23 พฤศจิกายน 2567, 08:46:22
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 27 28 [29] 30 31 ... 33  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน  (อ่าน 329688 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #700 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2555, 22:53:25 »

คอลัมภ์นิสต์จับกระแส กรุงเทพธุรกิจ


เด้ง"ปลัดคลัง" ออเดอร์จากดูไบ ?

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 
  ตอนนี้คิดว่าหลายๆ คนในประเทศนี้ คงมีข้อสงสัยคลางแคลงอยู่ในใจกันอยู่บ้าง ว่า "ประเทศสารขัณฑ์" นี้เป็นของใครกันแน่ Huh?

 เพราะหลายๆ เรื่องหลายๆ ราวที่เกิดขึ้นมันสะท้อนสนับสนุนคำถามดังกล่าว เริ่มตั้งแต่ระดับผู้นำประเทศ ก็สืบทอดตำแหน่งกันเฉพาะวงศาคณาญาติ แม้ผู้นำในตระกูลจะหลุดพ้นตำแหน่งไป นับตั้งแต่มีการปฏิวัติไปเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 และไม่ได้อยู่ในประเทศนี้ก็ตาม  แต่หลังจากนั้นก็มีการเลือกตั้ง ซึ่งปรากฏว่า วงศาคณาญาติ (น้องเขย) ของอดีตผู้นำประเทศที่ถูกปฏิวัติ ก็ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำคนใหม่ แม้ก่อนหน้านั้นจะมีคนนอกตระกูล ก้าวขึ้นมาคั่นกลางอยู่บ้างก็แค่ปีเศษเท่านั้น

 จนเมื่อล่าสุด คนในตระกูลนี้ก็กลับมาอีกครั้ง นั่นคือ น้องสาวคนเล็ก ที่ถูกก้าวขึ้นมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่ถูกมองว่าใช้เวลาก้าวเข้ามาเพียง 49 วันเท่านั้นเทียบกับนักการเมืองอีกหลายๆ คนที่ต้องใช้เวลาเป็น สิบๆ ปีบางคนก็ยังไม่ได้นั่งเก้าอี้ตัวนี้ด้วย

 การเข้ามาในตำแหน่งนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศนี้ แม้จะถูกตั้งคำถามมากมายถึงความรู้ความสามารถ ซึ่งก็คงปรากฏเห็นเด่นชัดแล้วว่ามี ความสามารถมากน้อยแค่ไหน เฉพาะเรื่องการแก้ปัญหาอุทกภัยเมื่อปลายปีก่อนก็คงตัดสินได้แล้ว ถามว่าเหตุใดจึงมีข้อสงสัยถึงความสามารถของผู้นำหญิงคนนี้ ก็เพราะทุกคนในประเทศนี้ต่างรับรู้คนที่อยู่หลังเก้าอี้นายกฯ นี้คือใคร ? ก็อย่างที่หลายคนรู้ว่า "ผู้มีบารมีต่างแดน" คอยกำกับดูแลรัฐบาลประเทศสารขัณฑ์นี้ทุกเรื่อง

 แม้กระทั่งการจัดสรรรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูงไปนั่งตามเก้าอี้กระทรวงต่างๆ โดยไม่ได้สนใจว่า "คนคนนั้นจะมีความรู้ความชำนาญเรื่องของกระทรวงนั้นๆ หรือไม่ แต่เน้นว่าเป็นใกล้ชิดหรือคนของตัวเอง และคนที่เคยทำบุญคุณแก่ตน เช่น บรรดานักธุรกิจ หรือข้าราชการที่เคยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย ปกปิดความผิดของคนในตระกูลนี้หลุดรอดมาแล้ว แม้แต่กระทรวงเศรษฐกิจหลักๆ ที่ต้องใช้คนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเช่นกระทรวงการคลัง ก็ยังหลีกไม่พ้นที่จะเป็นหนึ่งในกระทรวงที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือตอบแทนคนของตน อาทิเช่น การตั้งแกนนำเสื้อสีเข้าไปนั่งในกระทรวงต่างๆ อาทิ เลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี ในกระทรวงต่างๆ ยังไม่รวมถึงการส่งกลุ่มคนเหล่านี้เข้าไปนั่งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจใหญ่ๆ ที่ไม่ได้มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวข้องกระทรวงหรือรัฐวิสาหกิจนั้นๆ เลย"

 ล่าสุด ก็มีใบสั่งมาจาก "ดูไบ" ให้เด้ง "อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม" ปลัดกระทรวงการคลังพ้นไป โดยคาดว่าตำแหน่งนี้จะตกเป็นของ "เบญจา หลุยส์เจริญ" อธิบดีกรมสรรพสามิต ที่ถูกมองว่าใกล้ชิดกับผู้มีบารมีนอกประเทศ สมัยนั่งอยู่กรมสรรพากร ที่เหลืออายุราชการอีกแค่ปีเดียว และเพิ่งนั่งเก้าอี้อธิบดีสรรพสามิต ยังไม่ถึงปีด้วยซ้ำ

 การผลักดันให้ "เบญจา" ขึ้นมานั่งเก้าอี้ปลัดคลัง โดยไม่ได้สนใจความรู้ความสามารถว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ด้านการเงินการคลังของประเทศยามนี้ ที่ต้องการคนที่มีความรู้ทางวิชาการไม่ใช่วิชามาร เข้ามาช่วยคิด วางแผนดูแลฐานะการคลังประเทศ แต่กลับใช้คนที่รู้เรื่องเฉพาะด้านภาษีอย่างเดียวในยามนี้  ดูท่าประเทศสารขัณฑ์นี้ น่าจะตกอยู่ในความเสี่ยงไม่น้อย

 ไม่รู้ว่า ผู้มีบารมีนอกประเทศ จะรู้หรือเปล่าว่า ข้าราชการหญิงคนนี้ มีคนเห็นเดินเข้า-ออกบ้านของนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิชื่อ "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" เป็นประจำด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่ใกล้ชิดกับนายใหญ่คนเดียวเท่านั้น

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #701 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2555, 18:53:10 »

เปิดคำให้การโต้งถอนหายใจเจอไล่ซักพรก.กู้เงิน

    15 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 15:23 น. |
    เปิดอ่าน 19,925 |
    comment ความคิดเห็น 58

กรณ์-คำนูณชำแหละพ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูย้ำไม่มีความจำเป็น‘กิตติรัตน์’โดนตุลาการไล่ซักถึงกับถอนหายใจยันไม่โอนภาระให้ประชาชน

เมื่อวันที่ 15 ก.พ. องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัยคำร้องของนายกรณ์ จาติกวณิช สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และคณะ และ นายคำนูณ สิทธิสมาน สว.สรรหา และคณะ กรณีพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศพ.ศ.2555 และพ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินพ.ศ.2555 เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค1และ2 หรือไม่ ในวันที่ 22 ก.พ.เวลา 14.00น.

สำหรับการไต่สวนเพื่อฟังคำชี้แจงของศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง โดยเริ่มที่นายกรณ์ ชี้แจงว่า สำหรับพ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯยังไม่มีความจำเป็นอย่างชัดเจนเพราะรัฐสภาเพิ่งได้ผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2555 ซึ่งในกฎหมายได้จัดสรรงงบประมาณ 6.8 หมื่นล้านบาทเพื่อชำระดอกเบี้ยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯเอาไว้  จึงไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการแหล่งเงินมารับหนี้ เม็ดเงินจัดสรรไว้ในหมวดบริหารหนี้สาธารณะ

"การวัดระดับหนี้สาธาณะ วัดโดยรายได้ประเทศ ปัจจุบันเมื่อเทียบกับจีดีพี 41% ต่ำมากถ้าเทียบกับหลายๆประเทศ ที่สำคัญ คือ ในส่วนของรัฐบาลได้บริหารภายใต้กรอบการยั่งยืนทางการคลังไม่เกิน 60% ส่วนต่าง 20 % กู้ได้อีก2ล้านล้านบาทยังอยู่ในกรอบของความยั่งยืน รัฐบาลสามารถกู้ยืมได้อยู่แล้ว ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องเพดานทางการคลัง โดยไม่กระทบความเชื่อมั่นไม่ต้องซ่อนตัวเลขให้ต่ำกว่าความเป็นจริง"นายกรณ์กล่าว

นายกรณ์ กล่าวว่า ภาพรวมของพ.ร.ก.โอนหนี้ 1.14 ล้านล้านบาทลักษณะนี้มีผลข้างเคียงหลายประเด็นมีจุดอ่อนตัวกฎหมายมีผลกระทบความมั่นคงเศรษฐกิจ คือ การลดการเรียกเก็บเงินเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝากเหลือเพียง 0.01% จะส่งผลต่อระดับความเชื่อมั่น โดยเฉพาะหากเกิดสถานการณ์วิกฤตจะมีการดูแลอย่างไร รัฐบาลจะต้องค้ำประกันให้กับสถาบันคุ้มครองเงินฝากหรือไม่ เพราะตามหลักกองทุนสถาบันคุ้มครองเงินฝากควรมีอยู่ในระดับ 2 แสนล้านบาทซึ่งตอนนี้มีอยู่ 8 หมื่นล้านบาท แน่นอนว่าถ้ามีการลดการนำส่งเข้ามายังกองทุนคุ้มครองเงินฝากจะทำให้ยอดตัวเลขลดลง

"ปัญหาในระยะยาวภาระหนี้จะส่งต่อไปยังผู้กู้เงินในดอกเบี้ยสูงขึ้น ต้นผู้ประกอบการสูงง ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน เช่นเดียวกับผู้มีเงินออม 60 ล้านบบัญชี มีโอกาสได้รับดอกเบี้ยดลดลง ส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจในครัวเรือน" นายกรณ์ กล่าว

นายกรณ์ กล่าวว่า สำหรับพ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทเพื่อวางแผนบริหารจัดการน้ำ ปรากฎว่ายังไม่มีความชัดเจนในแผนการใช้เงินว่าจะมีการลงทุนตามยุทธศาสตร์อย่างไร โดยมีการให้สัมภาษณ์จาก นายสมิทธ ธรรมสโรช คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ว่าการเสนอแผนของกยน.เมื่อวันที่ 26 ม.ค. เช่นดียวกับ นายปราโมทย์ ไม้กลัด กรรมการกยน.ระบุเช่นกันว่าไม่มีแผนชัดเจน กยน.กรอบกว้างๆไม่มีความชัดเจนแท้จริง ไม่มีความชัดเจนใดๆ

นายคำนูณ ซึ่งได้ทำคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเฉพาะพ.ร.ก.โอนหนี้ ชี้แจงว่า รัฐบาลยังไม่มีความจำเป็นต้องลดภาระดอกเบี้ยในหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯเพื่อเพิ่มเพดานในการกู้เงินฟื้นฟูน้ำท่วมเพราะปัจจุบัน คณะรัฐมนตรีมีวงเงินงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยอยู่แล้ว หรือดำเนินการไปพลางก่อน ได้

สว.สรรหา กล่าวว่า งบประมาณดังกล่าว ประกอบด้วย งบประมาณการเยียวยาฟื้นฟูและป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการจำนวน 1.2 แสนล้านบาท เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจำนวน  6.6 หมื่นล้านบาทซึ่งอยู่ภายใต้พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย รวมทั้งยังมีพ.ร.ก.ที่ผ่านรัฐสภาไปอีก 2 ฉบับก่อนหน้านี้ เท่ากับว่าให้รัฐบาลมีเงินงบประมาณใช้ถึง 7 แสนล้านบาท แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีเงินเพียงพอในการดำเนินการได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องตราพ.ร.ก.ฉบับนี้แต่อย่างใด

"ในทางการเมืองรัฐบาลมีเสียงข้างมากในสภาฯ ดังนั้น การเสนอในสภาฯจึงกระทำได้ตลอด ไม่มีอุปสรรคขัดข้อง" นายคำนูณ กล่าว

ต่อมา นายกิตติรัตน์ ในฐานะผู้ถูกร้องได้ทำการชี้แจง ซึ่งในช่วงแรกนายกิตติรัตน์ อธิบายถึงรายละเอียดของรัฐธรรมนูญมาตรา 184 เกี่ยวกับอำนาจในการตราพ.ร.ก.ปรากฎว่านายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้แย้งขึ้นมาทันทีว่า "ประทานโทษท่านรองนายกฯเพราะตอนนี้ประเด็นมันแคบเข้ามาแล้วหลังจากผู้ร้องได้ชี้แจงมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้เป็นโอกาสชี้แจงของท่าน ไม่ต้องอธิบายรัฐธรรมนูญให้พวกเราได้เข้าใจอีกครั้งหนึ่ง นี่ไม่ได้เป็นการประท้วงในสภาฯครับ แต่เป็นการเตือนท่านเพื่อรักษาเวลาเท่านั้น กรุณาชี้แจงในส่วนของผู้ร้อง" ซึ่งนายกิตติรัตน์ เกิดอาการชะงักกลางคันก่อนจะชี้แจงต่อ

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ยอมรับว่าประเทศไทยมีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีประมาณ 4.2ล้านล้านบาท และสามารถกู้เงินได้เพิ่มขึ้นเพราะยังหนี้สาธารณะยังไม่ถึง 60%ของจีดีพี แต่ถ้าเราไม่มีการจัดการอะไรและมีความจำเป็นต้องกู้เงินอยู่จะส่งผลให้มีหนี้สาธารณะถึง 50% โดยในนั้นจะมีหนี้ส่วนหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ คือ หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จำนวน 1.14 ล้านบาท จึงเล็งเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ควรมีการจัดบริหารหนี้ส่วนนี้อย่างเป็นระบบ เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาไม่เคยมีการบอกว่าจะลดหนี้ก้อนหนี้อย่างไร

"หนี้ส่วนนี้เป็นของประเทศไม่มีความประสงค์ยัดเหยียดให้เป็นหนี้ของหน่วยงานใดเพียงลำพัง ส่วนการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนสถาบันคุ้มครองเงินฝาก กระทรวงการคลังได้ปรึกษากับธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว โดยเล็งเห็นว่าสถาบันการเงินของไทยในเวลานี้มีความเข้มแข็งภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศจนเงินในกองทุนของสถาบันมีสูงกว่า 8 หมื่นล้านบาท จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาเงินจำนวนมากขนาดนั้นไปกองเอาไว้ ขณะเดียวกัน พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากก็ยังเปิดโอกาสให้สามารถกลับมาเรียกเก็บเงินจากธนาคารได้อยู่แล้วในอัตราไม่เกิน 1%" นายกิตติรัตน์ กล่าว

จากนั้น นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซักถามว่า เมื่อมีการโอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับผิดชอบ หนี้ส่วนนี้ยังไม่พ้นความเป็นหนี้สาธารณะใช่หรือไม่

นายกิตติรัตน์ ตอบว่า ยังเป็นหนี้สาธารณะ

นายวสันต์ ถามอีกว่า หมายความว่าการจะกู้เงินตามพ.ร.ก.สองฉบับที่ผ่านไปแล้ว (พ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ.2555 และ พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยพ.ศ.2555) รวมไปถึงพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ 3.5 แสนล้านบาทด้วย จำเป็นต้องผลักภาระการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นของหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯไปให้พ้นก่อนถูกต้องหรือไม่เพื่อให้ภาระงบประมาณรายจ่ายในเรื่องนี้ลดลง

นายกิตติรัตน์ ชี้แจงว่า ทำให้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ 2556 ต้องชำระดอกเบี้ยในส่วนนี้เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้ดูแล และการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมงวดแรกจะเริ่มในวันที่ 31 ก.ค.2555  ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีความพร้อมในการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมไปสมทบกับผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นกับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯเพราะมีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯมีทรัพย์สินที่ดูแลอยู่ส่วนหนึ่งและสามารถทำให้เกิดผลตอบแทนในจำนวนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินเอาไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี

นายวสันต์ ถามอีกว่า ตามหลักฐานที่ปรากฎรัฐบาลเสนอร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 เข้าสู่สภาฯในเดือนพ.ย.2554 หลังจากนั้นมีช่วงเวลาปิดสมัยประชุมสามัญทั่วไปจนถึงปลายเดือนธ.ค.ทำไมรัฐบาาลไม่พิจารณาออกพ.ร.ก.ในช่วงนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อครหาว่าชิงออกพ.ร.ก.ทั้งๆที่สภาเปิดสมัยประชุมอยู่ เพราะถ้าออกพ.ร.ก.ช่วงสภาปิดเสียงครหาจะน้อยกว่านี้

นายกิตติรัตน์ กล่าวพร้อมถอนหายใจบางช่วงว่า "เออ...ผมเองไม่ใช่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองครับ แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่ดำเนินการไม่ได้คำนึงถึงแนวคิดทางการเมืองเป็นหลัก แต่เป็นการดำเนินการเพื่อสร้างความมั่นใจทางเศรษฐกิจ เรื่องของเงื่อนเวลาขอเรียนตามจริงว่าผมเองได้พูดต่อสาธารณชนหลายครั้งว่าการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอุทกภัยซ้ำมีความจำเป็นต้องลงทุนด้วยเงินหลายแสนล้านบาท คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาความเสียหายจากการสำรวจของธนาคารโลกและสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดังนั้น เรื่องเงื่อนเวลาจึงไม่คำนึงว่าถ้าจะไปเร่งตรงนั้นแล้วจะเกิดผลประโยชน์ที่ดีกว่าในทางการเมืองอะไร"

นายวสัตน์ ถามเพิ่มเติมว่า ถ้าออกพ.ร.ก.ช่วงปิดสภาฯจะมีข้อแก้ตัวได้แต่การที่มาออกพ.ร.ก.ทั้งๆที่สภาเปิดอยู่เหมือนไม่ให้ความเคารพฝ่ายนิติบัญญัติเลย ตรงนี้ทำไมไม่คิดออกตั้งแต่ตอนนั้น เพราะอุทกภัยก็เห็นๆกันอยู่ กว่าจะถึงสิ้นปี 2554 น้ำในบางแห่งก็ยังไม่แห้ง ซึ่งเห็นสภาพความเสียหายและวิธีการป้องกันมาตั้งแต่ต้นแล้ว กรุณาตอบตรงนีดนึงว่าทำไมตอนนั้นจึงไม่คิดในช่วงเดือนธ.ค.2554 ทั้งเดือน

นายกิตติรัตน์ ถอนหายใจและชี้แจงอีกครั้งว่า การดำเนินการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน (กยน.) ได้มีการประชุมระดับผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ซึ่งการที่ทำให้เกิดกรอบที่ชัดเจนว่าเรามีความจำเป็นจะต้องลงทุนด้วยวงเงินงบประมาณเท่าไหรมีความจำเป็นที่ต้องมีคำอธิบาย ถ้าเราเร่งดำเนินการอะไรถ้ายังไม่เกิดความแน่ชัดว่าจะเป็น3.5 แสนล้านบาท หรือตัวเลขอื่นๆ และเสนอตัวเลขสูงเกินความจำเป็นจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นได้เพราะมองว่ารัฐบาลชุดนี้อยากจะใช้เงินฟุ่มเฟือย หรือ การเสนอตัวเลขต่ำไปและในที่สุดต้องมาแก้ไขในภายหลังย่อมจะสูญเสียความเชื่อมั่นอีก

"เรื่องนี้ผมได้เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที 27 ธ.ค.ไม่ได้มีความเข้าใจหรือความชำนาญในเรื่องของการเสนอในช่วงสภาปิดหรือสภาเปิดแต่อย่างใดด้วยความเคารพ" นายกิตติรัตน์ กล่าว

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #702 เมื่อ: 24 กุมภาพันธ์ 2555, 10:05:08 »

ระบอบกษัตริย์เปรียบเหมือนโคมแก้วระย้า หากมีใครไปขยับให้ตกลงมา มันก็จะบาดผู้คนที่อยู่ด้านล่างไปทั่ว‏

อย่าเพิ่งตกใจกับชื่อเรื่องที่ปรากฏอยู่ด้านบน เพราะเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับวลีนี้เกิดขึ้นในงานสัมมนาแห่งศตวรรษ "ปราชญ์สยาม นามคึกฤทธิ์" ในโอกาสครบรอบชาตกาล 100 ปี ซึ่งจัดขึ้นที่ห้องคอนเวนชั่น 1 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งคนที่กล่าวถึงเรื่องนี้ก็คือ อัศศิริ ธรรมโชติ นักหนังสือพิมพ์ที่ผันตัวเองมาเป็น นักเขียนจนได้รับรางวัลซีไรต์ หยิบยกเรื่องลาตายอีกครั้งของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ขึ้นมากล่าวในงานเสวนา เริ่มจากการยกเอาประโยคเด็ดของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์มาเกริ่นว่า

"ระบอบกษัตริย์เปรียบเหมือนโคมแก้วระย้า หากมีใครไปขยับให้ตกลงมา มันก็จะบาดผู้คนที่อยู่ด้านล่างไปทั่ว"

นี่คือคำกล่าวของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ที่ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังคมกริบมาถึงปัจจุบัน สำหรับคำพูดของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ผู้เป็นนักปฏิบัติที่ประนีประนอม แต่ก็จะแข็งกร้าวต่อผู้ที่ไม่ ยึดมั่นในระบอบกษัตริย์

"ถ้าหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์กลับมาเกิดใหม่ในยุคปัจจุบัน คงต้องขอลาตายอีกรอบแน่นอน"

พอจะขยายความจากคำพูดของประโยคนี้ได้ว่า เพราะยุคสมัยที่การเมืองการปกครองของไทย เกิดระส่ำระสายมาหลายขวบปี จนกระทบถึงสถาบันหลักของประเทศ ในการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

"สิ่งที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ฝากไว้ก็คือ หากใครคิดจะล้มล้าง ก็จะทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างรอบ ๆ ได้รับผลกระทบไปด้วย" คำกล่าวของอัศศิริที่พูดถึงบุคคลสำคัญของโลกที่องค์การ ยูเนสโกยกย่องรวดเดียว 4 สาขา ได้แก่ การศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ และสื่อสารมวลชน

ดังที่ทราบกันดีว่า เรื่องราวชีวิตของปูชนียบุคคลผู้นี้ยังคงถูกหยิบยกมาพูดคุย เป็นบุคคลตัวอย่างในทุกแวดวง ตลอดระยะเวลากว่า 100 ปีนับตั้งแต่บุรุษผู้นี้ถือกำเนิด ดำรงอยู่ และดับไป แต่ชื่อเสียงของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ผู้คิดลึก ก็ยังก้องอยู่ในทุกส่วนของสังคมที่หม่อมเหยียบย่างลงไป

หนึ่งในบทบาทที่คนกล่าวถึงมากที่สุดก็คือ บทบาทสื่อมวลชน อัศศิรินำมายกย่อง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ผู้อุทิศชีวิตให้กับงานหนังสือพิมพ์จนวาระสุดท้ายของชีวิต หลังวางมือจากทุกวงการแต่ไม่ยอมวางมือจากงานเขียน แม้จะไม่มีแรงจับปากกา แต่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็ยังเขียนคอลัมน์ต่าง ๆ ผ่านปาก โดยให้คนอื่นเขียนตามคำบอก พออายุล่วงเลยเข้าสู่วัย 82 ปี สายตาเริ่มไม่ค่อยดี อ่านหนังสือพิมพ์เองไม่ได้ ก็ต้องให้คนอื่นอ่านให้ฟัง เรียกว่าเป็นสื่อสารมวลชนจนนาทีสุดท้ายของชีวิต

"เป้าหมายของการก่อตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ก็เพื่อให้คนไทยในกรุงเทพฯ มีความรู้เรื่องการเมืองในประชาธิปไตยอย่างแพร่หลาย เป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้สังคมไทยเห็นประชาธิปไตย และเสริมพื้นฐานประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้แข็งแกร่ง"

ในอีกด้านหนึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็แสดงให้เห็นว่า เสรีภาพของหนังสือพิมพ์นั้นจะอยู่ในตัวของคนทำหนังสือพิมพ์อยู่แล้ว ไม่มีใครสามารถมาเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นการดำรงไว้ซึ่งเสรีภาพของหนังสือพิมพ์ นักหนังสือพิมพ์ก็ต้องรู้จักประสานตนและเห็นแก่ประโยชน์สังคมเป็นหลัก

วิทยากรคนเดิมยังได้วิพากษ์บทประพันธ์ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เรื่อง "สี่แผ่นดิน" ไว้ 2 มุมด้วยกันคือ ถ้ามองในแง่ดีก็ทำให้เกิดเสรีภาพ แต่ในแง่ร้ายก็ทำให้เกิดความแตกแยกกันภายในสังคมได้เช่นกัน สังเกตได้จากการเมืองเมื่อ 60 ปีก่อน กับตอนนี้ไม่ได้ขยับก้าวหน้าไปไหนไกล การเมืองไทยตั้งแต่ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่ได้ต่างกันเลย

