26 พฤศจิกายน 2567, 23:33:05
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 21 22 [23] 24 25 ... 33  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน  (อ่าน 330436 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #550 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2554, 10:02:10 »

ทำไม มาร์ค ยังไม่ไล่ปู !!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
เกาะกระแส
       โดย...ก้อนกรวด
       
       00 มองอีกมุมหนึ่งถือว่าเป็นการแสดงความ “เขี้ยว” ทางการเมืองในระดับขั้นสูงกันเลยทีเดียวสำหรับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคปชป.ที่แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการกดดันให้ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาออก หรือยุบสภาในช่วงนี้ เพราะรู้อยู่แล้วว่าการแก้ปัญหาน้ำท่วมของ รัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯถือว่า “ไร้ภาวะผู้นำ” ไร้สติปัญญาอย่างสิ้นเชิง ทำให้มีเสียงก่นด่าอยู่ทุกวัน และนี่ว่ากันเฉพาะในช่วงที่น้ำยังท่วมสูงอยู่ แต่หลังน้ำลด อยู่ในช่วงการฟื้นฟู จะยิ่งหนักหนาสาหัสกว่าเดิมอีก
       
       00 ความหมายก็คือปล่อยให้ “โชว์โง่” ต่อไปเรื่อยๆ ปล่อยให้สถานการณ์จริง “ประจาน”ผู้นำต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ตัวเองได้แต่นั่งเฝ้ามองอย่างใจเย็น มิหนำซ้ำอีกมุมหนึ่งยังได้ภาพของความเป็น “สุภาพบุรุษ” ไม่ซ้ำเติมฉกฉวยซ้ำสถานการณ์ในยามที่บ้านเมืองต้องการความร่วมมือ และที่สำคัญถ้าสมมุติว่า ยิ่งลักษณ์ ทนแรงกดดันไม่ไหวร้องกรี๊ดแล้วสะบัดก้นลาออกไปก็จะมี “หุ่นเชิด”คนใหม่ของ ทักษิณ ชินวัตรจากพรรคเพื่อไทยเข้ามาเสียบแทน หรือหากคิดเพ้อเจ้อว่ายุบสภาเลือกตั้งใหม่ในช่วงเวลานี้ ประเมินสถานการณ์เท่าที่เป็นอยู่ยังเชื่อว่า มาร์ค-ปชป.ยังสู้พรรคเพื่อไทยไม่ได้อยู่ดี แม้ว่าช่องว่างอาจจะลดลงมาก็ตาม
       
       00 สู้รอคอยอย่างใจเย็น รอให้สถานการณ์ลากไปจนสุดทาง จะได้หมดข้อกังขาทำนอง “ของปลอม”ก็คือของปลอม ไม่ใช่เทวดาอย่างที่มีการสร้างภาพตบตามานาน อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้ต่างกัน ทำให้การต่อสู้ครั้งต่อไปกลับมาสู่สถานการณ์ปกติ สูสี แพ้ชนะกันไม่ขาดเหมือนเช่นที่ผ่านมา เหมือนกับ “ล้างไพ่” แล้วมาเริ่มใหม่จริงๆ
       
       00 ไม่น่าเชื่อว่าภาพลักษณ์ของ เก่ง-การุณ โหสกุล ส.ส.ดอนเมือง พรรคเพื่อไทย จะสร้างความเกลียดชังจากชาวบ้านทั่วไปได้มากถึงเพียงนี้ พิสูจน์ได้จากข่าวที่ปรากฏอยู่ในเว็บเมเนเจอร์ออนไลน์เมื่อวันก่อนรายงานว่าเขาถูกชาวบ้านย่านดอนเมืองคนหนึ่งชกปากแตกเย็บ 5 เข็มเพราะมีคนเข้าไปเปิดอ่านมากนับแสนคน และเมื่อเลื่อนลงมาอ่านคอมเมนท์แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีอารมณ์รุนแรง “ด่ากันยับ” พร้อมกับประกาศให้รางวัลคนที่ใจถึงดังกล่าวแบบไม่อั้น มันก็สะท้อนให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าเขาน่าประทับใจเพียงใด
       

       00 เสร็จสิ้นกันไปแล้วทั้งการอภิปรายงบประมาณปี 55 และการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อถกแก้ปัญหาน้ำท่วม ขณะเดียวกันก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความอดทนของชาวบ้านด้วยเช่นกันว่า ถ้าใครทนฟังพวก “ส.ส.สถุน” อภิปรายในสภา บ้าน้ำลาย บิดเบือนข้อมูล แก้ต่างให้กับรัฐบาลกันอย่างหน้าด้านๆ ได้นานต่อเนื่องกันได้ถือว่าเป็น “มนุษย์พันธุ์พิเศษ” ประเภท “ใจด้านชา” ได้ดีจริงๆ เพราะถ้าจะบอกว่า “เสียเวลาเปล่า” เปลืองค่าน้ำค่าไฟโดยไร้ประโยชน์ ทุด !!
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #551 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2554, 10:13:42 »

กรณ์” สงสาร “ปู พรีเซ็นเตอร์” ชี้หมดอนาคตการเมือง-กังขางบฟื้นฟู 9 แสนล.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์       

บทสัมภาษณ์นายกรณ์ จาติกวณิช ในเว็บไซต์ไทยพับลิก้า

กรณ์” ชำแหละ รบ.ยิ่งลักษณ์ แก้น้ำท่วม ชี้ ดึง “สุดารัตน์” ขึ้น ฮ.-วิชาญ คุมประตูคลองสามวา เป็นเรื่องการเมือง ปัดออกมาช่วยน้ำท่วมสร้างผลบวกแก่พรรค แต่รัฐบาลกลับทำตรงกันข้าม เห็นใจ “ยิ่งลักษณ์” แค่พรีเซ็นเตอร์โฆษณา เชื่อ งบ 9 แสนล้าน ทำลายความเชื่อมั่นจากต้นเหตุการเมืองมีผลประโยชน์
       
       เมื่อวันที่ 9 พ.ย.นายกรณ์ จาติกวณิช รองนายกรัฐมนตรีเงา รองหัวหน้าภาค กทม.พรรคประชาธิปัตย์ และอดีต รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ไทยพับลิก้า ในหัวข้อ “กรณ์ จาติกวณิช” เปิดอภิปรายนอกสภาน้ำท่วม-ถนนลื่น-นารีแหกโค้ง กับ “บูทเจ้าปัญหา” รองเท้าไม่กัด แต่คนกัด ซึ่งกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าอาจกลายเป็นจุดจบของรัฐบาลก่อนครบวาระ โดยกล่าวว่าการบริหารจัดการน้ำท่วมในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้มองว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของพรรคเลย เพราะกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นเป็นหน่วยงานที่ค่อนข้างอิสระ ซึ่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตรฯ ผู้ว่าฯ กทม.ต้องสวมหมวก กทม.ไม่ใช่สวมหมวกพรรค จะสังเกตเห็นว่าพวกตนไม่เคยไปยุ่ง ไม่เคยมี ส.ส.ประชาธิปัตย์ ไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการของกทม. แม้แต่คนเดียว
       
       ทั้งนี้ ในขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ. เต็มไปด้วย ส.ส.พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง ดังนั้น จะเห็นว่า กทม. เป็นอิสระ แต่ถ้ามีแนวทางบริหารที่เห็นไม่ตรงกัน เราก็พูดคุย ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยกสายคุยกับผู้ว่าฯ และยกสายคุยกับคนใน ศปภ.ด้วย อย่างตอนที่ลงพื้นที่แล้วเห็นระดับน้ำในคลองประปาสูงขึ้น นายอภิสิทธิ์ก็ยกหูถึง นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เดี๋ยวนั้นเลยเพื่อบอกให้รีบมาดู ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องการเมือง กทม. แต่เป็นเรื่องการเมืองวันที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำภาค กทม.พรรคเพื่อไทยเข้ามา
       
       • การเมืองกักน้ำกรุงเทพฯ ตอ.
       
       “เพื่อนผมดูแลสนามกอล์ฟอยู่ที่บางบ่อ ติดกับคลองด่าน จ.สมุทรปราการ เขาบอกว่าสนามกอล์ฟนี้แล้งเลย ต้องปั๊มน้ำมารดสนามกอล์ฟทุกวัน อย่างเครื่องสูบน้ำที่คลองด่าน เดี๋ยวเปิดเดี๋ยวปิด เพราะตามสถิติมันใช้งานอยู่แค่ร้อยละ 10 ดังนั้นน้ำไม่ได้ไปจริง นอกจากนี้สถานีสูบน้ำ 3 สถานีหลักในฝั่งตะวันออก ทั้งสถานีหนองจอก ประเวศบุรีรมย์ และคลองสิบสาม ซึ่งมีเครื่องสูบทั้งหมด 52 เครื่อง เราลงพื้นที่เห็นว่าแทบจะไม่ได้เปิดเลย นี่คือสาเหตุให้ฝั่งตะวันตก ฝั่งธนบุรีเละตุ้มเปะเลย น้ำมันถึงทะลักเข้ามาที่ช่วงกลางทั้งวิภาวดีฯ ดอนเมืองไง นอกจากนี้ระบบน้ำทั้งหมดตั้งแต่คลองหกถึงคลองยี่สิบเอ็ด สร้างไว้เพื่อระบายไปทางนั้น นั่นคือทางน้ำ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลทางการเมืองในเรื่องการปกป้องพื้นที่ของตัวเอง หรือความหวาดกลัวว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วรัฐบาลจะอยู่ไม่ได้ ผมไม่รู้ แต่เป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่ไม่ผันน้ำไปฝั่งตะวันออก” นายกรณ์ กล่าว
       
       นายกรณ์ กล่าวว่า ตนอยู่กับนายอภิสิทธิ์ตลอดตั้งแต่เกิดวิกฤตน้ำท่วมจนถึงตอนนี้ ยืนยันได้ว่าไม่มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเลย แต่ตัวละครของทาง ศปภ. หรือรัฐบาลที่ออกมาเป็นเรื่องการเมืองทั้งนั้น อย่างบทบาทของนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กรุงเทพฯ เขตมีนบุรี พรรคเพื่อไทย ที่ออกมาในเรื่องการเปิด-ปิดประตูคลองสามวา ซึ่งตนสงสัยว่าไปทำหน้าที่อะไร เพราะเป็น ส.ส. ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี และไปมีส่วนร่วมในการทำลายทรัพย์สินที่อาจจะทำให้นิคมอุตสาหกรรมทั้งนิคมต้องจมน้ำ อันนี้ยังไม่รวมพื้นที่ กทม.ชั้นในที่ท่วมเพิ่มขึ้น ถามว่ารับผิดชอบอย่างไร ตนอยากเห็นคนออกมาฟ้อง หรือคุณหญิงสุดารัตน์ที่ออกมามีบทบาท ทั้งการนั่งเฮลิคอปเตอร์ หรือการได้ออกสื่อ ซึ่งตนเห็นว่ามาในฐานะอะไร และเป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ
       
       • งดประชุมสภา ส.ส.เอาเปรียบ ปชช.
       
       เมื่อถามถึงสมมติฐานของพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องการปรากฏตัวของคุณหญิงสุดารัตน์คือเกี่ยวข้องกับการลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในช่วงต้นปี 2555 นายกรณ์ตอบว่ามันมีการเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว แต่ขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้คิด เราก็ทำงานของเราไป ทั้งการตั้งมูลนิธิเพื่อระดมเงินบริจาค ก่อนรัฐบาลจะเริ่มเคลื่อนไหวด้วยซ้ำ มีโครงการอาสาคนไทยช่วยน้ำท่วม วันเดียวกับที่พวกเขาไปเตะฟุตบอลที่เขมร พวกตนเตะฟุตบอลระดมเงินช่วยน้ำท่วม คือความตื่นตัวมันเร็วกว่ากัน เมื่อถามว่า แม้คนในพรรคประชาธิปัตย์จะลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่อง แต่ภาพที่เด่นชัดกลับเป็นการจ้องจับผิดรัฐบาล ชวนไปสาดน้ำลายในสภามากกว่า นายกรณ์ตอบว่า ไม่เห็นมีสภาให้ประชุมตั้งเดือนกว่าแล้ว
       
       “จริงๆ มันตรงกันข้ามกับที่ถามด้วย เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน คุณอภิสิทธิ์เคยให้ความเห็นว่ายังไม่ควรเปิดสภา หลังจากนั้นเขาเรียกประชุมเลย ก่อนมาสั่งยกเลิกในนาทีสุดท้าย คือเหมือนกับว่ารัฐบาลทำตรงข้ามกับสิ่งที่เราแนะนำ มาครั้งนี้ก็ยกเลิกอีก ซึ่งผมรับไม่ได้ เพราะไม่รู้จะอธิบายกับประชาชนอย่างไร คุณบอกให้หยุดยาว (รัฐบาลประกาศวันหยุดราชการกรณีพิเศษระหว่างวันที่ 27-31 ตุลาคม) ให้ประชาชนอพยพ เขาหยุดจริง อพยพจริง ตอนนั้นบ้านเขาน้ำยังไม่ท่วม พอครบ 5 วันเนี่ย คุณไม่ต่อวันหยุดให้เขา ซึ่งบ้านเขาน้ำท่วมแล้ว อพยพไปก็ต้องอพยพกลับมา ค่าใช้จ่ายมากมาย มาถึงที่อยู่ก็ไม่มี เดินทางก็ไม่สะดวก แต่คุณให้เขาทำงาน สุดท้ายคุณยกเลิกประชุมสภา ทำไมประชาชนต้องทำงาน แต่ ส.ส.ไม่ต้องทำงานล่ะ บอกว่า ส.ส ยุ่ง ยุ่งอะไร งานของเราอยู่ในสภา”
       
       • เย้ย “ลาก่อนน้ำท่วม” แค่คิดก็ผิด-เก้าอี้ “นายกฯ ปู” ไม่ใช่งานถนัด

       
       ในตอนหนึ่ง นายกรณ์ เห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้มองว่าสถานการณ์นี้ต้องสร้างอะไรให้กับพรรค และไม่ได้เป็นอะไรที่เป็นบวกกับพรรคประชาธิปัตย์ เราพยายามออกไปช่วยเหลือชาวบ้าน แต่การรับรู้อยู่ในวงจำกัดอยู่แล้ว เพราะสื่อบ้านเราก็อย่างที่รู้กัน และเราก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเข้าไปบริหารแทนรัฐบาล คันไม้คันมือกันมาก เพราะเชื่อว่าทำได้ดีกว่า แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ทำได้ ดังนั้นโอกาสทำสถานการณ์ให้เป็นบวก ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถามว่าเราได้อานิสงส์อะไร ก็อาจจะเกิดจากการเป็นที่ประจักษ์มากขึ้นว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีประสิทธิภาพ หรือความรู้เพียงพอในการบริหารจัดการ การเมืองเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบ ถ้าเราอยู่กับที่ แต่เขาตกลงมา ทางการเมืองก็พูดได้ว่าเราได้ประโยชน์ แต่เราไม่ได้หวังผลในเรื่องประโยชน์จากวิกฤตครั้งนี้
       
       เมื่อถามว่า ประเมินว่าจำนวนคนที่ผิดหวังกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะมากขึ้นหรือไม่ เพราะเมื่อเดือนกันยายน 2554 เคยเขียนในเฟซบุ๊กเชิญชวนให้สมาชิกพรรคเพื่อไทย 15 ล้านเสียง ที่รู้สึกผิดหวังกับนโยบายของรัฐบาล มารวมกับ 11 ล้านเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ตอบว่า ทางการเมืองนั่นคือเป้าหมายอยู่แล้ว ตั้งแต่ช่วงเลือกตั้ง ซึ่งมองว่าหลายสิ่งที่พรรคเพื่อไทยคิดจะทำเป็นเรื่องไม่เหมาะสม แต่เมื่อเขาได้รับเลือกแล้ว อะไรที่เคยสัญญาไว้ก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นจะเสียหลักทางการเมืองหมด ใครคิดจะพูดอะไรก็ได้ แต่ไม่มีผลในทางปฏิบัติ
       
       โดยยกตัวอย่างโครงการลาก่อนน้ำท่วมของพรรคเพื่อไทย สะท้อนว่า คิดผิดตั้งแต่แรก เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาคดีอาญาแผ่นดิน คิดไว้ว่าจะใช้เงิน 4 แสนล้านบาทในการถมที่ สร้างเขื่อนป้องกันน้ำทะเลไม่ให้เข้ามาที่ กทม. ลองนึกภาพดู หากทำแบบนั้นไปแล้ว มันมีผลอย่างไรต่อการป้องกันอุทกภัยครั้งนี้ เขาหันหน้าไปทางนั้น นึกว่าศัตรูมาจากทางนั้น ความจริงศัตรูมันมาจากข้างหลัง มาจากน้ำเหนือ ซึ่งคิดผิดหมด ดีไม่ดียิ่งไปถมที่ ยิ่งทำให้ระบายน้ำไม่ได้อีกต่างหาก ดังนั้นแค่คิดก็ผิดแล้ว ถึงวันนี้พูดได้เลยว่าตนและพรรคไม่ได้มีเจตนาล้มรัฐบาล เหมือนที่กลุ่มคนเสื้อแดงพยายามพูด พวกเราไม่มีปัญหาเลยในการทำงานในฐานะฝ่ายค้านต่อไปจนกระทั่งเขายุบสภา ซึ่งไม่รู้จะเป็นเมื่อไร ส่วนตัวคิดว่าเขาน่าจะคิดเปลี่ยนตัวนายกฯ แต่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องยุบสภา เพราะคนส่วนใหญ่เลือกเพื่อไทยมาแล้ว เชื่อว่าก็ยังอยากได้พรรคเพื่อไทยอยู่ พรรคเพื่อไทยก็บริหารต่อไป แต่มันไม่ใช่
       
        “ผมเข้าใจเกม ณ วันนั้น คุณยิ่งลักษณ์เป็นตัวเลือกทางการตลาดที่ดีที่สุด พวกผมคิดมาตั้งแต่ต้นปี 2554 ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการเลือกตั้งคือ ถ้าเขาเอาคุณยิ่งลักษณ์ออกมาเล่นในช่วงโค้งสุดท้าย และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่บทบาทของคุณยิ่งลักษณ์จบแล้ว ผมเห็น ผมก็สงสารเขานะ เขาจะชอบงานที่ทำอยู่หรือไม่ ผมไม่รู้ แต่มันไม่ใช่งานที่เขาถนัด คนอื่นในพรรคคุณก็มีตั้งเยอะ เอาคนที่เป็นนักการเมือง หรือรู้ระบบราชการ เคยบริหารองค์กรมาจริงๆ จังๆ คุณก็มีรองนายกฯ ตั้งหลายคน ก็เลือกมาสักคนสิ” นายกรณ์กล่าว
       
       เมื่อถามถึงสมมุติฐานว่าหลังน้ำลด อาจมีการเปลี่ยนตัวนายกฯ มีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน นายกรณ์ตอบว่าไม่ใช่สมมติฐาน แต่เป็นความเห็นส่วนตัว ยืนยันว่าตนและพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับการล้มรัฐบาล ไม่มีความพยายามจะทำเช่นนั้นด้วย แต่ส่วนตัวมองว่าอย่าดันทุรังเลย ประเทศชาติต้องการมืออาชีพ ถ้าพูดกันอย่างแฟร์ๆ นางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ได้มาในฐานะมืออาชีพ แต่มาในฐานะสัญลักษณ์ เป็นตัวเรียกคะแนน บทบาทหน้าที่นั้นทำได้ดีที่สุดเต็ม 100 แต่มันจบไปแล้ว และมีความชัดเจนว่าจบแล้วเพราะบังเอิญเกิดวิกฤตที่ท้าทาย ต้องการมืออาชีพจริงๆ มาบริหาร และพิสูจน์ให้เห็นว่านางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ใช่มืออาชีพในการบริหาร ทั้งนี้ แรงผลักสำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนตัวนายกฯ คือ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว
       
       เมื่อถามว่า หากไม่เปลี่ยนตัวนายกฯ การปรับคณะรัฐมนตรี ถือว่าเพียงพอหรือไม่ในการกู้วิกฤตศรัทธา นายกรณ์เห็นว่าก่อนจะทำอะไรขอให้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมาก่อน มองว่าปัญหาที่ผ่านมาคืออะไร แล้วค่อยมาว่ากัน ผู้นำต้องสามารถวิเคราะห์ปัญหา และสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจว่าที่ผ่านมาคืออะไร หลังจากนั้นการกระทำมันจะมีตรรกะ มีเหตุผล แต่อยู่ดีๆ ตั้งใจจะไม่พูดอะไรเลย แล้วก็เปลี่ยนตัวละคร คนเขาก็นึกว่าเป็นเรื่องการเมืองอีก หาแพะอีก มันยังไม่มีการสื่อสารว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ผิดพลาดตรงไหน วันก่อนนายกฯ ยังมาพูดเลยว่าตอนมารับตำแหน่ง น้ำในเขื่อนเต็มแล้ว เมื่อพูดอย่างนี้จะให้คนมั่นใจได้อย่างไรว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง หรือการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตัวนายกฯ ซึ่งมีอยู่ 2 อย่างคือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กับตั้งใจพูดเท็จ ไม่มีทางเลือกที่ 3 ตนคิดว่านางสาวยิ่งลักษณ์รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้รู้ข้อมูลจริง ไปฟังเขามาแล้วนึกว่าเป็นจริง
       
       • คาด “ธีระ” อึดอัด-เพื่อไทยโยนบาป

       
       เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์จากพรรคชาติไทยพัฒนา ออกมาประกาศขอดูพื้นที่ กทม. ฝั่งตะวันตกเองว่าเป็นเพราะอะไร นายกรณ์ตอบว่า ถ้าให้ตนเดานายธีระคงอึดอัดว่าพรรคเพื่อไทยกำลังให้เขาเป็นแพะ ซึ่งตัวนายธีระรู้งานอยู่แล้ว แน่นอนที่สุดคือมีนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนาเป็นเจ้านาย แต่นอกจากนั้นเขาเป็นลักษณะเทคโนแครต (ข้าราชการประจำ) มากกว่านักการเมือง ดังนั้นส่วนหนึ่งก็คือทำในระบบราชการ โดยรอรับฟังคำสั่งจากนายบรรหารด้วยต่างหาก ทีนี้ระบบราชการของกรมชลประทานบกพร่อง เพราะระบบทั้งหมดอยู่ที่การวัดน้ำในลำน้ำ ไม่เคยมาวัดน้ำในทุ่งนา ดังนั้นที่นายธีระออกมาพูดเมื่อ 10 วันก่อนว่ามวลน้ำก้อนใหญ่ผ่านไปแล้ว พวกตนฟังอยู่รู้ทันทีเลยว่าเขาหมายถึงน้ำในแม่น้ำ แต่ไม่ได้เอาน้ำในทุ่งมาคำนวณ ซึ่งตนก็ยังแปลกใจว่าทำไมนายธีระถึงพลาดได้
       
       “มันเป็นเพราะระบบกรมชลประทาน ตัววัดทุกตัววัดในแม่น้ำ สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อคือนักการเมืองมีสัญชาตญาณในการปกป้องพื้นที่และฐานเสียงของตัวเองเยอะกว่ามองส่วนรวม เพราะระบบมันพาไป บางทีคนทั่วไปจะรู้สึกว่าทำไมไม่มองภาพใหญ่ ทำไมไม่มองส่วนรวม แต่ระบบเลือกตั้ง เราไม่ได้เลือกโดยคนส่วนรวม แต่เลือกโดยคนในพื้นที่ ดังนั้นสัญชาตญาณสำคัญคือต้องดูแลคนในพื้นที่ก่อน ซึ่งผมไม่ได้พูดถึงพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่พูดถึงทุกพรรค คนที่เป็นผู้นำต้องบริหารในระดับประเทศ ต้องรู้ว่าทางโน้นเขาต้องพูดอย่างนี้ ทางนี้ต้องพูดอย่างนั้น เพื่อปกป้องเขตพื้นที่ของเขา หน้าที่ของผู้ที่อยู่ข้างบนคือบริหารให้ส่งผลดีที่สุดแก่ประเทศและส่วนรวม ปัญหาคือไปคาดหวังกับผู้นำไม่ได้ เพราะเขาไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง ไม่มีความรู้ วันที่เขามารับตำแหน่ง กรมชลประทานอยู่กระทรวงไหน เขารู้หรือเปล่า ผมยังไม่รู้เลย แล้วเราจะคาดหวังให้เขารู้ก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยทำงานการเมืองมาก่อน ผมไม่ได้ว่าเขานะ แต่พูดตามข้อเท็จจริง” นายกรณ์กล่าว
       
