23 พฤศจิกายน 2567, 07:30:59
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 33  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน  (อ่าน 329192 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 16 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #300 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2553, 20:49:14 »

 
ป.ป.ช.ตบหน้าไข่แม้ว ยกร้องกราวรูด “กษิต-ประดิษฐ์-ปู่จิ้น-บุญจง” 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 กรกฎาคม 2553 18:39 น.
 
 
  ป.ป.ช.ยกคำร้อง “ชวรัตน์-บุญจง” โยกย้าย “พีรพล” เข้ากรุ ยันทำตามมติ ครม.และดำเนินการตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พร้อมเก็บใส่ลิ้นชักคำร้อง “ประดิษฐ์” ซุกเงินเงินบริจาคพรรคการเมือง ตบหน้าไข่แม้ว ทะลึ่ง ยื่น “กษิต” ขึ้นเวทีปราศรัยชี้แจงข้อเท็จจริงบนเวทีพันธมิตรฯ เหตุเกิดก่อนเป็น รมต.
       
       วันนี้ (16 ก.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช.กล่าวคำร้องขอให้ถอน นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รับมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกจากตำแหน่งกรณีที่มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รวมทั้งการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากข้อกล่าวหาว่า นายชวรัตน์ และ นายบุญจง เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่งตั้งโยกย้าย นายพีรพล ไตรทศาวิทย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำและเห็นชอบให้แต่งตั้ง นายวิชัย ศรีขวัญ เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย ว่า เป็นการกระทำโดยมิชอบตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ว่า จากข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวน ครม.มีมติเมื่อวันที่ 20 ม.ค.52 อนุมัติ นายพีรพล ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามความในมาตรา 11(4) ของ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการบริหารแผ่นดิน พ.ศ.2534 และเป็นไปตามระเบียบข้าราชการพลเรือน จึงถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายข้าราชการพลเรือนครบถ้วนถูกต้อง
       
       นายกล้านรงค์ กล่าวต่อว่า และการแต่งตั้ง นายวิชัย ให้มาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย ตามข้อเสนอกระทรวง ที่ครม.มีติเมื่อวันที่ 3 มี.ค.เป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 57 ดังนั้น การกระทำของนายชวรัตน์จึงไม่ขัดต่อ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการ พ.ศ.2551 แต่อย่างใด ส่วนข้อกล่าวหาว่า นายชวรัตน์ ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจ ให้เจ้าหน้าที่ของพรรค นำใบสมัครสมาชิกพรรคไปแจกจ่ายประชาชนเพื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคขณะที่เดินทางไปปฏิบัติราชการที่จ.อุดรธานี ในตำแหน่งรับมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 20 ก.พ.52 และได้มีการจัดซุ้มของแต่ละส่วนราชการ โดยมีนายอุทัย แสนแก้ว ผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคภูมิใจไทยได้จัดสถานที่ให้ประชาชนมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ข้อเท็จจริงปรากฏว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยพลการของนายอุทัย และเมื่อทราบข้อได้สั่งระงับการกระดังกล่าวและทำลายใบสมัครทันที ซึ่งรวมถึง จึงไม่ถือว่านายชวรัตน์แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งรับมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
       
       นายกล้านรงค์ ยังกล่าวถึงข้อกล่าวหานายชวรัตน์ และ นายบุญจง สั่งการให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นโอนเงินที่เหลือจ่ายจากเงินอุดหนุนทั่วไปตามแผนงานโครงการที่ไม่มีข้อผูกผัน ให้เอามาจ่ายที่กรมการปกครองท้องถิ่น จากการไต่สวนข้อเท็จจริง ปรากฏว่า กรมสงเสริมการปกครองท้องถิ่นจะแจ้งให้องค์กรปกครองท้องถิ่นทราบ เพื่อทำการเสนอโครงการเพื่อขอรับเงินอุดหนุน ซึ่งขณะนั้นขั้นตอนจะมีคณะกรรมการกลั่นกรองเป็นผู้พิจารณา ไม่มีรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง เมื่อคณะกรรมการกลั่นกรองอนุมัติเงินอุดหนุนโครงการที่เสนอ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจะโอนเงินไปให้เพื่อดำเนินการ ซึ่งเงินดังกล่าวเป็นงบประมาณที่เหลือจ่ายอยู่ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และคณะกรรมการสามารถอนุมัติวงเงินเท่าที่ใช้จ่ายจริง ซึ่งการไต่สวนไม่ปรากฏว่า นายชวรัตน์ และ นายบุญจง ได้ไปสั่งการแต่อย่างใด
       
       นายกล้านรงค์ ยังกล่าวถึงกรณีการกล่าวหา นายบุญจง ร่วมกับคณะทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่มี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นประธาน สั่งชะลอการส่งรายละเอียดโครงการขออนุมัติงบประมาณการก่อสร้างอาคารเรียน จำนวน 1,517 ล้านบาท กับโครงการก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 1,237 ล้านบาท เรื่องนี้ข้อเท็จจริง ปรากฏว่า กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้ปรับรายละเอียดโครงการและพื้นที่เป้าหมายภายในวงเงิน ที่ได้อนุมัติให้สอดคล้องกับมาตรฐานใหม่ เพื่อรับงบประมาณจากสำนักงบประมาณ ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และสำนักงบประมาณ จากการไต่สวนข้อเท็จจริงพบว่า นายบุญจงและนายศักดิสยาม ไม่ได้สั่งให้ชะลอการส่งรายละเอียดโครงการทั้ง 2 โครงการแต่อย่างใด
       
       นายกล้านรงค์ กล่าวถึงข้อกล่าวหาแทรกแซงการจัดสรรงบประมาณ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และโครงการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาองค์กรปกครองท้องถิ่นซึ่งมีกว่า 3,000 โครงการ โดยให้ไปขอความเห็นชอบจาก นายศักดิ์สยาม และ นายบุญจง ก่อนทั้งที่โครงการเหล่านั้น พร้อมเสนอให้คณะกรรมกลั่นกรอง ซึ่งข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ปรากฏว่า เป็นเรื่องของคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก้องค์กรปกครองท้องถิ่นการดำเนินการ เกี่ยวกับเงินอุดหนุนดังกล่าวไม่มีรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยหรือรัฐมนตรีเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงไม่ปรากฏว่า นายชวรัตน์ และ นายบุญจง ได้เข้าแทรกแซงการจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรท้องถิ่นในส่วนของโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และโครงการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามที่กล่าวหา
       
       นายกล้านรงค์ ยังกล่าวถึงยกคำร้อง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ออกจากตำแหน่งกรณีที่มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รวมทั้งการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ว่า จากข้อกล่าวหาว่า นายประดิษฐ์ ปกปิด ซ่อนเร้น ไม่เปิดเผยการรับเงินบริจาคสนับสนุนพรรคการเมืองที่ได้รับบริจาคจากบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า นายประดิษฐ์ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.51 และการกล่าวหาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อ 2547 และ 2548 ที่ยังเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่ง นายประดิษฐ์ไม่ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการหรือรัฐมนตรีช่วยในกระทรวงใด และไม่มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะกรรม ป.ป.ช.จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป
       
       นอกจากนี้ นายกล้านรงค์ ยังกล่าวว่าที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติยกคำร้องขอให้ถอน นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกจากตำแหน่งกรณีที่มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รวมทั้งการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากข้อกล่าวหาที่ นายกษิต ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งข้อเท็จจริง ปรากฏว่า นายกษิต ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.51 และการกล่าวหาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 25 พ.ย.- 3 ธ.ค.51 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว นายกษิต มิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงใด จึงไม่มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้นจึงไม่ถูกถอดถอดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 ได้
       
       นายกล้านรงค์ กล่าวถึงกรณี นายกษิต ถูกกล่าวหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้ประเทศเพื่อนบ้านสร้างถนนรุกล้ำเข้ามาในดินแดนประเทศไทย จากข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ประเทศกัมพูชาได้สร้างถนนขึ้นสู่ทางขึ้นปราสาทพระวิหารในปี พ.ศ.2546 ซึ่งกระทรวงต่างประเทศของไทยได้ประท้วงรัฐบาลกัมพูชาเรื่อยมา และเมื่อ นายกษิต เข้ามาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ก็ได้อนุมัติให้ประท้วงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการอีกครั้งเมื่อวันที่ 10 มี.ค.เพื่อรักษาสิทธิของไทย จึงไม่ถือว่านายกษิตไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาว่าข้อกล่าวาไม่มีมูล จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป
 
 
 
 

 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #301 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2553, 21:53:11 »

พท.เผชิญคลื่นใต้น้ำ สลัดแอก-ชิงการนำ
16 กรกฎาคม 2553 เวลา 08:52 น.
เมื่อโอกาสกำลังมาถึงจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

โดย...ทีมข่าวการเมือง


บิ๊กเพื่อไทยเชื่อว่าพรรคของอภิสิทธิ์จะถูกยุบแน่ไม่เกินปีนี้ และจะเกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง “อำนาจรัฐ” อาจพลิกขั้วกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง

ความวุ่นวายในพรรคเพื่อไทยจึงระเบิดขึ้น ไม่ใช่แค่ “แนวโน้มโอกาส” ที่อาจมีการเปลี่ยนขั้ว ยังเป็นการเตรียมพร้อมจัดทัพ ปรับองค์กรเตรียมรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในภายในปีครึ่งนี้ 

ลูกพรรคเพื่อไทยจึงออกโรงกดดันคณะผู้บริหารให้มีการปรับโครงสร้างพรรคครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเก้าอี้หัวหน้าพรรคที่ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีความชัดเจน ไม่ใช่ให้ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” สวมบท “หน้าม้านอมินี” เป็นหัวหน้าพรรคจนถึงใกล้เลือกตั้ง


เหตุผลที่ต้องการให้มี “หัวหน้าพรรค” ก็เพื่อให้มี “ผู้นำตัวจริง” นำทัพลงพื้นที่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง เพื่อที่ประชาชนจะได้รู้ว่าใครจะเป็น “นายกรัฐมนตรี” ในขั้วเสื้อแดง และให้เห็นว่าในฐานะเป็นพรรคอันดับหนึ่งมีความพร้อมที่จะบริหารประเทศ

แต่ลึกๆ คือความเคลื่อนไหวของ สส.แต่ละมุ้ง เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่ามือวางเก้าอี้นายกฯ ขณะนี้ไม่ว่า มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ใครจะได้เป็นตัวจริง

พรรคเพื่อไทยตั้งแท่นรอเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้ง วันนี้ความฝันกำลังเดินทางมาถึง นานสุดไม่เกินปีครึ่งจากนี้ที่จะต้องมีการเลือกตั้งใหญ่ เนื่องจากสภาจะครบวาระ 4 ปี ปลายเดือน ธ.ค.

ทุกความเคลื่อนไหวในพรรคเพื่อไทยจึงอลหม่าน วุ่นวาย ภายในเต็มไปด้วยระลอกคลื่นที่รุนแรง แม้แต่น้องทักษิณ “พายัพ ชินวัตร” ก็ยังถูกกระแทกจนเกือบจมน้ำ เมื่อบรรดา สส.รุ่นดึกภาคอีสานไม่พอใจ “น้องนายใหญ่” ที่ดำเนินมาตรการรัดเข็มขัด ตัดท่อน้ำเลี้ยง ให้ สส.ใช้เงินตัวเองไปก่อน และโหนกระแสทักษิณ รวมทั้งกรณี “ศพ” จากเหตุการณ์ชุมนุมมาใช้หาเสียง 

สนิมเนื้อในแตกสะเก็ด กระทั่งในงานสัมมนา สส.ภาคอีสานเพื่อเคลียร์ใจระหว่างพายัพกับลูกพรรคภาคอีสาน บรรดาคีย์แมนถิ่นที่ราบสูงของเพื่อไทยนำโดย สส.กลุ่มอีสานพัฒนา ยังก่อหวอดเป็นคลื่นใต้น้ำประท้วงพายัพ และคุณตุ๋ย “ถุงเงิน” จากค่ายจีเน็ต ล็อบบี้ สส.ที่เป็นแกนนำจังหวัดไม่ให้เข้าร่วมประชุมเพื่อตอบโต้ หลังจากอีกฝั่งขู่ว่าใครไม่เข้าร่วมจะถูกขึ้นบัญชีดำไม่จ่ายเงินเดือนให้

อีกด้าน สส.อีสานบีบให้พายัพกระจายอำนาจการบริหารพรรค โดยกดดันให้ปรับโครงสร้างพรรคใหม่ ผ่าอีสานออกเป็นโซนต่างๆ ประกอบด้วย อีสานเหนือ อีสานใต้ อีสานกลาง อีสานตะวันออก ทุกกลุ่มจังหวัดจะมีหัวหน้ากลุ่มเพื่อถ่วงดุล ไม่ให้ใครมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในภาคอีสาน ป้องกันการเล่นพรรครักพวก ดึงก๊วนตัวเองมาลงสมัคร สส. แต่ระดับน้องทักษิณ ฤาจะยอมให้ลูกพรรคมากดดัน

“การสัมมนาครั้งนี้ ถ้ามีการโต้แย้งที่มีเหตุผล ถือเป็นสิ่งที่ดี แต่การโต้แย้งที่ปราศจากทิศทาง เป็นการทำลายความสามัคคี” พายัพ กล่าวตอนหนึ่ง ก่อนจะยืนยันว่าจะยังไม่อัดฉีดท่อน้ำเลี้ยง

“เวลาต้นไม้กำลังออกดอกออกผล สังเกตได้ว่าต้นไม้ก็จะถูกความกดดันสารพัด ขาดน้ำ ปุ๋ย แสดงว่าต้นไม้ของท่านทักษิณที่กำลังปลูกไว้กำลังจะเจริญงอกงาม ออกดอกออกผลอันยิ่งใหญ่ ท่านไม่ต้องตกใจ ถ้าเราใช้น้ำ ปุ๋ย ต้นไม้ของเราจะไม่ออกดอกออกผล นี่คือความกดดันทุกด้าน ที่สำคัญในการต่อสู้กับความสำเร็จไม่ใช่เงินทอง อำนาจ แต่เป็นความจริงใจตั้งใจ สามัคคีที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน”

ปัญหาภาคอีสานที่ระส่ำหนัก จนบรรดาบิ๊กๆ หัวใจแดงทั้งหลายอดห่วงไม่ได้ว่า ถ้าไม่รีบจัดการปัญหาก็อาจเปิดช่องให้ เนวิน ชิดชอบ แห่งภูมิใจไทย ที่กำลังทุ่มทุนอัดฉีดงบประมาณใส่ภาคอีสานไม่ยั้งช่วงชิงที่นั่งไปได้ เพราะภาคอีสานถือเป็นพื้นที่ชี้ขาด ใครยึดที่นั่งได้โอกาสเป็นรัฐบาลในอนาคตสูง ความแตกแยกในพรรคเพื่อไทยจึงบั่นทอนความสามัคคี โดยเฉพาะปัญหาใหญ่คือ ตำแหน่งหัวหน้าพรรค แน่นอนเก้าอี้ตัวนี้ใครได้เป็นย่อมหมายถึงโอกาสที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอยู่แค่เอื้อม

ยิ่งนานวัน ในพรรคยิ่งแบ่งชัดออกเป็น 2 กลุ่มความคิด เป็น 2 กลุ่มที่หนุน “มิ่งขวัญ” กับ “บิ๊กเหลิม”

“มิ่งขวัญ” ได้ยาดีจากซีกชินวัตร ด้วยจุดเด่นเรื่องภาพลักษณ์ใสซื่อ ไม่เกี่ยวข้องทุจริตคอร์รัปชัน ประนีประนอม ได้รับการยอมรับจากภาคธุรกิจ เคยเป็นผู้นำองค์กรที่ประสบความสำเร็จ ทั้งโตโยต้า อสมท สมัยเป็น รมว.พาณิชย์ ก็ปั่นราคาข้าวถูกใจชาวนามาแล้ว

แรงหนุนส่วนใหญ่นอกจากชินวัตรแล้ว ยังได้ก๊วนหญิงหน่อยจาก กทม. กลุ่ม สส.เหนือ และกลุ่มอีสานพัฒนาบางส่วน แต่จุดอ่อนของมิ่งขวัญก็คือ บุคลิกที่เป็นจุดแข็งตัวเอง นั่นคือการประนีประนอมมากเกินไปจนถูกมองว่าอ่อนปวกเปียก ไม่มีภาวะผู้นำ

ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม มีจุดเด่นกับการเรียกมวลชนได้ดี ดังที่ “ประเกียรติ นาสิมมา” ฝ่ายกฎหมายพรรคซึ่งสนับสนุนมิ่งขวัญ อธิบายตัวตนบิ๊กเหลิมไว้ว่า “ท่านเป็นนิวเคลียสที่สามารถดึงคนมาร่วมฟังการปราศรัย แต่ท่านอาจจะขาดการสนับสนุนจากสังคมหลายภาคส่วน”

ซึ่งจุดอ่อนของ ร.ต.อ.เฉลิม ก็เช่นกันคือ จุดแข็งที่เป็นเหมือนแกงเผ็ด ซึ่งจะทำให้บรรยากาศบ้านเมืองในยุคที่เข้าสู่การปรองดองสมานฉันท์ หาก ร.ต.อ.เฉลิม ก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ สังคมก็จะระอุไปด้วยการตอบโต้ ความขัดแย้ง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