แม้จะมีบุคคลอย่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ผู้ที่ได้รับฉายาทางการเมืองว่า "เฒ่าสารพัดพิษ" ผู้ที่สามารถแสดงความเห็นทางการเมืองได้อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใด ๆ ได้รับฉายาว่า "เสาหลักประชาธิปไตย"

แต่จนถึงวันนี้ประชาธิปไตยของไทยก็ยังปักหลักอยู่ที่เสาต้นเดิมไม่ได้เติมหรือเพิ่มเสาต้นใดลงไปเสริมความมั่นคง แข็งแกร่งให้กับเสาต้นเดิมต้นเดียวอีกเลย

กลับมาที่ผลงานดีเด่นที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์แสดงให้เห็นแสนยานุภาพเหนือกองทัพไทย โดยการออกมาวิพากษ์บทบาทและหน้าที่ของทหารไทยอย่างตรงไปตรงมา

"ทหารไทยฉลาดไม่ได้ ทหารไทยทำตัวเหมือนกับม้าลำปาง ที่มัวแต่คอยลากรถเลื่อนไปวัน ๆ มองเห็นแต่ภาพข้างหน้าเท่านั้น ทิวทัศน์ข้าง ๆ และข้างหลังจะมองไม่เห็นเลย"

คงจะจริงดังที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เคยกล่าวไว้ เพราะมาถึงยุคปัจจุบัน อานันท์ ปันยารชุน ผู้ได้รับโจทย์ให้กล่าวถึง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ในหัวข้อการเมืองระหว่างประเทศ หยิบยกประโยคขึ้นมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพทหารไทยว่า "ทั้ง ๆ ที่ทหารไทยมีความฉลาดอยู่แล้ว แต่ไม่สามารถหยิบยกขึ้นมาใช้ได้ เพราะมัวแต่ทำตัวเป็นม้าลำปาง"

ก่อนจะอธิบายเสริมว่า คนเราจะพัฒนาได้ ต้องมองเห็นให้รอบได้ ไม่ได้มองจุดใดจุดหนึ่งเท่านั้น โดยทางกายภาพ แม้คนเราจะมองให้ครบ 360 องศาไม่ได้ แต่ในเรื่องแนวคิด เราควรมองให้รอบได้ เพื่อเป็นการชดเชยในเรื่องของกายภาพ ถ้าเราทำได้ เราก็จะสามารถพัฒนาตัวเองต่อไปได้

"เหมือนกับที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์สามารถทำได้ เป็นคนที่มองอะไรได้รอบด้าน มีมุมมองที่กว้างไกลมองทุกอย่างอย่างลึกซึ้ง"

ดังที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์มักจะพูดเสมอว่า ประเทศไทยจะมองเห็นแต่ประโยชน์ถาวรเท่านั้น แม้แต่มิตรประเทศก็ต้องหาชาติที่จะเป็นมิตรถาวรเท่านั้น

และสิ่งที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์บอกไว้เสมอคือ

"ประเทศไทยห้ามมีศัตรูถาวรเด็ดขาด"


อานันท์อธิบายเสริมว่า คำพูดนี้เป็นการบอกใบ้ให้สหรัฐอเมริการู้ว่า ความสัมพันธ์ของประเทศไทย คือการมีประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่ดำรงไว้ในลักษณะของกำลังทหาร ดังที่อเมริกามาตั้งฐานทัพ จ.อุดรธานีแม้สงครามเวียดนามสิ้นสุดลง

"อันเนื่องมาจากมีการลงนามระหว่างทหารไทยกับทหารอเมริกา เรื่องการมอบอำนาจอธิปไตยใน จ.อุดรธานีให้อเมริกา แบบไม่มีกำหนดเวลา ผมขอบอกว่า เป็นสัญญาที่อุบาทว์ที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่งในการลงนามระหว่างประเทศ ที่ใช้คำว่า ไม่มีกำหนดเวลา

หากเรื่องนี้ผ่านทางรัฐบาลพลเรือน ผ่านมาทางกระทรวงการต่างประเทศจะไม่มีการปล่อยผ่านอย่างแน่นอน เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศในยุคก่อนไม่มีน้ำยาพอ จนกระทั่งยุคของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จึงได้ปรับปรุงกระทรวงการต่างประเทศให้ดีขึ้นกว่ายุคนั้น นับเป็นครั้งแรกที่ระบบการเมืองสามารถควบคุมระบบทหารได้" คำกล่าวที่นายอานันท์ยกย่องและยอมรับในความสามารถของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ พร้อมยกตัวอย่างสิ่งที่เขาได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกับปูชนียบุคคลของประเทศไทยถึงการบริหารงานภายในประเทศของไทย

"ปัญหาไหนก็ตามภายในประเทศที่ไม่สามารถแก้ได้และ แก้ไม่ตก รัฐบาลชุดนั้นมักจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษา เรื่องนั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ หรือแสดงว่ารัฐบาลชุดนั้นไม่มีศักยภาพเลย แล้วทิ้งค้างไว้อยู่อย่างนั้นโดยไม่สามารถแก้ปัญหานั้นได้เลย"

นี่คือแนวคิดคำคมที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฝากไว้ในสังคมไทย นอกเหนือจากผลงานในฐานะศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ มีผลงานที่โดดเด่นมากกว่า 200 เรื่อง ทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น และเรื่องแปล และบทบาทอื่น ๆ อีกมากมายเกินที่จะกล่าว ได้หมดในกระดาษเพียงแผ่นเดียว

บุคคลผู้มีวาทศิลป์เป็นเลิศชวนให้จดจำ แม้กระทั่งการอธิบายชื่อของตัวเองด้วยการผวนคำ "คึกฤทธิ์ ก็คือ คิดลึก"

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #703 เมื่อ: 24 กุมภาพันธ์ 2555, 14:23:38 »

เปิดปูมหลังธุรกิจ “โต้ง” สัมพันธ์ลึกบิ๊กอสังหาฯ “แสนสิริ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เผยบริษัทรับปรึกษาทางธุรกิจ-นายหน้าของ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” เคยให้ “เศรษฐา” เข้าร่วมหุ้นทำกิจการด้วยกันนาน 5 ปี นอกจากนี้ยังพบว่าน้องสาวนายกิตติรัตน์ ยังเข้าไปถือหุ้นในบิ๊กอสังหาฯ ที่เจ้าของเคยร่วมแข่งฟุตบอลนัดพิเศษกับ “กิตติรัตน์-เศรษฐา” ช่วงต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา รวมถึงบางบริษัทมีนามสกุล “ทวีสิน” ร่วมนั่งเป็นกรรมการด้วย
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่ามกลางความสงสัยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขอ ว.5 ไปทำธุรกิจส่วนตัวอะไร ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2555 จนเป็นประเด็นฮือฮาทั้งประเทศ ต่อมาภายหลังปรากฏเป็นข่าว มีบุคคลที่ถูกพาดพิงอย่างน้อย 2 คน คือ นายเศรษฐา ทวีสิน และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ออกมายอมรับว่าเข้าร่วมสนทนากับนายกฯจริง แต่เป็นการพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไปนั้น
       
       เรื่องสวนทางกับข้อมูลที่ปรากฏเผยแพร่เป็นข่าวว่าหัวข้อสนทนาในวันนั้น คือ การเลื่อนการประกาศประเมินราคาที่ดินและการบังคับใช้ผังเมืองใหม่ออกไปก่อน ทำให้เกิดข้อครหาว่ากลุ่มธุรกิจอสังหาฯที่รับรู้ข้อมูลภายใน (อินไซเดอร์) อาจได้รับผลประโยชน์จากนโยบายรัฐด้วยหรือไม่?
       
       อย่างไรก็ดี ถ้าไม่นับ “ตำแหน่งสาธารณะ” คือ “นายกรัฐมนตรี” ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับตำแหน่งอดีตผู้บริหาร บมจ.เอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีครอบครัวพี่ชายนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นเจ้าของ
       
       และถ้าไม่นับกรณีการเข้าร่วมซื้อซองประกวดราคาที่ดินย่านรัชดาของ บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ และ บมจ.แสนสิริ ก่อนที่ทั้ง 2 รายจะถอนตัวให้คุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็นผู้ชนะประมูล
       
       การจะรวบรัดว่าการเจรจาลับดังกล่าวอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่? ขอให้ดูปูมหลังทางธุรกิจระหว่างนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กับผู้ประกอบธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งผู้สื่อข่าวตรวจสอบพบว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นเจ้าของธุรกิจให้คำแนะนำปรึกษาทางธุรกิจ ให้คำแนะนำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ เป็นนายหน้าตัวแทนอย่างน้อย 3 แห่ง
       
       1. บริษัท คาเธ่ย์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 20 มกราคม 2541 ทุนปัจจุบัน 25 ล้านบาท
       
       2. บริษัท เอซี.ซีเนียร์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 15 มิถุนายน 2542 ทุน 750,000 บาท
       
       3. บริษัท รัตนโกสินทร์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 3 มกราคม 2544 ทุน 1 ล้านบาท
       
       โดยที่ทั้ง 3 แห่งมีที่ตั้งเดียวกันเลขที่ 65 หมู่บ้านหมู่บ้านวิลล่า นครินทร์ ซอยสุขาภิบาล 21 ถนนสุขาภิบาล 2 แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ ที่น่าสนใจพบว่า “หุ้นส่วน”รายหนึ่งของนายกิตติรัตน์ในบริษัท คาเธ่ย์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ จำกัด คือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งในสำเนารายชื่อผู้ถือหุ้นระบุ บมจ.แสนสิริถือหุ้นมาตั้งแต่ 19 เม.ย.42
       
       ณ วันที่ 8 มีนาคม 2544 บริษัท คาเธ่ย์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ จำกัด มีผู้ถือหุ้น 11 ราย อาทิ
       
       1. นายกิตติรัตน์ ถือหุ้นใหญ่ 1,390,000 หุ้น
       
       2. บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) 500,000 หุ้น
       
       3. นายโรเบิร์ต พอลล์ วอเร็นซ์ คอลลินซ์ 250,000 หุ้น
       
       จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร่วมกับนายกิตติรัตน์เรื่อยมากระทั่งวันที่ 29 มิ.ย. 2547 ได้โอนหุ้นให้นางเกสรา ณ ระนอง ภรรยานายกิตติรัตน์ ก่อนที่หุ้นของนายกิตติรัตน์ และนางเกสรา จะถูกโอนให้กองทุนส่วนบุคคล นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง โดย บลจ.กรุงศรี จำกัด และกองทุนส่วนบุคคล นางเกสรา ณ ระนอง โดย บลจ.กรุงศรี จำกัด หลังนายกิตติรัตน์ เข้ารับตำแหน่งรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพณิชย์ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา
       
       นอกจากความสัมพันธ์โดยตรง จากการตรวจสอบพบว่า นางอรฤดี ณ ระนอง น้องสาวนายกิตติรัตน์ เป็นกรรมการ และถือหุ้น บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) 6,841,000 หุ้น
       
       ทั้งนี้ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) ประกอบพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทุนจดทะเบียน 764,770,615 บาท มีบริษัท อเดลฟอส จำกัด ของนายฐาปน สิริวัฒนภักดี นายปณต สิริวัฒนภักดี เป็นเจ้าของ (นายฐาปน สิริวัฒนภักดี เคยร่วมแข่งฟุตบอลนัดพิเศษ ไพร์มมินิสเตอร์คัพ สตรีท ซอคเกอร์ ร่วมกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2555)
       
       นอกจากนี้ นางอรฤดียังเป็นกรรมการ บริษัทในเครือ บมจ.ยูนิเวนเจอร์อีก 9 บริษัท หนึ่งนั้นคือ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด ประกอบธุรกิจ ค้าอสังหาริมทรัพย์-อาคารชุด ซึ่งมีบริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ถือหุ้นใหญ่
       
       ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ มีทุนจดทะเบียน 1,475,698,768 บาท กลุ่มนายสุเมธ เตชะไกรศรี ถือหุ้นใหญ่ มีกรรมการ 14 คน โดยในจำนวนนี้ปรากฏชื่อ นายปกรณ์ ทวีสิน ร่วมเป็นกรรมการด้วย
       
       แหล่งที่มา : ข่าว เปิดหลักฐาน“กิตติรัตน์”หุ้นส่วน“แสนสิริ”-บิ๊กอสังหาฯ โยงปม“ปู ว.5”โฟร์ซีซันส์? โดย สำนักข่าวอิศรา

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #704 เมื่อ: 24 กุมภาพันธ์ 2555, 21:23:59 »

มท.รับมีกลุ่มจ้องทำลายสถาบันจริง

  posttoday.com 

มท.รับมีกลุ่มจ้องทำลายสถาบันจริง สั่ง ผู้ว่าฯ-นายอำเภอสร้างความเข้าใจ หลังพบกลุ่มจ้องทำลายสถาบันฯ 9 จังหวัด


ที่กระทรวงมหาดไทย นายประชา เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า
กระทรวงมหาดไทยได้จับตาดูกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมจ้องทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ใน 9 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา นครสวรรค์ อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย สงขลา และกรุงเทพมหานคร ว่า ทุกประเทศมีวัฒนธรรมแตกต่างกัน อาจมีกลุ่มสายเลือดใหม่ที่อยู่เมืองนอกมานานซึมซับระบบประชาธิปไตยจ๋า แต่ประเทศไทยในประวัติศาสตร์ระบบการรวมเป็นชาติ มาจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง จนอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถูกสละโดยรัชกาล7 ดังนั้น สถาบันกษัตริย์ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้กับประชาชนเลย และตลอดชีวิตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทุ่มพระวรกาย ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ของประชาชนทุกภูมิภาคตลอดเวลา

นายประชา กล่าวต่อว่า ได้กำชับไปยังผวจ.และอำเภอแล้ว ซึ่งเรื่องเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผู้ที่มีความคิดนี้ถือว่าอกตัญญูต่อแผ่นดิน และฝากไปถึงผู้ว่าฯในพื้นที่เป้าหมายว่า ในเร็วๆนี้ ตนและปลัดกระทรวงมหาดไทย จะลงไปกำกับดูแลเรื่องนี้ด้วยตนเองอย่างใกล้ชิด และมองว่าประชาชนรากหญ้าทุกภูมิภาค 99% ส่วนใหญ่จะเข้าใจและซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ คงมีพลเมืองอกตัญญูที่ไม่น่าจะถึง1% ดังนั้น ต้องสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนชาวรากหญ้า ให้ทราบถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์ โดยเผยแพร่ผ่านวิทยุชุมชน และหอกระจ่ายข่าวหมู่บ้าน

“คนกลุ่มนี้คงเป็นพวกนักเรียนนอก หรือไม่ก็นักเรียนไทยหัวนอก แต่ไม่เป็นไร เราก็ต้องสร้างความเข้าใจ อาจเป็นคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยเห็นพระราชกรณียกิจ ยอมรับว่าที่ผ่านมาอาจปล่อยปละละเลยเกินไป เพราะพลเมืองมากขึ้น สื่อต่างๆเยอะ การเข้าถึงสื่อมีหลากหลาย โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ที่โพสต์กันหลากหลาย” นายประชา กล่าว
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #705 เมื่อ: 02 มีนาคม 2555, 17:15:53 »

  ประเทศไทยต้องได้ผู้นำประเทศแบบนี้ ค่อยๆอ่านนะ แหมอยากแปลเป็นไทยให้หลายๆคนอ่านจัง
 แต่ไม่เก่งพอ..ขออภัย


She Did It Again!!!
 
 
Australia says NO -- Second Time she has done this!


She sure isn't backing down on her hard line stance and one has to appreciate her belief in the rights of her native countrymen.

A breath of fresh air to see someone lead. Australian Prime Minister does it again!!

The whole world needs a leader like this!

Prime Minister Julia Gillard - Australia

Muslims who want to live under Islamic Sharia law were told on Wednesday to get out of Australia, as the government targeted radicals in a bid to head off potential terror attacks.

Separately, Gillard angered some Australian Muslims on Wednesday by saying she supported spy agencies monitoring the nation's mosques. Quote: 'IMMIGRANTS, NOT AUSTRALIANS, MUST ADAPT... Take It Or Leave It. I am tired of this nation worrying about whether we are offending some individual or their culture. Since the terrorist attacks on Bali, we have experienced a surge in patriotism by the majority of Australians.'

'This culture has been developed over two centuries of struggles, trials and victories by millions of men and women who have sought freedom.'

'We speak mainly ENGLISH, not Spanish, Lebanese, Arabic, Chinese, Japanese, Russian, or any other language. Therefore, if you wish to become part of our society, learn the language!'

'Most Australians believe in God. This is not some Christian, right wing, political push, but a fact, because Christian men and women, on Christian principles, founded this nation, and this is clearly documented. It is certainly appropriate to display it on the walls of our schools. If God offends you, then I suggest you consider another part of the world as your new home, because God is part of our culture.'

'We will accept your beliefs, and will not question why. All we ask is that you accept ours, and live in harmony
 and peaceful enjoyment with us.'

'This is OUR COUNTRY, OUR LAND, and OUR LIFESTYLE, and we will allow you every opportunity to enjoy all this. But once you are done complaining, whining, and griping about Our Flag, Our Pledge, Our Christian beliefs, or Our Way of Life, I highly encourage you take advantage of one other great Australian freedom, 'THE RIGHT TO LEAVE'.'

'If you aren't happy here then LEAVE. We didn't force you to come here. You asked to be here. So accept the country YOU accepted.'

NOTE: IF we circulate this amongst ourselves in Canada &USA, WE will find the courage to start speaking and voicing the same truths.

If you agree please SEND THIS ON and ON, to as many people as you know...
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #706 เมื่อ: 06 มีนาคม 2555, 03:38:47 »

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=P5wOfwX7Kf4" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=P5wOfwX7Kf4</a>
      บันทึกการเข้า

อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #707 เมื่อ: 06 มีนาคม 2555, 08:01:36 »


     สวัสดีค่ะ พี่วณิชย์....

       การเดินทางราบรื่นดีนะคะ.............คิดถึงค่ะ....ขอโทษที่ไม่ได้ร่ำลากันก่อนพี่กลับเมกา...

       การไม่ได้ลาแสดงว่าเราจะได้พบกันอีก..ใช่ไหมคะ?....(เคยอ่านจากไหนไม่รุเหมือนกันค่ะ)
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #708 เมื่อ: 06 มีนาคม 2555, 21:02:35 »

ผู้ตรวจฯ ชี้ “ปู” ตั้ง “นลินี-ณัฐวุฒิ” ไม่รอบคอบ จี้พิจารณาใหม่ 30 วัน

ผู้ตรวจฯ ชี้ “นลินี-ณัฐวุฒิ” นั่ง รมต.ไม่ผิด แต่นายกฯ ไม่รอบคอบ ตั้งคนติดแบล็กลิสต์-ผู้ต้องหาก่อการร้ายเป็นรัฐมนตรี ทำเสื่อมเสียเกียรติภูมิชาติ-ปชช.ไม่เชื่อถือศรัทธา ส่งหนังสือถึง “ยิ่งลักษณ์” ให้พิจารณาใหม่ใน 30 วัน พร้อมจี้ปรับปรุงหลักเกณฑ์-คุณสมบัติผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีครอบคลุมถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมด้วย

 วันนี้ (6 มี.ค.) การประชุมคณะผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่มีนางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นประธาน ได้ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงในการพิจารณาคำร้องของกลุ่มการเมืองสีเขียว (กลุ่มกรีน) ที่ขอให้ตรวจสอบจริยธรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้งนางนลินี ทวีสิน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็ฯรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
       
       ภายหลังการประชุม นางผาณิตแถลงว่า กรณีร้องเรียนนางนลินี จากข้อเท็จจริงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ชี้แจงว่า นางนลินีเป็นผู้ถูกกำหนดชื่อใน Specially Designated National (SDN) ตั้งแต่ปี 2551 โดยสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างชาติ กระทรวงการคลัง สหรัฐอเมริกา(Office of Foreign Assets Control (OFAC), U.S. Department of the Treasury)
       
       ส่วนกรณีร้องเรียน นายณัฐวุฒิ ที่เคยเป็นแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ หรือ นปช. ข้อเท็จจริงพบว่า ถูกตั้งข้อหาร้ายแรงในคดีก่อการร้าย และขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ซึ่งทางผู้ตรวจฯ เห็นว่า ข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นกับบุคคลทั้งสอง เกิดขึ้นและเป็นการกระทำก่อนที่บุคคลดังกล่าวจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งเป็นข้าราชการการเมือง ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง 2551 จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระทำฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมตามระเบียบ จึงวินิจฉัยให้ยุติการพิจารณา
       
       สำหรับกรณีร้องเรียน นายอำพน ตามข้อเท็จจริงพบว่า เลขาธิการคณะรัฐมนตรีทำการตรวจสอบประวัติผู้ได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้ง โดยยึดตามแบบแสดงประวัติผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเพื่อประกอบพระบรมราชวินิจฉัย (แบบ รมต.1) และแบบแสดงคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีใช้ตรวจสอบและรับรองตนเอง (แบบ รมต.2) เท่านั้นและถือปฏิบัติเช่นนี้มาโดยตลอด ผู้ตรวจฯ การจึงเห็นว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าในการตรวจสอบคุณสมบัติของนางนลินีและนายณัฐวุฒิเลขาฯ ครม.ปฏิบัติแตกต่างจากที่เคยปฏิบัติมาจึงให้ยุติเรื่อง
       
       แต่ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญมาตรา 279 วรรคสี่ บัญญัติให้การแต่งตั้งบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้อำนาจรัฐต้องคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคล ผู้ตรวจฯ จึงเห็นควรใช้อำนาจตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะให้เลขาฯ ครม.ปรับปรุงวิธีการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีให้ครบถ้วน ครอบคลุมถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เพื่อประกอบการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในคราวต่อๆ ไป
       
       ส่วนกรณีนายกรัฐมนตรีนั้นผู้ตรวจฯ เห็นว่า การแต่งตั้งบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐในตำแหน่งรัฐมนตรี กฎหมายไม่ได้กำหนดเพียงให้พิจารณาแค่เรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 174 เท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมที่กำหนดไว้ในมาตรา 279 วรรคสี่ ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อให้ได้คนดี มีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรมจริยธรรม เข้าไปดำรงตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐ ไม่ใช่ได้แต่เพียงคนเก่ง ซึ่งในกรณีการแต่งตั้งนางนลินีนั้น นางนลินีมีชื่อในบัญชีของสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างชาติ กระทรวงการคลัง สหรัฐอเมริกา แม้จะเป็นการประกาศฝ่ายเดียวของสหรัฐ แต่ก็ส่งผลให้ผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีดังกล่าวถูกห้ามทำธุรกรรมทางการเงินกับพลเมืองชาวอเมริกัน ถูกอายัดทรัพย์สินที่มีอยู่ในเขตอำนาจของสหรัฐฯ ไม่สามารถติดต่อธุรกรรมประเภทที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือทางการเงินจากสหรัฐ และถูกห้ามเข้าประเทศสหรัฐฯ อีกทั้งประกาศบัญชีรายชื่อนี้ไม่มีกำหนดวันหมดอายุของการบังคับใช้ และไม่มีกำหนดเวลาในการทบทวนรายชื่อ เพียงแต่นางนลินีสามารถอุทธรณ์หรือแสดงหลักฐานเพื่อโต้แย้งได้โดยตรงกับสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างชาติ สหรัฐฯ
       
       “ตรงนี้ผู้ตรวจฯ เห็นว่า แม้นางนลินีจะมีคุณสมบัติ และไม่มีข้อห้ามใดๆ ในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตามกฎหมายไทย แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามที่สถานทูตระบุ นายกฯ ในฐานะมีหน้าที่กำกับดูแลรัฐมนตรีให้เป็นไปตามระเบียบของสำนักนายกฯ ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 ควรพิจารณาด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งว่าการแต่งตั้งนางนลินี อาจจะกระทบความไม่เชื่อถือศรัทธาในสายประชาชน และก่อให้เกิดความเสื่อมเสียเกียรติภูมิของชาติหรือไม่โดยควรนำระเบียบสำนักนายกว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองข้อ 9 10 และ 27 มาใช้พิจารณา”
       
       ขณะที่ การแต่งตั้งนายณัฐวุฒินั้น แม้ว่าคดีก่อการร้ายจะอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ซึ่งยังไม่มีคำพิพากษา แต่เมื่อพิจารณาถึงการกระทำของนายณัฐวุฒิที่พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องคดีต่อศาล จึงเห็นว่านายกฯ ยังไม่ได้นำพฤติกรรมทางจริยธรรมของนายณัฐวุฒิมาประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบเพียงพอ ก่อนเสนอชื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี จึงเห็นควรใช้อำนาจตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะให้นายกฯ ไปพิจารณาการแต่งตั้งรัฐมนตรีทั้ง 2 ตำแหน่งให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 279 วรรคสี่ พร้อมกับเสนอให้กำหนดมาตรการและวิธีปฏิบัติในการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีขึ้นโดยเร็ว เพื่อให้ใช้ในการแต่งตั้งรัฐมนตรีในคราวต่อๆ ไปโดยต้องคำนึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลอย่างเคร่งครัด
       
       “ผู้ตรวจฯ ได้แยกการพิจารณาการดำเนินการทางกฎหมายและจริยธรรมออกจากกัน ซึ่งหากมองจริยธรรมทางลึกแล้วไม่ถึงขั้นเป็นความผิดร้ายแรงที่ต้องส่งให้กับทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถอดถอน แต่อาจจะเพราะนายกฯ ไม่รอบคอบเพียงพอในการแต่งตั้งบุคคลทั้ง 2 เป็นรัฐมนตรี โดยลืมดูไปว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 279 บัญญัติให้การตั้งบุคคลต้องคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรม ทางผู้ตรวจฯ จึงจะมีหนังสือให้นายกฯ ไปพิจารณาการแต่งตั้งบุคคล 2 ให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ แล้วแจ้งให้ทางผู้ตรวจทราบภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ หากนายกฯ นิ่งเฉย ตามขั้นตอนทางผู้ตรวจฯ ก็ต้องทำหนังสือเตือน และต่อไปก็ทำรายงานต่อรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี”
       
       เมื่อถามว่าการให้นายกฯ พิจารณาการแต่งตั้งบุคคลทั้งสองเป็นรัฐมนตรีมีความหมายถึงการให้บุคคลทั้งสองออกจากการเป็นรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นางผาณิตเลี่ยงที่จะตอบ โดยกล่าวเพียงว่า ให้นายกฯ พิจารณา ซึ่งผู้ตรวจฯ อยากให้การแต่งตั้งบุคคลที่จะเข้าไปใช้อำนาจรัฐทุกตำแหน่งเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 279 วรรคสี่บัญญัติไว้ และอยากให้ถือว่าการพิจารณากรณีนี้เป็นบรรทัดฐานให้รัฐบาลถือปฏิบัติในการแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในคราวต่อไป

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #709 เมื่อ: 08 มีนาคม 2555, 22:55:43 »

Some Japanese Still in the Dark Over Thailand’s Flood Plan

   

By Eleanor Warnock

Thai Prime Minister Yingluck Shinawatra’s mission to reassure Japanese investors rattled by last year’s supply chain-busting floods appears to be getting something of a mixed response.