       นายกรณ์กล่าวย้อนไปถึงตอนสมัครเลือกตั้งครั้งแรก ปลายปี 2547 เริ่มหาเสียง ตนต้องถามนายอภิสิทธิ์ว่า ส.ก. (สมาชิกสภา กทม.) ส.ข. (สมาชิกสภาเขต) คืออะไร มีหน้าที่อะไร ซึ่งตนไม่รู้จริงๆ เพราะชีวิตนี้ไม่เคยออกไปเลือก ส.ก. และส.ข. เลือกแต่ส.ส. เท่านั้น เราไม่รู้เพราะไม่ได้อยู่ในวงการดังนั้นบังเอิญเรามีผิดคน ผิดจังหวะ และไม่สามารถบริหารความขัดแย้งทางการเมืองที่มันมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติได้ ก็เลยส่งผลตามที่ปรากฏ ซึ่งมันเป็นเงื่อนไข ประเทศไหนก็ตามที่อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยก็เป็นแบบนี้ สำคัญคือตัวผู้นำต้องสามารถฝ่าเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ ไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดได้ แต่เขาเพิ่งเข้ามา เขาทำไม่ได้ ตนเห็นใจ แต่มันเหมือนกับ เขาเป็นตัวที่ใช้เป็นพรีเซ็นเตอร์ในการโฆษณา มันไม่ใช่ตัวที่จะมาทำจริงแค่นั้นเอง
       
      • ยันไม่คิดล้มรัฐบาลปู ทหารทำไปตามหน้าที่
       
       นายกรณ์กล่าวต่อว่า อย่าคิดว่าเป็นเรื่องของการล้มรัฐบาล ไม่ใช่จริงๆ จากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูแลประชาชน ซึ่งมีความรู้สึกว่ารัฐบาลห่างเหินประชาชนมาก ตนแทบไม่เห็นบทบาทของสำนักนายกฯ เลย ตอนน้ำท่วมสมัยเรา ทหารก็ส่วนทหาร สำนักนายกฯ ก็ส่วนสำนักนายกฯ และภาคประชาชนก็อีกส่วนหนึ่ง แต่ครั้งนี้มีทหาร มีภาคประชาชน และตนอยากจะเสริมด้วยซ้ำว่ามีฝ่ายค้าน แต่บทบาทของรัฐบาลในการลงไปช่วยเหลือชาวบ้าน ไม่ค่อยเห็น เหมือนกับเขาพึ่งพาทหารให้ทำแทน ซึ่งมันไม่เห็นลีดเดอร์ชิป (ภาวะผู้นำ) ใครเป็นคนนำ ใครเป็นตัวละครเอก น่าแปลกใจว่าทำไมไม่มี กลายเป็นปัญหาเรื่องของบริจาคอะไรต่างๆ กลายเป็นว่าเสื้อแดงคุม
       
       เมื่อถามว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ทหารโดดเด่นขึ้นมาหลังเคยถูกคนบางส่วนยี้ใส่ คิดว่ากองทัพจะมีบทบาทอย่างไรหลังจากนี้ นายกรณ์ตอบว่า ก็แค่คนบางกลุ่มที่ยี้ทหาร ตนเห็นทหารปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย ตามสิ่งที่เขาคิดว่าเขาควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบมาตลอด แต่ครั้งนี้มันมีนัยยะทางการเมืองน้อยกว่า คือไม่มีเลย ในแง่บทบาทของทหาร มันจึงทำให้โดดเด่นยิ่งขึ้นว่าทหารมีไว้ช่วยประชาชน ก็เป็นเรื่องที่ดี ตนเชื่อว่าลึกๆ คนไทยส่วนใหญ่มองทหารในทางบวกมากๆ มองว่าเป็นที่พึ่งได้มากกว่าสถาบันทางการเมืองด้วยซ้ำไปหากดูประวัติศาสตร์ของไทย
       
       เมื่อถามว่า คนมองว่าพรรคประชาธิปัตย์กับกองทัพตัดกันไม่ตายขายกันไม่ขาด เป็นไปได้หรือไม่ที่กองทัพจะเป็นตัวช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมามีอำนาจในทางการเมืองอีกครั้ง นายกรณ์ตอบว่าไม่เกี่ยวกันเลย ต้องเอาความจริงมาพูดกัน หากวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งที่ออกมา จะเห็นว่าในเขตทหารส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกพรรคประชาธิปัตย์ด้วยซ้ำไป ดังนั้นการเหมารวมมันเป็นเรื่องของจินตนาการทางการเมือง ที่พยายามโยงพรรคประชาธิปัตย์เข้ากับอะไรก็ไม่รู้ ตนไม่คิดว่าเป็นประเด็น นอกจากฝ่ายตรงข้ามพยายามกุขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนเกลียดชังทั้งพรรคประชาธิปัตย์และทหาร เลยกลายเป็นแนวร่วมมุมกลับทั้งที่แต่โดยข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น
       
       • กังขางบ 9 แสนล้านเอาไปทำอะไร?
       
       เมื่อถามว่า หลังน้ำลดวิกฤตที่รัฐบาลต้องเผชิญคืออะไร นายกรณ์ตอบว่าเรื่องความเชื่อมั่นสำคัญมาก มันก็มีคำถามแน่นอนว่า แล้วจะเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า นักลงทุนเขาต้องถาม และเขาต้องมีสมมุติฐานก่อนเลยว่าจะเกิด เพราะเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศเป็นสิ่งที่นานาประเทศสนใจ และถ้ามันมีโอกาสเกิดขึ้นอีก คำถามคือเราพลาดไปอย่างไร มีอะไรจะเร่งทำเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องเสนอ
       
       “แต่นี่ยังไม่ทันไร คุณบอกแล้วว่าจะใช้เงิน 8-9 แสนล้านบาท ซึ่งผมมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าเขายังไม่รู้เลยว่าจะเอาเงินไปทำอะไร หรือถ้าบอกว่ารู้แล้ว ก็ทำตามที่หาเสียงไว้ไง ลาก่อนน้ำท่วม ซึ่งมันตอบโจทย์ผิด ดังนั้นยังไม่ทันไร ผมว่าเขาเริ่มจะทำลายความเชื่อมั่นของก้าวต่อไปในการฟื้นฟู เยียวยา และป้องกัน เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่ามีประเด็นการเมือง มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเป็นตัวนำมากกว่าตัวสาระ ตอนนี้พยายามเบี่ยงเบนปัญหาเฉพาะหน้า เพราะรู้ว่ามันเละแล้ว ก็เลยดันให้คนไปพูดถึงเรื่องอนาคต แต่มันไม่ใช่ครับ วันนี้ยังไม่จบ คุณเอาตรงนี้ให้จบก่อน” นายกรณ์กล่าว
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #552 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2554, 10:06:28 »


บิณฑ์ เห็นอะไรที่ ศปภ.ดอนเมือง


http://www.youtube.com/watch?v=_Xnp2OaEvxs&feature=player_embedded
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #553 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2554, 10:34:46 »

พิรุธจัดซื้อจัดจ้าง"ปภ." แกะรอย2บริษัทรับเหมา วันที่"ถุงยังชีพ"ส่งกลิ่น

วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เ


   หมายเหตุ - ภายหลังพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ออกมาตั้งข้อสังเกตเรื่องความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อถุงยังชีพ สิ่งของอุปโภค บริโภค และอุปกรณ์ที่จำเป็นในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่อนุมัติโอนเงินบริจาคจำนวน 158 ล้านบาท จากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นผู้ทำการจัดซื้อสินค้าหลายรายการ เฉพาะในรายการถุงยังชีพ จำนวน 1 แสนถุง ราคาถุงละ 800 บาท วงเงิน 80 ล้านบาท มีการจัดซื้อสินค้าหลายรายการเพื่อบรรจุในถุงยังชีพ ปรากฏว่ามีราคาแพงกว่าราคาท้องตลาด และมีบริษัทเพียง 2 รายรับงานคือ ร้านเอื้อธนพัฒน์ รับจัดหา 4 หมื่นถุง วงเงิน 32 ล้านบาท และ หจก.พูนเจริญพาณิชย์ รับจัดการ 6 หมื่นถุง วงเงิน 48 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม พบข้อมูลว่าทั้ง 2 บริษัทประสบปัญหาสภาพคล่อง และมีภาวะขาดทุนสะสมหลายปีติดต่อกัน

ล่าสุดผู้สื่อข่าว "มติชน" ได้ตามแกะรอยที่มาในการเสนอเรื่องจัดซื้อของ ปภ. ก่อนที่บริษัทเอกชนทั้ง 2 แห่ง จะได้งานนี้ไป พบความผิดปกติในขั้นตอนจัดทำใบเสนอราคาและใบเสร็จ นอกจากนี้ ยังพบผู้ถือหุ้นในบริษัทรายหนึ่งมีนามสกุลเดียวกับอดีตผู้บริหารพรรคเพื่อไทย (พท.) ด้วย

จากการตรวจสอบเอกสารขออนุมัติจัดซื้อสิ่งของอุปโภค บริโภค และอุปกรณ์ที่จำเป็นในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จำนวน 8 รายการ ตามบันทึกข้อความของกองคลัง กลุ่มงานพัสดุและการจัดซื้อ เลขหนังสือที่ มท.0603 (พจ.) 6014 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2554 มีความขัดแย้งกับคำพูดของนายฉัตรป้อง ฉัตรภูติ รองอธิบดี ปภ. ที่ระบุถึงวงเงินในการจัดซื้อถุงยังชีพว่า "ไม่เกิน 80 ล้านบาทแน่นอน" เนื่องจากในบันทึกดังกล่าวได้อ้างถึงบันทึกด่วนที่สุดที่ มท. 06107/6461 ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2554 สำนักช่วยเหลือผู้ประสบภัย แจ้งให้กองคลังดำเนินการจัดหาสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย จำนวน 9 รายการ (ตัดข้อเสนอให้จัดซื้อสุขามือถือพลาสติกออกไป 1 รายการ) โดยมีกำหนดระยะเวลาในการส่งมอบภายใน 7 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับใบสั่งซื้อ


ต่อมากองคลังได้ประสานกับผู้ที่มีอาชีพขายสิ่งของให้มาเสนอราคา จำนวน 9 รายการข้างต้น แต่ปรากฏว่ามีผู้เสนอราคาจำนวน 8 รายการ ซึ่งในส่วนของถุงยังชีพมีผู้เสนอราคาเข้ามา 2 ราย


เป็นที่น่าสังเกตว่าการอนุมัติจัดซื้อ ตั้งแต่เอกชนเสนอราคา ส่วนราชการออกใบสั่งซื้อ ล้วนดำเนินการเสร็จสิ้นในวันที่ 19 ตุลาคม 2554 ทั้งหมด ทั้งนี้ ในใบเสนอราคาของร้านเอื้อธนพัฒน์ พบข้อสังเกตคือ ใบเสนอราคาเลขที่ 032/54 รายการข้าวสาร 100 เปอร์เซ็นต์ และสินค้าอุปโภคอื่น ลงที่อยู่เลขที่ 78 ม. 4 ถ.บางกรวย-ไทรน้อย อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูลทะเบียนการค้าจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าที่อยู่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของบริษัท โรงสีเอกไรซ์ จำกัด ซึ่งดำเนินกิจการให้เช่าโกดังสินค้า ขณะที่ในใบเสร็จรับเงินของร้านเอื้อธนพัฒน์ที่ออกให้ ปภ. หลังรับเงิน เลขที่ A 026/54 กลับลงที่อยู่ 9/12 ม.5 ถ.ราชพฤกษ์ ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งไม่ตรงกัน

นอกจากนี้ ยังพบว่าในใบเสนอราคาของร้านเอื้อธนพัฒน์ ได้เสนอราคารายการข้าวสารชนิด 100 เปอร์เซ็นต์ ขนาดบรรจุ 5 กิโลกรัม ราคาถุงละ 192 บาท ในใบเสร็จรับเงินกลับระบุเป็นรายการข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ แต่เก็บเงินในราคาเท่ากัน

ส่วน หจก.พูนเจริญพาณิชย์ นอกจากจะได้งานถุงยังชีพไปแล้ว ยังได้ขายเรือไฟเบอร์กลาสกับ ปภ.อีก นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่ ปภ.ได้จัดซื้อจากเอกชนหลายราย อาทิ เต็นท์นอนหลายขนาด สุขาเคลื่อนที่ สุขามือถือกระดาษ รวมถึงเรือไฟเบอร์กลาส

ในส่วนของการจัดซื้อสุขามือถือกระดาษ 3 หมื่นชุด ราคาชุดละ 245 บาท วงเงิน 7,350,000 บาทนั้น จัดซื้อจากบริษัท เติมคอร์ปอเรชั่น (2008) จำกัด ซึ่งพบข้อมูลทะเบียนการค้า ระบุมีที่ตั้งบริษัทที่เดียวกับ หจก.พูนเจริญพาณิย์ ที่ขายถุงยังชีพและเรือไฟเบอร์กลาสคือ เลขที่ 11/11 ม.9 ถ.เลียบคลองทวีวัฒนา แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กทม. หมายเลขโทรศัพท์ 0-2457-7467

เมื่อผู้สื่อข่าวลองโทรศัพท์ไปยังหมายเลขดังกล่าว ปรากฏว่าไม่มีใครรับสาย ขณะที่เมื่อโทรศัพท์ไปที่หมายเลข 0-2889-3628 ซึ่งเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของ หจก.พูนเจริญฯ (www.pooncharoen.com) ปรากฏว่ามีเสียงเครื่องตอบรับอัตโนมัติระบุว่า "สวัสดีค่ะ ห้างหุ้นส่วนจำกัดพูนเจริญพาณิชย์ กด 1 บริษัทเติมคอร์ปอเรชั่น กด 2 ส่งแฟกซ์ กด 3 ติดต่อโอเปอเรเตอร์ กด 0 ค่ะ" แต่ก็ไม่มีใครรับสายเช่นกัน

สำหรับ หจก.พูนเจริญฯ จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยระบุว่าประกอบกิจการให้บริการจำหน่ายพลาสติก-ค้าปลีก ขณะที่บริษัทเติมฯ ระบุว่าประกอบกิจการบดย่อยเศษพลาสติก ซึ่งทั้ง 2 บริษัทปรากฏชื่อกรรมการผู้จัดการเป็นคนเดียวกันคือ นายบุญเติม โนนจันทร์

เมื่อตรวจสอบงบการเงินของบริษัทเอกชนที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุจริตการจัดซื้อถุงยังชีพ 5 ปีหลังสุด พบสิ่งที่น่าสนใจ ดังนี้

หจก.เอื้อธนพัฒน์ (AUEA THANAPHAT LTD.,PART.) ปี 2549 มีรายได้ 337,630 บาท รายจ่าย (จากต้นทุนขายและ/หรือบริการ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน) 600,903 บาท รวมขาดทุน 263,273 บาท

ปี 2550 มีรายได้ 407,342 บาท รายจ่าย 686,237 บาท รวมขาดทุน 278,895 บาท

ปี 2551 มีรายได้ 511,226 บาท รายจ่าย 779,329 บาท รวมขาดทุน 268,103 บาท

ปี 2552 มีรายได้ 369,317 บาท รายจ่าย 626,864 บาท รวมขาดทุน 257,547 บาท

ปี 2553 มีรายได้ 313,137 บาท รายจ่าย 587,333 บาท รวมขาดทุน 274,196 บาท

จะเห็นได้ว่า หจก.เอื้อธนพัฒน์ประกอบธุรกิจขาดทุนมาตลอด 5 ปีหลัง และเงินทุนหมุนเวียนในแต่ละปีเพียง 1 ล้านบาทเศษเท่านั้น แต่กลับสามารถจัดหาถุงยังชีพให้กับ ปภ.จำนวน 4 หมื่นถุง มูลค่า 32 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 7 วันตามใบสั่งซื้อของ ปภ.ได้


ขณะที่ หจก.พูนเจริญพาณิชย์ (POON CHAROEN PANICH LIMITED PARTNERSHIP) ปี 2549 มีรายได้ 10,821,450 บาท รายจ่าย 10,019,914 บาท รามกำไร 801,536 บาท

ปี 2550 มีรายได้ 29,098,950 บาท รายจ่าย 30,970,261 บาท รวมขาดทุน 1,874,311 บาท

ปี 2551 มีรายได้ 3,032,366 บาท รายจ่าย 4,020,444 บาท รวมขาดทุน 988,078 บาท

ปี 2552 มีรายได้ 85,709,520 บาท รายจ่าย 82,060,446 บาท รวมกำไร 3,649,074 บาท

ปี 2553 มีรายได้ 100,460,681 บาท รายจ่าย 102,902,198 บาท รวมขาดทุน 2,441,517 บาท

หากดูรายรับและรายจ่าย รวมถึงเงินทุนหมุนเวียนของ หจก.พูนเจริญพาณิชย์ พบว่าไม่น่ามีปัญหาในการจัดหาถุงยังชีพให้กับ ปภ.จำนวน 6 หมื่นถุง มูลค่า 48 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 7 วัน

แต่สิ่งที่น่าสนใจกลับเป็นรายชื่อผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคือ น.ส.พุฒมาลย์ ศรีสันต์ เพราะมีนามสกุลเดียวกับนายสามชาย ศรีสันต์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยชุดแรก (20 ก.ย.2550-20 ก.ย.2551)

อย่างไรก็ตาม การจัดซื้อถุงยังชีพ สิ่งของอุปโภค บริโภค และอุปกรณ์ที่จำเป็นในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั้ง 8 รายการได้ดำเนินการภายใต้งบประมาณ 135,877,500 บาท โดยผ่านการตรวจรับพัสดุจากคณะกรรมการ 3 คน มีนายภูมิชาย อินทรวิเชียร นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ สำนักช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นประธาน มีนายปิยะ วงศ์ลือชา ผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองคลัง เป็นผู้เสนอเรื่องต่ออธิบดี ปภ. ก่อนที่นายฉัตรป้อง ฉัตรภูติ รองอธิบดี ปภ. ในฐานะรักษาราชการแทนอธิบดี ปภ. จะเป็นผู้ลงนามอนุมัติในที่สุด

หน้า 2,มติชนรายวัน ฉบับวันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน  2554
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #554 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2554, 10:44:51 »

คุณหมอประเสริฐ ทองเจริญ" ชำแหละ 4 นิสัย(เน่า)เสียของคนไทยที่แก้ไม่หาย



คนไทยเชื่ออะไรง่ายๆ จริงไม่จริงก็ไม่รู้ แต่เชื่อไปแล้ว

 ผมมีความรู้สึกไม่ดีกับคนไทย 4   เรื่อง
1) คนไทยเชื่อง่าย เชื่อข่าวลือ
ไม่สอบสวนว่า ต้นตอมาอย่างไร เช่น ถ้ามีคนไปลือว่า คุณยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร) เป็นผู้ขายแปลงเพศมา อาจจะมีคนเชื่อ และบอกว่า ปกติ ตระกูลนี้ต้องคางเหลี่ยม  จะสวยได้อย่างไร  คนไทยเชื่อข่าวลือมาก  เชื่อง่าย เชื่อข่าวลือ ของจริงมีคนชี้แจงจะไม่ฟัง ข่าวร้ายมาที่ 1 ข่าวลือมาที่ 2

 สิ่งที่ผมไม่ชอบมากขณะนี้คือ อยากได้ของฟรี
 คนขายหวยถึงรวย  กล้วยออกปลีกลางต้น ก็ไปขูดเลข ไหว้ ต้นไทรมีอะไรออกมาผิดปกติ ก็ไปไหว้แล้ว เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยอยู่เฉย ๆ แล้วรวย ผมว่า ไม่มี ตอนนี้ผมนั่งดูอีเมลล์และเก็บพวก Spam ทุกวัน ผมกำลังเก็บไว้ พวกต้มตุ๋นทั้งหลาย

 เช่น ท่านถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 10 ล้านดอลลาร์ ผมก็ถามตัวเองว่า ผมไปทำอะไรถึงถูกหวย  Yahoo โปรโมชั่น ผมก็ไม่เคยใช้ Yahoo เขาจะให้โปรโมชั่นผมได้อย่างไร  บางทีมีเรื่องธนาคารในอัฟริกาจะโอนเงินมาให้  ผมจะนำมาวิเคราะห์ และพิมพ์แจกว่า ผมไม่เชื่อเพราะอะไร ตอนนี้มีเมียคนที่ 2 ของกัดดาฟี จะเอาเงินออกจากประเทศอย่างไร ช่วยรับไว้หน่อยได้หรือไม่  ภรรยาคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจก็มี เป็นลูกสาวคุณวัฒนา อัศวเหมก็มี ผมจะวิเคราะห์ให้ฟัง ว่าคนพวกนี้เขาไม่สิ้นไร้ไม้ตอกหรอก เขาจะลงทุนโยกย้ายอะไรเขามีวิธีทำ ถ้าเขาเชื่อให้ผมทำ แสดงว่า เขาอยากจะเจ็งเร็ว ๆ  ผมจะมีปัญญาไปทำอะไร  ประโยคชอบขึ้นว่า Can I trust you  ถ้ามึงเชื่อกูก็โง่เต็มที่

 
เรื่องไม่ดีของคนไทยเรื่องที่สามคือ วิสัยทัศน์มองใกล้ ไม่ค่อยมองไกล
 ผมไม่ได้ว่า ทุกคน คนส่วนหนึ่งชอบชักจูงคนส่วนใหญ่ให้เชื่อตาม คือ คนมองใกล้ไม่มองไกล

เรื่องไม่ดีเรื่องที่สี่ของคนไทยคือ คนไทยนับถือคนรวย เห็นว่า คนรวยเป็นคนดี
แม้แต่พระในวัดดังองค์หนึ่ง ที่ผมทราบเรื่องนี้  เพราะพ่อเพื่อนผมเป็นคนนำมาบวช  จนได้เป็นพระดังอยู่ในเขตกรุงเทพฯ มีโยมอุปัฏฐากไปเรื่อย จนกระทั่งตอนหลังคุณพ่อพระไม่ไป เวลาคนจะมาหา ให้ลูกศิษย์ไปดูว่า คนที่จะมาพบนั่งรถอะไรมา เสียพระไปแล้ว  คนเขาจะเดินมา หรือพายเรือมาก็เป็นเรื่องของเขา มันจะมาหาที่พึ่งทางใจก็ให้เขาพบสิ นี่ขนาดเป็นพระ แล้วคนธรรมดา

 
 ผมเคยด่าพระในใจครั้งหนึ่ง ทนไม่ไหว สมัยที่ใครต่อใครไปรุมที่วัดพระธรรมกาย มีพระผู้ใหญ่องค์หนึ่งที่อยู่วัดนี้ ได้รับรถเบนซ์จากวัดพระธรรมกาย ก็มีหนังสือพิมพ์ไปสัมภาษณ์ว่า จริงหรือไม่ว่า วัดดังกล่าวเอารถมาถวายท่าน  พระองค์นั้นตอบว่า ผิดด้วยหรือที่อาตมาจะนั่งรถเบนซ์

 ผมดูทีวีแล้ว หลุดปากออกมาทันที่ว่า ผิดตั้งแต่แม่เอ็งคลอดเอ็งออกมา ทำไมไม่ให้สำลักน้ำคร่ำตาย ไม่ใช่ผิดวันนี้ มันผิดตั้งแต่ตอนเกิดแล้ว เป็นพระผู้ใหญ่พูดอย่างนั้นได้อย่างไร ควรจะพูดว่า ได้รับกิจนิมนต์ต้องเดินทางบ่อย ปลอดภัยดี ผมก็ไม่ว่าอะไร  แต่กลับตอบว่า ผิดด้วยหรือ ที่อาตมานั่งรถเบนซ์ ผมรับไม่ได้ คือ มันแสดงให้เห็นว่า คนรวยคือ คนดี บางคนอาจจะรวยขึ้นมาด้วยการค้าของผิดกฎหมาย ฟอกเงิน

 

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #555 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2554, 19:21:14 »

แฉวง ครม.แอบซุกร่าง พ.ร.ฎ.ขออภัยโทษ “ทักษิณ” แก้หลักเกณฑ์เอื้อชัด    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
แฉ “ปู” อาศัยจังหวะชุลมุนช่วยพี่ชาย ทำทีร่วมประชุม ครม.ไม่ทัน ส่งซิก “เหลิม” นั่งหัวโต๊ะดันวาระลับแก้ พ.ร.ฏ.ขอพระราชทานอภัยโทษ “นช.แม้ว” ก่อนวางเกณฑ์ใหม่อายุเกิน 60-ต้องโทษไม่เกิน 3 ปี-ไม่ต้องติดคุก ได้รับอภัยโทษ 5 ธันวาฯ นี้ ชี้เอื้อ “ทักษิณ” ชัด ปูดแผนกัน “ยิ่งลักษณ์” พ้นข้อครหา อ้าง ฮ.ไร้เรดาร์บินกลางคืนไม่ได้ แต่เตรียมชุดพร้อมค้างคืน กองทัพยัน ฮ.รัสเซียสมรรถนะพร้อม
       

