งนางโสมสุดา ลียะวณิช อธิบดีกรมศิลปากร ผู้แทนไทยในคณะกรรมการมรดกโลก ระบุเรื่องนี้อยู่ลำดับที่ 63 วาระที่ 7B คาดว่าจะเป็นวันที่ 23 หรือ 24 มิ.ย.

ก่อนคณะไทยจะเดินทางไป 17 มิ.ย. นายอภิสิทธิ์ยังบอกสื่อมวลชนว่า ได้โทรสายตรงถึงประธานคณะกรรมการมรดกโลก แจ้งเจตนารมณ์เสนอเลื่อนแผนของกัมพูชา ส่วนอีกฝ่ายตอบอย่างไร ไม่ได้บอก

เวที คณะกรรมการมรดกโลก
คนทั่วไปไม่ค่อยรู้ "เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ" ใต้ร่มบุญ "มูลนิธิพลังบุญ" ได้ทำหนังสือหลายฉบับพร้อมหลักฐานและข้อกฎหมายระหว่างประเทศส่งไปยังหน่วยงานสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ส่งไปตอกย้ำหลายวาระ และน่าจะมีผลสะเทือนต่อองค์กรระหว่างประเทศที่เข้ามาจัดฉาก มีส่วนร่วมก่อให้เกิดการสู้รบ สั่นคลอนสันติภาพอาเซียนอย่างมีนัยสำคัญ

มีนัยสำคัญ ในแง่การกระทำทั้งปวงที่ผ่านมาของกัมพูชาและไทย ส่อเป็นโมฆะ
นัยสำคัญ การกล่าวโทษ ประเทศและองค์กรที่ละเมิดกฎบัตรยูเอ็น ระเบียบองค์กรของตัวเอง

ข้อมูลเบื้องต้น ช่วงสู้รบต้นกุมภาฯ 2554 เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ รวบรวมแปลเอกสารข้อกฎหมาย ข้อมูล หลักฐาน ส่งไปเสริมกับคำเตือนถึงยูเนสโก กรุงปารีส

ช่วงคนไทยถูกจับก็ส่งถึง คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross : ICRC) สำนักงานใหญ่ และสนง.ในไทย รวมถึงองค์การสิทธิมนุษยชนแห่งยูเอ็น

สู้รบเดือนเมษาฯ ล่าสุด กัมพูชานำเรื่องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ไอซีเจ) หรือศาลโลก หนึ่งในหกองค์กรหลักของยูเอ็น เครือข่ายคนไทยฯ ก็ได้ส่งถึง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นเอสซี) ซึ่งมีหน้าที่รักษาสันติภาพ
ล่าสุด(15 มิ.ย.) ส่งถึงสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (Economic and Social Council : ECOSOC) ร่มเงาของยูเนสโก้

เพื่อย้ำให้ตระหนักในภารกิจหน้าที่ภายใต้กฎบัตรยูเอ็น ธรรมนูญและระเบียบของแต่ละองค์กร!

แม้กัมพูชายื่นร้องศาลโลกให้สั่งคุ้มครองฉุกเฉิน ไล่ทหารไทยออกจากบริเวณ 4.6 ตร.กม. รอบปราสาทพระวิหาร และให้ตีความคำพิพากษาคดี พ.ศ.2505

แต่เครือข่ายฯ เชื่อว่า ถ้าสู้ในหลักการ หลักฐาน หลักกฎหมาย ตามได้ยื่นไป จะสามารถเบรกกัมพูชาได้ อย่างสังเขปดังนี้

15 มิ.ย.54 เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ส่งคำร้องทุกข์ต่อ ECOSOC กล่าวโทษ UNESCO ว่ากระทำความผิดต่อกฏบัตรสหประชาชาติ บทบัญญัติที่ 70 -71 เกี่ยวกับการกระทำของยูเนสโก้ทับซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของอีโคซอค โดยพยายามอย่างยิ่งเพื่อขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยปราศจากอำนาจหน้าที่จะทำได้ เพราะขัดแย้งกับหลักการแนวทางสนับสนุนให้เกิดสันติภาพมั่นคง และตระหนักในหลักสิทธิมนุษยชน ต่อต้านการเหยียดผิว การเร่งเร้ายุยงให้เกิดความรุนแรง และสงคราม

ยูเนสโก้ ยอมรับจดทะเบียนมรดกโลกให้เขมรฝ่ายเดียว ขณะที่ยังมีข้อพิพาทสองประเทศ กระทำขัดต่อระเบียบยูเนสโก้เอง บัญญัติว่า จะไม่ส่งเสริมให้เกิดสงคราม

กล่าวหา ฝ่ายกัมพูชา กระทำขัดต่อสนธิสัญญากรุงเจนีวาฉบับที่ 4 ค.ศ.1954 บทบัญญัติที่ 2 ร่วม และบทบัญญัติที่ 3 ร่วม คือห้ามรุกราน ละเมิดอธิปไตย และขัดต่อบทบัญญัติที่ 53/144 ละเมิดสิทธิมนุษยชน (ยิงเป้าหมายพลเรือน) และขัดข้อบัญญัติอื่นๆ อีกหลายฉบับ

ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า เรื่องนี้อยู่ในขั้น คณะมนตรีความมั่นคงฯ ซึ่งมอบให้อาเซียนเป็นตัวกลางเจรจา ถึงขั้นในรายละเอียดจะส่งคณะผู้แทนมาสังเกตการณ์ในพื้นที่ แต่จู่ ๆ กัมพูชากับร้องต่อศาลโลก จึงลัดขั้นตอน

ขณะเดียวกัน ไทยประกาศถอนตัวเป็นภาคีศาลโลกในปี 2506 ดังนั้น รัฐบาลไทยรักษาการณ์ขณะนี้ ไปยอมรับเขตอำนาจศาลโลกโดยพลการ โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับอธิปไตย ดินแดน โดยไม่ผ่านรัฐสภาอนุมัติรับรองเห็นชอบ ย่อมจะเข้าข่ายโมฆะ

หากยังจะรบกันอีก UNSC จะต้องเข้ามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยตกลงด้วยสันติวิธี ถ้าไม่สำเร็จองค์กรนี้แหละจะนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลกให้ตัดสินเอง สำหรับกัมพูชาถ้าจะเป็นผู้ฟ้อง ก็ต้องได้การรับรอง (reccmmendation) จากยูเอ็นเอสซี

เวทีศาลโลก

หากศาลโลกตัดสินให้ไทยเสียเปรียบอีกหน ก็มีคนจ้องอยู่แล้ว จะเล่นงาน ครม. ตามมาตรา 1, มาตรา 190 แห่งรัฐธรรมนูญไทย และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119, 120 อีกด้วย 

สำหรับศาลโลก จะพิจารณา 2 ประเด็นตามกัมพูชาร้องหรือไม่ ก็ต้องมาดูธรรมนูญศาลโลก และวิธีพิจารณาของศาลโลก จะเข้าข่ายรับไว้พิจารณาตัดสินได้หรือไม่ ซึ่งนักกฎหมายระหว่างประเทศได้พิจารณาแนวโน้มแล้ว คงจะต้องเบรกเรื่องนี้

ขณะที่ ฝ่ายไทยต้องชัดเจน ต้องโต้แย้งสิทธิ์ มิใช่ยอมรับอำนาจศาลโลกพิจารณาคดีนี้อย่างหนักแน่น

ข้อมูลที่สำคัญ กัมพูชาได้ดัดแปลงเอาปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ เป็นที่ซ่องสุมกำลังทหาร จึงขัดต่อสนธิสัญญาว่าด้วย การปกปักรักษาโบราณสถานในยามที่มีความขัดแย้งทางอาวุธ ค.ศ.1954(สนธิสัญญากรุงเฮก 1954) 

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐธรรมนูญกัมพูชา มาตรา 71 ได้บัญญัติสอดคล้อง ความว่า "ขอบเขตบริเวณโดยรอบของมรดกชาติ ที่จะจัดให้เป็นมรดกโลกได้ จะต้องพิจารณาจากพื้นที่เป็นกลาง จะต้องไม่มีการดำเนินการทางทหาร"

ยังพูดได้ถึง รัฐธรรมนูญกัมพูชา มาตรา 2 ที่ยึดถือแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 100,000 แล้วไฉน รัฐบาลกัมพูชาจะมาอ้าง 1 ต่อ 2 แสนใช้กับเขาพระวิหาร

ส่วนไทย ถ้าเพี้ยนไปรับรองแผนบริหารฯ ของกัมพูชา ที่แนบแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ก็จะทับซ้อน อลหม่านกับแผนที่มาตราส่วน 1: 50,000 ตามประกาศพระราชกฤษฎีกาขึ้นทะเบียนอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร พ.ศ.2541 (ก่อนอ็มโอยู 43)

ลองดู! คณะกรรมการมรดกโลก ในยูเนสโก้ ใต้ร่มอีโคซอค จะทำอย่างไร ในเมื่อองค์กรตัวเองมีส่วนเป็นต้นเหตุความขัดแย้งเสียเอง ทั้งๆ ที่ร่วม 40 ปีมาแล้ว หลังพ้น 10ปีระยะการยื่นรื้อฟื้นคดี ก็ไม่เคยพิพาทรุนแรงถึงขั้นนี้

ส่วนธรรมนูญอีโคซอค ที่ยูเนสโก้ต้องยึดถือ คือ ต้องขจัดสงคราม ส่งเสริมสันติภาพ ในเมื่อมีการสู้รบ มีที่ตั้งทางทหารในโบราณสถานแห่งนี้ ยูเนสโกยังจะดึงดันรับรองเป็นมรดกโลกต่อไปได้อย่างไร

เพราะเป็นข้อบัญญัติห้ามเด็ดขาด!

นอกจากนี้ ยังขัดต่อหลัก "ปัญจศีล" รับรองโดยสมัชชาใหญ่ยูเอ็น ค.ศ.1970 ระบุไว้ดังนี้ 1.ต้องเคารพในอธิปไตยและบูรภาพแห่งดินแดนของทุกประเทศ 2.ไม่รุกรานซึ่งกันและกัน 3.อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน 4.ไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน 5.ต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขภายใต้หลักการนี้

นี่ไม่ใช่ 50 ปีก่อน ประชาชนไม่เป็นเบื้อใบ้ ปล่อยให้รัฐบาลปลุกระดมให้ทำตามอย่างเดียว

พ.ศ.นี้ 2554 ประชาชนที่ตื่นตัวได้ปลุกระดมกันเอง ปลุกระดมคนในชาติ ข้อมูลก้าวล้ำกว่ารัฐบาล และปฏิบัติการเหนือกว่ารัฐบาล

ไม่ใช่เมื่อ 50 ปีก่อน ปล่อยให้ทีมกฎหมายของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช(รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์) ทำงานโดยลำพัง ไม่ปล่อยให้รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ไปสร้างปมปัญหา แล้วตามมาด้วยรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย กดหัวคนไทยไม่ให้รับรู้อะไร

จนกระทั่งถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ไม่มีอภิสิทธิ์จะกระทำการใด ๆ โดยพลการ นอกจาก ทำแบบขอไปที จนเกิดการสู้รบหลายระลอก ทหารและชาวบ้าน เสียหาย ตายเจ็บไปไม่น้อย

ปัจจุบัน ไทยก็ยังไม่ได้เปรียบ เพราะ 1.กัมพูชายึดครองดินแดนรอบเขาพระวิหารเต็มไปหมด แทรกซึมตั้งบ้านเรือนอีกหลายจุดตามแนวชายแดน 2.คนไทยถูกจับ 29 ธ.ค.53 มีขบวนการต่อรองให้ศาลกัมพูชาตัดสินเป็นผิด ซ้ำสกัด วีระ สมความคิดกับ ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ จนหมดเวลาอุทธรณ์คดี

ดูรูปการณ์แล้ว รัฐบาลไทยสู้พลางถอยพลาง สู้แค่ให้เลื่อนวาระกัมพูชาในคณะกรรมการมรดกโลก ส่วนศาลโลก ก็โยนเผือกร้อนจากมือ หลังจากตัวเองแก้ปมไม่ออก แก้ไขไม่ตก

หากไม่ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก รัฐบาลใหม่ก็เตรียมตูมตามได้...ถ้ารัฐบาลใหม่เป็นพรรคเพื่อทักษิณ ที่สนิทสนมกับนายกฯฮุนเซน ได้เจรจาต่อรองอะไรกันไว้ ก็จะปั่นป่วนในประเทศไทย แต่น้ำลายไหลในกัมพูชา

แต่ถ้าผลลัพธ์เป็นคุณต่อประเทศไทย จงรู้ไว้ ไม่ใช่ผลงานของรัฐบาลเพียว ๆ แต่คือภาคประชาชนได้เกาะติด ค้นคว้า"หัวใจ" ข้อกฎหมายระหว่างประเทศส่งไปคัดค้าน

และต้องให้ระวังให้ดี...เตือนคนชายแดนให้พร้อม เตรียมทหารให้เสร็จสรรพ และต้องดูแลคนไทยชายแดนให้ดีด้วย

เพราะเรื่องนี้ยังไม่สุดทาง เรื่องยาวเรื่องนี้ คือ ทรัพยากรพลังงานในทะเล ดังที่ "ฮุนเซน" ทำปืนลั่นว่า "กัมพูชาและไทยไม่มีพื้นที่ทับซ้อนดินแดนทางบก กัมพูชาและไทยมีพื้นที่ทับซ้อนกันในทะเล" (ทีวีบายน, นสพ.กัมพูชาใหม่ 6 มิ.ย.54) นั่นแล.