    Thai Prime Minister Yingluck Shinawatra meets with Japanese residents in Natoti, Miyagi prefecture in the tsunami disaster zone on March 8.

Her government has promoted Ms. Yingluck’s visit to Japan this week as an opportunity to win back the confidence of Japanese businesses affected by the devastating floods. The inundation knocked out the distribution of crucial car and electronics components world wide. Japanese firms were particularly badly affected. Japan is the single largest foreign investor in the country, and a Japan External Trade Organization survey released earlier this month reported that 67% of firms exporting to or investing in Thailand were hit by the deluge, which also claimed several hundred lives and drenched large swathes of the capital, Bangkok.

Not surprisingly, many Japanese executives were keen to hear about Thailand’s $11 billion plan to shore up its flood defenses, which was drafted in part by Ms. Yingluck’s brother, former leader Thaksin Shinawatra, who now lives overseas after Thailand’s armed forces ousted him from power in 2006.

So, with a Japanese-language copy of her speech already handed out to an eager audience at the Japan Chamber of Commerce Wednesday, Ms. Yingluck arrived to make her big pitch – in Thai.

For seven minutes, Ms. Yingluck, 44 years old, spoke to the hundred-strong audience without any accompanying translation, leaving many of the attending business leaders wondering quite what she was talking about and awkwardly scanning their hand-outs for clues.

Ms. Yingluck then left the room in silence, smiling and bowing as she went.

A representative from a travel company remarked that attendees were appreciative of Ms. Yingluck’s attempts to boost their confidence and explain Thailand’s new flood-prevention measures. But he also said it was “a bit weird” that her team didn’t provide a simultaneous translation.

Perhaps stranger still, Ms. Yingluck, who has a master’s degree from Kentucky State University in the U.S., could have chosen to speak in English, a language which some people in the audience also speak. It could be, though, that Ms. Yingluck wasn’t entirely confident in English. A video of her greeting visiting U.S. Secretary of State Hillary Clinton in Thailand last year by saying “overcome” instead of “welcome” got heavy play on YouTube, while Ms. Yingluck’s political opponents sometimes unfavorably compare her prowess with the language with that of her predecessor, Eton-and-Oxford educated Abhisit Vejjajiva.

Thai government officials couldn’t immediately be reached for comment.

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #710 เมื่อ: 10 มีนาคม 2555, 09:14:04 »

ได้อ่านบทความดีๆที่ประเทืองสติปัญญา จึงเอามให้เพื่อนๆได้อ่านกัน
ลองอ่านและคิด...


วิวาทะ “คอร์เนล” การเมืองไทย : ภายใต้ปีกพญาอินทรี (ตอน 5)
โดย ยุค ศรีอาริยะ  คือนามปากกาของ ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ

ลูกศิษย์... ผู้ยอมจำนน
       
       อาจารย์เกษียร เล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่า ผมเป็นลูกศิษย์ James Petras ผมคงไม่ปฏิเสธว่า ผมทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกโดยมีอาจารย์ Petras เป็นที่ปรึกษาหลัก
       
       สาเหตุที่ผมขอให้อาจารย์เป็นที่ปรึกษาหลัก เพราะท่านเป็นอาจารย์ที่เชี่ยวชาญการเมืองในละตินและการเมืองอเมริกาอย่างมากๆ จนท่านมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
       
       ส่วนท่านอาจารย์ Wallerstien ท่านชอบสร้างภาพ “รัฐ” แบบหลวมๆ อย่างมากๆ เพราะท่านกลัวว่า ทฤษฎี หรือ กรอบคิด ที่แข็งเกินไป จะไปจำกัดการคิดวิเคราะห์อย่างเช่น เวลาที่ท่านพูดถึง “รัฐศูนย์กลาง” ท่านก็จะใช้หลักง่ายๆ ว่าเป็น “รัฐที่เข้มแข็ง” เท่านั้น ส่วน “รัฐชายขอบ” คือ “รัฐที่อ่อนแอ”
       
       ส่วนอาจารย์ James Petras คิดว่า ต้องวางกรอบแนวคิดให้ชัดเจน ท่านจึงเสนองานเรื่อง “รัฐจักรวรรดินิยม” ขึ้น อย่างลงรายละเอียดค่อนข้างมาก และท่านพยายามเสนอว่า รัฐจักรวรรดิดังกล่าวมีอำนาจครอบงำประเทศในโลกที่สามได้อย่างไร โดยเฉพาะที่ละตินอเมริกา
       
       ผมเองเชื่อว่า ระบบโลกมีระบบเครือข่ายอำนาจรัฐ หรือ Empire ซึ่งสามารถเชื่อมรัฐจักรวรรดิและรัฐชายขอบเข้าเป็นหนึ่งเดียว
       
       ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ Petras มาก และคิดว่า น่าจะทำวิทยานิพนธ์เรื่อง “รัฐทุนนิยมชายขอบ”
       
       แต่พอถึงช่วงจะเขียนวิทยานิพนธ์ ผมเริ่มเปลี่ยนใจ
       
       ผมไปเจออาจารย์ Petras และบอกอาจารย์ว่า เดิมที ผมจะสร้างทฤษฎีว่าด้วยรัฐชายขอบ ซึ่งคงคล้ายๆ กับแนวคิดของอาจารย์ โดยใช้ประเทศไทยเป็นแบบ
       
       แต่ต่อมา หลังจากผมศึกษาทฤษฎีต่างๆ ว่าด้วย “รัฐ” ในโลกตะวันตกแล้ว ผมพบว่า ทฤษฎีว่าด้วยรัฐศูนย์กลางมีข้ออ่อนมาก ผมจึงสนใจคิดสร้างทฤษฎีว่าด้วย “Empire” ขึ้นมาใหม่
       
       อาจารย์ Petras แนะว่า
       
       ผมควรจะทำเรื่อง “รัฐชายขอบ” เพราะถ้าผมทำทฤษฎีว่าด้วยรัฐศูนย์กลาง หรือ Empire ผมต้องใช้เวลาทำวิทยานิพนธ์ไม่น้อยกว่า 10 ปี แต่ถ้าทำเรื่องรัฐชายขอบ ผมคงใช้เวลาอีกสัก 3 ถึง 4 ปี
       
       ผมแย้งอาจารย์ว่า
       
        “ถ้าเรายังไม่สามารถทำภาพ รัฐที่ศูนย์กลาง ให้ชัดเจน แล้วจะสร้างภาพ รัฐชายขอบ ได้อย่างไร”
       
       อาจารย์บอกให้ผมลองไปคิดดู
       
       อีก 10 ปี ค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก อีกเท่าไหร่ ผมคิด... แล้วก็จนมุม
       
       สาเหตุที่ต้องใช้เวลาอีก 10 ปี ก็เพราะว่าพื้นที่ในการศึกษาเรื่องรัฐแบบ Empire ต้องกว้างมาก และช่วงเวลาศึกษาทางประวัติศาสตร์ก็ต้องยาวมากเช่นกัน
       
       แต่ถึงอย่างไร ผมก็อยากจะศึกษาเรื่องนี้มาก เพราะผมอยากจะพิสูจน์ว่า นักวิชาการโลกที่สามอย่างผม ก็สามารถคิดในระดับทฤษฎี หรือสามารถสร้างทฤษฎีของตัวเองได้
       
       ผมก็...โชคดีอย่างมาก เพราะในช่วงก่อนที่ผมจะทำวิทยานิพนธ์ ผมล้มป่วยหนักมาก เป็น...ตาย เท่ากัน
       
       ไม่รู้จะรักษาตัวเองอย่างไร ผมฝึกนั่งสมาธิเพื่อสงบจิตใจ
       
       การนั่งสมาธิ ช่วยทำให้ผมตระหนักรู้ว่า สาเหตุหลักที่ผมล้มป่วยหนักครั้งนี้ มีรากกำเนิดจาก “ใจ” ของผมเอง ผมเป็นคนที่อหังการมาก จึง “หลง” จมเข้าไปอยู่ในโลกของสงคราม
       

       ผมใช้ชีวิตอยู่ในโลกของสงครามตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา สืบทอดมาจนถึง 6 ตุลา ในช่วงแรก ผมต้องต่อสู้ทำสงครามล้มรัฐทหาร และต่อมายังต้องหันไปทำสงครามสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
       
       ตอนที่ผมเรียนอยู่อเมริกา ผมมีเพื่อนๆ นักศึกษาที่มาจากประเทศโลกที่สาม หลายคนคิดคล้ายๆ กับผม โดยเฉพาะเพื่อนๆ ชาวเกาหลี
       
       เพื่อนชาวเกาหลี ไม่มีใครสักคนที่เรียนจบปริญญาเอก เพราะคนเหล่านี้ล้วนคิดอย่างเป็นตัวของตัวเองมาก
       
       ผมบอกเพื่อนๆ ชาวเกาหลีว่า
       
       ผมเรียนจบ...เพราะผมยอมจำนน ยอมใช้ทฤษฎีของอาจารย์เป็นหลัก
       
       ผมกล่าวกับเพื่อนๆ ทำนองว่า
       
       ที่จริงแล้ว ผมอยากจะสร้างทฤษฎีของตัวเองขึ้นมาบ้าง แต่ในที่สุด ผมก็เปลี่ยนใจ เพราะวันหนึ่ง มีเพื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่งท่านชอบเล่นปิงปองกับผม ท่านมีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่น และได้ถ่ายรูปปั้นพระพุทธเจ้าที่ท่านพบมา มอบให้กับผม
       
      ผมจบปริญญาเอกเพราะภาพพระพุทธเจ้าองค์นี้ ซึ่งเป็นภาพของพระพุทธเจ้าผู้นั่งอยู่บนฐานดอกบัว นั่งพนมมือไหว้สิ่งต่างๆ
       
       ภาพนี้เอง ทำให้ผมคิดขึ้นได้ว่า
       
       การเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่เพื่อหาความรู้ หรือสร้างทฤษฎีใหม่ๆ แต่ต้องเรียนเพื่อ “พบ” และทำลายความ “อหังการ” ของตัวเอง
       
       ภาพนี้ทำให้ผมระลึกถึงคำสอนของท่านพุทธทาส ที่ท่านสอนเสมอว่า “เราต้องตาย ก่อนจะตาย”

       
       หลังจบรับปริญญา ผมยังจำได้ เพื่อนรักชาวเกาหลีคนหนึ่งกล่าวกับผมทำนองว่า
       
       คนโลกที่สาม อย่างคุณ หรือ ผม ไม่มี “ฐานะ” หรือ “สิทธิ์” ที่จะคิดงานระดับสร้างทฤษฎีของตัวเอง และถึงคิดได้ ก็ไม่มีใครสนใจหรอก เพราะบรรดาทฤษฎีที่จะได้รับ “การยอมรับ” ต้องผลิตโดยนักวิชาการตะวันตกที่มีชื่อเสียง
       
       อะไรคือ อำนาจอย่างอ่อนๆ
       
       ดังที่ผมกล่าวมาแล้วว่า ผมคิดว่าระบบจักรวรรดิอเมริกามีอำนาจ 2 อำนาจประกอบกัน คือ อำนาจแข็ง (Hard Power) กับอำนาจอ่อน (Soft Power) เรื่องอำนาจแข็งนั้น ผมคิดว่าเราเข้าใจได้ง่ายกว่าอำนาจอย่างอ่อนๆ
       
       แต่พลังอำนาจอย่างอ่อนๆ (Soft Power) มีพลังแทรกซึมมาก อย่างเช่น สื่อตะวันตก หรือทฤษฎีต่างๆ ที่ผลิตจากมหาวิทยาลัยซึ่งเป็น “แหล่งทฤษฎีตะวันตก” จะถูกมองในมิติค่อนข้างดี และเชิงบวก
       
       สาเหตุหนึ่งเพราะคนไทยทั่วไปมักคิดว่า สิ่งที่สื่อตะวันตกผลิต (ความรู้ หรือ ข่าวสาร) เป็นทั้ง “ความรู้” และ “ความจริง”
       
       ยิ่งบรรดาทฤษฎีตะวันตกได้อ้างว่า “เป็นวิทยาศาสตร์” ด้วยแล้ว ผู้คนจำนวนหนึ่งในโลกที่สามก็ยึดติดหรือหลงใหลว่า “จริงแท้” และ “แน่นอน”
       
       เพื่อนของผมจำนวนหนึ่ง หรือชาวคอมฯ เก่าๆ ยังคงหลงใหลและศรัทธาลัทธิมาร์กซ์ และเหมา อย่างสุดๆ เพราะเชื่อว่า ลัทธิทั้งสองคือ “สัจธรรม” หรือ “เป็นวิทยาศาสตร์”
       
       ความเชื่อเหล่านี้ได้ฝังราก จนกลายเป็นอุดมการณ์ของชีวิต บางคนยอมตายเพื่อการปฏิวัติสังคมนิยม หรือเพื่อสร้างสังคมคอมมิวนิสต์
       
       ยิ่ง...ความเชื่อบางประการ...ก็ผ่านอิทธิพลหรือสิ่งที่เรียกว่า “การโฆษณาชวนเชื่อ” ที่ถูกผลิตซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกลายเป็น “ความจริง” ที่ฝังลึกในจิตใต้สำนึก
       
       ไม่ต่างจากการโฆษณาเรื่อง เป๊ปซี่ดีที่สุด เวลาเราไปสั่งอาหาร โดยอัตโนมัติ ก็ต้องสั่งแป๊ปซี่ก่อน
       
       บางครั้งการโฆษณาสามารถก่อรูป “ความเกลียดชัง” อย่างฝังรากลึก อย่างเช่น คนบางคนเกลียดๆๆๆๆ สถาบันฯ เพราะล้าหลัง และอำนาจนิยม
       
       อย่างเช่น ถ้าจะคิดว่า “อะไรคือ ประชาธิปไตย” เราก็จะพูดโดยไม่คิด ว่าคือ “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน”
       
       เราเกือบไม่ต้องคิด เพราะความเข้าใจนี้ฝังรากอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา
       
       ผู้คนทั่วโลก ทั้งโลกตะวันตกและในโลกตะวันออก ล้วนตกอยู่ภายใต้อำนาจของ Soft Powerไม่ต่างกัน
       
       ตัวอย่างเช่น
       
       ถ้าเราคิด “ถึง” โลกตะวันตก เราก็เชื่อว่า เจริญ ก้าวหน้า และเป็นประชาธิปไตย หากคิด “ถึง” โลกตะวันออก เรามักจะใช้คำว่า ล้าหลัง และอำนาจนิยม
       
       วันหนึ่ง ผมได้อ่านจดหมายจากอธิการบดี...ถึงอธิการบดี ของอาจารย์ชาญวิทย์ โดยไม่ตั้งใจ ผมพบคำว่า “ล้าหลัง และอำนาจนิยม” และใช้คำว่า “ประชาธิปไตย คือการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” ผมจึงยกเอาคำเขียนของท่านมาพูดถึง
       
       ผมต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ที่กล้าบังอาจกล่าวถึงท่าน
       
       ที่จริงแล้ว ผมเคารพอาจารย์เสมอ
       
       อาจารย์อาจจะเชื่อเช่นนั้นจริงๆ หรือไม่ก็ได้ แต่ผมเองไม่ห่วงว่า อาจารย์จะคิดหรือจะเชื่อ เช่นไร เพราะอาจารย์ท่านฉลาดมาก ท่านอาจจะเพียงใช้ถ้อยคำเหล่านี้มาช่วยเสริมแต่งเหตุผลที่ท่านเสนอให้ดูดี เท่านั้น
       
       แต่ผมกลับเป็นห่วง Soft Power จากโลกตะวันตกแบบนี้ เพราะปัจจุบัน ความเชื่อดังกล่าวถูกใช้ “ปลุกปั่น” ให้นักศึกษาในโลกตะวันออก ลุกขึ้นมาปฏิวัติ ล้มล้างสถาบันอำนาจต่างๆ ในโลกตะวันออก ที่ถือว่าล้าหลัง และอำนาจนิยม
       
       ระบบการเมืองในเอเชียเกือบทั้งหมด ไม่ว่า จีน อาหรับ จะถูกตีตราจากโลกตะวันตกว่า “ล้าหลัง และอำนาจนิยม” และ “ไม่เป็นประชาธิปไตย”
       
       ประชาธิปไตยแบบตะวันตกเท่านั้น คือ “ทางออก” ของสังคม
       
       ในอดีต ได้เกิดเหตุการณ์ “การลุกขึ้นสู้ปฏิวัติประชาธิปไตย” ที่ประเทศจีน จนนำสู่การปราบใหญ่ นองเลือดกลางจัตุรัสเทียนอันเหมิน
       
       ผู้คนล้มตายไปจำนวนมาก
       
       วันนี้ มีการลุกขึ้นสู้ ที่เรียกว่า “อาหรับสปริง” โค่นล้มอำนาจเผด็จการ ในประเทศต่างๆ ผู้คนต้องล้มตายมากมาย เช่นกัน
       
       ผมคิดว่า ทั้ง 2 เหตุการณ์ เป็นผลผลิตจาก “ความเชื่อชุดนี้” เช่นกัน
       
       ตะวันออก คือ ล้าหลัง และอำนาจนิยม
       
       ตะวันตก คือ ประชาธิปไตย และเจริญก้าวหน้า
       
       แต่ที่น่าสังเกตคือ “คลื่นปฏิวัติประชาธิปไตย” ที่เกิดขึ้นที่ประเทศจีน และโลกอาหรับ ไม่ได้จบลงด้วยการได้มาซึ่งประชาธิปไตยอย่างที่นึกฝัน แต่จบลงด้วยวิกฤตใหญ่แบบต่อเนื่อง และสงครามกลางเมือง
       
       เรามักจะมอง “การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” ในแง่เดียว คือ “ดี” เท่านั้น
       
       หากเราศึกษาประวัติศาสตร์โลกที่สาม จะพบว่า หลายประเทศ อย่างเช่น เฮติ พม่า บางประเทศในโลกอาหรับ และแอฟริกา ที่พยายามล้ม “เผด็จการ” แทนที่จะได้ “ประชาธิปไตย” แต่กลับต้องจมอยู่กับ “สงครามกลางเมือง” บางแห่งเกิดสภาวะสงครามที่ต่อเนื่อง บางครั้งยาวเป็นสิบๆ ปี
       
       ผมคิดว่า สภาวการณ์ดังกล่าว เปิดเงื่อนไขให้บรรดาจักรวรรดิมหาอำนาจตะวันตกแสวงหาผลประโยชน์จากสภาวะสงครามเหล่านี้
       
       นี่คืออำนาจที่มองไม่เห็นของ Soft Power
       
       ที่กล่าวข้างต้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมชอบเผด็จการ แต่ผมคิดว่า การเคลื่อนไหวประชาธิปไตย ต้องระวัง “ผลลัพธ์” ที่จะติดตามมาด้วย
       
       ในกรณีประเทศไทย ผมกลับไม่กังวลเรื่องอำนาจของ Soft Power ของฝ่ายที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยมากนัก เพราะปัจจุบันบ้านเมืองไทยก็อยู่ในระบอบการเลือกตั้ง หรือประชาธิปไตยตามความเข้าใจของนักวิชาการในโลกตะวันตก ดังนั้น ผมจึงไม่กังวลมากนักที่มีนักวิชาการจำนวนหนึ่งมาเคลื่อนไหว ขอแก้กฎหมาย ม. 112
       
      แต่ที่ผมกังวลกว่าก็คือ หากฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า “พลังประชาธิปไตย” เคลื่อนไหวขอแก้กฎหมาย ม. 112 อีกฝ่ายหนึ่ง คือ “ฝ่ายเสื้อแดง” ก็ต้องออกมาสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง เพราะมีคนของฝ่ายเสื้อแดงเองถูกจับติดคุกเนื่องจากกฎหมายข้อนี้
       
       ผมจึงต้องยอม “เสียคน” เมื่อแก่...อีกครั้งหนึ่ง เพื่อขวางการเคลื่อนไหวดังกล่าว
       

       ผมไม่ได้เห็นว่า กฎหมายดังกล่าวแก้ไม่ได้ แต่ห่วงว่า ถ้าพลังเสื้อแดงเคลื่อนกำลังหนุนฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ การเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงจะเกิดขึ้น และเลือดก็จะนองแผ่นดินอีกครั้ง
       
       ผมเองเชื่อว่า ท่านอาจารย์ชาญวิทย์ และอาจารย์วรเจตน์ เป็นคนดี มีจิตใจที่รักประชาธิปไตย แต่ผมขอยืนอยู่ฝ่ายตรงกันข้าม เพราะผมเชื่อว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในโลกปัจจุบันมักจะมีจุดจบที่น่าสะพรึงกลัวมากๆ
       
       สมมติว่า พลังเสื้อแดงเคลื่อนเข้าสมทบกับพลังบรรดาอาจารย์ที่รักประชาธิปไตย การเผชิญหน้าระหว่างประชาชนแดงเหลือง ก็จะเกิดขึ้นอีก
       
       ถ้าเกิดการปะทะ และการ “ฆ่า” กัน จุดจบของการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยก็คือ รัฐประหาร
       
      ที่สำคัญ ฝ่ายแดงยังยึดมั่นในทฤษฎีฝ่ายซ้ายซึ่งมาจากโลกตะวันตกเหมือนกัน แต่ยังคงเชื่อเรื่อง “การปฏิวัติที่รุนแรง” เพราะทฤษฎีพื้นฐานของฝ่ายนี้จะเชื่อว่า “สถาบันในอดีต ไม่เพียงแต่ล้าหลัง อำนาจนิยม” เท่านั้น ยังถือว่า “ชั่วร้าย และขัดขวางการพัฒนาการ” จึงต้องถูกทำลาย หรือโค่นล้ม (ยังมีต่อ)
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #711 เมื่อ: 11 มีนาคม 2555, 22:38:08 »


“ณรงค์” เซ็งมติชนบิดเบือน ปัดวิพากษ์จุดอ่อน พธม.ยันแค่วิเคราะห์การเมือง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

“ณรงค์” สุดมึน! มติชนหลอกสัมภาษณ์วิพากษ์พันธมิตรฯ ทำคนเข้าใจผิด ยันไม่เคยพูดจุดอ่อน แค่วิเคราะห์การเมืองตามจริง ใช้มวลชนล้มรัฐบาลเลือกตั้งไม่ได้ ชี้ ยุคเสื้อแดงก็ล้ม “มาร์ค” ไม่ได้เช่นกัน แต่ยันการเลือกตั้งก็ทำให้กลายเป็นเผด็จการได้ เช่น “ฮิตเลอร์” โวยโดนขุดอาชีพทั้งที่เคลื่อนไหวเรื่องส่วนตัว
       
       เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ - วันนี้ (11 มี.ค.) นายณรงค์ โชควัฒนา นักธุรกิจ และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เว็บไซต์ มติชนออนไลน์ ลงคำสัมภาษณ์พิเศษ “ณรงค์ โชควัฒนา” วิพากษ์จุดอ่อนพันธมิตรฯ-ทักษิณ คุณไม่สามารถไล่เผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งได้สำเร็จ! http://www.matichon.co.th/play_clip.php?newsid=1331305882 ว่า ทางผู้สื่อข่าวของมติชนออนไลน์ ได้ติดต่อกับตนเพื่อขอสัมภาษณ์วิเคราะห์สถานการณ์การเมือง ซึ่งไม่ได้เจาะจงที่จะสัมภาษณ์เฉพาะเรื่องพันธมิตรฯ เป็นหลัก ซึ่งตอนที่ให้สัมภาษณ์ตนก็ไม่ได้ระวังตัวอะไร แต่ยืนยันว่า ตนไม่เคยพูดถึงจุดอ่อนอะไร ส่วนที่บอกว่า พันธมิตรฯ ไม่สามารถใช้มวลชนล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้นั้น ตนก็พูดจริง ในเวทีที่สวนลุมพินี วานนี้ (10 มี.ค.) ตนก็พูด ซึ่งไม่ใช่แค่กลุ่มคนเสื้อเหลืองเท่านั้น กลุ่มคนเสื้อแดงเองก็ไม่สามารถใช้มวลชนล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่อ่อนแอได้เช่นกัน เพราะได้รับความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง ต่อให้เป็นกฎหมู่ยังไงก็ไม่สามารถล้างการเลือกตั้งได้ นี่เป็นเรื่องสากล แต่การเลือกตั้งก็สามารถทำให้เป็นเผด็จการได้ เช่น ฮิตเลอร์ ซึ่งเป็นเผด็จการที่เลวร้ายที่สุด ทั้งนี้ ตนพูดไปเยอะในเรื่องดังกล่าว แต่กลับถูกดึงมาพาดหัวในประเด็นที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อคนที่อ่านบทสัมภาษณ์ได้
       
       นายณรงค์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วตนจะไม่บอกว่าตนทำอาชีพอะไร เพราะไม่อยากให้ทางบริษัทที่ตนทำงานมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำส่วนตัวของตน ซึ่งเกรงว่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่ทางเว็บไซต์มติชนกลับไปเสิร์ชหาข้อมูลนำมาใส่ไว้จนหมดโดยไม่ได้บอกกล่าวตนแต่อย่างใด

      
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #712 เมื่อ: 14 มีนาคม 2555, 23:13:25 »

ศาลปค.สูงสุดสั่งรื้อคดี "พล.ต.ต.มานิต" ช่วยเหลือมือชกคนตะโกนด่า"แม้ว"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ศาลปกครองสูงสุด สั่งศาลปค.ชั้นต้นรับคำขอ ป.ป.ช. ร้องพิจารณาคดี"พล.ต.ต.มานิต" ลอยนวลกลับเข้ารับราชการใหม่ ชี้เหตุป.ป.ช.ถือเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการวินิจฉัยคดีแต่แรกสมควรที่ศาลฯต้องรับฟังข้อมูลป.ป.ช.ก่อนพิพากษา พร้อมทั้งสั่งให้เปลี่ยนองค์คณะพิจารณาคดีนี้ใหม่
       

       วันนี้(14 มี.ค.) ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น โดยสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคำขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีที่ยื่นอุทธรณ์ คำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่ให้มีการเพิกถอน คำสั่งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) กรณีลงโทษปลด พล.ต.ต.มานิต วงศ์สมบูรณ์ อดีตรองผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ออกจากราชการ เนื่องจากถูกป.ป.ช.ชี้มูลว่า กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการผิดวินัยอย่างร้ายแรง จากการที่ใช้ตำแหน่งช่วยเหลือให้ผู้ที่กระทำผิดในกรณีเข้าควบคุมจับกุมนายวิชัย เอื้อสิยาพันธุ์ ซึ่งเป็นประชาชนที่ตะโกนต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 49 ที่บริเวณหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า จนเป็นเหตุให้มีการทำร้ายร่างกายนายวิชัย
       
       ทั้งนี้การมีคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากหลังศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ก.ย.52 ระบุว่า การไต่สวนของป.ป.ช.ที่นำมาสู่การมีมติว่าพล.ต.ต.มานิต กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ลงโทษปลดพล.ต.ต.มานิตออกจากราชการ ตามมติที่ป.ป.ช.เสนอ รวมทั้งสั่งให้ผบ.ตร.รับพล.ต.ต.มานิตกลับเข้ารับราชการ และคืนสิทธิที่พึงได้ตามกฎหมายให้พล.ต.ต.มานิต ภายใน 45 วันนับแต่คดีถึงที่สุด ปรากฎว่าคู่กรณีคือพล.ต.ต.มานิต และสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้ยื่นอุทธรณ์เมื่อครบกำหนดเวลา จึงทำให้คดีถึงที่สุด แต่ป.ป.ช.เห็นว่าตนเองเสียหายจึงได้ยื่นคำขอเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.52 โดยศาลปกครองชั้นต้นยกคำขออุทธรณ์ อ้างว่าป.ป.ช.เป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบต่อผลแห่งคดีนี้ ป.ป.ช.จึงได้ยื่นอุทธรณ์อีกครั้งต่อศาลปกครองสูงสุด
       
       ส่วนที่ศาลปกครองสูงสุด สั่งให้ศาลชั้นต้นรับพิจารณาคดีใหม่ โดยระบุว่า คดีนี้เป็นกรณีที่มีผู้เสียหายร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามมาตรา 89 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 จึงมีการส่งเรื่องให้ป.ป.ช.พิจารณาดำเนินการ ต่อมาป.ป.ช.ได้มีหนังสือถึงผบ.ตร. ส่งรายงานการไต่สวนของคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย กับพล.ต.ต.มานิต เนื่องจากป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ ว่า การกระทำของพล.ต.ต.มานิตเป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งลงโทษปลดพล.ต.ต.มานิตออกจากราชการ ซึ่งพล.ต.ต.มานิตได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งลงโทษต่อ ก.ตร. ที่ก็มีมติให้ยกอุทธรณ์ จึงจะเห็นได้ว่าป.ป.ช.เป็นผู้ตรวจสอบและแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง และได้มีการดำเนินการไต่สวนผู้กล่าวหา พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ จึงถือว่าป.ป.ช.เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการชี้มูลของ พล.ต.ต.มานิตมาตั้งแต่ต้น
       
       การที่ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณา ว่า กระบวนการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.นั้นไม่เป็นไปตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้ใน พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 และระเบียบป.ป.ช.ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของอนุกรรมการไต่สวน 2547 หลายประการ กระบวนการก่อนออกคำสั่งลงโทษทางวินัยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เป็นการยุติธรรมต่อพล.ต.ต.มานิต นั้น เห็นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลปกครองชั้นต้นย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการดำเนินคดีของ ป.ป.ช.ตามที่รัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจไว้ ซึ่งที่ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า การดำเนินการของป.ป.ช.ดังกล่าว เป็นเพียงการเตรียมการ และการดำเนินการเพื่อจัดให้มีคำสั่งลงโทษทางวินัยพล.ต.ต.มานิต เป็นเพียงการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา 5 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง 2539 ไม่มีผลบังคับให้ผบ.ตร.และก.ตร.ต้องพิจารณาโทษตามฐานความผิดที่ป.ป.ช.ได้มีมติจึงไม่ถูกต้อง ป.ป.ช.จึงเป็นบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องในการวินิจฉัยดังกล่าว สมควรที่จะต้องเข้ามาอยู่ในคดีตั้งแต่ต้น อุทธรณ์ข้อนี้ของป.ป.ช.จึงฟังขึ้น
       
       ส่วนที่ป.ป.ช.อุทธรณ์ ว่า ศาลปกครองชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดนั้น เห็นว่า เมื่อศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาแล้วว่ากระบวนการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวนป.ป.ช.ไม่ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ก็ควรที่จะได้ตรวจสอบพยานเอกสารดังกล่าวจากป.ป.ช. ที่ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาโดยสุรปว่าข้อเท็จจริงจากเอกสารหลักฐาน คำให้การของพยานบุคคล พยานวัตถุ แผ่นวีดีทัศน์ ซึ่งมีภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวและภาพถ่าย ที่อยู่ในสำนวนคดี ที่คู่กรณีได้ส่งมาส่วนใหญ่ปรากฎอยู่ในสำนวนของป.ป.ช. โดยมีข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหาตรงกับเอกสารรายงานไต่สวนข้อเท็จจริง หรือจากการนำส่งของพล.ต.ต.มานิต ผบ.ตร.และก.ตร. โดยยังมิได้รับฟังหลักฐานโดยตรงจากป.ป.ช.ซึ่งอาจมีผลทำให้การรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดได้ ประกอบเมื่อศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า ป.ป.ช.ชี้มูลไม่ชอบด้วยกฎหมายก็สมควรอย่างยิ่งที่ต้องตรวจสอบพยานและเอกสารหลักฐาน จากป.ป.ช.เป็นสำคัญด้วย
       
       ดังนั้นข้ออ้างของป.ป.ช.ที่ว่าศาลปกครองชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด ป.ป.ช.ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีหรือเข้ามาแล้วถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วม ในการดำเนินกระบวนพิจารณา หรือมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่เป็นที่ยุติธรรมจึงรับฟังได้ ป.ป.ช.จึงเป็นผู้มีสิทธิที่จะขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ ด้วยเหตุนี้เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลปกครองชั้นต้นได้รับฟังมาไม่เพียงพอ แก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดี ศาลปกครองสูงสุดเห็น ว่า มีเหตุอันสมควรที่ศาลปกครองสูงสุดจะกำหนดให้ศาลปกครองชั้นต้นที่ประกอบด้วยตุลาการศาลปกครองชั้นต้นอื่นที่ไม่ใช่องค์คณะเดิมเป็นองค์คณะพิจารณาคดีนี้ใหม่ จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของป.ป.ช.ไว้พิจารณา และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดีโดยองค์คณะใหม่ของศาลปกครองชั้นต้น
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #713 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 17:57:17 »

หุยฮา......

"สมเกียรติ"โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค เปิดคำต่อคำบทสัมภาษณ์"ทักษิณ"-สื่อนอก อ้างโศกนาฎกรรมตากใบ เป็นแผนล้มนายกฯ


นายสมเกียรติ อ่อนวิมล โพสต์ข้อความใน Facebook "Somkiat Onwimon (สมเกียรติ อ่อนวิมล)" แปลบทสนทนาระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับ Tom Plate ในหนังสือ 'Conversations with Thaksin - From Exile to Deliverance: Thailand’s Populist TycoonTells His Story'โดยหยิบเอาข้อความระหว่างการสนทนาระหว่างพ.ต.ททักษิณกับนาย Tom Plate ระบุว่า 'โศกนาฏกรรมตากใบ: เป็นแผน "พวกเขา ที่จะล้มผม" โดยมีข้อความดังนี้

Thaksin: "Most of the people like me, but in the forth year, I got hit with too many challenges, had too much work, and then they were trying to kick me out. So they created a lot of problems, including the PAD---the Yellow Shirts---started gathering in my fourth year. I knew this."


"ประชาชนส่วนมากเขาชอบผม แต่ในปีที่สี่ ผมถูกท้าทายมาก ผมทำงานมากเกินไป พวกเขาจึงพยายามเตะผมออกนอกประเทศ แล้วพวกเขาก็สร้างปัญหามากมายให้กับผม รวมทั้งพวกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย---พวกเสื้อเหลือง---เริ่มชุมนุมกันในช่วงปีที่สี่ของผม ผมรู้เรื่องนี้ดี"


Tom: "How did you know this?"
"คุณรู้ได้อย่างไร?"


Thaksin: "After I left, I learned from some friends in Malaysian intelligence---they said that even in southern part of Thailand, in my last full year in office, in the forth year---they were trying to create problems that would weaken me."

"หลังจากผมออกนอกประเทศไปแล้ว ผมทราบเรื่องราวจากเพื่อนมาเลเซียที่ทำงานข่าวกรอง---เขาเล่าให้ผมฟังว่าแม้แต่ในภาคใต้ของไทย ในปีสุดท้ายเต็มปีของผม ในปีที่สี่---พวกเขาพยายามสร้างปัญหาทำให้ฐานอำนาจของผมอ่อนแอลง"


Tom: "In the south?" He is referring to the now-infamous tragedy when scores of Muslim ‘extremists (or ‘protestors’) were packed into a police truck to be taken to custody and died of suffocation.

"ในภาคใต้หรือ?" ทักษิณอ้างถึงโศกนาฏกรรมอื้อฉาวครั้งที่ชาวมุสลิมหัวรุนแรง (หรือ ‘ผู้ประท้วง’) ถูกขนขึ้นอัดกันแน่นบนรถบันทุกตำรวจเพื่อไปควบคุมตัว คนเหล่านั้นต้องตายเพราะไม่มีอากาศหายใจ


Thaksin: "Yes, in the south. Some ex-Malaysian intelligence officers told me that they interviewed the cousins of the victims who died of suffocation from the atrocious transportation by the military after it dispersed the protest in Tak Bai, a district in Muslim dominated province in the southen part of Thailand. The officers informed me that [when the operation started] they believed that I had a bad attitude toward Muslim, but one year after the coup d’etat, after they investigated, they began to understand that the tragic and embarrassing incident was part of the plot to topple me."

"ครับ ในภาคใต้ อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองมาเลเซียหลายคนบอกผมว่าได้สัมภาษณ์ญาติๆของผู้ตายในเหตุการณ์แสนโหดที่เบียดกันแน่นขาดอากาศหายใจตอนที่ทหารขนขึ้นรถ หลังจากการ กวาดล้างสลายฝูงชนผู้ชุมนุมที่ตากใบ อำเภอหนึ่งในจังหวัดที่ชาวมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ในภาคใต้ของไทย เจ้าหน้าที่มาเลเซียบอกผมว่า [เมื่อตอนที่เริ่มปฏิบัติการ] พวกเขาเชื่อว่าผมมีทัศนะที่เลวต่อชาวมุสลิม แต่หนึ่งปีหลังการยึดอำนาจ หลังจากมีการสอบสวนแล้วพวกเขาเริ่มเข้าใจว่าเหตุอันเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าอับอายครั้งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแผนโค่นล้มอำนาจผม"


"And so, after I won my second term [in 2005], the street protests started in intensify, so that made me feel even more pressure, and because of all the hard work, I sometimes buckled under the pressures. I maybe showed my ugly side."

He didn’t mean maybe , of course.

"และดังนั้น หลังผมชนะการเลือกตั้งสมัยที่สอง [ปี 2548] การประท้วงตามท้องถนนเข้มข้นมากยิ่งขึ้น มันเป็นการสร้างความกดดันให้กับผมมากยิ่งขึ้น และโดยเหตุที่ผมทำงานหนักมามากมาย บางทีผมก็หมดแรงสู้กับความกดดันทั้งหลาย บางทีผมอาจจะแสดงออกซึ่งด้านน่าเกลียดของผมให้เห็นก็ได้"ทักษิณมิได้หมายความว่า"อาจจะ"แน่นอน

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #714 เมื่อ: 17 มีนาคม 2555, 13:18:52 »

สุวัตร" เปิดสำนวน "ร่มเกล้า" ชี้ชัด "แม้ว" ผู้ต้องหาที่ 1 แต่วันนี้กลับบิดเบือน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   



 วันที่ 16 มี.ค. นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมในรายการ "คนเคาะข่าว" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
       
       นายสุวัตร กล่าวว่า คดีพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ในสำนวนสอบสวนครั้งแรกของดีเอสไอ จับคนที่ยิงได้แล้ว โดยสำนวนนั้นมีผู้ต้องหาทั้งหมด 20 กว่าคน มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ต้องหาที่ 1 บางคนเอาไปขังไว้ไม่ให้ประกันตัว แต่ในที่สุดก็ให้ประกันหมด พอประกันแล้วก็ได้ยื่นขอความเป็นธรรมไปที่อัยการสูงสุด จากบัดนั้นถึงบัดนี้สำนวนนั้นยังไม่ฟ้องเลย แต่สำนวนของพันธมิตรฯยื่นขอความเป็นธรรมไปที่อัยการสูงสุดที่หลังกว่า แต่มาแล้ว แถมให้ตั้งข้อหาเพิ่ม 48 คน
       
       นายสุวัตร กล่าวต่อว่า มีพยานปากหนึ่งชื่อ นาย เสก เชษฐา หรือโต้ง ท้วมมณี ได้ให้การว่า "เป็นการ์ดของกลุ่มนปช. ได้วันละ 900 บาท ประสานงานกับเสธ.แดงในการหาข่าวทางทหารส่งให้เสธ.แดง เขาได้รับมอบหมายให้ขับขี่รถจักรยานยนต์ดาวกระจายไปที่ต่างๆ นปช.เคยฝึกเป็นนักรบพระเจ้าตากกับเสธ.แดงที่สนามหลวง โดยการชักชวนของนายโชคอำนวย ไม่ทราบนามสกุล มีผู้ต้องหาที่ 24 และเพื่อน คือนายศิริชัย หรือตี๋ ร่วมฝึกด้วย มีการฝึกสอนและใช้ยิงอาวุธปืนและเครื่องยิงระเบิด และปา M76 และพยานยังทราบว่าผู้ต้องหาที่ 18 (ก็คือเสธ.แดง) เก็บอาวุธสงครามต่างๆ เช่น M16 ลูกระเบิดขว้าง M67 ไว้ภายในโรงแรมรัตนโกสินทร์ที่เช่าพักไว้ โดยมีผู้ต้องหาที่ 24 เป็นคนเฝ้า
       
       ประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน 2552 ผู้ต้องหาที่ 19 ได้ใช้เครื่องยิงระเบิด M79 ยิงก่อกวนกลุ่มพันธมิตรฯที่สนามหลวง ทั้งยืนยันว่าผู้ต้องหาที่ 19 ใช้อาวุธ M79 ยิงใส่โรงเรียนสตรีวิทยา "จนพ.อ.ร่มเกล้า เสียชีวิต" มีทหารบาดเจ็บสาหัสหลายนาย ยิงระเบิด M79 ใส่ประชาชนคนเสื้อหลากสีที่ศาลาแดง ที่พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ต้องหาที่ 24 ยิงระเบิด M79 ใส่ตำรวจ
       
       นอกจากนั้นยังให้การว่ามีบุคคลที่่ร่วมกระทำความผิดอีกจำนวนมาก และแกนนำบนเวทีก็รู้เห็น และทราบว่ามีกองกำลังติดอาวุธ หรือกองกำลังชุดดำรวมอยู่ด้วย เพราะมีการเบิกจ่ายอาวุธปืนกันอยู่เสมอ ซึ่งเก็บไว้ที่เต้นท์หลังเวทีชุมนุม โดยมีนายพิทักษ์ ไม่ทราบนามสกุล เป็นผู้เก็บรักษา
       
       พยานเคยเห็นผู้ต้องหาที่ 18 ติดต่อรายงานให้กับผู้ต้องหาที่ 1 (เสธ.แดงติดต่อกับพ.ต.ท.ทักษิณ) ทราบทางโฟนอินหรือทางคอมพิวเตอร์ระหว่างชุมนุม ผู้ต้องหาที่ 18 ทำหน้าที่สั่งการควบคุมกองกำลังติดอาวุธ ส่วนนายอารีย์ ไกรนรา ทำหน้าที่ควบคุมกองกำลังการ์ดของคนเสื้อแดงทั้งหมด และผู้ต้องหาที่ 19 ก็คือนายสุขเสก พลตื้อ" นี่คือสำนวนของดีเอสไอที่ทำมาตั้งแต่ต้น แต่บัดนี้มีการร้องขอความเป็นธรรมไปที่อัยการสูงสุด ซึ่งตนเชื่อได้เลยว่าหากสำนวนกลับมาอาจมีการสั่งไม่ฟ้อง
       
       นายสุวัตร กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทหารกำลังถูกไล่ล่า หาความเป็นธรรมให้ทหารไม่ได้ ชี้ให้เห็นว่าความยุติธรรมในยุคนี้มันถูกบิดเบือน แล้วถ้าหากกระบวนการยุติธรรมพังลง จะอยู่ในประเทศนี้กันอย่างไร ทั้งๆที่มีประจักษ์พยาน มีหลักฐานชัดเจนว่าใครยิง ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นร้องขอความเป็นกับอัยการสูงสุด แค่กรณีหญิงอ้อ อัยการสูงสุดยังไม่ฎีกาเลย แล้วจะกล้าฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณหรือ
       
       อีกทั้งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เมื่อก่อนกับปัจจุบัน คนละคนกันเลย ซึ่งก็เริ่มเห็นสัญญาณแล้วว่าสำนวนจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะก็มีการเปลี่ยนผู้ต้องหาจากนปช. เป็นชายชุดดำ หมาที่ไหนไปเปลี่ยนสำนวน ต้องถามกลับไปที่นายธาริต ให้คุณนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า ไปหานายสุเทพ ซึ่งได้รับอำนาจจากนายกฯขณะนั้น ให้เป็นผู้อำนวยการศอฉ. (ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) ไปถามได้เลย นายสุเทพเป็นคนเซ็นสำนวนสอบสวนครั้งแรกเกือบทุกหน้า รู้เรื่องสำนวนนี้ดี
       
       นายสุวัตร ยังกล่าวต่อว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 ระบุว่าผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้บังคับ ขู่เข็ญจ้าง วานหรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้ กระทำความผิด ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ดังนั้นหากศาลตัดสินออกมาว่าทหารฆ่าผู้ชุมนุมจริง คนที่ใช้ทหารก็ต้องผิดด้วย งานนี้ไม่จบง่าย ๆ
       
       ด้านนายปานเทพ กล่าวว่า ปกติการไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 ใช้กรณีเดียวเท่านั้น คือการเสียชีวิตนั้นเกิดขึ้นจากเจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งแน่นอนกรณีนี้ก็คือทหาร ท้ายที่สุดน่าสนใจ เพราะพอระบุว่าไม่รู้ว่าใครทำให้ตาย ทหารจะแต่งตั้งทนายขึ้นไป เพื่อความยุติธรรมของคดี ก็อาจจะยากขึ้น เพราะทางศาลอาจบอกว่าก็ไม่ได้ระบุหนิว่าทหารเป็นคนทำให้ตาย จะมาขอความเป็นธรรมได้อย่างไร นี่เป็นแทคติกทางข้อกฎหมายอีกประการหนึ่งที่อาจมีการวางหมากไว้
       
       จากหมายเรียก มีทหารหลายคนถูกเรียกไปไต่สวน และไม่แน่ศาลอาจไต่สวนให้ครบวรรค 5 ว่าใครทำให้ตายด้วยซ้ำไป ถ้าสรุปเป็นเจ้าพนักงานทำ ต่อไปญาติของกลุ่มคนที่ตาย ก็เอาสำนวนนี้ไปดำเนินฟ้องทางแพ่งและอาญาต่อทหาร นี่ก็เป็นความเสี่ยง
       
       น่าประหลาด ที่อัยการชงเรื่องนี้ให้ศาลทำการไต่สวน แต่ดูเนื้อหาจริงๆ ประมาณปี 54 มีพี่น้องเสื้อแดงหลายคน ยื่นฟ้องทหารต่อศาลแพ่ง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย ตอนนั้นอัยการยืนข้างทหาร โดยให้เหตุผลว่าไม่มีสิทธิ์เรียกค่าเสียหาย เพราะคำฟ้องคลุมเครือ และความเสียหายที่เกิดขึ้น ผู้ตายเป็นผู้มีส่วนร่วมก่อขึ้น แต่วันดีคืนดีไปยืนข้างเสื้อแดงเฉย เห็นบรรทัดฐานของอัยการแล้วพิลึกพิลั่น
       
       นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ขอเสริมคำให้การพยานอีกปาก ให้การว่า "นายกบไม่ทราบชื่อและนามสกุล ผู้ต้องหาที่ 25 โดยนายสุข (สุขเสก พลตื้อ) และนายหรั่ง เป็นการ์ดและคนหาข่าวให้กับเสธ.แดง นายหรั่งจะมีอาวุธปืนขนาด 11 มม. และระเบิดลักษณะคล้ายผลส้มติดตัว ส่วนนายกบเคยเห็นเสธ.แดงโทรศัพท์มาบอกว่ามีงานให้ทำ และโทรศัพท์ตามเอาของมาคืน คือปืน M79 มาคืนเสธ.แดง พยานทราบว่านายสุขและนายหรั่ง นำอาวุธปืน M79 ไปยิงสถานที่ต่างๆ เช่นห้องทำงานผบ.ทบ. สี่แยกคอกวัว เอเอสทีวี และกรมทหารราบที่ 11 และพยานเคยเข้าร่วมประชุมการ์ด และได้ยินแผนการ ให้นายสุขและนายหรั่ง นำอาวุธปืน M79 ไปยิงก่อกวนตามสถานที่ต่างๆ และฆ่าคนเสื้อหลากสีและคนเสื้อเหลืองด้วย นอกจากนี้พยานยังทราบว่ากลุ่มแนวร่วมนปช.ได้รับเงินสนับสนุนจากนายสงคราม คุณสมหวัง และจากพ.ต.ท.ทักษิณ"
       