       
 วันนี้ (15 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนที่ จ.สิงห์บุรี พร้อมมอบแผนฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบหลังน้ำลด และไม่สามารถเดินทางกลับ กทม.ได้ตามกำหนดการ ทำให้ต้องพักค้างคืนที่ จ.สิงห์บุรี เมื่อวานนี้ (14 พ.ย.) โดยอ้างว่าเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ เอ็มไอ 17 ของประเทศรัสเซีย ที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางไม่สามารถบินตอนกลางคืนได้ เพราะไม่มีเรดาร์นำทางนั้น จากกรณีดังกล่าวแหล่งข่าวในกองทัพเปิดเผยโดยยืนยันว่า เฮลิคอปเตอร์รุ่นดังกล่าวมีสมรรถภาพเพียงพอ และมีเรดาร์สามารถบินช่วงกลางคืนได้ แต่หากเรดาร์ไม่สามารถใช้การได้จริง นายกฯ สามารถประสานขอเครื่องลำอื่นไปทดแทนได้ ซึ่งกองทัพพร้อมที่จะจัดให้อยู่แล้ว แต่กลับไม่มีการร้องขอมา จึงคิดว่านายกฯ น่าจะมีเจตนาที่จะไม่กลับ กทม. เพราะดูจากกำหนดการที่คณะของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ขึ้นเครื่องเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ช้ากว่ากำหนดเดิมถึงเกือบ 1 ชั่วโมง เหมือนเป็นการถ่วงเวลาให้เข้าสู่ช่วงกลางคืน แล้วอ้างเรดาร์ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้
       
       ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (15 พ.ย.) ทันทีที่คณะของนายกฯ และสื่อมวลชนเดินทางมาถึงกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล ม.2 รอ.) ทุกคนในคณะต่างสวมเสื้อยืดสีขาวสกรีนข้อความและตราสัญลักษณ์ของสำนักนายกรัฐมนตรีด้วยสีน้ำเงินชัดเจน แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมความพร้อมที่จะให้คณะพักค้างคืนที่ จ.สิงห์บุรี ไว้แล้ว เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินมาถึงในเวลา 11.00 น.และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนประมาณ 20 นาที จากนั้นเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังคงประชุมอยู่ แต่ปรากฎว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับไม่เข้าร่วมประชุม แต่ใช้เวลาช่วงดังกล่าวบันทึกเทปสัมภาษณ์พิเศษโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ก่อนเดินทางเข้าร่วมประชุมอาเซียน จากนั้นเมื่อเวลา 14.20 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงได้เดินทางเข้าร่วมประชุมรัฐสภา
       
       แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้มีวาระจร “ลับ” ในการพิจารณาและลงมติผ่านร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.... ซึ่งจะเป็นการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับคุณสมบัติของนักโทษที่จะเข้าข่ายในการเข้ารับพระราชทานอภัยโทษ ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 โดยเป็นการประชุมลับ มีการเชิญเจ้าหน้าที่ ที่ไม่เกี่ยวข้องออกทั้งหมด เหลือเพียงคณะรัฐมนตรีเท่านั้น รวมทั้งไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเนื้อหาพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว และยังมีการดึงเอกสารออก เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเผยแพร่ตามระบบปกติอีกด้วย
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับเนื้อหาที่คณะรัฐมนตรีไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธารณะนั้น มีการกำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยระบุหลักเกณฑ์ของนักโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว คือ เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี นอกจากนั้นยังมีการตัดคำแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ. 2553 ฉบับที่เขียนสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเนื้อหาระบุว่า ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด และไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันออก ทั้งยังไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับการรับโทษ ซึ่งเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าข่ายได้รับการขอพระราชทานอภัยโทษ โดยที่ไม่ต้องเข้ารับการคุมขังแม้แต่วันเดียว ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งตรงกับที่ ร.ต.อ.เฉลิม เคยทำเอกสารแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชนก่อนหน้านี้
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องการออกกฎหมายอภัยโทษ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่า จะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ จากการขอพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้ โดยในส่วนของกระทรวงยุติธรรม ก็ได้มีการโยกย้ายอธิบดีกรมราชทัณฑ์ออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้ง พ.ต.ท.สุชาติ วงศ์อนันตชัย มาดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทน พร้อมกับยังมีการปรับปรุงโรงเรียนพลตำรวจบางเขน ให้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษในคดีการเมือง เพื่อเตรียมใช้เป็นสถานที่คุมขัง พ.ต.ท.ทักษิณ ในระยะสั้นๆ อีกด้วย
       

       รายงานข่าวแจ้งว่า ในความเป็นจริง ร.ต.อ.เฉลิมได้รับมอบหมายให้เป็นรองนายกฯคนที่ 3 ต่อจากนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ คนที่ 1 ซึ่งเดินทางร่วมคณะกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ คนที่ 2 ซึ่งติดภารกิจเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย-แปซิปิก (เอเปก) ที่ฮาวาย สหรัฐอเมริกา เมื่อรองนายกฯ 2 ลำดับแรกไม่อยู่ หน้าที่การเป็นประธานในที่ประชุมจึงตกมาถึง ร.ต.อ.เฉลิม โดยก่อนหน้านี้ในช่วงการจัดตั้งรัฐบาลได้มีการมอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม เข้ามาเป็นรองนายกฯ เพื่อดูแลเรื่องการขออภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณโดยตรง อีกทั้งรัฐบาลยังต้องการอาศัยช่วงชุลมุนที่พรรคฝ่ายค้านและประชาชนยังให้ความสนใจเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในการเดินหน้าเรื่องดังกล่าว รวมทั้งเห็นว่าหากรอให้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ การเดินเรื่องขออภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณจะกระชั้นชิดเกินไป และอาจไม่สำเร็จ รวมไปถึงการอาศัยช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ ดำเนินการเดินหน้าเรื่องนี้ เพื่อกันไม่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง หลีกเลี่ยงข้อครหาจากสังคมในการเอื้อประโยชน์ให้พี่ชายตัวเองด้วย

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #556 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2554, 22:52:27 »

“ปู”ไม่รู้ ครม.ลักไก่ช่วย“พี่แม้ว” -รมต.พร้อมใจกันใบ้ “เหลิม”ไล่นักข่าว“ไม่ต้องมาถาม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    


รมต.นัดกันเลี่ยงตอบ ลักไก่ออก พ.ร.ฏ.อภัยโทษ เอื้อ“นช.แม้ว” “เฉลิม” ฉุนความลับรั่ว อารมณ์เสียใส่สื่อ “พิชัย”บอกพูดไม่ได้ เดี๋ยวเขาตีปาก ด้าน“ปลอดประสพ” ยกคติพจน์ลูกเสือ เมื่อเป็นประชุมลับก็พูดไม่ได้ ขณะ“ยงยุทธ” ลอยตัว ตามนายกฯ ไปสิงห์บุรี อ้างไม่เห็นวาระประชุม “หมอวรรณรัตน์” ยกมือยอมแพ้โนคอมเมนต์ ด้าน “ยิ่งลักษณ์”ปัดไม่ทราบเรื่อง โบ้ย“เฉลิม”แจงรายละเอียด
       
       ช่วงเย็นวันที่ 15 พ.ย. ภายหลังจากที่มีกระแสข่าวว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีวาระการประชุมลับเรื่องการออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หลบหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีจากคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก ไปอยู่ต่างประเทศ ทำให้สื่อมวลชนหลายสำนักพยายามติดต่อสอบถามรัฐมนตรีที่ร่วมประชุมถึงข้อเท็จจริง โดยเฉพาะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ทำเป็นหน้าที่ประธานในการประชุม ครม.นัดนี้ และกำลังอยู่ระหว่างร่วมประชุมที่รัฐสภา แต่ ร.ต.อ.เฉลิมได้ปฏิเสธที่จะพูดกับผู้สื่อข่าวที่โทรศัพท์เข้าไปสอบถาม โดยกล่าวด้วยน้ำเสียงอย่างมีอารมณ์ว่า “ไม่พูด ไม่คุย ไม่ต้องมาถาม แล้วก็ไม่ต้องมาหาด้วย”
       
       ขณะที่ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้แสดงความแปลกใจขณะที่เดินทางเข้าร่วมประชุมที่รัฐสภา โดยกล่าวเพียงว่า “รู้กันได้อย่างไร เดี๋ยวเขาตีปากเอา เขาใม่ให้พูด” เช่นเดียวกับนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ ที่กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ลูกเสือเสียชีพ อย่าเสียสัตย์ มันเป็นการประชุมลับ ไม่รู้เรื่อง ขออนุญาตนะครับ”
       
       ด้าน นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปฏิเสธที่จะแสดงความเห็น โดยออกตัวว่าตนไม่ได้เข้าร่วมประชุม เพราะร่วมคณะไปกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ลงพื้นที่ จ.สิงห์บุรี และเพิ่งกลับมาในช่วงสายวันนี้ ทั้งยังดึงผู้สื่อข่าวที่ร่วมคณะไปด้วยมายืนยันว่า ไปมาด้วยกัน ทำให้ไม่ทราบเรื่อง รวมทั้งยังไม่เห็นวาระการประชุมด้วย
       
       ส่วน นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อพบกลุ่มสื่อมวลชนที่ดักรออยู่หน้าห้องประชุมรัฐสภา พร้อมถามว่าได้เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อช่วงเช้าด้วยหรือไม่ ทำให้ นพ.วรรณรัตน์ยกมือขึ้นทั้งสองข้างเหมือนยอมแพ้ แล้วพูดว่า “โนคอมเมนต์” ก่อนจะเดินหนีขึ้นรถออกไปทันที
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปฏิเสธ ไม่ทราบเรื่องที่คณะรัฐมนตรีได้มีการประชุมลับพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) อภัยโทษ พ.ศ.... โดยนายกรัฐมนตรี ตอบเพียงสั้นๆ ว่า ขอให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ชี้แจงในรายละเอียด
       
       ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ที่ ครม.ได้พิจารณาเป็นวาระประชุมลับดังกล่าว ได้ระบุหลักเกณฑ์ของนักโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว คือ เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี นอกจากนั้น ยังมีการตัดเงื่อนไขแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2553 ฉบับที่เขียนสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเนื้อหาระบุว่า ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด และไม่เกี่ยวกับการทุจริตออก ทั้งยังไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับการเข้ารับโทษ ซึ่งเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกศาลพิพากษาให้รับโทษจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตการซื้อขายที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษกจะเข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยที่ไม่ต้องเข้ารับการคุมขังแม้แต่วันเดียว ซึ่งเป็นการเอือประโยชน์ได้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นพี่ชายของนายกรัฐมนตรี
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #557 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2554, 22:56:07 »

'พีรพันธุ์'เผยรมต.ให้ข้อมูลถกลับตัดม.4 พ.ร.ฎ.อภัยโทษ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


อดีตรมว.ยุติธรรม ชี้ผู้ที่ไม่เคยถูกจำคุก หลบหนีทั้งหลาย ได้รับอานิสงค์ และพ้นความผิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมว.ยุติธรรม เขียนข้อความผ่านเฟสบุ๊ค "Pirapan Salirathavibhaga" ระบุถึงกรณีการประชุมลับของ ครม.วันที่ 15 พ.ย.2554 ซึ่งมีการพิจารณาพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2553 ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังอยู่ที่ จ.สิงห์บุรี ไม่ได้เข้าร่วมประชุม ว่า

ผมแปลกใจที่ภารกิจนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ ทำไมกองทัพบกถึงไม่ได้จัดเฮลิคอปเตอร์แบบแบล็คฮอว์คให้ใช้ แต่กลับให้ ฮ.ที่ไม่มีเครื่องเดินอากาศในเวลากลางคืนเป็นพาหนะ และถ้าการเดินทางกลับกลางคืนไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลนั้น ทำไมเช้านี้ นายกฯจึงไม่กลับมาให้ทันประชุม ครม. ผมเองชักสงสัยแล้วว่ากลับไม่ทันจริงๆ หรือว่ามีวาระซ้อนเร้นอะไรเป็นพิเศษในการประชุม ครม.จึงต้องให้คนอื่นเป็นประธานที่ประชุมแทน จะเกี่ยวอะไรกับการมีมติชนิดเป็นประโยชน์ส่วนครอบครัวนายกฯหรือไม่ จะใช่เรื่องที่ประชุมลับในขณะนี้หรือไม่ อีกไม่นานก็จะรู้กัน

แล้วเรื่องที่ผมสงสัยก็กลายเป็นจริง คิดว่าอีกสักครู่คงมีรายละเอียดเผยแพร่ ไม่น่าเชื่อว่าในยามที่ประชาชนทุกข์ยากจากน้ำท่วม ยังจะกล้าทำอย่างนี้อีก แล้วที่ต้องไปค้างคืนโดยอ้างว่าบินกลางคืนไม่ได้ กลายเป็นเรื่องจัดฉาก ภารกิจนี้เพื่อพี่จริงๆ

จับตาพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษแบบทั่วไปประจำนี้ มีการเปลี่ยนเงื่อนไขคุณสมบัติผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ จะลดเกณฑ์เพื่อช่วยใคร อย่างไร นักโทษคดีทุจริตประพฤติมิชอบจะเข้าเกณฑ์ได้รับประโยชน์จากพระราชกฤษฎีกานี้หรือไม่ ครม.ต้องมีคำตอบ

กระทั่งเวลาประมาณ 21.30 น.นายพีระพันธุ์  เขียนข้อความอีกครั้งระบุว่า "ครม.ที่ไม่เห็นด้วยบางคน แอบเล่าว่าร่างพระราชกฤษฎีกาที่ผ่านความเห็นชอบของที่ประชุม ครม.วันนี้ ได้ตัดมาตรา 4 ที่เคยเขียนเอาไว้ในพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษแบบเดียวกันนี้ทุกฉบับที่ผ่านมา ซึ่งของเดิมจะระบุว่าผู้ที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษจะต้องเป็นผู้ซึ่ง "ต้องมีตัวอยู่ในความควบคุมของทางราชการ หรือถูกกักขังไว้ในสถานที่หรือที่อาศัยที่ศาลหรือทางราชการกำหนดในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับติดต่อกันไปจนถึงวันที่ศาลออกหมายสั่งปล่อยหรือลดโทษ หรือนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งปล่อยหรือลดโทษตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกานี้ เว้นแต่ผู้ทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ และผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ" ออกไปทั้งหมด ซึ่งแปลว่าผู้ที่ไม่เคยถูกคุมขังหรือถูกจำคุก เช่น ผู้ที่หลบหนีการจำคุกทั้งหลาย ก็จะได้รับอานิสงค์และจะพ้นความผิดไม่ต้องถูกจำคุกไปทั้งหมด เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติจริงๆ ด้วยเหตุนี้หรือเปล่า ครม. ถึงต้องปิดเงียบและทำเป็นเรื่องลับทั้งๆที่การออกพระราชกฤษฎีกาเช่นนี้ตามปกติไม่เคยทำเป็นเรื่องลับและไม่เคยต้องประชุมลับ ระดับลับสุดยอดด้วย"
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #558 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2554, 23:03:38 »

ครม.ถกลับผ่านกม.อภัยโทษ"ทักษิณ"

   posttoday.com

สะพัด!ครม.พิจารณาลับช่วงท้ายการประชุมผ่านร่างพรฎ.อภัยโทษ เผยหลักเกณฑ์เอื้อประโยชน์ให้ "ทักษิณ" พ้นผิด "ยิ่งลักษณ์"อ้างไม่รู้เรื่อง โยน"เฉลิม"แจง

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบพระราชกฤษฎีกา (พรฎ.) อภัยโทษเนื่องในวรโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา  โดยได้พิจารณาเรื่องนี้เป็นเรื่องลับช่วงท้ายการประชุมครม.

ทั้งนี้ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้เสนอเรื่องเข้าที่ประชุมเป็นวาระจร เพื่อพิจารณา และ หลังเสร็จสิ้นการประชุมก็ได้เรียกเอกสารเรื่องนี้คืนจากรัฐมนตรีที่เข้าประชุมทั้งหมด

แหล่งข่าวเปิดเผยอีกว่า การประชุมลับครั้งนี้ครม.ได้พิจารณาเรื่องอื่นด้วยทำให้เกิดความสับสนว่ามีการพิจารณาเรื่องพรฎ.อภัยโทษหรือไม่ เมื่อได้ตรวจสอบกับรัฐมนตรีบางคนก็ได้รับการยืนยันว่าที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องนี้และได้ให้ความเห็นชอบไปแล้วจริง

"พรฎ.อภัยโทษกรรมดังกล่าวได้กำหนดหลักเกณฑ์ของผู้ที่จะได้รับการอภัยโทษไว้ดังนี้ คือ ผู้ต้องโทษที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และไม่จำเป็นต้องได้รับโทษมาก่อน ซึ่งตามหลักเกณฑ์นี้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะอยู่ในข่ายได้อภัยโทษทันที"รัฐมนตรีคนหนึ่งระบุ

อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจสอบกับรัฐมนตรีสายพรรคเพื่อไทยบางคนก็ปฏิเสธว่าเป็นการประชุมลับเรื่องอื่น

อนึ่งการประชุมครม.วันนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยโดยได้มอบให้ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมแทน

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวถึงกรณีดังกล่าวเพียงสั้นๆว่า "ยังไม่รู้รายละเอียดเลยค่ะ ขอให้ท่านเฉลิมเป็นคนชี้แจง"

นายศิริโชค โสภา ส.ส. สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กSirichok Sophaว่า"ผมมีลางสังหรณ์อยู่แล้ว ว่าทำไมนายกปูถึงแกล้งไม่มาประชุมครม.อ้างว่าฮ.ไม่มีเรดาร์ปรากฎว่าวันนี้มีครม.มีการประชุมลับ ไล่เจ้าหน้าที่ออกจากห้องหมด และมีการผ่านพรฎ. อภัยโทษ เรียบร้อยแล้ว เป็นวันที่เศร้าที่สุดวันหนึ่งของประเทศไทย"

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #559 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2554, 14:15:44 »

น้ำใจจากจีน-ความไม่โปร่งใสของรบ.?

ขอให้ทุกคนเข้มแข็งและเก็บพลังไว้ให้ดี  พวกเราคงได้รวมพลังกันแน่ในอนาคต
 
 
บทความข้างล่างนี้ หากเป็นจริง แสดงให้เห็นได้ว่า เราอยู่ใต้การนำของกลุ่มคนที่แสนโง่และแสนทราม อย่างไม่รู้จะเปรียบกับอะไรดี
*โง่เสียจนคิดว่าประชาชนโง่เหมือนพวกเขา จะไม่รู้ข่าว รู้คิด รู้แค้น รู้เอาคืน บ้าง... ฯลฯ
*ทรามเสียจนทุกลมหายใจเข้าออก- แม้ในขณะที่เพื่อนร่วมชาติ และชาติ ทุกข์ยากแสนสาหัสอยู๋ในภาวะตกต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในทุกด้าน-ในปัจจุบันขณะ- ยังมีแก่ใจคิดถึงการโกงกิน เล็กๆน้อยๆ  ไปจนถึงใหญ่ๆ   ฯลฯ
 
ขอสาปแช่งเหมือนที่ ส.ส.หญิง ในสภาคนหนึ่งสาปไว้กลางสภา วันที่ 10-11-2554 ว่า
 
ขอให้พวกนี้ พร้อมลูกหลาน-บรรพบุรุษ ถอยลงมา-ขึ้นไป  ไม่น้อยกว่าสามชั่วคน จงประสบความพินาศฉิบหาย ไม่ว่าจะในภพนี้ หรือ ภพหน้า
*ภพนี้ก็ขอให้ไม่ได้มีโอกาสใช้เงิน/ผลประโยชน์ที่โกงมา ขอให้เป็นอัมพาต นั่งกินนอนกิน(ไม่ได้ด้วยตนเอง) ทรมานตนและลูกหลานญาติมิตรอยู่นานๆ ฯลฯ
*ภพหน้าก็ขอให้ไม่พ้นจากเปรตภพ ฯลฯ
 
ขอให้ประเทศชาติของเราเจริญรุ่งเรืองขึ้น  ในเร็ววัน  โดยปราศจากกาฝากของชาติพวกนี้.....
 
*************************************************************************************************************
 

น้ำใจจากจีน-ความโปร่งใสของรัฐบาล: ขยายปมร้อน โดยศรายุทธ สายคำมี sarayut@nationgroup.com

            ถึงน้ำจะยังไม่ลงไปทะเลแต่ยังคงนองอยู่ในทุ่งรอวันกระหน่ำคนเมืองหลวงอยู่ แต่คนไทยทั้งประเทศก็คงจะรับรู้แล้วว่า น้ำใจนั้นบ่าท้นจนล้นใจผู้ประสบภัย ถึงแม้ว่าหลายพื้นที่ความช่วยเหลือจะยังไปไม่ถึงก็ตาม
       
              จีนก็เป็นประเทศหนึ่งที่ต้องเรียกว่า เป็นมหามิตรของประเทศไทย
       
              นับแต่เกิดมหาอุทกภัยตั้งแต่เริ่มต้น จีน โดยผ่านเอกอัคราชทูตจีนประจำประเทศไทย ก็ประสานให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมืออุปกรณ์ และเงินสด
       
              โดยครั้งแรก นายหลิว หนิง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงชลประทานของจีน ก็มาแนะนำถ่ายทอดประสบการณ์จากวิกฤติการณ์น้ำท่วมในจีน
       
              รัฐมนตรีของจีนบอกว่า มีภาษาจีนอยู่ 6 ตัว ซึ่งเป็นปรัชญาของคนจีนในการอยู่กับน้ำ คือ ซ่างซวี่ จงซู เซี่ยผาย ซึ่งก็คือ การกักเก็บช่วงบน-ขุดลอกช่วงกลาง-ระบายช่วงล่าง

       
              ความจริงสิ่งที่รัฐมนตรีจีนว่ามานั้น ก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร ใครที่พอจะอ่านออกเขียนได้ ฟังแล้วก็น่าจะเข้าใจได้ดีว่า กักเก็บช่วงบนนั้น หมายถึงอะไร ขุดลอกช่วงกลาง หมายถึงอะไร ส่วนระบายช่วงล่างนั้นยิ่งไม่ต้องแปลความ
       
              คนไทยทั้งประเทศต่างก็รู้ดีว่า ธรรมชาติของน้ำนั้นไหลลงสู่ที่ต่ำ ก็คือ "ช่วงล่าง" หากอยากจะระบายน้ำลงเร็ว ก็ต้องอำนวยความสะดวก ทำทางระบายให้น้ำ ไม่ใช่ไปตั้งกำแพงกั้น
       
              ข้อแนะนำของรัฐมนตรีจีนนั้นมอบให้ตั้งแต่ก่อนที่น้ำจะผ่าน จ.ปทุมธานี แต่จนถึงวันนี้ บ้านเรายังวนอยู่กับการวางถุงทรายยักษ์ หรือที่เรียกว่า "บิ๊กแบ็ก" กันนั่นแหละ
       
              แถมเมื่อวันอังคาร นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังไปเซ็นตั้งทีมฝรั่งเป็นที่ปรึกษาในด้านการจัดการน้ำ ทั้งที่แถ่กลับไปทบทวนปรัชญาของรัฐมนตรีจีนที่เขาอุตส่าห์มาถ่ายทอดให้ แล้วไปสั่งการคนทำงานให้ถูกตัวก็น่าจะบรรเทาความเสียหายให้แก่ กทม.ได้บ้าง
       
              แต่ก็เลือกที่จะไปจ้างฝรั่งให้เสียเงินเสียทองเสียงบประมาณโดยที่เมื่อนัก ข่าวพยายามถามเหตุถามผล ก็เลี่ยงที่จะชี้แจง

       
              ความช่วยเหลือจากจีนนั้นไม่ใช่แค่เพียงถ่ายทอดประสบการณ์หากแต่ยังได้มอบ เงินสด 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสิ่งของ ไม่ว่าจะเป็น เรือ เครื่องกรองน้ำ มาให้ในก่อนหน้านี้
       
              แล้วที่สำคัญมีข่าวว่าในช่วงนั้นจีนก็แสดงความจำนงที่จะมอบเครื่องสูบน้ำ ขนาดใหญ่ให้แก่ประเทศไทยอีกด้วย
       

              เรื่องนี้มีการแอบกระซิบยืนยันจากกองทัพอากาศที่ในจังหวะนั้น ดอนเมืองยังตั้งกำแพงยันกับน้ำไหว แต่ก็ย่ำแย่เต็มที เพราะยังขาดเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ พอมีข่าวว่า จีนจะมอบเครื่องสูบน้ำมาช่วยลูกทัพฟ้า ที่ต้องมาเจอกับมหาอุทกภัย ก็พากันดีใจกันยกใหญ่
       
              แต่ก็ได้แค่ดีใจ เพราะรัฐบาลไทยได้ปฏิเสธความช่วยเหลือตรงนั้น
       
              เพิ่งมาถึงบางอ้อ ก็วันที่ 18 ต.ค. สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ว่า ยิ่งลักษณ์ ได้สั่งให้ไปประสานงานกับประเทศจีน เพื่อขอซื้อเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ โดยใช้งบประมาณจากกระทรวงมหาดไทย ซื้อมาแล้วจะไปไว้ที่ไหน ศปภ.จะเป็นผู้พิจารณา
       
              ฟรีไม่เอาว่างั้นเถอะ !
       