โครงสร้างของพรรคที่เป็นเหมือน “บริษัท เพื่อไทย” มีคนในตระกูลคอยดูแลกงสีไม่ให้ลูกพรรคมีอำนาจมาก กลัวจะเสียอำนาจการปกครอง ซึ่งอดีตบิ๊ก “ไทยรักไทยพลังประชาชนเพื่อไทย” เคยเสนอว่า หากจะให้พรรคเป็น “สถาบันทางการเมือง” เหมือนพรรคประชาธิปัตย์ ต้องปรับระบบใหม่ให้สมาชิกพรรคมีอำนาจตัดสินใจ
จะสำเร็จแค่ไหน แต่สำหรับคนชินวัตรบอกว่ายังไม่จำเป็น ไว้รอใกล้เลือกตั้งก่อน เพราะถ้าตัดสินใจเลือกใครในวินาทีนี้ก็อาจทำให้บิ๊กบางคนผิดหวังจนกลายเป็นหอกข้างแคร่ที่คอยทิ่มแทงทำลายพรรคตัวเอง เพราะเวลานี้พรรคเพื่อไทยก็ทะเลาะ หงุดหงิด ไม่พอใจข้ามกลุ่มเป็นปัญหาสารพัดอยู่แล้ว จะมาเพิ่มปัญหาใหญ่อีกทำไม

โดยเฉพาะปมสำคัญระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม กับ มิ่งขวัญ ที่ทั้งคู่ก็ไม่ญาติดีกันอยู่แล้ว

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #302 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2553, 10:22:26 »

จีนกับอินเดียกำลัง ลุยสร้าง 'กึ๋น' รุ่นใหม่
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 


ประเทศไหนจะก้าวหน้าอย่างยั่งยืนได้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือการอวดอ้างการเป็น "ศูนย์" นั่น "ศูนย์" นี่เท่านั้น


  แต่ที่สำคัญที่สุด คือ การศึกษา

 และการสร้างโรงเรียนประถม ตลอดไปถึงมหาวิทยาลัยให้ได้มาตรฐานอย่างยิ่ง คือ หนทางแห่งความสำเร็จนั้นๆ

 ประโยคนี้ผมไม่ได้พูดเอง หากแต่ คือ นายริชาร์ด เลวิน อธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยเยล อันโด่งดังของสหรัฐ

 ที่ผมต้องนำมาเล่าขานต่อ เพราะ นายเลวิน บอกว่าประเทศที่กำลังมุ่งหน้า สร้างมหาวิทยาลัยที่มีมาตรฐานระดับโลก (world-class universities) นั้น ไม่ได้อยู่ที่อเมริกาหรือยุโรป

 หากแต่จีนกับอินเดียต่างหากที่กำลังทำทุกอย่าง เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น

 เราอาจจะมองข้ามจีนและอินเดีย ในเรื่องการศึกษา เพราะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับตัวเลขอัตราเติบโต ทางเศรษฐกิจของสองยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์การเติบใหญ่ปีละ 7-12% ซึ่งทำให้เห็นว่าทั้งมะกันและยุโรปกำลังจะกลายเป็น "โลกเก่า" ขณะที่สองประเทศยักษ์ใหญ่ใกล้บ้านเรานี้ กำลังจะกลายเป็น "โลกใหม่" ที่มีความสำคัญยิ่งต่ออนาคตของมนุษย์โลก

 แต่ที่ทำให้ผมต้องสนใจยิ่งกว่าปกติ คือ การยอมรับของอธิการบดีของมหาวิทยาลัยเยล ที่บอกว่าจีนกำลังประกาศตนเป็นสถาบันแห่งการศึกษาระดับโลกด้วย

 อย่างน้อยมหาวิทยาลัยจีน 9 แห่ง ที่เข้าข่าย "หัวกะทิ" และได้รับเงินอุดหนุนโดยตรงจากรัฐบาลกลาง

 จีนเรียกมหาวิทยาลัยระดับชั้นนำของเขา ว่า C9 มะกันเรียกว่าเป็น Ivy League ของจีน

 อินเดียก็เดินหน้าสร้างคนมีคุณภาพระดับสากล ผ่านการศึกษาด้วยคำประกาศ จากกระทรวงพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ว่า จะสร้างมหาวิทยาลัยระดับ "world class" ทั้งหมด 14 แห่ง

อธิการบดีมหาวิทยาลัยเยล บอกว่า ประเทศเอเชียอื่นก็ไม่ยอมหยุดนิ่งในเรื่องนี้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น สิงคโปร์กำลังเตรียมก่อตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งใหม่ เพื่อเน้นการสอนด้านเทคโนโลยี และการออกแบบ นอกเหนือจากคณะศิลปะแบบอเมริกัน ที่เป็นส่วนใหญ่ของ National University ของเขาอยู่แล้ว

 แน่นอนว่า ผู้บริหารมหาวิทยาลัยมะกันคนนี้ จับตาความเคลื่อนไหวของจีนในเรื่องการศึกษา ระดับมหาวิทยาลัยอย่างใกล้ชิด

 เขาได้ยิน เจียงเจ๋อหมิน ผู้นำจีน ประกาศเมื่อปี 1998 ในวันครบรอบ 100 ปีของ "มหาวิทยาลัยปักกิ่ง" (เป่ยต้า) ว่า รัฐบาลกลางจะทุ่มงบประมาณครั้งใหญ่ เพื่อยกระดับมหาวิทยาลัยของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

 พูดแล้วก็ทำจริง เพราะตรวจสอบตัวเลขของปี 2006 แล้ว ปรากฏว่างบประมาณด้านการศึกษาระดับสูงเท่ากับ 1.5% ของผลผลิตมวลรวม หรือ GDP ของประเทศ

 เท่ากับเพิ่มงบประมาณด้านนี้ 300% เมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อนหน้านี้

 ผลที่ตามมานั้นทำเอานักการศึกษาตะวันตกต้องทึ่งกับความรวดเร็วและมุ่งมั่นของจีน

 เพราะเมื่อทุ่มงบประมาณและบุคลากรอย่างจริงจังเช่นนี้แล้ว ภาพใหม่ของระบบการศึกษาก็เปลี่ยนไปโดยฉับพลัน
 จำนวนสถาบันการศึกษาระดับสูงของจีนเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว จาก 1,022  แห่ง เป็น 2,263 แห่ง

 ที่สำคัญกว่า นั่นคือ จำนวนนักศึกษาที่เข้าศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว...จาก 1 ล้านคน ในปี 1997 กระโดดไปถึง 5.5 ล้านคน ในปี 2007

 อัตราก้าวกระโดดที่ให้คนรุ่นหนุ่มสาว สามารถได้รับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย อย่างเป็นกิจจะลักษณะเช่นนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่ว่าประเทศไหนก็ตาม

 วันนี้ จำนวนเด็กจากระดับมัธยมเข้าสู่มหาวิทยาลัยของจีนสูงที่สุดในโลกแล้ว

 แต่หากนับเป็นสัดส่วนร้อยละแล้ว จีน ยังจะต้องปรับปรุงเพิ่มเติมอีกมาก เพราะแม้จะเห็นตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างคึกคักแล้ว ก็ยังน้อยกว่าของประเทศพัฒนาอื่นในแง่เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนที่ต้องการจะเรียนมหาวิทยาลัยกับที่เข้าได้จริงๆ

 เพราะสัดส่วนวันนี้ของจีนอยู่ที่ 23% เท่านั้น เปรียบกับของญี่ปุ่นที่ 58% และ 59% ของอังกฤษ หรือ 82% ของสหรัฐ

อินเดียก็กำลังเอาจริงเอาจัง กับการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แม้จะไม่คึกคักและน่าตื่นตาตื่นใจเท่ากับของจีน แต่ก็ลุยไปข้างหน้า โดยไม่ยอมแพ้ใครเหมือนกัน

 ต้องไม่ลืมว่าอินเดีย เป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก และในอีก 20 ปีข้างหน้า อินเดียอาจจะกลายเป็นประเทศที่มีประชากรสูงสุดในโลก โดยแซงหน้าประเทศจีนค่อนข้างแน่นอน

 และภายในปี 2050 (อีก 40 ปีข้างหน้า) หากสามารถรักษาอัตราเติบโตได้อย่างยั่งยืน เศรษฐกิจของอินเดียจะเป็นเบอร์สองรองจากจีนเท่านั้น


 และหากจะสามารถรักษาความร้อนแรง ของการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ได้นั้น รัฐมนตรีพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่ชื่อ คาปิล สิบัล ประกาศตั้งเป้าเอาไว้ว่า สัดส่วนของนักเรียนจากมัธยมที่จะก้าวเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยนั้น จะต้องเพิ่มขึ้นจาก 12% เป็น 30% ในสิบปีข้างหน้า

 ในทางปฏิบัติ แปลว่าจะมีนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น 40 ล้านคนในสิบปีข้างหน้า

ริชาร์ด เลวิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเยล ของสหรัฐ เขียนไว้ใน Foreign Affairs ว่า "นี่เป็นเป้าที่ค่อนข้างจะท้าทาย แต่แม้หากจะทำได้แค่ครึ่งเดียวของตัวเลขนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจยิ่ง"

 เฉพาะตัวเลขก็ไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่ากับความจริงที่ว่า มหาวิทยาลัยในเอเชียเหล่านี้ กำลังจะท้าทายมหาวิทยาลัยในตะวันตกในแง่การ "ความเป็นเลิศทางวิชาการ" ด้วย

 ผมเริ่มจะเชื่อจริงๆ แล้วครับว่าศตวรรษใหม่นี้ จะเป็น "ศตวรรษแห่งเอเชีย" ที่โลกตะวันตกต้องตะลึงใน "กึ๋น" ของคนเอเชีย

 ที่ผมห่วงก็ตรงที่ว่า "กึ๋นไทย" เราจะก้าวทันประเทศอื่นในเอเชียหรือเปล่าเท่านั้น

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #303 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2553, 09:16:32 »

ชำแหละก๊วน“กระบังลมเน็ตเวิร์ก” ตุ๋ย จีเน็ต“เพื่อนหญิงอ้อ”โผล่ป่วนเมือง-เผาไทยกระเพื่อม!!
 
โดย นกหวีด 19 กรกฎาคม 2553 00:21 น. manerger Online

  การก่อหวอดของ ส.ส.ภาคอีสาน ในพรรคเพื่อไทย ที่รวมตัวขับไล่นายพายัพ ชินวัตร น้องชายของนักโทษทักษิณ ออกจากประธานคณะกรรมการภาคอีสาน รวมทั้งส่งเสียงตั้งแง่กีดกัน“นายทุนหญิง”คนใหม่ที่เข้ามา ไม่ใช่เหตุปั่นป่วนครั้งแรกในพรรคการเมืองแห่งนี้
       
       พรรคที่เป็น เสมือนบริษัทการเมือง ที่ใช้เงินใช้ทุนหว่านคนเข้ามารวมตัวทำงานการเมืองด้วยวัตถุประสงค์ของคนๆ เดียวคือ “ทักษิณ” เมื่อวันนี้นายใหญ่ตัวจริง ต้องระเห็จระเหเร่ร่อน ถึงมีทุนมหาศาลแต่ก็เสี่ยงล่มสลาย ไม่มั่นใจที่ยึดผู้คนไม่ให้แตกกระสานซ่านเซ็น ด้วยเพราะมีข้อจำกัดในหลายเรื่อง
       
       ทั้งการขาด“แม่ ทัพตัวจริง”ที่จะเข้ามากุมสภาพ ดูแลก๊กก๊วนการเมืองในพรรค เพราะหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ก็เป็นเพียงเจว็ด ร่างทรงที่อยากจะถอนตัวเต็มที่ เพราะไม่ได้มีอำนาจสิทธิขาดใดๆ
       
       จึงเกิดการแย่ง ชิงการนำภายในมาโดยตลอด โดยในระดับตำแหน่งหัวหน้าพรรค เวลานี้มีหลายรายที่มุ่งหวังและฝันเฟื่องให้ทักษิณเรียกใช้เป็น “ร่างทรง” เพื่อจะได้ลุ้น“ครั้งหนึ่งในชีวิต”กับเก้าอี้นายกฯ เหมือนที่นายสมัคร สุนทรเวช ที่ไม่เคยคิดฝันและได้รับมาก่อน
       
       ทั้งพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ พ.อ.อภิวันท์ วิรยะชัย วิทยา บูรณะศิริ และอีกหลายราย เป็นตัวเลือกที่จะขึ้นมาทำหน้าที่ร่างทรง
       
       แม้แต่ส.ส.ดาดๆ เพียงโชว์ผลงานให้เข้าตา ก็เชื่อกันว่าตัวเองได้ลุ้น รวมทั้งเครือญาติทักษิณเอง ทั้งพล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร กับพายัพ ชินวัตร ก็แสดงตัวขอมีเอี่ยวหลายครั้ง
       
       แคนดิเดตผู้นำ ร่างทรงชุดนี้ ต่างก็ช่วงชิงกันทุกรูปแบบเพื่อให้“ถูกเลือก” สกัด กั้นคู่แข่งทุกวิถีทาง ปล่อยข่าวกับสื่อเพื่อทำลายอีกฝ่าย และเป็นเพราะทักษิณไม่สามารถชี้ให้ใครมาสวมหัวโขนตรงนี้ ทำ ให้การบริหารงานภายในพรรคการเมืองแห่งนี้พิกลและพิการ
       
       แม้แต่หัวหน้า พรรค ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯยังหาไม่ได้
       
       พรรคเพื่อไทย วันนี้จึงเกิดกลุ่ม เกิดก๊วน เกิดก๊กสารพัด และไม่มีใครฟังใคร นอกจากฟัง “น้ำเลี้ยง”เพียงอย่างเดียว แม้แต่ทีมเศรษฐกิจพรรค ทั้งดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร และนายโอฬาร ไชยประวัติ ที่เคยถูกวางตัวเป็นนอมินียังอยู่ไม่ได้
       
       ขณะที่มืองาน ด้านเศรษฐกิจที่เหลืออยู่น้อยนิด ก็ยังเปิดศึกฟัดกันไม่รู้จบสิ้น เช่นกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ขับไล่นายมิ่งขวัญ ออกจากทีมเศรษฐกิจ ก็เป็นปัญหาที่ทักษิณต้องรีบไกล่เกลี่ย

       
       ไม่เท่านั้น ปมสำคัญคือการก่อเกิดของกลุ่มคนเสื้อแดง นปช. ที่ทักษิณทุ่มน้ำหนักการสนับสนุน เลือกเดินแนวรบด้านมวลชนมากกว่างานฝ่ายค้านในสภาฯ จน เกิดปัญหาขบเหลี่ยมปีนเกลียว ระหว่าง แกนนำเสื้อแดงหัวขวดทั้งหลาย กับส.ส.และคนภายในพรรค
       
       อย่างไรก็ดี เหตุการณ์การรวมตัวของกลุ่มส.ส.อีสาน ไม่ว่าจะเป็นอีสานพัฒนา กลุ่มอุบลฯ กลุ่มศรีสะเกษ กลุ่มโคราช ที่ออกมาฟาดงวงฟาดงา ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่นายพายัพ แต่ยังหมายรวมถึงการออกมาแสดงบทบาท เพื่อให้เจ้าของพรรคตัวจริงรับรู้
       
       โดยเฉพาะการให้ความสำคัญไปกับงานมวลชนม็อบเสื้อแดง สุดท้ายถึงจะเล่นแรงถึงขั้นเผาบ้านเผาเมืองก่อการร้ายก็ล้มเหลวและกำลัง ระส่ำระสายในวันนี้
       
       ดังนั้นกลุ่ม ส.ส.อีสาน จึงต้องการให้ทักษิณ ทบทวนความผิดพลาดกับม็อบแดง แล้วกลับมาดูแลเอาใจใส่คนในพรรค และงานในพรรคให้มากขึ้น
       
      โดยเฉพาะเสียง สะท้อนที่ชัดเจน กับการ “ทวงทางไกล”โดยผู้แทนฯคนยากจากจ.ลพบุรี สุชาติ ลายน้ำเงิน ที่บ่นเรื่อง “น้ำเลี้ยง”ที่ได้จากต้นสังกัด ในระดับเพียง 5หมื่นบาทต่อเดือน ไม่เพียงพอใช้จ่าย
       
       เป็น แรงกระเพื่อมที่ทักษิณรับรู้ และพยายามสยบแรงกระเพื่อมนั้นในการโฟนอินเข้ามาในงานสัมมนาส.ส.พรรคเพื่อไทย ครั้งล่าสุด ที่มีทั้งไกล่เกลี่ยรอยร้าวในทีมเศรษฐกิจ ทั้งขู่ส.ส.อีสานที่รวมตัวก่อหวอด และปลอบประโลมสร้างความมั่นใจว่ายังมีโอกาสกลับประเทศ และรับปากจะตอบแทนผู้ที่จงรักภักดี
       
       กระนั้นก็ดี เพราะมาแต่ “ลมปาก” และเป็นเพียง“สัญญาใจ” สิ่งที่ ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยต้องการมากกว่านั้น โดยเฉพาะในช่วงมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น ในช่วงกระแสพรรคซบเซา เสียงสนับสนุนทักษิณเสื่อมถอย เพราะงานเผาบ้านเผาเมืองของม็อบเสื้อแดงล้มเหลว
       
       “สาย พันธุ์การเมือง”จะอยู่ได้ ย่อมต้องมี“น้ำเลี้ยงอัดฉีด” ถึงจะมีเรี่ยวแรงต่อสู้ โดยเฉพาะการต่อสู้เพื่อนักโทษชายหนีคดี หัวหน้าขบวนการก่อการร้าย ที่ต้องมีค่าจ้างค่าตัว ค่าความเสี่ยงที่สมน้ำสมเนื้อ
       
       ขณะที่พายัพ ชินวัตร ที่ทักษิณส่งมาให้ดูแลลูกทีมภาคอีสาน นอกจากไม่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแล “ท่อจ่าย”เต็มที่ เหมือนเช่น ปู -ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคนในพรรคก็รู้กันดี นายใหญ่-นายหญิงไม่โปรดปรานน้องชายรายนี้เท่าใด แม้แต่ยุคทักษิณเฟื่องฟู ธุรกิจของ“พายัพ”ยังย่ำแย่ ถึงขึ้นถูกศาลสั่งล้มละลายมาแล้ว
       
       เมื่อมาดูแล อีสาน ก็เหมือนมาแต่ในนาม ขณะที่น้ำเลี้ยงเสบียงกรัง ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวัง “ตัวแทนนายห้าง”มาเอง แต่กลับมาพูดเปรียบเปรย ว่าอยู่ในพรรคที่เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่ทักษิณปลูกไว้ การจะผลิดอกออกผลเต็มที่ บางครั้งก็ต้องลดปุ๋ยลดน้ำ
       
       สรุปได้ ว่า“กระแสดี ต้องยอมอด”
       
       เมื่อน้อง ทักษิณประกาศปิดท่อปิดก๊อกกันล่วงหน้าเช่นนี้ ส.ส.จึงต้องดาหน้าออกมาทวงถามไปถึงต้นท่อในต่างแดน ขณะเดียวกันพายัพเองก็แสดงเข้ามาบงการส.ส.อีสานเองแล้ว ยังดึงกลุ่มทุนใหม่ที่ยัง “ควักน้อย” แต่อยากจะ“เป็นใหญ่” จึงเกิดแรงต่อต้านขึ้น
       
       อย่างไรก็ดี เชื่อว่าในการเมืองสูตรคณิตศาสตร์ การเจรจาต่อรองเป็นสิ่งสำคัญ หากพูดกันได้ ก็คงไม่คิดแปรพักตร์ อย่างที่มีกระแสข่าวจะพลิกขั้ว หรือแหกค่ายไปอยู่กับพรรคเพื่อแผ่นดินกลุ่มพินิจ-ไพโรจน์
       
       ถึงที่สุดหาก พายัพ โดยเฉพาะนายทุนใหม่อย่าง “เจ๊ตุ๋ย”วิยดี สุตะวงศ์ ที่พยายามเข้ามามีบทบาทดูแลทุกข์สุขลูกทีมอีสานมากกว่าที่เคยช่วยเรื่อง เบี้ยเลี้ยงยิบย่อย หรือจัดทัวร์พาบรรดาผู้แทนฯไพร่ไปเยี่ยมนายใหญ่ในต่างแดน
       
       เคลียร์ได้ไม่ ยาก สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า “เงินนะมีมั้ย”??
       
       ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่น่าสนใจกว่าแรงกระเพื่อมของส.ส.อีสานพรรคเพื่อไทย ต่อน้องชายนายใหญ่ และนายทุนใหม่ ที่จะเข้ามาดูแลและเก็บสแปร์จำนวนเสียงไว้หนุนแลกเก้าอี้ในอนาคต ชื่อของ “เจ๊ตุ๋ย”วิยดี สุตะวงศ์ ที่ว่าเข้ามาเป็นเจ๊สั่งลุย นำทีมส.ส.อีสาน มีปูมประวัติที่มาน่าพินิจพิเคราะห์
       
       กางบัญชีดำของ ศอฉ. 83รายชื่อที่ถูกตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงิน พบว่า มีชื่อของ“เจ๊ตุ๋ย-วิยดี” ติดอยู่ในแบล็กลิสต์ โดยพบว่า มียอดเงินหมุนเวียนการทำธุรกรรม281ล้านบาท เป็นการฝากเงิน142ล้านบาท และถอน139ล้านบาทและยังพบว่ามีการใช้บัตรเครดิตที่ดูไบ และประเทศกัมพูชา หลายครั้ง
       
       สำหรับที่มาที่ ไปนักธุรกิจหญิงรายนี้ มาจากเครือข่ายบริษัทมือถือแบรนด์ท้องถิ่นยี่ห้อดัง G-Net ที่มีนายฑัศ เชาวนเสถียร เป็นผู้บริหารบริษัท และนายฑัศก็ติดแบล็กลิสต์ศอฉ. เช่นกัน
       
       และไม่ใช่ เรื่องน่าแปลกใจ ที่“เจ๊ตุ๋ย” หรือ “วิยดี”เข้ามายุ่มย่ามในพรรคเพื่อไทย เพราะก่อนหน้านี้รายนี้ก็คือสมาชิกกลุ่มเพื่อน “เซนต์โยเซฟคอนแวนต์” ของคุณหญิงพจมาน ในชุดเดียวกับ ดวงฤทัย กศิโสภา ซิมตระกูล หรือ “เจ๊แดง” ที่ส.ส.ในพรรคทักษิณ-พจมาน รู้จักกันดี
       
       รวมทั้ง2เพื่อน ตัวจักรสำคัญ พนิดา ปัญจบุตร-จุฑารัตน์ เมนะเศวต ที่ปรากฏชื่อเป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคเพื่อไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจุฑารัตน์ ก็เป็นอีกชื่อในบัญชีดำน้ำ-เลี้ยงแดง

       
       กลุ่มเพื่อนของ “คุณหญิงอ้อ”เหล่านี้ถูกดึงเข้ามาช่วยงาน ทั้งในภาคธุรกิจของเครือชินวัตร ที่ยังมีอีกหลายรายยังปักหลักอยู่ที่เครือชินวัตร รวมทั้ง ในบริษัทการเมืองของทักษิณ-พจมาน ตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทย เช่นเดียวกับ เลขาฯส่วนตัวเจ๊กระบังลม แจง-กาญจนาภา หงส์เหิน ที่ ร่วมเกมซุกหุ้น ร่วมติดชนักอยู่
       
       จากความเคลื่อน ไหวของ“เจ๊ตุ๋ย”ในกลุ่มส.ส.ภาคอีสานของพรรคเพื่อไทย รวมทั้งผองเพื่อน“เซนต์โยฯคอนเน็กชั่น” ของคุณหญิงพจมาน ในบริบทต่างๆทางการเมือง นอกจากสนับสนุนเรื่องเงิน บริจาคเข้าพรรคของ “เพื่อนอ้อ”ในฉากหน้า
       
       ก็มีข้อมูลทาง ลับว่า น้ำเลี้ยงที่ต่อสายมาจากแดนไกล “เพื่อนพจมาน”กลายเป็น “ท่อพัก-หัวจ่าย”ในประเทศไทย หรือเป็นตู้เอทีเอ็มแอ๊ดวานซ์ล่วงหน้าได้ในยามฉุกเฉิน ต้องต่อท่ออัดฉีดไปยังกลุ่มคนเสื้อแดง
       
       ในท้ายที่สุดกับเหตุการณ์ความปั่นป่วนในพรรคเพื่อ ไทย “คุณตุ๋ย วิยดี”จะถอนตัว หรือได้รับคำสั่งให้ทุ่มอัดฉีดอย่างเต็มที่ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ระส่ำระสาย หรือไม่ก็ตาม แต่ ณ วันนี้ สะท้อนภาพได้ชัดเจนแล้วว่า “เซนต์โยคอนเน็กชั่น” เครือข่าย“พจมานเน็กเวิร์ก” เข้ามามีช่วยงานระบอบทักษิณ
       
       และนั่นก็หมาย ความว่า“คุณหญิงพจมาน” ที่ถึงแม้ว่าจะหย่าจากสามี เปลี่ยนไปใช้นามสกุล ณ ป้อมเพชร์ หรือดามาพงศ์ก็ตาม ก็ยังร่วมรู้เห็นในทุกเรื่องกับ“นักโทษทักษิณ”
       
       เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญสนับสนุนพรรคเพื่อไทย และม็อบคนเสื้อแดงเผาบ้านผลาญเมือง!
 

 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #304 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2553, 09:32:54 »

วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 06:20:10 น.   มติชนออนไลน์

"แม้ว"สั่ง"เพ้ง"ยึดอีสาน ตัด"น้องในไส้"ออกจากสารบบ ส.ส.เพื่อไทยรับแกนนำพรรคเรียกเช็คใจซบ ภท.หรือไม่

"ทักษิณ" สั่ง "เพ้ง" ยึดอีสานตัด "พายัพ" แต่รอกล่อมน้องชายก่อน เพื่อไทยรับแกนนำพรรคเรียก ส.ส.เช็คใจ หวั่น ชิ่งซบภูมิใจไทย ส.ส.ร้อยเอ็ดโวยเพื่อนเนวินปั่นข่าวเรียกร้องความสนใจ ยันลงเลือกตั้งเพื่อทไยไม่เปลี่ยน

นายนิรมิต สุจารี  ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ถึงกระแสข่าวที่ออกมาว่า ส.ส.ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย อดีตสมาชิกกลุ่มเพื่อนเนวิน บางส่วนได้ไปร่วมกิจกรรมกับ พรรคภูมิใจไทยและเตรียมตัวย้ายไปร่วมงานการเมืองกับพรรคภูมิใจไทย โดยมีชื่อนายนิรมิต และนายชูวิทย์ (กุ่ย) พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี รวมอยู่ด้วย ว่า สำหรับตนนั้นวันนี้ยังเป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยังร่วมกิจกรรมกับพรรคเพื่อไทยทุกอย่างและในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ยังจะลง สมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทย จริงอยู่ที่ตนเคยเป็นสมาชิกกลุ่มเพื่อนเนวิน และนายเนวิน ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคภูมิใจไทย เคยเป็นพี่เลี้ยงตนในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วและดูแลตนมาตลอดเวลาที่อยู่ พรรคพลังประชาชน แต่เมื่อนายเนวิน และกลุ่มเพื่อนเนวิน แยกตัวไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ แม้จะมีการมาชักชวนตน ตนและส.ส.ภาคอีสานส่วนใหญ่ก็ไม่ไปด้วย และหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อหรือไปร่วมกิจกรรมกันเลย


นายนิรมิต กล่าวว่า ความจริงชื่อของตนไม่น่าสงสัยเลยว่าจะไปอยู่พรรคการเมืองอื่น โดยเฉพาะชาวบ้าน ที่ก่อนหน้านี้อาจจะมีการสอบถามกันบ้างว่าจะอยู่พรรคเพื่อไทยหรือไม่ แต่ปัจจุบันไม่มีใครถามแล้ว เพราะตนเป็นแกนนำชาวบ้านต่อสู้ในนามของคนเสื้อแดง และยังถูกหมายจับของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ซึ่งน่ายืนยันได้ว่าตนพร้อมที่จะต่อสู้กับพรรค และที่ผ่านมาในช่วงปลายปี 2552 แกนนำพรรคเพื่อไทย จะเรียก ส.ส.ภาคอีสาน บางส่วนไปสอบถามถึงจุดยืนทางการเมืองและการไปร่วมกิจกรรมกับพรรคภูมิใจไทย แต่ก็ไม่เคยมีชื่อตนถูกเรียกไปเลย ดังนั้นข่าวที่ออกมานี้น่าจะเป็นเพราะพรรคภูมิใจไทยต้องการสร้างกระแสการ เมืองให้มีคนสนใจเข้าพรรค เนื่องจากขณะนี้พรรคภูมิใจไทยกำลังต้องการ ส.ส.เข้าพรรค


อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างพรรค ภายหลัง ส.ส.ภาคอีสาน ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้แกนนำพรรคแก้ไขปัญหา ส.ส.ภาคอีสานขาดความอบอุ่น และกำลังถูกดึงไปร่วมงานการเมืองกับพรรคคู่แข่งว่า ล่าสุดได้รับสัญญาณจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงการปรับโครงสร้างพรรคแล้ว โดยในส่วนของตัวหัวหน้าพรรคที่กลุ่มอีสานพัฒนา เสนอให้มีการแต่งตั้ง ส.ส.เป็นหัวหน้าพรรคนั้นจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีแนวโน้มว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังต้องการให้พรรคเพื่อไทย คงรูปแบบการไม่ใช้ ส.ส.เป็นคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อป้องกันการถูกยุบพรรค ไปจนถึงช่วงของการเลือกตั้ง โดยพรรคเพื่อไทยจะลงเลือกตั้งโดยไม่ชูหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี แต่จะเสนอ ส.ส.ที่เหมาะสมคนใดคนหนึ่งขึ้นเป็นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี


แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ส่วนตำแหน่งประธานภาคอีสาน ซึ่ง ส.ส.ภาคอีสาน 2 กลุ่มคือกลุ่มอีสานพัฒนาของนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม ต้องการให้ปลดนายพายัพ ชินวัตร ประธานภาคอีสานออกจากตำแหน่งแล้วให้นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล หัวหน้ากลุ่มพิจิตร แกนนำคนสนิทพ.ต.ท.ทักษิณ มาดูแลแทนนั้น เบื้องต้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แจ้งกับนายพงษ์ศักดิ์ แล้วว่าจะมอบหมายให้มาช่วยดูแลภาคอีสานแทนนายพายัพ แต่นายพงษ์ศักดิ์ ยังห่วงว่า การเข้าไปดูแลภาคอีสานจะทำให้เกิดการผิดใจกับนายพายัพ จึงขอให้พ.ต.ท.ทักษิณ ไปพูดคุยทำความเข้าใจกับนายพายัพ ให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงจะเปิดตัวอีกครั้ง

 




   




   
   
   
   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #305 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2553, 13:50:16 »

ผู้เชี่ยวชาญชี้อ๊อฟไม่หมิ่น
21 กรกฎาคม 2553 เวลา 19:11 น.posttoday

ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทยชี้พงศ์พัฒน์ไม่ผิดหมิ่นสถาบันคนไทยเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่าพ่อถือเป็นการแสดงความผูกผันและจงรักภักดี   

ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทย กล่าวว่า กรณีที่นายพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า “พ่อ”ในงานวันนาฏราช ไม่ถือว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดยสิ้นเชิง เพราะนายพงพัฒน์ไม่ใช่คนไทยคนแรกที่เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า“พ่อ” และการที่คนไทยเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่าพ่อ ถือว่าเป็นความใกล้ชิด เป็นการแสดงความผูกพัน ความจงรักภักดีที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการแสดงออกถึงความเคารพยกย่องถวายพระเกียรติ
         
ดร.อนันต์ ยังเห็นว่า การพูดนายพงพัฒน์ เพื่อต้องการสะท้อนให้เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่มีแนวคิดไม่ประสงค์ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การพูดจึงเป็นการใช้คำเปรียบเทียบเพื่อให้เกิดความประทับใจเท่านั้น

“ผมเชื่อว่ามีคนไทยอีกไม่น้อยที่เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าพ่อ ไม่เว้นแม้กระทั่งคุณพ่อของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็อาจจะเรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าพ่อเหมือนกัน เอกสารและหนังสือหลายเล่มก็เขียนคำว่าพ่อ ซึ่งหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้กระทั่งวีซีดีที่จัดทำโดยสำนักพระราชวังชุดบ้านของพ่อ หากตำรวจจะรักษามาตรฐานการทำงาน ก็จะต้องรับฟ้องและดำเนินคดีกับคนไทยทั้งประเทศที่เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าพ่อ”ดร.อนันต์ กล่าว

 


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #306 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2553, 13:58:54 »

ยุคตกต่ำของนักวิชาการไทย?
โดย : ทศพร โชคชัยผล กรุงเทพธุรกิจ

 

ในระหว่างเกิดความขัดแย้งทางการเมือง"อย่างเข้มข้น" เมื่อการเมืองกลับมาอยู่"บนท้องถนน" และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกินเวลายาวนานหลายปี จึงเกิดคำถามมากมายว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคมไทย

บัดนี้ คงมีคำอธิบายและคำตอบกันพอสมควร จากคนในวงการต่างๆ แต่จะสามารถให้คำตอบเป็นที่น่าพอใจหรือไม่นั้น ก็ยังคงมีประเด็นที่ถกเถียงกันต่อไปได้อีกมาก

แต่ในระหว่างที่เกิดความขัดแย้ง ผมได้มีโอกาสพบปะกับบรรดาผู้รู้-นักวิชาการ ทั้งเสื้อเหลือง-เสื้อแดง ซึ่งมักจะถามคนเหล่านี้แถมท้ายการพูดคุยไปด้วยว่า เกิดอะไรขึ้นกับวงการวิชาการไทย

เพราะนักวิชาการหลายคน ทั้งเสื้อเหลือง-เสื้อแดง ประกาศตนอย่างชัดเจนมากว่าอยู่ฝ่ายไหน บางคนเข้าไปเคลื่อนไหวโดยตรงกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในครั้งนี้ ทำให้สถานะทางวิชาการเริ่มถูกตั้งคำถามขึ้นมาอย่าง"แหลมคม" ว่าอยู่ตรงไหน

เสื้อเหลืองก็มีนักวิชาการเสื้อเหลือง เสื้อแดงก็มีนักวิชาการเสื้อแดง ต่างฝ่ายต่างประณามกันว่า"ห่วย" "ใช้ไม่ได้" บางคนถึงกับไม่ขอร่วมเวทีอภิปราย โดยอ้างว่าทัศนคติทางการเมือง"ต่างกัน" ซึ่งไม่เพียงแต่แวดวงวิชาการด้วยกันเท่านั้น คนทั่วๆไปที่สนใจการเมือง ก็มักจะตั้งคำถามกับนักวิชาการบางคนอีกด้วย บางครั้งก็"ด่า"อย่างสาดเสียเทเสีย จนไม่มีสภาพเหลืออยู่ก็ว่าได้

ผมเคยถาม นิธิ เอียวศรีวงษ์ ในคำถามเดียวกันว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อสักครึ่งปีมาแล้ว ท่านบอกว่าเกิดจาก"ความอ่อนทางวิชาการ"ของวงการวิชาการบ้านเรา ทำให้เกิดอาการ"แกว่ง"ตามกระแส

ส่วนหนึ่งของ"ความอ่อน"ก็คือนักวิชาการบ้านเราไม่ค่อยจะทำงาน"วิจัย"กัน ทำให้ "นัก"ต่างๆที่มีอยู่นั้น ก็ไม่ได้เก่งจริงตามสาขาของตัวเอง จึงมักมีพวกชอบโดดข้าม"อาณาบริเวณ"ที่ตัวเองรู้จริงบ่อยครั้ง