       ตนสนใจตรงที่ว่า วันที่หลักฐานชัดเจนขนาดนี้ ดีเอสไอขอหมายจับ จับตัวได้แล้ว ศาลไม่ให้ประกันตัว ขั้นต่อไปคือนำเข้าสู่ชั้นอัยการ อัยการก็รับเรื่อง แต่ปรากฎว่าคดีไม่คืบหน้าจนป่านนี้ ล่าสุดนายธาริตก็ออกมาบอกว่าคดีไม่คืบ ทั้งๆที่ปีที่แล้วเดือนกรกฎาคม นายธาริตทำสำนวนนี้เองกับมือ ไม่คืบแล้วทำสำนวนยื่นต่ออัยการได้อย่างไร หรือจะพลิกสำนวนจากนปช.เป็นคนทำผิดกลายเป็นชายชุดดำ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครหลังจากนี้
       
       "มีข้อสังเกต วันที่มีการประกันตัว ปกติจะประกันตัวทีละรอบ แต่ชุดของผู้ต้องสงสัยยิงพล.อ.ร่มเกล้า ได้รับการประกันตัวพร้อมกันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 นัยยะคือบังเอิญเอกสารของกรมสอบสวนคดีพิเศษ พบลายเซ็นนักการเมืองชื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เซ็นในเอกสารหลายหน้า และหน้าที่เซ็นและมีการขีดเส้นใต้เป็นหน้าที่กล่าวถึงว่าใครสังหารพล.อ.ร่มเกล้า ถามว่ารู้ทั้งรู้ว่าใครสังหาร เหตุใดจึงสนับสนุนการประกันตัวเสื้อแดงทั้งหมด ไม่คิดบ้างหรือว่านางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า ตอนนั้นรับราชการอยู่ในทำเนียบรับบาล แต่กลับมีการเจรจาต่อรองทางการเมืองโดยเอาชีวิตทหารมาเป็นเครื่องมือหรือไม่ อันนี้เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด และน่าเศร้า" นายปานเทพ กล่าว


   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #715 เมื่อ: 17 มีนาคม 2555, 13:22:17 »

ไพร่...........ซี๊ด แพงทั้งแผ่นดิน อำมาตย์ตระกูลชินรวยเอาๆ
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-น้ำมันก็ขึ้นเอา ขึ้นเอา
       
       สินค้าบริโภค....อาหารการกินก็ขึ้นเอา ขึ้นเอา
       
       งานนี้เล่นเอาประชาชนทั้งแผ่นดินต้องนอนเอามือก่ายหน้าผากกับภาระค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งลงได้
       
       แต่ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี กลับมิได้สนใจใยดีที่จะแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ไม่มีแม้แต่ “ดอกพิกุล” ร่วงออกมาจากปากว่า จะมีมาตรการระยะสั้น ระยะกลางหรือระยะยาวในการหยุดยั้งภาวะข้าวยากหมากแพงอย่างไร
       
       ขณะที่เมื่อเหลียวกับไปตรวจสอบบรรดา “ไพร่เสื้อแดง” ที่กลายไปเป็นอำมาตย์ใหญ่ในรัฐบาลชุดนี้ก็พบว่า แต่ละคนล้วนแล้วแต่อู้ฟู่ มีทรัพย์ศฤงคารเบิกบานหัวใจ จากการเปิดเผยตัวเลขทรัพย์สินคณะรัฐมนตรีของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) รวมทั้ง “เป็ดเหลิม” -ร้อยตำรวจเอกดอกเตอร์เฉลิม อยู่บำรุง ที่นั่ง “รถเบนท์ลีย์สีชมพู” ทะเบียน ฉม2222 ราคาคันละ 25 ล้านและมีเพียง 2 คันในโลกโฉบเฉี่ยวไปมาเพื่ออวดร่ำอวดรวย
       
       ยิ่งอำมาตย์ใหญ่ในตระกูลชินด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดูอย่าง 2 ผัวเมียข้าวใหม่ปลาใหม่ “พินทองทา ชินวัตร -ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” นั่นปะไรที่เปิดเรือนหอระดับคฤหาสน์ที่วังจันทร์ส่องหล้าให้ “นิตยสาร Hello” ปีที่ 7 ฉบับที่ 5 (8 มีนาคม 2555) บันทึกความมีอันจะกินไว้ยั่วน้ำลายไพร่ไส้แห้งให้นึกอิจฉาปนอนาถใจ
       
       กระนั้นก็ดี จงอย่าแปลกใจกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดนี้ว่าทำไมถึงชาเย็นต่อความเดือดร้อนของประชาชน เพราะเป้าประสงค์ของนางสาวยิ่งลักษณ์คือการช่วย นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายให้กลับมาประเทศไทยโดยไม่ต้องรับผิดและได้ทรัพย์สมบัติที่ถูกยึดไปจากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกลับคืนมาทุกบาททุกสตางค์
       
       ** ปี’55ราคาพลังงานขึ้นยกแผง ฝรั่งหัวดำดูไบรวยไม่รู้เรื่อง
       
       คงไม่ต้องไปเสียเวลาไปถามนายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่ารัฐบาลมีมาตรการแก้ปัญหาข้าวยากหมากแพงอย่างไร เพราะถามไปก็มิได้คำตอบอะไรที่จะพอทำให้หัวใจชุ่มชื่นหรือมีความหวังขึ้นมาบ้าง
       
       คำตอบที่สังคมได้ยินจากนายกฯ ยิ่งลักษณ์คนสวยที่ชอบแต่งตัวสวยๆ ไปเดินเฉิดฉายโชว์ตัวที่นั่นที่นี่ทั้งในประเทศและต่างประเทศคงไม่มีอะไรมากไปกว่า….. เรื่องนี้มอบให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการแล้ว เรื่องนี้มอบให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปดำเนินการแล้ว และเรื่องนี้มอบให้รัฐมนตรีอารักษ์ ชลธรานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานไปแก้ปัญหาแล้ว
       
       จากนั้นก็ปล่อยให้บรรดาข้าทาสตระกูลชินทั้งเบื้องสูงเบื้องต่ำเสนอหน้าออกมาแก้ตัวกันไปคนละทางสองทาง ตามบทถนัดของแต่ละคน
       
       ทั้งนี้ ในความเป็นจริงแล้ว คงต้องบอกว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยนับตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามาบริหารประเทศตกอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่และไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยแม้แต่น้อย เพราะนโยบายที่รัฐบาลนกแก้วประกาศใช้ มุ่งหวังเพียงแค่การประชานิยมและหวังผลในคะแนนเสียงเลือกตั้งเท่านั้น
       
       ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ คำประกาศในการหาเสียงเลือกตั้งของนายกฯ นกแก้วที่กำลังกลายเป็นประโยคที่ย้อนกลับมาเป็นบ่วงรัดคอรัฐบาลให้จำนนอย่างไม่มีข้อโต้เถียง
       
       “เราจะกระชากค่าครองชีพลงมา เอามั้ยค้า.....เราจะทำให้ราคาน้ำมันลดลงมาทันทีลิตรละ 7-8 บาท เอามั้ยค้า.....”
       
       ไม่รู้ว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์เข้าใจสิ่งที่เธอประกาศหรือไม่ แต่นั่นก็ทำให้กลายเป็นที่มาของการประกาศยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ซึ่งนั่นมิใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดและเป็นการแก้ปัญหาเพื่อการหาเสียงเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเป็นนโยบายที่มีอายุแค่ 4 เดือนเท่านั้น เพราะในที่สุดรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็จำต้องเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันอีกครั้ง
       
       จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ราคาพลังงานภาพรวมของไทยปี 2555 ถือเป็นเรื่องที่คนไทยต้องก้มหน้าก้มตารับสภาพในการควักเงินจ่ายเพิ่มขึ้นแทบทุกรายการ เริ่มกันที่กลุ่มก๊าซธรรมชาติที่แอลพีจีภาคอุตสาหกรรมรับไปก่อนใครเพื่อนตั้งแต่ก.ค. 2554 โดยปรับขึ้นไตรมาสละ 3 บาทต่อกก.จนครบ 4 ครั้งโดยจะส่งผลให้ราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมจะขยับไปอยู่ที่ 30.13 บาทต่อกก.
       
       ต่อเนื่องมาด้วยการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่ง 75 สตางค์ต่อกิโลกรัม(กก.)เริ่มตั้งแต่ 16 ม.ค. 55 ซึ่งตามกรอบที่วางไว้จะต้องปรับขึ้นทุกเดือนจนครบ 9 บาทต่อกก.ในเดือนธ.ค. 55 หรือราคาจะวิ่งไปอยู่ที่ 20.70 บาทต่อกก. และเอ็นจีวี 50 สตางค์ต่อกก.ทุกเดือนจนครบ 6 บาทต่อกก.ในธ.ค. 55 หรือราคาจะไปอยู่ที่ 14.50 บาทต่อกก.
       
       ขณะที่ราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนกำหนดเดิมจะตรึงราคาไว้ที่ 18.13 บาทต่อกก.จนถึงสิ้นปี 2555 แต่ดูเหมือนว่าการที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องควักเงินอุ้มราคาที่สูงขึ้นของแอลพีจีตลาดโลกที่สูงถึง 1,200 เหรียญสหรัฐต่อตันทำให้กองทุนฯต้องควักจ่ายอุ้มแอลพีจีเฉลี่ยเดือนละ 4,000 ล้านบาทเงินกู้ที่วางไว้ 3 หมื่นล้านบาทจะหมดในช่วงต.ค. 55 นี้ ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงส่งสัญญาณในการขึ้นราคาแอลพีจีครัวเรือนเร็วขึ้นซึ่งทำให้ต้องจับตาในจุดนี้ว่าที่สุดรัฐจะตัดสินใจอย่างไร
       
       หันมาดูทางฟากของน้ำมันพบว่า ราคาน้ำมันเริ่มต้นปีใหม่ราคาขายปลีกน้ำมันมีการเปลี่ยนแปลงถึง 11 ครั้ง(ตั้งแต่ 5 ม.ค. 55- 12 มี.ค.55) โดยเฉพาะเบนซิน 91 ขยับจาก 35.77 บาทต่อลิตรมาอยู่ที่ 41.51 บาทต่อลิตรหรือปรับขึ้นถึง 5.74 บาทต่อลิตรโดยใน 11 ครั้งปรับลดลงเพียงครั้งเดียว
       
       โดยล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน(กบง.) วันที่ 15 มี.ค.ที่มีนายอารักษ์ ชลร์ธารนนท์ รมว.พลังงานเป็นประธาน เห็นชอบเก็บเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเฉพาะเบนซิน 95 และเบนซิน 91 อัตราลิตรละ 1 บาทมีผลตั้งแต่ 16 มี.ค.-15เม.ย. 55 โดยยังคงเงินนำส่งของแก๊สโซฮอล์เพื่อถ่างส่วนต่างราคาให้จูงใจใช้พลังงานทดแทน ส่วนดีเซลคงการเก็บอัตราเดิมที่ 60 สตางค์ต่อลิตร
       
       ส่วนราคาดีเซลมีการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯไปเพียงครั้งเดียว 60 สตางค์ต่อลิตรแต่ด้วยราคาตลาดโลกส่งผลให้ราคาขายปลีกมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นปี(5ม.ค.55-12มี.ค.55) 8 ครั้งและเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องจากราคา 29.39 บาทต่อลิตรมาอยู่ที่ 32.33 บาทต่อลิตรโดยปรับขึ้นรวม 2.94 บาทต่อลิตร ซึ่งแนวโน้มดีเซลตลาดโลกยังคงเป็นขาขึ้นจึงมีความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลจะต่ออายุมาตรการลดภาษีฯดีเซลหรืออาจจะเลือกลดเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯดีเซลที่เหลือ 60 สตางค์ต่อลิตร
       
       แหล่งข่าวจากวงการน้ำมันระบุว่า กระทรวงพลังงานในฐานะกำกับดูแลควรเข้าไปดูกลไกการปรับราคาของผู้ค้าเพื่อให้เป็นธรรมกับผู้บริโภคด้วย เนื่องจากพบว่าผู้ค้าน้ำมันมีเทคนิคในการดึงราคาขายปลีกไว้ทั้งที่ค่าการตลาดบางช่วงสูงเฉลี่ยกว่า 2 บาทต่อลิตรซึ่งสามารถปรับลดลงได้เพราะปกติค่าการตลาดที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 1.50-1.60 บาทต่อลิตร แต่กลับดึงไว้เพื่อรอน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ขึ้นและเมื่อขึ้นไปได้ก็เริ่มปรับราคาเพิ่มทั้งที่ก่อนหน้าควรจะปรับลดราคาลงได้
       
       ส่วนกรณีแอลพีจีนั้น ข้อเท็จจริงที่มิอาจปล่อยให้ผ่านไปได้ก็คือ เป็นผลมาจากการที่ปตท.นำไปผลิตปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น ทำให้ดึงแอลพีจีจากภาคส่วนอื่นๆ ไปใช้ ขณะเดียวกัน ปตท.ซึ่งมีศักยภาพที่ควรจะต้องเป็นผู้ลงทุนสร้างคลังแอลพีจีเอง กลับเบียดบังมาใช้คลังที่เขาบ่อยา ซึ่งถือเป็นคลังส่วนรวม เท่ากับเป็นการมาเบียดเบียนการนำเข้าแอลพีจีของส่วนอื่นๆ ในอีกทางหนึ่งด้วย
       
       ด้วยเหตุดังกล่าว ทั้งรถแท็กซี่ รถโดยสาร เรือขนส่งสาธารณะ รวมทั้งรถบรรทุกจึงดาหน้ากันออกมาขอปรับราคากันอย่างพร้อมเพรียง เนื่องเพราะมีตัวเลขที่ชัดเจนว่า ส่งผลทำให้ต้องควักค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 6 หมื่นล้านต่อปีเลยทีเดียว
       
       คำถามที่สังคมสงสัยคือทำไมรัฐบาลถึงนิ่งดูดายต่อความทุกข์ยากของประชาชนเช่นนี้ หรือเป็นเพราะฝรั่งหัวดำที่อยู่ดูไบมีผลประโยชน์อยู่ในบริษัทพลังงานของชาติมีคำสั่งให้ทำนาบนหลังคนเพื่อความร่ำรวยอย่างไม่รู้จักจบสิ้นของเขา
       
       **”ปู” เอาไม่อยู่ ข้าวของแพงทั้งแผ่นดิน
       
       และฉับพลันทันทีที่ต้นทุนพลังงานเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าก็ขยับขึ้นตามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เป็นที่ปรากฎชัดว่า การกระชากค่าครองชีพ ตามคำคุยของรัฐบาล “ปูนิ่ม” เมื่อครั้งใช้หาเสียง คุยโต โอ้อวดว่าจะทำทันที หลังเข้ามาเป็นรัฐบาล ได้ทำให้ประชาชนเห็นภาพชัดเจนแล้วว่า ขี้หกทั้งเพ เพราะสิ่งที่จับต้องได้วันนี้ สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารการกิน ได้แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
       
       กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยระบุชัดเจนว่า ดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น 7.18% โดยเนื้อสัตว์ เป็ดไก่และสัตว์น้ำเพิ่มขึ้น 7.19% ผักและผลไม้เพิ่มขึ้น 6.32% เครื่องดื่มประกอบอาหารเพิ่มขึ้น 11.76% อาหารบริโภคในบ้านเพิ่มขึ้น 12.44% และอาหารบริโภคนอกบ้านเพิ่มขึ้น 5.24%
       
       นี่คือปัญหาใหญ่ที่รอปัญญาของรัฐบาลในการแก้ไข
       
       กล่าวสำหรับเรื่องค่าครองชีพ ต้องบอกว่า นับวันเม็ดเงินในกระเป๋าของคนไทยมีค่าน้อยลงทุกวัน วันนี้คนมีเงินในกระเป๋า 100 บาท กินข้าวบวกน้ำ ได้แค่มื้อเดียว 2 มื้อไม่พอ หลังข้าวแกง อาหารตามสั่ง ราคาขยับขึ้นพรวดๆ ราคาเริ่มต้น 20-25 บาท อย่าคิดไปหากิน ไม่มีทางเจอ ตอนนี้ต้องเริ่มที่ 35-40 บาท ส่วนในห้าง ในศูนย์อาหาร ไม่ต้องพูดถึง นั่นเริ่ม 45-60 บาท ทั้งๆ ที่ต้นทุนในการผลิตเวลานี้ ถูกกว่าสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ตั้งเยอะ
       
       เมื่อครั้งประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เนื้อหมูกิโลกรัมละ 140-150 บาท วันนี้ไม่เกิน 120 บาท แถมมีโปรโมชั่นขายถูกกิโลกรัมละ 100-105 บาท ในตลาดสดกับในห้าง เพราะหมูล้นตลาด ส่วนน้ำมันพืชปาล์มขวดละ 42 บาท สมัยก่อน 47 บาท เคยทะลุไปถึง 60-80 บาท ส่วนวัตถุดิบประกอบอาหารอื่นๆ ก็ราคาคงที่ เพราะพาณิชย์ยืนยันเอง แต่ราคาอาหารกลับขึ้นสวนทาง
       
       เดือดร้อนต้องออกมาประกาศ 10 เมนู แนะนำ ข้าวไข่เจียว ข้าวราดแกงหรือกับข้าว 1 อย่าง ข้าวไข่พะโล้ ข้าวขาหมู ข้าวกะเพราหมู ไก่ ข้าวผัดหมู ไก่ ก๋วยเตี๋ยวหมู ไก่ ลูกชิ้นปลา ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว ขนมจีนน้ำยา แกงไก่ ห้ามขายเกิน 20-25 บาท สำหรับร้านอาหารริมทาง ไม่เกิน 25-35 บาท สำหรับร้านในห้าง ศูนย์อาหาร ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่จนวันนี้ก็ยังไม่มีใครทำตาม
       
       หนักไปกว่านั้น ประกาศเปิดตัวร้านอาหารธงฟ้า ตั้งเป้าภายใน 1-2 เดือนจะมี 8,000 ร้านทั่วประเทศ แต่วันนี้มีไม่กี่พันร้าน แถมหลายร้านที่เข้าร่วมก็ขอออกจากโครงการไปแล้ว เพราะทนไม่ไหว วัตถุดิบราคาถูกที่พาณิชย์บอกจะหามาช่วย ก็ไม่มี ไม่มา ยิ่งขายยิ่งเจ๊ง ก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม ออกมาแล้วขายแพงเหมือนเดิมดีกว่า ยังพอมีกำไรอยู่ได้
       
       ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ประกาศปาวๆ ว่า เอาอยู่ ไม่มีรายการใดปรับขึ้นราคา แต่พูดไปก็เท่ากับถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเอง เพราะผลการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) ซึ่งเป็นการสำรวจของหน่วยงานของพาณิชย์เอง ก็ออกมาชี้ชัดว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฉีกหน้าตัวเองยับเยิน เพราะผ่านมา 2 เดือน (ม.ค.-ก.พ.) เงินเฟ้อปาเข้าไปแล้ว 3.36%
       
       ยังไม่รวมแทกติกของผู้ประกอบการ ที่แอบขึ้นราคาสินค้าทางอ้อม ใช้วิธีการลดขนาดสินค้า ปรับเพิ่มส่วนผสม แล้วมาขอตั้งราคาเป็นสินค้าใหม่ พาณิชย์ก็หยวนๆ ปล่อยให้ขึ้น แบบว่าตามเกมไม่ทัน
       
       ส่วนสินค้าที่ปลดออกจากบัญชีควบคุม อย่างกาแฟผงสำเร็จรูป นมเปรียวพร้อมดื่ม โยเกิรต์ แชมพู น้ำยาซักฟอง ผลิตภัณฑ์ซักฟอก และสบู่ ตอนนี้ราคาไม่ต้องพูดถึง ขึ้นกระฉูดจนผู้บริโภครู้สึกได้
       
       แล้วล่าสุด วิกฤตน้ำมันปาล์ม กำลังกลับมาเยือนเป็นรอบ 2 เริ่มต้นแบบหนังม้วนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน ผู้ผลิตขอปรับขึ้นราคา อ้างต้นทุนเพิ่ม จากนั้น เริ่มชะลอการผลิต อ้างผลิตไปก็ขาดทุน ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ก็ได้ทีโก่งราคา ใครอยากได้น้ำมันปาล์ม ก็ต้องจ่ายราคาแพงขึ้น ไม่จ่าย ก็ไม่มีของ ประชาชนผู้บริโภค พอเริ่มรู้สึกว่า น้ำมันปาล์มจะขาดแคลน ก็รีบไปซื้อกักตุนจนของที่เคยมีขายทั้งในตลาด ทั้งในห้าง ก็เริ่มขาดหาย
       
       ผลการหารือระหว่างผู้ประกอบการที่ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวด เมื่อวันที่ 14 มี.ค. ได้ยื่นคำขาด ขอให้พาณิชย์พิจารณาปรับขึ้นราคาเป็นขวดละ 50 บาท จากเดิม 42 บาท เพราะสต๊อกที่มีอยู่ตอนนี้ สามารถผลิตและขายราคาเดิมได้อีกแค่ 2 สัปดาห์ หรืออย่างช้าก็ราวๆ ปลายเดือนนี้ ก็หมด ถ้าไม่ช่วยเหลืออะไร ผู้ผลิต จะขาดทุน และชะลอการผลิต จนอาจเกิดปัญหาวิกฤตซ้ำรอยเดิมก็เป็นได้
       
       ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ ก็ยังแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ขอให้ตรึงราคา โดยให้เหตุผลว่า สต๊อกเก่ายังมีอยู่ และผลผลิตใหม่กำลังจะออกมาตั้งแต่เดือนเม.ย.เป็นต้นไป บวกกับกำลังพิจารณาหาทางช่วยเหลือ โดยล่าสุด มีข้อเสนอออกมา 2 แนวทาง คือ นำเข้ามาแล้วขายให้ผู้ผลิตในราคาถูก หรือไม่ก็ไปซื้อผลปาล์มดิบในตลาด แล้วมาขายให้กับผู้ผลิต ในราคาถูกซึ่งรัฐจะต้องใช้เงินอุดหนุนตรงนี้ประมาณ 68-115 ล้านบาท
       
       ก็ไม่รู้ว่า แนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว จะทำให้วิกฤตปาล์มน้ำมันจะยุติลงได้หรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่การขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ของกระทรวงพาณิชย์ภายใต้การบริหารของนายบุญทรง ซึ่งมีนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี
       
       **อำมาตย์-ข้าทาสตระกูลชิน รวยเอาๆ
       
       ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากลำบนจากภาวะข้าวยากหมากแพงของคนทั้งแผ่นดิน ดูเหมือนว่าบรรดาอำมาตย์เสื้อแดงทั้งเบื้องสูงและเบื้องต่ำจะมีชีวิตในทิศทางตรงกันข้ามราวฟ้ากับเหว
       
       ใช้ชีวิตล่องล่อยอยู่ในคฤหาสน์หรูหรา สวมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเครื่องประดับแบรนด์เนมราคาแพงระยับ
       
       ทั้ง นช.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษชายหนีคดีที่ใช้ชีวิตอู้ฟู่เฉกเช่นมหาราชาบินไปบินมาทั่วโลก ทั้งคุณหญิงพจมานที่เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยเครื่องเพชร สร้อยมุกและกระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อดัง เช่นเดียวกับนางสาวยิ่งลักษณ์ที่แต่งกายล้ำสมัยด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สุดหรูไม่แพ้ใครบนโลกใบนี้จนแทบไม่มีใครเคยเห็นว่านับตั้งแต่เป็นนายกฯ เธอเคยใส่เสื้อผ้าซ้ำกันบ้างหรือไม่
       
       หรือดูอย่าง 2 ผัวเมียข้าวใหม่ปลาใหม่ “น้องเอม-พินทองทา ชินวัตร กับ “พี่พงศ์-ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” นั่นปะไรที่เปิดเรือนหอระดับคฤหาสน์ที่วังจันทร์ส่องหล้าให้ “นิตยสาร Hello” ปีที่ 7 ฉบับที่ 5 (8 มีนาคม 2555) บันทึกความมีอันจะกินไว้ยั่วน้ำลายไพร่ไส้แห้งให้นึกอิจฉา
       
       เห็นเสื้อผ้า หน้าผมของทั้งคู่ และข้าวของที่ประดับตกแต่งสไตล์เซนเอาไว้ในเรือนหอของคนทั้งคู่แล้ว บอกได้คำเดียวว่า “โคตรรวยเว้ยเฮ้ย”
       
