23 พฤศจิกายน 2567, 08:45:06
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 33  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน  (อ่าน 329685 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #475 เมื่อ: 28 สิงหาคม 2554, 13:15:36 »

เปิดตัว'บัณฑูร'เลขายิ่งลักษณ์เพื่อนสนิท'ทักษิณ'
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


เปิดตัว'บัณฑูร สุภัควณิช'เลขาธิการนายกฯมาจากกาฬสินธุ์ แต่เพื่อนสนิท'ทักษิณ'ตั้งแต่สมัยเรียนม.อีสเทิร์นเคนทักกี


 หากจะไปเที่ยว "กาฬสินธุ์" นักเดินทางรุ่นใหม่ๆ อาจคุ้นเคยกับไดโนเสาร์ภูขุมข้าว แต่คนรุ่นเก่า คงไม่พลาด จะต้องเข้าพักที่ "สุภัคโฮเต็ล" บริเวณวงเวียนน้ำพุ ใกล้จวนผู้ว่าราชการจังหวัด


 สุภัคโฮเต็ล เป็นโรงแรมแห่งแรกในจังหวัดกาฬสินธุ์ แต่น้อยคนนักจะทราบว่าเป็นธุรกิจในกงสีของตระกูล "สุภัควณิช"


 แม้สุภัคโฮเต็ล จะเป็นโรงแรมขนาดเล็ก แต่ก็มีความคลาสสิกในแง่ของความสัมพันธ์เชิงอำนาจของ "กลุ่มทุนจีนภูธร" กับ "รัฐส่วนกลาง" ที่ประจำท้องถิ่น เนื่องจากที่โรงแรมแห่งนี้ มีสโมสรสำเริงสำราญใจให้แก่บรรดาข้าราชการทุกแขนง
 มันคือภาพจำลองการเมืองระดับชาติที่ย่อส่วนอยู่ในจังหวัดเล็กๆ และภาพนั้น เด็กชายคนหนึ่งได้รับรู้เรื่องราวมาตั้งแต่เป็นนักเรียนขาสั้น
 จาก พ.ศ.โน้น มาถึงวันที่ประเทศไทย มีนายกรัฐมนตรีหญิง บัณฑูร สุภัควณิช ทายาทตระกูลคหบดีเก่าแก่เมืองน้ำดำ ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็น "เลขาธิการนายกรัฐมนตรี"


 "บัณฑูร" เป็นลูกชายคนโตของ บุญชิต-เทียมทัด สุภัควณิช ซึ่งบิดาของบัณฑูร จัดว่าเป็นพ่อค้าชาวจีน ที่มีบทบาทเป็นผู้นำใน "สมาคมพ่อค้าจังหวัดกาฬสินธุ์"
 หลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยมต้นที่บ้านเกิด บุญชิต-บิดาก็ส่ง "บัณฑูร" เข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี 2514
 ปี 2515-16 บัณฑูร เดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเคนทักกี


 ในเวลาไล่เลี่ยกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 26 (พ.ศ.2516) ได้รับทุน ก.พ. เดินทางมาศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขากระบวนการยุติธรรม ที่มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเคนทักกีเช่นกัน นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่าง "บัณฑูร" กับ "ทักษิณ" ซึ่งทอดยาวจากวันนั้นจวบจนวันนี้!


 ว่ากันว่า "อีสเทิร์นเคนทักกีคอนเนกชั่น" คือความสัมพันธ์อันแนบแน่นของทั้งสองคน และมีส่วนช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาโดยตลอด แถมยังเพิ่มความล้ำลึกเข้าไปอีกในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี และบัณฑูร เป็นรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ

 บนเส้นทางสายราชการ บัณฑูร สุภัควณิช เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์งบประมาณส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ปี 2537 เป็นรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (ปี 2545-2550) และเป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (ปี 2551-2552)
 ตระกูลสุภัควนิช ไม่เคยมีใครที่กระโจนสู่สนามการเมืองเหมือนอย่างตระกูลพ่อค้ากาฬสินธุ์คนอื่นๆ แต่ "บัณฑูร" เป็นคนแรกของตระกูลที่เล่นการเมือง โดยเปิดตัวเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ
 ชื่อของบัณฑูร ได้รับการคาดหมายว่าจะได้นั่งเก้าอี้เลขาธิการนายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่แรก
 นัยว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประสงค์ที่จะให้ "ลูกหม้อสำนักงบประมาณ" มานั่งในตำแหน่งที่สื่อมวลชนมักเรียกขานว่า "นายกฯ น้อย"


 หากเปรียบเทียบ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี สมัยแรกของอดีตนายกฯ ทักษิณ กับ "บัณฑูร" เลขานายกฯของยิ่งลักษณ์ มีความเหมือนกัน ตรงที่เป็น "คนทำงานเก่ง" มีภาพความเป็นนักการเมืองน้อย
 ความเป็นคนดีมีฝีมือในระบบราชการ กำลังถูกท้าทายด้วย "การเมืองแบบชินวัตร" อีกครั้ง ทายาทเสี่ยบุญชิตเมืองกาฬสินธุ์ เตรียมความพร้อมไว้รับมือแค่ไหน?
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #476 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2554, 22:59:24 »

ห้องหรู พรมแดง ราศีรมต.
posttoday online

   

เปิดกระทรวงดูบรรดารัฐมนตรีปรับปรุงห้องทำงานเปลี่ยนฮวงจุ้ยเสริมดวง เสริมสร้างพลังใจก่อนเข้าทำงาน 

โดย...ทีมข่าวการเมือง

สะเทือนไปถึงหลังคาวังจันทรเกษม  เมื่อ วรวัจน์  เอื้ออภิญญากุล รมว.ศึกษาธิการคนใหม่ มีนโยบายทำได้ทันทีชนิดที่หลายคนตื่นตะลึงนึกว่านโยบายแจกแทบเล็ตเด็กนักเรียนประถมศึกษาตามที่หาเสียงคลอดออกมาแล้ว หรือไม่ก็คงประกาศแผนปฏิรูปการศึกษาพลิกโฉมหน้าระบบการศึกษาชาติครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ 

แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่!!!

เพราะคำสั่งที่มาแรงแซงนโยบายการศึกษา กลับกลายเป็นให้ความสำคัญปรับปรุงห้องทำงานรัฐมนตรีจนถูกฝ่ายค้านหยิบยกเป็นประเด็นนำไปอภิปรายในช่วงการแถลงนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา

 

ห้องทำงานดังกล่าวอยู่บริเวณชั้น 2 เป็นอาคารเชื่อมต่ออาคารราชวัลลภ  ภายในวังจันทรเกษม ซึ่งมีการขึ้นทะเบียนโบราณสถาน  แต่เมื่อวรวัจน์เข้ามาก็สั่งรื้อไม่เหลือเค้าโครงเดิม โดยอ้างว่าอาคารดังกล่าวทรุดโทรมมาก หลังคารั่ว  ฝนตกน้ำซึม มีกลิ่นอับ จำเป็นต้องทำการซ่อมแซม    แต่ไม่วายที่จะถูกท้วงติงถึงความไม่เหมาะสม และสิ้นเปลือง ถึงกับประเมินกันว่าน่าใช้งบ 2-3 ล้านบาททำการซ่อมแซม  แต่วรวัจน์อ้างว่าควักเงินในกระเป๋าตัวเองแค่หลักแสนบาทเท่านั้น

น่าสนใจว่าการปรับปรุงห้องทำงานหนนี้ถือเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปี  เนื่องจากสมัยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ดำรงตำแหน่งรมว.ศธ.ทำการเปลี่ยนพรมทางเดินและวอลเปเปอร์ภายในห้องทำงาน เท่านั้น ขณะที่ยุคของนายชินวรณ์  บุณยเกียรติ อดีต รมว.ศธ.เข้ามาทำงานก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนใด ๆ เนื่องจากสภาพห้องยังดีอยู่ แต่สำหรับรมต.วรวัจน์กลับปรับปรุงใหม่ไม่ว่าจะเป็น ผนัง พรหม พื้นห้อง และฝ้าทั้งหมด

ความมุ่งมั่นใฝ่ศึกษาหาวิธีทำห้องทำงานใหม่ของรัฐมนตรีวรวัจน์   ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นี้แต่ยังเดินหน้าที่จะปรับปรุงห้องชั้นล่างใต้ห้องทำงานนายวรวัจน์ ซึ่งอยู่หลังองค์พระจำประกระทรวงอีกด้วย   โดยจะใช้เป็นที่นั่งทำงานของทีมงานส่วนตัว และที่ปรึกษา เลขานุการ

“โดยส่วนตัว ผมไม่เชื่อเรื่อง ฮวงจุ้ย ไม่ได้ชอบสีอะไรเป็นพิเศษนอกจากสีที่กลมกลืนกับสีเดิมๆ ที่มีอยู่แล้ว ส่วนเรื่องรายละเอียดการปรับปรุงห้องให้ถามที่ปลัดกระทรวงได้” วรวัจน์ระบุ

ทุกครั้งของการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงใด  รมต.และผู้เกี่ยวข้อง มักจะพิถีพิถันต่อการปรับปรุงห้องทำงาน  บ้างนิมนต์พระสงฆ์ปะพรมน้ำมนต์ อัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นหิ้งบูชา  บ้างนำชินแสเข้ามาปรับภูมิทัศน์ จัดวางโต๊ะทำงานอุปกรณ์ต่างๆให้ถูกทิศถูกทาง หรือแม้แต่ยึดถือฤกษ์ผานาที กำหนดวันเวลาเข้าทำงาน

เพราะเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย เชื่อว่าทำแล้วเสริมดวงเป็นสิริมงคล เชื่อว่าต้องการปัดเป่าอาถรรพ์ผีสางนางไม้  บางรายจึงยึดพิธีกรรมทำเต็มรูปแบบ บางรายแค่ทำพอเป็นพิธี  อยู่ที่แต่ละคนจะเชื่อแบบพอดีหรือเชื่อแบบงมงาย

ข่าวคราวของการเนรมิตห้องทำงาน รวมถึงปรับภูมิทัศน์ จึงแฝงเร้นหลายอย่าง ทั้งต้องการอำนวยความสะดวกสบาย ให้กับตัวเอง บ้างต้องการแสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีบารมี   ขณะเดียวกันก็เป็นการเสริมสร้างพลังใจจะเจริญก้าวหน้าอยู่รอดปลอดภัย   ซึ่งไม่ใช่กรณีของนายวรวัจน์ เท่านั้น  แต่มีให้เห็นอย่างดาษดื่น เพียงแต่นายวรวัจน์ดันออกตัวแรงกว่าใครเพื่อน

 

ไม่ไกล้ไม่ไกลมองมาที่ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์กลางอำนาจรัฐ ในยุคที่ นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องเผชิญสารพันปัญหารุมเร้ามีการติดต่อชินแสมาปรับปรุงภูมิทัศน์  ไม่ว่าจะเป็นการนำรูปปั้นพระสังกัจจายน์ไปวางไว้บนยอดตึกไทยคู่ฟ้า ตั้งเสาธงสีทองยอดเสาทำเป็นรูปกรวยสีเขียว  ปลูกปาล์ม วางกระถางต้นสน 6 กระถางขวางสนามหญ้า   หรือผนึกไม้บรรทัดเหล็กตามขอบบนประตูทางเข้าตึกไทยคู่ฟ้า ศาสตร์แห่งฮวงจุ้ยเชื่อว่าต้องการวางค่ายกลดูดพลังแห่งเทพขับไล่มารร้าย

ย้อนกลับไปยุครัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี  สั่งปรับปรุงถนนทางขึ้นตึกไทยฯ นำต้นข่อยทรงพุ่มปลูกเป็นแนวตามทางขึ้นในความหมายต้องการป้องกันศัตรูอันตรายจากภายนอก  แต่บางฝ่ายอดแซวไม่ได้ เนื่องจากใบข่อยไม่ถูกโฉลกกับรัฐบาลปลาไหลใส่สะเก็ตเพราะสามารถนำมาขับเมือกปลาไหลได้

ยิ่งในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปรับปรุงภูมิทัศน์ครั้งใหญ่ ตอนนั้นให้เหตุผลเพื่อเตรียมต้อนรับผู้นำชาติสมาชิกเอเปค  แต่หนีไมพ้นถูกวิจารณ์ต้องการเสริมดวงบารมีนายกฯ  ทุ่มงบหลายร้อยล้านบาท ซ่อมแซมตึกไทยคู่ฟ้า ตึกสันติไมตรี รื้อนำพุใจกลางตึกสันติไมตรีออกไป  รอบนอกอาคารนำพันธุ์ไม้ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชื่นชอบมาปลูก

อึ้งกว่านั้นสั่งทุบกำแพงคอนกรีตรอบทำเนียบสร้างกำแพงเหล็กดัดโปร่งใส พร้อมติดตั้งเครื่องทำนำพุในคลองผดุงกรุงเกษม ตามหลักฮวงจุ้ยหวังดูดพลังงานภายนอกเข้ามายังผู้มีอำนาจที่อยู่ภายใน

มาถึง  ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เป็นคนธาตุไฟเหมือนกับอดีตนายกฯพ.ต.ท.ทักษิณ วิธีปรับภูมิทัศน์ตามหลักฮวงจุ้ยจึงไม่ค่อยแตกต่าง ซึ่งก็มีทีมงานชุดเดิมของพ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชายคอยให้คำแนะนำปรับปรุงสถานที่ ห้องทำงาน     

 

ก่อนหน้านี้ผู้บริหารระดับสูงสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีออกมาให้สัมภาษณ์ ทำเนียบฯยังไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรมากมาย  แต่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะด้วยความเป็นสุภาพสตรีแตกต่างกับเพศบุรุษจึงต้องมีรายละเอียดมากกว่าผู้ชาย 

ที่แน่ๆ มีการจัดห้องแต่งตัวสำหรับผู้หญิงเป็นการเฉพาะไว้บนตึกไทยฯ พรมที่ใช้ในห้องทำงานเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งหมด  และปรับทิศทางโต๊ะทำงาน หันไปทางทิศเหนือ จากเดิมที่อดีตนายกฯอภิสิทธิ์  หันไปทางทิศตะวันออก และเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ใหม่ทั้งหมด  เน้นสีเอิร์ธโทน และสีชมพู เหมือนที่เคยทำงานที่อาคารชินวัตร 3  รวมทั้งติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารให้ทันสมัยมากขึ้น

อีกทั้งวันที่นายกฯยิ่งลักษณ์มากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทำเนียบ เลือกใช้สีแดงประกอบพิธี ทั้งธูปเทียน  ด้านบริเวณทางขึ้นบันไดชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งมีตุ๊กตาเชิงเทียนสำริดตั้งอยู่ 2 ข้าง ได้มีการนำเทียนสีแดงสด 9 เล่มมาประดับ จากเดิมรัฐบาลชุดที่แล้วใช้เทียนสีขาว

ซินแซช้าง-ทศพร ศรีตุลา ให้ความเห็นว่า แน่นอนสีกับฮวงจุ้ยมีส่วนสัมพันธ์กันตามศาสตร์ความเชื่อของคนจีน เพราะสีแดงเป็นสีของธาตุไฟ เป็นสีของดวงอาทิตย์ บ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ แต่ก็ต้องใช้อย่างพอดีๆถ้ามากเกินไป จะเหมือนไฟเผาทำให้ร้อนรุ่ม หงุดหงิด ไม่เหมาะการใช้ในห้องทำงานของคนทั่วไป  ยกเว้นว่าที่นั่นเป็นศาลเจ้าก็ โอเค  แต่บ้านหรือที่ทำงานของคนทั่วไปถ้าใช้สีนี้เยอะไปจะร้อนรนใจอยู่ได้ไม่นาน

ชัชวาล เผ่าสวัสดิ์ หมอดูนักกฎหมาย กล่าวว่า การให้ความสำคัญกับสีแดงนั้นเป็นเพราะเป็นสีของความผูกพัน เนื่องจากพรรคเพื่อไทยใช้สีพรรคเป็นสีแดง ตอนเลือกตั้งได้เบอร์ 1 คือดาวอาทิตย์ก็สีแดงอีก  ชนะเลือกตั้งก็เพราะคนเสื้อแดง การเลือกใช้สีนี้เพราะคิดว่าเป็นสีเฮงของเขา และเพื่อเป็นการขอบคุณคนเสื้อแดงอีกทางหนึ่งก็ได้ เรียกว่าเป็นผลทางจิตใจ จิตวิทยา แต่คงไม่มีผลกับการทำงานที่จะช่วยให้อายุรัฐบาลยาวนานขึ้นหรืออยู่ครบ 8 ปี เป็นไปไม่ได้แน่นอน

หมอนิด-กิจจา ทวีกุลกิจ ให้ความเห็นได้ดุเดือดว่า การใช้สีแดงก็แค่เป็นผลทางจิตวิทยาเท่านั้นเอง ไม่มีผลกับการทำงาน ระวังไว้ไม่เกินสิ้นปีนี้ เตรียมรับปัญหาหนัก  และฝากเตือนรัฐบาลเมื่อใดที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปใช้ฉบับปี 2540 จะเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดสงครามประชาชนอย่างแน่นอน และเมื่อนั้นก็จะมีการปฏิวัติ