              ก็ไม่เป็นไร รัฐบาลอาจจะพยายามแสดงให้โลกเห็นว่า น้ำท่วมแค่นี้จิ๊บจ๊อย ..เอาอยู่คร้า...ก็ว่ากันไป
       
              แต่คนกองทัพอากาศนี่สิพากันค้อนปะหลับปะเหลือก เพราะรู้กันอยู่ว่า ลงได้สั่งซื้อแล้วก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าเครื่องสูบน้ำจะมาถึง ดอนเมืองก็ไม่รู้เห็นไงแล้ว
       
              ในที่สุดดอนเมืองก็เสียเซลฟ์ วันนี้คงไม่กล้าไปยืดอกบอกใครเขาได้ว่าที่นี่มัน "ที่ดอน" ไม่ใช่ที่ลุ่มรับน้ำ
       
              ศปภ.ที่ไปตั้งศูนย์บัญชาการอยู่ที่นั่น จากที่ก่อนหน้านั้นคุยโตว่า ชัยภูมิสุดยอด ก็พากันอพยพหนีน้ำกันจ้าละหวั่น...แน่นอนคนที่คิดใช้ดอนเมืองตั้งศูนย์ บัญชาการ ก็ฉากหลบแว๊บ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปตอบคำถาม เพราะนี่หากเป็นการทำศึกสงคราม การเลือกชัยภูมิเช่นนี้ แล้วถูกตีแตกพ่ายยับ โทษไม่ได้มีแค่ เอาปี๊บคลุมหัวเป็นแน่
       
              ก็เอาเถอะ! เพราะจะว่าไปมันก็เป็นแค่อีกครั้งที่แสดงให้เห็นถึงความไม่ประสีประสาของ รัฐบาลนี้เท่านั้น
       
              แต่ถึงกระนั้น ความช่วยเหลือของจีนก็ไม่ได้ลดลง หรือคิดอะไรให้มันมากความ ยังคงติดต่อประสานส่งมอบเครื่องสูบน้ำให้ประเทศไทย
       
              ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 พ.ย. นายกว่าน มู่ เอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย บอกว่า ได้ส่งมอบเครื่องสูบน้ำให้ไทย 500 เครื่อง เรือยนต์ ยาฆ่าเชื้อ
       
              ประเด็นที่ทูตจีนเอาเครื่องสูบน้ำมาให้นั้นไม่เท่าไหร่ เพราะถือเป็นน้ำใจกันอยู่แล้ว แต่ทูตจีน บอกว่า เครื่องสูบน้ำที่ ยิ่งลักษณ์ สั่งให้ซื้อนี่สิมันน่าคิด เพราะทูตจีนบอกว่า ไม่ได้ผ่านรัฐบาลจีน แต่ไปซื้อผ่านเอกชนจีน
       

              ก็คงจะใช้วิธีพิเศษ เพราะเป็นสถานการณ์เร่งด่วน เหมือนๆ กับ ซื้อสุขากระดาษ ซื้อถุงยังชีพ ตามที่เป็นข่าวในก่อนหน้านี้ ที่ได้ราคาสูงเป็นพิเศษ
       
              ดูเหมือนว่า ในสถานการณ์วิกฤติอย่างนี้ ก็ยังคงมีการ "แบ่งๆ กันไป" อย่างสม่ำเสมอ
       
              ทูตจีน ยังบอกด้วยว่า เครื่องสูบน้ำที่รัฐบาลสั่งซื้อจากเอกชน ก็คงจะแพงด้วยเหมือนกัน เพราะเป็นการซื้อในสถานการณ์วิกฤติ
       

              น่าสงสารคนไทยจริงๆ ได้รัฐบาลฝึกหัดบริหารประเทศ แล้วยังมีเรื่องเทาๆ ดำๆ ไม่โปร่งใสเข้ามาซ้ำอีก
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #560 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2554, 15:00:23 »

ลางหายนะจากการสวดสืบชะตา-สะเดาะเคราะห์

 
ทักษิณกับลางหายนะจากการสวดสืบชะตา-สะเดาะเคราะห์ และในกรณีเป็นประธานในพิธีทอดกฐินพระราชทานแทนนายกยิ่งลักษณ์
 ทำแทนกันได้หรือ สมควรหรือไม่

 

ในตอนเช้า ผมได้อ่านเอ็นทรี่เรื่อง ทักษิณ..มีสิทธิ์อะไร..มาเป็นประธานทอดกฐินพระราชทาน..แทน...ยิ่งลักษณ์ (ขอบคุณภาพจากอินเดีย...ที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ)  เบื้องต้นเลย ผมคิดทันทีว่า ทำแทนกันได้ด้วยหรือ ผมจึงเข้าไปที่เฟสบุ๊คของกคพ. กัลยาณมิตรเครือข่ายวิถีพุทธเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง จากรูปภาพ ซึ่งแน่นอน ย่อมเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะผูกโยงเรื่องราวได้

ภาพต่อไปนี้ ผมจะนำภาพเฉพาะที่มีคำบรรยายมาเผยแพร่ เป็นภาพจากเฟสบุ๊คของ"กคพ. กัลยาณมิตรเครือข่ายวิถีพุทธ (PongThailand)" โดยใช้ชื่ออัลบั้มภาพว่า"ทักษิณ ชินวัตร @ WatPa Buddhagaya" โดยมีคำบรรยายในภาพรวมว่า

"วัดป่าพุทธคยา จะจัดงานทอดกฐินในวันที่ ๕ พ.ย.นี้ โดยได้มีกำหนดการที่ นายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเดินทางมาร่วมงาน และพบกับพี่ชายของเธอ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้เดินทางมาถึงแล้วในวันที่ ๔ พ.ย. เพื่อทำพิธีสวดสืบชะตา สะเดาะเคราะห์ตามแบบล้านนา

แม้พิธีถวายผ้ากฐินพระราชทานจะเสร็จสิ้นลงในช่วยบ่ายวันที่ ๕ พ.ย. แล้ว แต่ก็ยังไร้เงาของ ฯพณฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร จึงปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานแทนนายกรัฐมนตรีผู้เป็นน้องสาว"

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/377335.jpg

 

ภาพจากเฟสบุ๊คภาพนี้ ตามป้ายได้มีข้อความบ่งบอกไว้ชัดเจนแล้ว และ ภายใต้คำอธิบายภาพว่า "ป้ายต้อนรับ นายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่จะเดินทางมาทอดผ้ากฐินพระราชทาน ณ วัดป่าพุทธคยา ในวันเสาร์ที่ ๕ พ.ย. ๒๕๕๔ ซึ่งขณะนี้พี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้มาถึงล่วงหน้าแล้ว เพื่อทำพิธีสวดสืบชะตา สะเดาะเคราะห์ตามแบบล้านนา"จากภาพทำให้เข้าได้ว่า ทักษิณ ชินวัตร มาร่วมพิธีกรรมในฐานะผู้ร่วมงานคนหนึ่ง โดยนอกจากจะมีการทอดกฐินพระราชทานแล้ว ก็ยังมีงานทำบุญต่ออายุพิธีสวดสืบชะตา สะเดาะเคราะห์แบบล้านนา ซึ่งจัดเพื่อทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะ ทักษิณได้เดินทางมาล่วงหน้า ๑ วัน คือ วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ก่อนงานอัญเชิญผ้ากฐินพระราชทาน ในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔  ซึ่งนายกจะต้องมาร่วมงานในฐานะผู้แทนพระองค์ถวายผ้าพระกฐิน

ขอให้ทุกท่านเอาภาพป้ายของวัดป่าพุทธคยากับข้อความในป้ายนี้ ใช้เป็นหลักนะครับ กับการพิจารณาพฤติกรรมของบุคคล

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/379081.jpg


กับคำบรรยายใต้ภาพว่า"มาถึงแล้ว พระเอกของงาน พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางมาเข้าร่วมพิธีสวดสืบชะตา สะเดาะเคราะห์แบบล้านนา ที่จัดขึ้นให้เขาเป็นการเฉพาะ แต่ทว่าในระหว่างการสวดได้มีเหตุไฟฟ้าช็อต ทำให้ไฟและเครื่องเสียงดับไปชั่วเวลาหนึ่ง!!!" นี่คือหัวข้อที่วิจารณ์กับการทำบุญของทักษิณ ที่เกิดปัญหาในระหว่างงาน

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/297523.jpg


ใต้ภาพในเฟสบุ๊คมีคำบรรยายภาพว่า"สีหน้าดูมีความกังวล ภายหลังไฟฟ้าช๊อตทำเอาไฟดับและเครื่องเสียงขัดข้องอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง กลางงานสวดสืบชะตาสะเดาะเคราะห์แบบล้านนา ที่จัดขึ้นช่วงดึกวันที่ ๔ พ.ย.๒๕๕๔ ณ วัดป่าพุทธคยา ประเทศอินเดีย"ผมว่าระหว่างนั้น ทักษิณคงจะใจไม่ดีพอสมควร ส่วนใครจะมีความคิดเห็นประการใด ก็ตามสะดวกครับ

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/297524.jpg


"ทักษิณ ชินวัตร สีหน้าดูมีความกังวล จนต้องชะโงกดูหน้าต่าง ภายหลังไฟฟ้าช๊อตทำเอาไฟดับและเครื่องเสียงขัดข้องอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง กลางงานสวดสืบชะตาสะเดาะเคราะห์ แบบล้านนา ที่จัดขึ้นช่วงดึกวันที่ ๔ พ.ย.๒๕๕๔ ณ วัดป่าพุทธคยา ประเทศอินเดีย และวันพรุ่งนี้ ตามกำหนดการจะได้พบกับ นายกปู ยิงลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวที่มาทำบุญทอดผ้ากฐินพระราชาทาน"คำบรรยายภาพระบุไว้

ในที่สุดก็ผ่านงานสะเดาะเคราะห์ของทักษิณไป โดยมีลางเกิดขึ้น จะเป็นดี หรือ ร้าย สุดแท้แต่กรรมดี กรรมชั่วของบุคคล โดยวันต่อมาก็คือวันที่ ๕ พฤศจิายน ๒๕๕๔ ตามอัลบั้มจะเห็นรัฐมนตรีบางคน ปลัด ก.มหาดไทย ส.ส.หลายคน รวมทั้ง น้องชายแท้ๆของทักษิณมาร่วมงาน ผมคงไม่ได้นำภาพมาแสดงทั้งหมด ต้องการชมเพิ่มเติมกรุณาคลิกไปดูภาพที่อัลบั้มบนเฟสบุ๊ค ตามลิงค์นี้  http://www.facebook.com/media/set/?set=a.2189059574186.2106897.1477998443&type=1

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/297525.jpg


เมื่อคืนทักษิณนอนพักที่วัดป่าพุทธคยา คำบรรยายใต้ภาพ"กองกำลังตำรวจอินเดียนำอาวุธหนักครบมือและรถจับกุมคุมขัง มาเฝ้าระวังความปลอดภัยหน้าอาคารที่พัก พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ภายในวัดป่าพุทธคยา ประเทศอินเดีย"

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/297526.jpg


มาถึงภาพสำคัญแล้วครับ ที่นายกยิ่งลักษณ์ กับทีมงาน หรือ อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาต่างๆต้องให้คำอธิบายต่อสังคมให้ได้ กับคำบรรยายภาพที่ชัดเจนว่า"เสร็จสิ้นพิธีถวายผ้ากฐินพระราชทานแล้ว  แต่ยังไร้เงา  นายกยิ่งลักษณ์  พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร จึงปฏิบัติหน้าที่แทนน้องสาว เป็นประธานในพิธีแทน"

ผมขอนำภาพจากเว็บผู้จัดการ อีก 2 ภาพ มาประกอบด้วย โดยเนื้อหาข่าว ดังนี้

"สำนักข่าวเอเอฟพีเผยภาพ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ทอดกฐินไหว้พระ ณ วัดป่าพุทธคยา ในรัฐพิหารของอินเดีย เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีออกมายืนยันปฏิเสธว่า ไม่มีกำหนดการเดินทางไปอินเดีย เพื่อพบกับพี่ชาย ตามที่เป็นกระแสข่าว ในเวลาที่บ้านเมืองกำลังเผชิญวิกฤตน้ำท่วมครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี"

เหตุใด ภาพกับข่าวจึงไปเปิดเผยที่สำนักข่าวเอเอฟพี ซึ่งเป็นสื่อต่างประเทศ เหตุใดสื่อในประเทศไทยไม่นำข่าวนี้มาเปิดเผยให้ทราบกัน ถ้าไม่มีภาพจากเฟสบุ๊คของกคพ. กัลยาณมิตรเครือข่ายวิถีพุทธ บางที ข่าวนี้ คนไทยทั้งประเทศอาจไม่ทราบกันเลย ก็อาจเป็นได้

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/554000014935801.jpg



http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/554000014935802.jpg

 

นี่คือสิ่งที่นายกยิ่งลักษณ์ ต้องตอบสังคมให้ได้ กับป้ายที่บ่งบอกว่าเป็นการอัญเชิญผ้ากฐินพระราชทาน เมื่อนายกไปไม่ได้ เหตุใดจึงไม่มีหนังสือแต่งตั้งให้ใครไปทำการแทน เพราะงานนี้ไม่ใช่งานทอดกฐินธรรมดา ซึ่งในทางปฎิบัติ เข้าใจว่า เมื่อไม่สามารถไปได้ ก็ต้องแจ้งไปยังสำนักพระราขวัง หรือ โดยวิธีใดๆที่พึงปฎิบัติตามจารีตประเพณี

ตามป้ายในภาพแรกที่ได้โพสไว้ ระบุว่า"พณฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อัญเชิญผ้ากฐินพระราชทานถวายแก่พระสงฆ์"งานนี้ไม่ใช่เล่นๆนะครับ เมื่อนายกมาไม่ได้ อาจเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม เท่าที่ทราบเธอไปนครสวรรค์ ทักษิณผู้พี่ชาย ทำแทนได้หรือ

หากทักษิณปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีจริง เป็นประธานในพิธี อยากทราบว่าในฐานะอะไร จริงอยู่แม้จะเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี แต่ ณ ปัจจุบันนี้ เมื่อไม่ปรากฎว่าได้มีกฎหมายใดๆยกเลิก หรือ ทำให้พ้นผิดจากความผิดอาญาที่ศาลได้ตัดสินไป และัคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ทักษิณ ชินวัตร อยู่ในฐานะอะไร คิดว่าคงไม่ต้องอธิบายความ น่าจะเข้าใจกันได้

ทุกอย่างต้องคลีนและเคลียร์ให้ชัดเจน เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องใหญ่ อย่าพยายามทำให้เป็นเรื่องเล็กๆและอย่าปล่อยให้เงียบหายไป หรือ เพิกเฉยไว้จากผู้มีหน้าที่ เพราะหากใช่ ตามที่ได้ตั้งข้อสงสัยไว้ ก็เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #561 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2554, 23:25:55 »

พ.ร.ฎ.อภัยโทษส่อ"โมฆะ"!

โดย : สุทธิรักษ์ อุฒมนตรี

   
   
   
       
มติครม. 15 พ.ย. แสดงให้เห็นการกระทำผิดหลายกรรม หลายวาระ และตราพ.ร.ฎ.ที่เป็นโมฆะ ตั้งแต่แรก


การหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (15 พ.ย.) ที่มีร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ประธานที่ประชุมวานนี้ มีรายงานข่าวออกมาว่าเห็นชอบพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) พระราชทานอภัยโทษ อีกกระแสอ้างว่าต้องส่งตีความ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่กระจ่าง แต่หากเห็นชอบจริง จะมีปัญหาด้านกฎหมายตามมาอีกมาก และอาจจะเข้าข่าย"โมฆะ"ได้

ทั้งนี้ในการประชุมได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวเป็นการลับ โดยมีการกำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ที่ระบุหลักเกณฑ์ของ "นักโทษ" ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวคือ 1.เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี

นอกจากนั้นยังมีการตัดคำแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2553 ตราขึ้นสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเนื้อหาระบุว่า "ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด และไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น" ออก

ทั้งนี้ ยังไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับโทษ ซึ่งหากเป้นเช่นนั้นเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเข้าข่ายได้รับการขอพระราชทานอภัยโทษ โดยที่ไม่ต้องเข้ารับการคุมขังแม้แต่วันเดียว ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งตรงกับที่ ร.ต.อ.เฉลิม เคยทำเอกสารแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชนก่อนหน้านี้ และเขายืนยันมาตลอดว่าสามารถทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศโดยถูกกฎหมายได้

อย่างไรก็ตาม หลักการ "ตรากฎหมาย" ของไทย นั้น จะต้องสอดคล้องกับกฎหมายที่มีความสำคัญตามลำดับคือ รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) และพ.ร.ฎ.ตามลำดับ

ดังนั้น พ.ร.ฎ.อภัยโทษ หากออกโดยครม.วันที่ 15 พ.ย.แล้วนั้น จึงไปขัดกับพ.ร.บ.อภัยโทษ ที่ยกเว้น คดียาเสพติด และคดีคอร์รัปชั่น จะไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ

กรณีนี้ หากมีมติคณะรัฐมนตรี 15 พ.ย.จริง!ถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ที่ว่า "รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใด ของกฎหมาย กฎ หรือ ข้อบังคับ ขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้น เป็นอันใช้บังคับ มิได้"


เมื่อมีการตรากฎหมายเล็กขัดกฎหมายใหญ่ก็สามารถฟ้องร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เพิกถอนพ.ร.ฎ. ดังกล่าว เพราะเห็นได้ชัดเจนว่าตรากฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับพ.ร.บ.อภัยโทษ นั่นเอง

นอกจากนี้ การประชุมลับวันที่ 15 พ.ย. ยังแสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า กล่าวคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนที่ จ.สิงห์บุรี พร้อมมอบแผนฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบหลังน้ำลด และไม่สามารถเดินทางกลับ กทม.ได้ตามกำหนดการ ทำให้ต้องพักค้างคืนที่ จ.สิงห์บุรี เมื่อวันที่ 14 พ.ย. โดยอ้างว่าเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เอ็มไอ 17 ของประเทศรัสเซีย ที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางไม่สามารถบินตอนกลางคืนได้ เพราะไม่มีเรดาร์นำทางนั้น

แหล่งข่าวในกองทัพเปิดเผยโดยยืนยันว่า  เฮลิคอปเตอร์รุ่นดังกล่าวมีสมรรถภาพเพียงพอ และมีเรดาร์สามารถบินช่วงกลางคืนได้ แต่หากเรดาร์ไม่สามารถใช้การได้จริง นายกฯ สามารถประสานขอเครื่องลำอื่นไปทดแทนได้ ซึ่งกองทัพพร้อมที่จะจัดให้อยู่แล้ว แต่กลับไม่มีการร้องขอมา จึงคิดว่า นายกฯ น่าจะมีเจตนาที่จะไม่กลับ กทม. เพราะดูจากกำหนดการที่คณะของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ขึ้นเครื่องเมื่อวันที่ 14 พ.ย. ช้ากว่ากำหนดเดิมถึงเกือบ 1 ชั่วโมง เหมือนเป็นการถ่วงเวลาให้เข้าสู่ช่วงกลางคืนแล้วอ้างเรดาร์ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้

และเมื่อช่วงเช้าวันที่ 15 พ.ย.ว่า ทันทีที่คณะของนายกฯ และสื่อมวลชนเดินทางมาถึงกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล ม.2 รอ.) ทุกคนในคณะต่างสวมเสื้อยืดสีขาว สกรีนข้อความและตราสัญลักษณ์ของสำนักนายกรัฐมนตรีด้วยสีน้ำเงินชัดเจน แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมความพร้อมที่จะให้คณะพักค้างคืนที่ จ.สิงห์บุรี ไว้แล้ว

เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางมาถึงในเวลา 11.00 น. และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนประมาณ 20 นาที จากนั้นเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่คณะรัฐมนตรียังคงประชุมอยู่ แต่ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับไม่เข้าร่วมประชุม แต่ใช้เวลาช่วงดังกล่าวบันทึกเทปสัมภาษณ์พิเศษโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ  ก่อนเดินทางเข้าร่วมประชุมอาเซียน จากนั้นเมื่อเวลา 14.20 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงได้เดินทางเข้าร่วมประชุมรัฐสภา

กรณีนี้เองเป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ครบองค์ประกอบการกระทำ จึงเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ "ละเว้นการกระทำที่มีผลเป็นการกระทำ" แม้ไม่เข้าร่วมประชุมครม.ก็ไม่อาจพ้นไปจากความรับผิดนี้ได้

เมื่อนักการเมืองกระทำความผิดทางอาญา จึงสามารถฟ้องร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ รวมถึงคณะรัฐมนตรี ที่อยู่ในห้องประชุมทั้งหมดก็จะปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ เพราะไม่ปรากฎว่ามีใครแสดงความเห็นแย้งต่อการออกพ.ร.ฎ. ดังกล่าว

ประการต่อมา ประชาชนยังสามารถฟ้องต่อศาลปกครอง ได้ ตามมาตรา 3 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง กรณีนี้มีคดีตัวอย่างที่ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ เคยฟ้องเพิกถอนพ.ร.ฎ.แปรรูปรัฐวิสาหกิจ มาแล้ว

ประเด็นต่อมา ผู้มีส่วนได้เสีย ย่อมจะยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรี "ส่อ" ว่ากระทำการหรือละเว้นการกระทำทุจริตต่อหน้าที่ ได้อีกทางหนึ่งด้วย

มติครม. 15 พ.ย. แสดงให้เห็นการกระทำผิดหลายกรรม หลายวาระ และตราพ.ร.ฎ.ที่เป็นโมฆะ ตั้งแต่แรกแล้ว

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #562 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2554, 23:28:48 »

การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2554 01:00

วีระศักดิ์ พงศ์อักษร
   
"ยิ่งลักษณ์" กลัวทำไม?...อภัยโทษ "ทักษิณ"

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


"จะว่าไปแล้วนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจค้างสิงห์บุรี เบี้ยวการประชุมคณะรัฐมนตรีนั้น ถือว่าไม่เนียน

 หากไม่สามารถเดินทางกลางคืนได้จริงเพราะเรดาร์ ก็สามารถกลับช่วงเช้ามืดมาทันการประชุม
 หรือไม่ก็ให้ที่ประชุมเลื่อนออกไปเล็กน้อยเพื่อรอนายกรัฐมนตรี"


 สิงห์บุรี ไม่ได้ไกลมาก..หากติดภารกิจร่วมประชุมเอเปค ก็ให้อภัยกันได้ จึงไม่แปลกหากจะมีสงสัยดังๆ ว่า "จงใจ" เบี้ยวประชุมคณะรัฐมนตรี เปิดทางให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานที่ประชุม ครม. (ลับ) แทน เพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

 ไม่ใช่กรรมการบริษัท..ที่เมื่อมีส่วนได้เสียแล้วขอออกจากที่ประชุม แต่นี่คือประเทศชาติ ที่สำคัญไปกว่านั้นวาระก็ดูจะเป็นเรื่องธรรมดา..แต่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับทำให้น่าสงสัย !