       ยกตัวอย่างเช่นภาพที่นิตยสาร Hello บันทึกความรักอันดูดดื่มของทั้งคู่บริเวณริมสระหน้าหน้าเรือนหอ โดยน้องเอมสวมชุดแซ็กสีครีมของ Phillip Lim สวมรองเท้าแบรนด์ดังที่คนรวยเท่านั้นที่จะมีสิทธิครอบครองอย่าง Jimmy Choo
       
       ส่วนอีกภาพเป็นภาพของทั้งคู่ที่มุมภายในบ้าน โดยทั้งพี่พงศ์และน้องเอมอยู่ในชุดอาฟเตอร์ปาร์ตี้ของ Head Quarter โดยสวมรองเท้ายี่ห้อดัง Christain Louboutin
       
       ยิ่งเมื่อได้เห็นทั้งคู่บอกเล่าเรื่องราวหนหลังเมื่อครั้งที่พี่พงศ์ตัดสินใจของน้องเอมด้วยแล้วยิ่งน่าอิจฉา เพราะทั้งสถานที่และแหวนที่พี่พงศ์เป็นผู้เลือกล้วนแล้วแต่สะท้อนรสนิยมของคนระดับมหาเศรษฐีได้เป็นอย่างดี
       
       พี่พงศ์ตัดสินใจจอง Continental Hotel บูติคโฮเต็ลที่อยู่ใน Hotel Colllection ของแบรนด์ดัง Ferragamo ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เป็นสถานที่ขอน้องเอมแต่งงาน โดยมีแหวน CARTIER วงเล็กๆ เป็นสักขีพยานแสดงความรักของคนทั้งสอง
       
       ขณะที่วันฉลองมงคลสมรสซึ่งจัดขึ้นที่ห้องแอทธินี คริสตัล ฮอลล์ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยยัลเมอริเดียน น้องเอมงามเฉิดฉันในชุดวิวาห์เกาะอกของ Vera Wang สวมแหวนหมั้นเพชรเดี่ยว 5 กะรัต น้ำ D Color ขณะที่พี่โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร เสี่ยวอยซ์ทีวีที่ขี่เฟอร์รารี่ก็ตัดสินใจควักเศษเงินในกระเป๋าซื้อ รถมินิสี่ประตู เป็นของขวัญให้คู่บ่าวสาว
       
       หลังเสร็จพิธีทั้งคู่บินไปฮันนีมูนที่มัลดีฟส์ ตามต่อด้วยกรุงปราก และกรุงเวียนนาจากนั้นบินไปนับถอยหลังปีใหม่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรที่ยุโรป
       
       ขณะที่บรรดาข้าทาสของตระกูลชินก็ดูเหมือนจะอู้ฟู้และร่ำรวยไม่แพ้ผู้เป็นนายเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.oรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งปรับ ครม.เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2555 และกรณีพ้นตำแหน่งเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2555 หรือ “ครม.ยิ่งลักษณ์ 2”
       
       
       ทั้งนี้ จากการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน “ครม.ยิ่งลักษณ์ 2” ครั้งนี้ พบว่า นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากที่สุดในบรรดารัฐมนตรีหน้าใหม่ โดยมีมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 137,563,433.04 บาท ที่ส่วนมากเป็นของคู่สมรส
       
       ส่วนรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุด คือ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง มีทรัพย์สินเป็นเงินฝากอย่างเดียว 382,797.96 บาท ไม่มีหนี้สิน
       
       ขณะที่ นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 18,959,066.06 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 2.6 ล้านบาท เงินลงทุน 14 ล้านบาท ที่ดิน 5.9 แสนบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 4.5 แสนบาท สิทธิและสัมปทาน 1 ล้านบาท มีหนี้สินเพียง 7.7 หมื่นบาท
       
       ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง มีทรัพย์สิน 16,263,953,03 บาท ประกอบด้วยทรัพย์สินที่เป็นเงินฝาก ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ยานพาหนะรวม 16 กว่าล้านบาท เป็นของภรรยาและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 7 กว่าล้านบาท แต่มีหนี้สิน 7.6 ล้านบาท
       
       นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม มีทรัพย์สิน 17,866,358 บาท นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม มีทรัพย์สิน 50,531,762 บาท นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน มีทรัพย์สิน 82,049,173 บาท นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ มีทรัพย์สิน 30,381,378 บาท นายศักดา คงเพชร รมช.ศึกษาธิการ มีทรัพย์สิน 19,825,482 บาท ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม มีทรัพย์สิน 41,431,459 บาท
       
       สำหรับรัฐมนตรีหน้าเก่าที่ปรับย้ายมารับตำแหน่งใหม่ ปรากฏว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากสุด คือ 380,789,887 บาท ส่วน รัฐมนตรีท่านอื่นๆ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง มีทรัพย์สิน 60,485,623 บาท นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 24,567,462 บาท
       
       พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม มีทรัพย์สิน 49,420,434 บาท นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ มีทรัพย์สิน 15,180,681 บาท นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สาธารณสุข มีทรัพย์สิน 101,374,666 บาท
       
       เห็นความร่ำรวยอู้ฟู่และการใช้ชีวิตเยี่ยงมหาราชของอำมาตย์และข้าทาสตระกูลชินแล้ว อดนึกสงสารประชาชนคนไทยที่ไม่มีจะกิน หรือต้องทนทุกข์อยู่กับภาวะข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนคนเสื้อแดงที่เลือกคนเหล่านี้เข้ามาบริหารประเทศ
       
       คนเสื้อแดงจะรู้บ้างหรือไม่ว่า มหาอำมาตย์และตระกูลชินที่พวกเขาพร้อมจะต่อสู้โดยเสียสละทั้งชีวิตและเลือดเนื้อให้นั้น กำลังเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองและมีความสุขสบายโดยที่ไม่ตระหนักนึกถึงบุญคุณของคนยากไร้ที่ไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อเลยแม้แต่น้อย

   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #716 เมื่อ: 18 มีนาคม 2555, 18:29:11 »

เปิดบทวิเคราะห์'ธีรยุทธ'ผ่าทางตันการเมืองไทย

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

เปิดบทวิเคราะห์การเมือง ธีรยุทธ บุญมี ฉบับเต็ม ผ่าทางตันการเมืองไทย


 นายธีรยุทธ บุญมี ผู้อำนวยการสถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์การเมืองไทยแนวโน้มของวิกฤติปัจจุบัน ดังนี้

1.ยุคของการเมืองปัจจุบันยุคของทักษิณ-การเมืองรากหญ้า ประชานิยม

1. การเมืองยุคของทักษิณ ช่วงเกือบ 15 ปีที่พรรคการเมืองของทักษิณชนะการเลือกตั้งทั่วไป ได้เสียงข้างมากติดต่อกัน รวมทั้งสามารถขยายฐานรากหญ้า เสื้อแดง ระดมพลไปเลือกตั้งและชุมนุมประท้วงได้อย่างกว้างขวาง สะท้อนว่าทักษิณกลายเป็น 1 ใน 3 ของผู้มีบารมีทางการเมืองในช่วงหลัง พ.ศ. 2500 ที่มีบทบาทเปลี่ยนโฉมการเมืองไทย ซึ่งได้แก่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ทักษิณจะช่วยให้การเมืองไทยดีขึ้นหรือประเทศล่มจมยังเป็นสิ่งต้องพิสูจน์อีกยาวนาน

2. เกิดการเมืองรากหญ้า-ประชานิยม วิกฤติการเมืองไทยรุนแรง เพราะการไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน ที่รุนแรงที่สุดคือการไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของอีกฝ่าย เพราะมองว่าไม่ใช่ของจริง ไม่ต้องสนใจจริงจัง เช่น ฝ่ายอนุรักษ์มองว่า เสื้อแดงไม่มีตัวตนเพราะถูกจ้างมา โง่จึงถูกหลอกมา ไร้การศึกษาจึงถูกชักจูงโดยทักษิณ แต่ชาวรากหญ้าเสื้อแดงกลับมองว่า ทักษิณมีบุญคุณล้นเหลือคือ (ก) นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ช่วยผ่อนเบารายจ่ายของคนจนอย่างมาก

นอกจากแก้การเจ็บไข้ร่างกายแล้ว ยังแก้เจ็บใจที่แต่ก่อนไปสถานพยาบาลแล้วถูกดูถูกปฏิเสธ  (ข) ชาวบ้านมองกองทุนและโครงการช่วยคนจนต่างๆ ว่าเป็นก้าวแรกที่มีการช่วยเหลือทางวัตถุโดยตรงและจริงจังแก่ชาวบ้าน (ค) ชาวบ้านชอบความรวดเร็วและเด็ดขาดเอาจริงเอาจังของทักษิณ โดยเฉพาะในการปราบปรามยาเสพติด (ผลการวิจัยเบื้องต้นพบว่า ปัญหายาเสพติดกระทบโดยตรงต่อครอบครัวคนชั้นกลางล่าง ชั้นล่าง หรือคนจนในเขตเมืองมากกว่าที่คิด และลดลงมากในช่วงทักษิณ) ส่วนเสื้อแดงก็ไม่ยอมรับเสื้อเหลือง มองเป็นพวกไม่มีเหตุผล ความคิด เพราะคลั่ง “ชาติ” คลั่ง “เจ้า”

3. การเมืองรากหญ้ามีความสำคัญต่อประชาธิปไตย ถ้าจะมองพัฒนาการการเมืองไทยในด้านสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แล้ว ในช่วงราชาธิปไตยชาวบ้านไม่มีทั้งเสรีภาพและศักดิ์ศรี ต่อมาในช่วงเผด็จการทหารมีบางส่วนได้มีศักดิ์ศรีแต่ไม่มีเสรีภาพ ชนชั้นกลางในสังคมไทยเพิ่งจะมีเสรีภาพก็ในช่วงหลัง 14 ตุลาคม 2516 และชาวบ้านระดับรากหญ้าเองก็มามีเสรีภาพในการแสดงออกหลัง 19 กันยายน 2549 การเมืองรากหญ้าจึงเป็นดัชนีบ่งชี้พัฒนาการของสิทธิเสรีภาพในสังคมไทย แม้จะเป็นช่วงเริ่มต้นก็ตาม อย่างไรก็ตาม ประชานิยมน่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรงในอนาคต
อย่างไรก็ตาม พลังรากหญ้า เสื้อแดงมีลักษณะเฉพาะ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และการชุมนุมเป็นคราวๆ ยังไม่เป็นขบวนการการเมือง ไม่มีเป้าหมายอุดมการณ์ที่ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองแต่อย่างใด

2.รากเหง้าของวิกฤติ
1. เรารวมศูนย์มากเกินไป ท้ายที่สุดศูนย์กลางเอาไม่อยู่
ก่อนรัตนโกสินทร์ไทยไม่ได้ปกครองแบบรวมศูนย์เบ็ดเสร็จ มีความหลากหลายของรูปแบบการปกครอง ขนบ วัฒนธรรม เพิ่งมีการรวมศูนย์เบ็ดเสร็จทุกด้านในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยรัฐเป็นเจ้าของและผู้ใช้ทรัพยากรทุกอย่าง เชิดชูส่วนกลาง กดเหยียดของเดิม จึงเกิดความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม ความน้อยเนื้อต่ำใจในหลาย ๆ ด้านฝังลึกอยู่ เนื่องจากทุกอย่างรวมศูนย์ที่รัฐ ทั้งอำนาจและทรัพยากร ชนชั้นนำที่เข้ามามีอำนาจการเมืองล้วนหยิบฉวยใช้ประโยชน์จากรัฐทั้งสิ้น

ส่วนชาวบ้านเกือบไม่เคยได้อะไรจากรัฐ จึงตำหนิชาวบ้านเต็มที่ไม่ได้ เมื่อประเทศต้องการให้มาลงคะแนนเป็นรากฐานให้ประชาธิปไตย พวกเขาจึงถือเป็นอำนาจต่อรองในการซื้อ-ขายเสียง ขอโครงการเข้าหมู่บ้าน ชาวบ้านตื้นตันใจกับทักษิณที่ใช้ประชานิยมผันเอาเงินของรัฐไปช่วยชาวบ้านอย่างเป็นเนื้อเป็นหนัง แม้ตัวเองจะไม่ยอมจ่ายแม้แต่สตางค์แดงเดียวก็ตาม
ตัวอย่างความไม่ชอบธรรมอันเนื่องมาจากการรวมศูนย์มากเกินไป ซึ่งต้องร่วมกันแก้ไข คือ

(ก) ความเหลื่อมล้ำในเรื่องรายได้ คุณภาพชีวิต อำนาจในการใช้และควบคุมทรัพยากรพื้นฐาน ตั้งแต่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แร่ธาตุ ป่าไม้ การสื่อสาร โครงสร้างพื้นฐาน สุขภาพอนามัย ฯลฯ มีอยู่มากและได้พูดกันมากแล้ว

(ข) ประวัติศาสตร์เป็นความภาคภูมิใจของคน ตั้งแต่รัชกาลที่ 6 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน เราเน้นประวัติศาสตร์แบบกษัตริย์นิยมเป็นรัชกาลๆ ไป เกือบไม่มีเรื่องราวของคน อาชีพ สถานะอื่น ไม่มีประวัติศาสตร์สังคมโดยรวม

ไม่มีการเขียนประวัติศาสตร์ว่าคนอาชีพต่างๆ มีส่วนสร้างสังคมอย่างไร ราวกับว่าไม่มีพวกเขาอยู่ ความรู้สึกมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของประเทศจึงเกิดน้อย สถานที่สาธารณะของเรามีรูปปั้น มีชื่อถนน สะพาน อาคาร สวนสาธารณะ ฯลฯ ตามพระนามพระมหากษัตริย์ เกือบไม่มีชื่อของปราชญ์ชาวไทย พระ ทูต นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร สถาปนิก นายแพทย์ นักสำรวจ นักเศรษฐศาสตร์ นักแต่งเพลง กวี ศิลปิน ดารา นักกีฬา เช่น ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ปรีดี พนมยงค์ พระยาอนุมานราชธน พุทธทาสภิกขุ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ กุหลาบ สายประดิษฐ์ สุนทราภรณ์ มิตร ชัยบัญชา สุรพล สมบัติเจริญ ปรีดา จุลละมณฑล รวมทั้งบุคคลสำคัญของท้องถิ่นต่างๆ ในต่างประเทศเช่นราชสำนักอังกฤษให้อิสริยาภรณ์กับหลากหลายอาชีพ แม้แต่ชาวต่างประเทศ เปเล่ เอลตัน จอห์น บิล เกทส์ เดวิด เบคแฮม ฯลฯ ในขณะที่เรามีให้กับข้าราชการทหาร พลเรือน และภริยา กับนักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่

(ค) ภาษา ขนบประเพณี วัฒนธรรม ของท้องถิ่นถูกทอดทิ้งละเลยไปมาก เช่น มีการรื้อถอนคุ้มจวนเจ้าเมือง ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมดั้งเดิมที่สวยงาม แล้วสร้างศาลากลางที่อัปลักษณ์แบบไทยภาคกลางลงไปแทน วัดวาจำนวนมากก็ถูกเปลี่ยนเป็นแบบวัดภาคกลางแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์  มีการใช้ภาษาบาลี ไปเป็นชื่อถนน อำเภอ ตำบล แทนชื่อท้องถิ่น ฯลฯ ยิ่งสร้างความแปลกแยก แทนที่จะสร้างความเข้าใจ เคารพซึ่งกันและกัน

ชาวบ้านรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรมมาตลอดชีวิต ถูกดูหมิ่นดูแคลน ไม่มีศักดิ์ศรีของตัวเองให้เกิดความเคารพความรับผิดชอบตัวเอง  เมื่อชนชั้นกลางในเมืองต่อต้านคนที่มีบุญคุณเช่นทักษิณ จนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน ขึ้น พวกเขาจึงรู้สึกว่ายิ่งถูกซ้ำเติม ไม่ได้รับความเป็นธรรม ศูนย์กลางใช้ 2 มาตรฐานต่อพวกเขา จึงเกิดการไม่ยอมรับอำนาจของศูนย์กลางขยายตัวกว้างขวางขึ้น
2. ความต่างในค่านิยม ความคิดพื้นฐานระหว่างรากหญ้ากับชนชั้นนำ ตอกย้ำความไม่เข้าใจกันเพิ่มมากขึ้น

ชาวบ้านอยู่กับความยากจนมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย จึงชอบวัตถุจับต้องได้อย่างเห็นชัดๆ ชอบความไวทันใจแบบปาฏิหาริย์ ชาวบ้านจึงชอบตะกรุด หลวงพ่อคูณ (กูให้มึงรวย) แทงหวย ชอบทองคำ ซึ่งบ่งบอกถึงความรวยชัดๆ (มวยไทยเก่งๆ ได้แจกสร้อยทองคำ) ชาวบ้านยังมีค่านิยมแบบนักเลง มีน้ำใจให้กัน พึ่งพากันได้ ชอบฮีโร่หรือวีรบุรุษที่สร้างความหวัง (ส่วนใหญ่ไม่สมหวัง) ให้กับตน ชอบผู้นำที่ฉับไว กล้าได้กล้าเสีย ไม่ต้องยกแม่น้ำทั้งห้า ส่วนคนชั้นสูงชอบระเบียบ ความสงบ เรียบร้อย เพราะเท่ากับว่าคนที่ต่ำกว่ายอมรับโครงสร้างอำนาจเดิม และมองว่าระเบียบเป็นสิ่งเดียวกับประสิทธิภาพ

แต่เมื่อใช้กับระบบราชการที่มีอยู่มานานจึงเชื่องช้า (นี่เป็นค่านิยมหลักของประชาธิปัตย์ที่ถูกวิจารณ์หนักมาตลอด) ชนชั้นสูงชั้นกลางเน้นการพึ่งตนเองและระบบ เน้นวัตถุเหมือนชาวบ้านเช่นกันแต่พยายามมีคำอธิบาย พวกเขาเน้นนามธรรม และชอบเทศนาคุณธรรม ความดี จึงเป็นที่มาของความต่างระหว่างประชาธิปไตยกินได้ของชาวบ้านกับประชาธิปไตยดูได้ของชนชั้นสูง

ความแตกต่างในค่านิยมระหว่างชนชั้นล่าง และชนชั้นสูง/กลาง

 ชั้นล่าง ค่านิยมชีวิตทั่วไป ชอบความง่าย สนุกสนาน รู้สึกชีวิตไม่เป็นธรรม ชอบวัตถุจับต้องได้ เน้นการพึ่งพา ช่วยเหลือกัน ใจกว้างใจนักเลง

 ชั้นสูง/กลาง ชอบระเบียบ กระบวนการ ความสงบเรียบร้อย มารยาท ชีวิตเป็นโอกาส ช่องทางเปิดกว้าง ชอบนามธรรม เน้นคุณธรรม ความดี (แต่ก็ชอบวัตถุ) เน้นการพึ่งตนเอง ช่วยตนเอง

 ค่านิยมทางการเมือง
 ชั้นล่างชอบ ผู้นำวีรบุรุษ นโยบายประชานิยม ประชาธิปไตยกินได้

 สำหรับนักการเมือง ประชาธิปไตย (กู) ได้กิน

 ชั้นสูง/กลาง ไม่ชอบทักษิณที่ไม่เคารพกติกา ไม่ชอบประชานิยม เพราะทำให้คนไม่รับผิดชอบตนเอง ชอบ

ประชาธิปไตยคนดี (เพราะพวกเราเป็นคนดี) หรือประชาธิปไตยดูได้ เผด็จการคนดีก็รับได้

3.มุมมองใหม่ของปรากฏการณ์ของ การเมืองรากหญ้า ขบถ”คนเล็กคนน้อย”

1. จะเข้าใจปรากฏการณ์เสื้อแดงได้ดีขึ้น ถ้ามามองทฤษฎีวงจรอุบาทว์หรือทฤษฎีสองนคราฯ ให้ลึกลงในระดับโครงสร้าง เราเคยอธิบายว่าการเมืองไทยเป็นสองนคราธิปไตย คือคนชนบทตั้งรัฐบาล  คนเมืองล้มรัฐบาล หรือคนชนบทซื้อ-ชายเสียงเลือกตั้ง นักการเมืองถอนทุน ชนชั้นกลางไม่พอใจ ทหารรัฐประหารเลือกตั้งใหม่

แต่นี่เป็นการมองเชิงปรากฏการณ์ ถ้ามองเชิงโครงสร้างเราจะมองเห็นวงจรของการเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจการเมืองซ้อนทับอยู่ คือ ชนบทเป็นแหล่งที่มาของทรัพยากร แรงงานที่จำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และเป็นแหล่งที่มาที่ชอบธรรมให้กับประชาธิปไตย (ซึ่งก็คือการเลือกตั้ง) ส่วนเมืองเป็นแหล่งผลิตใช้ทรัพยากร และเป็นผู้ใช้อำนาจประชาธิปไตย และเพื่อให้วงจรนี้ดำรงต่อไปได้ก็มีการครอบงำชาวบ้าน โดยวาทกรรมความสำคัญของศูนย์กลาง ของประชาธิปไตยคนดี และมาตรการสุดท้ายคือรัฐประหาร

ประเทศตะวันตกไม่เกิดวงจรอุบาทว์นี้ เพราะเขาทำให้ประชาชนทุกคนรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศ มีส่วนร่วมรับผิดชอบ กล้าใช้สิทธิเสรีภาพของตน ประชาธิปไตยในต่างประเทศไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ต้องมีการลงทุนด้านสังคม การศึกษา ค่านิยม เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม รับผิดชอบ กลุ่มธุรกิจ ธนาคาร อุตสาหกรรม และภาคสังคมเป็นตัวหลักในการสร้างมหาวิทยาลัย โรงเรียน พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ ที่ประชุม ชุมชน หอศิลป์ ที่ฟังดนตรี สร้างสังคมที่ดี สวยงาม น่าอยู่ น่ารับผิดชอบร่วมกัน ฯลฯ

ชนชั้นนำไทยละเลยภารกิจนี้โดยสิ้นเชิง กลับโยนความไม่เป็นประชาธิปไตยไปที่ชาวบ้าน ตั้งแต่รัชกาลที่ 6 ชนชั้นสูงของไทยสร้างค่านิยม อุดมการณ์แบบนิยมกษัตริย์ ทหารเน้นอุดมการณ์ความมั่นคง ส่วนกลุ่มทุน ธุรกิจต่างๆ ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบหรือร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หรือสร้างบรรยากาศประชาธิปไตยขึ้นเลย ชนบทจึงเป็นแหล่งที่มาของทรัพยากร แรงงานสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจ และเป็นผู้ลงคะแนนเสียง หรือแหล่งที่มาของความชอบธรรม (legitimacy) ของประชาธิปไตยที่ดึงดูดเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยที่ตัวเองเกือบไม่ได้อะไร

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านก็รู้ดีว่าอำนาจต่อรองทำให้เกิดผลประโยชน์ได้ เมื่อคนเมืองต้องการให้พวกเขาลงคะแนนเลือกตั้ง การซื้อ-ขายเสียงอย่างเป็นระบบ การของบโครงการเข้าหมู่บ้านจึงเริ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 2521 และขยายตัวเรื่อยมา สังคมทั่วไปประณามว่าเป็นเหมือนมะเร็งร้ายของประชาธิปไตย แต่ถ้าจะมองว่าเป็นการแบ่งปัน ขอคืน ของชาวชนบทก็ได้เช่นกัน

การเกิดขึ้นของการเมืองรากหญ้าจึงเสมือนเป็นกระบวนการย้อนกลับที่จะดึงเอาอำนาจ ความมั่งคั่ง ศักดิ์ศรี ความภูมิใจ กลับคืนสู่ชนบท จะเป็นสิ่งที่ดีมากและเกิดผลยั่งยืนแก่ประชาธิปไตยถ้ากระบวนการนี้ยั่งยืน แล้วสร้างความเป็นธรรมในที่สุด เพราะความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำต่างๆ เป็นรากเหง้าลึกที่สุดที่ทำให้เกิดปัญหาเหลือง-แดง การเมืองรากหญ้า-ประชานิยม (ดูแผนภาพประกอบ)
 
2. เกิดการเมืองแบบ 2 ขั้วอำนาจ เมืองไทยยุค 2 ก๊ก ก๊ก “คนเลว” โจโฉ จะชนะก๊ก “คนดี” เล่าปี่-ขงเบ้ง
ขณะที่การเมืองไทยกำลังก่อรูปเป็น 2 ศูนย์อำนาจ คือ ศูนย์อำนาจฝ่ายอนุรักษนิยมกับศูนย์อำนาจรากหญ้า ซึ่งเป็นภาวะที่ทั้งน่าสนใจและน่าเป็นห่วงมากที่สุดเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงการเมืองทั้งหมดที่ผ่านมา ภาวะ 2 ศูนย์อำนาจจะแบ่งประเทศออกเป็น 2 ส่วน แต่ละส่วนมีฐานที่มั่น ที่มาความชอบธรรม (legitimacy) ควบคุมอำนาจที่ต่างกันชัดเจน