คำอธิบายจากอาจารย์นิธิ ผมก็ยังรู้สึกว่าขาดๆเกินๆยังไงก็ไม่ทราบได้ เรียกว่ายังไม่เป็นที่น่าพอใจ ต่อมาผมก็มักจะพูดถึงนักวิชาการที่ออกทีวีหรือเวทีสัมมนาว่าสิ่งที่พูดออกมานั้น จาก"ความรู้"ด้วยการวิจัยหรือมีข้อมูล หรือเป็นประเภท"ความเห็น" แต่ก็ไม่ได้เกี่ยว่าเขา/เธอ จะเป็นเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง

แต่ผมสะดุดใจมากมาจากงานแปลของเว็บ "ประชาไท" ชิ้นหนึ่ง ชื่อว่า ทำไมบทบาทของปัญญาชนสาธารณะจึงเสื่อมถอยลง? ของ เบน แอนเดอร์สัน ( http://www.prachatai3.info/journal/2010/07/30286) ทำให้ความสงสัยหลายๆอย่างหายไปได้บ้าง ซึ่งเป็นงานแปลจาก ปาฐกถาเพื่อฉลองวาระครบรอบ 10 ปีโครงการ Public Intellectuals Project ของ Nippon Foundation ที่มหาวิทยาลัย Ateneo de Manila, 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ใครสนใจรายละเอียด ลองเข้าไปหาอ่านดูเอาเอง

แต่ที่ผมคิดว่า"แสบที่สุด" ก็ตรงตัวอย่างที่ยกมา เมื่อ เบน แอนเดอร์สัน เล่าว่า "ผมขอยกตัวอย่างที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง สองสามปีก่อน ผมไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยชั้นนำในกรุงเทพฯให้อาจารย์และนักศึกษาราว 300 คนฟัง ในระหว่างการบรรยายนั้น ผมกล่าวยืดยาวพอควรเกี่ยวกับอัจฉริยะแท้จริงคนแรกที่ประเทศไทยผลิตขึ้นมานับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 นั่นคือ นักสร้างภาพยนตร์ชั้นยอดอย่างอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ซึ่งได้รับรางวัลใหญ่สองรางวัลที่เมืองคานส์ในช่วงเวลาแค่สามปี อีกทั้งยังได้รับรางวัลมากมายทั่วทั้งโลกภาพยนตร์ด้วย ในตอนท้าย ผมถามผู้ฟังว่าใครเคยได้ยินชื่ออภิชาติพงศ์ขอให้ยกมือขึ้น มีคนยกมือประมาณ 10 คน เป็นนักศึกษาทั้งหมด มีกี่คนที่เคยดูภาพยนตร์ของเขา? มีประมาณ 6 คน นักศึกษาทั้งหมดเช่นกัน ชั่วขณะนั้นเองที่ผมตระหนักถึงการปิดหูปิดตาตัวเองอย่างโง่เขลาของเหล่าอาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งคงดูแต่หนังฮอลลีวู้ด และความหยิ่งจองหองของพวกเขา ก็นักสร้างภาพยนตร์ไม่มีปริญญามหาวิทยาลัยน่ะสิ!"

อันที่จริง เบน แอนเดอร์สัน ได้อธิบายเปรียบเทียบหลายประเทศในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ตามหัวข้อปาฐกถา ซึ่งล้วนแต่เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจทั้งสิ้น ว่าทำไมบทบาทของปัญญาชนสาธารณะจึงเสื่อมถอยลง?


เขายังกล่าวถึงปัญญาชนอีกว่า "ในอุษาคเนย์นั้นอาจารย์มหาวิทยาลัยมีรายได้ต่ำ จึงต้องหาทางออกด้วยการรับงานโครงการวิจัยของรัฐที่ไร้ประโยชน์ หาลำไพ่พิเศษด้วยการสอนที่มหาวิทยาลัยอื่น เก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์และอาศัยช่องทางต่างๆ ในสื่อมวลชน เช่น เขียนบทความในหนังสือพิมพ์ ทำรายการทีวี ฯลฯ อาจารย์เหล่านี้จึงมักละเลยหรือไม่สนใจนักศึกษา หรือไม่ก็ปฏิบัติต่อนักศึกษาแบบราชการ นักวิชาการจำนวนไม่น้อยไม่ยอมสอนหนังสือเลย แต่เลือกไปกินตำแหน่งในสถาบันวิจัยที่แทบไม่มีผลงานใดๆ นี่คือเหตุผลที่นักศึกษาเก่งๆ จำนวนมากมักศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองและดูแคลนอาจารย์เพียงในนามเหล่านี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นักวิชาการหลายคนจึงแสวงหาความสำเร็จด้วยการเข้าข้างชนชั้นนำทางการเมือง หรือไม่ก็แข่งขันแย่งชิงทุนจากหน่วยงานต่างๆ ของประเทศร่ำรวย ซึ่งก็มีวาระแฝงเรr]นของตนเอง"

ไม่ว่าจะเป็น"ความอ่อน" หรือ "ปิดหูปิดตาตัวเองอย่างโง่เขลา" แต่ที่แน่ๆ นักวิชาการไทยวันนี้ เปิด"ตัวตน"สู่สาธารณะผ่าน"สื่อ"อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เมื่อเปิดสู่สาธารณะแบบที่นักวิชาการทั้งสองท่านกล่าวไว้ ท่านผู้อ่านคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในยุคที่"ความรู้"สามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านสื่อยุคใหม่

อีกทั้ง ในยุคสังคมสุดขั้วเช่นนี้ นักวิชาการย่อมต้องเผชิญกับ"ปัญหา"มากเป็นเท่าตัว เพราะมักจะถูกจับ"ป้ายสี"และให้"เลือกข้าง"ทันทีที่เอยปากพูด

หากไม่เรียกว่ายุคตกต่ำของวิชาการไทย จะเรียกว่าอะไร?
[/b]
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #307 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2553, 20:29:31 »

ไปอ่านไอ้ข่าวนี่มา แล้วโคตรฉุนเลยครับ!!!
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9530000100407

 
อ้างถึง   
เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.มีผู้เข้าร้องทุกข์ที่ สน.คันนายาว เพื่อต้องการให้ดำเนินคดีกับนายพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง (อ๊อฟ) ดารานักแสดงชื่อดัง สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 16 พ.ค. ในงานประกวดรับรางวัลนาฏราช ทางช่อง 3 จัดที่หอประชุมกองทัพเรือ ซึ่งนายพงษ์พัฒน์ได้พูดขณะรับรางวัล ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันเบื้องสูง หากบุคคลทั่วไปฟังแล้วก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบัน ซึ่งผู้ร้องทุกข์มาร้องในลักษณะที่ว่าเป็นการใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม ล่วงเกินสถาบันเบื้องสูง รวมทั้งมีอากัปกิริยาไม่สำรวม
พล.ต.ต.อำนวยกล่าวอีกว่า ตนจะถามนายพงษ์พัฒน์ด้วยว่า ทำไมจึงเรียกว่า “พ่อ” เฉยๆ และจะต้องมีการสอบถามบุคคลที่ได้ยินได้ฟังในวันรับรางวัลดังกล่าวด้วย เพื่อสอบถามความรู้สึกขอผู้ได้ยินได้ฟังด้วยว่ารู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะนักกฎหมาย นักภาษาศาสตร์ อาจารย์ภาษาไทย ว่าได้ยินได้ฟังรู้สึกอย่างไร รวมทั้งอากัปกิริยาต่างๆ ว่าเหมาะสมหรือไม่


ลิ่วล้อแม้วชง > ตำรวยมะเขือเทศรับ !!!
มันไม่ต้องการให้ใครมาปกป้องสถาบันฯ หากใครปกป้อง มันก็จะพยายามยัดข้อหาเรื่องหมิ่นเหม่ฯให้
แต่กับไอ้เห้มาร์ค v11(ไม่อยากเอ่ยชื่อมันเลย) พาดพิงเห็นๆ! พวกตำรวยหัวขวดพวกนี้ กลับเอาหูไปนา เอาตาไปไร่!
มันน่าให้ไอ้ปื๊ดยิงตายให้หมดกรมฯจริงๆเลย!!!
 จ๊าากกก

หมายเหตุ > ถ้างั้น เพลงที่ป๋าเบิร์ดร้อง ก็ต้องโดนไปหลายเพลงแล้วสิ! เช่น ต้นไม้ของพ่อ ฯลฯ
      บันทึกการเข้า

...
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #308 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2553, 09:32:27 »

หน้าแตกหมอไม่รับเย็บไปแล้ว ไอ้นวย
ต้องกลับลำ 180 องศา ไปเลย แย่มาก
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #309 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2553, 09:38:26 »

อยากจะอ้วกแตก ข้อยสิจะฮาก...น้ำเน่ายุงหึ่ง เลยไอ้พวกนี้

วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 22:24:07 น.   มติชนออนไลน์

"เหลิม"กอด"มิ่งขวัญ" กลมดิกต่อหน้าสื่อ สร้างภาพ-โต้ข่าว"เกาเหลา"ชิงหัวหน้าพรรค "มิ่ง"เขินห้ามลงรูป

    

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อบ่ายวันที่ 21 กรกฏาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) หลังการสัมมนาพรรคเพื่อไทย ในช่วงบ่ายเสร็จสิ้น นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.สัดส่วน และแกนนำทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้มาพูดคุยกับสื่อมวลชน ที่ห้องสื่อมวลชน ชั้น 1 ที่ทำการพรรคเพื่อไทย แต่ไม่นานนัก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็เดินลงมาที่ห้องสื่อมวลชนพร้อมกัน และเมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม เห็นนายมิ่งขวัญ ซึ่งถือว่า ทั้งคู่ ได้อยู่ร่วมกันต่อหน้าสื่อเป้นครั้งแรก หลังจากมีข่าวว่า ทั้งสองคนเกาเหลากันด้วยเรื่องแคนิดเดทหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มานับปี


โดย ร.ต.อ.เฉลิม ได้โผเข้ากอดนายมิ่งขวัญ ทันที และขอให้สื่อถ่ายรูปไว้ด้วย ขณะที่นายมิ่งขวัญมีอาการเขินอายอย่างเห็นได้ชัด และพยายามบอกปัดการถ่ายรูปว่า “นี่นายอย่าถ่ายนะๆ ”  แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ไม่สนใจ กอดนายมิ่งขวัญแน่น


จากนั้นทั้งคู่ได้แซวกันไปมา โดย ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งเคยระบุว่า นายมิ่งขวัญเป็นนักรบห้องแอร์ได้หยอกนายมิ่งขวัญว่า ออกจากห้องแอร์มาได้แล้ว นายมิ่งขวัญก็ตอบกลับว่า หากออกไปกลัวว่า จะมีคนในพรรคตกงานกันหลายคน ร.ต.อ.เฉลิมจึงชวนนายมิ่งขวัญให้ไปงานสัมมนาพรรคที่หนองคายด้วยกัน แต่นายมิ่งขวัญปฏิเสธว่า “ต้องอยู่ทำงานให้พรรคที่กรุงเทพ และเพิ่งไปประชุม ส.ก.ที่พัทยามา” จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิม จึงผละจากนายมิ่งขวัญเพื่อเดินทางกลับบ้าน แต่นายมิ่งขวัญได้แซว ร.ต.อ.เฉลิม ถึงเสื้อ “รักประเทศไทย” สีน้ำเงินที่ ร.ต.อ.เฉลิม ใส่ว่า “ไหนๆ ถามหน่อยสิ รักประเทศไทยมากไม๊” จน ร.ต.อ.เฉลิม หันมายิ้ม


ซึ่งเมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม เดินทางกลับไปแล้ว นายมิ่งขวัญได้ร้องด้วยน้ำเสียงเขินอายว่า “พวกนายเล่นอะไรกันเนี่ย” และขอกับสื่อมวลชนว่า อย่านำรูปที่ถ่ายระหว่างที่ถูก ร.ต.อ.เฉลิม กอด ไปเผยแพร่ทั้งในหนังสือพิมพ์ หรือเฟซบุ๊ค แม้แต่ภาพเดียว

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #310 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2553, 10:54:35 »

ศาสตราจารย์ออสซี่ชำแหละ‘เสื้อแดง’แพ้เพราะคนเลิกหนุน หลังเน้นสู้รุนแรง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 กรกฎาคม 2553 20:41 น.
   
เซ็นทรัลเวิลด์ ในสภาพที่ถูกเผาไหม้ไม่เหลือซาก จากการวางเพลิงย่านราชประสงค์ของพวก “เสื้อแดง”
       อีสต์ เอเชีย ฟอรั่ม - ศาสตราจารย์ออสเตรเลีย เขียนบทความวิเคราะห์ความล้มเหลวของ “เสื้อแดง” ชี้กลุ่มต่อต้านรัฐบาลกลุ่มนี้ชูธงต่อสู้ด้วยหลัก “อหิงสา” แต่กลับเต็มไปด้วยความรุนแรง จึงล้มเหลวไม่สามารถระดมมวลชนจำนวนมากเข้ามาสนับสนุน
       
       ดร.ปีเตอร์ วอรร์ (Peter Warr) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University หรือ ANU) ซึ่งคร่ำหวอดเกาะติดสถานการณ์ประเทศไทยด้วยงานวิเคราะห์วิจัยจำนวนมาก ได้นำเสนอบทวิเคราะห์ใหม่เอี่ยมในหัวข้อ “อัปราชัยแห่งประชาธิปไตยไทย” หรือ The destruction of Thai democracy ซึ่งได้รับการเผยแพร่บนบนเว็บไซต์ของอีสต์ เอเชีย ฟอรั่ม (www.eastasiaforum.org) เมื่อวันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม
       
       บทความนี้รอธิบายปรากฏการณ์สังคมไทยในช่วงความล้มเหลวแห่งกระบวนการต่อต้านรัฐบาลของกลุ่ม“คนเสื้อแดง” ได้เป็นอย่างคมคาย
       
       ชูธงอหิงสา แต่มากด้วยความรุนแรงจึงล้มเหลวในการระดมมวลชนหนุน

       
       บทความของดร.วอร์ เปิดเรื่องว่า ในช่วงบ่ายของวันที่ 19 พฤษภาคม ไม่นานก่อนที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดงยอมมอบตัวแก่กองกำลังของรัฐบาลไทย นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำผู้อื้อฉาวในแนวทางการต่อสู้ด้วยความรุนแรง ผู้ซึ่งเลือกที่จะหายตัวไปอย่างลึกลับนั้น ในวันนั้นเขาสวมใส่เสื้อยืดรูปท่านมหาตมะ คานธี ผู้เป็นบิดาแห่งแนวทางการต่อสู้ด้วยหลักอหิงสา “อันเป็นหลักการเชิงการเมืองที่ผู้นำกลุ่มเสื้อแดง รวมทั้งอริสมันต์ด้วย ยังไม่สามารถซึมซับความคิดนี้ได้”
       
       ดร.วอร์ยังชี้ต่อไปว่า “การจะถอดถอนรัฐบาลซึ่งหยั่งรากลงได้อย่างมั่นคงเช่นในกรณีของประเทศไทยนั้น การลุกฮือขึ้นสู้โดยมวลชน ต้องกระทำให้ได้ในสองสิ่ง คือ การดึงความสนับสนุนจากมวลชนในปริมาณมหาศาลจริงๆ และการที่จะต้องไม่ใช้ความรุนแรง แต่คนเสื้อแดงได้ล้มเหลวไปในทั้งสองประการนี้”
       
       ศาสตราจารย์แห่งเอเอ็นยูวิเคราะห์สาเหตุแห่งความล้มเหลวของแกนนำคน เสื้อแดง โดยตั้งประเด็นว่าการชี้จุดบกพร่องของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในการจัดการกับความ ทุกข์ยากทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างเพียงพอ อีกทั้งการตั้งคำถามไปที่ความชอบธรรมในการได้มาซึ่งอำนาจของรัฐบาลชุดนี้ นั้น ต้องถือว่ามีประเด็นอยู่ กระนั้นก็ตาม กลุ่มเสื้อแดงไม่มีทางจะขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้โดยการเผชิญหน้าทางกายภาพ ในเมื่อมีศักยภาพเป็นรองไปหมดไม่ว่าจะในแง่ของจำนวนคนที่เข้าร่วม และอาวุธที่จะใช้ต่อสู้
       
       ขณะที่แกนนำเสื้อแดงไม่สามารถระดมคนเป็นล้านไปยึดกุมถนนหนทางต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ดั่งที่ประกาศไว้ จำนวนคนที่เข้าร่วมเท่าที่มีอยู่ก็นับแต่จะทยอยน้อยลงในท่ามกลางความรุนแรง ที่ไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ นั้น ดร.วอรร์ชี้ว่าอย่างน้อยแกนนำเสื้อแดงก็ต้องไปดึงบุคลากรในแวดวงตำรวจและ ทหารจำนวนมหาศาลให้ตีจากรัฐบาล กับให้ขัดขืนคำสั่งของรัฐหากมีการตัดสินใจปราบปรามกวาดล้างการประท้วง แต่จะทำได้เช่นนั้น ขบวนการเสื้อแดงก็ต้องประสบความสำเร็จในการระดมคนไทยที่ยังขอตามดูห่างๆ ให้เข้าร่วมกระบวนได้อย่างล้นหลาม ซึ่งการณ์ปรากฏว่าแกนนำเสื้อแดงล้มเหลวในการสร้างปัจจัยเอื้อเหล่านี้ในทุก ทาง
       