Tags : ศาลโลก • คณะกรรมการมรดกโลก • เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #261 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2554, 20:23:35 »

เปิดอีเมลลับกุนซือ “ปู” ซื้อสื่อที่ละ 2 หมื่น พร้อมเลี้ยงข้าว-เหล้า โอดโดน “สาทิตย์” แทรก
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มิถุนายน 2554 14:50 น.
 

 
 
 
 
 
เปิดอีเมลลับกุนซือ “ปู” ส่งถึง “พงษ์ศักดิ์” รายงานสถานการณ์ด้านสื่อ เผยต้น มิ.ย.ดูแลสื่อสัปดาห์เดียวที่ละ 2 หมื่น พร้อมเลี้ยงข้าว-เหล้า โอดลูกพรรคไม่ค่อยหาเสียง คอยเกาะกระแส “ปู” อย่างเดียว แนะ “ทักษิณ” ช่วย โทรกระตุ้น พ้อพักหลังมีปัญหากับสื่อ เหตุ “สาทิตย์” สั่งทีวีบางช่องงดตามข่าวปู แถม นสพ.บางฉบับ ไม่ค่อยรับเงินแล้ว เตรียมปรับกลยุทธ์ดึงคะแนนช่วงสุดท้าย ให้ “ทักษิณ” ประกาศยังไม่กลับไทย
       

       วันนี้ (30 มิ.ย.) ได้มีผู้ส่งข้อความในอีเมลส่วนตัว 2 ฉบับ ในหัวข้อ “จดหมายถึงท่านพงษ์ศักดิ์” และ “ข้อเสนอ วิม” ไปยังสื่อมวลชนฉบับต่างๆ โดยผู้ส่งใช้ชื่อว่า “วิม” (wim Rungwattanajinda) อีเมล wim108@live.com ส่วนผู้รับชื่อพงษ์ศักดิ์ ใช้อีเมล rukta_ladawan@yahoo.com และ rukta.pong@yahoo.com
       
       โดยอีเมลหัวข้อ “จดหมายถึงท่านพงษ์ศักดิ์” นั้น ส่งเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2554 มีข้อความว่า “สถานการณ์ทางด้านกระแสสื่อที่เกิดขึ้นในขณะนี้ สถานการณ์คุณปู ยังอยู่ในภาวะที่ดีมาก ซึ่งจะต้องประคองกระแสนี้ให้อยู่ในระดับที่ไม่ตกไปกว่านี้ โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้าย เนื่องจากผมทราบจากนักข่าวสายประชาธิปัตย์ว่า นอกจากการเปิดแผลโจมตี จากกลุ่มบุคคลต่างๆ ที่มีสายสัมพันธ์กับประชาธิปัตย์แล้ว ตั้งแต่สัปดาห์หน้าประชาธิปัตย์จะใช้วิธีการทางด้านจิตวิทยา โดยใช้โพลสำรวจสำนักต่างๆ ออกมาสร้างกระแสว่าคะแนนนิยมระหว่างเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ จะเริ่มใกล้เคียงกัน เพื่อให้สัปดาห์สุดท้าย กระแสของประชาธิปัตย์แซงหน้าเพื่อไทย เพื่อทำให้จิตวิทยาของคนเมืองหันมาเลือกประชาธิปัตย์
       
       สำหรับหน้าที่ ที่ผม และ น้องสุธิศา รับผิดชอบช่วยคุณปูอยู่ในขณะนี้
       1.แจ้งประเด็นให้คุณปู ทราบทุกวันว่าวันนี้มีประเด็นอะไร ประเด็นไหนที่แรง ให้โยนไปให้ทีมคุณนิวัติธำรงค์ ช่วยแนะนำ
       2.เช็กประเด็นจากสื่อมวลชนว่าจะถามอะไรคุณปู เพื่อให้คุณปูเตรียมตัวให้พร้อมที่จะพูด
       3.สร้างประเด็นหรือภาพกิจกรรมในพื่นที่หาเสียงเพื่อให้ได้ภาพหน้า 1 ทุกวัน
       4.ประสานหัวหน้าข่าวและโต๊ะข่าวการเมืองว่าต้องการภาพแบบไหน เพื่อส่งให้ทุกวัน
       5.ประสานสำนักข่าวต่างประเทศเพื่อให้ตามคุณปู ลงพื้นที่เพื่อให้ข่าวคุณปูออกไปทั่วโลก
       6.ประสานสำนักข่าวในประเทศ เพื่อให้พรรค (คุณนิวัตธำรงค์) จัด บุคคลไปตอบคำถามในทีวี
       
       ส่วนเรื่องดูแลสื่อในขณะนี้ ผมพยายามประคองกระแสให้ข่าวและรูปของคุณปูอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ให้ได้ทุกวัน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์หัวสี ไทยรัฐ (พี่โมทย์) มติชน (พี่เปียก กับ พี่จรัญ) ข่าวสด (พี่ชลิต) เดลินิวส์ (พี่ป๊อป สมหมาย) คม-ชัด-ลึก (คุณโจ้ และ ปรีชา ที่มาสัมภาษณ์ ที่บ้านเมื่อสัปดาห์ก่อน) ซึ่งทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี สัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว ผมช่วยดูแลไปแล้วที่ละ 2 หมื่น ส่วนผู้สื่อข่าว ทีวี ก็ใช้วิธีเลี้ยงข้าวบ้าง เลี้ยงเหล้าบ้าง ยังไม่ได้มีใครเรียกร้องอะไร ยกเว้นช่อง 7 ที่ขอไวน์และเหล้า ส่วนเวลาไปต่างจังหวัด พี่สุณีย์ ก็ให้บ้าง ส่วนที่พรรคไม่เคยให้เลย เคยบอกพี่สาโรจน์ไปแล้ว แต่ก็ไม่มีคำตอบ
       
       สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองในเพื่อไทยในขณะนี้ ผมมองว่า ผู้สมัครไม่ลงพื้นที่หาเสียงเหมือนไทยรักไทยและพลังประชาชน รอกระแสคุณปูกันเพียงอย่างเดียว ทำให้คุณปูเหนื่อยมากทำให้คะแนนที่ได้กลัวว่าจะไม่ถล่มทลาย หากผู้สมัครช่วยลงพื้นที่หาเสียงมากกว่านี้ผมมองว่ากระแสเพื่อไทยถล่มทายแน่นอน ข้อเสนอแนะของผม หากท่านนายกทักษิณ ช่วยโทรกระตุ้นผู้สมัคร ให้ช่วยกันลงพื้นที่ผมว่าน่าจะเป็นแรงผลักดันที่ดีมาก เพราะวันนี้เสียงสะท้อนจากชาวบ้านกว่า 50% พูดป็นเสียงเดียวกันว่าจะเลือกตั้งอยู่แล้วยังไม่เห็นหน้าผู้สมัครเลย
       
       อีกเรืองหนึ่ง คือ นักข่าวต่างประเทศหลายสำนักขอสัมภาษณ์ท่านนายกฯทักษิณ เช่น อาซาฮี ยูมิอูริ เอพี และ ไทยพีบีเอส (ไทย) พร้อมที่จะสัมภาษณ์ แต่ก็รอคำตอบจากท่านอยู่ ในความคิดเห็นส่วนตัว ผมว่าหากท่านอยากให้คุณปูเป็นนายกฯจริง ท่านน่าจะช่วยคุณปู ชี้แจงให้ชัดไปเลยเรื่องการนิรโทษ
       
       เรียนมาเพื่อทราบ
       วิม”
       
       ส่วนอีเมลหัวข้อ “ข้อเสนอ วิม‏” ส่งเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2554 ข้อความว่า
       “เรียน ท่านพงษ์ศักดิ์
       เรื่อง เนื้อหา คำกล่าวเกี่ยวกับนโยบายกีฬา

       
       ศูนย์การพัฒนากีฬา
       พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนการกีฬา เพื่อให้เยาวชนเข้าถึงกีฬาอย่างแท้จริง หากเราได้เป็นรัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการในการก่อสร้างศูนย์การพัฒนากีฬาดังกล่าว โดยศูนย์ดังกล่าวจะต้องมีความพร้อม ทั้งทางด้านโค้ชที่มีชื่อเสียงในการฝึกสอนนักกีฬา เครื่องมือ และอุปกรณ์ในการพัฒนาร่างกาย บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อพัฒนาสมรรถภาพทางรูปร่างให้สามารถแข่งขันกับนักกีฬาต่างประเทศได้ และจะต้องมีบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางที่คอยให้คำปรึกษาและรักษาพยาบาลในกรณีที่นักกีฬาได้รับบาดเจ็บเป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ ศูนย์การพัฒนากีฬาดังกล่าวจะเป็นศูนย์กลางสำหรับกีฬาทุกประเภท เยาวชนที่สนใจกีฬา หรือ นักกีฬาสมัครเล่น ที่มีความสามารถ รัฐบาลก็จะสนับสนุนให้เยาวชนเหล่านั้นเข้าถึงการเรียนรู้ทางเทคนิค และพัฒนาตนเองไปสู่กีฬาอาชีพได้ และศูนย์ดังกล่าวจะเป็นศูนย์กีฬาแห่งแรกของประเทศไทย ที่เยาวชนได้รับการคัดเลือก หรือผ่านเกณฑ์ที่จะพัฒนาไปสู่นักกีฬาสมัครเล่น หรืออาชีพ จะมีที่พักเพื่อการฝึกซ้อมในศูนย์ดังกล่าวและมีเบี้ยเลี้ยงให้กับนักกีฬา
       
       เนื้อหา เพียงบางส่วนที่เกี่ยวกับศูนย์พัฒนากีฬา ที่ผมจะให้คุณปู พูด ในวันพรุ่งนี้ ครับ
       
       เรื่องสถานการณ์ทางการเมือง
       หลังจากการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ราชประสงค์จบลงแล้ว กระแสวันนี้ ไม่มีเสียงตอบรับจากสื่อมวลชน และประชาชนมากเท่าที่ควร สิ่งที่ ปชป.พูดไปเมื่อคืนที่ผ่านมา ไม่มีผลอะไรเลย ทำให้กระแสของคุณปู ยิ่งแรงมากขึ้น ขณะนี้เริ่มเกิดปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับสื่อสารมวลชน เนื่องจาก สาทิตย์ วงศ์หนองเตย เข้ามาก้าวก่ายการทำงานของบริษัทเอเยนซี ที่ ปชป.จ้างมา ด้วยการสั่งให้ ช่อง 9, TNN, ช่อง 5 และ ช่อง 11 หยุดส่งทีมตามทำข่าวคุณปู ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนหนังสือพิมพ์ มีบางฉบับ ไม่รับเงินเราแล้ว บอกว่า ปชป.บีบ และตอนนี้ ก็ยังไม่มีใครให้เงินไปดูแลนักข่าวเลย พี่สาโรจน์ บอกว่า จะให้ก็ไม่ให้ รายงานให้พี่ทราบเฉยๆ พี่ไม่ต้องจ่ายแล้ว เพราะหมดไปเยอะแล้ว
       
       อีกเรื่องหนึ่ง อาจเป็นเพียงข้อเสนอที่ไม่มีน้ำหนัก แต่ผมเห็นว่า ประเด็นนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เพื่อไทยและคุณปู ชนะอย่างยิ่งใหญ่ ก็คือ “ผมอยากให้ท่านนายกฯทักษิณ ประกาศ หรือ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ผมจะยังไม่กลับประเทศไทย เพราะผมไม่ต้องการให้รัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ ต้องอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจ ผมจะกลับประเทศไทยก็ต่อเมื่อผมเห็นสัญญาณแห่งการปรองดองเกิดขึ้น
       