“เข้าปีใหม่ไปแล้วปัญหาในพรรคจะมากขึ้น พรรคจะแตกเป็นเสี่ยงๆเพราะหลายก๊กหลายพวก แถมดวงเมืองก็ไม่เป็นใจอะไรๆก็เละไปหมด ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ภัยธรรมชาติ เรียกว่าโจ๊กยังเรียกพี่ เป็นรัฐบาล “ปูขาเก” ไปเลย  สรุปว่านายกหญิงคนนี้ มาสวย แต่ไปไม่สวยแน่นอน”

ขณะที่หลายรายทุ่มทุนเนรมิตห้องเก่าเป็นห้องใหม่  แต่สำหรับบางรายไม่ต้องปรับปรุงแต่ไปประเดิมห้องทำงานใหม่เอี่ยม อย่าง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก  รมว.ยุติธรรม  ซึ่งเจ้าหน้าที่จัดเตรียมห้องรมต.บริเวณชั้น 9 ที่ศูนย์ราชการ อาคารเอ   ถือเป็นรัฐมนตรีรายแรกที่ได้ประเดิมห้องทำงานใหม่ เพราะรมว.ยุติธรรมที่ผ่านมาใช้ห้องทำงานที่ตึกซอฟต์แวร์ ปาร์ค ถนนแจ้งวัฒนะ  ถึงกระนั้นได้เชิญนายคฑา ชินบัญชร หมอดูฮวงจุ้ย มาปรับฮวงจุ้ยภายในห้องทำงาน

เช่นเดียวกับนายพิชัย นริพธะพันธ์ รมว.พลังงาน   ภายในห้องทำงานไม่ได้มีการปรับแต่งอะไรเป็นพิเศษ เนื่องจากกระทรวงพลังงานเพิ่งจะย้ายเข้ามาประจำที่ตึกเอ็นเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ ตั้งอยู่ในบริเวณของสำนักงานใหญ่บริษัทปตท.เมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา ดังนั้น ห้องทำงานรัฐมนตรี และผู้บริหาร คงเป็นเฟอร์นิเจอร์ใหม่ทั้งหมด

 

วงการชินแสต่างคึกคัก   แม้แต่กระทรวงสาธารณสุขซึ่งน่าจะออกไปทางหลักวิทยาศาสตร์แต่สำหรับเจ้ากระทรวงแล้วยึดหลักฮวงจุ้ยอย่างเคร่งครัด  ตั้งแต่วันแรกเข้ากระทรวง วิทยา  บุรณศิริ รมว.สาธารณสุขและต่อพงศ์ ไชยสาสน์ รมช.สาธารณสุข ถือเคล็ดในการเข้าอาคารสำนักปลัด โดยเลือกเข้าประตูขวาสุด ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ย ระบุว่า ประตูกลางของอาคาร จะทำให้ทำงานได้ไม่นาน โดยก่อนที่นายวิทยา จะเข้าห้องทำงานได้มีซินแซสองจากเยาวราช ทำการเขียนอักขระบริเวณด้านบนบานประตูทางเข้าห้องทำงาน โดยการจุดธูปเทียนบูชาต้องใช้เทียนเล่มใหญ่กว่าปกติ เพื่อให้เกิดการส่องสว่าง ถือเป็นการขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์

สำหรับโต๊ะทำงานของวิทยา มีการปรับเปลี่ยนทิศการนั่งใหม่ คือหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเป็นทิศที่ถูกโฉลกเสริมให้มีบารมีแสดงถึงการเป็นผู้นำ พร้อมกันนี้โต๊ะทำงานจำเป็นต้องหันไปด้านหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อแสดงถึงความเคารพ ขณะที่พรมห้องทำงานจากเดิมที่เป็นสีฟ้ามีการเปลี่ยนเป็นสีแดงเพื่อถูกกับดวงชะตาเช่นกัน

ห้องทำงานของต่อพงศ์ ได้เชิญ พ่อครูภูมิชัย สุรรัตน์ พ่อครูจากสำนักครูยานนาวา เดินทางมาเพื่อทำพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพ่อครูได้ทำพิธีนำสวดตั้งแต่ก่อนเข้าห้อง และนำสวดก่อนจุดธูปสักการะโต๊ะหมู่บูชา และสวดมนต์ก่อนที่จะเปิดหนังสือเพื่อเซ็นต์รับมอบตำแหน่งเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย แต่ไม่มีการปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ยแต่อย่างใด

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่น้อยหน้า โดยเฉพาะห้องของพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ รมช.กระทรวงเกษตรฯ ซึ่งใช้ห้องทำงานเดิมของศุภชัย โพธิ์สุ อดีตรมช.เป็นห้องทำงาน มีการเปลี่ยนพรมปูห้อง จากสีน้ำเงินเป็นสีเขียว และโต๊ะประชุมในห้องทำงานเปลี่ยนจากโต๊ะยาวพื้นขาวขนาด 6 ที่นั่ง เป็นโต๊ะไม้ขนาด 6 ที่นั่ง ส่วนโต๊ะหมู่บูชา หรือเทียนสำหรับบูชาพระยังใช้เทียนขี้ผึ้งสีเหลืองตามปกติ   อย่างไรก็ตามมีการปรับตำแหน่งของที่ตั้งโต๊ะงานจากเดิมที่อยู่ด้านขวาหรือทิศตะวันออก ซึ่งเมื่อมีบุคคลเข้าพบจะเห็นรมช.ด้านข้างขวา มาเป็นการตั้งโต๊ะทำงานด้านทิศเหนือของห้อง

รมต. อีกจำนวนหนึ่งไม่เคร่งครัดฮวงจุ้ยแต่อยู่ในประเภท” ข้ามากับพระ” เช่น  3  รมต.คมนาคม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม   กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รมช.คมนาคม  พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคมบอกไม่ค่อยเชื่อเรื่องการปรับตำแหน่งที่นั่งตามหลักฮวงจุ้ย  แต่ยึดถือกราบไหว้พระตามแบบฉบับพุทธศาสนิกชน 

ลักษณะคล้ายกับสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ถือฤกษ์เวลา 08.20 น. ของวันที่ 17 ส.ค. เหยียบเท้าเข้ากระทรวงทำงานเป็นวันแรก โดยอัญเชิญองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี และพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มาประดิษฐานไว้ที่ห้องทำงาน

สภาพภายในห้องทำงาน เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างยังคงเป็นของเดิมที่รัฐมนตรีคนที่แล้วใช้ทำงาน อีกทั้ง โต๊ะทำงานในห้องก็ตั้งอยู่ในตำแหน่งเหมาะสม คือ หน้าหันไปทางทิศใต้และหลังไปทางทิศเหนือ แต่เสริมราศีความเป็นรัฐมนตรีให้เพิ่มมากขึ้น ด้วยการตั้งโต๊ะหมู่บูชามาไว้ด้านหลังโต๊ะทำงาน และมีการปรับแสงให้ตกมาที่องค์พระเพื่อให้เป็นประกาย

นอกจากนี้ กลุ่ม รมต.ไม่เน้น มีฮวงจุ้ยก็ดีมีพระก็ได้  เช่น รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ทั้ง 3 คน โดยรัฐมนตรีจากโควตาพรรคเพื่อไทย 2 ราย คือ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ และภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ ไม่ได้มีการห้องทำงานเป็นพิเศษ มีเพียงการจัดวางโต๊ะที่ทำงานใหม่ เพื่อให้เพียงพอต่อทีมงานที่เข้ามาร่วมงานด้วย     

ส่วนศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.พาณิชย์ จากพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ได้ปรับแต่งห้องตามหลักฮวงจุ๊ยเช่นกัน ทั้งหมดมีเพียงการนำพระพุทธรูปมาประจำห้อง ตามความศรัทธาของแต่ละรายเพื่อกราบไหว้บูชาเท่านั้น ส่วน นอ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที ก็บอกว่าไม่ได้ปรับปรุงห้องทำงานมากนัก มีแต่เอกสารหนังสือที่วางกองในห้องมากขึ้นกว่าเดิม

เผดิมชัย สะสมทรัพย์  รมว.แรงงาน ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รมว.มหาดไทย ไม่ได้มีการตกแต่งอะไรเพิ่มเติม มีเพียงแต่ย้ายโต๊ะทำงานสลับมุมเท่านั้น  เช่นเดียวกับ ชุมพล ศิลปอาชา รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ไม่ต้องปรับปรุงอะไรมากนัก เพราะกลับมาดำรงตำแหน่งเก่า  เก้าอี้เป็นตัวเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ความเชื่อและศรัทธา แต่ละคนอาจเหมือนหรือแตกต่างกันได้ แต่บทสรุปดูเหมือนทุกคนจะเพียบพร้อมด้วยห้องหรู ปูพรมแดง เปล่งประกายราศีโดดเด่นไปซะทั้งหมด   

แต่อย่างว่าต่อให้ปรับโฉมห้องวิริศมาหราขนาดไหน สูญเสียงบประมาณมากเท่าไหร่  ถ้าไม่ปรับปรุงตัวเอง เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน มันก็ไปไม่รอด

**********************

แนะปูจัดพิธีล้างเลือด

ศักดิ์ระพี พรหมชาติ พราหมณ์กลุ่มเสื้อแดง กล่าวว่า การปรับฮวงจุ้ยหรือปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์สถานที่ทำงานภายในทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงต่างๆ ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะช่วยให้รัฐบาลชุดใหม่มีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ รัฐบาลต้องเร่งทำพิธีกรรม “บัตรกรีเลือด” เพื่อแก้ไสยศาสตร์มนตร์ดำจากพิธีกรรมเทเลือดของคนเสื้อแดงที่กระทำไว้ก่อนหน้านี้

 

ศักดิ์ระพี กล่าวว่า การทำพิธีบัตรกรีเลือดจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่คนเสื้อแดงเคยใช้ในการขับไล่รัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อให้การทำงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เกิดความราบรื่นและมั่นคง รวมทั้งจะช่วยสกัดกั้นมิให้มีคนคิดร้ายต่อรัฐบาล

“แม้ว่ารัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์จะทำพิธีทางสงฆ์ไปแล้ว แต่ก็ไม่เกี่ยวกัน เพราะนั่นเป็นเรื่องของความเป็นสิริมงคล แต่การเทเลือดเป็นพิธีกรรมทางคุณไสยมนตร์ดำ หากไม่แก้ไขจะส่งผลให้รัฐบาลชุดนี้สะดุด ไม่มีเสถียรภาพ เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะสิ่งเลวร้ายยังฝังอยู่ที่ทำเนียบ”

พราหมณ์เสื้อแดง บอกด้วยว่า การทำพิธีบัตรกรีเลือดจะต้องเชิญพราหมณ์มาเป็นเจ้าพิธี โดยมีเครื่องเซ่นไหว้ประกอบด้วย หัวหมู เป็ด ไก่ ปลาช่อน กุ้ง ปู ขนมหวานและผลไม้ 9 อย่าง เพื่อบวงสรวงเทพเทวดา พระพรหม และพระแม่ธรณีบีบมวยผมที่สถิตย์อยู่ ณ ทำเนียบรัฐบาล

“ที่จริงคุณยิ่งลักษณ์เป็นคนดวงดีอยู่แล้ว และตอนนี้ดวงผู้นำกำลังขึ้นสูงสุด แต่อยากฝากเตือนไว้ว่า ของแบบนี้อย่ามองข้าม แม้คุณยิ่งลักษณ์จะเป็นคนรุ่นใหม่อาจจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ถ้าทำพิธีเสียแต่เนิ่นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร อย่ารอให้เกิดปัญหาจวนตัวแล้วค่อยมาแก้ทีหลัง มันจะยุ่ง” ศักดิ์ระพี กล่าว
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #477 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2554, 22:15:27 »

ทุกข์ลาภของสุรพงษ์ บนความสะดวกและผลประโยชน์สูงสุดของทักษิณ
>

>
> เพื่อนๆเคยแปลกใจมั้ยครับ ว่าทำไม สุรพงษ์ ถึงได้ตำแหน่ง รมต.ต่างประเทศ
> เพราะแม้กระทั้งพูดภาษาอังกฤษ ยังไม่เป็นเลย ต้องคอยมีล่ามช่วยอยู่ตลอดเวลา
> .........แหม เหมือนย้อนกลับไป สัก 4 ทศวรรษที่แล้วเลย.........
>
> แต่เพื่อนๆไม่ต้องแปลกใจนะครับ เพราะแม้แต่ สุรพงษ์เอง ยังแปลกใจเลย ว่าได้ตัวเองตำแหน่งนี้มาได้ยังไง???
> ใจหนึ่งคงหน้าบาน ที่ได้เดินชูคออยู่ในทำเนียบ เป็นถึง รมต.ต่างประเทศ กระทรวงหลักเกรด A ของรัฐบาลไทย.......
> ส่วนอีกใจหนึ่งลึกๆ คงกลุ้มใจ เพราะไม่มีใครอยากเป็นหนังหน้าไฟ คอยหลับตาข้างหนึ่ง หรือแม้กระทั้ง ต้องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทำผิดกฎหมาย คอยช่วย คอยอำนวย และ คอยเอื้อผลประโยชน์ในการทำธุรกิจ ของทักษิณ ในต่างแดน
> ....”ขาข้างหนึ่งอยู่ในตารางชัดๆ”.........รอแค่วันใดทักษิณหมดอำนาจเท่านั้น
>
> นี่คือสาเหตุ ของการเกิดปรากฏการณ์ ที่ไม่มีกลุ่มอำนาจใดในพรรคเลย ที่อยากแย่งตำแหน่ง รมต.ต่างประเทศ นี้
> และ นี่ก็คือสาเหตุที่ปัจจุบัน มีแค่ รมต.ต่างประเทศเพียงคนเดียว ไม่มี รมช. เลยสักคน เพราะไม่มีใครอยากเป็น....
> หรือแม้แต่ นายนพดล ปัทมะ ซึ่งถือเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ
> จบถึง ป.ตรี อ๊อกซฟอร์ด โดยทุนมูลนิธิอานันทมหิดล
> และ ป.โท มหาวิทยาลัยลอนดอน โดยทุนมูลนิธิอานันทมหิดล
> แถมยังมีดีกรี เนติบัณฑิตอังกฤษแห่งสำนักลินคอร์นอินน์ (Lincoln’s lnn) โดยทุนมูลนิธิอานันทมหิดล
> ก็ยังไม่อยากรับตำแหน่งนี้อีกด้วย
> (สำหรับผมคนๆนี้ถือเป็นเจ้าแห่งนิยาม ของคำว่า “ เนรคุณ”)
>
> ลำพังพวกคนระดับนี้ ดีชั่ว ไม่ใช่ไม่รู้หรอกครับ...”ว่าอะไรเป็นอะไร”
> ..... แต่สิ่งสำคัญก็คือ......
> “สิ่งที่เขารู้นั้น มันไม่สำคัญเท่าสิ่งที่เขาจะได้รับ ต่างหาก”
> พรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคการเมืองที่ก่อตั้งมาจากอุดมการณ์ เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่อย่างใด.....
> หากแต่เป็น... “การรวมตัวของกลุ่มทุน”...
> เพื่อเข้ามาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ที่มีอย่างมหาศาล ของประเทศ
>
> ล่าสุด ทักษิณไปญี่ปุ่นเพื่ออะไร เราก็คงพอทราบกันแล้ว
>
>
> ในที่สุดก็ถึงบางอ้อ ว่า ทำไมพอมีอำนาจ ทักษิณถึงร้อนรน จะรีบไปญี่ปุ่นนัก!!!
> เพราะ บ. โตโย เอ็นจิเนียริ่ง ที่เตรียมพร้อมกันระดมทุน เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ในเรื่องของ บ่อน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ของไทยเรานี่เอง
>

> จากการสำรวจตั้งแต่ปี 2544 พบว่า ปริมาณน้ำมันในบริเวณนั้นของไทย และพื้นที่ที่ยังเป็นข้อพิพาท …….”มีปริมาณสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก”
>
> ด้วยผลประโยชน์ที่มีมูลค่ามหาศาลขนาดนี้ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ....
> 1 ทันที ที่ได้เป็นรัฐบาล รมต.พลังงาน เริ่มทำงานทันที ......”ทั้งๆที่ ยังไม่ได้แถลงนโยบาย”....ถือเป็นนิมิตใหม่ ของความขยันทำงานของนักการเมืองไทย
>
> 2 ฮุนเซ็น เปลี่ยนท่าที ทันที ที่รัฐบาลทักษิณกลับมามีอำนาจ
>
> 3 ทักษิณถึงต้องไปญี่ปุ่นทันที ที่น้องสาวตัวเองขึ้นเป็นนายก และรีบเจรจากับ กลุ่ม บ. โตโย เอ็นจิเนียริ่ง เพื่อรีบจัดการปิดเกมส์แห่งผลประโยชน์ ให้จบโดยไวที่สุด
>
> 4 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ รีบร้อน จะประกาศให้ การจัดสรร บ่อน้ำมันในทะเล เป็นวาระเร่งด่วนแห่งชาติ ซึ่งอาจเป็นการส่งต่อไม้สุดท้าย ก่อนปิดเกมส์
>
> โดยต่อไป หน้าฉากที่เราจะได้เห็น คือ ความสัมพันธ์อันดีระหว่าง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กับ ฮุนเซ็น และการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะสนันสนุน ให้ ปตท จัดการ แบ่งผลประโยชน์ของบ่อน้ำมันทางทะเล
> โดยที่ประชาชน จะไม่มีวันได้รับรู้ถึง ผลประโยชน์ที่ทับซ้อนอยู่เบื้องหลัง วาระแห่งชาติครั้งนี้เลย
>
> นั้นคือสาเหตุทั้งหมด ที่ทำให้โควต้า รมต. ดังต่อไปนี้ ต้องเป็นสายตรง ของทักษิณ เท่านั้น
> --- รมต.ต่างประเทศ(อำนวยความสะดวกให้ทักษิณ)
> --- รมต.พลังงาน (จัดการผลประโยชน์ให้ทักษิณ)
> --- รมต.กลาโหม (ประกันความมั่นคงปลอดภัยให้รัฐบาลทักษิณ)
>
> และในวันที่ 19-21 นี้ ก็ช่างเป็นวันที่ บังเอิญจริงๆ ที่ ประธานกลุ่มเชฟรอนพี่บิ๊ก แห่งวงการน้ำมันจะไปคุยเรื่องธุรกิจพลังงานกับฮุนเซ็น ที่กัมพูชา
> ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ทักษิณ จะไป.....
> ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เพื่อหาประโยชน์จากทรัพยากร ของประเทศชาติเราทั้งนั้น
> ....ถ้าลองไตร่ตรองย้อนกลับไป จะเข้าใจโดยง่ายว่า...............
> ...."ไม่ว่าชาติไหน ก็อยากให้ไทยอ่อนแอ”........
> เพราะยิ่งถ้าผู้นำเราอ่อนแอ และคอร์รัปชั่นมากเท่าไหร่ ต่างชาติก็จะยิ่งเอาเปรียบเรา ได้มากเท่านั้น
> ตราบใดที่ไทยแยกอำนาจทุนออกจากการเมือง ไม่ได้........
> ตราบนั้นไทยก็จะ................
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #478 เมื่อ: 01 กันยายน 2554, 00:33:02 »

https://www.facebook.com/video/video.php?v=132961320132324

ทดสอบวิถีการ share & link ว่าทำได้หรือไม่
เสื้อเหลือง-แดง อย่ารุมด่าผมนาครับ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #479 เมื่อ: 01 กันยายน 2554, 17:23:21 »

ID Please‏

Yingluck, Thai first female priminister walks into a Bank to cash a
> Check.