       ต่อสู้เอาแต่ได้ ไม่ใส่ใจคนรากหญ้ามวลชนถอนถอยตีจากขอไม่เอาด้วย

       
       ในการนี้ ศาสตรจารย์วอร์อธิบายว่าต้นเหตุใหญ่ของความล้มเหลวคือ การที่ไม่หนักแน่นอยู่ในแนวทางไม่ใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะในยามที่ขบวนการคนเสื้อแดงสร้างความเดือดร้อนและขัดขวางการดำรงชีพ ตามปกติของผู้คนในกรุงเทพฯ ซึ่งส่วนที่สำคัญประการหนึ่งคือ การคุกคามต่อสิทธิในการสัญจรด้วยระบบขนส่งมวลชนและการได้รับบริการสาธารณะ โดยผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนระดับแถวหน้าคือ คนยากคนจนซึ่งมีแทบจะไม่มีทางบรรเทาปัญหาได้เลย ประเด็นสำคัญในเรื่องนี้มีอยู่ว่า คนยากคนจนเหล่านี้นั่นเองที่เป็นพันธมิตรหลักผู้ทรงพลังของขบวนการเสื้อแดง
       
       “ผมอยู่ในกรุงเทพฯ เกือบตลอดช่วงสามสัปดาห์ที่ไปยุติลงในค่ำคืนของวันที่ 19 พฤษภาคม” ดร.วอรร์เล่าเพื่อย้ำว่าข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ของตน เป็นข้อมูลปฐมภูมิ โดยเฉพาะในประเด็นที่ได้รับรู้มาว่า
       
       “ความเห็นของผู้คนที่อาศัยในกรุงเทพฯ สังเกตเห็นได้ว่าต่อต้านผู้ประท้วงแรงมากขึ้น แม้กระทั่งในหมู่คนขายอาหารริมถนนที่เคยตบมือเชียร์ขบวนรถของคนเสื้อแดงใน ช่วงแรกๆ”
       
       แกนนำเสื้อแดงแสดงให้เห็นว่าไม่ใส่ใจกับความทุกข์ยากที่พวกตนสร้าง ให้แก่ชีวิตทางเศรษฐกิจของคนในกรุงเทพฯ ดร.วอรร์ชี้ประเด็นไว้ และระบุว่ามันส่งผลสะท้อนในทางบั่นทอนแรงสนับสนุนที่ขบวนการควรต้องดึงออกมา จากประชาชนให้ได้ และมันเป็นการเจริญรอยตามยุทธศาสตร์การต่อสู้ของกลุ่มเสื้อเหลืองที่พวกแกน นำเสื้อแดงโจมตีมาตลอด และนอกจากที่กลุ่มเสื้อแดงจะเจริญรอยตามแล้ว ยังดำเนินการด้วยวิธีที่รุนแรงกว่ากันอย่างมหาศาล

คนเสื้อแดงก่อจลาจลระหว่างชุมนุมในกรุงเทพฯเมื่อเดือนพฤษภาคม
   
       ‘กองกำลังเสื้อดำ’จุดบอดการต่อสู้แนวเสื้อแดง
       
       กลุ่มชนที่ประกอบกันขึ้นเป็นขบวนการต่อสู้ของคนเสื้อแดงนั้น ประกอบด้วย 3 กลุ่มใหญ่ ซึ่งล้วนแต่มีวาระส่วนตัวที่ต่างๆ กันไป ดร.วอรร์ตั้งข้อสังเกตนี้ขึ้นมา พร้อมให้อรรถาธิบายว่า
       
       กลุ่มใหญ่สุดคือคนชนบทที่ไม่นิยมความรุนแรงอย่างแท้จริงและไม่มีการ นำอาวุธมาใช้ ผู้คนเหล่านี้มีทั้งผู้ชรา สตรี และเด็ก และตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงก่อนใครเพื่อน
       
       กลุ่มที่สองคือคนหนุ่มสาวเลือดร้อนในวัย 30 ปีลงมา ซึ่งคึกคักไปด้วยอาวุธทำเอง รวมถึงระเบิดเพลิง
       
       กลุ่มสุดท้ายคือ กลุ่มชายลึกลับในชุดดำปิดบังใบหน้าอย่างมิดชิด พกพาอาวุธครบมือ และเป็นกลุ่มชนที่ได้รับการฝึกปรือในการใช้อาวุธมาเป็นอย่างดี โดยอาจเป็นหรือเคยเป็นบุคลากรในแวดวงทหารและตำรวจ
       
       “ในบรรดาเสื้อดำมากันจากหลายกลุ่ม แต่ดูว่าพวกนี้ประกอบด้วยนักฆ่ามืออาชีพ เพื่อดำเนินการตามใบสั่งของใครบางคน ซึ่งยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด โดยมุ่งให้มีการสังหารทหารและตำรวจ และหนึ่งในเป้าหมายของคนเสื้อดำนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นการกระตุ้นให้ความ รุนแรงขยายวงกว้าง ด้วยหวังว่าจะทำลายเสถียรภาพและลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล” ตอนหนึ่งของบทวิเคราะห์ระบุไว้อย่างนี้ และอธิบายผลกระทบจากยุทธศาสตร์การใช้บริการของคนเสื้อดำว่า
       
       “เป็นความล้มเหลวของฝ่ายนำในขบวนการเสื้อแดง ที่ปล่อยให้คนต่างขั้วทั้งสามกลุ่มนี้อยู่ร่วมกัน ในเมื่อความเคลื่อนไหวของทีมงานชายนิรนามชุดดำยังเดินหน้าอย่างอุกอาจ ย่อมหมายถึงว่าในท้ายที่สุดแล้วรัฐย่อมไม่มีทางเลือกอื่น หากจะต้องดำเนินการหยุดยั้งปฏิบัติการของคนเหล่านี้”
       
       เสื้อแดงยิ่งสู้ยิ่งหลุดห่างมวลชนถูกมองเป็นขบวนการน่าสะพรึงกลัว
       

       นอกจากนั้น ศาสตราจารย์แห่งเอเอ็นยูชี้ด้วยว่า มันยังหมายถึงว่าผู้ประท้วงเสียสิ่งที่สำคัญคือคะแนนเห็นใจจากคนกรุงเทพฯ พร้อมกับลิดรอนโอกาสที่จะสามารถดึงบุคลากรในแวดวงทหารตำรวจให้เทใจไปสนับ สนุนพวกตนเป็นจำนวนมากๆ ในอันที่จะก่อกระแสอารยะขัดขืนที่แท้จริงขึ้นมาเล่นงานและโค่นล้มรัฐบาล

   
คนเสื้อแดงจุดไฟเผาร้านค้าใกล้สถานที่ประท้วง หลังแกนนำประกาศยุติการชุมนุม
       ในเวลาเดียวกัน ได้มีการวิเคราะห์โดยนำประเด็นภราดรภาพแห่งชาวอีสาน/ชาวอีสานมาใช้อธิบายภาพ ของคลื่นสัมพันธ์ทางใจได้อย่างน่าสนใจว่า
       
       อันที่จริง ในบรรดาคนกลุ่มใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่เป็นคนยากจนและผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำนั้น มีจำนวนมหาศาลที่เป็นลูกหลานของคนอีสานกับคนเหนือซึ่งอพยพหนีความข้นแค้น เข้ามาตั้งรกรากในกรุงเทพฯ ในการนี้ คนเหล่านี้น่าจะถูกดึงเข้าร่วมกับชาวเสื้อแดงอีสานและเหนือที่เคลื่อน ไหวอย่างคึกคักในขบวนการโค่นล้นรัฐ แต่น่าเสียดายว่า ขณะที่การชุมนุมประท้วงลากยาวไปเรื่อยๆ จนมองไม่เห็นจุดจบนั้น
       
       “ความขัดเคืองและความกลัวต่อพวกเสื้อแดงฮาร์ดคอร์และแทคติกส์ของคน เสื้อแดง ได้เข้าไปแทนทีความเห็นใจที่ผู้คนมากมายเคยให้แก่ขบวนการในช่วงก่อนๆ พวกเขาเรียกคนเสื้อแดงว่า ม็อบ ซึ่งเป็นคำภาษาอังกฤษที่พวกเขารับไปใช้ติดปากทั้งๆ ที่พวกเขาแทบไม่รู้จักศัพท์แสงใดๆ ในภาษาอังกฤษเลย” ศาสตรจารย์วอรร์เปิดประเด็นไว้อย่างนั้น โดยอธิบายนัยของคำว่า ม็อบว่า เป็นคำที่คนระดับรากหญ้าเคยใช้เรียกผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลซึ่งใช้เสื้อ เหลืองเป็นสัญลักษณ์กลุ่มในปลายปี 2008
       
       “คนกรุงเทพฯ หันมากลัวม็อบเสื้อแดงมากขึ้นเรื่อยๆ และปรากฏว่าปฏิบัติการไล่เผา ปล้นสะดม และทำลายสถานที่ต่างๆ อย่างมากมายในค่ำวันที่ 19 พฤษภาคม แสดงให้เห็นว่า ความกลัวดังกล่าวมิใช่ว่าจะไร้มูลฐาน” บทวิเคราะห์อัปราชัยแห่งประชาธิปไตยไทย ชำแหละขบวนการเสื้อแดงอย่างตรงไปตรงมาทีเดียว
       
       แม้จะดึงทหารตำรวจสู่แนวร่วมก็เหลว
       
       หันไปตรวจสอบโอกาสดึงแนวร่วมจากในด้านของทหารตำรวจบ้าง ศาสตราจารย์แห่งเอเอ็นยูชี้ว่า อันที่จริงแล้ว บุคลากรในแวดวงทหารตำรวจที่ถูกระดมจากภาคเหนือและภาคอีสาน มีจำนวนมากมาย ในช่วงต้นของความขัดแย้งนั้น ยังพอมีโอกาสบ้างที่บุคคลเหล่านี้จะค่อยๆ เทใจไปร่วมอยู่ในขบวนการเสื้อแดงได้ในที่สุด
       
       อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการคมกระสุนของกลุ่มชายนิรนามชุดดำ ที่เล่นงานทหารไทยซึ่งพกพาแค่โล่และไม้กระบองไปดำเนินปฏิบัติการขอคืน พื้นที่จากขบวนการเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายน ได้ทำลายโอกาสตรงนี้
       ดร.วอรร์วิเคราะห์ไว้อย่างนั้น พร้อมกับให้อรรถาธิบายความล้มเหลวของกลุ่มเสื้อแดงด้วยปัจจัยวิกฤตผู้นำ - “ทักษิณ ชินวัตร” นั่นเอง
       
      ‘ทักษิณ’ผู้นำตัวพ่อ-อีกปัจจัยความล้มเหลว
       
       การวิเคราะห์ใน The destruction of Thai democracy ระบุเปิดประเด็นปัจจัยความล้มเหลวของขบวนการเสื้อแดงไปสู่ประเด็นผู้นำ โดยชี้ว่า โชคร้ายที่เสื้อแดงไม่มีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ทางจริยธรรมอย่างมหาตมะ คานธี ฐานะของทักษิณในขบวนการก็เต็มไปด้วยความเคลือบคลุม ตามข้อมูลของทางการ ทักษิณเป็นนายทุนหลักของการประท้วง
       
       ในช่วงต้นพฤษภาคม ฝ่ายรัฐบาลเสนอโร้ดแมปเพื่อสันติภาพเพื่อให้ผู้ประท้วงกลุ่มเสื้อแดงยุติการ บั่นทอนกรุงเทพฯ เหตุการณ์เดินหน้าเสมือนว่าจะสรุปจบได้อย่างดี แต่แล้วก็ลือกันว่าทักษิณสั่งแกนนำเสื้อแดงให้ถอนจากการเจรจา เพราะรัฐบาลมิได้ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ใดๆ แก่ทักษิณ โดยเฉพาะ การคืนพาสปอร์ต และการให้นิรโทษกรรมแก่ข้อหาคดีอาชญากรรมต่างๆ
       
       “เท่าที่ผมทราบ ในการกล่าวต่อสาธารณชนครั้งต่างๆ ทักษิณไม่เคยเรียกร้องชัดๆ ตรงๆ ให้ผู้ติดตามเขา ยึดมั่นในแนวทางไร้ความรุนแรง ... ยุคที่เขาเป็นรัฐบาลก็เต็มไปด้วยภาพของการโกงเลือกตั้ง การกดขี่เสรีภาพสื่อมวลชน การทำร้ายและสังหารคู่ต่อสู้ทางการเมือง อีกทั้งการรณรงค์สังหารหมู่ผู้ที่ถูกกล่าวหาเป็นอาชญากรและค้ายาเสพติด และอื่นๆ อีกมากมายที่รวมขมวดลงเป็นภาพความละโมภโทสันของบุคคลอย่างไร้ขอบจำกัด”
       
      ต่อไปข้างหน้าจะอย่างไรดี?
       
       ขบวนการต่อสู้ของเสื้อแดงอยู่ในภาวะพ่ายแพ้ แต่ความทุกข์ยากของพวกเขาต้องไม่ถูกละเลย ทั้งนี้ เป็นการดีที่ว่า ขณะนี้ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลเป็นการเดินหน้าในประเด็นของการปรองดอง ซึ่งรัฐบาลต้องให้คำมั่นแก่การจัดเลือกตั้ง และต้องเคารพต่อผลการเลือกตั้ง แม้ฝ่ายสนับสนุนทักษิณเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง พร้อมกันนั้น การขับเคลื่อนเพื่อให้มีการแก้ปัญหาความทุกข์ยากอันแท้จริงของชนชาวรากหญ้า ที่เข้ามาสวมใส่เสื้อแดงอยู่ระยะหนึ่ง เป็นไปอย่างเอาจริง มิใช่แค่ทำไปแค่นๆ เพื่อเอาตัวรอดเชิงการเมืองไปวันๆ แบบแค่ประคองไม่ให้ความรุนแรงปะทุตัวขึ้นใหม่

   

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #311 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2553, 22:18:55 »

มือขวาเสธ.แดงในคืนมื้อสุดท้าย?
27 กรกฎาคม 2553 เวลา 11:22 น.
ภาพบุคคลรายนี้ ผุดขึ้นอีกครั้งเพราะพฤติกรรมแปลกๆเป็นจุดสนใจ เนื่องจากทีมการ์ดคุ้มกันเสธ.แดง นับสิบคนที่สวมชุดดำ มีรายนี้เท่านั้นจะควบมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ห่างๆ และที่สำคัญคือการสะพายเป้ โดยมีวัตถุชนิดหนึ่งอยู่ภายในจนตุงขึ้นมาโดดเด่น

โดย ธรรมสถิตย์  ผลแก้ว

การเอาจริงเอาจังของกรมสอบสวนดคีพิเศษหรือดีเอสไอ  ในการกระชากหน้ากากขบวนการก่อการร้ายสังหารเจ้าหน้าที่ทหาร ประชาชน  ในช่วงเหตุการณ์เมษา-พฤษาเดือด    ทำให้หลายคนลุ้นเอาใจช่วยนำคนผิดมาลงโทษให้ได้             

ประเด็นหนึ่งที่ใกล้สาวถึงผู้อยู่เบื้องหลังสั่งการเผาบ้านเผาเมือง  เห็นจะเป็น การจับกุม นายสุรชัย เทวรัตน์ หรือ” หรั่ง”  โดยจากการสืบสวนสอบสวน พบพยานหลักฐานมัดแน่น ทำให้เจ้าหน้าที่มั่นใจสรุปสำนวนส่งฟ้องภายในสิ้นเดือนนี้  แต่ขณะเดียวกัน ดูเหมือนการจับกุมนายหรั่ง ทำให้ฝ่ายหนึ่งยื่นมือให้ความช่วยเหลือ  ซึ่งถ้ามองในแง่ดีก็เป็นไปตามหลักของการใช้สิทธิตามกระบวนการยุติธรรม เมื่อตกเป็นผู้ต้องหาย่อมมีสิทธิจะได้รับการตั้งทนายต่อสู้คดี 

เหรียญมีสองด้าน เมื่อมองในแง่ดีแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งทางการเมืองไม่อาจปฏิเสธได้เลย ย่อมมีเสียงวิจารณ์เหมือนกันว่า ความพยายามของกลุ่มบุคคลในการหาทางช่วยเหลือนายหรั่ง เพื่อหวังตัดตอนไม่ให้ขยายผลคดีไปถึงบุคคลระดับบิ๊กก็เป็นได้ 

สิ่งที่ตอกย้ำเข้ามาอีก เห็นจะเป็นกรณี  จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำนปช. ผู้ได้เอกสิทธิ์เหนือเอกบุรุษ  ใช้ความเป็น ส.ส.คุ้มครองไม่ต้องถูกคุมขังเหมือนผู้ต้องหาคดีป่วนเมืองรายอื่น ออกมาวิเคราะห์ตามแบบฉบับตรงข้ามรัฐบาลทุกเรื่อง ว่า นายหรั่งไม่ใช่มือขวาเสธแดง  แต่เสธ.แดงน่าจะเป็นมือขวานายหรั่ง หรือล่าสุดโจมตีไปถึงหลังบ้านอธิบดีดีเอสไอเพื่อหวังทำลายความน่าเชื่อถือต่อตัวอธิบดีดีเอสไอ   

แม้แต่ ทนายความเสื้อแดง ที่พยายามช่วยว่าความ  ถึงขั้นเข้าไปพบนายหรั่ง แล้วออกมาบอกกับสื่อมวลชนว่า นายหรั่งไม่ใช่มือขวา มือขวาตัวจริงพรรคเพื่อไทยจะนำมาเปิดโปงเร็วๆนี้   จนสร้างความสับสนให้สื่อมวลชน  แต่จนแล้วจนรอดกลับลำชี้แจงสื่อในวันรุ่งขึ้น ไม่มีมือขวาเสธ.แดง   เป็นแค่การพูดเล่นกับสื่อเท่านั้น    จนล่าสุดพรรคเพื่อไทยกระโดดเข้ามาดูแลปกป้องครอบอครัวนายหรั่ง ไม่ให้ข้อมูลกับดีเอสไอจนถูกตั้งข้อสังเกต มีอะไรลึกล้ำกว่านี้หรือไม่ที่เกรงจะไปกระทบถึง “มือมืดตัวพ่อ”แล้วจะสะเทือนไปทั้งองคาพยพ  ผิดแผกแตกต่างจากคดีอ้อ-อ้าย ผู้ต้องหาบึ้มพรรคภูมิใจไทย  ที่ถูกลอยแพ  แถมซ้ำเติมว่าไม่ใช่พวกแดงแท้