       และให้ท่านประกาศ หรือสัมภาษณ์ออกช่วงวันที่ 30 มิ.ย.54 เพื่อเป็นข่าวช่วงบ่ายและค่ำ ของวันที่ 30 และวันที่ 1 ก.ค.54 ให้คุณปู ย้ำอีกครั้งบนเวที ปราศรัยใหญ่ รับรอง ทะลุ 300 แน่นอน
       
       ส่วนเรื่องสัญญาณของการปรองดอง เราจะเห็นสัญญาณนั้นเมื่อไหร่ ก็เป็นเรื่องของเรา อยู่แล้ว
 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #262 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2554, 17:11:30 »


อ๊าว.... น้องตะวัน  คุณปู เพื่อนน้องตะวันไม่ใช่หรือ

ทำไม พูดไม่เป็นหรือ ทำไมน้องตะวันไม่ฝึกพูดให้ล่ะ (ฮา)

พรุ่งนี้จะเป็นนายก ตามเสียงเชียร์ในใจของน้องตะวัน อยู่เเล้ว555555

ปล. รักดอก จึงหยอก  ปูตะวัน เล่น (ฮัดเช๊ยยยยยยย)


ศูนย์การพัฒนากีฬา
       พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนการกีฬา เพื่อให้เยาวชนเข้าถึงกีฬาอย่างแท้จริง หากเราได้เป็นรัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการในการก่อสร้างศูนย์การพัฒนากีฬาดังกล่าว โดยศูนย์ดังกล่าวจะต้องมีความพร้อม ทั้งทางด้านโค้ชที่มีชื่อเสียงในการฝึกสอนนักกีฬา เครื่องมือ และอุปกรณ์ในการพัฒนาร่างกาย บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อพัฒนาสมรรถภาพทางรูปร่างให้สามารถแข่งขันกับนักกีฬาต่างประเทศได้ และจะต้องมีบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางที่คอยให้คำปรึกษาและรักษาพยาบาลในกรณีที่นักกีฬาได้รับบาดเจ็บเป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ ศูนย์การพัฒนากีฬาดังกล่าวจะเป็นศูนย์กลางสำหรับกีฬาทุกประเภท เยาวชนที่สนใจกีฬา หรือ นักกีฬาสมัครเล่น ที่มีความสามารถ รัฐบาลก็จะสนับสนุนให้เยาวชนเหล่านั้นเข้าถึงการเรียนรู้ทางเทคนิค และพัฒนาตนเองไปสู่กีฬาอาชีพได้ และศูนย์ดังกล่าวจะเป็นศูนย์กีฬาแห่งแรกของประเทศไทย ที่เยาวชนได้รับการคัดเลือก หรือผ่านเกณฑ์ที่จะพัฒนาไปสู่นักกีฬาสมัครเล่น หรืออาชีพ จะมีที่พักเพื่อการฝึกซ้อมในศูนย์ดังกล่าวและมีเบี้ยเลี้ยงให้กับนักกีฬา
       
       เนื้อหา เพียงบางส่วนที่เกี่ยวกับศูนย์พัฒนากีฬา ที่ผมจะให้คุณปู พูด ในวันพรุ่งนี้ ครับ
       
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #263 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2554, 08:44:08 »

อ๊าว..

คุณปูตะวัน ไป ไหนจ๊ะ ไม่กลับบ้านเลยนะ
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #264 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2554, 10:41:01 »

แหม..แม่ยก อภิสิทธ์ แซวน่าดูเลยครับ
ผมเชียร์ปูดองเต็มๆเลยครับ
ยังงัยก็ดีกว่า เด็กน้อย ปัญญาอ่อน หุ่นเชิด เทพเทือกละครับ
ฟังดูซิพี่ว่าเขา สติปัญญาด้อยแค่ไหน

เขาหาว่าผมดีแต่พูด ผมพูดจริงทำจริง
ผมบอกว่าจะให้เงินคนชรา เดือนละ 500บาท ผมก็ให้จริงๆ ยังมาว่าผมอีก...ก๊ากๆๆๆๆๆ

เป็นนายก ทำได้แค่เนี้ย...

ตอนที่แดงเผาเมือง..ผมร้องไห้หลายชั่วโมง เมียผมปลอบเท่าไหร่ผมยังไม่หยุด
พอศิริโชค มาบีบสิวให้ ผมหยุดทันที
ผมและแก๊งไอติม สนุกกันมากเลยครับ ตอนอยู่ในราบ 11...55555


ใครว่าผมทำงานช้า..
ผมและ ครม.(ในวันประชุม ครม. นัดสุดท้าย)
ได้ อนุมัติโครงการ 100กว่าโครงการ งบประมาณ แสนกว่าล้าน ภายในเวลา ไม่ถึง 24 ชม.
งวดหน้า ถ้าได้กลับมาเป็น นายกโพเดี้ยมอีก..รับรองว่า จำอนุมัติ 200โครงการ ใน10ชม.แน่นอน...55555

รักดอกจึงหยอกเล่นนะพี่....
วันนี้ไปดองปู และส่งคุณหนูกลับบ้าน..เรียบร้อยแล้วครับ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #265 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2554, 13:14:09 »

จริงๆ ก็ไม่รังเกียจ พี่ชาย ของปูตะวัน นะหากเขาจะกลับประเทศไทย

เพราะ นึกถึงใจเขาใจเราอยู่เมืองนอกนานก็จะเบี่ย

(เบี่ยภาษาลาว อิสาน เเปลว่า เบื่อ)

ไม่ได้หมายฟามว่า เขาจะได้ตั้งรัฐบาล เเล้ว มาทางเขานะคะ

ไม่ได้ขอข้าวใครกิน อยู่ยโสก็มีนาอยู่สองไร่ ให้ชาวบ้านปลูกฟรีๆ เขาให้มาพอกิน ได้ทุกวัน

รัฐบาลไหนก็ได้ หากทำให้ ทูละกิด พี่เเอ๊ะดีวันดีคืน ก็จะพอจายยยยยยยย

ให้ประชาชนโง่ ต่อไป พี่แอ๊ะชอบ ชอบๆๆๆๆ
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #266 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2554, 15:59:46 »

เสียใจ ใสเจีย กับแม่ยก อภิสิทธื ที่ต้องตกเก้าอี้ หงายหลังตึง
โฮ โฮ โฮ โฮ....น้ำตาท่วมหลังเป็ด.....
พี่แอ๊ะ ผมมีผ้าเช็ดหน้า 7 ผืน ชื่้นไปด้วยน้ำตา ใจอาวรณ์หนักหนา....

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #267 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2554, 18:34:51 »


ใจยินดี เป็นหนักหนา เหลือมาเพียง หนึ่งผืน ให้น้องปูตะวัน ค่า



ยินดี กับน้องปูตะวันนะคะ

น้องตะวัน คงมีความสุข ที่น้องสาวได้เป็นนายกหญิงคนเเรก จุ๊บๆๆๆๆ

เคารพ เสียงของประชาชน ค่ะ

 ว่าเเต่ว่า น้องตะวันอย่าหาเรื่องอีกนะ ให้น้องปูตะวันบริหารให้สะดวกโยธิน

เป็นที่พึ่งพิงของน้องตะวันนะคะ  หุๆๆๆๆๆ 555555

เเดงทั้งเเผ่นดิน ไม่เสียใจเลบ หากประชาชนเป็นเเดงหมดเเล้ว

เเล้วเหลืองตะวันอย่าวุ่นวายอีกนะ

น้องปูจะเดือด ร้อน อิๆๆ
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #268 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 09:17:59 »

พี่ตอนนี้ ต้องใช้ยุทธวิธี ใช้ความสงบ สยบความเคื่อนไหว
เมื่อคืนไปนั่งดื่มไวน์ ปรับทุกข์กับเพื่อนๆหัวอกเดียวกัน
ได้ข้อสรุปว่า
1.เน้นการท่องเที่ยว
2.เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
3.ดูละครน้ำเน่า

จะเเคลื่อนไหว หากมีการนิรโทษกรรม ไอ้เหลี่ยม

ว่าแต่ว่า คุณหนูของพี่ กินน้ำบัวบกไปกี่ขวดแล้ว
ไม่อยากซ้ำเติม แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความอ่อนหัดของ หวานใจของพี่ อีโก้ คิดว่าตัวเองเก่ง
ไม่ฟังใคร ไม่รู้จักแยกมิตร แยกศัตรู และไม่มีฝีมือในการบริหาร
พี่น่าจะช่วยแนะนำหน่อย ในฐานะนักธุรกิจ หลายร้อยล้าน ว่าการบริหารมันเป็นจั๋งได่

แต่ตอนนี้เขาควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค
รวมทั้งไอ้ จรกา หน้าดำ ที่แสนเลว ที่ควรลาออกจาก เลขาฯพรรค เหมือนสมัยที่ บัญญัติลาออก
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #269 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2554, 20:48:58 »

"สัญญาประชาคม" ที่พรรคเพื่อไทย โดยยิ่งลักษณ์ประกาศไว้ที่เวทีราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อ 1 ก.ค.2554 ดังนี้..
.
 ๑.สร้างเขื่อนกั้นทะเลสมุทรสาคร-สมุทรปราการ... ๒.ปรับปรุง ๒๕ ลุ่มน้ำ-ดึงน้ำจากพม่า-ลาว-กัมพูชา...
 ๓.สร้างรถไฟฟ้า ๑๐ สาย ใน กทม.เก็บ ๒๐ บาท... ๔.ทำรถไฟรางคู่เชื่อมชานเมือง... ๕.ทำแลนด์บริดจ์ภาคใต้...
 ๖.ขจัดยาเสพติดใน ๑๒ เดือน/ขจัดความยากจนใน ๔ ปี... ๗.พักหนี้ครัวเรือนที่ต่ำกว่า ๕ แสนบาท อย่างน้อย ๓ ปี...
 ๘.๓๐ บาทรักษาทุกโรคได้จริง... ๙.งบฯ องค์กรท้องถิ่น ๒๕ เปอร์เซ็นต์... ๑๐.จำนำข้าวเปลือก ๑๕,๐๐๐ บาท...
๑๑.แจกเครดิตการ์ดให้เกษตรกร... ๑๒.ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ ๒๐% ในปี ๒๕๕๖...
 ๑๓.ตั้งกองทุนตั้งตัวให้นักศึกษา ๑,๐๐๐ ล้านบาท... ๑๔.ตั้งกองทุนร่วมทุนทุกจังหวัด...
 ๑๕.คืนภาษี-เพิ่มค่าลดหย่อนให้ผู้ซื้อบ้านหลังแรก... ๑๖.คืนภาษีให้ผู้ซื้อรถคันแรก...
๑๗.ยกเลิกกองทุนน้ำมัน... ๑๘.แจกแท็บเลต พีซี ให้เด็กนักเรียน... ๑๙.ค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ภายใน ๙๐ วัน...
 ๒๐.จบปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น ๑๕,๐๐๐ บาท... ๒๑.ทำสนามบินสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการบิน...
 ๒๒.ฟรีอินเทอร์เน็ตในที่สาธารณะ... ๒๓.จัดตั้งกองทุนทรัพย์สินของชาติ...
 ๒๔.ชายแดนใต้ ๓ จว.เป็นเขตปกครองพิเศษ... ๒๕.จัดศูนย์ฝึกในอาชีวศึกษาทุกแห่ง...