As she Approaches the cashier he says "Good morning Ma'am, could you please cash
> This check for me"?
>
> Cashier: "It would be my pleasure madame. Could you please show me your ID"?
>
> Yingluck: "Truthfully, I did not bring my ID with me as I didn't think there
> Was any need to. I am Yingluck, the priminister of the Thailand !!!!"
>
> Cashier: "Yes madame, I know who you are, but with all the regulations and
> Monitoring of the banks because of impostors and forgers, etc I must insist
> On seeing ID"
>
> Yingluck: "Just ask anyone here at the bank who I am and they will tell you.
> Everybody knows who I am"
>
> Cashier: "I am sorry but these are the bank rules and I must follow them."
>
> Yingluck: "I am urging you, please, to cash this check"
>

> Cashier: "Look Ms Primeminister this is what we can do:

> One day Tiger Woods
> Came into the bank without ID. To prove he was Tiger Woods he pulled out his
> Putter and made a beautiful shot across the bank into a cup. With that
> Shot we knew him to be Tiger Woods and cashed his check.

> Another time, Andre Agassi came in without ID. He pulled out his
> Tennis racquet and made a fabulous shot whereas the tennis ball landed
> In my cup. With that shot we
> Cashed his check.


> So, Ms Primeminister, what can you do to prove that it is you, and
> Only you, as the priminister of the Thailand ?"
>
> Yingluck stood there thinking, and thinking and finally says: "Honestly, my
> Mind is a total blank~~~there is nothing that comes to my mind. I can't
> Think of a single thing, Just wait, let me call my brother"

>
> Cashier: "OK mam, that's proved who you are, would you like large or
> Small bills?
>   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #480 เมื่อ: 01 กันยายน 2554, 18:25:46 »

ลม เปลี่ยนทิศ” ฉะ “ปูแดง” ลดน้ำมันสนองหาเสียง-ชี้ต้องใช้เงินอุ้ม 7.4 หมื่นล้าน
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
 
บทความ “ใช้เงินอนาคตมีแต่เจ๊ง” ในคอลัมน์หมายเหตุประเทศไทย หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันนี้ (29 ส.ค.) โดยลม เปลี่ยนทิศ

 
 
 
  คอลัมนิสต์ไทยรัฐ ชี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ลดจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ทำเพื่อสนองนโยบายหาเสียง ตอบไม่ได้ค่าครองชีพประชาชนจะลดได้จริง มีแต่เจ้าของรถหรูที่ต้องเติมเบนซิน 95 ได้ประโยชน์เต็มๆ แถมลดราคาเบนซิน 91 สร้างความสับสน หลังปั๊มบางจากเลิกขายสนองนโยบายรัฐใช้แก๊สโซฮอล์ หวั่นจะเจ๊งไม่ต่างจากสหรัฐฯ เพราะต้องกู้อีก 2 หมื่นล้าน พยุงกองทุนน้ำมัน
       
       วันนี้ (29 ส.ค.) คอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” โดย ลม เปลี่ยนทิศ ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง “ใช้เงินอนาคตมีแต่เจ๊ง” กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ดำเนินการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน 3 ชนิด เบนซิน 95 เบนซิน 91 และดีเซล ส่งผลให้ราคาขายปลีกนํ้ามันทั้ง 3 ชนิดมีราคาลดลงตั้งแต่เช้าวันเสาร์ (27 ส.ค.) ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าเพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน
       
       ลม เปลี่ยนทิศ เห็นว่า การลดเก็บเงินเข้ากองทุนนํ้ามันครั้งนี้ ไม่ใช่นโยบายที่น่าชื่นชม แถมยังผิดฝาผิดตัว ซึ่งการที่ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน บอกว่า การลดเก็บเงินดังกล่าว ทำให้กองทุนน้ำมันขาดรายได้เดือนละ 6,160 ล้านบาท และต้องเตรียมเงินชดเชยราคานํ้ามันคงค้างในปั๊มน้ำมันอีก 3,000 ล้านบาท แต่ฐานะของกองทุนน้ำมันจะอยู่ได้จนถึงสิ้นปี โดยไม่ต้องกู้เงิน แต่มกราคมปีหน้าจะต้องกู้เงิน 20,000 ล้านบาท คาดว่า จะใช้ดูแลราคาน้ำมันได้ราว 6 เดือน
       
       “แม้ คุณพิชัย จะบอกว่า จะเลิกเก็บเงินชั่วคราวแค่ 1 ปี แต่เมื่อเอา 12 เดือนคูณเข้าไป กับเงินที่ลดราคาน้ำมันเดือนละ 6,160 ล้านบาท หนึ่งปีรัฐบาลต้องใช้เงินอุ้มราคาน้ำมัน 3 ชนิดทั้งหมดประมาณ 74,000 ล้านบาท ถามว่า ทำเพื่ออะไร คำตอบง่ายๆ ก็คือ ทำเพื่อสนองนโยบายหาเสียงของนักการเมือง แต่ค่าครองชีพประชาชนจะลดจริงหรือไม่ ยังไม่มีใครตอบได้” ในบทความระบุ
       
       ลม เปลี่ยนทิศ ระบุต่อมาว่า น้ำมันเบนซิน 95 ที่ลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันสูงสุดลิตรละ 7.50 บาท สวนทางกับนโยบายน้ำมันของชาติที่ให้เลิกจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 ซึ่งปฏิบัติกันต่อเนื่องมาหลายปี ประชาชนทั่วไปก็ไม่ใครใช้น้ำมันชนิดนี้อยู่แล้ว จึงเป็นที่สงสัยกันว่า พรรคเพื่อไทยลดราคาน้ำมันเบนซิน 95 เพื่ออะไร ใครได้ประโยชน์ ซึ่งเห็นว่าเจ้าของรถหรูคันละหลายสิบล้านบาท ที่ต้องใช้น้ำมันเบนซิน 95 และรถหรูรุ่นเก่าที่เศรษฐีเก็บไว้เป็นของสะสม มีคนสองกลุ่มนี้เท่านั้นที่ได้ประโยชน์เต็มๆ
       
       ทั้งนี้ มีการประเมินกันไว้ว่า ปัจจุบันมีรถที่ต้องใช้น้ำมันเบนซิน 95 ในเมืองไทยไม่เกิน 500,000 คัน และเจ้าของรถทุกคนก็มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าน้ำมันเบนซิน 95 ได้ทุกราคาอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน น้ำมันเบนซิน 91 ซึ่งสถานีบริการน้ำมันบางจากเลิกขายเบนซิน 91 แล้ว เพราะนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมาทุกรัฐบาล ให้ยกเลิกเบนซิน 91 และ 95 และใช้แก๊สโซฮอล์แทน การลดราคาน้ำมันเบนซิน 91 จึงเป็นนโยบายที่สับสน แม้จะมีข้ออ้างว่าลดให้เจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ 17 ล้านคันก็ตาม
       
       ในตอนท้าย ลม เปลี่ยนทิศ เห็นว่า มีเพียงน้ำมันดีเซลชนิดเดียวเท่านั้นที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์เพราะใช้ในรถขนส่ง แต่รัฐบาลก็ไม่มีมาตรการรองรับที่ชัดเจนว่า เมื่อลดราคาน้ำมันดีเซลลงแล้ว ค่าโดยสาร ค่าขนส่ง จะต้องลดราคาลงมาเท่าไรเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ประชาชนทุกคนจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง เมื่อดูเหตุและผลแล้ว ที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ บอกว่า การลดราคาน้ำมัน 3 ชนิด เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน จึงเป็นความจริงเพียงส่วนเดียวเท่านั้น
       
       “เงินที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เอาไปอุ้มราคาน้ำมัน 1 ปี 74,000 ล้านบาท เป็นเงินที่เยอะนะครับ แถมยังต้องไปกู้มาอีกตั้ง 20,000 ล้านบาท การใช้เงินอนาคตโดยไม่มีรายได้รองรับ เป็นเรื่องอันตรายครับ สหรัฐฯ เป็นตัวอย่างที่น่าเรียนรู้ เอาเงินในอนาคตไปใช้อย่างมันมือ แม้สหรัฐฯ จะพิมพ์แบงก์เองได้ แต่วันนี้ก็ยังเจ๊งอย่างเขียดอย่างที่เห็น” ลม เปลี่ยนทิศ ระบุ

 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #481 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2554, 11:10:21 »

การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 20 ตุลาคม 2554 01:00

เฉลา กาญจนา
    เฉลา กาญจนา
    แกะรอยการเมือง kanchanatuk@hotmail.com
    จำนวนคนอ่าน 7516 คน

ท้อใจสั่งใครไม่ได้ เสียงบ่นจาก..ยิ่งลักษณ์

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




       
เห็นสภาพน้ำท่วมที่เอ่อล้นวันนี้ รู้สึกหดหู่แทนพี่น้องประชาชน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่มีชีวิตระเหเร่ร่อนต้องไปอาศัยอยู่ตามศูนย์อพยพต่างๆ

  เชื่อเหลือเกินว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยแม้จะสู้ชีวิตแต่ในใจคงจะเครียดหนัก ณ เวลานี้ยังพอมีที่อยู่อาศัยชั่วคราว แต่หลังน้ำลดอยู่กันอย่างไรเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกฝ่ายต้องเตรียมพร้อมช่วยเหลือในสเต็ปต่อไป

 ลองมาสแกนการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่ผู้คนจำนวนมากรู้สึก "หมดศรัทธา" เข้าไปทุกขณะ กับข่าวสารที่สับสน

 แม้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะใช้เวลากับวอร์รูมแห่งนี้เป็นกองบัญชาการแก้ปัญหาน้ำท่วม บ้างก็บอกว่าวันๆ มีเวลาพักผ่อนแค่ 3-4 ชั่วโมง เพราะวุ่นอยู่กับการประชุม รับโทรศัพท์รายงานความเคลื่อนไหวสภาพน้ำ จากผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ

 แต่ภาพที่ออกมาดูเหมือนสวนทางกันเสียเหลือเกิน ประกาศแจ้งเตือนแต่ละครั้ง ดูเหมือนเป็นการประกาศที่สับสน คนสิ้นหวังเข้าไปทุกที

 เมื่อวิเคราะห์เจาะลึกหาเหตุผลของศูนย์สับสน พบว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์รู้สึกท้อแท้ไม่น้อย เพราะฐานข้อมูลที่ได้รับไม่ตรงกับข้อเท็จจริง บางจังหวัดก็ไม่พูดความจริง ทำให้การคำนวณผิดพลาดบ่อยครั้ง 

 ที่แย่ยิ่งกว่า คือ การแก้ปัญหาน้ำท่วมรอบนี้ อยู่บนเกมการเมืองมากเกินไป เห็นแต่พรรคพวกของตัวเองเป็นที่ตั้ง ยังไม่มองเห็นความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ถูกน้ำท่วม

 นายกฯ ยิ่งลักษณ์รู้ดีว่าตอนนี้จะสั่งใครก็ไม่ได้ อำนาจสั่งการริบหรี่ลงทุกที "มีคนรับฟัง แต่ไม่ทำตาม" การทำงานของผู้ว่าฯ ในแต่ละพื้นที่ยังยึดพื้นที่ใครพื้นที่มันเสียมากกว่า การบูรณาการยังแทบมองไม่เห็น ฉะนั้นเมื่อระดับพื้นที่ไม่บูรณาการ ส่วนกลางอย่าได้หวัง

 ในส่วนของกรมชลประทาน ในฐานะผู้ที่ต้องรับบทบาทแก้ปัญหาน้ำท่วม ตอนนี้ผู้หลัก ผู้ใหญ่ในกรมชลประทานอยู่ในสภาพ "น้ำท่วมปาก" พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะมี "นาย" หลายคนนั่นเอง


ความคิดเห็นของข่าวนี้

    ความเห็นที่ 4

    boogiebug

    ถ้าระดับ "นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย" สั่งการใครไม่ได้ ผมคิดว่าปัญหาอยู่ที่ "ภาวะผู้นำ" ของตัวนายกฯ เองแล้วล่ะครับ ตอนตัดสินใจลงชิงตำแหน่งนายกฯ น่ะ ได้คิดอะไรแบบนี้ไว้บ้างหรือเปล่า? ไม่ได้อยากซ้ำเติม แต่ใครบ้างที่ไม่รู้ว่านายกฯ ท่านนี้ขึ้นมาในฐานะอะไร ...