ภาพเปรียบเทียบบุคคลหน้าเหมือนสุรชัย ซึ่งถูกถ่ายได้ระหว่างการชุมนุม นปช.ที่ราชประสงค์ กับภาพสุรชัยที่ถ่ายหลังถูกจับกุม
แม้มีขบวนการทำให้สังคมเกิดความสับสน   อย่างไรก็ตามแต่ ความลับไม่มีในโลก ความจริงเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น  เมื่อทีมข่าวโพสต์ทูเดย์เฝ้าติดตามเรื่องนี้ เกิดความทรงจำแล่นเข้าสมองทันทีหลังการจับนายหรั่งได้เป็นผลสำเร็จ เพราะทำให้นึกถึงบุคคลหนึ่งซึ่งอยู่ในช่วงเย็นแห่งความสลดของวันที่ 13 พ.ค. 53 

เขาคนนั้นเป็นบุคคลที่อยู่ในช่วงเวลาที่ทีมข่าวได้นัดหมายพล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง สัมภาษณ์เปิดใจ ก่อนสองชั่วโมงที่นักรบป่าคอนกรีตจะถูกลอบยิง    เขาคนนั้นทำหน้าที่ยืนเฝ้าระวังคุ้มกันความปลอดภัยให้เสธ.แดงอยู่ห่างๆ อีกทั้งขณะที่ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์กำลังนั่งรับประทานอาหารที่บริเวณเต้นท์นปช.จันทบุรีเยื้องโรงภาพยนต์สยาม   เขาคนเดียวกันนี้ก็ไม่คาดคิดเหมือนกับทีมข่าวโพสต์ทูเดย์ว่า นั่นคืออาหารมื้อสุดท้ายที่อยู่ร่วมรับประทานกับเสธ.แดง     

เหตุที่ภาพบุคคลรายนี้ ผุดขึ้นอีกครั้งเพราะพฤติกรรมแปลกๆเป็นจุดสนใจ  เนื่องจากทีมการ์ดคุ้มกันเสธ.แดง นับสิบคนที่สวมชุดดำ มีรายนี้เท่านั้นจะควบมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ห่างๆ และที่สำคัญคือการสะพายเป้ โดยมีวัตถุชนิดหนึ่งอยู่ภายในจนตุงขึ้นมาโดดเด่น  เป้ใบนี้เหมือนสมบัติสุดหวง ที่ไม่ยอมออกห่างกาย ทำให้เราต้องบอกช่างภาพโพสต์ทูเดย์ นอกจากเก็บแต่ภาพสัมภาษณ์เสธ.แดง ให้กดชัตเตอร์บุคคลรายนี้ไว้ด้วย …       

แทบไม่น่าเชื่อ อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น  หลังเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจับตัวนายหรั่งมาได้   โดยที่ฝ่ายหนึ่งออกมาปฏิเสธทำนอง เสธ.แดงไม่มีคนแบบนี้เป็นมือขวา   แต่ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์ ขอบอก ใบหน้านายหรั่งดูช่างคลับคล้ายคลับคลาบุคคลที่ทีมข่าวบันทึกภาพไว้ 

ตั้งแต่ รอยแผลเป็นบริเวณคางด้านซ้าย ตรงกับภาพของสื่อมวลชนทั่วไปบันทึกได้ล่าสุด โดยที่นายหรั่งนำปลาสเตอร์ปกปิดอะไรบนคางด้านซ้าย    ครั้นสังเกตบริเวณแขนซ้าย-ขวา  นายหรั่งมีใจตรงกันกับบุคคลที่ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์บันทึกภาพอีกเช่นกัน เพราะเป็นรอยสักเกิดขึ้นบริเวณเดียวกัน   จริงอยู่อาจมีคนบอกว่า ใครๆสามารถสักบริเวณแขนเหมือนกันได้  แต่เพ่งพิจารณา ลักษณะรอยสักช่างเป็นลักษณะเดียวกันเป๊ะ 

เพื่อการันตีความคุ้นเคย ภายหลังเสธ.แดงถูกยิง    นักรบชุดดำเริ่มสับสนเพราะไร้ผู้นำตามแนวชายแดน  ทำให้เราต้องตกใจอีกครั้ง  เมื่อเห็นเขาคนเดียวกันนี้ นั่งมอเตอร์ไซค์ยามค่ำคืนผลุบเข้าผลุบออกมานั่งพักอยู่บริเวณหลังเวทีแยกราชประสงค์ร่วมกับทีมการ์ดภายใต้การนำของ  อารี ไกรนารา  ซึ่งเคยตกเป็นข่าวระหองระแหงกับฝ่ายเสธ.แดงถึงขั้นยกพวกท้าทายกัน ก่อนวันที่เสธ.แดงถูกลอบยิง  และที่จดจำได้ขึ้นใจ ก็คือ เป้น่าสงสัยใบนั้น ยังมีวัตถุตุงเด่นติดตัวไม่ห่างหาย 

หลังการมอบตัวของแกนนำนปช.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เราเห็นหน้าอารี ไกรนารา ครั้งสุดท้าย ก่อนจะเล่นบทนินจาหายวับไปกับหมายจับ   และเช่นกัน ไม่เห็นเขาคนนั้นซึ่งมีใบหน้า รูปร่าง ละม้ายคล้ายเหมือน นายหรั่งอีกเลย Huh??

ไม่ว่าคนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จะออกมายืนยัน นายหรั่งไม่ใช่มือขวาเสธ.แดง  ไม่มีนายนี้อยู่ร่วมทีมชุดดำ หรือปฏิเสธว่านายหรั่งไม่ใช่ครูฝึกนักรบพระเจ้าตาก ไม่เคยมีวีรกรรมยิงเอ็ม 79 ถล่มสถานที่ต่างๆ   ก็คงต้องเป็นเรื่องที่กระบวนการยุติธรรมจะพิสูจน์ออกมา 

แต่สำหรับผู้อยู่ในเหตุการณ์ค่ำคืนแห่งความระทึกราชประสงค์  บุคคลที่เราจับตาด้วยพฤติกรรมผิดสังเกตจากเป้น่าสงสัย  เขาดูละม้ายคล้ายเหมือนนายหรั่งเสียเหลือเกิน   

แม้ฝ่ายหนึ่งพยายามบอกว่าไม่ใช่   แต่ฝ่ายที่มั่นใจในพยานหลักฐาน เขาก็มีสิทธิที่จะบอกว่า  นี่แหละใช่เลย

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #312 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2553, 10:45:56 »

ยูเนสโกหนุนไทย-เขมรเจรจาพระวิหาร
28 กรกฎาคม 2553 เวลา 20:02 น. | เปิดอ่าน 1,408 |  ความคิดเห็น 23
ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกเรียกร้องให้ไทย-กัมพูชามีการร่วมหารือเรื่องการคุ้มครองปราสาทพระวิหาร ระบุการคุ้มครองมรดกโลกเป็นการสร้างสันติภาพ

เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ไอรินา โบโกวา ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้เรียกร้องให้มีการหารือในการคุ้มครองปราสาทพระวิหาร และเน้นย้ำถึงบทบาทของอนุสัญญามรดกโลกปีพ.ศ. 2515  ในฐานะสื่อกลางเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ ไอรินา โบโกวา แสดงความคิดเห็นหลังการประท้วงหน้าสำนักงานองค์การยูเนสโก กรุงเทพฯ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีการประชุมของคณะกรรมการมรดกโลกที่กรุงบราซีเลีย (ประเทศบราซิล) เพื่อพิจารณาการอนุรักษ์ปราสาทพระวิหาร ซึ่งได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลก ในปีพ.ศ. 2551

ในการพบปะกับตัวแทนจากทั้งประเทศไทยและกัมพูชา โบโกวาได้เน้นย้ำถึงความห่วงใยที่คณะกรรมการมรดกโลกมี นั่นคือการคุ้มครองและส่งเสริมมรดกโลกด้วยความเคารพและปราศจากอคติ ที่มีต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศสมาชิก หรือต่อการอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของอาณาเขต

"การคุ้มครองและส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติของพวกเรา หมายความถึงการสร้างสันติภาพ ความเคารพ และความสามัคคี ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของภารกิจขององค์การยูเนสโก นี่คือความรับผิดชอบหลักที่มีความเข้าใจตรงกัน คือการให้มรดกโลกเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ การร่วมหารือ และความปรองดองซึ่งกันและกัน" โบโกวา กล่าว

คลิ๊กชมจดหมายข่าวฉบับภาษาอังกฤษจากเว็บไซต์ยูเนสโกได้ที่นี่

http://www.unescobkk.org/information/news-display/article/director-general-of-unesco-calls-for-dialogue-in-safeguarding-the-temple-of-preah-vihear/



      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #313 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2553, 10:53:02 »

ผ่าอินไซค์ครม.อธิปไตยชาติสำคัญกว่ามรดกโลก

เรื่องนี้เป็นเรื่องเซ็นเซทีฟ การแสดงจุดยืนอธิปไตยสำคัญที่สุด ถ้าแลกระหว่างอธิปไตยกับมรดกโลกเราไม่เอามรดกโลก


โดย...ทีมข่าวการเมืองposstoday online 29 กค 53

สถานการณ์แนวชายแดนต่อกรณีกัมพูชาเสนอยูเนสโกให้มีมติรับรองปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่พิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาตามมา ทำให้การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 28 ก.ค. เป็นไปด้วยความตรึงเครียดยาวนานกว่า 40 นาที 

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี  แจ้งที่ประชุมครม.ว่าขณะนี้นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยไปประชุมคณะ กรรมการมรดกโลกที่บราซิล นายสุวิทย์ได้รายงานตรงถึงตนเองตลอดเวลานับแต่ออกเดินทางไปที่บราซิล โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของกัมพูชา


"นายสุวิทย์ได้แจ้งกับผมว่า มีความรู้สึกว่าเราจะแพ้  เนื่องจากตามข้อกำหนดกัมพูชา ต้องมีการส่งเอกสารให้ไทยก่อน 6 เดือน แต่กลับไม่ส่ง  ที่สำคัญมีการแนบแผนที่ 1: 200,000 ตร.กม.  โดยเขาเสนอพื้นที่ด้านทิศใต้ ทิศตะวันออก   ซึ่งถ้าดูจากแผนที่ พื้นที่พิพาทด้านทิศเหนือ ตะวันตก แบ่งตามสันปันน้ำเป็นพื้นที่ของเรา  ดังนั้นเราจึงไม่ยอมรับแผนที่ของเขา แต่เขาใช้วิธีว่า ให้ไทยช่วยดูแลร่วมกับกัมพูชา  จึงเป็นประเด็นว่า ถ้ายูเนสโกประกาศเป็นมรดกโลกจะกันอาณาเขตที่เป็นข้อพิพาทหรือไม่  ผมเห็นว่า เวลานี้จึงไม่เห็นควรให้เป็นมรดกโลกแต่ควรมาคุยกันเรื่องแผนที่ การปักปันให้เรียบร้อยก่อน"นายกฯกล่าว

นายกฯ กล่าวว่า  นายสุวิทย์ ได้รายงานด้วยว่า  กัมพูชาเดินทางไปล็อบบี้ชาติสมาชิกก่อนประเทศไทย  และได้บอกกับตนว่าท่าทีของไทยเรื่องนี้ควรที่ไทยจะถอนตัวออกจาก ที่ประชุม แต่อยากขอความเห็นจากที่ประชุมครม.ก่อน 

หลัง จากนายอภิสิทธิ์แจ้งเรื่องดังกล่าวแล้ว จึงเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีแต่ละคนแสดงความคิดเห็น ซึ่งก็มีรัฐมนตรีหลายคนแสดงความคิดเห็นเช่นนายนิพิฐ อินทรสมบัติ รมว.วัฒนธรรมที่บอกว่าการตัดสินใจเรื่องนี้รัฐบาลต้องทำให้ไทยได้ประโยชน์ สูงสุด ขณะที่นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.ท่องเที่ยวเสนอว่าประเทศไทยต้องมีความระมัดระวังในการพิจารณาและหาทางออกเรื่องนี้ ส่วนนายพีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม แสดงทัศนะไว้ว่าเท่าที่ได้ติดตามเรื่องคิดว่ากัมพูชาไม่ได้ต้องการให้ปราสาทพระ วิหารเป็นมรดกโลกแต่วัตถุประสงค์ที่กัมพูชาต้องการคือดินแดนที่เป็นปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชามากกว่า และไม่แน่ใจในท่าทีของยูเนสโกเนื่องจากไม่ตอบสนองหรือยืนข้างประเทศไทย และเรื่องนี้ถึงท้ายที่สุดเราต้องยึดหลักอธิปไตยของประเทศเป็นสำคัญ

รายงาน แจ้งด้วยว่าจากนั้นนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศแสดงความเห็นว่าองค์กรระหว่างประเทศไม่ค่อยให้ความเป็นธรรม กับไทย ไม่โปร่งใส จึงก่อให้เกิดความขัดแย้งซึ่งโดยปกติแล้วเรื่องแบบนี้ต้องพิจารณาให้เสร็จ สิ้นเสียก่อนถึงค่อยนำเสนอแผนการบริหารพื้นที่ แต่การที่ไทยจะถอนตัวจากการเป็นสมาชิกภาคียูเนโกไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเมื่อทำหนังสือไปแล้วต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปีกว่าที่การถอนตัวดังกล่าวจะ มีผล อีกทั้งเรื่องนี้เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ ต้องนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190

จากนั้นนายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ เสนอว่ารัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องอธิปไตยของประเทศโดยเฉพาะอธิปไตย ดินแดนประเทศ

"เรื่องนี้เป็นเรื่องเซ็นเซทีฟ การแสดงจุดยืนอธิปไตยสำคัญที่สุด ถ้าแลกระหว่างอธิปไตยกับมรดกโลกเราไม่เอามรดกโลก"นายไชยยศ กล่าวเสียงหนักแน่น 


หลัง อภิปรายกันอย่างหนัก แสดงความคิดเห็นกันหลายคน ที่ประชุมจึงเสนอแนวคิดให้ไทยถอนตัวจากการเป็นภาคีสมาชิกของยูเนโกเสียเลย และในการประชุมที่บราซิลก็ควรที่ไทยจะต้องเปลี่ยนที่นั่งจากผู้เข้าร่วม ประชุมมาเป็นผู้สังเกตการณ์แทนหรือให้วอล์คเอาท์เพื่อแสดงการประท้วง หรือไม่ร่วมโหวตใดๆ แต่ถ้าหากประเทศไทยจะประกาศถอนตัวหรือจะอยู่ต่อ ก็ควรต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าจะร่วมกิจกรรมกับยูเนสโกต่อหรือจะถอนตัวออกมา เลย แต่รัฐมนตรีหลายคนก็ท้วงว่าถ้าไม่ถอนตัวแต่ยังคงรักษาสิทธิในที่ประชุมของยู เนสโกอยู่ ก็ยังมีสิทธิในการแสดงความเป็นเจ้าของดินแดนข้อพิพาทอยู่ จากนั้นนายกรณ์ จาติกวนิช รมว.คลัง จึงถามในที่ประชุมว่าการถอนตัวหรือคงอยู่ในการเป็นภาคียูเนสโกมีผลดีหรือผล เสียอย่างไร

อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์  กล่าวต่อที่ประชุมด้วยว่า นายสุวิทย์จะเช็คเสียงที่ประชุมครั้งสุดท้าย ขณะเดียวกันยังมีสิทธิ์ที่จะอ่านแถลงท่าทีก่อน โดยแสดงจุดยืนอธิปไตยของไทยเหนือดินแดน และยูเนสโกไม่ควรทำให้เกิดความแตกแยก  เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราไม่เห็นด้วย  ซึ่งถ้าหากเขายืนยันประชุมต่อ ก็จะให้นายสุวิทย์ดูเหตุการณ์ตรงนั้นว่าเราจะชนะหรือแพ้  ถ้าสูสีให้ลงมติ แต่ถ้าเห็นว่าหากลงคะแนนแพ้แน่ ก็ให้วอล์คเอาท์ แล้วให้บุคลากรของเรานั่งสังเกตการณ์

จากนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สรุปว่าเรื่องนี้ทางออกมีสามแนวทางที่รัฐบาลยึดถือคือมติครม.ยังคงยืนยันว่า ไม่ยอมรับและคัดค้านแผนพัฒนาปราสาทพระวิหารของกัมพูชา แต่ว่าการที่จะพิจารณาว่าจะทำอย่างไรจะประชุมต่อหรือจะวอล์คเอาท์อยู่ที่ ดุลยพินิจของนายสุวิทย์ในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทย และไทยจะพิจารณาทบทวนการเป็นภาคีของยูเนสโก และภายในวันนี้ครม.จะต้องแจ้งท่าทีและความจำนงของรัฐบาลไปยังสำนักงานยูเนส โกที่ฝรั่งเศสและบราซิลภายในคืนนี้

นอกจากนี้นาย อภิสิทธิ์ยังได้สั่งให้นายกษิต ภิรมย์ ทำหนังสืออย่างเป็นทางการในนามกระทรวงการต่างประเทศเพื่อแสดงท่าทีดังกล่าว ไปยังการประชุมยูเนโกที่บราซิลรวมถึงสำนักงานที่ฝรั่งเศล ว่ารัฐบาลไทยไม่ยอมรับกับแผนพัฒนาพื้นที่เขาพระวิหารของกัมพูชา ด้วยเหตุว่าหากยูเนโกให้การยอมรับแผนดังกล่าวจะทำให้เกิดผลกระทบรุนแรง  ความตระหนกกับคนในประเทศอย่างมากและยูเนสโกไม่ควรทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างประเทศ 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #314 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2553, 09:19:20 »

วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 05:56:11 น.   มติชนออนไลน์