 ในการประชุมวานนี้นั้นมีวาระจร (ลับ) ในการพิจารณาและลงมติผ่านร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.... ซึ่งจะเป็นการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับคุณสมบัติของนักโทษที่จะเข้าข่ายในการเข้ารับพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554

 วาระธรรมดา...ที่นายกรัฐมนตรี ไม่ต้องเลี่ยงประชุมให้ "คนสงสัย" แม้จะเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ตาม เพราะทุกปีทุกนายกฯ ก็ทำกันทั้งนั้น สมัย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งหากใครเข้าข่ายหลักเกณฑ์ดังกล่าวก็ถือว่าได้รับพระราชทานอภัยโทษทั้งสิ้น

 เมื่อดูจากหลักเกณฑ์พื้นฐานปี 2553 ที่ออกในสมัย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็น่าจะเข้าเกณฑ์ดังกล่าว

 มาตรา 6 (ง) ระบุว่า "เป็นคนมีอายุไม่ต่ำกว่าหกสิบปีบริบูรณ์ในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับตามที่ปรากฏในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรหรือทะเบียนรายตัวของเรือนจำในกรณีไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน และไม่ว่าในกรณีความผิดคดีเดียวหรือหลายคดี ต้องเหลือโทษจำคุกไม่เกินสามปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ หรือเป็นคนมีอายุตั้งแต่เจ็ดสิบปีขึ้นไป"

 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าหลักเกณฑ์ พื้นฐานนี้
 ส่วนหลักเกณฑ์.."ผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกานี้ต้องมีตัวอยู่ในความควบคุมของทางราชการ หรือถูกกักขังไว้ในสถานที่หรือที่อาศัยที่ศาลหรือทางราชการกำหนดในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับติดต่อกันไปจนถึงวันที่ศาลออกหมายสั่งปล่อยหรือลดโทษ หรือนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งปล่อยหรือลดโทษ..."

 หลักเกณฑ์นี้ก็ปลดล็อกไม่ยาก...ก่อนหน้านี้กระทรวงยุติธรรมก็ได้ล้างคุกสันติบาล ทำเป็น "ที่กักขังวีไอพี" รอไว้เรียบร้อยแล้ว

 ดังนั้นหากคณะรัฐมนตรี จะพิจารณาเรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ...ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ซึ่งหากอดีตนายกฯ เข้าเกณฑ์ก็ควรได้รับสิทธิเช่นคนอื่น

 ดูประเพณีปฏิบัติที่ทำกันมาตลอด "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ก็ไม่เห็นจะกลัวอะไร หรือไม่อะไรที่เปลี่ยนแปลง ลึกลับผิดไปจากก่อนหน้านี้ และนายกรัฐมนตรี เท่านั้นจะให้คำตอบนี้!
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #563 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2554, 23:31:40 »

'แก้วสรร'ชี้'ทักษิณ'ตัดสินใจแลกหมัดออกพ.ร.ฎ.อภัยโทษ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์





"แก้วสรร"ชี้"ทักษิณ"ตัดสินใจแลกหมัด กรณีออกพ.ร.ฎ.อภัยโทษ แจงหาก"กฤษฎีกา" เห็นด้วยหมดทางค้าน ทำได้แค่ถอดถอนอย่างเดียว

นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส.ให้สัมภาษณ์รายการเก็บตกจากเนชั่น ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชลแนลถึงกรณีมติ ครม.ให้ออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะได้ผลประโยชน์ด้วยว่า  การขอพระราชทานอภัยโทษ สามรรถทำได้สองกรณีคือ 1.ทำเฉพาะราย ซึ่งเสื้อแดงก็เคยเข้าชื่อไปแล้ว และ 2. ในกรณีวาระอันเป็นมงคล ซึ่งตราขึ้นโดยพระราชอำนาจ จะมีการกำหนดกฎเกณฑ์  ซึ่งก็ทำกันมาหลายครั้ง หากถือตามแบบแผนที่มีมาตลอด หากอยากได้ประโยชน์ก็ต้องมาติดคุกซึ่งตนก็คิดว่าเขาได้เตรียมการเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมโรงพักบางเขน หรือการตั้งคนไปเป็นอธิบดีราชทัณฑ์

อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวก็ยังมีด่านสองคือ ความผิดต้องห้ามปล่อยตัวที่แนบท้ายซึ่งเกี่ยวกับเรื่องคอร์รัปชั่นดังนั้นหากจะใช้ช่องทางนี้เขาต้องทั้งมอบตัวก่อนและตราพระราชกฤษฎีกาใหม่

 นายแก้วสรร กล่าวต่อว่า ปรากฏว่าเกิดน้ำท่วม ซึ่งไม่เป็นไปตามแผน และเขาคงไม่เข้ามาติดคุก  พ.ร.ฎ. ที่ออกวานนี้  แสดงว่าเขาตัดสินใจแลกหมัด เพราะเขาตราว่าไม่ต้องติดคุกก็อภัยโทษได้ และดึงความผิดคอร์รับชั่นอกจากแนบท้าย พ.ร.ฎ.   ปัญหาคือข้อแรกคือการที่ไปถวายร่าง พ.ร.ฎ.ว่าหนีคดีและอภัยโทษได้นั้น เป็นการเอาสิ่งที่ขัดรัฐธรรมนูญไปถวายในหลวงเพราะคำพิพากษายังไม่ถูกบังคับ แต่กลับจะทำลายคำพิพากษา เป็นการขัด รัฐธรรมนูญ ซึ่งตนหวังว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาจะแนะนำให้ถูกต้อง

 นายแก้วสรรกล่าวต่อว่า การที่เอาคดีคอร์รัปชั่นออกจากบัญชีแนบท้ายและบอกว่าไม่สำคัญ มีค่าเท่ากับคดีหมิ่นประมาท ต้องอธิบายว่าทำไมถึงไม่สำคัญ  เรื่องนี้คนได้ประโยชน์มีเพียง พี่ชายนายกฯคนเดียว อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร เป็นการตรากฎหมายเฉพาะบุคคลใช่หรือไม่  เป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อส่วนรวมต่อหน้าที่หน้าที่หรือไม่

 นายแก้วสรรยังกล่าวถึงขั้นตอนหลังจากนี้ว่า ต้องส่งไปที่คณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตรวจสอบและแนะนำ ครม. หากถูกต้องก็ผ่านเลย แต่หากไม่ถูก ครม. ก็ยาก  อย่างไรก็ตามหากผ่านถึงขั้นถวายราชเลขาธิการ เมื่อถึงขั้นนั้นก็ไม่ควรพูดกันอีก

 อย่างไรก็ตามเมื่อถามว่าจะยับยั้งได้หรือไม่ นายแก้วสรรกล่าวต่อว่า เป็นอำนาจของเขาเราทำได้แต่ท้วงติง  ออกแถลงการณ์คัดค้าน แต่หากจะดื้อทำก็ไม่มีใครค้านเขาได้ เหลือสุดท้ายก็ต้องลงโทษคือยื่นถอดถอนจากกรณีฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ

สงสัยนายกฯส่อเจตนาไม่สุจริต

เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่นายกฯจะระบุว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพราะไม่เข้าประชุม นายแก้วสรรกล่าวต่อว่า เรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้เรื่อง จะแกล้งหรือเสแสร้งปกปิด ก็ตามสบาย แต่นี่ยิ่งส่อเจตนาไม่สุจริต

 ต่อข้อถามที่ว่าจะส่งศาลรัฐธรรมนูญได้หรือไม นายแก้วสรรระบุว่า   ไม่ได้เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีไว้ใช้ตรวจสอบอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่นี่เป็นอำนาจอภัยโทษขององค์ประมุข ฝ่ายบริหารมีหน้าที่เสนอ ถูกผิดไม่มีศาลตรวจสอบได้  ศาลปกครองก็ตรวจสอบไม่ได้ หากเกิดจริงไม่มีใครตรวจสอบ แต่ตัวคนทำเอามาถอดถอนได้

 "เขากล้าขนาดนี้เขาไม่แตะเบรกแล้ว ก็ถอดถอนไปเลย ถ้ารัฐบาลยังอยู่เขาก็จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมทักษิณทั้งหมด เพราะหากเข้ามาได้ก็จะพ้นแต่คดีที่ดินรัชดา แต่การแก้รัฐธรรมนูญจะให้พ้นจากคดีอื่นด้วย" นายแก้วสรร กล่าว

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #564 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2554, 23:33:36 »

คณาจารย์นิติฯแถลงต้าน พ.ร.ฎ.อภัยโทษพรุ่งนี้-ปลัดยธ.บวชพระ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


คณาจารย์นิติศาสตร์ฮือแถลงการณ์ต้านร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ เอื้อ"ทักษิณ"พรุ่งนี้ ขณะที่คนใกล้ชิดยืนยันปลัด ยธ.ลาบวช ไม่รู้เรื่องดันอภัยโทษ

นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งเคยเคลื่อนไหวออกแถลงการณ์คัดค้านข้อเสนอลบล้างผลพวงการรัฐประหารปี 2549 ของคณะนิติราษฎร์ เปิดเผยว่า คณาจารย์คณะนิติศาสตร์จะออกแถลงการณ์เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาอภ้ัยโทษ (ร่างพ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ) ของรัฐบาล ที่มีเนื้อหาเอื้อประโยชน์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วงบ่ายวันที่ 17 พ.ย.นี้ โดยคาดว่าจะมีคณาจารย์ร่วมลงชื่อท้ายแถลงการณ์หลายสิบคน

ด้านความเคลื่อนไหวของ นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะได้รับรู้ถึงการผลักดันร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ฉบับใหม่ด้วยนั้น แหล่งข่าวจากกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า นายกิตติพงษ์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะได้ลาราชการไปอุปสมบทตั้งแต่ช่วงต้นเดือน พ.ย.แล้ว ขณะนี้จำวัดอยู่ที่วัดสามพระยา

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #565 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2554, 23:38:14 »

'สยามสามัคคี'ออกแถลงการณ์ต้านพ.ร.ฎ.อภัยโทษทักษิณ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

สยามสามัคคี' ออกแถลงการณ์ต้าน พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ช่วย 'ทักษิณ' ระบุ ไม่เข้าเกณฑ์ตามกฎหมาย จี้ ครม. แถลงมติต่อปชช.
 ขู่ พร้อมปลุกมวลชนร่วมต่อต้าน


ที่โรงแรมสยามซิตี้ กลุ่มสยามสามัคคีได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง 'คัดค้านพ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ่วงทักษิณ แก้หลักเกณฑ์กฎหมาย กดดันพระเจ้าอยู่หัว' หลังจากที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติผ่านร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) พระราชทานอภัยโทษพ.ศ.2554 เมื่อวันอังคาร(15พ.ย.)ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญแตกต่างจากพ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษฉบับที่ผ่านมา คือ 1. การกำหนดคุณสมบัติของผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ 2.การไม่ระบุระยะเวลาการเข้ารับโทษ 3.การตัดบัญชีลักษณะความผิดแนบท้ายว่าด้วยการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งประเด็นนี้คณะกรรมากฤษฎีกามีความเห็นคัดค้านเอาไว้ จึงก่อให้เกิดความสงสัยแก่สังคมถึงเจตนาและความสุจริตในการกระทำดังกล่าว
 
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ กล่าวว่า ทางกลุ่มมีความเห็นว่ามีประเด็นที่สังคมควรได้รับคำตอบอย่างชัดเจนจากครม.ดังนี้ 1.เหตุใดต้องมีการประชุมลับ ทั้งที่เรื่องดังกล่าวถือเป็นราชนิติประเพณีที่ถือปฎิบัติกันมาต่อเนื่องยาวนาน และเป็นประโยชน์ต่อสังคม และการบริหารงานยุติธรรม 2.เหตุใดต้องมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญเกี่ยวกับคุณสมบัติ ระยะเวลาการรับโทษ การตัดบัญชีลักษณะความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งถือว่าเป็นการแทรกแซงอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ 3.การยกเลิกบัญชีลักษณะความผิดตามกฎหมายว่าด้วยทุจริตคอรัปชั่นจะเท่ากับว่าครม.ชุดนี้มีนโยบายส่งเสริมให้มีการทุจริตคอรัปชั่นใช่และสร้างบรรทัดฐานว่าผู้กระทำความผิดจะไม่ต้องรับโทษใช่หรือไม่ 4.หน้าที่ของรัฐ หน่วยงานรัฐและประชาชนต้องร่วมมือเพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษมิใช่ผ่านร่างพ.ร.ฎ.เพื่อไม่ให้ผู้กระทำความผิดต้องได้รับโทษ มิใช่ผ่านผ่านพ.ร.ฎ.เพื่อไม่ให้ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษทุกรูปแบบใช่หรือไม่

 พล.ท.นันทเดช กล่าวต่อว่า หลักการในการตรากฎหมายใดๆต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ มิใช่ประโยชน์เฉพาะบุคคล และจะต้องคำนึงถึงการยอมรับของประชาชน มิใช่การตรากฎหมายที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงต่อสังคม และที่สำคัญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 ได้บัญญัติเอาไว้อย่างชัดเจนวา พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพ.ร.ฎ.โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย และ มาตรา 191 ว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชทานอภัยโทษ

 "แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เรื่องการออกพ.ร.ฎ.อภัยโทษนั้นเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ดังนั้นเป็นการสมควรหรือไม่ที่คณะรัฐมนตรีจะนำเสนอร่างกฎหมาย ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งของสังคมอย่างรุนแรง ถวายต่อพระมหากษัตริย์ในวาระอันเป็นมหามงคลอย่างยิ่ง การตรากฎหมายอภัยโทษในวาระเฉลิมพระชนม์พรรษาอันเป็นมงคลยิ่ง เป็นทานบารมีและพระราชกุศลอันยิ่งใหญ่ จึงต้องไม่กระทำการใดอันเป็นกระทบกระเทือนต่อเบื้องพระยุคลบาท" พล.ท.นันทเดช กล่าว

 อยากเรียกร้องต่อรัฐบาล ให้เปิดเผยข้อมูลล ข้อเท็จจริงรายละเอียดของร่างพ.ร.ฎ.ดังกล่าวต่อสาธารณชนโดยทันทีและขอเรียกร้องต่อประชาชนทุกภาคส่วนให้ร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องชอบธรรมของพ.ร.ฎ.ดังกล่าว ตลอดจนแสดงออกถึงการต่อต้านคัดค้านร่างพ.ร.ฎ.ฉบับนี้ในทุกรูปแบบอย่างถึงที่สุด

 ขณะที่นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวว่า การขอพระราชอภัยโทษมีหลักการอยู่ 2 ประการ คือ 1.การขอกราบบังคมทูลเป็นเฉพาะบุคคลโดยญาติ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ เคยทำแล้วแต่ติดตรงที่ตัวเองไม่ได้รับโทษในไทย ประกอบกับกรมราชทัณฑ์ไม่เคยยอมรับว่าคนหนีคดีจะเข้าลักษณะขออภัยโทษได้ 2.การพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไปตามรัฐธรรมนูญรองรับไว้ ซึ่งมีระเบียบของกรมราชทัณฑ์รองรับและมีการตราพ.ร.ฎ.ไม่ใช่อำนาจนิติบัญญัติแต่เป็นอำนาจฝ่ายบริหาร และจะไม่มีทางนำไปสู่การตีความของศาลรัฐธรรมนูญได้เลยเพราะอำนาจศาลรัฐธรรมนูญญตีความได้เฉพาะพ.ร.บ.เท่านั้น และที่สำคัญไม่ได้เป็นคำสั่งทางปกครองเพราะเป็นอำนาจโดยตรงของพระมหากษัตริย์

 "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะมาบอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องไม่ได้เพราะการตราพ.ร.ฎ.นายกฯถือว่าเป็นผู้ทั้งเสนอพ.ร.ฎ.ให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยและเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ" นายแก้วสรร กล่าว

 นายแก้วสรร กล่าวด้วยว่า แนวปฎิบัติที่ทำมา คือ ต้องถูกควบคุมตัวตามกฎหมายเพื่อให้เกิดการต้องโทษและจะนำไปสู่การอภัยโทษได้ แต่ปรากฎว่าครม.มีมติตัดความผิดลักษณะดังกล่าวออกไป ดังนั้น ฝ่ายบริหารไม่สามารถใช้อำนาจเสนอพระราชทานอภัยโทษได้ เพราะเป็นการใช้อำนาจฝ่ายบริหารมาหักล้างอำนาจฝ่ายตุลาการเนื่องจากคดีที่ดินรัชดาของพ.ต.ท.ทักษิณถือว่าเป็นที่สุดแล้ว เท่ากับว่าการตราพ.ร.ฎ.ซึ่งเป็นอำนาจฝ่ายบริหารเป็นการมาแทรกแซงอันเป็นการหักล้างทำลายอำนาจตุลาการ นับว่าเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญซึ่งฐานการกระทำนี้เป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรีถูกถอดถอนทั้งคณะ

 "หลักการอภัยโทษต้องเป็นการลดโทษจากการมีความประพฤติดีโดยจะไม่มีการปล่อยตัวทันทีซึ่งถือเป็นหลักปฎิบัติมาโดยตลอด และต่อให้แก่หรือเจ็บป่วยอย่างไรจะไม่มีการปล่อยตัวในคดีคอรัปชั่นและยาเสพติดเด็ดขาด" นายแก้วสรร กล่าว

 นายสมชาย แสวงการ สว.สรรหา กล่าวว่า ถือว่าเป็นการซ้ำเติมประชาชนในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วม ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น รัฐบาลไม่สมควรมาอ้างถึง 15 ล้านเสียงเพราะรัฐบาลกำลังจะเป็นผู้สร้างวิกฤตการเมืองขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วม ขณะเดียวกัน ต้องมีการตรวจสอบว่าการที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะมาอ้างไม่รู้เรื่องหรือปฎิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรีและน้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ โดยจากนี้ต่อไปต้องมีการพิสูจน์เจตนาของนายกฯด้วยว่าจงใจค้างคืนที่สิงห์บุรีเพื่อไม่กลับประชุมครม.หรือไม่เนื่องจากมีรายงานว่ากองทัพเตรียมจะนำเฮลิคอปเตอร์ไปรับเพื่อให้เดินทางกลับมายังกทม.

 "หลังจากนี้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าขณะนี้มีวิกฤติภัยธรรมชาติแล้ว และต่อจากนี้จะมีวิกฤตทางการเมืองเกิดขึ้นอีก จึงขอเรียกร้องให้ครม.ที่มีการประชุมลับ ออกมาแถลงผลการประชุมในเรื่องนี้ เพื่อชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจทันที"นายสมชาย กล่าว

 ขณะที่พ.ญ.พรพันธุ์ บุญรัตพันธุ์ สว.สรรหา กล่าวว่า ในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็นเวลาที่คนไทยทั้งประเทศต้องร่วมกันสร้างบุญกุศล ซึ่งการอภัยโทษจะได้กุศลนั้นจะต้องดำเนินการกับบุคคลที่ถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ แต่ถ้ามีการทำลักษณะนี้ถือว่าไม่เป็นการสร้างบุญกุศลเพราะบุคคลดังกล่าวไม่ได้มารับโทษตามกฎหมาย ตรงกันข้าม จะทำให้บุญกุศลอันดีนั้นแปดเปื้อนไปด้วย

 "ที่สำคัญในเมื่อนายกฯไม่สามารถรักษาบ้านเมืองเอาไว้ได้จากเหตุการณ์น้ำท่วมแต่อย่างน้อยควรรักษาคำพูดของตัวเองที่เคยบอกว่าจะไม่ทำอะไรเพื่อคนคนเดียว เพราะมิฉะนั้นแล้วนายกฯจะไม่รักษาตัวตนของตัวเองได้"  พ.ญ.พรพันธุ์ กล่าว

 นายนิติธร ล้ำเหลือ กล่าวว่า การตราพ.ร.ฎ.เป็นการทำลายหลักการตรวจสอบ หลักการกฎหมายโดยเฉพาะประมวลกฎหมายที่สำคัญหลักการควบคุมสังคมได้ถูกทำลาย ในทางกลับกันพ.ร.ฎ.นี้เป็นการฟื้นฟูการคอรัปชั่น ที่ทำให้บุคคลสามารถกระทำความผิดได้โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ดังนั้น แม้ว่าพ.ร.ฎ.จะยังไม่มีการตราออกมาแต่ถือว่าความผิดสำเร็จแล้วจากการแสดงเจตนาให้เห็นว่ามีความจงใจในการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ

 "ส่วนตัวจะรวบรวมองค์กรต่าง ๆ เพื่อรวบรายชื่อถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งอย่างแน่นอน โดยจะไม่รอการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาครม.สามารถออกพ.ร.ฎ.โดยตัดลักษณะความผิดในเรื่องคดีทุจริตได้หรือไม่" นายนิติธร กล่าว

 จากนั้นนายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสว.สรรหา กล่าวว่า ในวันที่ 22 พ.ย.เวลา 10.00น. กลุ่มสยามสามัคคคีจะมีการประชุมอีกครั้งที่โรงแรมสวนดุสิตเพลซเพื่อกำหนดท่าทีในการเคลื่อนไหวต่อไป
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #566 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 09:20:34 »

การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2554 00:30


    เฉลา กาญจนา
    แกะรอยการเมือง kanchanatuk@hotmail.com
   

เบื้องหลัง "อภัยโทษ" เข้า ครม.

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ตกเป็นข่าวใหญ่ไม่แพ้น้ำท่วม แต่คนละความหมาย คนละอารมณ์ คนละความรู้สึก เรื่องที่คณะรัฐมนตรี (ครม.)

เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2554 ซุ่มพิจารณา "วาระจรลับ" เกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. .... 

เขาว่ากันว่า เป็นการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับคุณสมบัติของนักโทษที่จะเข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554

ซ้ำร้ายเนื้อหาของ พ.ร.ฎ. ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี แถมมีการตัดคำแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ. 2553 ที่มีเนื้อหาระบุว่า ผู้ที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษ ต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด และไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันออก นี่เป็นเนื้อหาสาระที่สื่อนำมาเผยแพร่กันสนั่นเมือง

หากเรื่องที่ว่าทั้งหมดเป็นจริง จะไปเอื้อให้ คุณทักษิณ ชินวัตร อยู่ในเกณฑ์ที่ว่าด้วยหรือไม่? สังคมไทยพิจารณากันเอาเอง ที่สำคัญต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า เรื่องนี้สำคัญมากน้อยแค่ไหน หากเทียบกับวิกฤติน้ำท่วมที่พี่น้องประชาชนกำลังได้รับความเดือดร้อนอยู่ในเวลานี้...

สิ่งที่น่าคิด การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2554 มัน "กลับตาลปัตร" คนที่ควรจะอยู่ในที่ประชุม แต่กลับไม่อยู่ อย่าง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รองนายกฯ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ  ซึ่งจะไม่อยู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจหรือไม่ นายกฯ เท่านั้น ที่ควรจะมีคำตอบ

สิ่งที่เกิดขึ้น ถามว่า นายกฯ จะปฏิเสธความรับผิดชอบ ไม่รู้ไม่เห็นได้หรือไม่? ในฐานะผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในคณะรัฐมนตรี  ยิ่งเป็นวาระจรด้วยซ้ำ นายกฯ จะไม่รับรู้เลยหรื


ปกติการเสนอวาระจรเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายกฯ ก็ไม่ได้ให้เสนอเข้าได้ง่ายๆ ไม่ใช่หรือ? ทุกเรื่องที่เข้าคณะรัฐมนตรี นายกฯ ต้องเซ็นรับทราบก่อนหรือไม่?