    20 ตุลาคม 2554 09:44:45

    ความเห็นที่ 3

    non nimnim

    ชะเลียมากไปม้างงง บทความวันนี้ ทำไมม่มองข้อเท็จจริงที่ว่า เธอด้านหน้ามาอาสาบริหารประเทศในตำแหน่งสูงสุดโดยที่เธอไม่มีความรู้เรื่องบ้านเมืองเลยแม้แต่น้อย ม่ายรู้ด้วยซ้ำว่าหน่วยงานไหนทำอะไร ท่องสคริปต์เป็นนกแก้วนกขุนทอง พอจะตั้งศูนย์ประสานงาน แทานที่จะดึงเอา key persons มาช่วยงานกลับเอานายอะไรก็ไม่รู้ ที่ดีแต่โม้ เหมือนตัวเองน่ะแหละ กับนายผมหงอกก็เป็นข้าราชการตั้งแต่พระเจ้าเหายังไม่เกิด ไม่เรียนรู้ว่าเดี๋ยวนี้ ระบบราชการเขาปฏิรูปไปมากมาย เลยเจาะไม่ถึงหน่วยงานหลัก แล้วถ้าหล่อนไม่มัวแต่โยกย้ายข้าราชการ ในช่วงแรกการทำงานก็จะไม่เกิดแรงหน่วงขนาดนี้
    ตอนเข้ามาก็มีน้ำมีพายุมากแล้ว น้ำใเขื่อนก็ความจุแค่ 60 % อุตุก็บอกจะมีพายุเข้า แต่หล่อนก็มัวไปเน้นงานพี่ชาย งานเงินเดือน15000 ค่าแรง 300 แบบลำเอียง งานรถคันแรก งานบ้านหลังแรก ซึ่งไร้ประโยชน์และผลาญภาษีชาวเราแบบสุด ๆ แถมทำลายขวัญกำลังใจของข้าราชการ ย้ายซะ เกียร์ว่างกัน
    แล้วจะมาบ่นท้ออะไร ใครไปเชิญคุณมาทำหน้าที่นี้หรือ ทำไม่ได้ก็รีบถอยไปเถอะ ก่อนบ่้านเมืองจะพังพินาศตอนที่หล่อนทำงานฟื้นฟูน้ำท่วมแบบเลือกสี ไร้สติอีก
    เจ้าประคุณเอ๋ย เมตตาไม่ลงจริง ๆ เมื่อได้ยินวิทยุเสื้อแดงและมนุษย์อกตัญญูแผ่นดินพวกนั้นจ้วงจาบ ใส่ร้ายป้ายสีเบื้องสูงอย่างหน้าด้าน ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความล้มเหลวของหล่อน

    20 ตุลาคม 2554 08:59:20

    ความเห็นที่ 2

    yunfal

    อย่าได้ท้อใจไปเลยท่านนายก น้ำท่วมครั้งนี้เป็นกรรมร่วมของคนไทย ที่มีคน 15.ล้านตัวเลือกผู้น้ำที่ไม่มีวุฒิภาวะและมีสมองมาบริหารประเทศไทยนั่นเองแหละ แค่เลิกทำ อีเว้น กวนบาทาชาวบ้านที่เดือดร้อนก็พอ และไอ๊ประเภทโฆษกสมองหมาปัญญากระบือเพลาๆๆบ้างก็จะดี สวมรองเท้าอิตาลีคู่ละหลายหมื่นและหมวกเทรนใหม่ๆๆตรวจน้ำท่วมก็เลิกๆๆเสียมันทุเรศครับ กระดี้กระด้าหัวเราะร้วนบนน้ำตาชาวบ้านมันเกินไปครับ

    20 ตุลาคม 2554 06:53:50

    ความเห็นที่ 1

    PaTrIoT

    อ้าว...ถ้ามาพูดในช่วงวิกฤติสุดๆแล้วอย่างนี้ ก็นับว่าเป็นการ ปัดสวะ ครับ
    หากรู้ว่ามีปัญหาสั่งใครไม่ได้ ก็ควรรู้ตั้งแต่น้ำทะลักจากนครสวรรค์มาอยุธยาแล้ว
    หรืออย่างช้าสุดก็ตั้งแต่นิคมสหรัตนนครพ่ายแพ้ต่อกระแสน้ำ
    และหาวิธีที่จะแก้ปัญหานี้ให้จบตั้งแต่แรก ไม่ใช่ปล่อยให้เลยเถิดมาจนถึงตอนนี้

    นอกจากนี้ เท่าที่ดูข่าว ทุกคนก็พยายามป้องกันแล้วจริงๆ เท่าที่เขาทำได้
    ไม่มีใครอยากถูกน้ำท่วมหรอก
    แต่ข้อมูลจาก ศปภ.น่ะ คม-ชัด-ลึก ขนาดไหนกัน?
    เดี๋ยวก็ว่าข้อมูลไม่ถูกต้อง เดี๋ยวก็ว่าประเมินพลาด

    กรุณา อย่าโบ้ย รู้จักรับผิดชอบเสียบ้าง

    20 ตุลาคม 2554 04:43:18

 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #482 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2554, 11:16:40 »


สโลแกนว่อนเน็ตเลย "เอาปัญญาชนมากรอกทราย เอาควายมาบัญชาการ" มันสะท้อนการทำงานของรัฐบาล ที่ไม่เอาทุกข์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง แต่เอาผลประโยชน์ทางการเมืองเป็นตัวตั้ง ท่านเกรงทหารจะได้หน้า เกรงฝ่านค้านจะได้คะแนน แต่ท่านไม่ห่วงทุกข์ของประชาชนที่จมน้ำเลย ในยุคที่คนเดือดร้อนแสนสาหัส มีแต่ธารน้ำใจ ไม่มีการแบ่งสี ทุกคนช่วยกัน แต่กลุ่มท่าน สีแดงยังด่าทหารในขณะที่เขามาช่วยกันน้ำ อยากรู้ว่าเพราะรัฐบาลท่านเลวหรือเปล่าคนดีๆ มีความรู้จึงไม่เขามาเลย ผมว่าทำดีครั้งสุดท้ายเสียสละเพื่อชาติ ลาออกทั้งคณะเถอะครับ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #483 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2554, 13:15:18 »

Wall Street Journal: ผู้นำใหม่ของไทยสะดุดน้ำท่วม

วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554 เวลา 12:19:12 น.

จาก เว็บประชาไท

 

ผู้สื่อข่าววอลล์สตรีทเจอนัล ชี้สถานการณ์น้ำท่วมในไทยส่งผลต่อภาพลักษณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แม้จะมีความพยายามสกัดน้ำท่วมจาก ′วอร์รูม′ ที่ประสานกันจากรัฐบาลประชานิยม-กลุ่มอนุรักษ์นิยม-ผู้นำเหล่าทัพก็ตาม ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามถึง จนท.กรมชลประทานที่ไม่ยอมปล่อยน้ำที่ล้นเกินตั้งแต่แรก กระทั่งมีพายุฝนกระหน่ำ ขณะที่ในปีก่อนเจ้าหน้าที่กลับได้ปล่อยน้ำจากแหล่งเก็บน้ำตั้งแต่เดือน ก.ค.

 

 

19 ต.ค. 2554 เจมส์ ฮุกเวย์ ผู้สื่อข่าววอลล์สตรีทเจอนัลรายงานเรื่องสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

 

 

โดยรายงานข่าวระบุว่า การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการรับมือกับปัญหาน้ำท่วมครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ ทำให้ความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรเสื่อมลง จากการที่มูลค่าความเสียหายจากน้ำท่วมมากขึ้นเรื่อยๆ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยืนยันแผนการอัดฉีดเงินกว่าพันล้านเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจซบเซา

 

 

นักวิเคราะห์กล่าวว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของนางยิ่งลักษณ์คือการปล่อยข้อมูลเรื่องน้ำท่วมอย่างส่งเดช จนเป็นเหตุให้รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์ต้องออกประกาศด่วนในสัปดาห์ก่อนให้มีการอพยพบางส่วนในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ

การไหลบ่าของข้อมูลที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำให้ผู้อยู่อาศัยที่ตื่นตระหนกและบริษัทต่างชาติที่หวาดกลัวต่างพากันปิดโรงงานทั่วประเทศไทยเพื่อยื้อเวลาการแก้ไขวิกฤติในครั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่าเหตุอุทกภัยในครั้งนี้ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 315 รายและทำให้สูญเสียงานไปกว่าหลายแสน จะทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศลดลงร้อยละ 1.7 เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักไปทั่วเอเชียและที่อื่นๆ

 

 

เมื่อวันอังคาร (18 ต.ค.) ที่ผ่านมารัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็อนุมัติแผนทุ่มงบประมาณขาดดุลเพิ่ม 4 แสนล้าน บาทในปีงบประมาณใหม่เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. นี้ เทียบกับเงินเป้าหมายตั้งต้น 3 แสน 5 หมื่นล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ซบเซาของไทนและเพื่อช่วยเหลือประชาชนกว่าแสนคนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม

 

 

ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้เคยบอกว่ากรุงเทพฯ ได้ผ่านวิกฤติน้ำท่วมครั้งที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว ก็ออกมาแถลงข่าวในภาวะเร่งด่วนเมื่อคืนวันจันทร์ (17 ต.ค.) บอกว่ากรุงเทพจะประสบกับน้ำท่วมภายในอีก 2 วันถัดไป โดยบอกให้ประชาชนคอยระวังตัวและอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะขอความช่วยเหลือด้านกระสอบทราย ในวันอังคารมีทหารและอาสาสมัครพลเรือนรุดไปช่วยกันสร้างทำนบกั้นน้ำโดยใช้กระสอบทรายกั้นช่วงตอนเหนือกรุงเทพฯ เป็นความพยายามสุดท้ายในการสกัดกั้นน้ำ

 

 

ตามทฤษฎีแล้ว ความพยายามสกัดกั้นน้ำท่วมในไทยจะมาจากการ ′วอร์รูม′ กันในเขตสนามบินเก่าของกรุงเทพ ที่ซึ่งกลุ่มคนที่มีความขัดแย้งทางการเมืองมานั่งร่วมโต๊ะหารือกันอย่างรอบคอบไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลประชานิยมกับอำมาตย์อนุรักษ์นิยมและผู้นำเหล่าทัพซึ่งทำรัฐประหารเมื่อ 5 ปีก่อน รวมถึงสังหารประชาชนผู้ชุมนุมประท้วงทางการเมืองกว่า 90 ราย

 

ในความเป็นจริงแล้ว นักวิเคราะห์บอกว่า ยิ่งลักษณ์ต้องเผชิญหน้าและจัดการกับสถานการณ์ที่เปรียบเสมือนบททดสอบครั้งใหญ่ในการทำงานเป็นรัฐบาลซึ่งเพิ่งมีอายุ 2 เดือน เนื่องจากรัฐบาลนี้ถูกมองอย่างกว้างขวางว่าถูกควบคุมโดยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของเธอซึ่งอยู่ที่ดูไบหลังจากถูกทำรัฐประหารเมื่อ 5 ปีก่อน

 

 

"คุณยิ่งลักษณ์หน้าที่ของเธอได้ดีสมกับความน่าเชื่อถือเราเห็นเธอไปทุกที่" ปวิน ชัชวาลย์พงศ์พันธ์ จากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาในสิงคโปร์กล่าว

 

 

"แต่รัฐบาลเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะเกิดน้ำท่วมจากเมื่อสองเดือนก่อน แต่ก็ยังคงทำอะไรน้อยมากในการป้องกัน นี่เป็นภาวะวิกฤติผู้นำ"

 

 

นับตั้งแต่ปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์ ทำตัวแตกแถวในวันพฤหัสฯ (13 ต.ค.) โดยรุดออกจากห้องประชุมเกี่ยวกับวิกฤติการณ์เพื่อบอกกับชาวกรุงเทพฯ ตอนเหนือว่าให้ออกจากบ้านทันทีเพื่อหนีน้ำท่วม เรื่องนี้ทำให้ชาวไทยหลายคนแปลกใจจากการที่คุณปลอดประสพเคยเป็นผู้บริหารที่ทำกิจการอันน่าตื่นเต้นอย่างที่รู้จักกันดีคือการนำเมนูเนื้อสัตว์แปลกๆ อย่างม้าลายและจระเข้ลงในเมนูของไนท์ ซาฟารี ในจังหวัดเชียงใหม่

 

 

การป้องกันน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ยังคงดีอยู่ ซึ่งต่อมาคุณปลอดประสพได้ขอโทษเรื่องที่เขาสับสน แต่ก็ทำให้มีประชาชนจำนวนมากหนีออกจากบ้านในตอนกลางคืนและเกิดความแตกตื่นไปทั่วเมือง และหลังจากนั้น ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ ก็บอกให้ชาวกทม. ฟังเขาและเชื่อเชาคนเดียว

 

 

หลังจากนั้นมาการโต้เถียงกันเรื่องวิกฤติน้ำท่วมในประเทศไทยก็เริ่มเผ็ดร้อนมากขึ้น อดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เคยเจอกับปัญหาน้ำท่วมในสเกลที่เล็กกว่าเมื่อปีที่แล้วก็แนะนำให้ยิ่งลักษณ์ประกาศภาวะฉุกเฉินและเลื่อนการออกงบประมาณสำหรับโครงการประชานิยมซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการณรงค์หาเสียงจนชนะการเลือกตั้งก่อนหน้านี้ การประกาศภาวะฉุกเฉินนั้นจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับทหารไทยในการบรรเทาสาธารณภัยและช่วยให้สามารถเป็นมือที่สามเวลามีความขัดแย้งชองชาวบ้านเวลาที่ออกตามหาของหายหลังน้ำท่วม

 

 

จนบัดนี้ยิ่งลักษณ์ยังคงปฏิเสธการประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยบอกว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหวาดกลัวเนื่องจากประเทศไทยกำลังเตรียมการเข้าสู่ช่วงฤดูท่องเที่ยว

 

 

นักสังเกตการณ์รายอื่นๆ ตั้งคำถามว่าทำไมเจ้าหน้าที่ชลประทานถึงไม่ทำการปล่อยน้ำที่ล้นเกินจากแหล่งเก็บน้ำตั้งแต่แรก จนกระทั่งเกิดผลกระทบจากพายุฝนที่โหดกระหน่ำผิดปกติในปีนี้แล้ว ซึ่งในปีก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ชลประทานได้ปล่อยน้ำออกจากเขื่อนและแหล่งเก็บน้ำตั้งแต่เดือน ก.ค.

 

 

ในระหว่างนั้นรัฐบาลก็ส่งสัญญาณออกมาหลายอย่าง ขณะที่น้ำท่วมเขตโรงงานเพิ่มมากขึ้น มีโรงงานแหล่งที่ 6 ต้องปิดไปเมื่อวันจันทร์ (17 ต.ค.) ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจก็เริ่มสงสัยว่าวิกฤติในครั้งนี้จะเกิดอีกนานแค่ไหน

 

 

หนึ่งในนั้นคือโรงงานบริษัทฮอนด้ามอเตอร์ของไทย ซึ่งถูกน้ำท่วม และโตโยต้ามอเตอร์ก้บอกว่าจะปิดโรงงานในไทยเพิ่มเมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงช่วงปลายสัปดาห์เป็นอย่างน้อย เนื่องจากผู้ผลิตวัตถุดิบรายสำคัญยังคงประสบกับภาวะน้ำท่วม กลุ่มผู้ผลิต อุปกรณ์กึ่งตัวนำ (Semiconductors) และฮาร์ดไดรฟ์ (hard drives) ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย โดยกลุ่มธุรกิจกล่าวตำหนิว่ารัฐบาลไทยไม่ออกวิธีแก้ปัญหาในระยะยาวให้กับปัญหาน้ำท่วมไทย

กลุ่มธุรกิจของญี่ปุ่นเคยกล่าวไว้แล้วว่าบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากรวมถึงผู้ลงทุนรายใหญ่ในไทยจำนวนมากไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและข้อมูลใดที่แม่นยำ

 

 

"พวกเขาได้รับคำเตือนแต่ก็มีข้อมูลไม่มากพอและมีเวลาไม่มากพอจะตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร" เซยะ ซุเกะกาว่า นักเศรษฐศาสตร์ประจำองค์กรส่งเสริมการค้าธุรกิจระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan External Trade Organization-JETRO) ประจำประเทศไทยกล่าว


ที่มา: Floods Set Back New Thai Leader, The Wall Street Journal, 19-10-2011

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #484 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2554, 20:35:42 »

: ดำริพระเจ้าอยู่หัว


      พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้ยิ่งลักษณ์ไปเฝ้าครั้งล่าสุด ทรงให้ยิ่งลักษณ์ผันน้ำออกทางทิศตะวันออกเพราะ
      ร 5 ท่านให้ขุดคลองระบายออกหลายสายลงสู่อ่าวไทย
            และที่ตรงนั้น พระเจ้าอยู่หัวท่านเก็บไว้เป็นแก้มลิงรับน้ำ ทำให้ไม่ท่วมกรุงเทพ ฯ และก็ไม่ต้องผันน้ำไปลงที่อยุธยา ปทุมนนทบุรี ที่ตรงนั้นคือหนองงูเห่า แต่ทักษิณ ไม่ฟัง ดันสร้างสนามบินสุวรณภูมิจนเสร็จ ที่โกงกินกันมหาศาล ทำให้กั้นทางเดินของน้ำที่จะไหลออกสู่อ่าวไทย

            ตรงหนองงุเห่ามีประตูระบายน้ำ 10 ประตู ผันน้ำออกสู่ทะเลอ่าวไทยได้วันละ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร ความจริงที่น่าสะพรึงกลัวคือ ณ วันนี้ประตูน้ำทำงานได้เพียง 40-50 % เพราะน้ำถูกผันออกมาทางนี้น้อยมาก ยิ่งลักษณ์กลัวว่าน้ำจะไปท่วมสุวรณภูมิจะทำให้คนด่า ว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านเตือนแล้วว่าอย่าสร้างตรงนี้มันก็มาสร้างกัน เป็นมรดกบาปที่ทักษิณทำให้ประเทศไทยอีกอันหนึ่ง
            นอกจากโกงกินกันมากมายเข้ากระเป๋าพวกทักษิณ แล้วชาวบ่านแถวอยุธยา ปทุม นน ต้องรับกรรมอย่างแสนสาหัสไป
            เพราะยิ่งลักษณ์ให้น้ำไหลไปออกแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เป็นบ้านเรือนชุมชนหนาแน่น
            ทางนี้ไม่ประตูระบายน้าที่จะช่วยได้ระบายน้ำได้เลย น้ำจึงท่วมนานและระบายออกได้ช้า
 ยิ่งลักษณ์ไม่นึกถึงความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ไม่ผันน้ำมาทางทิศตะวันออกตามที่พระเจ้าอยู่หัวท่านรับสั่ง
 แม้กระนั้นพระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงหาทางช่วยประชาชนอีก ท่านโปรดให้ขุดคลองลัดโพธิ์ จ. สมุทรปราการ
            จากเดิมเป็นคลองคดเคี้ยวยาว 18 กม เพื่อย่่นระยะทางเหลือเพียง 600 เมตรลัดน้ำให้ออกสู่ทะเลเร็วขึ้น
            ท่านเสด็จพระราชดำเนินไปเปิดเมื่อปลายปีที่แล้ว

            ใครกันที่ทำเพื่อประชาชน
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #485 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2554, 20:37:45 »


    รูปเดียวก็ ชัดเจน‏

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #486 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2554, 19:03:18 »