เรามาช่วยกันติดตามทวงถามสัญญานี้กันไปเรื่อยๆนะพี่น้องดาวแดงนะ

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #270 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2554, 19:30:39 »


หลงตัวเอง
จาก นสพ.ไทยรัฐ

ทันทีที่ทราบผลการเลือกตั้งด้วยความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ก็ประกาศยอมรับผล เปิดทางให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 จัดตั้งรัฐบาลในฐานะนายกฯ พร้อมทั้งอวยพรให้ประสบความสำเร็จ

รุ่งขึ้นอีกวันก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อแสดงความรับผิดชอบทางสปิริต อันเป็นวัฒนธรรมการเมืองที่ดีงาม

เมื่อหัวหน้าพรรคลาออก ย่อมมีผลทำให้กรรมการบริหารพรรคต้องพ้นจากตำแหน่งต่อไปด้วย ซึ่งจะต้องมีการเลือกหัวหน้าคนใหม่ภายใน 90 วัน
และที่แน่นอนก็คือ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการพรรคด้วย

ทั้งนี้ หลังพ้นจากตำแหน่ง นายสุเทพยืนยันว่าจะไม่ขอเป็นเลขาธิการพรรคอีกแล้ว เพราะเหนื่อยมามากแล้ว

จากนี้ไปจึงอยู่ที่สมาชิกพรรคจะเลือกใครเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่และผู้นำคนใหม่จะเลือกใครเป็นเลขาธิการพรรค

“อภิสิทธิ์” ยังมีสิทธิคืนเก้าอี้หรือไม่ ยังมีความเป็นไปได้

แต่จะเลือกใครเป็นเลขาธิการพรรคไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน แม้ประชาธิปัตย์จะมีบุคลากรที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้หลายคน แต่ใครจะเหมาะสมนั้นค่อนข้างยาก เนื่องจากการเป็นเลขาธิการพรรคนั้นต้องครบเครื่องจริงๆ

ยิ่งเฉพาะเรื่องเงินๆทองๆนั้นไม่ใช่ใครก็เป็นได้

ประชาธิปัตย์ต้องกลับมาทำหน้าที่ฝ่ายค้านตามถนัดอีกครั้งหนึ่ง และนายอภิสิทธิ์ก็คงจะได้พักใจและมีเวลาที่จะได้กลับมานั่งคิดนอนคิดจากบทเรียนการทำงานการเมืองที่ผ่านมา และคงไม่ใช่แค่นายอภิสิทธิ์เท่านั้น ทุกคนในพรรคก็เช่นกัน

เพื่อสำรวจตัวเองถึงความผิดพลาด บกพร่องต่างๆที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา ทำไมไม่สามารถเอาชนะพรรคคู่แข่งได้แม้แต่ครั้งเดียว

ถ้าไม่แพ้วันนี้ก็คงจะไม่ได้รู้

สิ่งที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งก็คือประชาธิปัตย์ แม้จะเป็นพรรคเก่าแก่ยาวนานจนเป็นสถาบันการเมืองสำคัญของประเทศไทย แต่ปรากฏว่าจะอยู่ในฐานะฝ่ายค้านมากกว่าเป็นรัฐบาล ตรงนี้แหละคือสิ่งที่ประชาธิปัตย์มีความภาคภูมิใจ

จนกระทั่งละเลยเพราะมั่นใจในตัวเองสูงถึงขั้นหลงตัวเอง ในฐานะพรรคการเมืองเก่าแก่ โดยไม่พยายามที่จะสำรวจตัวเองว่าทำไมถึงต้องเป็นเช่นนี้
นี่คือประเด็นสำคัญยิ่ง

การได้บริหารประเทศมา 2 ปีกว่า โดยนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ถามว่ามีอะไรใหม่หรือไม่ ไม่มีจริงๆ แม้การได้ผู้นำซึ่งเป็นคนหนุ่ม มีการศึกษาดี มีความซื่อสัตย์สุจริต แต่ไม่สามารถบริหารประเทศให้ได้รับการยอมรับจากประชาชนได้แม้โอกาสจะเปิดให้แล้วก็ตาม

มีเวลาที่จะลงรากลึกไปสู่มวลชนระดับล่าง ซึ่งมีจำนวนมากและเป็นฐานเสียงสำคัญ แต่ก็ปล่อยโอกาสทองให้หลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย คิดแต่เพียงว่าคนใต้ให้การสนับสนุนก็อุ่นใจแล้ว

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือแนวคิดและนโยบายเพื่ออนาคตของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นเข็มทิศสำคัญที่จะต้องสร้างขึ้นมา อันจะทำให้คนไทยเกิดความรู้สึกยอมรับว่านี่คือพรรคการเมืองที่จะเข้ามาสร้างชาติแปงเมืองได้

การคิดแต่เรื่อง “ประชานิยม” เพื่อหวังผลแค่การเลือกตั้งให้ผ่านพ้นไปแต่ละครั้ง จึงไม่เพียงพอที่จะสร้างกระแสนิยมได้ ข้อสำคัญก็คือทำให้เห็นว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากลอกแบบเขามาเท่านั้น

หากประชาธิปัตย์ยังไม่ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงการทำงานการเมืองที่พุ่งเป้าไปสู่ประชาชนอย่างเป็นระบบและรูปธรรมที่สามารถแตะต้องสัมผัสได้ ในฐานะพรรคการเมืองที่จะเข้าไปบริหารประเทศอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลก็คงจะได้แค่เนี่ยแหละ

เป็นฝ่ายค้าน บ้าการเมืองและดีแต่พูดเท่านั้น.



      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #271 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2554, 19:32:29 »


ยังไม่สายเกินแก้

จาก นสพ.ไทยรัฐ

การที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งแบบถล่มทลายต่อพรรคเพื่อไทยนั้นก็เพราะกระแสตกต่ำในห้วง 6 เดือนสุดท้ายนี่แหละครับ...นั่นคือความเป็นจริงที่คนประชาธิปัตย์จะต้องยอมรับและพร้อมที่จะเดินหน้าเพื่อปฏิรูปพรรคอย่างเป็นจริงเป็นจัง

กอปรกับการหาเสียงที่ล้าสมัย ตามไม่ทันโลก ไม่ทันสถานการณ์ต่างกับพรรคเพื่อไทยที่ใช้การตลาดและหลักวิชาการเป็นองค์ประกอบ

อีกทั้งประเด็นใหญ่ๆจริงก็คือ “นโยบาย” ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งที่ประชาธิปัตย์ไม่มีอะไรใหม่ ขาดความกล้าคิด หรือจินตนาการ

นั่นเพราะไม่เคยสร้าง “นักคิด”-“นักวิจัย”-“นักวิเคราะห์” ด้วยทีมงานวิชาการเพื่อสร้างนโยบายอย่างต่อเนื่อง

“นโยบาย” ที่ออกมาจึงไม่มีอะไรใหม่ ซ้ำยังไปลอกเขามาอีก

อย่างไรก็ดี แม้จะต้องทำหน้าที่ฝ่ายค้านซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพร้อมที่จะเป็นรัฐบาล ก็ต้องเปลี่ยนแปลง

แนวคิดและแนวทางของพรรคคู่ขนานไปด้วย ไม่ใช่ไปคิดไปทำเอาในช่วงหาเสียงเลือกตั้งเท่านั้น

เหนืออื่นใด การทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้านรวมกับพรรคการเมืองอีก 5 พรรค เพราะพรรคประชาธิปไตยใหม่ที่มี 1 เสียงไปเสียแล้ว โดยไปเติมเต็มให้รัฐบาลเป็น 300 เสียง

แต่หากดูฝ่ายค้านในยุคนี้ที่มีประชาธิปัตย์ มีภูมิใจไทย นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นตัวชูโรง ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเหมือนกันในจำนวน 200 เสียง

แน่นอนว่าประชาธิปัตย์นั้นทำหน้าที่ฝ่ายค้านมาหลายยุคหลายสมัยและน่าจะพูดได้ว่ามีความถนัดเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีนักพูดฝีปากเก่งเป็นจำนวนมาก  จึงอยู่ที่ว่าจะทำการบ้านเพื่อติดตามการทำงานของรัฐบาลได้ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน

เพียงแต่ว่าไม่ใช่แค่พูดเก่งหรือคิดประเด็นการเมืองเท่านั้น  แต่ในเชิงนโยบาย เชิงวิชาการ รวมถึงข้อเสนอแนะและทางออกที่เป็นรูปธรรมก็ต้องควบคู่ไปด้วยเพื่อแสดงให้เห็นว่ารู้จริงและสามารถทำได้ดีกว่า

ยิ่งการทุจริตคอรัปชันที่ผู้คนสนใจก็ต้องมีข้อมูลแบบเกาะติด

นี่คือสิ่งที่จะทำให้ฝ่ายค้านหรือประชาธิปัตย์ได้รับการยอมรับจากประชาชนในลักษณะที่สร้างสรรค์และทำให้เกิดความเชื่อมั่น

ไม่ใช่ค้านเก่งแต่บริหารไม่ได้เรื่อง

จำได้หรือไม่เมื่อสมัยรัฐบาล “ทักษิณ” ที่แม้ประชาธิปัตย์จะเก่งกาจแค่ไหนแต่ก็ตามไม่ทันสักก้าว ไม่ว่าจะเรื่องนโยบาย การบริหารงานสมัยใหม่ การทุจริตคอรัปชันที่แยบยล การใช้อำนาจและการขยายอาณาจักรอย่างก้าวกระโดด

พูดง่ายๆว่าประชาธิปัตย์ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

แต่เพราะ “ทักษิณ” มาตายเรื่องหุ้น “ชินคอร์ป” หรือจะพูดว่าตายเพราะตัวเอง ทำให้คนไทยตื่นตัวขึ้นมาต่อสู้กันเอง

“ประชาธิปัตย์” จึงเล่นได้แค่ตัวประกอบเท่านั้น

เป็นการทำหน้าที่ฝ่ายค้านแบบยอมจำนนมากกว่า เนื่องจากมีเสียงสนับสนุนน้อยและตามเกมไม่ทัน ดังนั้น แม้จะเลือกตั้งกี่ครั้งก็สู้ไทยรักไทย พลังประชาชน หรือเพื่อไทยไม่ได้

ดีที่เกิดความพลิกผันทางการเมือง จึงมีโอกาสได้เป็นนายกฯ ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็สามารถสร้างความนิยมและความพึงใจเป็นกระแสให้คนส่วนใหญ่หันมาให้การสนับสนุน เหลือก็แค่ของเก่าและของเก่าหันไปสนับสนุนคู่แข่งเสียอีก

“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยังเป็นคนหนุ่ม เป็นผู้นำที่แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ธรรมดา เพียงแต่ต้องปรับปรุงตัวเองจากบทเรียนที่ผ่านมา เพื่อขยายการยอมรับจากคนระดับชั้นสูง ชั้นกลาง และระดับล่าง ซึ่งเป็นรากใหญ่ของประเทศ

แนวคิด การทำงาน นโยบาย ท่าที และต้องติดดินอีกด้วย
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #272 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2554, 20:01:35 »

จำลอง” ยื่น กกต.ระงับประกาศผลเลือกตั้ง ชี้บางพรรคเข้าข่ายจูงใจ   
 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 กรกฎาคม 2554 17:27 น.
 
 “พล.ต.จำลอง” ยื่นหนังสือ กกต.ขอระงับประกาศผลการเลือกตั้ง ชี้ การเลือกตั้ง 3 ก.ค.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขู่ฟัองศาลปกครองล้มการเลือกตั้ง ชี้ บางพรรคการเมืองประกาศนโยบายผิดกฎหมายเข้าข่ายจูงใจ สัญญาว่าจะให้ จี้เร่งสอบสวนเอาผิด ขณะที่ “แซมดิน” ร้องคัดค้านการประกาศบัญชีรายชื่อเพื่อไทย
       
 วันนี้ (11 ก.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น.ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) พร้อมด้วย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่ม พธม.เข้ายื่นคำร้องขอให้ กกต.ระงับการประกาศผลการเลือกตั้ง และประกาศให้บัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนให้พรรคการเมืองในแบบบัญชีรายชื่อ เป็นบัตรเสีย มิให้นับเป็นคะแนนในการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 3 ก.ค.
       