ตามกฎระเบียบราชการเวลาจะเสนอเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี กระทรวงต้นสังกัดต้องทำเรื่องเสนอไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาข้อกฎหมายและความถูกต้อง เมื่อพิจารณาเสร็จต้องส่งกลับไปให้รองนายกฯ ที่รับผิดชอบในสายงานของตัวเองลงนาม สุดท้ายเอกสารก็ต้องกลับมาที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อบรรจุเป็นวาระเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

เป็นปกติที่ทุกเรื่องก่อนจะบรรจุเป็นวาระเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ต้องเสนอเรื่องให้นายกฯ พิจารณา หรือรับทราบ เรียกว่า "นายกฯ ก็ต้องรับรู้ทุกเรื่อง"

เช่นเดียวกับเรื่องพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ....ที่เจ้าของเรื่องอย่าง กระทรวงยุติธรรม แม้จะเป็นวาระจรลับ เรื่องนี้ก็ต้องแจ้งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อทำบันทึกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน เห็นสมควรเสนอเป็นวาระจร นายกฯ เองก็ต้องเห็นชอบ ฉะนั้นเรื่องนี้ทั้งนายกฯ และเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะไม่รู้เลยหรือ

ฉะนั้น แม้ว่า นายกฯ จะไม่อยู่ร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี แต่เป็นเรื่องสำคัญ ยังไงเสีย นายกฯ ก็ปฏิเสธความรับผิดชอบ ไม่รับ..ไม่รู้..ไม่ได้

แต่ถ้าเป็นเรื่องที่นายกฯ ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องของการบกพร่องการบริหารราชการแผ่นดินที่รองนายกฯ ปฏิบัติการเอง จะเป็นการ "สอดไส้" วาระหรือไม่ เรื่องนี้นายกฯ ต้องออกมาชี้แจงสังคมให้ได้

นายกฯ ลืมเรื่องนี้หรือยัง...เมื่อ  25 สิงหาคม 2554 อำพน กิตติอำพน บอกชัดเจนว่า นายกฯ ได้เสนอกฎระเบียบการเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ควรเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการเสนอเรื่องต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า วาระจร ต้องน้อยที่สุด เรื่องต่างๆ ที่เสนอต้องรอบคอบ เชื่อมโยงกับส่วนราชการต่างๆ หากเรื่องที่ไม่มีความเร่งด่วน "นายกฯ จะไม่ให้เสนอเป็นวาระจร เพื่อให้ ครม.นำไปพิจารณาก่อน"

ดังนั้น แม้การ พ.ร.ฎ. จะเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีก็ตาม สำคัญยิ่ง ต้องเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ถูกกาลเทศะ ต้องเปิดเผย "ไม่ใช่งุบงิบทำกัน" อย่างที่เป็นอยู่ ถ้าจะงุบงิบ หรือไม่ต้องการให้สังคมรับรู้ มันน่าจะเป็นเรื่องของความมั่นคงประเทศ หรือวางแผนจะไปสู้รบกับประเทศใดก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำไม่น่าจะใช่

สำหรับการอภัยโทษ ปกติก็มีการกระทำกันอย่างเปิดเผยอยู่แล้ว เป็นประเพณีปฏิบัติ เป็นการกระทำเพื่อสาธารณะ แต่ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง นายกฯ ต้องออกมาชี้แจง อย่าปล่อยให้สังคมสับสนจนกลายเป็นวิกฤติรอบใหม่สำหรับประเทศไทยอีกเลย
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #567 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 09:24:10 »

เห็นด้วย
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #568 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 09:27:36 »


"สุวัตร" เตรียมยื่นปปช.ฟันครม. ชี้ช่วยให้พ.ร.ฎ.อภัยโทษไม่ถึง "ในหลวง" ได้    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    17 พฤศจิกายน 2554


วันที่ 16 พ.ย. นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ได้ร่วมแสดงทัศนะต่อกรณีพ.ร.ฎ.อภัยโทษ ในรายการ "คนเคาะข่าว" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
       
       นายสุวัตร กล่าวว่า การที่ครม.ผ่านพ.ร.ฎ.อภัยโทษ ถือว่าทำเพื่อคนๆเดียว หลักการออกกฎหมายต้องมีดังนี้

       1.กฎหมายต้องประกาศใช้ทั่วไป ทั่วประเทศ อย่างเช่นคนที่เข้าข่าย อายุเกิน 60 ปี มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี คนเหล่านี้ก็จะได้ถอนฎีกา ได้รับอานิสงส์ไปด้วย ควรให้ประชาชนทั่วไปได้รู้ แต่นี่กลับปิดเงียบ เจตนาจะปิดบัง ถ้าของดีทำไมต้องปิดบัง
       
       2.เป็นกฎหมายที่ใช้เสมอไป แต่นี่ออกเพื่อพ.ต.ท.ทักษิณอย่างเดียว อย่างเช่นการระบุอายุเกิน 60 ปี จำคุกไม่เกิน 3 ปี แล้วตัดคดีคอร์รัปชั่นออกเพื่อให้ได้รับอภัยโทษด้วย
       
       3.การออกกฎหมายฉบับนี้เป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด เพราะพ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมรับคำตัดสินศาล หนีความผิด แล้วต่อมาออกพ.ร.ฎ.อภัยโทษ เป็นการทำลายรากเหง้ากฎหมายทั้งสิ้นทั้งปวง ทำลายนิติรัฐ เศรษฐีไม่ต้องติดคุก ตาสีตาสาติดคุกเต็มไปหมด
       
       พ.ร.ฎ.อภัยโทษนี้ผิดหมดทั้งหลักกฎหมาย หลักคุณธรรมศีลธรรม และสาเหตุที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่อยู่ในที่ประชุม ก็เพราะมีคนเตือนไว้แล้วว่าอาจถูกฟ้อง นายยงยุทธก็ไม่อยู่ ปล่อยให้ร.ต.อ.เฉลิม เป็นหน่วยกล้าตาย แต่อย่างไรก็ไม่รอดต้องฟ้องครม.ทั้งชุด
       
       "ผมจะยื่นฟ้องไปที่ปปช.ให้ดำเนินคดีครม.ทั้งชุด ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ครม.ชุดนี้ทำการโดยทุจริต ออกกฎหมายให้ทักษิณ เข้าองค์ประกอบเลย แอบงุบงิบทำ ไม่เปิดเผย จึงเป็นการร่วมกันออกกฎหมายที่ขัดต่อหลักกฎหมาย ครม.ทั้งชุดต้องถูกร้องไปที่ปปช. หลังจากนั้นปปช.ก็ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบ
       
       แล้วจะมีผลคือ ถ้าพ.ร.ฎ.อภัยโทษนี้ไปถึงองคมนตรี เพื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ตนก็จะส่งจดหมายตามไป ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ ยังมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนกันอยู่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯก็จะไม่ถูกกดดันให้ลงพระปรมาภิไธย" นายสุวัตร กล่าว

       
       นายสุวัตร กล่าวอีกว่า กรณีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงลงพระปรมาภิไธยหรือไม่ลง พระองค์ก็จะมีแต่เสีย หากไม่ลงเสื้อแดงก็ด่า นักโทษที่รออยู่ก็โกรธ หากลงพระประมาภิไธย ซึ่งก็เป็นพ.ร.ฎ.อภัยโทษที่ขัดหลักกฎหมาย ขัดจารีตประเพณี ซึ่งท่านไม่เคยขัดต่อหลักกฎหมายเลย
       
       เราต้องทำเรื่องแจ้งไปที่องคมนตรี เพื่อบังคมกราบทูลฯ ว่า กำลังสอบว่ากฎหมายชอบหรือไม่ชอบ กำลังตั้งกรรมการสอบกันอยู่ ก็จะทำให้พระองค์ท่านมีทางเลือก กฎหมายนี้ถ้าผ่านชาวบ้านตีกันแน่ พันธมิตรและองค์กรอื่นๆ ไม่ยอมแน่นอน
       
       ที่ผ่านมารัฐบาลวางแผนเตรียมการเพื่อประสงค์ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง วางแผนมานาน แต่มาทำเรื่องนี้ตอนนี้เพราะคิดว่าพันธมิตรฯไม่มีน้ำยา เห็นว่าน้ำท่วมอยู่ถ้าพันธมิตรฯออกมาก็โดนด่า ตนบอกได้เลยว่าน้ำท่วมครั้งนี้ เป็นการจงใจทำให้น้ำท่วม แล้วให้ร.ต.อ.เฉลิมมาทำเรื่องนี้ มันสอดรับกันทั้งหมดเลย เรื่องนี้ตนไม่ยอม จะไม่ให้ตีกินง่ายๆ
       
       นายปานเทพ กล่าวว่า ไม่ว่าจะมีพระราชวินิจฉัยอย่างไร มีสภาพแรงกดดันอย่างแน่นอน ถ้าตัดสินพระราชหฤทัยเป็นคุณต่อพ.ต.ท.ทักษิณ เขาก็จะได้รับชัยชนะ แต่ถ้าไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลต้องการก็จะเกิดแรงกระเพื่อมจากฝ่ายที่รักพ.ต.ท.ทักษิณ ตรงนี้สุ่มเสี่ยงและอันตรายอย่างยิ่ง
       
       ต้องไม่ลืมพ.ร.ฎ.อภัยโทษนี้ ไม่ได้ทำเงียบๆ อย่างที่ร.ต.อ.เฉลิมอ้าง เพราะมีการเคลื่อนขบวนถวายฎีกา เป็นสถานภาพทางการเมืองที่รู้อยู่แล้วว่าจะเสนออย่างไร คาดเดาได้หมด ดังนั้นการที่จะบอกว่าเป็นความลับ ต้องรอพระราชอำนาจวินิจฉัยก่อน เป็นข้ออ้าง เพราะสังคมรู้อยู่แล้ว เรื่องนี้ล่อแหลมมากต่อการเผชิญหน้า
       
       "สถานการณ์แบบนี้ผู้ที่มีสติปัญญา และมีจริยธรรมมีคุณธรรม ต้องไม่เดินหมากนี้ให้ทรงใช้พระราชอำนาจ สามารถเรียกได้ว่าบังคับให้เดิน หรือจะเรียกว่าอำมหิตก็ได้" นายปานเทพ กล่าว
       
       กรณีนี้เป็นการทำให้หลักนิติรัฐถูกทำลาย อันตรายมากต่อกระบวนการยุติธรรมไทยในอนาคต ต่อไปนักการเมืองทำอะไรไม่มีวันผิด เป็นสังคมที่อันตราย สังคมเกิดมิคสัญญีจากประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย ไปโดยปริยาย
       
       นายปานเทพ ยังกล่าวอีกว่า สถานการณ์ที่รัฐบาลสั่นคลอน ทหารภาพลักษณ์ดีขึ้น สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือดึงต่างชาติเข้ามา การเลือกยูเอ็นเข้ามาเพื่อให้เห็นว่าหากใครมาโค่นล้มจะไม่เป็นสากล และทำให้ต้องเร่งอภัยโทษพ.ต.ท.ทักษิณให้เร็วขึ้น เพราะดีกว่าปล่อยให้ภาพลักษณ์เลวร้ายกว่านี้
       
       เลยเกิดแนวคิดที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เตรียมเสนอญัติติคณะกรรมการด้านปรองดองแห่งชาติ เพื่อรวบรวมคนหลายๆกลุ่มมาอยู่บนโต๊ะเดียวกัน เพื่อทำให้รู้สึกว่าพวกเขาจัดการกันเองได้ ไม่ต้องมีระบบอื่นเข้ามา เป็นหลักคิดที่ไม่มั่นใจในเสถียรภาพรัฐบาล และรู้สึกว่ากำลังจะสูญเสียอำนาจไป แบบนี้ทำให้ทุกฝ่ายต่างระแวงซึ่งกันและกันไปโดยปริยาย ซึ่งเมื่อพันธมิตรฯถอนตัวออกมา ทำให้ฝ่ายที่เหลือเผชิญหน้ากัน แล้วต่างก็ต้องหาแนวร่วมถึงจะอยู่รอด มันจึงไม่แปลกที่พันธมิตรฯยืนบนภู จะมีเสียงเรียกร้องให้ออกมาทำอะไร แม้ว่าฝ่ายรัฐบาลเองก็ต้องยื่นมือมาปรองดองหรืออาาจถึงขั้นปฏิรูปก็ได้
       
       ส่วนพ.ร.ฎ.อภัยโทษ อย่าเพิ่งตกใจว่าจะทำอะไรไม่ทันแล้ว เพราะที่ผ่านมาพ.ร.ฎ.อภัยโทษ ไม่ได้ออกล่วงหน้านานๆ ที่ผ่านๆมามักออกวันที่ 10 ธ.ค. แล้ววันรุ่งขึ้นบังคับใช้ทันที
       
       ด้านนายสุริยะใส กล่าวว่า ถ้าออกพ.ร.ฎ.อภัยโทษ มันง่ายอย่างนี้ คงไม่ยากที่จะนิรโทษกรรมให้ทั้งเครือข่ายทักษิณ พวกนี้คงไม่จบแค่นี้แน่นอน ตนคิดว่าหมากนี้เป็นเกมเร็ว แล้วจะจบเร็ว พ.ต.ท.ทักษิณคงมองแล้วว่าเหตุการณ์น้ำท่วมนี้ทำคนตาย 500 กว่าคน ยากที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะกลับมาชนะเลือกตั้งอีกรอบ ก็เลยตัดสินใจเล่นเกมเร็ว และปลายทางคงไม่ต้องการแค่นี้

       
       เรื่องการกกดดันพระราชอำนาจ อยากถามปลัดกระทรวงยุติธรรม นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ เพราะก่อนร่างพ.ร.ฎ.อภัยโทษจะเข้าครม. จะต้องมีชงเรื่องขึ้นมาก่อน ปลัดกระทรวงยุติธรรมจะปัดความรับผิดชอบไม่ได้ นักข่าวควรถามปลัดยุติธรรม ซึ่งเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ปกติการพระราชทานอภัยโทษ เป็นประเพณี เป็นพระราชกุศล แต่วันนี้ถูกบิดเบือนให้เป็นการเมือง ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาการพระราชทานอภัยโทษต้องตอบให้ได้
       

       อีกคนที่ต้องถามคือนายธงทอง จันทรางศุ ก่อนจะมาเป็นโฆษกศปภ. พล.ต.อ.ประชา เคยแต่งตั้งให้เป็น 1 ใน 11 คณะกรรมการกลั่นกรองฎีกาแดง มันโยงกันอยู่
       
       นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ตนคิดว่างานของพวกเราสุดท้ายหนีไม่พ้นงานมวลชน สู้กับพ.ต.ท.ทักษิณตามกฎกติกายากเหลือเกิน เขาพลิกแพลงเก่งมาก
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #569 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 09:53:14 »

"สมคิด เลิศไพฑูรย์-สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" มองพ.ร.ฎ.อภัยโทษ ต่างกรอบคิด แต่เห็นแย้งรบ.เหมือนกัน (ถ้าทำจริง)

วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:00 น.



จากกระแสข่าวการประชุมลับ ผ่านร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ (พ.ร.ฏ.อภัยโทษ) ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (15พ.ย.) นั้น กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย โดยมีคนต้องข้อสงสัยว่า จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่?

 

และเมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไม่ได้เข้าประชุม ครม. แต่มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในที่ประชุมแทน ผู้ตั้งข้อสงสัยต่างก็เคลือบแคลงใจมากยิ่งขึ้น

 

แม้จะยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันแน่ชัดว่า ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.ฏ.อภัยโทษ จริง

 

แต่วิวาทะในเรื่องนี้ก็กลายเป็นประเด็น "ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์" ไปเรียบร้อยแล้ว มติชนออนไลน์จึงทำการสัมภาษณ์ ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักวิชาการด้านกฎหมายมหาชน ถึงประเด็นดังกล่าว พร้อมทั้งนำความเห็นที่ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์แสดงความเห็นในประเด็นเดียวกันผ่านทางเฟซบุ๊ก มาเผยแพร่คู่กันด้วย

 

ติดตามอ่านได้ ณ บัดนี้

 

ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ ระบุว่า ข้อเท็จจริงแรกก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่ในฐานะนักกฎหมายแล้ว การออกพ.ร.ฎ.อภัยโทษ ต้องออกตามที่กฎหมายกำหนดไว้ และจะออกนอกเหนือจากนี้ไม่ได้ เพราะการออกพ.ร.ฏ.อภัยโทษ ที่นักกฎหมายพูดกันก็คือ คนที่จะได้รับการอภัยโทษตามเงื่อนไข ต้องถูกคุมขังอยู่ ซึ่งหลักการหลักๆ จะเป็นแบบนี้  แต่เวลานี้เราอย่าไปพูดว่า รวมถึงคุณทักษิณด้วยหรือไม่ เพราะพ.ร.ฏ.อภัยโทษตัวนี้ เรายังไม่เห็นเลย ถ้าเห็นแล้วถึงจะพูดได้ว่า เป็นไปตามหลักกฏหมายหรือไม่ อย่างไร


ทั้งนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่พ.ร.ฏ.อภัยโทษจะออกในช่วงนี้ เพื่อให้ผู้ต้องขังได้รับการอภัยโทษในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของในหลวง 5 ธันวาคม หรือวันสำคัญ และก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำ มีการทำมาโดยตลอด แต่จะรวมถึงคุณทักษิณหรือไม่นั้น ต้องดูตัวพ.ร.ฏ.อภัยโทษโดยตรง ในฐานะนักกฎหมายก็ยังพูดไม่ได้ว่ารวมถึงคุณทักษิณหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อบอกว่า การผ่านร่างดังกล่าวเป็นการประชุมลับ


ในกรณีของคุณทักษิณเอง เราพูดมาตลอดว่าไม่ได้ เพราะการจะออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ต้องออกในเงื่อนไขของกฎหมาย นักกฎหมายก็ตีความ 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกบอกว่า ไม่ต้องถูกจำคุกก็ได้ ฝ่ายนี้เป็นฝ่ายข้างน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายข้างมาก บอกว่าต้องถูกจำคุกก่อน แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีนักโทษที่อยู่นอกคุกแล้วจะได้รับการอภัยโทษ และในทางกฎหมายหรือเท่าที่ถามนักกฎหมายด้วยกันเองในหมู่นักกฎหมายก็บอกว่าไม่ได้


รัฐบาลมีหลายช่องทางที่จะนำ "ทักษิณ" กลับมา

 

ส่วนการที่หลายคนสงสัยว่า พ.ร.ฎ.ดังกล่าวออกมาในจังหวะที่นายกฯขาดการประชุมครม.พอดีนั้น อ.สมคิด กล่าวว่า ตรงนี้ไม่มีความสำคัญเพราะนายกฯก็ขาดประชุมได้ และก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่นายกฯไม่มาประชุม แต่ใครมีข้อมูลในเรื่องการพิจารณาพ.ร.ฎ.อภัยโทษก็ควรบอกข้อเท็จจริง นักวิชาการเองก็ต้องค้นคว้า ต้องพูดบนพื้นฐานความเป็นจริง จะพูดลอยๆ ไม่ได้ จะไปบอกว่า ครม.มีการประชุมลับ แบบนี้ก็เสียชื่อนักกฎหมาย ถ้ามีข้อเท็จจริง ถึงจะพูดได้ว่า ควรทำหรือไม่ควรทำ บนพื้นฐานของกฎหมาย ถ้าบอกว่าเป็นนโยบายของพรรคการเมือง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าทำผิดกฎหมายก็ไม่ควรทำ แม้นโยบายจะบอกชัดเจนว่าอยากทำนั่น ทำนี่ ก็ตาม

 

ขณะเดียวกัน ในการกฎหมายผมว่า มีหลายลู่ทางที่จะทำได้ ไม่จำเป็นต้องออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษ เช่น การออกพ.ร.บ. หรือการแก้รัฐธรรมนูญ ที่สามารถทำให้สอดคล้องตามนโยบาย ถ้าอยากทำ เพียงแต่ว่า วิธีการนั้นอาจจะยากกว่าการออกพ.ร.ฏ.อภัยโทษเท่านั้นเอง อย่างไรก็แล้วแต่เรื่องนี้ควรทำแบบเปิดเผย เพราะคนจะถาม หรือสุดท้ายคนก็รู้อยู่ดีว่าทำอะไรกันอยู่ น่าจะตรงไปตรงมา เมื่อรัฐบาลทำตามระบบ เสียงของประชาชนส่วนใหญ่ที่สนับสนุนหรือไม่สนับสนุนก็อาจจะเห็นด้วยก็ได้ แน่นอนว่าการที่หลายคนวิจารณ์ เพราะรัฐบาลทำโดยไม่มีใครรู้ ถ้ารัฐบาลทำโดยไม่มีคนรู้ อาจจะมีปัญหาทางการเมืองตามมาด้วยก็ได้

 

มากกว่านั้น พ.ร.ฏ.อภัยโทษเป็นกฎหมายออกตามความในพ.ร.บ. และพ.ร.บ.ที่ว่าด้วยการอภัยโทษก็มีหลายมาตรา สิ่งที่พูดกันมากก็คือ นักกฎหมายอ่านกฎหมายแล้วไม่เหมือนกัน มาตราที่เกี่ยวข้องกับการอภัยโทษมีอยู่ 3-4 มาตรา มาตราแรกพูดไม่ชัดเจน เหมือนกับว่าไม่ต้องอยู่ในที่คุมขังก็ได้ มาตราที่เหลือ พูดว่าต้องอยู่ในที่คุมขัง ฉะนั้น ถ้าฝ่ายที่บอกว่าไม่ต้องอยู่ในที่คุมขังก็ได้ ก็จะใช้มาตราแรก ซึ่งสวนทางกับอีกฝ่ายหนึ่งที่บอกว่าต้องอยู่ในคุกเท่านั้น จึงจะอภัยโทษได้ แต่สุดท้ายแล้วในทางปฏิบัติก็ไม่เคยมีกรณีที่ว่า ผู้ไม่ต้องถูกคุมขังมาก่อนได้รับการอภัยโทษ

 

เรื่องนี้รัฐบาลต้องระมัดระวัง ว่าจะทำอย่างไรให้ถูกกฎหมาย ประเด็นนี้ไม่ใช่เฉพาะทางกฎหมายเท่านั้น แต่เป็นประเด็นทางการเมืองด้วย เพราะในทางกฎหมายไม่มีปัญหาอะไรมาก

 


หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพ.ร.ฏ.อภัยโทษ ถูกประกาศใช้ แล้ว "ทักษิณ" กลับมา

 

อ.สมคิด เชื่อว่า พ.ร.ฏ.อภัยโทษจะมีคนคัดค้านเยอะ นี่ขนาดยังไม่รู้เลยว่ามีจริงหรือไม่จริง คนยังคัดค้านเลย ถ้ามีจริงแล้วคนก็จะคัดค้าน ก็อาจจะเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองได้ ขณะเดียวกัน รัฐบาลเองก็มีปัญหาเรื่องน้ำอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเปิดศึกด้านที่ 2 ด้านที่ 3 ก็จะยิ่งลำบาก และอย่างที่บอกไปคือ การที่จะเอาคุณทักษิณกลับมาไม่ใช่เรื่องกฎหมายโดยเฉพาะ แต่เป็นเรื่องการเมืองหรือเป็นเรื่องของความชอบธรรม

 

ผมคิดว่าคุณทักษิณจะกลับมาเมื่อไหร่ก็กลับได้ ฉะนั้น รัฐบาลคงต้องดูประเด็นทางการเมืองเป็นหลัก และขอย้ำว่า ในทางกฎหมายไม่มีอะไรมาก อย่างน้อยรัฐบาลก็ถือเสียงข้างมาก ก็สามารถได้ทุกอย่าง แต่การที่ไปทำในสิ่งที่ไม่ตรงกับความต้องการของคนจำนวนหนึ่ง แม้จะไม่ใช่คนส่วนใหญ่ก็ตาม รัฐบาลจะต้องแบกรับวิกฤตการณ์ทางการเมือง ซึ่งไม่มีรัฐบาลไหนอยากเจอปัญหานี้

 

เช่นเดียวกับการออกพ.ร.บ. หรือการแก้กฎหมาย ก็อยู่ที่ความชอบธรรมอีก แม้จะถูกต้องตามกฎหมายก็ตาม สิ่งที่คนสงสัยก็คือว่า ทำไมทำได้ ทำกับคนอื่นได้หรือไม่ เมื่อตรงนี้ทำได้ อีกหน่อยคนก็หนีคดีหมด แล้วค่อยมาแก้ทีหลัง

 

ตามกระบวนการการขอพระราชทานอภัยโทษก็คือ นายกฯ เป็นคนเสนอเข้าที่ครม. เมื่อเห็นชอบแล้วก็เสนอให้ในหลวงโปรดเกล้า กล่าวคือ นายกฯต้องเป็นคนเสนอเท่านั้น และครม.ต้องเห็นชอบด้วย ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการที่ 3 คือให้ในหลวงลงพระปรมาภิไธย

 

ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า ที่ผ่านกระบวนการลงพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์เป็นอย่างไร เพราะกฎหมายไม่ได้พูดอะไรไว้ เช่นเดียวกับกรณีการยุบสภาฯ กฎหมายก็ไม่ได้พูดว่า จะต้องทรงลงพระปรมาภิไธยหรือไม่ลงได้อย่างไรบ้าง ปัญหาอยู่ตรงนี้ เพราะกฎหมายไม่ได้ระบุไว้โดยตรง แต่ที่ผ่านมาในหลวงก็ไม่เคยตั้งคำถามว่า ยุบสภาฯทำไม ด้วยเหตุใด แต่คิดว่าการยุบสภาฯ ก็ต่างจากการอภัยโทษ เพราะการยุบสภาฯ เป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ มีคณะองคมนตรีคอยกลั่นกรอง

 

"ทักษิณ" ควรได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่?