ขอโอกาสให้ดิฉันทำงานก่อนเถอะค่ะ
ข้อเขียนจากชาวน้ำท่วมคนหนึ่ง

อย่ามากล่าวหาว่าดิฉันโง่นะคะ ดิฉันไม่ได้โง่ รัฐบาลของดิฉันต้องการเก็บกักน้ำไว้ เพราะพื้นที่ฐานเสียงของดิฉันยังเกี่ยวข้าวไม่เสร็จ ข้าวของดิฉันตันละ15000 ขายดิบขายดีแน่นอนค่ะ แต่เผอิญดิฉันไม่ทราบว่าพายุนกเต็นกับนาแกจะมา เพราะดิฉันอยู่ระหว่างเยือนไมตรีกับสมเด็จฮุนเซ็น แหมก็แค่เตะบอลกันนิดหน่อยแค่นั้นล่ะค่ะ ตอนน้ำท่วมสุโขทัย มาถึงพิษณุโลกก็เกือบเดือนแล้ว ตอนนั้นดิฉันจึงคิดว่าบางระกำโมเดลคงจะรับได้ ต่อมามวลน้ำมานครสวรรค์เห็นท่านปลอดบอกว่า 2-3 หมื่นล้านคิว ท่านปลอดบอกว่าคำนวนปริมาณน้ำผิดพลาด น้ำเต็มเขื่อน ต้องปล่อยออกมาเดี๋ยวเขื่อนแตก!!! ดิฉันเองก็คำนวนไม่เป็นเลยว่าน้ำมวลน้ำขนาดไหน ปล่อยออกมาจะท่วมสูงกี่เมตร กินพื้นที่เท่าไหร่ แรงดันน้ำกี่นิวตั้น ดิฉันเลยสั่งให้ทีมงานปลูกหญ้าแพรก เพื่อชะลอการไหลของน้ำ และใช้เรือดำน้ำดันเข้าลพบุรี
..ต่อมาดิฉันก็เพิ่งมารู้ว่า หญ้าแพรกไม่สามารถชะลอน้ำได้ น้ำเลยผ่านสิงห์บุรี อ่างทอง ชัยนาท เข้าท่วมอยุธยา นั้นก็ตามผ่านมา 2 อาทิตย์กว่าๆ ดิฉันจึงคิดว่าน้ำเหลือแค่ 1-2 หมื่นล้านลบ.ม. คงไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยาหมดแล้ว ส่วนที่เหลือกระสอบทรายน่าจะเอาอยู่ ดิฉันจึงตั้ง ศปภ.ขึ้น เพื่อแจ้งไปยังนิคมโรจนะ ให้หนุนกระสอบทราย 3 เมตร ปรากฎว่าน้ำทะลักเข้าท่วม จึงเตือนให้นิคม ไฮเทคหนุน 4 ม. น้ำก็ยังเข้าท่วมอีก จึงเตือนให้นิคมบางปะอินหนุน 5 ม.น้ำก็ยังเข้าท่วมอีก ต่อมาอีก1สัปดาห์ จึงเตือนให้นิคมอื่นๆเช่น นวนคร หนุน 6 เมตร ก็ท่วมตามๆกันมาจนถึงปทุมล่ะค่ะ ดิฉันเลยใช้เรือ 75000 ลำมาดันมวลน้ำก้อนใหญ่ลงสู่อ่าวไทย แล้วค่ะ
...แต่เอ..ไม่รู้เหมือนกันมวลน้ำก้อนไหนยังมาอีก มาท่วมที่ปทุม ศูนย์อพยพของดิฉันที่ม.ธรรมศาตร์ ทะลักมาถึงนิคมบางกะดี่ จนมาจ่อสายไหม ดอนเมือง ดิฉันจึงคิดว่าไหนๆจะท่วมกรุงเทพฯแล้ว ก็ขอให้ท่วมไปเลย ดิฉันจึงสั้งท่านการุณพังคันดินที่คลองประปา เพื่อแบ่งพื้นที่รับน้ำจากปทุม ผ่านมา 2 เดือน ดิฉันคิดว่าสู้ไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ น้ำคงจะท่วมบ้านดิฉันแน่ๆ จึงประกาศ พ.ร.บ. ภัยพิบัติฉุกเฉิน เรื่องก็มีอยู่แค่นี้ล่ะค่ะ ขอโอกาสให้ดิฉันทำงานก่อนนะคะ ดิฉันจะบูรณาการทุกภาคส่วน ให้ท่วมทั่วๆกันก่อนมวลน้ำลงสู่อ่าวไทยค่ะ
ขอโอกาสให้ดิฉันทำงานก่อนเถอะค่ะ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #487 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2554, 21:58:55 »

Thaiflood' ถอนตัว!เเจง รับไม่ได้ "แฉ" ศปภ.เซ็นเซอร์ข้อมูลน้ำท่วม

เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปรเมศวร์ มินศิริ ผู้ดูแลเว็บไซต์ไทยฟลัดดอทคอม (Thaiflood.com) และกรรมการผู้จัดการบริษัท บัณฑิต เซ็นเตอร์ (Kapook.com) ที่มา ช่วยงานภาครัฐกับ ศปภ. ที่กองอำนวยการร่วมมือร่วมใจจากพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรับบริจาคสิ่งของให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม และเปิดให้ผู้มีจิตอาสามาเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือ และรับเรื่องราวต่างๆ ในการที่จะบริจาคนั้น ได้เกิดความขัดแย้งกันในการจัดการกับ ศปภ. ภาคประชาชน ทำให้นายปรเมศวร์ ผู้ที่ดูแลและมีหน้าที่ในส่วนของการให้ข้อมูลข่าวสาร เหตุการณ์น้ำท่วมไม่พอใจการทำงานของ ศปภ. ในการห้ามนำเสนอในข้อมูลดังกล่าว และมีการปิดบังข้อมูลในเรื่องความไม่พอใจในการทำงานของกองอำนวยการ จึงขอแยกกองหน่วยงานข้อมูลข่าวสารน้ำท่วมและผู้ประสบภัยไปตั้งที่อื่น

นายปรเมศวร์ ยอมรับว่าถอนตัวจากศูนย์ ศปภ.จริง พร้อมให้เหตุผลว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ

เพราะถูกกีดกั้นด้านข้อมูล ไม่ยอมรับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ถึงขนาดมีการโทรศัพท์มาขอเซ็นเซอร์ และตรวจสอบข้อมูลก่อนที่จะแถลงข่าว รวมทั้งการบริหารจัดการที่ไม่เป็นเอกภาพ ไม่มีการแจ้งข้อมูลต่อประชาชนอย่างเป็นระบบเพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้

ทำให้กลุ่ม “ไทยฟลัด” ต้องขอแยกตัวไปที่สำนักงาน “ไซเบอร์เวิลด์” ที่รัชดาฯ พร้อมเตือนว่า ภัยธรรมชาติเมื่อบวกกับการบริหารจัดการที่ไม่เป็นระบบ ก็จะกลายเป็นภัยพิบัติ


นายปรเมศวร์ กล่าวต่อว่า ไทยฟลัดได้มาตั้งศูนย์อยู่ที่ดอนเมือง ตามคำเชิญชวนของรัฐบาลตั้งแต่ต้น ช่วงสัปดาห์แรกยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการให้การสนับสนุนข้อมูล เพื่อเตือนภัยแก่ประชาชนเป็นอย่างดี

แต่พอสถานการณ์น้ำท่วมหนักขึ้น ได้ขอเสนอตัวเป็นตัวแทนภาคประชาชนที่จะเข้าไปร่วมให้ข้อมูลแก้ปัญหากับภาครัฐ กลับได้รับการปฏิเสธ แค่ให้ทำหน้าที่ "พีอาร์" (ประชาสัมพันธ์) ข้อมูลที่ ศปภ. จัดมาแถลงเท่านั้น

"ทางไทยฟลัดเห็นว่า ข้อมูลช่วงหลังจากภาครัฐเริ่มไม่พอที่จะนำมาวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่มีการคิดและทำ จึงเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่ไทยฟลัดจะต้องแบ่งกำลังมาอยู่ตรงนี้

รวมทั้งดอนเมืองเองก็มีความเสี่ยงต่อน้ำท่วมสูง และถึงย้ายไปผมก็ยังมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่รัฐ พอที่จะขอประสานข้อมูลกันได้ เรามาอยู่ที่นี่คือต้องการช่วยผู้ประสบภัยอย่างเดียว ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นขั้วการเมืองขั้วใด มีความพยายามจะขอเซ็นเซอร์ข้อมูลของไทยฟลัด ทั้งที่เราพยายามเตือนประชาชนด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช้คำที่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการให้ข้อมูลจริงที่นำไปสู่การตัดสินใจได้" ผู้ดูแลเว็บไซต์ไทยฟลัด กล่าว

นายปรเมศวร์ กล่าวอีกว่า

มีเหตุการณ์ที่รับไม่ได้คือ ล่าสุดที่ไทยฟลัดออกแถลงการเตือนสถานการณ์น้ำท่วม กทม.ออกไป กลับมีการโทรศัพท์จากภาครัฐเข้ามาแสดงความไม่พอใจ อยากให้ปรับเปลี่ยนท่าทีในการออกแถลงการณ์ เช่น ข้อมูลบางอันก็ขอให้ส่งผ่าน ศปภ. ก่อนที่จะมีการนำเสนอ ซึ่งตนบอกว่าทำไม่ได้ เพราะยามวิกฤติประชาชนกำลังรอข้อมูลเพื่อความอยู่รอด แต่กลับจะเอาข้อมูลไปกรองก่อน ที่สำคัญมันยังอาจทำให้ข้อมูลถูกบิดเบือนได้

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เท่าที่ทำงานเป็น ศปภ. มีข้อมูลอะไรที่ประชาชนควรรับรู้ แต่ ศปภ.ไม่เคยให้นั้น นายปรเมศวร์ กล่าวว่า

สิ่งที่ไม่เคยได้รับคือ มาตรการต่างๆ ของภาครัฐในการรองรับปัญหา เช่น มีการประกาศแผนอพยพ แต่ไร้แผนรองรับ ทั้งที่ควรจะบอกชัดเจนก่อนว่าให้อพยพไปไหน ไม่ใช่อยู่ๆ น้ำเข้ามาแล้ว ผู้คนแตกตื่น แต่ไม่รู้ว่าจะต้องอพยพไปไหน เมื่อวานนี้ (21 ต.ค.) นายกฯ แถลงว่าจะปล่อยน้ำให้ระบายผ่าน กทม. เราก็อยากฟังแผนการระบายน้ำ เพื่อจะได้ช่วยคิดช่วยทำ แต่ ศปภ.กลับแถลงแค่ขอเครื่องสูบน้ำจากภาคเอกชน ตนเคยเสนอแผนการระบายน้ำอย่างเป็นระบบที่คลองเปรมมาแล้ว ก็เห็นว่าที่ประชุม ศปภ.เอาไปพิจารณาและเอาไปทำ ก็อยากจะเห็นแผนในลักษณะเดียวกันออกมาจากรัฐบาล ไม่อยากเห็นเพียงว่าพอแก้ปัญหาไม่ได้เพราะไม่เป็นระบบ สุดท้ายก็มาพูดแค่ว่า เราได้ทำเต็มความสามารถแล้วเท่านั้น


รายงานข่าวจาก ศปภ. แจ้งว่า หลังจากกลุ่มไทยฟลัดนำบุคลากรออกไปตั้งที่ทำการใหม่ที่ใช้ในการให้ข้อมูลสถานการณ์น้ำท่วมนั้น ทางมูลนิธิกระจกเงาที่อยู่ด้วยกันภายใน ศปภ. ก็ได้เข้าไปใช้พื้นที่แทนทันที พร้อมติดตั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ดังกล่าว.

'ไทยฟลัด' ถอนตัว! อ้างรับไม่ได้ ศปภ.เซ็นเซอร์ข้อมูลน้ำท่วม
'Thaiflood'
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #488 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2554, 10:31:37 »

เบื้องหลัง!ม.31รัฐบาลหวังใช้งบ กทม.

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


  ประกาศใช้ พ.ร.บ.บรรเทาสาธารณภัย หวังใช้งบ กทม. แก้น้ำท่วมและความเสียหายที่เกิดขึ้นกลายเป็นว่า รัฐบาลต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว

 แหล่งข่าวที่เป็นหนึ่งในคณะทำงานของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.)ที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาของรัฐบาล เปิดเผยว่า การใช้อำนาจตามพ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มาตรา 31  ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศไปใช้นั้น สามารถใช้ในสถานการณ์ภัยที่ไม่ร้ายแรง ไม่ใช่ภัยพิบัติสาธารณะ เพราะผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายกฯอบต. นายกเทศมนตรี ถือว่าเป็นผู้ประสบภัยไปแล้ว จึงไม่สามารถใช้เครื่องมือทางด้านกฎหมายนี้แก้ไขหรือบรรเทาสาธารณภัยได้แล้ว แต่ต้องใช้พ.ร.ก.การบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน

 การที่รัฐบาลประกาศ มาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และตั้งศปภ.ส่วนหน้าโดยให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับประสานงานสั่งการ ของนายกฯ ร่วมกับผู้ว่าฯ กทม. โดยศปภ.จะเป็นผู้สนับสนุน และเสนอแนะการทำงานของกทม. ทั้งนี้ การประสานสั่งการใดๆ ต่อปลัดกระทรวงมหาดไทยจะมีเฉพาะคำสั่งจากศปภ.เท่านั้น และตามมติครม.ระบุว่า หากจังหวัดใดมีการประกาศจังหวัดที่ประสบภัยพิบัติ อำนาจตรงจุดนี้เมื่อเป็นจังหวัดที่ประสบภัยพิบัติ ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถเบิกจ่ายงบประมาณฉุกเฉินได้ 50 ล้านบาท ยกเว้นบางจังหวัดได้ถึง 100 ล้านบาทต่อเดือน โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบ

 อย่างไรก็ตามสถานการณ์ครั้งนี้เมื่อน้ำมาปะทะที่หัวเมืองกรุงเทพฯ ปรากฎว่ารัฐบาลมาใช้อำนาจเพิ่มเติม โดยการใช้อำนาจตามมาตรา 31 เพื่อที่จะควบคุมส่วนราชการทุกส่วนได้ รวมทั้งกองทัพและท้องถิ่น ก็ปรากฎว่าการใช้อำนาจตามมาตรา 31 นายกฯ จะต้องประกาศว่า “อุทกภัยครั้งนี้เป็นสาธารณภัย ร้ายแรงอย่างยิ่ง” ก่อน นายกฯ จึงจะมีอำนาจตามมาตรา 31 ได้ แต่ปรากฎว่านายกฯ กลับใช้อำนาจตามมาตรานี้เลย จึงทำให้ 1.ความเสียหายที่เกิดขึ้นกลายเป็นว่า รัฐบาลต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวโดยที่กทม.ไม่เกี่ยว 2.การที่รัฐบาลใช้อำนาจตามมาตรา 31 นั้น เป้าหมายก็คือต้องการเอางบประมาณของท้องถิ่นของกทม.มาแก้ไขปัญหาน้ำท่วม

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #489 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2554, 10:34:45 »

ผู้เชี่ยวชาญด้านกม.ชี้ พรบ.ป้องกันภัย มาตรา 31 สายไปแล้ว

โดย : สำนักข่าวเนชั่น

ผู้เชี่ยวชาญด้านกม.ชี้รัฐบาลงัดพรบ.ป้องกันภัย สายไป หวั่นเกิดปัญหาความขัดแย้ง โยนความรับผิดชอบ เชื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมต้องใช้ พรก.ฉุกเฉิน

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย เปิดเผยถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้ พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 มาตรา 31 ที่ระบุว่า ในการกำหนดคณะบุคคลรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษรในการเข้าแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ว่า นายกรัฐมนตรีจะต้องประกาศคำสั่งว่าสถานการณ์เป็นภัยพิบัติอย่างร้ายแรงอย่างยิ่งตาม พรบ.ฉบับดังกล่าว นายกรัฐมนตรีถึงจะมีอำนาจตามมาตรา 31 เพราะตาม พรบ.เป็นอำนาจของผู้อำนวยการ คือ รมว.มหาดไทย

แต่กรณีนี้อำนาจของ รมว.มหาดไทย ไปเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี และสามารถสั่งการได้หมด ทั้งราชการส่วนกลาง หน่วยงานของรัฐ แล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะการใช้อำนาจเหนือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งตรงจุดนี้หากนายกรัฐมนตรีสั่งการอะไรไป และทางผุ้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไม่ปฏิบัติทำก็จะมีความผิด แต่การสั่งการจะต้องชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้หากนายกรัฐมนตรียังไม่ได้ประกาศคำสั่งว่าสถานการณ์เป็นภัยพิบัติร้ายแรงอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจตามมาตรา 31 ไม่ได้

 "การประกาศคำสั่งในครั้งนี้ต้องการให้มีอำนาจเหนือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยรัฐบาลจะเป็นเจ้าภาพในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเกิดจากการสั่งการของนายกรัฐมนตรี หรือ ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี คือ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ไม่สามารถสั่งการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครโดยตรงได้

ดังนั้นทาง กทม. ต้องการให้มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะพูดด้วยวาจาคงไม่ทำให้  และเมื่อปฏิบัติตามคำสั่งและเป็นความผิดฐานกระทำความผิดโดยมิชอบไม่ได้ สาเหตุนี้หาทางปลดผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพราะที่ผ่านมาถือว่ามีปัญหาความขัดแย้งของฝ่ายการเมืองกับทางกทม.