       โดย พล.ต.จำลอง กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เป็นไปโดยสุจริต เพราะมีการทุจริตเลือกตั้งไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 72 ที่ระบุว่า รัฐมีหน้าที่อำนวยความสะดวกเลือกตั้ง แต่ตนและผู้เสียหายกว่า 2 ล้านคน เสียสิทธิเลือกตั้ง ไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3 ก.ค.ได้ เนื่องจากเคยลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัดในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2550 ดังนั้น หากในวันที่ 12 ก.ค.นี้ กกต.ยืนยันประกาศผลการเลือกตั้งตนจะไปยื่นฟ้อง กกต.ทั้งคณะต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ และจะยื่นฟ้องต่อศาลอาญาให้ดำเนินคดีกับ 5 กกต.ด้วย
       
       ด้าน นายปานเทพ กล่าวว่า ตามมาตรา 110 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 กำหนดให้ กกต.หากเห็นว่า การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม กกต.สามารถประกาศให้การลงคะแนนเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเป็นบัตรเสียทั้งหมดได้ เพื่อดำเนินการจัดการเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ ยังพบความผิดปกติของการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ 4 ประการ ที่อาจนำทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ดังนี้ 1.กรณีผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้เสียสิทธิเลือกตั้ง กว่า 2 ล้านคน เพราะไม่ได้แจ้งยกเลิกการลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตจังหวัดเมื่อปี 2550 เพราะ พล.ต.จำลอง เคยไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.โดยที่ไม่ต้องแจ้งยกเลิกการลงทะเบียน และการเลือกตั้งครั้งนี้เขตเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไปแต่ก็ไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ ถือว่าเป็นสองมาตรฐาน
       
       2.บัตรเลือกตั้งทั้ง 2 แบบมีจำนวนไม่เท่ากันเป็นจำนวนมาก 3.กรณี 5 พรรคการเมืองประกาศนโยบายในลักษณะสัญญาว่าจะให้ซึ่งถือเป็นการจูงใจให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งที่คิดเป็นเม็ดเงินเข้าข่ายกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้ง และ 4.การให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง มีอิทธิพลและสั่งการในพรรคการเมือง เช่น ทักษิณคิดเพื่อไทยทำหรือพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน และพรรคพลังชลที่ปล่อยให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมาเกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง โดยเหตุผลดังกล่าวกกต.ไม่ควรที่จะประกาศผลการเลือกตั้งส.ส. ซึ่งหากกกต.ยืนยันประกาศผลการเลือกตั้งก็อาจจะทำให้ซ้ำรอยการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 ได้
       
       ขณะที่ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ เลขาธิการพรรเพื่อฟ้าดิน มายื่นต่อ กกต.ในนามผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อฟ้าดิน ขอให้ กกต.งดการรับรองผลการเลือกตั้งบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และดำเนินการยุบพรรค ด้วยเหตุผล ว่า พรรคเพื่อไทยปล่อยให้ผู้มีความผิดอาญาโทษร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง การก่อการร้าย และความผิดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เป็นผู้สมัครของพรรค มีการร่วมกับกลุ่ม นปช.เสื้อแดงปลุกระดมให้คนมาชุมนุมเพื่อกดดันให้ยุบสภา โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองโฟนอินเข้ามาเกี่ยวข้อง และ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นพี่ชาย นส.ยิ่งลักษณ์ และให้สัมภาษณ์ว่าเป็นโคลนนิ่งของตน ซึ่งสอดคล้องกับการหาเสียงที่ว่า “ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ” แสดงถึงความเกี่ยวข้องทางการเมืองทั้งที่เป็นบุคคลที่ถูกตัดสิทธิ์
       
       ร.ต.แซมดิน ยังกล่าวอีกว่าในกรณีการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงราว 1,000 แห่ง โดยนายดอน ชัยนาปุน ผู้นำกลุ่มเสื้อแดงอุดรให้สัมภาษณ์ยอมรับกับสื่อต่างประเทศนั้น เกิดขึ้นระหว่างมีกฤษฎีกาการเลือกตั้ง ถือเป็นการใช้อิทธิพลควบคุมการหาเสียงล่วงหน้า นอกวิถีทางในการได้มาซึ่งอำนาจที่บรรญัตติไว้ตามรัฐธรรมนูญและขัด พ.ร.บ.พรรคการเมือง
       
       โดยหนังสือดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้
       
       เรียน คณะกรรมการการเลือกตั้ง ข้าพเจ้า พลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ ๕ กรุงเทพมหานคร มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ ๕๘๐/๒ ซอยสงวนสุข ถนนพระราม ๕ แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ ๑ ใคร่ขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติในมาตรา ๒๓๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเนื่องมาจากการดำเนินการจัดการเลือกตั้งที่ผิดพลาดและมีการกระทำอันทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปทั้งในระบบเขตเลือกตั้งและระบบบัญชีรายชื่อ เมื่อวันที่ ๓ กรกฏาคม ๒๕๕๔ มิได้เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม และเนื่องด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เสนอข่าวต่อสาธารณะว่าจะดำเนินการประกาศผลการเลือกตั้งภายในวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔ นี้ ข้าพเจ้าขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งระงับการประกาศผลการเลือกตั้งไว้ก่อนและดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดให้เป็นที่ยุติเสียก่อน และดำเนินการประกาศให้บัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนให้พรรคการเมืองในระบบบัญชีรายชื่อเป็นบัตรเสียมิให้นับเป็นคะแนนในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ รวมทั้งคัดค้านการเลือกตั้งที่มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมและขอให้สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
       
       ๑.การบริการจัดการเลือกตั้งที่ผิดพลาดทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
       ๑.๑ การดำเนินการบริหารจัดการเลือกตั้งที่ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา ๗๒ วรรคสามของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้เป็นจำนวนมาก
       
       หากคณะกรรมการการเลือกตั้งได้พิจารณาตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๗๒ วรรคสาม ที่กำหนดหลักการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้มีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ประกอบกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๑พุทธศักราช ๒๕๕๔ ที่ได้แก้ไขที่ให้มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และที่มา รวมทั้งกำหนดเขตเลือกตั้งใหม่ โดยแต่เดิมในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจำนวน ๔๘๐ คน มีที่มาจากการเลือกตั้งในระบบเขตเลือกตั้ง ๔๐๐ คน และการเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ ๘๐ คน และมีการแบ่งเขตให้ในระบบเขตเลือกตั้ง ได้ไม่เกินเขตละ ๓ คน ส่วนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อให้แบ่งบัญชีรายชื่อเป็น ๘ บัญชี ในแต่ละพรรคและแบ่งเขตเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อออกเป็น ๘ เขตเลือกตั้ง ตามกลุ่มจังหวัดออกเป็น ๘ กลุ่มจังหวัดๆ ละ ๑๐คน ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๑ พุทธศักราช ๒๕๕๔ ได้เปลี่ยนแปลงหลักการดังกล่าวส่งผลต่อจำนวน สมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรและจำนวนเขตเลือกตั้ง โดยเปลี่ยนให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วย เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน ๕๐๐คน มีที่มาจากการเลือกตั้งระบบเขตเลือกตั้งจำนวน ๓๗๕ คน และจากการเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อจำนวน ๑๒๕ คน โดยมีการแบ่งเขตเลือกตั้งให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถลงคะแนนเลือกตั้ง ได้ ๑ คน ต่อเขต และในส่วนสมาชิกในระบบบัญชีรายชื่อได้ใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ส่งผลให้เขตเลือกตั้งในระบบใหม่มีจำนวนเขตเลือกตั้งในระบบเขตมากขึ้นและมีพื้นที่เล็กลง และเขตเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อใหญ่ขึ้นแต่เหลือเพียงเขตเดียว เท่ากับมีการเปลี่ยนเขตเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด ทำให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ได้ใช้สิทธิในเขตเลือกตั้งเดิมอีกต่อไปโดยผลของการแก้ไขบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
       
       เมื่อการเลือกตั้งเป็นสิทธิทางการเมืองขั้นพื้นฐาน การตัดสิทธิเลือกตั้งหรือการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องเป็นไปตามหลักการของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย แต่การวินิจฉัยของคณะกรรมการเลือกตั้งเกี่ยวกับการใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งดังกล่าว ที่วินิจฉัยตามมาตรา 97 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่วินิจฉัยว่าหากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่ได้ไปลงทะเบียนเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งต้องกลับไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ณ ที่ตนได้เคยขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตไว้ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทำให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้ ในวันการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ได้ การวินิจฉัยดังกล่าวของคณะกรรมการการเลือกตั้งจึงมีลักษณะการเลือกปฏิบัติที่แตกต่างกันในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปกับการเลือกตั้งซ่อมแทนตำแหน่งที่ว่างและไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญเพราะขัดต่อหลักการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งตาม มาตรา ๘๒ วรรคสามของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพราะหากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปนั้นต้องให้ประชาชนไปดำเนินการลงทะเบียนขอเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิเลือกตั้งก่อน รายชื่อจึงจะกลับเข้าไปอยู่ในเขตเลือกตั้งเดิมที่ตนมีสิทธิ แต่ส่วนการเลือกตั้งซ่อมแทนตำแหน่งที่ว่างที่เกิดขึ้น เช่น ที่กรุงเทพมหานคร และในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ รายชื่อของผู้ขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตได้กลับเข้าไปอยู่ในเขตเลือกตั้งทันทีไม่ต้องมีการลงทะเบียนเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเกิดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปปรากฎว่า รายชื่อของบุคคลดังกล่าวต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตทันที ก่อให้เกิดความไม่เสมอภาค เลือกปฏิบัติ และไม่สม่ำเสมอในการใช้สิทธิเลือกตั้ง ขัดต่อหลักการที่องค์กรของรัฐทุกองค์กรยึดถือปฏิบัติตามมาตรา ๒๖ และมาตรา ๒๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การวินิจฉัยดังกล่าวก่อให้เกิด “ผลประหลาด” ในทางกฎหมายที่บรรพตุลาการและนักนิติศาสตร์ยึดถือว่าต้องห้ามมิให้เกิดผลเช่นนั้น นอกจากนี้หากพิจารณาจำนวนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนเลือกตั้งนอกเขตและนอกราชอาณาจักรตามที่กล่าวมาข้างต้นที่คาดว่าจะไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้ง เพราะลงทะเบียนไปใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตในปี ๒๕๔๐ จำนวน ๒,๐๙๕,๔๑๐ คน และ ๘๐,๑๖๑ คน ตามลำดับ คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องสืบสวน สอบสวน และวินิจฉัยชี้ขาดในกรณีนี้เสียก่อน เพื่อตอบต่อประชาชนอย่างถูกต้องว่า มีจำนวนเท่าใดที่มีการขอลงทะเบียนเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิ เพราะหากไม่สามารถตอบต่อประชาชนได้ หรือหากปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีประชาชน จำนวน ๒,๑๗๕,๕๗๑ คน ไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้ จะส่งผลต่อคะแนนการเลือกตั้งที่มีผู้ลงทะเบียนในหลักหมื่นจนถึงหลักแสนคนในจังหวัดต่างๆ จำนวนไม่น้อยกว่า ๒๑ จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ลงทะเบียนมากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร ที่มีจำนวน ๙๐๓,๘๙๙ คน ซึ่งหากบุคคลเหล่านี้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจะส่งผลต่อการเลือกตั้งในทุกเขตอย่างแน่นอนเพราะบางเขตเลือกตั้งมีคะแนนแตกต่างกันไม่มาก และหากพิจารณาถึงจังหวัดที่มีผู้ลงทะเบียนเกินหลักหมื่นขึ้นไป จะส่งผลกระทบต่อความสุจริตและเที่ยงธรรมในการดำเนินการจัดการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
       
       1.2. จำนวนบัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งกับบัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้ราษฎรแบบบัญชีรายชื่อไม่เท่ากันในหลายจังหวัดส่งผลให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
       
       ตามที่นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า เกิดปัญหากรณีบัตรเลือกตั้งมีจำนวนไม่เท่ากันระหว่างบัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขตกับแบบบัญชีรายชื่อที่แตกต่างกันไม่น้อยกว่า ๘๓,๒๒๒ ใบ โดยมีบัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อมากกว่า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ เพราะจำนวนประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งไม่น่าจะแตกต่างกันมาก และมีผลถึง ๕-๖ จังหวัด สะท้อนถึงการการกระทำที่อาจไม่สุจริตที่ทำให้จำนวนบัตรเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อสูงขึ้นเพื่อหวังผลให้ได้รับการเลือกตั้งก็เป็นได้ ส่งผลให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและ จึงเป็นเรื่องที่คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดโดยพลัน
       
       ๒.พรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ ๓ กรกาคม ๒๕๕๔ กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐
       
       นับแต่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ปรากฏการกระทำของพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งที่กระทำการอันมีลักษณะ”สัญญาว่าจะให้” ตามมาตรา ๕๓ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งบัญญัติไว้ดังนี้
       
       “มาตรา ๕๓ ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่น หรือพรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
       
       (๑) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ แก่ผู้ใด
       (๒) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม แก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถาบันการศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด
       (๓) ทำการโฆษณาหาเสียงด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่าง ๆ
       (๔) เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด
       (๕) หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด
       ความผิดตาม (๑) หรือ (๒) ให้ถือว่าเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจส่งเรื่องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้
       
       เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติมาตรา ๕๓(๑)และ (๒) แล้ว ปรากฎการกระทำความผิดในลักษณะ “สัญญาว่าจะให้” ในรูปแบบการกล่าวอ้างว่าเป็นนโยบายในลักษณะประชานิยม ซึ่งที่จริงแล้วการกระทำดังกล่าวไม่เข้าลักษณะของการกำหนดนโยบายแต่ประการใด แต่เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายเป็นการกระทำที่เข้าลักษณะ “สัญญาว่าจะให้” ด้วยเหตุผลว่า
       
       1.คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติ ครั้งที่ ๔๖/๒๕๕๔ วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔วางหลักการเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายของกระทรวงทบวงกรม อย่างต่อเนื่อง เช่น นโยบายปฏิรูปการศึกษา นโยบายเรียนฟรี ๑๕ ปีอย่างมีคุณภาพ หรือนโยบาย ๖ คุณภาพ สามารถกระทำได้ แต่การดำเนินการดังกล่าวจะต้องระมัดระวังมิให้มีการกระทำใดที่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๘๑ ประกอบระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อการใดซึ่งส่งผลต่อการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๑ และมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐
       
       มติดังกล่าวเป็นมติที่แสดงให้เห็นว่าถึงแม้นโยบายที่มีการกำหนดไว้แล้วและถูกนำมาปฏิบัติในระหว่างการเลือกตั้ง หากดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวอย่างไม่ระมัดระวังแล้วอาจส่งผลต่อการกระทำการในลักษณะที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้ อันแสดงให้เห็นว่าหากการดำเนินการตามนโยบายอาจเข้าข่ายของการกระทำผิดในลักษณะ “สัญญาว่าจะให้” ได้
       
       2.การกำหนดนโยบายประชานิยมที่มีลักษณะเป็นการให้สิทธิหรือประโยชน์อันสามารถคำนวณได้ในรูปแบบของตัวเงินหรือทรัพย์สินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเฉพาะกลุ่ม โดยที่ไม่มีหลักการในทางวิชาการที่จะสนับสนุนว่าการดำเนินการดังกล่าวจะสามารถกระทำได้หรือสามารถเล็งเห็นได้ว่าการดำเนินการในเรื่องส่งผลกระทบตามความมั่นคงของชาติในด้านต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของรัฐอย่างร้ายแรง การกำหนดดังกล่าวไม่ใช่การกำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินตามอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารตามกฎหมาย แต่เป็น “สัญญาว่าจะให้” อันเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐
       
       3.การกำหนดนโยบายประชานิยมที่มีลักษณะของการให้ประโยชน์อันสามารถคำนวณเป็นเงินได้ในรูปตัวเงินหรือทรัพย์สิน ในกิจการที่เอกชนดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีปัญหาในการแข่งขัน การผูกขาดหรือก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน โดยให้ประโยชน์ในลักษณะสร้างความนิยมจากการให้ โดยไม่มีเหตุผลเพียงพอในการเข้าไปดำเนินการในกิจการดังกล่าวและหวังเพียงให้เกิดความนิยมในระหว่างการเลือกตั้ง เป็นการนำงบประมาณของรัฐที่มาจากภาษีของประชาชนไปแจกจ่ายโดยไม่มีสะท้อนต่อประโยชน์ที่ได้รับอย่างคุ้มค่าของผู้เสียภาษีกับผู้รับประโยชน์จากนโยบายที่กำหนดดังกล่าว
       
       4.การกำหนดนโยบายประชานิยมที่เป็นการตั้งมูลค่าของตัวเงินหรือให้ผลประโยชน์อันสามารถคำนวณเป็นเงินหรือทรัพย์สินให้แก่ประชาชน โดยไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดถึงวิธีการดำเนินการว่าจะกระทำให้ได้ผลตามที่กำหนดหรือไม่
       
       เมื่อประมวลนโยบายที่มีการประกาศจะดำเนินการของพรรคการเมืองตามนโยบายที่ประกาศ และการประกาศในการหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆ แล้ว พบว่า มีพรรคการเมืองที่มีการประกาศนโยบายในลักษรที่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายในลักษณะ “สัญญาว่าจะให้” อันเป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะนนให้แก่พรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมือง ดังนี้
       
       (1)พรรคเพื่อไทย หมายเลข ๑
       - สร้างคอนโด และแฟล็ตให้คนรุ่นใหม่ หรือคนจากต่างจังหวัดที่ไม่มีที่อยู่ สามารถเช่าในราคาถูก เดินทางถูก ค่าเช่าประมาณเดือนละพันกว่าบาท
       - พักหนี้ครัวเรือนที่ต่ำกว่า ๕ แสนบาท อย่างน้อย ๓ ปี
       - คืนภาษีและเพิ่มค่าลดหย่อนให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรก โดยลดภาษีให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรก เช่นภาษีค่าโอน และยังเพิ่มค่าลดหย่อนเป็น ๕ แสนบาท
       - คืนภาษีให้กับผู้ซื้อรถคันแรก อย่างเช่น รถราคา ๕ แสนบาท จะได้คืนภาษี ๑ แสนบาท ราคาก็จะเหลือประมาณ ๔ แสนบาท โดยต้องถือครองรถคันนี้ไม่น้อยกว่า ๕ ปี จึงจะขายต่อได้ หากขายต่อภายใน ๕ ปีแรกจะไม่ได้รับคืนภาษี
       - ดำเนินการแจกแทบเล็ต พีซี ให้เด็กไปโรงเรียนทุกคน โดยซึ้อแทบเล็ตจากประเทศจีนหรืออินเดียราคาเพียง ๕-๖,๐๐๐ บาท และแจกเพียง ๘๐๐,๐๐๐ เครื่องสำหรับ ป. ๑ เท่านั้น
       - โครงการรับจำนำข้าวเปลือกตันละ ๑๕,๐๐๐ บาท และข้าวหอมมะลิตันละ ๒๐,๐๐๐ บาท
       
       (๒) พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน หมายเลข ๒
       - ดูกีฬานานาชาติ ถ่ายทอดตลอด ๒๔ ชั่วโมงฟรี
       - พัก ลด ปลดหนี้ให้เกษตรกรไทยกรณีที่เกษตรกรมีหนี้สินเกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้พักหนี้เงินต้นในส่วนที่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาทไว้ได้ไม่เกิน ๑๐ ปี โดยกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรฯ จะรับโอนหนี้สินเกษตรกรที่มีหนี้ไม่เกิน ๓๐๐๐๐๐ บาท ไว้ร้อยละ ๕๐ และส่วนที่เหลือให้เกษตรกรผ่อนชำระ ซึ่งหากชำระได้ตามกำหนดเวลา ส่วนที่กองทุนฟื้นฟูรับโอนหนี้เกษตรกรจะผ่อนชำระคืนให้กองทุนโดยไม่มีดอกเบี้ย - ขยายวงเงินสินเชื่อเพื่อเกษตรกรเป็น ๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้เป็นวงเงินกับเกษตรกรรายละ ๕๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นทุนสำหรับให้เกษตรกรนำไปซื้อปุ๋ยและสิ่งจำเป็นอื่นๆ ผ่าน
       ธ.ก.ส. - พืชพันธุ์ดีแจกฟรีเกษตรกรทั่วไทย พัฒนาสายพันธุ์พืชให้มีความแข็งแรง ทนทาน และจัดให้มีกล้าไม้อย่างเพียงพอพร้อมแจกฟรีให้กับเกษตรกรยากจนทั่วไทย
       - เริ่มทำงาน ๕ ปีแรก ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่เริ่มต้นชีวิตการทำงานมีโอกาสออมเงินและตั้งหลักในชีวิต
       - แก้หนี้ทั้งในและนอกระบบให้แก่ผู้ใช้แรงงานไทย รัฐจะรับโอนหนี้สินที่ผู้ใช้แรงงานมีหนี้สินเกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้พักหนี้เงินต้นในส่วนที่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาทไว้ได้ไม่เกิน ๑๐ ปี โดยจะจัดให้มีกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพแรงงาน ซึ่งกองทุนฯ จะรับโอนหนี้สินแรงงานที่มีหนี้ไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ไว้ร้อยละ ๕๐ และส่วนที่เหลือให้แรงงานผ่อนชำระ ซึ่งหากชำระได้ตามกำหนดเวลา ส่วนที่กองทุนฟื้นฟูรับโอนหนี้แรงงานจะผ่อนชำระคืนให้กองทุนโดยไม่มีดอกเบี้ย
       - คูปองสุขภาพ ๕,๐๐๐ บาท โดยจัดทำคูปองเล่มละ ๕๐ ใบ ใบละ ๑๐๐ บาท แจกจ่ายให้กับผู้ที่ยังไม่อยู่ในระบบประกันสังคมเพื่อใช้เป็นแรงจูงใจให้แรงงานและเกษตรกรที่ยังไม่อยู่ในระบบใช้เป็นเงินสมทบสำหรับส่งเป็นเงินประกันสังคมรายเดือน โดยให้ผู้ประกันตนใหม่จ่ายสมทบอีก ๕๐ บาทต่อคูปอง ๑ ใบ
       - พัก ลด ปลดหนี้ครู ด้วยกองทุนครูพัฒนาชาติ รัฐจะรับโอนหนี้สินให้ครูที่มีหนี้สินเกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้พักหนี้เงินต้นในส่วนที่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาทไว้ได้ไม่เกิน ๑๐ ปี โดยจะจัดเงินสมทบตั้งเป็นกองทุนครูพัฒนาชาติให้กับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ซึ่งกองทุนฯ จะรับโอนหนี้สินครูที่มีหนี้ไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ไว้ร้อยละ ๕๐ และส่วนที่เหลือให้ครูผ่อนชำระ ซึ่งหากชำระได้ตามกำหนดเวลา ส่วนที่กองทุนฯ รับโอนหนี้ ครูจะผ่อนชำระคืนให้กองทุนโดยไม่มีดอกเบี้ย - ปรับสถานะพยาบาลอัตราจ้างเป็นข้าราชการทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นคงในอาชีพให้แก่พยาบาล โดยทำการกำหนดอัตราข้าราชการใหม่เพื่อรองรับพนักงานพยาบาลที่สมัครใจจะโอนย้ายมาบรรจุเป็นข้าราชการประจำ จำนวนไม่น้อยกว่า ๒๐๐,๐๐๐ อัตรา
       - เพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ๒ เท่า จาก ๕๐๐ เป็น ๑,๐๐๐ บาท เนื่องจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดิมไม่สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบันที่เพิ่มสูงขึ้น และเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าอาหารได้ไม่น้อยกว่า วันละ ๓๐ บาท จึงเห็นควรให้มีการปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้เป็น ๑,๐๐๐ บาท ต่อเดือน - เพิ่มเบี้ยยังชีพคนพิการ ๒ เท่า จาก ๕๐๐ เป็น ๑,๐๐๐ บาท เนื่องจากเบี้ยยังชีพคนพิการเดิมไม่สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน และเพื่อให้คนพิการสามารถมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าอาหารได้ไม่น้อยกว่าวันละ ๓๐ บาท - ปรับอัตราค่าตอบแทนผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปรับอัตราเงินเดือน ค่าตอบแทน และ สวัสดิการ คณะผู้บริหารองค์กรส่วนท้องถิ่น เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐
       - ให้เบี้ยสวัสดิการให้กลุ่มคนทำงานอาสาเช่น อสม. อปพร. หมอดินอาสา เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท - ให้ค่าตอบแทนปราชญ์ชาวบ้าน ศิลปินพื้นบ้าน๑,๐๐๐ บาท/เดือน เพื่อส่งเสริมและรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยเพิ่มเงินสนับสนุนในกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมจังหวัดและ ให้สวัสดิการค่าตอบแทนแก่ปราชญ์ชาวบ้านและศิลปินพื้นบ้านตำบลละ ๑ คนเป็นจำนวน ๑,๐๐๐ บาท/เดือน ตลอดชีพ เพื่อรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น
       
       (๓) พรรคประชาธิปไตยใหม่ หมายเลข ๓
       - เรียนฟรีถึงปริญญาตรีโดยสมัครใจ รักษาฟรีทุกโรคทุกที่ ลดหนี้เกษตรกร ส่งแรงงานฟรีไม่มีค่าหัว
       
       (๔) พรรครักประเทศไทย หมายเลข ๕
       - หากได้เป็น ส.ส.พร้อมประกาศนโยบายขยายเวลาชดใช้หนี้ กยศ.ออกไป ๕ ปี พร้อมลดดอกเบี้ยให้อีกด้วย
       
       (๕) พรรคพลังชล หมายเลข ๖
       - โครงการบัตรสมาร์ทคิด บัตรเครดิตสุขภาพเด็กแรกเกิดถึง ๕ ขวบ ฟรีวัคซีน ฟรีบริการสาธารณสุขมูลฐาน ในอนาคตเติมบริการอื่นๆ ได้
       
       (๖) พรรคดำรงไทย หมายเลข ๘
       - ประกันราคาข้าวเปลือกขั้นต่ำ ตันละ ๑๙,๐๐๐ บาท
       
       (๗) พรรคพลังมวลชน หมายเลข ๙
       - เงินยังชีพผู้สูงอายุ ๓,๐๐๐ บาท/เดือน, เงินชดเชยให้คนว่างงาน ๓,๐๐๐ บาท/เดือน, ค่าแรงขั้นต่ำ ๔๐๐ บาท/วัน - ข้าวเปลือกเกวียนละ ๑๖,๐๐๐ บาท
       - ให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินเป็นของตนเองอย่างน้อย ๑๕ ไร่
       - เพิ่มค่าตอบแทน อสม.
       