 

ท้ายที่สุดแล้ว อ.สมคิด กล่าวว่า รัฐบาลต้องเลือกช่องทางที่ดีที่สุด เพราะความชอบธรรมแต่ละวิธีเท่ากัน และถึงอย่างไรแล้วคนก็ค้านอยู่ดี เพราะคนที่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงมีเยอะ แต่ติดที่อดีตนายกฯทักษิณ ถามว่าควรนิรโทษกรรมคุณทักษิณหรือไม่นั้น ผมว่าอยู่ที่จุดยืนทางการเมืองของแต่ละคน ถ้าเฉพาะประชาชนทั่วไป ผมว่าคนส่วนมากก็เห็นด้วย หรือคนส่วนใหญ่ก็อาจจะเอาด้วย ผมถึงบอกว่า รัฐบาลต้องกลับไปคิด ถ้าทำเพื่อคนส่วนมากจริงๆ ทุกฝ่ายเห็นด้วยแน่ๆ แต่พอโยงไปถึงคุณทักษิณ หรือโยงไปถึงสมาชิกบ้านเลขที่ 111 คนก็อาจจะตั้งคำถามได้

 

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดทั้งมวลรัฐบาลต้องเลือกเวลาให้เหมาะสม วันนี้รัฐบาลต้องชี้แจงว่าทำไมจึงเสนอกฎหมายเช่นนั้น เช่นเดียวกับการเสนอร่าง พ.ร.บ.การพนัน เพื่อให้ตั้งกาสิโนได้ ถ้าตรงนี้ไม่ให้คนเข้าถึงข้อมูล รัฐบาลก็จะหมดความชอบธรรม ฉะนั้น รัฐบาลต้องตระหนักในประเด็นนี้ เพราะการบริหารแผ่นดินไม่ใช่เรื่องการปกครองเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการเมืองด้วย

 

//////////

 

ด้าน ดร.สมศักดิ์ ได้โพสต์แสดงความเห็นเรื่อง พ.ร.ฎ.อภัยโทษ อยู่หลายครั้งในวันที่ 16 พ.ย. ผ่านทางเฟซบุ๊กซึ่งมติชนออนไลน์ขออนุญาตนำข้อความบางส่วนมานำเสนอดังนี้


เกี่ยวกับการแก้ พ.ร.ฎ. อภัยโทษ


ผมยังอยากเห็นรายละเอียด แต่ถ้าเป็นไปตามข่าว ผมเองมีข้อไม่เห็นด้วย 2 ข้อ (ที่เคยพูดไปแล้วในแง่วิธีการนี้):


(1) การอภัยโทษนั้น ไม่ได้แปลว่า คนที่ถูกอภัยโทษ "ไม่มีความผิด" ตรงข้าม แปลว่า คนนั้นมีความผิด แต่ได้รับการ "อภัย" ในแง่ของ record (ประวัติ - มติชนออนไลน์) ทางการเมือง คนนั้นจะเป็น convicted criminal (ผู้ทำผิดทางอาญาที่ถูกตัดสินแล้วว่าผิดจริง) ซึ่งผมมองว่า ไม่ถูกต้อง ในกรณีทักษิณ (เพราะกระบวนการที่นำมาซึ่งการตัดสินไม่ถูกต้อง) เป็นการไปยอมรับ ในสิ่งที่ไม่ควรยอมรับ


(2) ข้อนี้ อาจจะสำคัญยิ่งกว่านั้นอีก คือ การแก้กฎหมาย นั้น จะมีผลระยะยาว ที่จะใช้บังคับใช้กับกรณีอื่นๆ ด้วย (ยาเสพติด, คอร์รัปชั่น ฯลฯ) ซึ่ง ผมมองว่า ไม่ถูกต้อง ถ้าการแก้นี้ เพื่อช่วยทักษิณ เป็นการสร้างแบบอย่างที่ไม่ดีทางกฎหมายในกรณีอื่นๆ ที่จะเกิดตามมาทั้งหมด อีกหน่อย ถ้ามีกรณีที่มีคนทำผิดจริงๆ และเข้าข่าย พ.ร.ฎ. ที่ถูกแก้ (อายุเกิน 60 คำตัดสินไม่เกิน 3 ปี และไม่เคยติดคุก เช่นอาจจะหนีไป) ก็สามารถ "หลุด" ได้เช่นกัน


การแก้กฎหมายที่ไม่ใช่กฎหมายที่แย่ในตัวเอง (เช่น วิอาญา, พ.ร.ฎ. อภัยโทษ ฯลฯ) ในลักษณะนี้ เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง


----------


ถ้า (ย้ำ "ถ้า" นะ) เรื่องการแก้ พ.ร.ฎ. อภัยโทษ เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนที่จะช่วยทักษิณให้รับการปล่อยตัว


ผมเสนอว่า ที่จริง สู้รัฐบาล ใช้ "อ๊อพชั่น" (ทางเลือก - มติชนออนไลน์) ที่ออกกฎหมาย "นิรโทษกรรมทั่วไป" (general amnesty) เสียจะดีกว่าอีก เพราะ จะนิรโทษกรรม ปล่อย เสื้อแดงอีกจำนวนมาก ที่ยังอยู่ในคุก รวมทั้งคนที่โดนตัดสินไปแล้ว 20-30 ปี คดีเผาจวนต่างจังหวัด (ซึ่ง เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ รัฐบาลไม่มีมาตรการอะไรจะช่วยเลย) และ อาจจะได้รวมถึงคดี 112 ด้วย (แต่อันหลังสุด ผมว่า ต่อให้มี general amnesty รัฐบาล ก็คงไม่กล้า หรือไม่มีกำลังพอจะทำ แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อย ได้ช่วยพวกเสื้อแดงที่กำลังโดนคดีดังกล่าว)


แน่นอน general amnesty ย่อมหมายถึง ทหาร อภิสิทธิ์ สุเทพ ก็ได้รับการนิรโทษกรรมได้


หลายคนไม่เห็นด้วย แต่ผมอยากให้ลองคิดชั่งน้ำหนักว่า ระหว่าง การออก/แก้ พ.ร.ฎ. อภัยโทษ (ถ้านี่คือการช่วยทักษิณ) ช่วยทักษิณกลับได้คนหนึ่ง แต่คดีเสื้อแดงอีกเป็นร้อย ไม่ได้อะไรเลย


ที่สำคัญ ผมว่า ต่อให้ไม่มี นิรโทษกรรมทั่วไป จริงๆ มีโอกาสหรือ ที่รัฐบาล จะให้มีการ "นำคนผิด/สั่งฆ่า มาลงโทษ" มาขึ้นศาล? ผมว่าไม่มี อันนี้ ผมค่อนข้างมั่นใจเลย ("ปรองดอง")


การนิรโทษกรรมทั่วไป ที่ครอบคลุมทุกฝ่าย ไม่ใช่สิ่งดี (อย่าง 6 ตุลา ก็ใช้วิธีนี้ พวกที่เข้าไปฆ่าคนในธรรมศาสตร์ ก็ได้รับการนิรโทษกรรมด้วย) แต่ถ้ามองแบบ realistic (อย่างเป็นจริง / เป็นไปได้) ล่ะ? และถ้าเทียบกับการแก้ พ.ร.ฎ. อย่างที่มีข่าวว่ากำลังทำ? ที่สำคัญ ที่ผมห่วงอยู่ตลอด คือบรรดาคนเสื้อแดง เป็นร้อย ที่โดนคดี ทั้งในขั้นตอนขึ้นศาล และที่โดนติดคุก ตัดสินเป็น 20-30 ปีไปแล้ว (และถ้ารวมถึงสมยศ พฤกษาเกษมสุข สุรชัย แซ่ด่าน ฯลฯ)?


ที่สำคัญที่ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ส่วนหนึ่ง เพื่อจะ "ฝาก" บอกไปยัง รัฐบาล และคุณทักษิณ ด้วยว่า ถ้าการแก้ พ.ร.ฎ. นี้ เป็นเพื่อช่วยคุณทักษิณกลับ ก็เป็นอะไรที่ไม่ดีมากๆ นอกจากไม่ถูกต้องในแง่หลักการ ที่สำคัญ มองในแง่ของคนเสื้อแดงที่ติดคุก โดนคดีอีกมาก ที่ไม่มีแนวโน้มว่า จะได้รับการช่วยอะไรเลย ผมว่า ก็เป็นเรื่องไม่ดีด้วย


คือ ไหนๆ ถ้าคิดจะทำอะไร ควรคิดถึงเรื่องพวกเสื้อแดงที่ติดคุก หรือโดนคดีกันอยู่ก่อน ไม่ดีหรือ?


----------


เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมทั่วไป สำหรับผู้ไม่ใช่ "แกนนำ" / ผู้บังคับบัญชา ของทุกฝ่าย?


(กระทู้นี้ ผมยังมีความไม่แน่ใจในข้อกฎหมาย อาจจะต้องขอแรงให้นักกฎหมายช่วยตอบในแง่ข้อกฎหมายด้วย)


คือ ถ้าเราจะสรุปแยกแบ่งรายละเอียด ขณะนี้ มีผู้ได้ถูกดำเนินคดี/ตัดสินไปแล้ว ที่เป็นผลมาจากการเมืองหลัง 19 กันยา ดังนี้


(1) ฝ่าย เสื้อแดง นปช. เพื่อไทย
1.1 ทักษิณ
1.2 แกนนำ นปช.
1.3 มวลชนเสื้อแดง ระดับต่างๆ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด (คดีเผาจวนต่างๆ เป็นต้น) ในกรุงเทพฯ เอง ถ้าจำไม่ผิด ก็มีคนที่โดนคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์ หรือคดีอื่นๆด้วย
1.4 ผู้ได้ถูกดำเนินคดี/ตัดสิน กรณี 112 (ดา, สมยศ, สุรชัย, ตี๋, หนุ่ม ฯลฯ)


(2) ฝ่าย พันธมิตร ปชป. ทหาร
2.1 อภิสิทธิ์, สุเทพ, ผบ.เหล่าทัพ ในระหว่างมีการปราบปราม 2552-2553
2.2 แกนนำพันธมิตร (สนธิ, จำลอง ฯลฯ)
2.3 ระดับมวลชน ผู้ปฏิบัติงานพันธมิตร เช่น พวกเข้ายึดสถานี NBT และ พวกเข้ายึดสนามบิน และอื่นๆ


ผมกำลังคิดๆว่า เป็นไปได้หรือไม่ (ถ้าเป็นไปได้ ผมคิดว่า จะดีทีเดียว) ที่จะให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ที่ครอบคลุม 1.3 และ 2.3 และ (ต้องพยายามให้ครอบคลุม) 1.4 ด้วย?


ในแง่การเมือง ผมว่า มีเหตุผลอยู่ ที่จะให้มีกฎหมายในลักษณะนี้ ส่วนที่ไม่คลุมแบบทั้งหมด เป็น general amnesty เลย เพราะมีปัญหาที่ทั้งฝ่ายเสื้อแดงเอง และฝ่ายตรงข้ามเสื้อแดงเอง เท่าที่สังเกตดู ก็ไม่ยอมรับ (ฝ่ายเสื้อแดง คือต้องการให้ ผู้สั่งการ คือ 2.1 และ 2.2 ได้รับการดำเนินคดี ฝ่ายตรงข้าม คือ ต้องการให้ 1.1 และ 1.2 ถูกดำเนินคดี หรือให้คดีที่ตัดสินไปแล้ว คงอยู่)


อย่างข้อเสนอ นิติราษฎร์ ที่หลายคนสนับสนุนนั้น ผมว่า คงต้องมองอย่าง realistic (เป็นจริง / เป็นไปได้) ว่า คงไม่เกิดในระยะเวลาอันสั้น หรือที่มองเห็นในอนาคตข้างหน้า


แต่ความจริงคือ มีคนระดับที่ไม่ใช่แกนนำ และผู้บังคับบัญชา ของทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายเสื้อแดง (1.3) ที่ถูกดำเนินคดี หรือตัดสินลงโทษไปแล้ว จากปัญหาการเมือง ซึ่งคนเหล่านี้ ความจริง มองในแง่ความรับผิดชอบทางการเมือง ก็อยู่ในระดับที่ควรต้องถือว่า ห่างไกลอยู่แล้ว การเล่นงานคนเหล่านี้ ทางกฎหมาย มองในปริบทวงกว้างทั้งหมด ก็ไม่ได้เกิดผลดีแก่สังคมโดยรวม ไม่ว่าจะเชียร์ข้างไหนก็ตาม


ที่ผมไม่สบายใจมาตลอด ทุกวัน ทุกสัปดาห์ เป็นปีมาแล้วคือ คนกลุ่มที่กล่าวถึงนี้ กลับเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด


----------


เรื่องที่เริ่มมีการก่อกระแสต้าน พ.ร.ฎ อภัยโทษ ที่มีข่าวว่าเพื่อช่วยทักษิณนั้น ผมมองเป็นเรื่องธรรมดานะ - ประชาธิปไตย เรามีสิทธิ์ต่อต้านเขา เขาก็มีสิทธิ์ต่อต้านเรา


แต่บอกตรงๆ ว่า ผม งง และขมวดคิ้วมากๆ กับ "การจัดการ" เรื่องนี้ของรัฐบาล


ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องทำในลักษณะเหมือน "ลับๆ ล่อๆ" ซึ่งยิ่งทำให้กลายเป็นเรื่องถูกโจมตี (และที่จริง ก็มีเหตุผลอยู่นะ ที่คนไม่จำเป็นว่าจะต้องแอนตี้ทักษิณ หรือ เหลือง จะรู้สึก "ชอบกล" หรือ ไม่ชอบท่าทีแบบนี้)


คือยังไง เรื่องแบบนี้ ในที่สุด ไม่มีทาง "ปิดลับ" ได้อยู่แล้ว แทนที่จะทำแบบนี้ สู้ทำแบบเปิดเผยตรงไปตรงมาดีกว่า ถ้าจะทำนะ (แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการทำ ดังที่เขียนในกระทู้เมื่อเช้า แต่นี่ หมายถึงว่า ถ้าจะทำจริงๆ)


โดยเฉพาะ ประเด็นที่ผมไม่เข้าใจมากๆ คือ การที่ดูเหมือนจะมีการพยายาม "กัน" คุณยิ่งลักษณ์ ออกไปน่ะ คือ นอกจากดู "ไม่เนียน" แล้ว ผมมองไม่เห็นว่า จะเป็นผลดีต่อคุณยิ่งลักษณ์ยังไงเลย เพราะยังไง คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ เรื่องแบบนี้ ถ้าเกิดขึ้น ต้องถือเป็นความรับผิดชอบอยู่แล้ว ยิ่งไปพยายาม "กัน" (แบบที่ดูเหมือน "ไม่เนียน" นี้) ยิ่งทำให้ ภาพลักษณ์คุณยิ่งลักษณ์ แย่ลงไปอีกนะ ผมว่า
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #570 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 09:58:48 »

เลขาฯครม.ตอบ"ไม่ทราบ"อย่างเดียว เรื่องพ.ร.ฎ.อภัยโทษ บอก"รักในหลวงก็เงียบไว้"

วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 มติชนออนไลน์


เมื่อเวลา 11.45 น. นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี( ครม.) กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานข่าวระบุการประชุม ครม.วาระจรลับเพื่อออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ว่า "ผมไม่ทราบ"

 เมื่อถามว่า โดยปกติต้องการมีการขอออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษทุกวันที่ 5 ธ.ค. ของทุกปีอยู่แล้วใช่หรือไม่ นายอำพนกล่าวว่า “ก็ควรเป็นอย่างนั้นกระมัง” เมื่อถามย้ำว่า ที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนนั้นเป็นเพียงการหารือถึงเรื่องดังกล่าว หรือว่า ครม.ได้มีมติออกมาแล้ว นายอำพนกล่าวว่า “ไม่ทราบ” เมื่อถามย้ำว่า จำเป็นต้องแถลงข่าวเรื่องนี้ให้ชัดเจนหรือไม่ นายอำพนกล่าวว่า “ไม่ทราบ” เมื่อถามว่า แต่เรื่องนี้ถูกวิจารณ์อย่างมากจนอาจกลายเป็นอีกประเด็นหนึ่งไปแล้ว นายอำพนกล่าวว่า “รักพระเจ้าอยู่หัวก็เงียบไว้”

เมื่อถามว่า แต่ความจริงเรื่องในลักษณะนี้ก็น่าจะเผยแพร่ได้มิใช่หรือ นายอำพนกล่าวว่า “ ไม่ทราบ” ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงเรื่องดังกล่าวหรือไม่ นายอำพนกล่าวว่า “ไม่ทราบท่านนายกฯ แต่วันนี้คุยกันเรื่องการประเมินให้ชัดเจน เรื่องของโครงสร้างที่มีอยู่ และเรื่องระบบการใช้งาน ตามที่มีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศเนเธอร์แลนด์ และจากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และไจก้าของญี่ปุ่น ร่วมกับ กยอ.”

 เมื่อถามว่า รัฐบาลชุดก่อนก็ระบุว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องประชุมในวาระลับ แต่สามารถทำโดยเปิดเผยได้ นายอำพนกล่าวว่า “ถ้าเขามีข้อมูลก็ไปตรวจสอบก็แล้วกัน”

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #571 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 20:58:59 »

พรฏ.อภัยโทษเรียกแขก...ฟื้นพธม.

    17 พฤศจิกายน 2554 posttoday.com

ทุ่มหมดหน้าตักกับภารกิจพา “ทักษิณ” กลับบ้าน !!!

ไพ่ใบสุดท้ายอย่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ที่รัฐบาลตัดสินใจเข็นออกมาท่ามกลางวิกฤตน้ำท่วม แม้รู้ทั้งรู้ว่าจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งระลอกใหม่ แต่ดันไปสอดรับกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยขีดเส้นว่าจะกลับมาช่วงเดือน ธ.ค. เพื่อร่วมงานแต่งงานลูกสาว

ทุกอย่างเหมือนเป็นหมากที่วางแผนมาหลายตลบ เตรียมการมาเป็นอย่างดีเพื่อปูทางไปสู่เป้าหมายสูงสุด แม้จะต้องยอมเสี่ยงกับเสียงต้านเสียงค้านทั้งจากมวลชนและอำนาจนอกระบบ

แม้จะยังปกปิดเป็นความลับ แต่ข้อมูลที่หลุดออกมาพบว่าเนื้อหาใน พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ถูกล็อกสเปกให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งเรื่องอายุเกิน 60 ปี โทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน โดยเฉพาะการตัดถ้อยความข้อยกเว้นเรื่องโทษที่เกี่ยวกับยาเสพติดและคอร์รัปชันออกไป

เพื่อลดแรงเสียดทานที่จะส่งตรงไปถึง“ยิ่งลักษณ์” ในฐานะน้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณการจัดฉากที่ดูไม่แนบเนียนจึงเกิดขึ้น ทั้งวาง “ยิ่งลักษณ์” ไปติดภารกิจที่ จ.สิงห์บุรี ไม่สามารถกลับมานั่งหัวโต๊ะประชุม ครม. ส่งไม้ให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี รับภารกิจหินครั้งนี้

ทว่าข้อมูลที่ตามมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางเทคนิคของเฮลิคอปเตอร์ที่ว่ากันว่าเป็นเหตุให้นายกฯ ต้องนอนค้างสิงห์บุรี ไปจนถึงเรื่องที่การตัดสินใจไปบันทึกเทปแทนการเข้าประชุม ครม.ที่ยังพอมีเวลาหลังจากกลับมาถึง กทม. ล้วนแต่ตอกย้ำถึงความผิดปกติ

ต้องยอมรับว่าตั้งแต่รัฐบาลเข้าทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง อาการลุกลี้ลุกลนเดินหน้าพา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศ เหมือนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลทุ่มสุดตัวพยายามผลักดันให้เป็นรูปเป็นร่างด้วยวิธีการต่างๆ

ไล่มาตั้งแต่การปัดฝุ่นหยิบเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ของกลุ่มเสื้อแดงกว่า 3 ล้านรายชื่อ ที่ถูกดองไว้นานในช่วงรัฐบาลประชาธิปัตย์ขึ้นมาพิจารณาเร่งด่วน แต่สุดท้ายก็ต้องชะงักไปเมื่อติดเงื่อนไขสำคัญ ด้วยการไม่เคยรับโทษมาก่อนและกำลังหลบหนีคดี

ถัดมาที่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือการเสนอแก้ไข รัฐธรรมนูญที่กำลังเดินหน้าไปตามกระบวนการ แต่ทว่าหากเป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่างดูจะกินเวลาข้ามปี โดยเฉพาะในวันที่คนทั้งชาติกำลังให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูประเทศหลังน้ำลด

ยังไม่รวมกับกระแสข้อเสนอจากหลายฝ่าย อาทิ คณะนิติราษฎร์ที่เรียกร้องให้ล้มเลิกคำพิพากษาของศาลฎีกา ย้อนเหตุการณ์กลับไปก่อนปฏิวัติที่มีเสียงวิจารณ์คัดค้านตามมา

แต่แนวทางต่างๆ กว่าจะทำได้ก็ช้ามาก ต้องใช้ทางด่วนอย่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ซึ่งเป็นความเสี่ยงสูงสุดที่รัฐบาลยอมแลก !!!

ล่าสุด โจทก์เก่าอย่าง “เสื้อเหลือง” พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประกาศจองกฐินพร้อมออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านเรื่องนี้แบบเต็มตัว

ชัดเจนตามแถลงการณ์ฉบับที่ 7/2554 “รำลึก 3 ปีวีรชน 193 วัน กับก้าวต่อไปของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ซึ่งประกาศในวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่าจะเคลื่อนมวลชนออกมาชุมนุมทันทีเมื่อมีการตรากฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ

ทว่า พลังความเข้มแข็งที่เคยปักหลักชุมนุมยืดเยื้อขับไล่รัฐบาลทักษิณในวันนั้น ยังเป็นที่กังขาว่าจะกลับมาเหนียวแน่นดังเดิมได้หรือไม่ โดยเฉพาะหลังจากเกิดความแตกแยกภายในอย่างรุนแรงหลังจากออกมาตั้งพรรคการเมืองเต็มตัว

แต่ล่าสุดสัญญาณจาก สนธิ ลิ้มทองกุลหัวขบวนเสื้อเหลืองที่ออกมาประกาศชัดเจนว่าจะไม่นิ่งเฉยต่อเรื่องนี้ และกำลังจะพิจารณาเนื้อหาสาระของ พ.ร.ฎ.นี้อย่างรอบคอบ และจะประชุมกันเพื่อกำหนดท่าทีโดยเร็วที่สุด

“เราจะไม่อยู่เฉย เพราะการกระทำเช่นนี้เป็นการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ และถือเป็นการกดดันสถาบันเบื้องสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะเราก็พูดมานานแล้วว่าถ้าไม่ละเมิดสถาบันหรือช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ เราก็จะอยู่เฉยๆ แต่การทำอย่างนี้ถือเป็นการท้าทายประชาชน รวมถึงกลุ่มพันธมิตรฯ ที่รักความเป็นธรรม และรักพระเจ้าอยู่หัวทั้งประเทศ ผมเตือนว่าพรรคเพื่อไทยต้องยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายหลัง พวกเราจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่นอน”

ตามมาด้วยกลุ่ม 40 สว. ที่ออกมาเคลื่อนไหวชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการออก พ.ร.ฎ.นี้ รวมไปถึงเครือข่ายภาคประชาชน อย่างเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบันล่าชื่อยื่นฎีกาถวายคัดค้าน ครม. ออก พ.ร.ฎ. ซึ่งมีประชาชนกว่า 200 คน เข้าร่วมรับฟัง และลงชื่อร่วมถวายฎีกา

พ.ร.ฎ.ฉบับนี้ จึงกลายเป็นการ “เรียกแขก” ดึงให้คู่ขัดแย้งจากระบอบทักษิณในอดีตที่กระจัดกระจายไปนาน ให้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

มิพักต้องพูดไปถึงการปฏิวัติรัฐประหารที่หลายฝ่ายพยายามออกมาตีกัน แม้ในข้อเท็จจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่อำนาจนอกระบบจะอาศัยความไม่ปกติของสังคมเข้ามารีเซตระบบอย่างที่เคยทำๆ เมื่อบทเรียนความบอบช้ำในอดีตยังตามหลอกหลอนจนถึงวันนี้

ลำพังเสียงของเพื่อไทยในสภาก็ท่วมท้นเกินกว่าที่จะเกิด “งูเห่าภาค 3” หรือการที่กองทัพเข้ามามีอำนาจช่วยพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาลได้ในสถานการณ์เช่นนี้

ารฟื้นคืนของพันธมิตรฯ และมวลชนกลุ่มใหม่ที่จะออกมาคัดค้าน พ.ร.ฎ.ฉบับนี้ จึงจะเป็นแรงเสียดทานที่รัฐบาลกำลังจะต้องเผชิญ และซ้ำเติมให้การบริหารที่กระท่อนกระแท่นอยู่แล้ว ให้เลวร้ายหนักขึ้นเรื่อยๆ
 


 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #572 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 21:03:28 »

อภัยโทษ ทักษิณ เผาเศรษฐกิจเละเป็นจุล

    17 พฤศจิกายน 2554 เ
วาระลับของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.)