อย่างไรก็ตาม น้ำท่วมที่เกิดขึ้นนายกรัฐมนตรีคิดว่ามีอำนาจตาม พรบ.ฉบับดังกล่าว เมื่อนายกรัฐมนตรี สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกิดอุทกภัย ใช้อำนาจไม่ได้เต็มที่  เพราะคิดว่าจะใช้อธิบดีกรมชลประทานก็ใช้ไม่ได้ หรือใช้ทหารก็ไม่ได้ จึงได้ใช้อำนาจการบริหารตาม พรบ.จัดระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน ปี 2534 โดยสั่งการให้กองทัพ หรือ หน่วยงานต่าง ๆ ช่วย

แต่เมื่อหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาช่วยแต่ไม่มีกฎหมายรองรับเลย จึงทำให้ไม่สามารถบูรณาการการทำงานได้ เพราะใช้เครื่องมือผิดคือ พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย” แหล่งข่าวระบุ
 
 ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคนเดิม ชี้ว่า นายกรัฐมนตรีคิดว่ามีอำนาจ แต่จริง ๆ ไม่อำนาจ เพราะการบูรณาการแผนมันเกิดปัญหาตั้งแต่ท้องถิ่นอยากจะทำแบบนั้น แต่รัฐบาลกลับทำอีกอย่าง ก็จะทำให้งานสะเปะสะปะ โดยจะต้องใช้ พรก.ฉุกเฉิน ปี 2548

โดย พรก.ฉบับดังกล่าวมีอยู่ 2 กรณี  คือ 1.ภัยพิบัติอย่างยิ่งของประชาชน เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และ 2.เพื่อความมั่นคงของรัฐ  โดยตั้งแต่เริ่มใช้เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2548 พรก.ฉบับดังกล่าวนำไปใช้ในกรณีความมั่นคงจนคนแหยง และทำให้หลายคนโดยเฉพาะฝ่ายการเมืองไม่เข้าใจว่า พรก.ฉบับดังกล่าว ใช้อำนาจภัยพิบัติร้ายแรงของประชาชนได้ด้วย  เพราะเจตนารมย์ต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องสึนามิ ปรากฎว่ารัฐบาลไม่ใช้เครื่องมือนั้น แต่มาใช้ พรบ.ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งกฎหมายดังกล่าวเป็นเพียงสาธารณภัยที่ใช้วิธีการป้องกัน และบรรเทาภัยเท่านั้น

แต่สถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ไม่ใช่สาธารณภัยธรรมดา แต่เป็นภัยพิบัติอย่างร้ายแรง เครื่องมือ พรบ.ดังกล่าวใช้ไม่ได้ เพราะตัวผู้ประสบภัยในฐานะที่เป็น ผอ.ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะที่เป็นผู้ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตาม พรบ.ฉบับดังกล่าว และแผนป้องกันบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติของฝ่ายพลเรือนเป็นเพียงผู้ประสบภัย ฉะนั้นไม่สามารถแก้ไขภัยของตัวเองได้ เพราะตัวเองก็เป็นผู้ประสบภัย

 ผู้เชี่ยวชาญด้านการกฎหมาย บอกอีกว่า การออก พรก.ฉุกเฉินดีที่สุด เพราะสามารถทำลายสิ่งกีดขวางทางน้ำ ตั้งแต่ถนน ทั้งนี้รัฐบาลไม่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการน้ำได้ดีกว่าทาง กทม.  ดังนั้นจำเป็นจะต้องออกพรก.ฉุกเฉิน เพราะมันคุ้มครองทางด้านกฎหมาย

ที่สำคัญนายกรัฐมนตรีจะมีเอกภาพสามารถสั่งการได้คนเดียว จะมอบหมายให้ทหารทำ หรือ หน่วยงานอื่นทำมันจะเด็ดขาดมากกว่านี้ การทำงานจะต้องมีเอกภาพสั่งการไม่ใช้ต่างคนต่างทำ ขณะนี้น้ำมาทุกทิศทุกทาง วันนี้จะต้องหาคนตัดสินใจเพียงคนเดียว อย่างนายกรัฐมนตรีจะใช้ให้ทหารทำ ทหารก็ไม่กล้าทำ เพราะไม่มีอำนาจ บทบาทของทหารทำได้เพียงการป้องกัน และ อพยพประชาชนได้เพียงจุดหนึ่งเท่านั้น

และข้อเสียอยู่ที่อำนาจะไปรวมศูนย์อยู่ที่นายกรัฐมนตรี ขณะที่ พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จะมีข้อเสียคืออำนาจอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย แต่ขณะนี้ตัวของกระทรวงมหาดไทยคือผู้ประสบภัย ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกเทศมนตรี  องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล ถือว่าเป็นผู้ประสบภัย  ดังนั้นขีดความสามารถตรงนี้มันแก้ไขปัญหาไมได้ เพราะไม่ได้เป็นผู้ป้องกัน แต่กลายเป็นผู้ประสบภัย

ทั้งนี้ถือว่าสายไปแล้วที่จะมาเอาอำนาจตามมาตรา 31 เพราะจะทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง หากน้ำท่วมในพื้นที่ กทม. จะทำให้โยนความรับผิดชอบกันระหว่างนายกรัฐมนตรี กับผู้ว่าราชการ กทม. แต่วันนี้นายกรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบโดยตรงหากเกิดน้ำท่วมใน กทม.
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #490 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2554, 11:21:43 »

“ปรเมศวร์” แฉ ศปภ.ต่อ ที่ไหนไร้ธงแดงอดได้ของบริจาค เชื่อมีคนฉวยโอกาสน้ำท่วมสร้างความแข็งแกร่งตำบลแดง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 ตุลาคม 2554 05:19 น.    


      ผู้ก่อตั้งไทยฟลัด แฉศปภ.ต่อ หมู่บ้านไหนไร้ธงแดงรถบริจาคไม่จอด ของบริจาคก่อนออกจากดอนเมืองต้องให้ ส.ส.เพื่อไทยเซ็นเพื่อเลือกจุดลงของเอง อีกทั้งมีการเอาไปรวมกับคาราวานแดงที่อิมพีเรียลลาดพร้าวด้วย เชื่อมีคนฉวยโอกาสวิกฤตน้ำท่วมสร้างความแข็งแกร่งให้ตำบลแดง พร้อมลั่นทหารทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ส่วนพวกใส่เสื้อสูทเดินไปเดินมาออกกล้อง ชอบเบ่งใส่ประชาชน
      

       วันนี้ 23 ต.ค. เมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. นายปรเมศวร์ มินศิริ เจ้าของเว็บไซต์กระปุกดอตคอม ในฐานะผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ www.thaiflood.com (ไทยฟลัดดอตคอม) ได้เผยแพร่ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว @ iwhale หลังจากที่ ศปภ.ไม่ยอมจบ อ้างเหตุที่ไทยฟลัดถอนตัวเนื่องจากต้องการเข้าร่วมประชุมด้วย แต่ ศปภ.ไม่ยอม โดยนายปรเมศวร์ได้โต้กลับดังนี้
      
       ไทยฟลัด (ThaiFlood.com) แจ้งขอเป็นกรรมการตัวแทนประชาชน ก่อนที่จะเข้าไปอยู่ที่ศูนย์ดอนเมือง ไม่ใช่เพิ่งขอเข้าประชุมทีหลัง เหตุผลที่ต้องการเข้าร่วมประชุมไม่ใช่แค่ขอรับฟังข้อมูลมาบอกกับประชาชน แต่เพื่อนำเสียงจากประชาชนเข้าไปแนะนำรัฐบาลที่ตนเน้นไป
      

       รัฐบาลชุดก่อนมีกรรมการจากตัวแทนประชาชนหลายคน ไม่ใช่แค่ตนคนเดียว รัฐบาลนี้ปกปิดอะไร จึงไม่แต่งตั้งตัวแทนประชาชนเข้าร่วมทำงาน เครือข่ายภาคประชาชน ที่เคยร่วมรับมืออุทกภัยเมื่อปีก่อน ขาดโอกาสในการเข้าร่วม เพราะคนละสี?
      
       “การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม จะต้องก้าวข้ามความเห็นต่าง หลายหมู่บ้านบ่นกันเยอะว่ารถส่งของบริจาคไม่ยอมจอด ถ้าไม่ยอมติดธงแดง” จากข้อความนี้ได้มีโปรดิวเซอร์ช่องระวังภัย ใช้ชื่อทวิตเตอร์ @Jib_Rw มาช่วยยืนยันด้วยว่า “เจอมาจริง”
      

       นายปรเมศวร์เผยอีกว่า รัฐบาลชุดที่แล้วไม่ใช่จะดีอะไรนักหนา แต่ตนไม่เคยเห็นการเอาขบวนเสื้อเหลืองมารับของบริจาคภาครัฐไปแจกอะไรแบบนี้เลย ตนตั้งใจจะช่วยแก้ไขปัญหาแบบก้าวข้ามสี แต่รัฐบาลคิดแบบนี้เหรือเปล่า ไม่ทราบ ตนรู้สึกยินดีกับพี่น้องเสื้อแดงที่อาสามาช่วยงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ที่กล่าวมาไม่ได้จะเหมารวมว่าทุกคน
      
       “มีคนคิดฉวยโอกาส สร้างความเข้มแข็งให้กับ “ตำบลเสื้อแดง” ในช่วงที่มีผู้ประสบภัยมากขนาดนี้ ผ่านกลไกของรัฐ โปรดจับตาให้ดี”
      
       นายปรเมศวร์เผยต่อว่า ผู้ใหญ่จาก ศปภ.โทร.มาว่า “ทำไมไม่ยอมพบกันครึ่งทางเลย” ตนตอบไปว่า ถ้าบ้านคุณน้ำท่วม มีเรือไปรับคุณแล้วส่งแค่ครึ่งทาง คุณเอาไหม การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ผมไม่ประนีประนอม “No compromise” รัฐบาลต้องทำให้เต็มที่ ผมไม่ต่อรองอะไรกับคุณทั้งนั้น!!!
      
       นอกจากนั้น มีผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ @nakus32 ได้ถามว่า ของที่จะออกจากดอนเมืองได้ ส.ส.เขตต้องเป็นคนเซ็นออกจริงหรือเปล่า นายปรเมศวร์ตอบว่า “จริงครับ เขาเลือกจุดลงเอง”
      
       เสื้อแดงกำลังโจมตีดิสเครดิตว่าตนไม่ทำงาน จึงต้องขอชี้แจงดังนี้ นโยบายของ @nuling (นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด) คือ “ศปภ.ตำบล” ตนเคารพในแนวคิด แต่เห็นต่าง ตนจะหนุนให้พื้นที่ที่เข้มแข็งแล้วดูแลผู้ประสบภัยให้ได้ ไม่จัดตั้งใหม่ ทาง @nuling บอกว่าเขาจะประจำที่ดอนเมืองตลอดเวลา ส่วนผมต้องวิ่งรอกหลายที่ เช่น ศูนย์อาสาสมัครบ้านอาสาใจดี, ศูนย์กระจายความช่วยเหลือที่ ตจว. ติดตั้งระบบเตือนระดับน้ำที่ปากเกร็ด คลองแสนแสบ หน้าสรรพาวุธ สน.ดุสิต (เพื่อประสานกับวังสวนจิตร) และอีกหลายจุดผมไปคุมงานเอง

      
       ศูนย์ที่พิษณุโลกส่งของด่วนผ่านนกแอร์ไปนครสวรรค์ รถจากกรุงเทพฯ ไปไม่ได้ เราส่งไปแล้วมากกว่า 50 ตัน เน้นของใช้ รพ.แม่และเด็ก ในฐานะวิศวกร จากรั้วสามย่าน ตนสำรวจวางแผนการระบายน้ำในคลองด้วยตัวเอง ทำแผนเสนอรัฐบาล ถนนข้างวังสวนจิตรน้ำต้องไม่ล้นออกมา เจ้าหน้าที่รัฐเหนื่อย ทหารเหนื่อย ทุกคนเหนื่อย แต่จะเหนื่อยน้อยกว่านี้ถ้ารัฐบาลร่วมกันคิดทำเพื่อประชาชนให้มากกว่านี้  ตนไม่ได้ต้องการโฆษณาการทำงานของตัวเอง จนกระทั่งมีทวิตเสื้อแดงกล่าวหาว่าตนสร้างภาพ ไม่ทำงาน ต้องขออภัยที่จำเป็นต้องพูดบ้าง
      
       โดยก่อนหน้านี้นายปรเมศวร์ได้ทวีตข้อความวิพากษ์วิจารณ์ ศปภ.ด้วยว่า “ที่ผมทำงานได้เพราะได้ความร่วมมือจากข้าราชการ ทหาร ตำรวจ อาสา ที่มีจิตใจดีทั้งสิ้น นักการเมืองแย่ๆ กั๊กเอาพวกพ้องอย่างเดียว”
      
       “ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนไทย กลายเป็นของเล่นของนักการเมืองเห็นแก่ตัวไม่กี่คนที่กำลังเพลินกับการใช้งบประมาณฉุกเฉิน”
      
       “ศปภ.ส่งคนมาขู่ถึงศูนย์ มีพยานฟังเพียบ อ้างกฎหมาย อ้างชื่อนายทหาร จะให้ผมหยุดบางทวีตครับ”
      
       นอกจากนั้น นายปรเมศวร์ได้เผยแพร่ภาพ ร่วมกับข้อความในการโต้กลับ ศปภ.ครั้งนี้ด้วย




ของบริจาคเข้าสำนักนายกจำนวนมาก ถูกขนไปร่วมคาราวานเสื้อแดงที่อิมพีเรียลลาดพร้าว จริงหรือไม่
      

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #491 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2554, 16:09:22 »



      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #492 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2554, 16:10:58 »



      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #493 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2554, 16:12:35 »



      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #494 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2554, 20:59:26 »

เฟซบุ๊ก ศปภ.ออกลายแดง! สับ “สื่อเนชั่น” เล่นน้ำท่วมหวังธุรกิจ - ชาวเน็ตกังขาสื่อทางการจริงหรือ
 

 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 ตุลาคม 2554
 
 
 ASTVผู้จัดการ - เฟซบุ๊ก ศปภ.โพสต์ด่าสื่อเนชั่น เอาเรื่องน้ำท่วมช่วยนักการเมืองฉวยโอกาสทางธุรกิจ ชาวเน็ตสุดทนถามวุฒิภาวะ กังขามาช่วยหรือมาเสี้ยม ไล่ไปทำหน้าที่ให้ดีเสียก่อน สุดท้ายทนเสียงด่าไม่ไหวลบข้อความหนี แฉพบพฤติกรรมหนุนแก๊งแดงเพียบ
       

       วันนี้ (23 ต.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. เฟซบุ๊กของ “ศปภ.ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย” ได้โพสต์ข้อความระบุว่า NationGroup เป็นอีก 1 กลุ่มสื่อ ที่เอาความเดือดร้อนประชาชน ช่วยนักการเมือง หวังฉวยโอกาสทางธุรกิจ โดยภายหลังข้อความนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นไม่พอใจวุฒิภาวะของผู้ดูแลหน้าเฟซบุกของ ศปภ.จำนวนมาก อาทิ Gib Panatda โพสต์ความเห็นระบุว่า “พูดความจริงซะที ตอนนี้สื่อมวลชนกับองค์กรอิสระน่าเชื่อถือกว่า ศปภ.อีก แถลงทีไร ต้องเปลี่ยนช่องทุกที”
       
       Charlotte Tk โพสต์ว่า “มาเตือนสติ เอาเวลาที่มานั่งด่าคนอื่น มาทำให้คนอื่นด่า ศปภ.ให้น้อยลงดีกว่ามั้ยค่ะ น้ำท่วมเยอะแยะไม่ไปแก้ไขและป้องกันล่ะค่ะ มัวนั่งแหกปากอยู่ได้ เนี่ยหรอ หน่วยงานที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาช่วยเหลือประชาชน สถุนว่ะ” ส่วน Kungging Laddawan โพสต์ว่า “วุฒิภาวะของคนทำงานให้ ศปภ.มีแค่นี้เองเหรอ” ขณะที่ Sophon Montreevichikul โพสต์ในทำนองเช่นกันว่า “admin ที่ดูแลระบบ ขาดวุฒิภาวะมาก แย่”
       
       Sirasupa Rattanaprakarn โพสต์ว่า “ประเมินสมองประชาชนต่ำไปป่ะคะ ปชช.เค้ารู้ดีว่าต้องเชื่อและไม่เชื่อสื่อไหน ไม่ต้องมาบอกให้ตัวเองดูแย่หรอกคะ ปชช.หมดศรัทธา”
       