คนไทยได้เฮ!คกก.มรดกโลกมีมติไม่พิจารณาแผนพัฒนาพระวิหาร เลื่อนไปปีหน้า "สุวิทย์"หน้าบาน"มาร์ค"โทรยินดี

ด่วน!! คณะกก.มรดกโลกมีมติยังไม่พิจารณาแผนพัฒนาปราสาทพระวิหาร ให้เลื่อนไปประชุมปีหน้าที่บาห์เรน เพราะไทย-เขมรยังขัดแย้งกันอยู่ "สุวิทย์"ขอบคุณคนไทยทุกคน ทุกหน่วยงาน ภาคส่วน เผย"มาร์ค"โทรยินดีแต่เช้า ไม่ได้นอนทั้งคืน

 

ที่ประชุมมรดกโลกที่บราซิล มีมติเลื่อนแผนการบริหารจัดการพระวิหารในการประชุมปีหน้า หลังล็อบบี้ไทย-เขมรไม่สำเร็จ

 

 

รายงานข่าวล่าสุด เมื่อเวลา 05.30 น. เช้ามืดวันที่ 30 กรกฏาคม (เวลาประเทศไทย) ระบุว่า ประชุม คณะกรรมการมรดกโลก ที่ประเทศบราซิล มีมติให้เลื่อนการพิจารณาแผนการบริหารจัดการ พื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร มรดกโลกของกัมพูชาออกไป เป็นปีหน้าที่ประเทศบาห์เรน หลังจากที่ ตัวแทนของกรรมการมรดกโลกได้พยายามเจรจากับตัวแทนของไทย กับกัมพูชา นอกรอบให้ได้ข้อยุติก่อน โดยมีประชุมทีละฝ่าย่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงมีมติให้เลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน

 

 

ต่อมาเมื่อเวลา 06.15 น. วันที่ 30 ก.ค. นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางทีวีช่อง 3  ถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ประเทศบราซิล มีมติให้เลื่อน การพิจารณาแผนการจัดการบริหารมรดกโลกของกัมพูชาออกไปในการประชุมปี 2554  ที่ประเทศบาห์เรน ว่า ในเรื่องดังกล่าวตนต้องขอขอบคุณคนไทยทุกคน จากทุกภาค ทุกหน่วยงาน นักวิชาการ รวมถึงทีมงานทุกคน ที่ร่วมกันต่อสู้เพื่อไม่ให้ ทางคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร โดยก่อนหน้านี้ ทั้งตน และทางทีมงานที่เกี่ยวข้องซึ่งทุกคนได้แบ่งงานกันทำอย่างชัดเจน  ไม่ว่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ แม่ทัพน้อย เจ้ากรมแผนที่ทหาร  ฯลฯ รวมถึงหน่วยงานภาคประชาชน และคนไทยทุกคนได้ร่วมการคัดค้านเรื่องดังกล่าวกันอย่างเข้มข้น  ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่เป็นกำลังใจให้ รวมถึงเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายกฯ ก้ได้โทรศัพท์มาแสดงความยินดีเช่นกัน ทั้งที่เมื่อคืนนี้ ท่านไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะติดตามข่าวสารกันตลอด

 

ทั้งนี้ นายสุวิทย์ กล่าวว่า สำหรับมติดังกล่าวเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก และต่อจากนี้ ท่างทีมงานก็จะได้เตรียมหลักฐานและเอกสารเพื่อดำเนินการในการต่อสู่เพื่อไม่ ให้ประเทศไทยเสียอธิปไตยในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหารต่อไปอย่างที่ ทำกันมาตลอด ทั้งนี้ ในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ต่างก็เริ่มเข้าใจประเทสไทยได้ดีขึ้น ว่า เราเป็นประเทศรักสันติ รวมถึงประธานคกก.มรดกโลกก็สนับสนุนการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อให้ความขัดแแย้งได้รับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย

 

 

ก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวจากที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ประเทศบราซิล แจ้งว่า นายสุวิทย์อยู่ระหว่างเจรจาให้คณะกรรมการมรดกโลกดึงวาระการพิจารณาแผนการ จัดการบริหารมรดกโลกของกัมพูชาออก วันที่ 29 กรกฎาคม เวลาประมาณ 09.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศบราซิล ซึ่งตรงกับ 19.00 น. ในเวลาประเทศไทย จะประชุมบูโร (กรรมการบริหาร) ดังนั้น จะใช้โอกาสนี้พยายามเจรจาเพื่อดึงวาระดังกล่าวออกจากการพิจารณาอีกครั้ง

 

แหล่งข่าวกล่าวว่า เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 28 กรกฎคม ตามเวลาท้องถิ่น นายสุวิทย์เจรจานอกรอบกับนายซกอาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และหารือเกี่ยวกับแผนบริหารการจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหาร ซึ่งเอกอัครราชทูตบราซิลเป็นผู้ดำเนินการให้เจรจา บรรยากาศเป็นไปอย่างตึงเครียด ใช้เวลาประมาณ 30 นาที


นายซกอานแจ้งกับคณะฝ่ายไทยว่าได้ยอมให้ไทยมามากแล้ว และชี้แจงว่า แผนบริหารไม่ได้นำเขตแดนด้านทิศตะวันตกของปราสาทพระวิหารมาเป็นส่วนหนึ่งของ พื้นที่บริหารจัดการ แต่คณะผู้แทนไทยแย้งว่าทางทิศตะวันออก (ด้านบันไดหัก) ยังไม่ได้กันพื้นที่ และยังมีกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนอยู่ ดังนั้น ประชาชนไทยคงรับไม่ได้


นอกจากนี้ ยังพูดคุยเนื้อหาในเอกสารรายงานสภาพการอนุรักษ์ ซึ่งทางไทยรับไม่ได้ใน 2 ข้อ แต่ทางกัมพูชายืนยันว่าไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เพราะกัมพูชามีโครงการต่างๆ ในพื้นที่ และมีระยะดำเนินการ 2 ปี ในที่สุดการเจรจาก็สิ้นสุดลงโดยไม่สามารถตกลงกันได้


แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับมาตรการตอบโต้ของคณะผู้แทนไทยนั้น ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นต้องถอนตัวจากที่ประชุม หรือลาออกจากคณะกรรมการมรดกโลก และสมาชิกภาคีอนุสัญญาฯ แต่มาตรการตอบโต้จะเริ่มจากเบาไปหาหนัก คือ ไม่ยอมรับแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร และไม่ยอมรับรายงานสภาพการอนุรักษ์ที่กัมพูชาจะเสนอต่อที่ประชุม


หากที่ประชุมยังยืนยันจะพิจารณาวาระดังกล่าว คณะผู้แทนไทยจะออกแถลงการณ์ตำหนิและประณามการทำงานของฝ่ายเลขานุการคณะ กรรมการมรดกโลกที่ฝ่าฝืน และละเว้นกฎการประชุมกรณียินยอมให้กัมพูชาเสนอแผนการบริหารจัดการ ซึ่งตามข้อกำหนดจะต้องเสนอก่อนการประชุม 6 สัปดาห์ แต่กัมพูชากลับส่งและแจกในที่ประชุมตอนเวลา 15.00 น. วันที่ 27 กรกฎาคม เท่ากับยื่นเอกสารก่อนการประชุมไม่ถึง 24 ชั่วโมง


ทั้งนี้ การออกแถลงการณ์เพื่อต้องการให้บันทึกไว้ในที่ประชุม เพื่อเป็นหลักฐานว่าทางการไทยไม่ยอมรับแผนดังกล่าว แต่หากยังไม่เป็นผลผู้แทนไทยจะเดินออกจากที่ประชุมทันที

 



 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #315 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2553, 13:14:04 »

เลวได้ใจครับพี่น้อง ทนายของตักขี้

ทนายทักษิณ ประณามรบ.ไทย ทำตัวอันธพาล
30 กรกฎาคม 2553 เวลา 10:19 น.
 
โร เบิร์ต อัมสเตอร์ดัม เผยแพร่บทความผ่านเว็บไซต์ส่วนตัว โจมตีรัฐบาลไทย ระบุ กำลังทำตัวเป็น "อันธพาล"แสดงพฤติกรรม"ขู่เข็ญคุกคาม" อย่างโจ่งแจ้งต่อประชาคมโลก กรณีขู่วอล์คเอาต์ ออกจากเวทีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ประเทศบราซิล



โร เบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความชาวแคนาดา ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เผยแพร่บทความชิ้นล่าสุดผ่านทางเว็บไซต์ส่วนตัว โจมตีรัฐบาลไทย ชุดปัจจุบันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า กำลังทำตัวเป็น "อันธพาล"และแสดงพฤติกรรม"ขู่เข็ญคุกคาม" อย่างโจ่งแจ้งต่อประชาคมโลกในกรณีที่ออกมาขู่จะ "วอล์คเอาต์" ออกจากเวทีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกขององค์การยูเนสโกที่บราซิล หากไม่สามารถขัดขวางคณะกรรมการชุดดังกล่าวให้ยุติการพิจารณาแผนการบริหาร จัดการปราสาทพระวิหารของกัมพูชาได้

อัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็นเจ้าของ สำนักงานกฎหมายระดับโลก "อัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีร็อฟฟ์" กล่าวประณามท่าทีของรัฐบาลไทยต่อกรณีปราสาทพระวิหารผ่านทางเว็บไซต์ว่า เป็นท่าทีที่ประเทศ ซึ่งเป็นสมาชิกที่ดีของประชาคมโลกไม่สมควรกระทำและเป็นพฤติกรรมที่แสดงออก ถึงความไม่เคารพกติกาสากลระหว่างประเทศ พร้อมชี้ว่ารัฐบาลไทยกำลังเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาทางการเมืองของตัวเอง ด้วยการสร้างเรื่องโกหกให้เกิดสงครามเทียมกับกัมพูชาแทน

ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า นายอภิสิทธิ์ กำลังร่วมมือกับกลุ่มคนเสื้อเหลือง" ต่อสู้เรื่องปราสาทพระวิหาร ทั้งๆ ที่โบราณสถานเก่าแก่แห่งนี้เป็นกรรมสิทธิ์โดยชอบธรรมของกัมพูชา และ ยังมีที่ตั้งอยู่ใน"เขตแดนของกัมพูชา" ชัดเจน พร้อมแสดงความข้องใจถึงท่าทีของรัฐบาลไทยที่พยายามขัดขวางการ ดำเนินการใดๆ ของฝ่ายกัมพูชาในการบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร โดย"ไม่แยแส"ต่อคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา ที่ตัดสินให้ปราสาทแห่งนี้ตก "เป็นของกัมพูชาโดยชอบธรรม"

นอกจากนี้ อัมสเตอร์ดัม ยังกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ กำลังเปิดทางให้กลุ่มคนเสื้อเหลืองออกมาก่อความวุ่นวาย และ ยั่วยุให้เกิดการปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชา ทั้งที่ในเวลานี้ยังคงมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ห้ามการชุมนุมใดๆ เกินกว่า 5 คน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่พิสูจน์ให้ทั่วโลกได้เห็นว่ารัฐบาลไทยและกฎหมายของไทย มี "2 มาตรฐาน"อย่างชัดเจน ตอนท้ายของบทความ ยังกล่าวหารัฐบาลอภิสิทธิ์ว่า กำลังบ่อนทำลายเสถียรภาพ และ ทำตัวเป็นภัยคุกคามต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ จากความพยายามในการเปิดศึกกับประเทศเพื่อนบ้านของตัวเองอย่างกัมพูชาในขณะนี้
 
 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #316 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2553, 22:55:48 »

อภิวันท์ ด่ากราดอำมาตย์ทำลายทรท.ยันพท.
30 กรกฎาคม 2553 เวลา 20:16 น.posttoday
รองประธานสภา ปราศรัยดุ ด่ากราดอำมาตย์  ทำลายทรท.ยันพท.

เวลา 19.30 น. พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภา ปราศรัยที่ตลาดนัดจตุจักร จ.ลำพูนว่า วันนี้มีข่าวดี  นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานนปช. ได้รับการประกันตัวชั่วคราว แต่เขาห้ามออกนอกกทม.และห้ามออกมาพบกับพี่น้องเสื้อแดง นับว่าเป็นข่าวร้าย  ซึ่งในวันพรุ่งนี้แกนนำอีก 12 คน ก็จะขอยื่นประกันตัว แต่ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จะซวยกว่าเพราะบ้านอยู่นนทบุรี  ซึ่งเขาจะห้ามออกกทม. ก็เพิ่งเคยพบเห็นประกันตัวที่ห้ามออกนอกกทม.และอย่างนี้จะไปไหนได้

“วันนี้กูไม่เอาคนหน้าหล่อ เอาแต่คนหน้าเหลี่ยม คนหน้าหล่อใจคออำมหิต แต่คนหน้าเหลี่ยมเขารักประชาชน เหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นเพราะ อำมาตย์มันเอาเรื่อง มีบุรุษสูงไม่ปรากฎเพศแน่ชัด อาละวาดแล้ว ยุให้ปฏิวัติ ผมเรียกมันว่าขันทีเฒ่าที่มาทำลายทักษิณ พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย แต่กูจะไม่ยอมมึงอีกแล้ว  วันนี้เราอยู่ในรัฐบาลภายใต้อุ้งตีนอำมาตย์ และได้เผด็จการซ่อนรูปที่พม่ายังกลัวไม่ให้เข้าประเทศเพราะกลัวจะติดเชื้อ และได้รัฐบาลเด็กๆ ที่ทำอะไรไม่เป็น

พ.อ.อภิวันท์ ปราศรัยอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนว่า  ผลงานที่โดดเด่นของรัฐบาลนี้มีเพียงเรื่องหมีแพนด่าหรือ “ไอ้หมีหน้าฮ๊าก” รัฐบาลไอ้มาร์คเป็นประชาธิปไตยแดกได้ เพราะมันทุจริต ต่างจากประชาธิปไตยยุคทักษิณที่กินได้ เช็คช่วยชาติเป็นเช็คชาติชั่ว ชุมชนพอเพียงก็เป็น ชุมชนแพงเพียบ  เรือเหาะซื้อมาไม่ทันไร ก็รั่วแล้ว มากล่าวหาเรื่องท่อน้ำเลี้ยง  แต่ตรวจสอบก็ไม่เจอเสียที เจอก็แต่ท่อน้ำเชื้อ ซึ่งใช้การไม่ได้แล้ว


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #317 เมื่อ: 05 สิงหาคม 2553, 09:59:05 »

ทำไม?ส.ส.ต้องขายตัว
โดย : เฉลา กาญจนา kanchanatuk@hotmail.com


  ช่วงนี้อากาศแปรปรวนพอๆ กับคนการเมืองที่ความคิดเริ่มแปรปรวน...รวนเร หาโอกาสจังหวะคิดย้ายพรรคกัน "อุตลุด"

ฉะนั้น จึงไม่แปลก นับจากนี้ไป "ตลาดนัด" ช้อป ส.ส.จะกลับมาคึกคักอีกรอบ

ข่าวซื้อตัว ส.ส.ช่วงนี้หนาหูขึ้นทุกวัน...เรื่องนี้ให้ดีต้องฟังหูไว้หู เพราะในทางการเมืองคงไม่มีพรรคไหนที่เลือกลงทุน ทุ่มเงินซื้อตัวล่วงหน้า ทั้งที่ยังไม่รู้อนาคต วันเวลาเลือกตั้งที่แน่นอน อย่างมากทำได้แค่ "จีบๆ" หรือไม่ก็สัญญาว่าจะให้โน่นให้นี่ เป็นยาหอมล่วงหน้า

แต่ถ้าถึงขั้นทุ่มเงิน 20-30 ล้านบาท เพื่อซื้อ ส.ส.ตั้งแต่วันนี้บอกได้เลยว่าแค่ "ราคาคุย"

ตัวอย่างเห็นชัดๆ ที่พรรคภูมิใจไทยของ "เสี่ยเนวิน ชิดชอบ" ตอนนี้ ดูเหมือนจะเป็นพรรคการเมืองดาวรุ่ง ที่เพียบพร้อมทั้ง "ทุนทรัพย์และอำนาจ" อย่างโดดเด่น ทำเอา ส.ส.จากหลายพรรคเริ่มอ่อนไหว เอนเอียง เข้าคิวรอ ส่วนจะยั่งยืนถาวรแค่ไหน คงเป็นเรื่องอนาคต ต้องรอพิสูจน์เมื่อถึงวันเลือกตั้งจริง

แม้ 2 วันที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยจะชิงโอกาสเปิดตัว ดูด ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา 6 คน แต่ "กลุ่มชลบุรี" ของ "สนธยา คุณปลื้ม" น่าจะยังอยู่ในอาการจดๆ จ่อๆ รายหลังแว่วๆ มาว่าเริ่มมีการทำสำรวจความนิยมจากคนในพื้นที่แล้ว ผลที่ออกมา "ยังไม่ปลื้ม" ฉะนั้นจึงไม่แน่ใจว่า ตอนจบกลุ่มชลบุรีจะคิดอย่างไร

เมื่อวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่เขาเรียกว่า "ส.ส.ขายตัว" ก็คงหนีไม่พ้น "เงิน" ที่เป็นแรงดึงดูดเวลานี้  เพราะ ส.ส.ก็ต้องมีภาระค่าใช้จ่าย ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ถ้าจะอยู่กับพรรคที่มี "ค่าหัวต่ำ" ย่อมเป็นปัญหาแน่นอน

การเป็น ส.ส.มันคืออาชีพๆ หนึ่ง ในเมื่อต้นสังกัด "ลดเงินเดือน" ด้วยการตัดโน่นตัดนี่ ฉะนั้นบรรยากาศการกระเสือกกระสนหาที่อยู่ใหม่จึงเป็นเรื่องปกติละครับท่าน