       (๘) พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข ๑๐ - ค่าไฟฟ้าฟรีไม่เกิน ๙๐ หน่วยต่อเดือน
       - เรียนฟรี ๑๕ ปี ตั้งแต่อนุบาลถึง ม.๖ ฟรีค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าหนังสือเรียน ค่าชุดนักเรียน และค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพ - รถเมล์ สะอาด รวดเร็ว ปลอดภัย บริการฟรีนักเรียน-คนพิการ-ผู้สูงอายุ
       - จัดโฉนดชุมชนให้เกษตรกรมีที่ทำกินอีก ๒๕๐,๐๐๐ คน บนที่ดินของรัฐ
       
       (๙) พรรคไทยพอเพียง หมายเลข ๑๑ - จัดให้มีการอบรมปรัชญา “ เศรษฐกิจพอเพียง ” เพื่อนำไปบริหารจัดการครอบครัว ทำมาค้าขาย และธุรกิจ ทั่วประเทศใช้เวลา ๕ วัน เมื่อผ่านการอบรมจะได้ค่าตอบแทนคนละ ๑๐,๐๐๐ บาท - ผู้ผ่านการอบรมแล้วจะได้เงินทุนหมุนเวียนประกอบอาชีพโดยไม่มีดอกเบี้ยและผู้ค้ำประกัน กลุ่มละไม่เกิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท เฉลี่ยรายละ ๑๕๐,๐๐๐ บาท ทำธุรกิจ รายละ ๕ ล้านบาท
       - ปลดหนี้โดยรัฐบาลจะทำการซื้อหนี้ในและนอกระบบของประชาชนทั้งหมดแล้วให้ลูกหนี้มาใช้หนี้ให้กับรัฐบาลเพียงทางเดียว คนมีรายได้น้อยก็ให้พักชำระหนี้หรือประนอมหนี้ตามความเหมาะสม อายุครบ ๖๐ ปียกหนี้ให้ทั้งหมด
       - เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และคนพิการ ได้รับอย่างต่ำเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท
       
       (๑๐) พรรคไทยเป็นสุข หมายเลข ๑๓
       -ให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดถึง ๖ ปี เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกินครอบครัวละ ๓ คน - ให้ค่าตอบแทนผู้สูงอายุจาก ๕๐๐ บาท เป็น ๓,๐๐๐ บาทต่อเดือน
       
       (๑๑) พรรคกิจสังคม หมายเลข ๑๔
       - เพิ่มรายได้ให้กลุ่ม อสม. จาก ๖๐๐ เป็น ๑,๐๐๐ บาท
       
       (๑๒) พรรคไทยเป็นไท หมายเลข ๑๕
       -ออกกฎหมายปลดหนี้ให้คนไทย หรือออกกฎหมายให้รัฐบาลเป็นผู้รับใช้หนี้แทนคนไทยทั้งประเทศ โดยการโอนหนี้ของคนไทยทุกคนให้ไปเป็นหนี้ของรัฐบาลคนละไม่เกิน ๕ แสนบาท เช่น หนี้ ธ.ก.ส. หนี้สหกรณ์การเกษตร, หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์, หนี้ธนาคารพาณิชย์, หนี้กองทุนหมู่บ้าน หนี้กองทุนกู้ยืมเรียน,หนี้บัตรเครดิต,หนี้ไฟแนนซ์,หนี้นอกระบบต่างๆ ฯลฯ
       - จัดตั้งกองทุนสนับสนุนอาชีพเกษตรกร จำนวน ๕ แสนล้านบาท เพื่อการจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรไว้บริการในสหกรณ์หมู่บ้าน เช่น รถไถนา รถเกี่ยวข้าว รถบรรทุกผลผลิตการเกษตร และ เป็นเงินทุนในการรวบรวมผลผลิต โกดังเก็บผลผลิต ลานตาก โรงงานปุ๋ยเคมี และปุ๋ยอินทรีย์
       - จัดตั้งกองทุนสนับสนุนธุรกิจในประเทศ ให้บัณฑิตคนไทย และนักธุรกิจคนไทย สนับสนุนให้คนไทยเป็นเจ้าของกิจการ กู้ค้าขาย ปรับปรุงสินค้าและขยายกิจการ จำนวน ๑๐ แสนล้านบาท
       - จัดตั้งกองทุนสนับสนุนการลงทุนต่างประเทศ ให้คนไทยไปลงทุนต่างประเทศเพื่อนำเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศ จำนวน ๑๐ แสนล้านบาท
       - คนไทยทุกคน ถ้าเกิดเจ็บป่วยรักษาฟรี คนพิการและคนชรามีเงินเดือนเลี้ยงชีพ เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ถ้าตายมีเงินทำศพรายละ ๒ หมื่นบาท และจัดรถยนต์ของมูลนิธิไว้บริการฟรีถึงหมู่บ้านเมื่อคนไทยเจ็บป่วย ตาย หรือมีภารกิจจำเป็นเร่งด่วน - ให้พ่อค้าและนักธุรกิจกู้ยืมเพื่อจัดซื้อผลผลิตจำนวน ๒ แสนล้านบาท
       - จัดสรรเงินกองทุนหมู่บ้านๆ ละ ๕ ล้านบาททุกปี ฟรีรัฐบาลไม่เรียกคืนและให้ดำเนินการดังนี้ เงินล้านที่ ๑ จัดทำสหกรณ์ร้านค้าชุมชนทุกหมู่บ้านประชาชนในหมู่บ้านให้ถือหุ้นเท่ากันทุกคน เงินล้านที่ ๒ และเงินล้านที่ ๓ จัดตั้งธนาคารหมู่บ้านให้ชาวบ้านกู้ยืมโดยปลอดดอกเบี้ยยกเว้นกู้ไปค้าขาย หรือชำระหนี้นายทุนเอกชน ต่าง ๆ ไปทำงานต่างประเทศ ผ่อนรถ ผ่อนบ้านให้เสียดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ ๓ บาทต่อปี เงินล้านที่ ๔ กำหนดให้ทุกหมู่บ้านสร้างยุ้งฉาง หรือไซโลไว้เก็บผลผลิตทางการเกษตร โรงสีข้าวและลานตาก และใช้เป็นงบพัฒนา ถนน ไฟฟ้า น้ำประปา โรงเรียน วัด ฯลฯ เงินล้านที่ ๕ จัดเป็นค่าใช้จ่ายเงินเงินเดือนพนักงาน ข้าราชการท้องถิ่น จ้างนักกฎหมาย เป็นทนายความประจำหมู่บ้าน ค่าอาหารของพระสงฆ์และนักบวช จ้างฝ่ายข้อมูล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ถ้าไม่พอให้ขอจากงบกลาง
       - แก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียม โทรศัพท์บ้าน และมือถือ ให้คิดค่าบริการภายในประเทศได้ไม่เกินนาทีละ ๑ บาท - ออกกฎหมายกระจายงาน กระจายเงิน และกระจายอำนาจอย่างเป็นธรรม โดยแต่งตั้งตัวแทนพรรคระดับต่าง ๆ บรรจุเป็นข้าราชการการเมือง โดยมีอำนาจมีเงินเดือนประจำตำแหน่ง ดังนี้ ตัวแทนระดับจังหวัด หรือเขตเลือกตั้ง ได้เงินเดือน ๆ ละ ๑ แสนบาท ตัวแทนระดับอำเภอหรือประธานสาขาพรรคได้เงินเดือนๆ ละ ๕ หมื่นบาท ตัวแทนระดับตำบลหรือกรรมการสาขาได้เงินเดือนๆละ ๓ หมื่นบาท ตัวแทนระดับหมู่บ้านหรือสมาชิกผู้ก่อตั้งสาขาได้เงินเดือนๆละ ๑ หมื่นบาท ตัวแทนระดับคุ้มหรือหัวหน้ากลุ่ม ได้ค่าเงินเดือนๆละ ๕ พันบาท สมาชิกพรรคทั่วไป ได้ปลดหนี้ ไม่เกินคนละ ๕ แสนบาท และได้ค่าตอบแทนและสิทธิพิเศษตามนโยบายพรรคทุกข้อ - กู้เงินซื้อที่อยู่อาศัยได้โดยไม่เสียดอกเบี้ย และกู้เงินลงทุนอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑ บาทต่อปี ให้ใช้บุคคลค้ำประกันเงินกู้
       
       (๑๓) พรรคภูมิใจไทย หมายเลข ๑๖
       - ล้างหนี้กองทุนหมู่บ้านทั้งหมด แล้วมาเริ่มต้นบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองกันใหม่เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด ด้วยการเติมเงินงบประมาณเข้าไปอีก ๘ หมื่นล้านบาท จัดสรรให้กับทุกหมู่บ้าน - ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ๒% - กองทุนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ผ่าน อปท. จังหวัดละ ๑๐๐ ล้านบาทต่อปี
       - กองทุนประกันราคาสินค้าเกษตร ข้าวเปลือกตันละ ๒ หมื่นบาท เพื่อเป็นหลักประกันสำหรับผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมไปชั่วลูกชั่วหลาน โดยจะเสนอกฎหมายเพื่อให้มีการจัดตั้งเงินกองทุนไว้จำนวนมากพอต่อการประกันราคาสินค้าเกษตรกร ซึ่งจะช่วยให้พี่น้องเกษตรกรไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ว่าจะมีการคิดมาเปลี่ยนแปลงแนวทางนี้ไป
       
       (๑๔) พรรคชาติไทยพัฒนา หมายเลข ๒๑ - สนับสนุนเงินลงทุนปัจจัยการผลิตด้านการเกษตร ฟรีดอกเบี้ย
       ๑ ปี วงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท - จัดตั้งกองทุนสวัสดิการเกษตรกร วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท
       - ประกันราคาข้าว ข้าวเปลือก ๑๕,๐๐๐ บาท ข้าวหอมมะลิ ๒๐,๐๐๐ บาท
       - ช่วยเหลือค่าเช่านา สำหรับผู้เช่านา ไร่ละ ๕๐๐ บาท
       - จัดงบประมาณ ปีละ ๔,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับโครงการอาหารกลางวันให้นักเรียนครบตามจำนวน - สนับสนุนค่าตอบแทน อาสาสมัครเกษตร อกม. – อสม. – อปพร. ประจำหมู่บ้าน คนละ ๑,๐๐๐ บาท ต่อเดือน - เพิ่มเงินสวัสดิการผู้สูงอายุ ผู้พิการ ๑,๐๐๐ บาท ต่อคนต่อเดือน
       
       การกระทำดังกล่าวถึงแม้จะเป็นการประกาศเป็นนโยบายและมีการดำเนินการโดยผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองทั่วประเทศ เป็นการกระทำขยายนโยบายที่เป็น “สัญญาว่าจะให้”ในทุกเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ และเรื่องดังกล่าวได้ปรากฏชัดต่อสาธารณชนอย่างกว้างและปรากฏต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ดังนั้นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ จึงมีการกระทำโดยผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมืองอันเป็นการฝ่าฝืนต่อมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ อย่างกว้างและชัดแจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดโดยพลันตามอำนาจหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้
       
       ๓. การกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนต่อมาตรา ๙๗ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐
       
       ตามที่มีการพิจารณาและพิพากษาให้มีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของบรรดาหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองอันเนื่องมาจากการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา แต่ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีบุคคลซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งบางคนหรือบางกลุ่ม กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา ๙๗ แห่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ ทั้งก่อนและในขณะที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔
       