       Kwan Gift โพสต์ว่า “คนดูแลเพจนี้ควรพิจารณาตัวเองนะคะ มาช่วยหรือแฝงตัวมาเสี้ยม สังคมแย่เพราะมีคนแบบนี้ รายงานข่าวตามปกติไม่เป็นต้องใส่ความเห็นยัดเยียด อย่ามาทำดีกว่าถ้าใจคุณอคติ” ส่วน Plus Pat โพสต์ว่า “ศปภ.เอาเวลาไปช่วยเหลือน้ำท่วมไม่ดีกว่า อย่าลืมว่า ศปภแปลว่าอะไร ไม่ได้มีไว้วิจารณ์คนอื่น ชาวบ้านเดือดร้อนและล้มตายไปเยอะแล้ว”
       
       Watcharin Ketkorn โพสต์ว่า “ศปภ.อย่าลืมว่าคุณทำหน้าที่อะไรอยู่ อย่าว่าคนอื่น หน้าที่คุณคือ นำเสนอข่าวสารที่เป็นจริง เตือนช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่ตั้งมาเพื่อวิจารณ์คนโน้นคนนั้น ทำหน้าที่ตนเองให้ดีก่อนครับ”
       
       Aor Wiriya โพสต์ว่า “พวกคุณทำหน้าที่ที่พวกคุณรับผิดชอบมาได้ดีหรือยัง...ทุกวันนี้พวกคุณยังสับสนกันเองอยู่เลย..สื่อเค้าต้องการเสนอความจริงแต่พวกคุณกลับบิดเบือนแบบนี้มันหมายความว่ายังไง...อย่ามาเหมารวมคนที่เค้าอยู่คนละข้างกับคุณให้เป็นเหมือนพวกคุณสิ..... เพราะประเทศไทยมีคนอย่างพวกคุณบริหารนั่นแหล่ะมันถึงไม่เจริญซักที.... คุณธรรมจริยธรรมหายไปไหน.. นี่หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ...คณะรัฐมนตรี...คนดีๆ คุณไม่เลือกเค้ามาบริหาร.. มันไม่ผิดจากที่คุณหนูดีทวิตไว้จริงๆ”
       
       Tukmor Coffeeman โพสต์ว่า “สื่อมีอิสระในการนำเสนอนะครับ แล้วประชาชนก็มีอิสระในการรับชมข่าวแล้วใช่วิจารณญาณในการรับข่าวสาร ในความคิดของผมนะคับ ศปภ.มีหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือแล้วแจ้งเตือนข่าวสารเกียวกับเหตุภัยพิบัติ ที่ชัดเจนถูกต้องให้กับประชาชนนะคับ แล้วประชาชนจะตัดสินใจเองคับว่าจะเชื่อไคร ไงก็ทำหน้าที่ของ ศปภ.ให้เต็มที่นะคับ มาวิพากษ์วิจารณ์สื่อแบบนี้ยิ้งจะทำให้ภาพลักษณ์ดูแย่ลงนะคับ สู้ๆ คับ”
       
       Khaisri Wisutthipinetr โพสต์ว่า “หน้าที่ที่มีทำให้ดีเสียก่อน ทุกวันนี้ข้อมูลน้ำท่วม ปชช.ต้องดิ้นรนหา สอบถามกันเอง ทุกอย่างที่ ศปภ.ประกาศออกมา นอกจากไม่น่าเชื่อแล้วยังยิ่งสร้างความไม่มั่นใจให้ ปชช.อีก ทุกครั้งที่บอกไม่ท่วมก็หมายถึงท่วมแน่ๆ ชะโงกดูเงาตัวเองในน้ำท่วมหน้าศูนย์บ้างนะว่าทำดีแค่ไหน ทำไม ปชช.หรือสื่อจะวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้”
       
       Amy Jaa โพสต์ว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม ศปภ.ถึงไม่ได้รับความเชื่อถือ ทำไมถึงมีการถอนตัวจะมาดูสถานการณ์น้ำท่วม เครียดจะตายอยู่แล้วกับเรืองน้ำ เข้ามาเจอเรื่องแบบนี้ ลาขาดแล้วค่ะ”
       
       อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 11.00 น.ที่ผ่านมา ผู้ดูแลเฟซบุ๊ก ศปภ.ได้ลบข้อความไปแล้วอย่างรวดเร็ว
       
       โดยก่อนหน้านี้แฟนเพจดังกล่าวก็ได้เคยอัปโหลดภาพปริมาณน้ำเขื่อนภูมิพลลงในอัลบั้มของแฟนเพจด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นหลังจากที่ นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้แถลงข่าวกรณีดังกล่าวร่วมกับแกนนำคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งมีการโพสต์ข้อความผิดพลาดในอีกหลายกรณี ขณะที่การโพสต์ข้อความส่วนใหญ่มักจะเป็นการนำข่าวจากสื่อต่างๆ หรือบอกเล่าความต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลโดยตรงของทาง ศปภ. รวมไปถึงการนำคำพูดจากทวิตเตอร์ของบุคคลใกล้ชิดกับรัฐบาลที่ตอบโต้กับบุคคลอื่นมาเผยแพร่ด้วย จึงมีการตั้งข้อสังเกตุว่าแฟนเพจดังกล่าวเป็นแฟนเพจอย่างเป็นทางการของ ศปภ.จริงหรือไม่ เนื่องจากทางศปภ.ก็ไม่เคยมีหนังสือว่าได้ใช้เว็บไซต์เฟซบุกเป็นสื่อกลางในการสื่อสารกับประชาชน

 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #495 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2554, 20:10:00 »

“กรณ์” แฉ “ปู” กั๊ก เปิดประตูระบายน้ำสมุทรปราการ เหตุกลัวเสียคะแนนเสียง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 ตุลาคม 2554 17:45 น.    

   
บันทึก “อำนาจอยู่ในมือ” ในเฟซบุ๊กของนายกรณ์ จาติกวณิช
ซึ่งเขียนวิพากษ์วิจารณ์การแก้ปัญหาน้ำท่วม
 และการระบายน้ำลงสู่ทะเลของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

       ASTVผู้จัดการ – กรณ์ จาติกวณิช ป้อง กทม.พยายามเร่งระบายน้ำแล้วจนคลองตื้น แฉภาพ “รัฐบาลปู” ยังไม่อนุมัติเปิดประตูระบายน้ำที่สมุทรปราการทั้งหมด เหตุกลัวน้ำเอ่อท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ทำเอาเสียคะแนนเสียง จี้ตัดสินใจเด็ดขาด-แจงประชาชน อัดอย่ามัวแต่โทษคนอื่น เพราะตัวเองมีอำนาจเต็มในมือ
       
       วันนี้ (24 ต.ค.) เมื่อเวลา 17.00 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เขียนบันทึกลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่อง “อำนาจอยู่ในมือ” โดยระบุถึงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานครในขณะนี้ ว่า ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลางและกรุงเทพมหานครนั้น สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ ก็คือ การระบายน้ำลงสู่ทะเล ผ่านแม่น้ำและคูคลองต่างๆ
       
       ทั้งนี้ นายกรณ์ ยืนยันว่า กรุงเทพมหานครภายใต้การดูแลของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ดำเนินการระบายน้ำอย่างเต็มที่แล้วเพื่อเตรียมรองรับน้ำเหนือที่ไหลลงมาในพื้นที่ กทม.
       
       “เวลานี้ชัดเจนกันทุกฝ่ายว่าสิ่งที่ต้องเร่งทำ คือ ‘ระบายน้ำลงทะเล’ ทางใหญ่ที่สุด คือ ลงเจ้าพระยา ตามด้วยบางประกง และคลองต่างๆ ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯและสมุทรปราการ นึกภาพดูว่าเจ้าพระยากว้าง ราวๆ 300 เมตร ขณะที่่คลองอย่างเก่งก็ 10 เมตร และตื้นกว่าด้วย เจ้าพระยาจึงเป็นเส้นทางหลักของน้ำ
       
       “วันนี้คำถาม คือ กรุงเทพฯ ระบายออกทางคลองต่างๆ เต็มที่หรือยัง คำตอบที่ได้รับคือ ‘เต็มที่แล้ว’ แต่น้ำในคลองยังน้อยเพราะน้ำเหนือจากคลองสองยังลงมาไม่ถึง และต้องระบายให้ตื้นไว้น้ำจึงจะไหลลงมาได้ ส่วนน้ำที่ต้องผันไปทางบางประกง และลงทะเลที่สมุทรปราการ เราได้ยินว่า ‘ทางรัฐบาลยังไม่ได้อนุมัติให้เปิดประตูระบายน้ำ’ เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากชุมชนที่กังวลว่า น้ำจะเอ่อเข้าบ้านเขา” นายกรณ์กล่าว
       
       พร้อมกันนี้ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังได้แสดงภาพประตูระบายน้ำประเวศบุรีรมย์ (คลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต) ณ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ โดยระบุว่า จากการตรวจสอบพบว่ามีการเปิดประตูน้ำเพียง 4 ประตูจาก 20 ประตู ทำให้การระบายน้ำไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วเท่าที่ควร และวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่ารัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจะต้องมีความเด็ดขาดในการตัดสินใจ เร่งทำความเข้าใจกับชาวบ้านที่อาจได้รับผลกระทบจากการเร่งระบายน้ำ และไม่ควรกล่าวโทษคนอื่น เพราะอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจอยู่ในมือตัวเองแล้ว


ภาพประตูน้ำประเวศบุรีรมย์ที่นายกรณ์ระบุว่า รบ.ยิ่งลักษณ์ยังไม่อนุมัติให้เปิดเต็มที่ เพราะเกรงจะกระทบกับชาวบ้านในพื้นที่ จ.สมุทรปราการซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย (ภาพจากเฟซบุ๊กนายกรณ์)
       “ความขัดแย้งระหว่างหน่วยงาน ไม่มีครับ เพียงแต่รัฐต้องตัดสินใจเด็ดขาด ในการทำความเข้าใจกับชาวบ้านที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการเร่งระบายน้ำ และต่อคำถามว่า ... ปล่อยให้ น้ำท่วมกรุงเทพฯ แล้วจะทำให้น้ำทั้งหมดลงทะเลเร็วขึ้นไหมและคุ้มต่อความเสียหายต่างๆหรือไม่ รัฐบาลมีหน้าที่ต้องตัดสินใจ แล้วรีบดำเนินการโดยด่วน !!!
       
       “อย่าโทษ คนโน้น คนนี้ครับ ‘อำนาจเด็ดขาด’ อยู่ในมือโทษใครคนอื่นไม่ได้” นายกรณ์ กล่าวทิ้งท้าย
       

       เมื่อผู้สื่อข่าวตรวจสอบรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 7 เขต ของจังหวัดสมุทรปราการ ก็พบว่า เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย 6 เขต และ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย 1 เขต โดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้
       
       เขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดสมุทรปราการ - นางอรุณลักษณ์ กิจเลิศไพโรจน์ พรรคเพื่อไทย
       เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดสมุทรปราการ - นายประเสริฐ ชัยกิจเด่นนภาลัย พรรคเพื่อไทย
       เขตเลือกตั้งที่ 3 จังหวัดสมุทรปราการ - นางอนุสรา ยังตรง พรรคเพื่อไทย
       เขตเลือกตั้งที่ 4 จังหวัดสมุทรปราการ - นายวรชัย เหมะ พรรคเพื่อไทย
       เขตเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดสมุทรปราการ - นางสลิลทิพย์ สุขวัฒน์ พรรคเพื่อไทย
       เขตเลือกตั้งที่ 6 จังหวัดสมุทรปราการ - นางสาวเรวดี รัศมิทัต พรรคภูมิใจไทย
       เขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดสมุทรปราการ - นายประชา ประสพดี พรรคเพื่อไทย


      

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #496 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2554, 20:23:37 »

ความเชื่อและความจริงที่จะทำให้บ้านเมืองล่มสลาย
โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ    24 ตุลาคม 2554     

   
       “The public are sick and tired of politics, they are sick and tired of the machinations of elected office in a media age, and I think it’s quite good having a Head of State that’s completely to one side of that. ประชาชนเบื่อหน่ายและเหม็นขี้หน้านักการเมือง เบื่อหน่ายและเอือมระอากับกลไกที่มาจากการเลือกตั้งกับยุคสื่อในยุคปัจจุบัน ข้าพเจ้าคิดว่ายังดีที่เรามีประมุขแห่งรัฐที่อยู่คนละฝั่งกับการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด” (Simon Upton, รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมนิวซีแลนด์, มีนาคม 1994)
       

       “การถวายคืนพระราชอำนาจเป็นโอกาสที่เราจะสังคายนาการเมืองไทย อย่ากลัวว่าในหลวงจะทรงใช้ผิดครรลองประชาธิปไตย แม้ถวายอำนาจที่ผิดให้ก็จะไม่ทรงรับ ตัวอย่างรัฐธรรมนูญที่ผมร่วมร่าง (2516) ให้องคมนตรีลงนามสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก ทรงส่งคืนพร้อมกับพระราชวินิจฉัยว่าทำไม่ได้ พระมหา กษัตริย์ต้องเป็นกลาง”
       

       “ขณะนี้น้ำท่วม คนไทยโหยหาอยากพึ่งบารมีและพระอัจฉริยะของในหลวง และเห็นแล้วว่าความอืดอาดยืดยาดทำไปกินไปของนักการเมืองนั้นเป็นอย่างไร”
       
       ข้อความข้างบนนี้ ตอกย้ำความฉลาดของคนนิวซีแลนด์ เช่นเดียวกับคนแคนาดา และออสเตรเลียที่เขาเลือกอยู่ใต้ระบบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ทั้งที่กษัตริย์ต้องไปยืมมาจากอังกฤษ และนานๆ จึงจะมาเยี่ยมประชาชนที ทั้งนี้ เพราะเขาไม่อยากตกอยู่ใต้นักการเมืองเลือกตั้งที่ทำให้เบื่อหน่ายเอือมระอา คนแล้วคนเล่
       
       ผมได้เขียนบทความเรื่อง “น้ำท่วมฉิบหาย ตายกันเป็นเบือ เบื่อนักการเมืองโว้ย ” ลงในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ผมได้ย้ำให้ท่านผู้อ่านได้คิดถึงความสำคัญของ “ความเชื่อ” ในทางการเมือง ซึ่งมักจะมีความสำคัญมากกว่า “ความจริง” เสียอีก
       
       “ความเชื่อ” อย่างหนึ่งที่คนไทยไม่น้อยพากันเชื่อ หรืออยากจะเชื่อ ก็คือ อาเพศของการมีผู้นำประเทศเป็นหญิง โดยมีผู้ยกเอาคำทำนายรัตนโกสินทร์ ฉบับปรับปรุงใหม่ที่อ้าง (และปฏิเสธแล้ว) ว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นผู้ลิขิต ดังนี้ “ ผู้ปกครอง จะเป็นหญิง พึงระวัง สายน้ำหลั่ง กรากเชี่ยว หวาดเสียวใจ” มีผู้คนไม่น้อยที่ด่าทอสาปแช่งยิ่งลักษณ์ในเรื่องที่มิใช่ความผิดของนาง
       
       ในขณะที่ผมเสียใจและเห็นใจอย่างยิ่งกับความสูญเสียของพี่น้องชาวไทย ผมอดคิดไม่ได้ว่าหากการเมือง ภาวะผู้นำ และการบริหารจัดการวิกฤตของประเทศเราดีกว่านี้ บ้านเมืองคงจะไม่ต้องล่มจมกว่านี้ หรือคงไม่ถึงกับจะต้องเอาอิสตรีที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดินมาผูกโบใส่กล่องสีแดง ตะแบงขึ้นนั่งบัลลังก์ ผู้คนคงจะไม่พากันแตกตื่นเล่าลือกันในทางเหลวไหลมากมาย
       
       ส่วนใหญ่คงจะมิใช่เป็นเพราะพื้นฐานการศึกษา ความฉลาดหรือความโง่ซึ่งไม่น่าจะต่างกันนักหนา แต่เห็นจะเป็นเพราะ “ความเชื่อ” หรือ “การเลือกข้าง” ทางการเมืองมากกว่า ความเชื่อทางการเมืองนี้ทำให้คนหลับหูหลับตาได้ ไม่ว่าจะมีการศึกษาสูงเป็นนายแพทย์หรือดุษฎีบัณฑิตจบนอกจบใน ก็ไม่วิเศษกว่าตาสีตาสาสักกี่มากน้อย (อันนี้ ผมยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง มิใช่ความเชื่อ)
       
       ความเชื่อว่าน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำท่วมที่ล้มเหลวอย่างแรงคราวนี้ เป็นความผิดหรือจะโทษใครดี ผมได้ยินหรือประสบมาด้วยตนเองมีถึง 4-5 อย่าง เรียงลำดับตามความบ่อยของการได้เห็นหรือได้ยิน
       
       1. โทษเขื่อนภูมิพลและโทษเขื่อนสิริกิติ์ ตลอดจนผู้พระราชทานนามว่าต้องการแกล้งทักษิณ รัฐบาลและสมุนบริวารเสื้อแดง การเผยแพร่ความเชื่อแบบคาบลูกคาบดอกนี้ปรากฏทั้งอยู่ในยูทูป วิทยุชุมชนและการบอกเล่าของคนขับแท็กซี่ ที่หน้าบ้านผมเอง เจ้าของร้านอาหารถึงกับจะวางมวยไม่ยอมขายให้เจ้าของร้านวัสดุก่อสร้างที่เลือดสีแดงเต็มตัวต้องการเผยแพร่ความเชื่อของตนเองให้ปรากฏ
       