(ก)จากนโยบายประชานิยม ซึ่งจะหลากหลายขึ้น ทั้งประชานิยม เศรษฐกิจ อาชีพ สังคม (กองทุนสตรี การแจกคอมพิวเตอร์แทบเล็ตให้เด็กนักเรียโดยส่วนตัวผู้เขียนยังเชื่อว่าทักษิณไม่ได้เชื่อมั่นการสร้างประชาธิปไตยรากหญ้าจริงๆ จะเห็นได้จากการปราศรัยกับชาวบ้าน ไม่ได้เห็นประเด็นที่เป็นโครงสร้างยั่งยืน นอกจากอ้อนวอนขอกลับมาเมืองไทย ทักษิณมีลักษณะเป็นผู้นำการตลาดมากกว่าผู้นำประชาธิปไตย ทักษิณมุ่งหวังรากหญ้าเป็นลูกค้าซื้อสินค้าของตนเป็นประจำสม่ำเสมอ มากกว่าจะให้รากหญ้าเป็นรากฐานที่ยั่งยืนมั่นคงของระบบเศรษฐกิจการเมืองไทย อนาคตการเมืองไทยจึงจะยังเป็นเครื่องหมายคำถามที่จะอยู่กับคนชื่อทักษิณอยู่อีกต่อไปนานพอสมควร

5. โดยส่วนตัวผู้เขียนยังเชื่อว่าทักษิณไม่ได้เชื่อมั่นการสร้างประชาธิปไตยรากหญ้าจริงๆ จะเห็นได้จากการปราศรัยกับชาวบ้าน ไม่ได้เห็นประเด็นที่เป็นโครงสร้างยั่งยืน นอกจากอ้อนวอนขอกลับมาเมืองไทย ทักษิณมีลักษณะเป็นผู้นำการตลาดมากกว่าผู้นำประชาธิปไตย ทักษิณมุ่งหวังรากหญ้าเป็นลูกค้าซื้อสินค้าของตนเป็นประจำสม่ำเสมอมากกว่าจะให้รากหญ้าเป็นรากฐานที่ยั่งยืนมั่นคงของระบบเศรษฐกิจการเมืองไทย หรือเป็นขบวนการการเมืองที่มีเป้าหมาย อุดมการณ์การเมืองที่มีความสามารถชี้ทางออกที่เหมาะสมให้สังคมไทยได้ ซึ่งเท่ากับประเทศเราแตกแยก ด่าทอกันเอง ใช้ความรุนแรงต่อกันเพียงเพื่อแก้ปัญหาการซุกหุ้น หนีภาษี ความไม่รู้จักอิ่มในทรัพย์สิน อำนาจของทักษิณเท่านั้น
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #717 เมื่อ: 19 มีนาคม 2555, 09:42:18 »

อึ้ง! 24 ศพม็อบแดงเมษา 53 ต้องคดีอาญาก่อนร่วมป่วนเมือ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

เปิดประวัติ 89 ศพม็อบแดง ตะลึง 24 รายต้องคดีอาญา “ติดยา-พนัน-อนาจาร” บางคนต้องโทษหลายคดี “เสธ.แดง” มากสุด 10 คดี
       
       วันที่ 18 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบข้อมูลผู้เสียชีวิต 89 รายจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ระหว่างเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 พบว่า มีถึง 24 รายมีประวัติต้องโทษคดีอาญาก่อนเข้าร่วมการชุมนุมหลายฐานความผิด เช่น การทำผิด พ.ร.บ.การพนัน ลักทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย จำหน่ายยาบ้า ใช้สารระเหย ซ่องโจร และขัดขวางการจับกุม เป็นต้น ทั้งยังมีประวัติการต้องโทษที่น่าสนใจ แบ่งเป็น ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 6 ราย, การพนัน 5 ราย, คดีอนาจาร 2 ราย และคดีกระทำชำเราเด็ก 1 ราย เป็นต้น ขณะที่หลายรายมีคดีติดตัวหลายรายการ ยกตัวอย่าง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกลอบยิงเมื่อวันที่ 13 พ.ค.53 นั้นมีประวัติการกระทำผิดรวมถึง 10 รายการ
       
       รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นชุดเดียวกับที่นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ นำไปยื่นต่อนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อขอทบทวนและออกระเบียบการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองให้รอบคอบ


      
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #718 เมื่อ: 19 มีนาคม 2555, 10:58:55 »

แกะรอย “วุฒิสาร” พระปกเกล้า “นักธุรกิจ” ในคราบนักวิชาการ!
โดย นกหวีด    ผู้จัดการ Online

รายงานผลวิจัย “การสร้างความปรองดองแห่งชาติ” ของสถาบันพระปกเกล้า ทึ่มีบทสรุปมุ่งล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกับพวก ถือเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญที่สะท้อนข้อเท็จจริงอันเจ็บปวดในบ้านเมืองของเราว่า “มีคนที่คิดว่าดีจำนวนมากที่พร้อมรับใช้คนผิด”
       
       ถ้อยแถลงของ วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ในฐานะหัวหน้าคณะวิจัย ออกมายืนยันข้อเสนอนิรโทษกรรมล้มคดี คตส. พร้อมกับอ้างผลการศึกษาจาก 10 ประเทศว่าการปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการให้อภัยและนิรโทษกรรมนั้น
       
       ถือเป็นการโกหกคำโตต่อสังคมไทย!
       
       เพราะจากรายงานวิจัยฉบับนี้ มีการศึกษาความขัดแย้งใน 10 ประเทศ คือ เกาหลีใต้ แอฟริกาใต้ อินโดนีเซีย (อาเจะห์) สหราชอาณาจักร (ไอร์แลนด์เหนือ) รวันดา ชิลี โคลอมเบีย โมร็อกโก โบลีเวีย และเยอรมนี ซึ่งจากข้อมูลที่คณะผู้วิจัยซึ่งอ้างตัวว่าเป็นกลางระบุไว้นั้น
       
       ไม่มีแม้แต่ประเทศเดียวที่จะนิรโทษกรรมคดีอาญา และคดีทุจริต
       
       วุฒิสาร และคณะ ไปยกเมฆข้อเสนอมาจากดูไบหรืออย่างไร จึงเสนอทางเลือกให้มีการปรองดองด้วยการทำลายหลักนิติรัฐ และนิติธรรม ปลดโซ่ตรวนให้คนทุจริต เผาบ้าน ทำลายเมือง

       
       อาจจะเป็นเพราะพระสยามเทวาธิราชมีจริง หรือไม่ก็อาชญากรมักทิ้งร่องรอยไว้เสมอ ก็เลยทำให้มีการปล่อยไก่อ้างถึงบทเรียน10 ประเทศมาประกอบหวังให้รายงานวิจัยดูดีน่าเชื่อถือ แต่กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญประจานการเป็นทาสรับใช้ของคณะวิจัยชุดอัปยศ
       
       หาก วุฒิสาร มีจิตบริสุทธิ์คิดช่วยชาติออกจากวังวนความขัดแย้ง ต้องพิเคราะห์สิว่าทำไมทั้ง 10 ประเทศถึงไม่มีการนิรโทษกรรมคดีอาญาและทุจริต แต่สิ่งที่เป็นจุดร่วมในการเดินหน้าสู่ความปรองดองคือ
       
       1. การค้นหาความจริง 2. มีการนิรโทษกรรมเฉพาะผู้ทำผิดในคดีการเมือง 3. เปิดโอกาสให้กระบวนการยุติธรรมทำหน้าที่เพื่อรักษาสิทธิให้แก่ผู้เสียหาย 4. การอภัยโทษจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการรับโทษไปแล้วระยะหนึ่ง
       
       ไม่มีแม้แต่ประเทศเดียวใน 10 ประเทศที่เขาใช้วิธีการ “นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง” ทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม ริดรอนสิทธิผู้เสียหายไม่ให้มีโอกาสได้รับความเป็นธรรมผ่านระบบกฎหมายปกติ ฯลฯ เหมือนที่วุฒิสารและพวกทำ
       

       แม้แต่สหราชอาณาจักรซึ่งมีการระบุถึงการปล่อยตัวนักโทษการเมืองที่ถูกตัดสินจำคุกจากการกระทำที่เป็นการก่อการร้าย ก็ยังต้องมีคณะกรรมการอิสระที่รัฐสภาเป็นผู้แต่งตั้งมาพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวเป็นรายกรณีไป
       
       ไม่ใช่ทุจริตไม่ผิด คิดปล้นทำได้ เผาไทยได้เป็นรัฐมนตรี ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ
       
       ขนาด ชิลี ซึ่งมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่นายพลปิโนเชต์ และเจ้าหน้าที่ (ทหารและตำรวจ) ที่กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพื่อปราบปรามผู้ต่อต้านรัฐบาลในช่วง ค.ศ. 1971-1978 โดยตัวผู้นำรัฐบาลเป็นผู้ออกกฎหมายดังกล่าวเองในช่วงมีอำนาจ แต่เมื่อนายพลปิโนเซต์หมดอำนาจลงเขาก็ยังต้องถูกควบคุมตัวในต่างประเทศด้วยอำนาจของกฎหมายสากลว่าด้วยอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
       
       จะเห็นได้ว่า หลักคิดของทั้ง 10 ประเทศก็คือ คนทำผิดต้องได้รับโทษ ไม่ใช่นิรโทษแบบเหมารวม นอกจากนี้กว่าที่ประเทศเหล่านั้นจะได้บทสรุปในการสร้างความปรองดองในชาติตัวเองนั้นล้วนแต่ต้องใช้เวลา สร้างกระบวนการแสวงหาความจริง ปรับทัศนคติ พูดคุยเสวนา เจรจา ไกล่เกลี่ย จนมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการปรองดอง จากนั้นจึงสรุปแนวทาง
       
       ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ วุฒิสาร และคณะทำโดยสิ้นเชิง
       
       ที่น่าสนใจคือ ณัชชาภัทร ธนานิธิโชติ อ้างถึงคำสัมภาษณ์ของผู้ทรงคุณวุฒิว่า “ทักษิณ” คือคู่ขัดแย้งรัฐไทย หมายถึงกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด และหลักนิติธรรม ส่วนอีกกลุ่มมองว่า ทักษิณ ขัดแย้งกลุ่มการเมืองตรงข้ามตัวเองอยู่ที่กลุ่มนอกระบอบ ประชาธิปไตยหรืออำมาตย์หรือเผด็จการทหาร โดยมี ทักษิณ เป็นตัวแสดงหลัก จากมุมมองที่ต่างกันนำมาสู่การมองเหตุความขัดแย้งที่ต่างกัน
       
       เช่นมองว่าเหตุขัดแย้งมาจากความไม่เป็นธรรม ทั้งจากการแทรกแซงผลการเลือกตั้ง ส่วนประเด็นขัดหลักนิติธรรม มีการพูดถึง คตส. และใช้สถาบันทางราชการ ใช้สถาบันทางตุลาการเข้ามาทำลายความเป็นธรรมในสังคม อีกมุมหนึ่งมองว่าเกิดจากความไม่เป็นธรรมซึ่งเกิดจากระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่เกิดเผด็จการรัฐสภา การเลือกตั้งภายหลังปี 2548 ที่มีการควบรวมพรรคการเมือง การที่ ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย มีอิทธิพลเหนือฝ่ายนิติบัญญัติลอยตัวการตรวจสอบ และอยู่เหนือการตรวจสอบคอร์รัปชั่น ทำให้เป็นพื้นฐานความขัดแย้งในสังคมไทย
       
       ข้อมูลข้างต้นสะท้อนว่า แม้จะมีการมองเหตุแห่งความแตกแยกต่างกัน แต่ตัวป่วนของประเทศก็คือ ทักษิณ เป็นศูนย์กลางทำให้เกิดความขัดแย้ง
       
       แต่วุฒิสารและพวกกลับเสนอทางเลือกให้นิรโทษกรรมต้นตอความขัดแย้ง เหมือนเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ว่าไม่เคยทำความผิดใดๆ ต่อบ้านเมือง โยนความผิดให้รัฐประหารและ คตส. ทั้งๆ ที่ในฐานะผู้ทำการวิจัยซึ่งอุตส่าห์ไปเสาะหาบทเรียนจากต่างประเทศมาใช้เทียบเคียงได้ แต่กลับอับจนปัญญาถึงขนาดไม่พิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ซึ่งถูกกล่าวอ้างว่าเป็นกระบวนการที่ไม่เป็นธรรมจากปากของต้นตอปัญหา
       
       วุฒิสารและพวกไม่รู้จริงๆ หรือว่าไม่เคยมีอาชญากรรายใดยอมรับคำพิพากษาว่าตัวเองผิด หรือว่ารู้แต่จงใจช่วยอาชญากรให้กลับมากก่ออาชญากรรมในประเทศต่อ?
       
       วิธีโยนบาปให้ คตส.เป็นแพะนั้นถือว่าตื้นเขิน และหยาบช้าเกินกว่าจะเป็นบทสรุปของงานวิจัยเพื่อสร้างความปรองดอง อีกทั้งยังทำให้เห็นถึงความมักง่ายของวุฒิสารและพวกด้วย
       

       เนื่องจากการสรุปถึงความไม่มั่นใจในคตส.จนนำไปสู่ข้อเสนอให้โละทุกคดีของ คตส.นั้น เป็นผลมาจากการสอบถามคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียจากการพิจารณาคดีของ คตส.ทั้งสิ้น โดยที่คณะผู้วิจัยทำตัวไม่ต่างจากปูที่ไม่มีมันสมอง คือไม่มีการวิเคราะห์ข้อมูลผ่านสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเลยแม้แต่น้อย
       
       เพราะถ้าวุฒิสาร และคณะ เป็นกลางจริงต้องให้ความเป็นธรรมกับ คตส.ด้วยว่า แม้พวกเขาจะถูกทำคลอดโดยคณะรัฐประหาร แต่กฎหมายทุกฉบับที่นำมาใช้ในการดำเนินคดีกับคนทุจริตล้วนแต่เป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ก่อนการรัฐประหารทั้งสิ้น
       
       
       ที่สำคัญคือ สำนวนของ คตส.มิใช่ข้อยุติแห่งคดี แต่ดุลพินิจของศาลซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินคดีชี้ถูก-ผิด ดี-ชั่ว
       
       ซึ่งในชั้นศาลก็เปิดโอกาสให้คู่ความทั้งสองฝ่ายต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมปกติ หลายคดีคนที่เคยเป็นจำเลยพ้นผิดไปแล้วก็มี
       
       ที่สำคัญคือทักษิณกลับไทยเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในคดีที่ดินรัชดาฯ ด้วยตัวเอง พร้อมกับคำประกาศว่ามั่นใจกระบวนการยุติธรรมเพราะประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตยแล้ว หลังจากที่ สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งขณะนั้น คตส.ก็ยังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบอีกหลายคดี ไม่มีใครบอกต้องยุบ คตส.ทิ้งเพราะทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม
       
       นอกจากนี้ ระหว่างการสู้คดีทักษิณก็งัดทุกมุกมาเล่นงาน คตส. ทั้งนอกและในศาล โดยศาลให้ความเป็นธรรมวินิจฉัยในทุกประเด็นที่มีการหยิบยกขึ้นมาต่อสู้ อีกทัั้ง คตส.ก็ยังต้องรับทั้งผิดและชอบตามกฎหมาย ไม่ได้มีสิทธิพิเศษเหนือกฎหมายไทยแต่อย่างใด โดยผู้ถูกกล่าวหาสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีกับ คตส.ได้หากเห็นว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบ แสดงว่า คตส.ถูกตรวจสอบได้ตามกระบวนปกติ และทักษิณก็ใช้สิทธิอย่างเต็มที่เสียด้วย
       
       จนกระทั่ง ทักษิณรู้ว่าอาจแพ้คดีจึงหลบหนีไปต่างประเทศ และเริ่มขบวนการทำลายกระบวนการยุติธรรมนับจากนั้นเป็นต้นมา
       
       ปัญหาของชาติมันชัดเจนมากว่าเกิดจากคนคนเดียวที่ชื่อ “ทักษิณ” ไม่ยอมรับผิด ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม จึงใช้อำนาจเงิน อำนาจทางการเมือง ปลุกระดมประชาชนจนเกิดความขัดแย้งแตกแยก
       
       ยกระดับปัญหาตัวเองให้เป็นปัญหาของชาติบ้านเมือง
       
       ในขณะที่วันนี้ วุฒิสารและพวกได้ข้อสรุปว่า ทักษิณคือตัวปัญหา แต่จะแก้ปัญหาความไม่พอใจในกระบวนการยุติธรรมเพราะถูกตัดสินว่าผิดด้วยการทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรมของชาติเพื่อทักษิณ
       
       ไม่มีนักวิชาการดีๆ ที่ไหนเขาร่วมมือกับคนปล้นหลักการของบ้านเมืองหรอก
       
      เว้นแต่ว่าคนบางคนไม่ใช่นักวิชาการแต่เป็นนักธุรกิจในคราบนักวิชาการมานานแล้ว ไม่เชื่อก็ลองไปตรวจสอบรายชื่อกรรมการบริษัท ไออาร์พีซี ที่จดทะเบียนปี 2537 ด้วยทุนถึง 20,475 ล้านบาท ก็จะเห็นชื่อ วุฒิสาร ตันไชย เป็นกรรมการซึ่งมีอำนาจลงลายมือชื่อแทนบริษัทด้วย
       

       บางที เส้นแบ่งระหว่างวิชาการรับใช้สังคมกับวิชาการรับใช้ทุนก็บางจนใช้ตาเปล่ามองแทบไม่เห็น
       
       แต่สิ่งที่สังคมต้องร่วมกันเปิดโปง คือ หากสถาบันพระปกเกล้านิ่งเฉยต่องานวิจัยรับใช้ทุนทรราชย์ฉบับนี้ ก็เท่ากับยอมรับว่าเป็น “สถาบันปกป้องคนผิด”
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #719 เมื่อ: 27 มีนาคม 2555, 23:16:02 »

ศจ.ดร. คณิต ณ นคร ประธาน คอป.

ได้กล่าวให้สติกับสังคมไทย และแง่คิด เกี่ยวกับต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบัน
โดยเปรียบเทียบระบบ ยุติธรรมของไทยกับประเทศต่างๆ ที่เจริญแล้ว
พร้อมกับยกตัวอย่างบุคคล ทางการเมืองในแต่ละประเทศเหล่านั้นด้วยว่า
“รากเหง้าของความไม่สงบ เรียบร้อยที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราในระยะหลังๆ
 หมายถึงช่วงหลังจากมีการ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2540 แล้ว โดยส่วนใหญ่ก็เป็นคดีที่เกี่ยวกับคุณทักษิณนี่ แหละ
 อย่างคดีเกี่ยวกับการซุกหุ้นนี่ผมถือว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ เพราะศาล รัฐธรรมนูญในขณะนั้น ไม่ได้ยึดหลักกฏหมายในการตัดสินคดีนี้ ทำให้เกิดการ เบี่ยงเบนคดี และเป็นที่มาของการใช้อำนาจเกินขอบเขต ซึ่งนี่เป็นเรื่องใหญ่นะ ครับ เราต้องนำเรื่องนี้ไปพูดให้ประชาชนเข้าใจ เพื่อจะได้ร่วมกันผลักดัน กระบวนการยุติธรรมให้เข้มแข็ง ซึ่งจะแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้…

…ใน มุมมองของผม เรื่องกฏหมายกับกระบวนการยุติธรรมเป็นรื่องใหญ่ กระบวนการ ยุติธรรมของเรายังมีอะไรที่ต้องปรับปรุงอีกเยอะ
เรามีการปรับปรุงกระบวนการ ยุติธรรมครั้งแรกคือปี พ.ศ. 2540 จนกระทั่งวันนี้ เราก็ยังคิดว่าการขับเคลื่อน กระบวนการยุติธรรมให้เป็นที่พึ่งของประชาชนได้นี่เป็นเรื่องใหญ่ ประเทศต่างๆ ที่มีการพัฒนาทั้งด้านประชาธิปไตย รวมถึงเศรษฐกิจและการเมืองนั้น ประเทศ เขาล้วนมีกระบวนการยุติธรรมที่เข้มแข็งทั้งสิ้น เช่น ในเอเชียก็มีตัวอย่างคือ เกาหลีและญี่ปุ่น

ดังนั้น เราเองก็จะต้องให้ความสนใจเรื่องนี้ให้มากหน่อย ผม คิดว่าถ้ากระบวนการยุติธรรมเข้มแข็งมันจะสามารถป้องกันการยึดอำนาจได้ เพราะว่าทุกครั้งที่มีการยึดอำนาจก็มักจะมีการอ้างเรื่องการทุจริต คอร์รัปชั่น อย่างบ้านเรา เมื่ออ้างเรื่องนี้แล้ว มันก็ไม่ค่อยเกิดมรรค เกิดผล อย่างครั้ง สุดท้ายที่มีการยึดอำนาจกันเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 หรือที่มีการทุจริตกัน เยอะที่สนามบินสุวรรรภูมิ ผมฟังๆ ข่าวดู ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือการทุจริตที่ มีคนไทยเราไปเกี่ยวข้องกับอเมริกา ประเทศของเขา เขาลงโทษไปแล้ว แต่ ของเราก็ยังเห็นเฉยๆ อยู่ นี่แหละที่ทำให้ผมคิดว่า กระบวนการยุติธรรมของไทย เรา จะต้องมีการปรับแต่งกันให้ดีที่สุด เพราะถ้ากระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่งได้ รักษาความสงบเรียบร้อยได้ มีการบังคับใช้กฏหมายที่ดี การจะได้เห็น ประชาธิปไตย ในบ้านเรา ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินควร

….ผมว่าการแก้ รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องรองนะ ในความรู้สึกผม มันจะแก้กันยังไง ถ้ากระบวนการ ยุติธรรมมันยังเป็นอย่างนี้ และผมบอกได้เลยว่าถ้ากระบวนการยุติธรรมเรายัง เป็นแบบนี้อยู่ เราจะเป็นประเทศที่ล้าหลังที่สุดในเอเชีย ในขณะนี้ถ้าเราไปดูที่ ฟิลิปปินส์ อดีตนายกรัฐมนตรีของเขาก็กำลังจะถูกจับเข้าคุก ส่วน ไต้หวันหรือ สิงคโปร์นี่ไม่ต้องพูดถึง กฏหมายเข้มแข็งมาก ถ้าเรายังอยู่แบบนี้ อีกหน่อยเรา จะแย่ที่สุดในโลกเลย แย่ที่สุดแน่นอน ต่างจากญี่ปุ่นที่เขาพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง ประชาธิปไตยมาได้ก็เพราะกระบวนการยุติธรรมเขาเข้มแข็งมาก และ ข้อดีของกระบวนการยุติธรรมนะครับ จริงๆ แล้ว ใช้งบประมาณน้อย แต่ใช้ ความร่วมมือสูง เพราะฉะนั้น ในภาคของเจ้าพนักงานที่มีหลายหน่วยงานนะ ถ้า ร่วมมือกัน ทำงานอย่างเป็นเอกภาพ มันจะช่วยลดการใช้งบประมาณได้มาก และประสิทธิภาพก็จะตามมา…

.ก็นี่ไง ก็เพราะกระบวนการยุติธรรมมันไม่เวิร์ค ถ้ากระบวนการยุติธรรมเวิร์ค มันก็ไม่มีปัญหา เหมือนอย่างประเทศอื่น อย่าง นายทานากะที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอิทธิพลมากของประเทศญี่ปุ่น เขาก็ยังต้อง จำคุกเมื่อศาลตัดสินว่าทุจริต หรือในเกาหลีก็มีอดีตนายกรัฐมนตรีกระโดด หน้าผาฆ่าตัวตายเพราะเขาทุจริตคอร์รัปชั่น คือถ้ากระบวนการยุติธรรมของเรา เข้มแข็ง ปัญหามันก็หมด

….(ย้ำอีกที) คุณทานากะอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเขา ยังต้องติดคุกเพราะคดีทุจริต แต่บ้านเรามันไม่มีไง….ผมเปรียบเทียบ เหมือน คดีฮิตเลอร์ ฮิตเลอร์เป็นคนออสเตรีย แล้วเขาก็เข้ามาอยู่ในบาวาเรีย ใน เยอรมัน แล้วมาเป็นทหารรับจ้างของกองทัพบาวาเรีย ได้ไปรบจนได้เหรียญ ตรา จากนั้นฮิตเลอร์ก็ก่อกบฏ ก่อกบฏแล้วก็ถูกจับขึ้นศาล ซึ่งกฏหมายเยอรมัน ณ ตอนนั้น คนที่เป็นคนต่างด้าวที่ถูกลงโทษจะต้องถูกเนรเทศด้วย แต่ศาล เยอรมันขณะนั้น บอกว่า ฮิตเลอร์ซึ่งมีความรู้สึกเป็นเยอรมันอย่างมาก ทั้งได้ ประกอบคุณงามความดีจนได้เหรียญตรา จึงไม่ใช่คนต่างด้าว

….เห็นไหมครับ บิดเบือนกฏหมายชัดเจน ผมเองก็เคยเขียนบทความว่าถ้าศาลใช้อำนาจอย่าง ตรงไปตรงมา ฮิตเลอร์ก็จะไม่ขึ้นสู่อำนาจ สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็จะไม่เกิด มัน ก็เหมือนคดีเรานี่แหละ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจถูกต้องตามกฏหมาย คุณ ทักษิณก็จะถูกอัปเปหิออกไปจากอำนาจ ไม่ขึ้นสู่อำนาจ ไม่สร้างความเสียหาย มันอันเดียวกันเลยนะครับ ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย.