โดย...ทีมข่าวการเงิน

วาระลับของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2555 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ประเด็นร้อนแต่ในด้านการเมืองเรื่อง “ทักษิณ ชินวัตร” ภายใต้แรงผลักของพรรคเพื่อไทย จนอาจทำให้เกิดความขัดแย้งจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองรอบใหม่เท่านั้น

รังสีของผลกระทบจากการอภัยโทษยังลามไปถึงเศรษฐกิจไทยที่ตกอยู่ในอาการโคม่าจากน้ำท่วมและเศรษฐกิจโลก อาการหนักอาจเอาชีวิตไม่อยู่ ตายสนิททั้งพิษนอกพิษใน และยังต้องมาเจอมรสุมการเมืองรอบใหม่อีกแบบไม่ควรเจอ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ สำหรับนักการเงิน นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ เมื่อได้ยินข่าว “ครม.ยิ่งลักษณ์ ยิ่งเหลิม” ลักไก่เห็นชอบร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ถึงกับกุมขมับ

หลายคนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อทำใจกับความเสี่ยงและหายนะทางเศรษฐกิจรอบใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามาในเวลาอันใกล้นี้

นักธุรกิจ นักการเงินทุกคนต่างฟันธงลงไปคล้ายคลึงกันว่า หากการเกิดจลาจลกลางเมืองหลวงรอบใหม่ เศรษฐกิจไทยต้องตายสนิท นอนจมก้นเหว หาทางฟื้นไม่เจอแน่

เพราะเศรษฐกิจไทยครั้งนี้อ่อนแอ่เปราะบาง อมโรค ไม่ได้แข็งแรงเหมือนตอนเกิดจลาจลม็อบเสื้อเหลือง เสื้อแดง ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา

ที่ถึงตอนนี้ทุกคนไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำอันเลวร้ายที่เกิดขึ้นในประเทศนี้

หากย้อนกลับไปสมัยม็อบเสื้อเหลืองขับไล่ รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี จนต่อเนื่องมาถึงขับไล่ รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2551 จนถึงขั้นมีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง

การปิดสนามบินของม็อบเสื้อเหลืองเป็นเหมือนการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวของไทยช่วงไฮซีซันพังยับเยิน การส่งออกเป็นอัมพาต ทำให้เศรษฐกิจสะดุดเสียหายยับ

โชคดีที่เศรษฐกิจไทยช่วงนั้นยังไม่อ่อนแอมาก พื้นฐานแข็งแรง ปัจจัยภายนอกไม่มีกัดกร่อน ปัจจัยลบภายในก็มีเรื่องการเมืองที่ไม่สงบและยืดเยื้อ

แต่พอหักกลบลบหนี้ต้องถือว่าเศรษฐกิจได้รับผลกระทบสาหัส เศรษฐกิจไตรมาส 4 ของปี 2551 ที่เดิมว่าจะขยายตัวติดลบถึง 4.3% จากเดิมที่ 3 ไตรมาสแรกขยายตัวเฉลี่ยได้ถึง 5% ทำให้ทั้งปีเศรษฐกิจขยายตัวได้ 2.6% ชะลอตัวลงมากเมื่อเทียบกับการขยายตัวปี 2550 ที่ 4.9%

หลังจากนั้น ปี 2552 และปี 2553 รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เศรษฐกิจไทยโดนม็อบเสื้อแดงพ่นพิษลากยาวต่อจากม็อบเสื้อเหลือง จนแทบจะเรียกได้ว่าเกิดสงครามการเมืองถึง 2 ปีติด กระทบเศรษฐกิจบอบช้ำหนัก การขยายตัวเศรษฐกิจในปี 2552 ติดลบ 2.3% สาเหตุปัญหาการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจโลก

ขณะที่การขยายตัวเศรษฐกิจปี 2553 ขยายตัวได้ 7.8% แม้ว่าจะมีปัญหาม็อบเสื้อแดงเผาเมือง แต่โชคดีเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว การส่งออกขยายตัวดี การท่องเที่ยวขยายตัวเพิ่มเป็นปกติ รวมทั้งรายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้น โดยอัตราการว่างงานอยู่ในอัตราที่ต่ำ และการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจากการทำงบประมาณขาดดุล 34 แสนล้านบาท และยังมีการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 4 แสนล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการลงทุนกระจายรายได้อีกทางหนึ่งด้วย

จะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาช่วงปี 2551-2553 ถึงแม้มีปัญหาการเมือง ก็ยังโชคดีว่าพื้นฐานดี ความเสี่ยงต่างประเทศไม่รุนแรง และมีการระดมกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจยังยืนอยู่ได้ไม่ยาก แม้ว่าจะลงเหวติดลบ แต่ก็สามารถปีนกลับมาขยายได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

แต่สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2554 เทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมา ต่างกันราวฟ้ากับดิน

ปัจจัยภายนอกจากต่างประเทศกระทบหนักเพราะอยู่ในห้วงระส่ำ ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวไม่ชัดเจน หนี้ยุโรปที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ทำให้กระทรวงการคลังประเมินว่ากระทบการขยายตัวของไทย 0.2% ซึ่งหากปัญหาลุกลามมากขึ้นก็ย่อมส่งผลกระทบกับไทยมากขึ้น

ขณะที่ในประเทศยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่หลายคนพอจะจินตนาการได้

ฤทธานุภาพของน้ำท่วมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ลากยาวหลายเดือน จมนิคมอุตสาหกรรมไป 7 แห่ง บ้านเรือนจมอยู่ใต้น้ำนับไม่ถ้วน น้ำท่วมขังมาแล้ว 12 เดือน และยังไม่มีท่าทีจะแห้งภายใน 12 สัปดาห์ตามที่รัฐบาลคุยไว้

ทั้งหลายทั้งปวงมีการคาดกันว่าน้ำท่วมทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวหายไป 2% เป็นอย่างน้อย ย้ำว่าเป็นอย่างน้อย

เมื่อรวมกับผลกระทบเศรษฐกิจต่างประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 45% เหลือแค่ 1.82.6% เท่านั้น

เรียกว่าหายไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

ยังมีการประเมินกันว่าผลกระทบน้ำท่วม
จะลามไปถึงปี 2555 ให้ล้มระเนระนาด

หากรัฐบาลมีแผนฟื้นฟูไม่ดี จะทำให้การขยายตัวเดี้ยงไม่เป็นไปตามแผนที่รัฐบาลประมาณไว้ว่าจะขยายตัวได้ 45% เพราะตอนนี้ความมั่นใจทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคอุตสาหกรรมมีปัญหาหนักในเรื่องของความไม่เชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาล

ที่ผ่านมาบริษัทประกันภัยไม่ยอมต่อประกันให้ผู้ประกอบการ ทำให้มีการคิดย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น เป็นลางร้ายซ้ำเติมการลงทุนการส่งออกเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจไทย

ยิ่งล่าสุดมีมรสุมการเมืองรอบใหม่ในเรื่อง “อภัยโทษให้กับนายทักษิณ” เข้ามาสุมไฟเศรษฐกิจไทย ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่มีเวลาหายใจ

เพราะแทนที่รัฐบาลจะมีเวลาไปฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับความเสียหายยับเยินให้กลับมาเหมือนเดิมไวที่สุด ก็ต้องมานั่งแก้ต่างดับไฟร้อนการเมืองที่ดูแล้วยิ่งแก้ยิ่งติดใจ

เศรษฐกิจก็ยิ่งอึดอัดอมทุกข์ อมไข้ เหมือนเป็นฝีหัวช้าง รอวันหนองแตก

ที่ผ่านมาไม่มีปัญหาเรื่องกฎหมายอภัยโทษ รัฐบาลก็แก้ปัญหาน้ำท่วมได้แย่ ขาดประสิทธิภาพ มีปัญหาเรื่องความโปร่งใส ยังมีคนโดยเฉพาะใน กทม.ยังอยู่ในน้ำเน่า ขณะที่แผนฟื้นฟูหลังน้ำท่วมก็ยังไม่มีอะไรเป็นรูปเป็นร่าง

นอกจากการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเป็นไม้ค้ำยันรัฐบาลเท่านั้น

จะเห็นว่าแค่ร่างกฎหมายอภัยโทษหลุดมาแค่วันสองวัน ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านแทนที่จะได้เดินหน้าปรองดองช่วยกันดึงเศรษฐกิจให้พ้นจากจมน้ำเน่า กลายเป็นว่าฝ่ายค้านต้องนั่งตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลที่ออกกฎหมายอภัยโทษ

ขณะที่รัฐบาลก็ต้องหาทางหนีทีไล่ เอาตัวรอดจากการออกกฎหมายแบบหลบๆ ซ่อนๆ ไปวันๆ

สุดท้ายเศรษฐกิจก็เคว้ง เพราะทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านต้องมางัดข้อสู้กันกับความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่ ที่ทำท่าลุกลามขยายวงกว้างเร็วขึ้น เพราะมีมวลชนไม่พอใจรัฐบาลที่แอบช่วยนายใหญ่ ซึ่งอ่อนไหวต่อการเป็นสงครามการเมืองกลางเมืองรอบใหม่

กรณีที่เลวร้ายมากสุด หากเกิดวุ่นวายเหมือน 3 ปีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ เศรษฐกิจไทยปีนี้โตต่ำกว่า 2.6% ที่ประเมินไว้อย่างแน่นอน ส่วนปีหน้าก็ประเมินแทบไม่ได้ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร เพราะความขัดแย้งรุนแรงเพิ่มขึ้นตลอด จากปิดสนามบิน มาปิดเมืองเผารถเมล์ มาถึงปิดเมืองเผาบ้าน ยิงกัน ไม่ต่างอะไรกับสงครามกลางเมือง

ผู้ที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจประเมินว่า หากมีความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่จะใหญ่กว่า แรงกว่า และเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจังหวะที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง ปัญหารุมเร้า หากมีปัญหาการเมืองรุนแรงเข้ามาเพิ่ม ก็ถึงเวลาเศรษฐกิจไทยหมดอนาคต

หากวันนี้รัฐบาลยังเดินหน้าทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของคนคนเดียว โดยไม่คำนึงภาพรวมของสังคมและเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจไทยก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเอาไม่อยู่ 

 


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #573 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 21:05:54 »

ประธานสภาอุตฯ หางโผล่ หนุนพา “ทักษิณ” กลับบ้าน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
ASTVผู้จัดการรายวัน - ประธาน ส.อ.ท.เปิดเผยตัวตนหนุนรัฐบาลออก พ.ร.ฎ. พา “ทักษิณ” กลับบ้าน อ้างรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งต้องเคารพประชาธิปไตย แต่พอถามจุดยืนต้านคอร์รัปชันกลับอ้ำอึ้ง อ้างไม่รู้รายละเอียด พ.ร.ฎ.
       

       นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีการพิจารณาวาระลับการออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) อภัยโทษ ซึ่งมีเนื้อหาที่เป็นคุณต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ไม่ต้องการเห็นประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องความขัดแย้ง เพราะกรณีนี้มีทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายค้าน แต่ไทยได้ผ่านจุดการเลือกตั้งมาแล้วคงจะต้องเคารพฟังเสียงคนส่วนใหญ่
       
       “มันมีทั้งการคัดค้านและสนับสนุน แต่ขณะนี้เรามีการเลือกตั้งแล้วก็ต้องเคารพเสียงคนส่วนใหญ่ที่เลือกมา 15 ล้านเสียง เอกชนเป็นห่วงหากขัดแย้งเพราะไม่เกิดประโยชน์ ปัญหาการเมืองเรามันฝังรากลึกมายาวนานแล้วจะต้องหาทางแก้ไข ควรเดินไปข้างหน้าได้แล้ว” นายพยุงศักดิ์กล่าว
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า ระหว่างนั้นผู้สื่อข่าวได้ถามกลับว่า การกระทำของรัฐบาลในช่วงภาวะน้ำท่วมควรที่จะทบทวนหรือไม่ นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า เราเองไม่อยากพูดประเด็นการเมือง แต่รัฐบาลเองสามารถที่จะทำเรื่องต่างๆ ได้เหมือนที่เราต้องทานข้าว แล้วหยุดทานได้หรือไม่ เหมือนกับที่รัฐบาลเองก็สามารถที่จะพิจารณาเรื่องต่างๆ ที่ต้องดูแลภาพรวมทั้งสังคม เศรษฐกิจ
       
       อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่เนื้อหา พ.ร.ฎ.เป็นการส่งสัญญาณว่าการคอร์รัปชันจะเป็นเรื่องปกตินั้นมองเรื่องนี้อย่างไร นายพยุงศักดิ์ ระบุว่า ไม่รู้รายละเอียดของเนื้อหา
       
       ส่วนประเด็นที่ ส.อ.ท.ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคีเครือข่ายต่อต้านการคอร์รัปชันจะมีการพิจารณาปัญหาการทุจริตของรัฐบาลโดยเฉพาะกรณีถุงยังชีพหรือไม่นั้น เห็นว่า มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอื่นๆ อยู่แล้ว
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #574 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 21:08:36 »

คณาจารย์ 7 ม.ดัง เข้าชื่อค้าน พ.ร.ฎ.อภัยโทษ-ชี้จุดชวนขัดแย้งซ้ำเติมวิกฤต    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
   
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้ยังหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ เป้าหมายหลักในการออกพระราชกฤษฎีกาพระราขทานอภัยโทษของรัฐบาลชุดนี้

      
คณาจารย์ 7 มหาวิทยาลัย เข้าชื่อออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลทบทวน พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ระบุประชาชนกำลังทุกข์ยากจากอุทกภัย แต่รัฐบาลกลับประชุมลับออก พ.ร.ฎ.แบบปิดบังซ่อนเร้น ส่อเจตนาช่วย “ทักษิณ” นำสู่ความแตกแยกขัดแย้ง ซ้ำเติมภาวะวิกฤต จี้เปิดเผยรายละเอียดร่าง พ.ร.ฎ.พร้อมแจ้งเหตุผลโดยเร็ว
       

       
      วันที่ 17 พ.ย. คณาจารย์จากมหาวิทยาลัย 7 แห่ง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงการณ์ จำนวน 88 คน ได้ลงนามในแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ตามที่ ครม.ได้ประชุมลับเพื่อพิจารณาเมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยรายละเอียดของแถลงการณ์ มีดังนี้
       

       เรียกร้องรัฐบาลให้ยุติการสร้างเงื่อนไขที่อาจนำไปสู่ความแตกแยกในสังคม ใช้อำนาจรัฐให้สอดคล้องกับหลักนิติธรรม เป็นไปตามหลักสุจริตอย่างเปิดเผยโปร่งใสและเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนโดยรวม
       
       ในขณะที่สังคมไทยกำลังเผชิญกับมหาอุทกภัยครั้งสำคัญที่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สินของประชาชนนับล้านๆ ครัวเรือน ท่ามกลางความทุกข์ยากของผู้คนที่ต้องต่อสู้กับชะตากรรมอันสืบเนื่องมาจากภัยธรรมชาติและการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดของฝ่ายรัฐ แทนที่รัฐบาลจะต้องระดมสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือเยียวยาความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน รัฐบาลภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับฉกฉวยโอกาสในภาวะวิกฤตมหาอุทกภัยดังกล่าวอาศัยการประชุมลับของคณะรัฐมนตรีออกพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษโดยมีความมุ่งหมายเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อันเป็นการกระทำที่เป็นการลุแก่อำนาจที่มีลักษณะเป็นการปิดปังซ่อนเร้น หากสภาพการณ์ยังคงดำเนินไปเช่นนี้กรณีนี้อาจจะนำไปสู่การสร้างความแตกแยกซ้ำเติมวิกฤตจากมหาอุทกภัยที่กำลังเผชิญอยู่ เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำเติมสังคมมากกว่าที่เป็นอยู่ คณาจารย์ดังมีรายนามข้างท้ายนี้ ขอเรียกร้องและคำชี้แจงจากทางรัฐบาล ดังนี้
       
       ๑. ให้รัฐบาลทบทวนการดำเนินการใดๆที่เกี่ยวกับการออกพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายหรือไม่สอดคล้องกับ “นิติประเพณี” ที่ได้กระทำมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขหลักเกณฑ์เพื่อให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งซึ่งไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับอภัยโทษตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายหรือ “นิติประเพณี” ที่ได้กระทำกันมา
       
        ๒. การเสนอเรื่องร่างพระราชกฤษีกาอัยโทษในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ หรือไม่
       
        ๓. เพื่อให้กระบวนการตรากฎหมายที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนเป็นไปโดยเปิดเผยและโปร่งใส ให้รัฐบาลนำร่างพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษเปิดเผยต่อสาธารณชนโดยเร็ว เพื่อให้สาธารณชนได้แสดงความคิดเห็นต่อร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวว่าสอดคล้องกับกฎหมายหรือ “นิติประเพณี” หรือไม่เพียงใด
       
        ๔. ขอให้รัฐบาลชี้แจงเหตุผลในการตัดหลักเกณฑ์ของผู้อยู่ในข่ายที่จะได้รับการอภัยโทษตามร่างพระราชกฤษฎีกาโดยเฉพาะในประเด็น ดังต่อไปนี้
       
        ก. ผู้ที่จะได้รับการอภัยโทษไม่จะต้องเป็นผู้ที่ถูกกักขังหรือมีตัวอยู่ในการควบคุมของทางราชการหรือไม่
       
        ข. การอภัยโทษครอบคลุมคดีเกี่ยวกับยาเสพติดหรือคดีทุจริตหรือไม่ และ
       
        ค. หลักเกณฑ์ของผู้ที่จะได้รับการอภัยโทษจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๖๐ ปี และจะต้องประกอบด้วยเงื่อนไขอื่นอีกหรือไม่เพียงใด
       
        คณาจารย์ดังมีรายนามข้างท้ายขอเรียกร้องให้รัฐบาลใช้อำนาจรัฐให้สอดคล้องกับหลักนิติธรรม กระทำการอย่างตรงไปตรงมาตามหลักสุจริตและเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม หากรัฐบาลยังมีพฤติการณ์ใช้อำนาจที่ไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม ไม่เปิดเผย ไม่โปร่งใส กระทำการเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ รัฐบาลจะต้องพร้อมรับกับสถานการณ์ที่อาจจะนำไปสู่ความแตกแยกในสังคมท่ามกลางวิกฤตมหาอุทกภัยที่สังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
     
       รายชื่อคณะอาจารย์ที่คัดค้าน พ.ร.ฎ.ขออภัยโทษ
       

       มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
       1. รศ.ดร.ชยาพร วัฒนศิริ
       2. ดร.ชำนาญ วัฒนศิริ
       3. รศ.สุปราณี อัทธเวรี
       4. ดร.สมสิริ รุ่งอมรรัตน์
       5. ดร.จรูญ รุ่งอมรรัตน์
       6. ดร.สรรเสริญ จำปาทอง
       7. ดร.ชะบา จำปาทอง
       8. ดร.ร่มเย็น โกไศยกานนท์
       9. อ.ทรงสรรค์ อุดมศิลป์
       10. ดร.พลวัต ประพัฒน์ทอง
       11. รศ.ดร.วาริณี เอี่ยวสวัสกุล
       12. รศ.ดร.มุกดา หนุ่ยศรี
       13. รศ.ดร.ศรีนวล โอสถเสถียร
       14. รศ.พ.ต.อ.หญิง ดวงกมล ปิ่นเฉลียว
       15. ผศ.ดร.อารี ชีวเกษมสุข
       16. ดร.ชื่นจิตร โพธิศัพท์สุข
       17. ดร.เรณุการ์ ทองคำรอด
       18. อ.สุพัตรา มะปรางหวาน
       19. อ.วณิภา ทับเที่ยง
       20. รศ.ดร.จุฑา มนัสไพบูลย์
       21. ผศ.ศุภสิน สุริยะ
       22. ผศ.ดร.บุษบา สิทธิการ
       23. ผศ.ดร.แสงจันทร์ กันตะบุตร
       24. อ. ดร.ปิยธิดา เพียรลุประสิทธิ์
       25. อ. ดร.ณัฐพรพรรณ อุตมา
       26. อ. ดร.ฉัตรฤดี จองสุรียภาส
       27. อ. ดร.ชัชชญา ยอดสุวรรณ
       28. อ. ดร.ธนสิน ถนอมพงษ์พันธ์
       29. ดร.ภูมิพัฒน์ มิ่งมาลัยรักษ์
       30. อ. ร.อ.กำจัด เล่ห์มงคล
       31. อ.วิยะดา เสรีวิชยสวัสดิ์
       32. อ.วราพงษ์ กาญจนาภา
       33. อ.ชัยวัฒน์ ทองอินทร์
       34. อ.รัชฎาภรณ์ พุฒจร
       35. อ.สุจิตราภา พันธ์วิไล
       36. อ.เดชอนันต์ บังกิโล
       37. อ.สุดศิริ รุ่งเรือง
       38. อ.ตุลยา ตุลาดิลก
       39. อ.นรเศรษฐ์ พลศิลปะ
       40. อ.ณัฎฐิรา หอพิบูลสุข
       41. อ.อิสรี แพทย์เจริญ
       42. อ.เอกกวีร์ วินิจเขตคำณวน
       43. อ.รตนพร เพ็ญพิมล
       44. อ.ณัฐภรณ์ ภูริปัญญวานิช
       45. อ.อรวรรณ จำพุฒ
       46. อ.สุเทพ นิ่มสาย
       47. อ.พินทุสร อ่อนเปี่ยม
       48. อ.ประสพศิริ ประเทศรัตน์
       49. อ.พรพิมล ไชยสนิท
       50. อ.ภัทรพร กัลยา
       51. อ.พรวศิน ศิริสวัสดิ์
       52. อ.นัดดากร นิมิตรุ่งทวี
       53. อ.ณรัฐ หัสชู
       54. อ.ธิดารัตน์ บัวดาบทิพย์
       55. รศ.ดร.วัฒนา สุวรรณแสง จั่นเจริญ
       56. ดร.สุรพันธ์ จั่นเจริญ
       
       มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
       1. รศ.ดร.อัจฉรา จิตตลดากร
       2. รศ.ดร.ดุสิต เวชกิจ
       3. รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คงสม
       4. รศ.ดร.อัจฉรา โพธิ์ดี
       5. รศ.ดร.สัจจา บรรจงศิริ
       6. ผศ.ดร.มณฑิชา พุทชาคำ
       7. ผศ.จิตติมา กันตนามัลลกุล
       8. รศ.ส่งเสริม หอมกลิ่น
       9. อ.คณธิศ มุงจองกลางกุล
       10. อ.ปิลันธนา แป้นปลื้ม
       11. อ.อิงอร ไชยเยศ
       12. อ.ปริชาติ ดิษฐกิจ
       13. อ.สิริลักษณ์ นามวงศ์
       14. รศ.ดร.วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ
       15. รศ.ดร.จีระ ประทีป
       16. ผศ.ทวี สุรฤทธิ์กุล
       17.อ.คมสันต์ โพธิ์คง
       
       มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       1. รศ.ดร.วิจิตรา ฟุ้งลัดดา วิเชียรชม
       2. รศ.ดร.สุรศักดิ์ มณีศร
       3. ผศ.ดร.นนทวัชร์ นวตระกูลพิสุทธิ์
       4. รศ.ดร.โกวิทย์ พวงงาม
       
       มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
       1. อ.จุมพล ชื่นจิตรศิริ
       
       มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ
       1. ดร.สุวิมล เฮงพัฒนา
       
       สถาบันบัณพิตพัฒนบริหารศาสตร์
       1. รศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน
       2. รศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ
       3. ผศ.ดร.นวลนดา สงวนวงษ์ทอง
       4. ผศ.ดร.สมบัติ กุสุมาวลี
       5. ผศ.ดร.วิวรรณ เอื้อพันธ์วิริยะกุล
       6. ผศ.ดร. อนันต์ วัฒนกุลจรัส
       7. รศ.ดร.จิรประภา อัครบวร
       
       จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
       1.ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 21 22 [23] 24 25 ... 33  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><