       2. ดร.ไสว บุญมา จากธนาคารโลก วอชิงตัน ดี.ซี. กลับมาเยี่ยมบ้าน ก็ได้รับรายงานฉอดๆ จากคนขับรถแท็กซี่ว่าสาเหตุที่บ้านเมืองน้ำท่วมก็เพราะ “ไอ้มาร์ค” กับ “พรรคประชาธิปัตย์” มันวางยาไว้รัฐบาลจะได้เสียหน้าอยู่ไม่ได้ พร้อมทั้งยืนยันว่า ถ้าไม่จริงวิทยุชุมชนเขาจะเอาที่ไหนมาพูด
       
       3. รัฐบาลนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีไร้เดียงสาขาดภาวะผู้นำ ความรู้ต่ำอ่อนด้อยต้องคอยฟังคำสั่ง และถูกรายล้อมด้วยนักการเมือง ข้าราชการขอรับกระผม และนักวิชาการปัญญาอ่อน จึงมิสามารถนำหลักการนักวิชาการและเครื่องมือที่ถูกต้องแท้จริงและมีอยู่พร้อมในประเทศไทยมาใช้ให้ได้ผลทันท่วงทีได้
       

       4. นักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่นตลอดจนหน่วยราชการที่เป็นทาสคอยเกาะกิน พากันแทรกแซงซ้ำเติมการป้องกัน-บรรเทา สงเคราะห์และการเตรียมรื้อฟื้นด้วยการโยกโย้ โยกย้าย ถ่วงดึงการทำงานเพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดในการงาบและเบียดบังงบประมาณตลอดจนการหาเสียงและป้องกันฐานเสียงของตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติและเพื่อนบ้าน ยกตัวอย่าง สุพรรณบุรี
       
       5. ระบอบทักษิณวางแผนทอนกำลังและทำลายความเชื่อถือของประชาชนที่มีอยู่กับทุกสถาบัน เพื่อทำให้เกิดความเสียหายอย่างถึงที่สุด เกิดสภาพโกรธแค้น สิ้นหวังชิงชัง และมองหาทางออกอื่นมิได้นอกจากการพึ่งทักษิณคนเดียว เป็นการปูทางให้ทักษิณสามารถกลับสู่อำนาจและทำการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบรัฐใหม่ของฝ่ายแดงได้
       

       ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ อะไรจะจริง อะไรจะเท็จ หรือข้อใดจะบวกกับข้ออื่นได้อย่างไรบ้างหรือไม่นั้น สังคมไทยมีสิทธิ์จะใคร่ครวญ วิเคราะห์วิจารณ์ หรือสำรวจหาข้อมูลและความจริงได้
       
       แต่ที่เราจะต้องยอมรับกัน ณ วันนี้โดยไม่มีข้อแก้ตัวก็คือ การป้องกันภัยพิบัติด้วยการวางแผนล่วงหน้าที่พอเพียง การเตือนภัยที่เชื่อถือได้ การบรรเทาความเสียหายและเดือดร้อนมิให้ลุกลาม ด้วยระบบการจัดการ กลไกและเทคโนโลยีที่เหมาะสมนั้นได้ล้มเหลวลงและเชื่อถือไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว
       
       ภัยหลังน้ำท่วม ต่อระบบการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน และการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ลูกหลานบ้านเมืองและประชาชนจะหนักยิ่งขึ้นกว่าเก่าเป็นร้อยเท่าพันทวี ยังไม่เห็นมีหน้าไหนจะมีปัญญา ความกล้าหาญ และความเสียสละที่จะออกมากอบกู้ช่วยเหลือได้
       
       นอกจากประชาชนและพระสยามเทวาธิราช ใครจะช่วยประเทศไทยได้

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #497 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2554, 09:44:59 »

ทางเลือก ทางรอด

โดย : รักษ์ มนตรี mo_tri@hotmail.com


ที่แยกบางพลู ตลาดบางบัวทอง ทุกอย่างยังสับสนอลหม่าน พ่อแม่ลูกเสื้อเปียกปอน นั่งล้อมกองกระเป๋าสัมภาระที่นำเอาติดตัวออกมาได้

  มองดูทดท้อสิ้นหวัง แว่วเสียงเพลง "อย่ายอมแพ้" ดังมาจากสถานีโทรทัศน์ ไม่ได้ทำให้พ่อแม่ลูกกลุ่มนี้ รู้สึกดีขึ้น พ่อขบกรามแน่น มือทั้ง 10 นิ้วกำแน่นทั้งสองข้าง นางผู้เป็นภรรยา เอื้อมมือไปลูบไหล่ลูกสาว

 ความสับสนอลหม่าน แผ่กว้างไปที่ตลาดบางใหญ่ บิ๊กซี บิ๊กคิงส์ หมู่บ้านบางบัวทอง
กะละมังซักผ้าคือความช่วยเหลือแรกที่ชาวบ้านจะนำสิ่งของมีค่าออกจากบ้านพักเพื่อมาหาโอกาสของชีวิตที่ริมถนนใหญ่
และรอรับความช่วยเหลือส่งต่อไปยังศูนย์อพยพ โดยความช่วยเหลือของทหารทั้ง 3 เหล่าทัพ

 ไร้วี่แววของตำรวจ "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" ที่จะออกมาช่วยประชาชน เพราะตำรวจคือเจ้าของพื้นที่ รู้ทุกตรอกซอกซอยในเขตพื้นที่ แต่กลับปล่อยให้ทหารคลำทางช่วยประชาชนต่อไป

 เพลง "อย่ายอมแพ้" ดังออกมาจากสถานีโทรทัศน์ที่ไหนสักแห่ง หนุ่มวัยกลางคน เบือนหน้าหนี มองขึ้นไปยังท้องฟ้ามืดมิดดำสนิท มันช่างเหมือนโอกาสทางชีวิตของเขา ที่เพิ่งกลับออกมาจากบ้านที่ถูกน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร

 บ้านที่เขาและภรรยากู้เงินธนาคารซื้อบ้านชั้นเดียว ตามฐานะการงาน ตลอด 10 ปี ค่อยๆ เก็บหอมรอมริบซื้อสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน เมื่อน้ำมา ข้าวของที่สั่งสมมา 10 ปี ทั้งตู้เสื้อผ้า เตียงนอน ที่แม้จะยกขึ้นที่สูงที่สุดตามสภาพบ้านชั้นเดียว แต่ก็ไม่พ้นจากระดับน้ำ สิ่งที่เหลือใช้ได้ในบ้านคือ โครงหลังคา ที่เหลือคือการเริ่ม "นับหนึ่งใหม่"

 0000

 ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติ จาก ม.รังสิต มองแนวทางการแก้ปัญหาภัยพิบัติ "ระยะยาว" คือ 2 p (Preparedness และ Prevention) และ 2 R (Response และ Recovery) เพื่อแก้ปัญหาทั้งประเทศเชิงรุก

 "ผมเคยบอกนายกรัฐมนตรี ว่า การบริหารจัดการภัยพิบัติจะทำงานเชิงขอร้องไม่ได้ ต้องทุบโต๊ะจัดการเลย รัฐบาลต้องกระตือรือร้น การแก้ปัญหาในระยะยาว ถ้าทำได้จะไม่เกิดการทะเลาะกันเรื่องการปล่อยน้ำ ถ้าประเมินว่าจะปล่อยน้ำแค่ไหน ก็ไม่เกิดปัญหา...ต้องเตรียมการ 7-8 เดือนเพื่อป้องกันน้ำหลากปีหน้า ทั้งเตรียมทำคันดินชั่วคราวหรืออ่างเก็บน้ำตรงไหน ต้องประเมินให้ได้"

 ดร.เสรี บอกว่า ที่ผ่านมารัฐบาลทำแค่การจัดการในภาวะฉุกเฉิน (R : Response) และการจัดการหลังการเกิดภัย (R : Recovery) แต่ไม่ได้ทำเรื่องการเตรียมความพร้อมรับภัย (P:Preparedness) และการป้องกันและลดผลกระทบจากภัย (P : Prevention)

 "ผมคิดว่า ถ้าไม่จัดการอย่างเป็นระบบ ประเทศจะล่มจม ผมอยากให้รัฐทำจริงจัง เพราะเหตุปัจจัยเรื่องแผ่นดินทรุดตัว ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ฝนที่ตกมากขึ้น เป็นปัจจัยความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ประกอบกับปรากฏการณ์ลานีญา จะกลับมาอีกครั้ง"

0000

 แม่ผมโทรศัพท์มาจากบ้านนอก ถามว่าบ้านที่กรุงเทพฯ น้ำท่วมแล้ว กลับมาอยู่บ้านเราไหม?
 ครับ อีสานบ้านผมน้ำไม่ท่วม ข้าวในนากำลังตั้งท้อง อีกไม่นานทุ่งรวงทองจะเหลืองอร่าม

 คนที่ผมรู้จักหลายคนที่เป็นแรงงานนิคมอุตสาหกรรมในพระนครศรีอยุธยา ล่วงหน้ากลับบ้านนอกก่อนผมแล้ว
 แม่บอกกับผมว่า "กลับมาอยู่บ้านเราไม่อดตายหรอก"

แม้ว่าผมจะรอด แต่ถ้าการแก้ปัญหายังเป็นไปอย่างนี้บ้านเมืองก็ "ล่มจม" อยู่ดี แล้วผมกับพี่น้องคนไทยจะอยู่อย่างไร
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #498 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2554, 22:13:31 »

เกาะกระแส
       โดย...ก้อนกรวด
       
       00 น้ำท่วมใหญ่เที่ยวนี้มองอีกมุมหนึ่งมันก็ได้เห็นอารมณ์ทุรนของคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะพวก ส.ส.พรรคเพื่อไทยทั้งในต่างจังหวัด และในกรุงเทพฯที่เป็นพื้นที่รับน้ำปลายทาง โดยเฉพาะ ส.ส.ในกลุ่มหลังที่กำลังกระสับกระส่ายกับผลงานอันห่วยแตกของรัฐบาลตัวเอง สิ่งที่ทำได้เวลานี้ก็คือพยายามบิดเบือนกลบเกลื่อน “โยนขี้” ใส่ฝ่ายตรงข้ามเอาดื้อๆว่าไร้น้ำยาในการแก้ปัญหาโดยสิ้นเชิง ความหมายก็ต้องการส่งตรงถึงผู้ว่าฯ กทม.
       
       00 แม้จะรู้ว่าการกล่าวหาแบบนั้นอาจจะไม่ได้ผล เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไป คนรู้ทันมากขึ้น และที่สำคัญความพินาศย่อยยับที่เห็นตำตา ตามต่างจังหวัดตั้งแต่ภาคเหนือจนถึงภาคกลาง มาจนถึงกรุงเทพฯมันประจานให้เห็นว่า ไร้ประสิทธิภาพ มีแต่ราคาคุย ของปลอมจนสร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสอย่างที่ไม่เคยประกฎมาก่อน แต่ของอย่างนี้ในระยะเริ่มต้นอาจยังไม่ค่อยเชื่อกันนัก ยังคิดว่า “ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ” นี่สุดเจ๋ง เป็นเทวดา แต่ถ้ายังเชื่ออย่างนั้นก็ให้เตรียมตัวรับหายนะเอาไว้ก็แล้วกัน
       
       00 ไม่ว่าฝนจะตก น้ำจะท่วม ฟ้าจะถล่ม แต่การรุกคืบเพื่อกระชับอำนาจเพื่อ “พวกกู-ของกู” ก็ยังดำเนินไปอย่างเข้มข้น ล่าสุดหวยก็ไปออกที่ พีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผู้ว่าฯปทุมธานีเป็นอันดับแรก เมื่อฝ่ายการเมืองที่ฉวยจังหวะกดดันกันมาเป็นทอดๆ นั่นคือผ่าน ยงยุทธ วิชัยดิษฐ มท.1 แล้วก็ผ่าน พระนาย สุวรรณรัฐ ในฐานะผู้ใช้อำนาจปลัดกระทรวงย้ายฉับทันที จากนี้ไปก็ให้จับตารายอื่นต่อไป เพราะนาทีนี้ไม่สนแล้วว่าต้อง “เปลี่ยนม้ากลางน้ำ” ดันคนรับใช้ใกล้ชิดฉวยโอกาเข้าไปเสริมแนวเอาไว้ก่อน
       
       00 ส่วนวงการสีกากีก็ไม่แพ้กัน วันนี้ “ผบ.เหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นั่งหัวโต๊ะ ถก กตร.กระชับ “รัฐตำรวจ”วาระสำคัญก็คือแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญเพื่อค้ำยันอำนาจของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และควบคุมรักษาความยุติธรรมส่วนตัวให้กับ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่ไม่อยากเสียเวลากับเรื่องนี้มากนัก แต่เพื่อกันลืมก็ให้รอดูการเติบโตของ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่จะเข้าไลน์ รองผบ.ตร.เตรียมวิ่งทางตรง มิน่าน้ำที่หน้าดอนเมืองถึงได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พิลึก !!
       
       00 ปฏิกิริยาของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มเหลืออดต่อ “รัฐบาลปูนิ่ม” กับการจัดการปัญหารับมือน้ำท่วมรวมไปถึงยังไม่มีความชัดเจนในการเยียวยาฟื้นฟู ล่าสุดเริ่มเคลื่อนไหวกดดันหนักขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่ามองได้หลายมุม มุมหนึ่งฉวยโอกาสบีบให้เพิ่มสิทธิประโยชน์ แต่อีกมุมหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงของนักลงทุนข้ามชาติพวกนี้แหละ “เสียงดังที่สุด” และยังเป็นพวกที่ “แม้ว” แคร์มากที่สุดด้วย ดังนั้นบอกได้คำเดียวว่าอย่ากระพริบตา !!
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #499 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2554, 22:24:02 »

ปล่อยไก่อีก..ยัยปูเน่า

ตาก - คนตากงง “ครม.ยิ่งลักษณ์” ประกาศให้เป็น 1 ใน 21 จังหวัดน้ำท่วมที่ให้หยุดราชการ ขณะที่สถานการณ์จริง ทั่วเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติมานานกว่า 2 อาทิตย์แล้ว
       
       หลังจากที่ ครม.ยิ่งลักษณ์ ประกาศให้จังหวัดตาก เป็น 1 ใน 21 จังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วม และประกาศเป็นวันหยุดราชการระหว่างวันที่ 27-31 ต.ค.54 นั้น มีรายงานข่าวจากจังหวัดตาก ยืนยันว่า ขณะนี้พื้นที่โดยรวมของจังหวัดตาก ได้เข้าสู่ภาวะปกติมานานกว่า 2 อาทิตย์ โดยเช้าวันนี้ (26 ต.ค.) มีประชาชนได้ส่งภาพบรรยากาศตัวเมืองตาก ซึ่งได้ชี้ให้เห็นว่าลำน้ำปิงลดระดับลงต่ำกว่าตลิ่งแล้ว และมีระดับความลึกประมาณ 2.0-2.5 เมตร ลดลงจากเดิมที่เคยขึ้นสูงจนถึงขอบตลิ่งบนประมาณ 6 เมตร
       
       ขณะที่บริเวณสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อครั้งวิกฤตน้ำท่วม ระดับน้ำสูงท่วมตอม่อ และบริเวณคอสะพาน ระดับน้ำปริ่มตัวสะพาน แต่ในปัจจุบันระดับน้ำต่ำกว่าตอม่อกว่า 60 ซม.
       
       ส่วนบริเวณแยกสะพานตากสิน ซึ่งเป็นจุดที่น้ำผุดขึ้นจากท่อเอ่อท่วมเป็นที่แรกๆ ของตัวเมืองตาก และเป็นจุดสุดท้ายที่ระดับลดลง หลังจากที่อื่นๆ เข้าสู่ภาวะปกติ ตอนนี้ก็ได้รับการฟื้นฟูแล้ว ผู้ประกอบการร้านค้า ก็ค้าขายได้ ไม่มีร่องรอยน้ำที่เคยท่วมสูงถึงครึ่งล้อรถยนต์ให้เห็นแล้ว เช่นเดียวกับเขตเศรษฐกิจตัวเมืองตาก ชาวบ้านร้านค้า ก็ได้รื้อกระสอบทราย จนเกือบหมดเมืองแล้วเช่นกัน
       
       ขณะพื้นที่ด้านเหนือของจังหวัด ได้แก่ อ.บ้านตาก และ อ.สามเงา ที่ท่วมขังมานานกว่า 2 เดือน ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่การเกษตร น้ำก็ได้ไหลออกแม่น้ำวัง และแม่น้ำปิงหมดแล้ว
       
       รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า ตอนนี้มีเพียงเสียงหัวเราะด้วยความขบขันของชาวบ้าน ปนกับความมึนงงว่า ตอนนี้จังหวัดตากมีพื้นที่ไหนน้ำท่วมจนหน่วยงานราชการต้องหยุดเหมือนพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลบ้าง ทั้งที่เมื่อกว่า 2 อาทิตย์ก่อนหน้านี้ต่างร้องขอให้ประกาศเป็นวันหยุดราชการ เพราะตอนนั้นน้ำท่วมวิกฤตจริงๆ กลับไม่มีการประกาศหยุดราชการ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 33  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><