...ผมเชื่อมั่นว่าถ้า กระบวนการยุติธรรมมันดีแล้วเราก็สามารถที่จะควบคุมคนได้ เพราะมันเป็นเรื่อง ยากถ้าเราจะไปหวังให้คนทุกคนเป็นคนดี ในหลวงท่านยังเคยพระราชทานพระ ราชดำรัสว่าไม่อาจจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ แต่ต้องทำให้คนดีปกครองบ้าน เมือง เราก็รับใส่เกล้าฯ แต่เราไม่ปฏิบัติตาม….ผมคิดว่าตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ ความไม่สงบในบ้านเมือง สังคมเริ่มเรียนรู้อะไรมากขึ้น ผมว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ ดีมากแล้ว ผมมองโลกในแง่ดีนะ ผมว่าคงไม่นานเกินรอหรอก ถ้าไม่ตายเสีย ก่อนคงได้เห็น”
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #720 เมื่อ: 31 มีนาคม 2555, 10:39:49 »

"อ.พิชาย" เหน็บองค์กรอิสระสุดเสื่อม สิ้นลายหมอบแทบเท้าทุนสามานย์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


"อ.พิชาย" วิเคราะห์พฤติกรรม "ดีเอสไอ-อัยการ-สรรพากร" บอกเหตุอนาคตต่อไปตระกูลชินฯ อาจไม่จำเป็นต้องเสียภาษี และหากคนเหล่านี้ทำผิดคงไม่มีเรื่องใดสำคัญพอที่จะส่งฟ้อง ตัดพ้อไฟสามานย์คลอบงำความดี ทำสภาฯใช้กฎเถื่อนเหนือปชต. สังคมเหลือแต่ทนายขายแผ่นดิน
       
       ผู้สื่อข่าวรายงายว่า วันที่ (31มี.ค.) เวลาประมาณ 00.20 น. ผศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก พิชาย รัตนดิลก ณภูเก็ต วิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของพวกทุนสามานย์และเครือข่ายทุนสามาย์ที่ย่ำยีกระบวนการยุติธรรม ทำลายนิติรัฐ และการใช้อำนาจเถื่อนของทรราชเสียงส่วนใหญ่ตอกย้ำความเป็นเผด็จการรัฐสภา
       
       1. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมรตรี ถูก คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) วินิจฉัยว่าทำผิดกฎหมายหลักทรัพย์ แต่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) บอกว่าไม่ใช่สาระสำคัญสั่งไม่ฟ้อง กรณีนี้ทำให้เราทราบว่าการให้การเท็จในศาลไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับ ดีเอสไอยุคธาริต และคงไม่มีเรื่องใดสำคัญพอที่จะส่งฟ้องได้อีกในอนาคต หากเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับท...ักษิณ ยิ่งลักษณ์ และบรรดาสมุนของพวกเขา ดีเอสไอกำลังเดินไปสู่การเป็นองค์การความล่มสลาย
       
       2. อัยการสั่งไม่ฟ้อง เสื้อแดงเถื่อนที่ข่มขู่นักข่าวช่องเจ็ด ทำให้เราทราบว่าต่อไป หากพวกเสื้อแดงขู่หรือทำร้ายใคร อัยการอาจมีแนวโน้มใช้มาตรฐานเดียวกับการไม่ฟ้องเสื้อแดงเถื่อนตนนั้น ความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับคดีที่ก่อโดยเครื่อข่ายทุนสามานย์ ที่อัยการสั่งไม่ฟ้องยังมีอีกจำนวนมาก ไม่เคยมียุคไหนที่อัยการจะตกต่ำในความรู้สึกของวิญญูชนได้มากเท่ายุคนี้อีกแล้ว.
       
       3. "อนิจจาสังคมไทย. ทนายของแผ่นดิน คงสิ้นไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่คงมีแต่ ทนายขายแผ่นดิน เท่านั้น"
       
       4. กรมสรรพากรทำท่าจะไม่เก็บภาษีจากการขายหุ้นได้กำไรของลูกทักษิณ จำนวน 12,000 ล้านบาท ทำให้เราทราบว่า ต่อไปใครก็ตามที่เครือญาติและอยู่ในเครือข่ายทุนสามานย์ อาจไม่จำเป็นต้องเสียภาษีก็ได้ แต่หากประชาชนอย่างเราทำแบบนั้นบ้าง กรมสรรพากรคงฟ้องร้องเราถึงศาลฏีกาแน่ๆ
       
       5. สภาสามานย์ที่ถูกควบคุมโดยทุนสามานย์ ใช้วิธีการสามานย์ ยกเลิกมติของกรรมาธิการแก้รัฐธรรมนูญ ที่ตนเองแพ้เพราะสมุนไม่อยู่ในห้องประชุม รุ่งเช้าระดมกันเข้าไปทั้งฝูงขู่คำรามให้ยกเลิกมติเก่า และลงมติใหม่ เราให้เรารูว่า พวกทุนสามานย์ฝูงนี้ไม่เคยเคารพกติกาประชาธิปไตย แพ้ไม่เป็น เมื่อแพ้ก็ใช้กฎเถื่อนเอาชนะให้ได้
       
       6. ขณะนี้หลักการประชาธิปไตย นิติรัฐ ถูกทุนสามานย์ ทำลายลงไปอย่างย่อยยับในทุกระดับทุกปริมณฑล ไฟสามานย์ กำลังเผาผลาญคุณความดีไปทุกหย่อมหญ้า
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #721 เมื่อ: 31 มีนาคม 2555, 21:47:50 »

นักข่าวช่อง7ท้า'สุรนันทน์'เปิดเทปนายกฯหนีสื่อ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

นักข่าวช่อง 7 อัดแหลก "สุรนันทน์" ปัดนายกฯไม่ตอบ "พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล"
เผยแทรกแซงไม่ให้ไปทำข่าวกัมพูชาขัด รธน.ม.46 ยันทำข่าวเพื่อ ปชช.


หลังจากที่นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ โฆษกส่วนตัวนายกรัฐมนตรี ทวิตตอบนายประดิษ เรืองดิษฐ์ ผู้สื่อข่าวสายทำเนียบรัฐบาล กรณีสำนักโฆษกมีหนังสือถึงผู้บริหารสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ให้ยกเลิกการเดินทางไปทำข่าวภารกิจนายกรัฐมนตรีระหว่างการเดินทางไปร่วมประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ 20 ณ ประเทศกัมพูชาของ น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวช่อง 7 โดยกล่าวว่า น.ส.สมจิตต์ มีความลำเอียง และมีเป้าหมายแอบแฝงในการปฏิบัติหน้าที่

ล่าสุด น.ส.สมจิตต์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความตอบโต้ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว มีข้อความดังนี้

ถึง คุณสุรนันทน์. เวชชาชีวะ. โฆษกส่วนตัวนายกรัฐมนตรี

คุณสุรนันทน์ น่าจะขาดความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงคำว่า "จริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพ" จึงได้ชี้แจงเช่นนี้ ซึ่งจะขออธิบายทีละข้อตามที่คุณสุรนันทน์โพสต์ตอบโต้คุณประดิษฐ์. เรืองดิษฐ์. ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดความสับสนได้

1.นรม. (นายกรัฐมนตรี) ไม่ได้ลุกหนีครับ ผู้ถามไม่ได้ทำการบ้านมาดีพอ อ้างว่าจะมีการประชุมที่ไม่มี และถึงช่วงจบการสัมภาษณ์แล้วด้วยครับ

- เปิดเทปมาสเตอร์พิสูจน์ในกรณีนี้ได้ค่ะว่า นายกรัฐมนตรี เดินหนีหรือไม่ หลังจากมีคำถามเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ถ้าถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์น่าจะได้คำตอบว่า นายกฯไม่ได้ลุกหนีทันทีแต่แสดงท่าทีชัดเจนว่าอึดอัด ไม่ต้องการตอบ พร้อมกับอธิบายว่าเรื่องนี้ไม่มีในการประชุม คุณสุรนันทน์อยู่ในเหตุการณ์ย่อมทราบดีว่า เมื่อนายกฯยืนยันเช่นนั้น ดิฉันก็ได้เรียนถามท่านว่า ถ้าไม่มีวาระแล้วทำไมจึงปรากฏในเอกสารที่เจ้าหน้าที่ให้กับนักข่าวเพื่อเตรียมข้อมูลในการตั้งคำถามโดยอ่านข้อความในเอกสารด้วยว่า "เรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลจะมีคณะกรรมการที่รมว.ต่างประเทศทั้ง 2 ประเทศเป็นผู้เจรจา"

ดังนั้นการกล่าวหาว่าดิฉันไม่ได้ทำการบ้านมาดีพอจึงเป็นการกล่าวเท็จ

2.ครับ แต่ขณะเดียวกันขอให้ทางผู้บริหารสื่อช่วยให้ความเป็นธรรมและให้เกียรติ นรม. ด้วย เพื่อการทำงานร่วมกันที่ดี ไม่ขัดแย้ง

คุณสุรนันทน์ ควรจะขยายความด้วยว่า ผู้บริหารไม่ได้ให้ความเป็นธรรมและไม่ให้เกียรตินายกรัฐมนตรีอย่างไร เพราะในสถานการณ์นั้นมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับผู้บริหาร เว้นแต่ว่ามีการติดต่อเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้บริหารทำตามความต้องการบางอย่างแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นไม่ใช่ประเด็นการให้เกียรติแต่เป็นการยืนหยัดไม่ให้การเมืองแทรกแซงช่อง 7 หรือว่าในความคิดของคุณสุรนันทน์ สื่อที่แทรกแซงได้เท่านั้นที่จะเรียกว่าให้ความเป็นธรรมและให้เกียรตินายกฯ ซึ่งดิฉันไม่คิดว่าจะเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องตามวิถีประชาธิปไตย

3.ถ้าคนทำหน้าที่ไม่แสดงความลำเอียงจนออกนอกหน้าก็อาจถือว่าเป็นการให้เกียรติได้ แต่ถ้าตั้งเป้าแอบแฝงจะทำหน้าที่ได้ดีหรือ?

การจะกล่าวหาว่าคนทำหน้าที่ซึ่งในที่นี้ย่อมหมายถึง ดิฉัน แสดงความลำเอียงจนออกนอกหน้าแบบลอยๆ โดยไม่มีการพูดถึงรายละเอียดของเหตุการณ์นั้น ถือว่าเป็นการกล่าวหาด้วยอคติอย่างชัดแจ้ง เพราะในระหว่างการสัมภาษณ์ เมื่อนายกฯเดินมา นักข่าวทุกคนก็ลุกขึ้นรอให้นายกฯนั่งก่อนแล้วจึงนั่งตาม นี่คือพฤติกรรมที่ไม่ให้เกียรติหรือ

ในการตั้งคำถามมีประเด็นเกี่ยวกับยาเสพติด การเตรียมความพร้อมของไทยสู่ประชาคมอาเซียน และกรณีพื้นที่ทับซ้ิน ซึ่งยืนยันว่าปรากฏอยู่ในเอกสาร มีเรื่องไหนที่คุณสุรนันทน์เห็นว่าเป็นการตั้งเป้าแอบแฝง ?

ทั้งนี้ มาตรา 46 บัญญัติว่า พนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือสื่อมวลชนอื่น ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นภายใต้ข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าของกิจการนั้น แต่ต้องไม่ขัดต่อจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพ และมีสิทธิจัดตั้งองค์กรเพื่อปกป้องสิทธิ เสรีภาพและความเป็นธรรม รวมทั้งมีกลไกควบคุมกันเองขององค์กรวิชาชีพ

ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจในกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือสื่อมวลชนอื่น ย่อมมีเสรีภาพเช่นเดียวกับพนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนตามวรรคหนึ่ง

การกระทำใดๆ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเจ้าของกิจการ อันเป็นการขัดขวางหรือแทรกแซงการเสนอข่าวหรือแสดงความคิดเห็นในประเด็น สาธารณะของบุคคลตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้ถือว่าเป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบและไม่มีผลใช้บังคับ เว้นแต่เป็นการกระทำเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายหรือจริยธรรมแห่งการประกอบ วิชาชีพ

อย่างไรก็ตามดิฉันขอบคุณที่คุณสุรนันทน์ กรุณาชี้แจงที่ทำให้สังคมเกิดความกระจ่างว่า "รัฐบาลได้แทรกแซงไม่ให้ดิฉันเดินทางไปกัมพูชาเพื่อปฏิบัติภารกิจนายกรัฐมนตรีจริง ด้วยเหตุผลจากความรู้สึกอคติของคุณสุรนันทน์ที่มีต่อตัวดิฉัน ดังที่ได้ชี้แจงในข้างต้น ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 46 การกล่าวอ้างว่าทางกัมพูชามีหนังสือแจ้งลดจำนวนสื่อมวลชน และปัญหาเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องเท็จ

ดิฉันไม่แน่ใจว่าคุณสุรนันทน์ จะวางกรอบ จริยธรรมในการประกอบอาชีพการเมืองอย่างไร แต่สำหรับดิฉันซึ่งทำงานสื่อมาเกือบ 20 ปี ยึดมั่นในจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ว่าต้องสืบค้นความจริงเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ใช่ตั้งคำถามเพื่อให้ผู้มีอำนาจสบายใจ และไม่เคยนำความรู้สึกสอดแทรกในเนื้อหาข่าว ซึ่งคุณสุรนันทน์สามารถตรวจสอบข่าวโปรโมทภารกิจนายกฯที่ดิฉันเขียนไว้ล่วงหน้าและปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว เพื่อพิจารณาว่าในเนื้อข่าวดังกล่าวมีส่วนใดที่แสดงถึงความลำเอียงหรือว่าเป็นการนำเสนอตามข้อเท็จจริงผ่านบทสัมภาษณ์ที่ได้เท่านั้น

นางสาวสมจิตต์ ยังได้นำข้อความในทวิตเตอร์ของนายประสงค์ เลิศวิสุทธิ์ เจ้าของเวปไซด์ประสงค์ดอทคอม ที่ตั้งคำถามกับนายสุรนันทน์ มาโพสต์ลงในเฟซบุ๊ค มีข้อความดังนี้

prasong_lert ถาม ตกลงขอให้เปลี่ยนตัวนักข่าวจริงหรืเปล่าครับ ตอบตรงประเด็นหน่อย

สุรนันท์ ตอบ ไม่ชอบ แต่ใครจะไปกล้าสั่ง ใหญ่ๆ กันทั้งนั้น

คำตอบของคุณสุรนันทน์คงชัดเจนนะคะว่าใครกันแน่ที่มีอคติ และใช้อคตินั้นตัดสินคนทำงานสื่อสารมวลชน

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #722 เมื่อ: 03 เมษายน 2555, 09:07:48 »

ปปช.สอบยกพวง'นลินี -เต้น-ตู่' ปมโอนหุ้น-ขนเงิน 32ล.ซุกทรัพย์สินหรือไม่? : สำนักข่าวอิศรา

ปปช.สอบยกพวง“นลินี ทวีสิน - ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”ปมโอนหุ้นให้คนใกล้ชิดก่อนนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี พ่วง“ตู่ จตุพร” กับพวกขนเงินลงทุน 32 ล้าน ซุกทรัพย์สินหรือไม่? อภินันทน์ อิศรากูรฯ รับที่ประชุมรับทราบ “เงินกู้ยืมปริศนา”30 ล้าน นายกฯ แต่ยังไม่มีมติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ได้มีคำสั่งให้เจ้าที่สำนักงานตรวจสอบทรัพย์สินของสำนักงาน ปปช.ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีรัฐมนตรี 2 คนในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คือ นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ถูกร้องเรียนและปรากฏเป็นข่าวว่าอาจมีพฤติกรรมปกปิดบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ปปช.
นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการสำนักงาน ปปช. ซึ่งทำหน้าที่กำกับการบริหารสำนักงานตรวจสอบทรัพย์สินผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยอมรับว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งกรณีนางนลินี ทวีสิน โอนหุ้นให้บุคคลใกล้ชิดหลายสิบล้านบาทก่อนรับตำแหน่งทางการเมือง กรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งตกเป็นข่าวมีเงินเงินลงทุน 32 ล้านบาท และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ตกเป็นข่าวว่าโอนหุ้นบริษัทนิติบุคคลให้คนใกล้ชิด
ก่อนหน้านี้สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (น.ส.นลินี ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2555 ) ในช่วงต้นปี 251 ( ปี2551ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการและที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต่อมาปี 2554 ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย) นางนลินี ทวีสิน นักธุรกิจกลุ่มซัคเซสกรุ๊ป ได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นบริษัทเครือกลุ่มซัคเซสกรุ๊ป จำนวน 22 บริษัท รวม 1,778,927 หุ้น เหลือเพียง 241,200 หุ้น และโอนหุ้นที่ลดลงจำนวน 1,537,727 หุ้น ไปให้กับบุคคล 2 รายคือ
1.นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ของประเทศซิมบับเว ประจำประเทศไทย จำนวน18 บริษัท รวม 642,949 หุ้น และ
2.นายอนุรัช มิสรา จำนวน 4 บริษัท รวม 894,778 หุ้น
รวมมูลค่าหุ้นที่ถูกโอนในครั้งนี้ประมาณ 91,767,560 บาท (มูลค่าตามทุนจดทะเบียน) ถ้าคิดมูลค่าตามหุ้นที่ชำระแล้วเฉพาะนายอนุรัชเท่ากับ 42,693,645 บาท)
การโอนหุ้นของนางนลินีถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจปิดบังอำพรางการถือหุ้นต่อคณะกรรมการ ปปช.หรือไม่
ล่าสุดตอนรับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ครม.ยิ่งลักษณ์ 2) นางนลินีแจ้งบัญชีฯต่อคณะกรรมการ ปปช. มีทรัพย์สินเพียง 19,036,390.32 บาท
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ก่อนเข้ารับตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เดือนกุมภาพันธ์ 2551 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อได้โอนหุ้น บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด จำนวน 20,000 หุ้น มูลค่า 2 ล้านบาท ซึ่งถืออยู่ตั้งแต่ก่อตั้งปี 2544 ไปให้นายเจตนันท์ ใสยเกื้อ พี่ชาย กับ นายมฆวัต กาญวัฒนะกิจ เพื่อน คนละ 11,975หุ้น และ นายมฆวัต กาญวัฒนะกิจ 8,025 หุ้น ตามลำดับ และบริษัทดังกล่าวยังได้รับว่าจ้างทำประชาสัมพันธ์มวลชนโครงการท่อส่งก๊าซของ ปตท.อีกอย่างน้อย 13 โครงการ
นอกจากนี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานด้วยว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กับพวกคือ นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย และ นายฐาปนา จินดากาญจน์ อดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดนครศรีธรรมราช มีเงินลงทุนในห้างหุ้นส่วนจำกัดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2545 จำนวน 5 แห่ง 25 ล้านบาท (เฉพาะนายจตุพร 8.6 ล้านบาท) ก่อนปิดกิจการในเวลาอันรวดเร็ว
ขณะเดียวกับนายจตุพรยังมีเงินลงทุนในบริษัท เพื่อนพ้อง น้องพี่ จำกัด 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท และบริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด (โทรทัศน์ PTV) 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท รวมเงินลงทุน 2 แห่ง 11 ล้านบาท (ต่อมานายจตุพรได้โอนหุ้นทั้งสองบริษัทให้บุคคลอื่นในช่วงเดือนตุลาคม 2550)
รวมเงินลงทุนเฉพาะนายจตุพร 7 แห่ง 19.6 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตว่าทรัพย์สินของนายจตุพรและนายสถาพรที่แจ้งต่อคณะกรรมการ ปปช. ตอนตำแหน่ง ส.ส. วันที่ 22 มกราคม 2551 มีจำนวน 8,050,892.2 บาท และ 714,592,59 บาท ตามลำดับ
นายอภินันทน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เลขาธิการ สำนักงาน ปปช. เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา(www.isranews.org) เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2555 ว่า ได้มีการหยิบยกกรณีสำนักข่าวอิศรารายงานข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน มีเงินให้กู้ยืม 30 ล้านบาท เข้ามาหารือในที่ประชุม คณะกรรมการ ปปช.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบเรื่องดังกล่าวและยังไม่ได้มีมติให้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง
..........
(หมายเหตุ : ปปช.สอบยกพวง'นลินี -เต้น-ตู่' ปมโอนหุ้น-ขนเงิน 32ล.ซุกทรัพย์สินหรือไม่? : สำนักข่าวอิศรา(www.isranews.org/))
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #723 เมื่อ: 03 เมษายน 2555, 12:14:18 »

ศาล ให้ใช้เงิน พท.ประกัน 'แดงเชียงใหม่'

ศาล ไม่ให้ใช้เงินกองทุนยุติธรรมประกันตัวเสื้อแดงเชียงใหม่ ต้องใช้เงินพรรคเพื่อไทย
ส่วนคดีเผาศาลากลางภาคอีสานพฤติการณ์ร้ายแรงไม่ให้ประกัน

ที่กระทรวงยุติธรรม วันที่ 2 เม.ย. นายพิทยา จินาวัฒน์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยเรื่องการใช้เงินกองทุนยุติธรรมจำนวน 43 ล้านบาทเพื่อใช้ประกันตัวผู้ต้องหากลุ่มคนเสื้อแดงจำนวน 57 คนว่า รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณมาให้แล้ว โดยที่ผ่านมาทางกรมคุ้มครองสิทธิฯก็ได้ทยอยยื่นประกันตัวผู้ต้องหาคนเสื้อแดงมาอย่างต่อเนื่อง และพบว่าศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้อนุมัติให้มีการประกันตัวผู้ต้องกลุ่มคนเสื้อแดงเชียงใหม่จำนวน 5 คนในชั้นอุทธรณ์ โดยใช้เงินของพรรคเพื่อไทย เนื่องจากศาลไม่อนุมัติให้ใช้เงินของกองทุนยุติธรรมมาประกันตัว

ทั้งนี้การให้ประกันหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล กรมคุ้มครองสิทธิฯไม่สามารถไปก้าวล่วงได้ ส่วนการประกันตัวผู้ต้องขังเสื้อแดงในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและพื้นที่อื่นๆ ศาลไม่ให้ประกัน โดยศาลพิจารณาตามเอกสารและพฤติกรรมของคดี ซึ่งผู้ต้องหารายหลายมีการกระทำรุนแรง เช่น เผาศาลากลาง และสถานที่ราชการ หากปล่อยตัวชั่วคราวอาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับพยานหรืออาจหลบหนี

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวเงิน ศาลไม่ได้บอกว่าต้องการหลักทรัพย์เท่าไหร่ และไม่ได้ระบุว่าผู้ต้องหาแต่ละรายต้องการหลักทรัพย์ค้ำประกันเท่าไหร่ และไม่ได้บอกว่าหลักทรัพย์ไม่พอ แต่อยู่ที่พฤติกรรมของผู้ต้องหา ทั้งนี้ฝ่ายการเมืองหรือกรมคุ้มครองสิทธิฯไม่สามารถไปก้าวล่วงได้เพราะถือว่าต้องเคารพอำนาจของตุลาการ” นายพิทยา กล่าว
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #724 เมื่อ: 16 เมษายน 2555, 15:15:33 »


มาฟังนักโทษหนีคดี ร้องเพลง Let It Be



<a href="http://www.youtube.com/watch?v=f5caKcwe6sM" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=f5caKcwe6sM</a>
Let It Be?
When I find myself in sh1t with trouble
Stealing much from the country
Red Shirts burn the cities
Let it be

And in my hour of gladness
Hun Sen's standing right in front of me
Asking for his payoff
Let it be

Let it be, let it be, let it be, let it be
Asking for his payoff, let it be.

And when Buffalos grazing the ground agree
There will be amnesty, let it be
Good people with conscience won't agree
Streets will be bloody, let it be
Let it be, let it be, let it be, let it be

Streets will be bloody, let it be
Let it be, let it be, let it be, let it be
Asking for his payoff, let it be.
Let it be, let it be, let it be, let it be
Asking for his payoff, let it be.

And when the night is cloudy there is sniper rifle pointing at me
So I won't see tomorrow, let it be
I wake up in burning hell, Pojaman comes to me
Screaming words of torment, let it be
Let it be, let it be, let it be, yeah, let it be
Screaming words of torment, let it be
Let it be, let it be, let it be, yeah, let it be
Screaming words of torment, let it be


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=xzLWl6ftGuM" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=xzLWl6ftGuM</a>

      บันทึกการเข้า

  หน้า: 1 ... 27 28 [29] 30 31 ... 33  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><