       “มาตรา ๙๗ ในกรณีที่พรรคการเมืองต้องยุบเพราะเหตุอันเนื่องมาจากการฝ่าฝืนมาตรา ๔๒ วรรคสอง หรือมาตรา ๘๒ หรือต้องยุบตามมาตรา ๙๔ ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบไป จะจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกไม่ได้ ทั้งนี้ ภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันที่พรรคการเมืองนั้นต้องยุบไป”
       
       โดยกระทำการครอบงำในการบริหารและเชิดบุคคลให้เป็นตัวแทนอำพรางการกระทำของบุคคลดังกล่าว และแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคการเมือง รวมทั้งเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการบริหารพรรคการเมืองและเข้าจัดตำแหน่งในทางการเมือง อาทิ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ที่แสดงออกในการเข้าครอบงำการบริหารพรรคเพื่อไทยเสมือนเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองดังกล่าว นายบรรหาร ศิลปอาชา แสดงออกในการเข้าครอบงำการบริหารพรรคชาติไทยพัฒนา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แสดงออกในการเข้าครอบงำพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน นายเนวิน ชิดชอบ เข้าครอบงำการบริหารพรรคภูมิใจไทย เป็นต้น
       
       ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ และระเบียบคณะ
       กรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวน สอบสวน และวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการดังต่อไปนี้
       
       1.ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งระงับการประกาศผลคะแนนการเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ไว้ก่อน จนกว่าจะมีการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดหรือวินิจฉัยการคัดค้านการเลือกตั้งแล้วเสร็จ
       2.ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดโดยพลัน ในการกระทำของผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมืองที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ และดำเนินการยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองดังกล่าว
       
       3.ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดโดยพลัน ในการกระทำเข้ามาบริหารจัดการของผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองและยุบพรรคการเมืองที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐
       
       4.ขอคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๖๘,๒๓๗ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐มาตรา ๕๓(๑),(๒),๑๓๗,๑๕๙,๑๑๐,๑๖๐ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐มาตรา ๔,๙๔(๑),(๒),(๓) และมาตรา ๑๑๖
       จึงเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการโดยด่วน
       
       ขอแสดงความนับถือ
       ( พลตรี จำลอง ศรีเมือง)
       ผู้ร้อง
 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #273 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2554, 20:41:13 »

โผล่อีก 3 คนร้องศาลฎีกาล้มเลือกตั้ง 3ก.ค.

ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง เมื่อเวลา 10.45 น. นายชุมพล สังข์ทอง ทนายความ นายสุรสิทธิ์ ใบลี อายุ 52 ปี ว่าที่ผู้สมัคร อบต.บ้านโนนกลาง ต.ผักปัง อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ น.ส.ศิริภานีย์ ใต้ชัยภูมิ อายุ 24 ปี และ น.ส.ภารินีย์ ใต้ชัยภูมิ อายุ 25 ปี ชาวชัยภูมิ เข้ายื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) คดีพิพาทการเลือกตั้ง โดยขอให้ศาลฎีกา จัดการเลือกตั้งใหม่ และขอให้คืนสิทธิทางการเมืองแก่ผู้ร้องทั้งสาม

โดยคำฟ้องสรุปว่า ผู้ร้องทั้งสามเป็นประชาชนคนไทยมีสิทธิเลือกตั้ง และผู้ถูกร้องเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่ควบคุมและดำเนินการจัดการให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค.2554 นายสุรสิทธิ์ ผู้ร้องได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่หน่วยเลือกตั้งที่ 13 ศาลากลางบ้านโนนกลาง หมู่ 12 ต.ผักปัง อ.ภูเขียว ส่วน น.ส.ศิริภานีย์ และน.ส.ภารินีย์ ผู้ร้อง ไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่หน่วยเลือกตั้งที่ 3 ศาลาเอนกประสงค์วัดป่าภูเขียว หมู่ 1 ต.ผักปัง อ.ภูเขียว แต่ปรากฎว่ากรรมการประจำการเลือกตั้งแจ้งว่า ผู้ร้องไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้ เพราะเป็นบุคคลที่ขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตจังหวัด ที่กรุงเทพฯ ทั้งที่ตั้งแต่มีการประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก.ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2554 ผู้ร้องไม่เคยไปขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตกับผู้ถูกร้องแต่อย่างใด

ขณะที่ ผู้ถูกร้องอ้างบทบัญญัติ มาตรา 97 วรรค 2 พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 กำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งเคยขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขต จะหมดสิทธิลงคะแนนในหน่วยเลือกตั้งเดิม จนกว่าจะได้ดำเนินการลงทะเบียนเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นการสร้างภาระให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แทนที่จะเป็นการอำนวยความสะดวก

นอกจากนี้ ยังปรากฏตามสื่อมวลชนว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งอีกนับล้านคนไม่สามารถลงคะแนนได้ ที่กรุงเทพมหานครแจ้งยอดมีผู้มาขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจำนวน 1,079,923 คน จึงคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ทำให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค.54 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายและเสียสิทธิตามกฎหมายหลายประการ จึงขอให้ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ยกเลิกเพิกถอนการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 3 ก.ค.54 และขอให้ยกเลิกเพิกถอนการตัดสิทธิทางการเมืองของผู้ร้องทั้งสามและประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งอันสืบเนื่องมาจากการไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค.54 ทั้งหมด

โดยศาลฎีกาฯ รับคำร้องไว้ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ลต.11-13/2554 และนัดฟังคำสั่งว่าจะรับคำฟ้องไว้พิจารณาเพื่อมีคำพิพากษาหรือไม่ในวันที่ 13 ส.ค.นี้ เวลา 16.00 น.

ภายหลังนายชุมพล ทนายความ กล่าวว่า ผู้ร้องทั้งสามคนเคยขอใช้สิทธิลงคะแนนล่วงหน้านอกเขตเลือกตั้งที่กรุงเทพ ฯ เมื่อการเลือกตั้งเมื่อปี 2550 สมัยที่นายสุรสิทธิ์ ทำงาน และ น.ส.ศิริภานีย์ และน.ส.ภารินีย์ ยังศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้ไปขอ เมื่อไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนี้กลับไม่สามารถใช้สิทธิได้ จึงเป็นการจำกัดสิทธิของประชาชน ซึ่งควรเป็นหน้าที่ของ กกต.จะต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #274 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2554, 14:51:00 »

สภาอุตฯแถลงรับไม่ไหวค่าแรง 300 บาท ธุรกิจช็อค! ให้รัฐบาลจ่ายส่วนต่างเอง

วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:00 น.มติชนออนไลน์

ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมฝ่ายเศรษฐกิจ ให้สัมภาษณ์ในรายการสรยุทธ เจาะข่าวเด่น ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เมื่อวันที่ 12 ก.ค. หลังจากที่สภาอุตสาหกรรมออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าจ้าง 300 บาทโดยดร.ธนิต กล่าวว่า เป็นมติแสดงจุดยืน หลังจากการประชุมกรรมการบริหาร และอีกหลายภาคส่วน โดยก่อนหน้านี้มีการทำโพลล์สำรวจผู้ประกอบการ โดยผลปรากฏว่า ผู้ประกอบการบอกว่ากระทบ 90-92 เปอร์เซ็นต์ มีบอกว่าไม่กระทบ 3-6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งคิดว่ารายใหญ่ที่ไม่คิดว่าจะกระทบก็พบว่ากระทบ 90-92 เปอร์เซ็นต์


ส่วนเรื่องภาษีนั้นดร.ธนิต กล่าวว่า ลดภาษีก็ดีเพราะภาษีของประเทศไทยสูงกว่าเพื่อนบ้านเขา แต่ต้องคุยแยกส่วนไม่ใช่มาคุยเรื่องค้าจ้างเหมือนยื่นหมู ยื่นแมว เพราะ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่หากเพิ่มค่าแรง 40 ปอร์เซ็นต์จะช็อค ส่วนเอสเอ็มอี ที่รายได้น้อยอยู่แล้วก็ต้องจ่ายเพิ่ม ก็ไม่มีกำไร แล้วจะจ่ายภาษีได้อย่างไร แต่ทั้งนี้รายใหญ่พวกรายอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานน้อย จะได้ประโยชน์ เพราะ 15 กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในแรงงานเข้มข้น การส่งออกก็ต้องแข่งขันกับเพื่อนบ้านเรา การแข่งขันก็ลำบาก


สำหรับมติ 4 ข้อมีรายละเอียดดังนี้ 1. สภาอุตสาหกรรมแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับค่าจ้าง 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ เพราะจะกระทบกับเศรษฐกิจ และการลงทุนต่างๆ 2. ค่าจ้างควรเป็นไปตามกลไกของตลาด โดยมีคณะกรรมการไตรภาคีเป็นผู้พิจารณาตามกฎหมาย การเมืองต้องไม่ก้าวก่าย หรือกดดัน 3. ถ้าภาคการเมืองประสงค์จ่ายค่าแรง 300 บาท ให้รัฐบาลที่เป็นคนรับปากไว้จ่ายส่วนต่างจากที่ไตรภาคีกำหนดเอง เพราะอุตสาหกรรมจ่ายแล้วเจ๊ง 4. สภาอุตสาหกรรมพร้อมหารือกับรัฐบาลเพื่อหาทางออก รอให้ตั้งรัฐบาลเรียบร้อย


เมื่อพิธีกรถามถึงกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยให้สัมภาษณ์คร่าวๆว่า 300 บาทเฉพาะกรุงเทพ จังหวัดอื่นลดหลั่นกันลงไปเป็นไปได้หรือไม่ ดร.ธนิต กล่าวว่า ถ้าฟังจากที่บอร์ดพิจารณาเรื่องค้าจ้างเมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา เผยว่าจะมีกรุงเทพฯ และภูเก็ตจะทยอยขึ้นค่าจ้างก่อน 33 บาท ส่วนจังหวัดอื่นทยอยขึ้น 40 ปอร์เซ็นต์จากฐานที่เป็นอยู่ จนครบ 300 บาท ซึ่งจะมีผลกระทบคือ ดึงแรงงานจากต่างจังหวัดเข้ามาทำงาน ซึ่งจากเดิมที่เราต้องการกระจายรายได้ ประชาชนอยู่ในท้องที่ไม่ต้องมาทำงานในกรุงเทพฯ แต่คราวนี้จะไม่ใช่กระจายรายได้ จะเป็นรวยกระจุกจนกระจาย


เมื่อพิธีกรถามนำว่า ที่ทางพรรคเพื่อไทยจะมีนโยบายกระตุ้นอย่างอื่นเช่นเรื่อง รถ และบ้าน ซึ่งหากมองว่าจะเป็นการกระตุ้นอีกทางให้คนใช้จ่ายเงินกระตุ้นภาคธุรกิจได้หรือไม่ ดร.ธนิต กล่าวว่า ก็มีความเป็นไปได้หากใช้ระบบนี้ คาดว่าจีดีพีจะโตขึ้น 6-7 เปอร์เซ็นต์ แต่จีดีพีไม่ได้บอกถึงความสามารถในการแข่งขัน บอกเศรษฐกิจโตจากการปั่นหมุน แต่อย่าลืมว่าจ่ายมากขึ้น รายได้มากขึ้น ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้นตาม ที่สุดแล้วก็เงินเฟ้อ


ดร.ธนิต กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจของเราวันนี้ 70 เปอร์เซ็นต์ของเราส่งออก หากเราใช้ทฤษฎี 2 สูง แต่เพื่อนบ้านเรายังใช้ 2 ต่ำ เราต้องไปแข่งขันกับเขา มันเร็วเกินไป มันต้องค่อยเป็นค่อยไป หากเราไปตัดเลยมันจะช็อต เศรษฐกิจเราเพิ่งกับการส่งออกถึง 70 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ เศรษฐกิจของเราก็ไม่ใช่ส่งออกอย่างเดียว มีทั้งขายภายในประเทศด้วย ของนอกประเทศก็จะเข้ามาตีตลาด กระทบส่งออก และนำเข้าก็จะมาตีตลาดเราด้วย วันนี้มันเร็วไปที่จะเป็น 2 สูง


"หลังจากนั้นก็จะมีรายงานต่างด้าวตามเข้ามาเพราะค่าแรงต่ำ บริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทยก็กระทบ" ดร.ธนิตกล่าว


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 21  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><