จากการตรวจสอบ ค่าหัวรายเดือน ส.ส.แต่ละพรรค จะไม่เท่ากัน แตกต่างกันไปตามฐานะ

พรรคเล็ก ไม่เกิน 10 คน ค่าหัวรายเดือนเฉลี่ยอยู่ที่คนละ 200,000 บาทต่อเดือน พรรคกลางๆ อยู่ที่ 70,000-100,000 บาทต่อคนต่อเดือน ถ้าพรรคใหญ่ระดับต้นๆ อยู่ที่ 50,000-70,000 บาท 

สถานการณ์วันนี้ พรรคเล็กจะจ่ายค่าหัวรายเดือนสูงกว่าพรรคใหญ่ ถ้าเป็นพรรคใหญ่ที่มั่นคง อัตราค่าหัวรายเดือนของ ส.ส.จะไม่ค่อยเปลี่ยนมากนัก แม้กระทั่งตัว ส.ส.เอง

แต่ถ้าเป็นพรรคใหญ่ ที่อยู่ในอาการแพแตกประเภท "หัวขาด" แถมค่าหัวรายเดือนลดลง โอกาสตีจากหรือหาที่ซุกหัวใหม่จึงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ถ้าคำนวณคร่าวๆ ค่าหัวรายเดือน ส.ส.เฉลี่ยที่คนละ 100,000 บาท ตามรัฐธรรมนูญ ทั้ง ส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ รวมเบ็ดเสร็จ 480 คน จะเห็นว่าภาระที่พรรคการเมืองต้องจ่ายให้ลูกพรรคปีหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่า 576 ล้านบาท หากรวมรายจ่ายอื่นๆ เชื่อไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

หากเป็นการเลือกตั้งค่าใช้จ่ายต่อหัวของผู้สมัคร ส.ส. จะสูงกว่าที่ปรากฏอีกหลายเท่าตัว โดยเฉพาะพรรคเล็ก หลายพรรคบอกตรงกันว่า ต้องใช้เงินเฉลี่ยคนละไม่ต่ำกว่า 60-80 ล้านบาท อัตราที่ว่านี้ส่วนใหญ่สอบผ่าน แต่สำหรับพรรคใหญ่  ค่าใช้จ่ายต่อหัวอยู่ที่ 30-40 ล้านบาท

เงิน ส.ส.ทั้งที่เป็นค่าหัวรายเดือนและค่าใช้จ่ายเลือกตั้งจะเห็นว่าสูงอย่างน่าแปลกใจ และนับวันจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจะเห็นว่า วันนี้มีพรรคการเมืองบางพรรคหันมาใช้วิธี "เกทับด้วยเงิน"

ยิ่งไปกว่านี้ ทุกวันนี้เริ่มมีแกนนำบางพรรค "ไดเร็คเซล" เข้าหา ส.ส.ยื่นข้อเสนอแบบ "ลดแลกแจกแถม" เพื่อให้ได้มาซึ่ง ส.ส.ในสังกัด

ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง เห็นการใช้จ่ายเงินของ ส.ส.แต่ละคน รู้สึกใจหายแทน ทำให้คิดต่อไปว่า แต่ละพรรคที่ลงทุนกับการเลือกตั้งครั้งละเป็นพันๆ ล้านบาทอย่างนี้ แล้วคิดจะ "ถอนทุนคืน" กันขนาดไหน

ผลกรรมที่ตามมาสำหรับประเทศไทย มันถึงไม่ค่อยเจริญอย่างที่เห็นๆ ละครับพี่น้อง ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือปัญหาคอร์รัปชัน ที่นับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ...
 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #318 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2553, 09:58:24 »

วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23:24:07 น.   มติชนออนไลน์

มติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา103ต่อ4 ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์"แม้ว-พวก"4.6หมื่นล. คดียุติตกเป็นของแผ่นดิน

มติ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา 103 เสียง ไม่รับอุทธรณ์ยึดทรัยพ์ 4.6 หมื่นล้าน ครอบครัวชินวัตร ชี้ไร้พยานหลักฐานใหม่ คดียุติตกเป็นของแผ่นดิน ตามคำพิพากษา "กรณ์"บอกเงินเข้าคลังหมดแล้ว

 

ที่ประชุมใหญ่ศาลฏีกา มีมติไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครอบครัว และพวก จำนวน 46,373,687,454.70 บาท ด้วยคะแนนเสียง 103 ต่อ 4 เสียง เนื่องจากเห็นว่า ประเด็นที่ ทนายพ.ต.ท.ทักษิณยื่นอุทธรณ์มาจำนวน 5 ประเด็นนั้นไม่มีหลักฐานใหม่แต่อย่างใด

 

ก่อนหน้านี้ ที่ศาลฎีกา สนามหลวง เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 11 ส.ค. นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกาเป็นประธานประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกา เพื่อพิจารณาอุทธรณ์ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 ระหว่างอัยการสูงสุด ผู้ร้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกกล่าวหา คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ผู้คัดค้านที่ 1 กับพวก รวม 22 คน ผู้คัดค้าน เรื่องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน (ชั้นพิจารณาอุทธรณ์) ว่าจะรับไว้พิจารณาหรือไม่

 

การประชุมครั้งนี้ ผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวน 142 คน มาประชุมเพียง 119 คน ขาดประชุม 23 คน เนื่องจากบางคนป่วย บางคนลากิจล่วงหน้า เป็นต้น จึงมีมติเสียงข้างมากดังนี้

 

กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ไม่เห็นควรให้รับอุทธรณ์ 103 เสียง (จากยอด 119 เสียง) เห็นควรให้รับอุทธรณ์ 4 เสียง งดออกเสียง 12 เสียง

กรณีของ คุณหญิงพจมาน ผู้คัดค้านที่ 1 เห็นควรไม่รับอุทธรณ์ 101 เสียง เห็นควรให้รับ 4 เสียง
ส่วนกรณี นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่สมควรรับอุทธรณ์ 99 คน เห็นควร 2 เสียง

 

ทั้งนี้หลังจากที่ประชุมใหญ่ลงมติไม่รับอุทธรณ์ ถือเป็นการสิ้นสุดกระบวนการคดีเป็นอันยุติ โดยทรัพย์สินทั้งหมด 46,373 ล้านบาท จะตกเป็นของแผ่นดิน

 

นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะต้องรอดูรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุผล ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติเสียงข้างมากที่ไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว โดยขณะนี้ ทีมทนายความยังไม่ได้รับหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการ

 

อนึ่ง ศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2553 ให้ทรัพย์สินซึ่งเป็นเงินจากการขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)และเงินปันผล จำนวน 46,373,687,454.70 ล้านบาท ในชื่อบัญชีของ พ.ต.ท.ทักษิณ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ นายพานทองแท้ น.ส.แพทองธาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ตกเป็นของแผ่นดิน

 


ต่อมา ศาลฎีกาได้ออกแถลงการณ์ว่า สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้เงินที่ได้จากการขายหุ้น และเงินปันผลหุ้นของ บริษัท ชินคอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 46,373,678,454.70 บาท พร้อมดอกผล เฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับจากบัญชีเงินฝาก นับตั้งแต่วันฝากเงินจนถึงวันที่ธนาคาร ส่งเงินจำนวนดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ต่อมาเมื่อวันที่ 26 มี.ค.2553 ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1-5 ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา

 

และเมื่อวันที่ 27 เม.ย.2553 ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เลือกองค์คณะพิจารณาอุทธรณ์ 5 คน ประกอบด้วย นายพีรพล พิชยวัฒน์ รองประธานศาลฎีกา นายสมศักดิ์ จันทรา ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา นายมานัส เหลืองประเสริฐ ประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา และนายฐานันท์ วรรณโกวิท ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา


โดยองค์คณะผู้พิพากษา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ได้ทำบันทึกความเห็นสรุปสำนวนเสนอที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อพิจารณา ซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ประชุมพิจารณาแล้วมีมติว่า อุทธรณ์ของผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1-5 ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 278 วรรค 3 ประกอบระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์อุทธรณ์พิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในกรณีมีพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ พ.ศ.2551 ข้อ 3 - 6 จึงไม่รับไว้พิจารณา


 

"กรณ์"บอกเงินเข้าคลังหมดแล้ว


ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ได้ติดตามเงินทั้งหมดโอนเข้ามาอยู่ในคลังแล้ว ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมที่จะต้องทำอีก ถือว่าเป็นรายได้สมทบที่จะสามารถนำมาใช้ในการสร้างความเข้มแข็งของประเทศได้ เพราะถือว่าเป็นเงินของประชาชนตั้งแต่ต้นจึงกลับคืนมาเป็นของประชาชน จะมีการดำเนินการตามขั้นตอน ถือว่าเป็นการเสริมเงินคงคลัง ส่วนที่ศาลมีมติชัดเจนว่าไม่พิจารณาการยื่นอุทธรณ์ถือว่าจบ

 

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #319 เมื่อ: 14 สิงหาคม 2553, 20:27:03 »

'น้องเดียร์'เปลี่ยนข้างเป็น”แดง”หวังแก้แค้น 'บูรพาพยัคฆ์'
 

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 13 สิงหาคม 2553 22:26 น.
 
 
 ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังการจากไปของ 'เสธ.แดง' พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แกนนำเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกลอบยิงกลางที่ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง ที่ราชประสงค์ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างตามมา
       
       นอกจาก 'กองกำลัง' ของเสธ.แดง ส่วนหนึ่งจะจะย้ายไปอยู่ในสังกัดของ 'พลเอก ส.' และส่วนหนึ่งย้ายไปอยู่กับ 'เสธ.อ.' แล้ว สิ่งหนึ่งที่หลายคนไม่คาดฝันก็คือ 'น้องเดียร์' ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาวสุดที่รักของเสธ.แดง ซึ่งก่อนหน้าที่นี้เคยร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมทั้งประกาศตัวผ่านสื่อหลายฉบับว่าเป็น 'เสื้อเหลือง' ก็ตัดสินใจพลิกขั้วประกาศตัวเป็น 'เสื้อแดง' และยืนยันที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของ เสธ.แดงผู้เป็นพ่อด้วยการนั่งเก้าอี้ 'หัวหน้าพรรคขัตติยะธรรม' พรรคการเมืองสีแดงที่พ่อของเธอเป็นผู้ก่อตั้งขึ้น อีกทั้งยังประกาศที่ยืนเคียงข้าง 'พรรคเพื่อไทย' ที่เธอเคยออกมาร่วมเดินขบวนขับไล่อีกด้วย
       
       จึงมีคำถามตามมาว่าเป็นไปได้อย่างไรที่คนๆ หนึ่งจะเปลี่ยนอุดมการณ์แบบพลิกขั้วเปลี่ยนข้าง ชนิดพลิกจากขาวเป็นดำ จากเทพเป็นมาร จากพันธมิตรฯผู้รักชาติ ปกป้องสถาบัน ไปเป็น 'คนเสื้อแดง' ซึ่งมีอุดมการณ์อย่างเดียวคือที่ยินดีทำทุกอย่างเพื่อ 'นายใหญ่' แม้ว่าจะต้องทำลายประเทศชาติและชีวิตคนไทยด้วยกันเองก็ตาม
       
       อะไร? ที่ทำให้ 'น้องเดียร์' เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ หรือว่านี่คือ 'ตัวจริง' ของเธอ
       
       จากการวิเคราะห์และประมวลข้อมูลใน 'เบื้องลึก' จากกลุ่มคนที่คลุกคลีกับครอบครัวของเสธ.แดง ก็พอสรุปได้ว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ น.ส.ขัตติยา ตัดสินใจหันมายืนอยู่ฝั่งเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยก็เพราะเธอเชื่อว่า การ 'ตาย' ! ของเสธ.แดงนั้น ผู้ที่อยู่เบื้องหลังและสั่งให้สไนเปอร์ปลิดชีพพ่อของเธอกลางวงล้อมคนเสื้อแดงก็คือ 'บิ๊กทหารสายบูรพาพยัคฆ์' ซึ่งเป็นกลุ่มที่ค้ำบัลลังก์รัฐบาลประชาธิปัตย์อยู่ในขณะนี้
       
       ดังนั้น วิธีเดียวที่เธอจะสางบัญชีแค้นในครั้งนี้ได้ก็คือการเลือกยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับ 'บูรพาพยัคฆ์' นั่นคือ 'กลุ่มเสื้อแดง' และ 'พรรคเพื่อไทย' ซึ่งเป็นกลุ่มมีพาวเวอร์มากพอที่จะเล่นงานบรรดานายทหารใหญ่ในกองทัพ
       
       ขณะที่พรรคเพื่อไทย และบรรดา 'บิ๊กทหาร' ในเครือข่ายเสื้อแดงต่างก็ยินดีอ้าแขนรับสมาชิกใหม่อย่างน้องเดียร์เพราะถือว่าศึกครั้งนี้มี 'ศัตรู' คนเดียวกัน โดยเฉพาะ 'พลเอก ส.' นายทหารนอกราชการที่เข้าเล่นการเมืองและได้ตำแหน่งใหญ่ในยุคของ 'นายใหญ่' ที่อาสาเข้ามาดูแลเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ในสังกัดของเสธ.แดงแทน พล.ต.ขัตติยะผู้ล่วงลับนั้น ก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากน้องเดียร์เช่นกัน
       
       เนื่องจาก พลเอก ส. นั้นเป็นรุ่นที่ที่ความสนิมสนมและทำงานเชื่อมโยงกับกลุ่มของเสธ.แดงมาตลอด และยังเป็นนายทหารรุ่นที่ร่วมรบมาด้วยกันกับ เสธ.แดง เขาจึงแค้นแทนน้องรักถึงขนาดปวารณาตัวว่า นอกจากจะสานงานฮาร์ดคอร์ต่อจากเสธ.แดง แล้วหากสบโอกาส งานนี้มี 'เอาคืน' อย่างแน่นอน และหากดูจากศักยภาพของ พลเอก ส. แล้วก็ต้องถือว่าเป็น 'มาเฟียทหาร' มีเครือข่ายขุมกำลังที่น่ากลัวคนหนึ่งทีเดียว เพราะเหตุ 'ระเบิด'! ล่าสุดที่หน้าห้างบิ๊กซี ราชดำริ และที่หน้าบริษัทคิงพาวเวอร์ ซอยรางน้ำ ซึ่งส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและถึงขั้นเสียชีวิตนั้น จากการตรวจสอบของฝ่ายความมั่นคงก็พบว่ามีชื่อ พลเอก ส. เป็นหนึ่งในผู้บงการ
       
       ส่วนตัวน้องเดียร์นั้นแม้จะไม่มีประสบการณ์ทั้งในด้านการเมืองและประสบการณ์การด้านรบเหมือนกับเสธ.แดงผู้เป็นพ่อ มีเพียงความรู้ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งถือว่าไม่ประโยชน์อันใดใน 'ปฏิบัติการใต้ดิน' ตามแนวทางของเสธ.แดง ซึ่งไม่สนใจต่อกฎหมายหรือความถูกผิดใดๆ แต่การที่ได้ชื่อว่าเป็น 'ลูกสาว' ของเสธ.แดงก็มีผลในเชิงจิตวิทยาที่สามารถดึงมวลชนที่เคยคลั่งไคล้แนวทางฮาร์ดคอร์ของเสธ.แดงได้ไม่น้อยทีเดียว
       
       และการประกาศตัวที่จะสืบสาน'พรรคขัตติยะธรรม'ต่อจากเสธ.แดง โดยปฏิบัติการเคลื่อนไหวทางการเมืองคู่ขนานไปกับพรรคเพื่อไทย หรืออีกนัยหนึ่งคือการเป็นศูนย์สาขาทำหน้าที่ระดมพลคนเสื้อแดงเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวตามคำสั่ง 'นายใหญ่' นั้น ก็ถือว่าน้องเดียร์เดินมาถูกทาง เพราะหากดูจากเสียงตอบรับจากบรรดาแฟนคลับของเสธ.แดงแล้วก็เชื่อได้ว่าหากเธอมีแบคอัพที่ดีจากผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทย ประสิทธิภาพในการระดมพลของน้องเดียร์นั้นอาจจะไม่แตกต่างจากเสธ.แดงผู้พ่อเท่าใดนัก
       
       แต่สิ่งหนึ่งที่ปรากฏชัด นับตั้งแต่วันที่จัดงานศพให้เสธ.แดงก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างน้องเดียร์และระดับแกนนำเสื้อแดงที่มีบทบาทบนเวทีนั้นคงไม่ดีนัก เนื่องจากในวันงานเสธ.แดงนั้นน้องเดียร์หาได้ให้ความสนใจหรือแม้แต่ชายตามองบรรดาแกนนำเสื้อแดงเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นระดับ จตุพร พรหมพันธุ์ , พร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย หรือระดับรองๆ ลงไป ซึ่งสาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าในการชุมชุมเสื้อแดงในช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมานั้น แกนนำเสื้อแดงเหล่านี้มีความขัดแย้งกับเสธ.แดง แกนนำเสื้อแดง'สายเหยี่ยว' อย่างชัดเจน ถึงกับประกาศตัดเป็นตัดตายกันเลยทีเดียว ดังนั้นกลุ่มก๊วนในพรรคเพื่อไทยที่จะให้การสนับสนุนเสธ.แดงจึงมีเพียง พลเอก ส. และนายทหารกลุ่มเตรียมสิบที่เข้าสังกัดพรรคไทยเพื่อไทย ซึ่งถือว่าเสธ.แดงก็เป็นเลือดนายทหารเหมือนกันเท่านั้น
       
       และเมื่อดูจากก้าวแรกในการขับเคลื่อนทางการเมืองของน้องเดียร์แล้วก็นับว่าไม่ธรรมดาทีเดียว เพราะนอกจากจะประกาศตัวเพื่อเรียกคะแนนจากแฟนคลับเสธ.แดงแล้ว เธอยังได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะกับบรรดาแฟนคลับของพ่อ พร้อมทั้งชักชวนให้กลุ่มคนรักเสธ.แดงสมัครเป็นสมาชิกพรรคขัตติยะธธรม นอกจากนั้นยังได้จัดตั้งศูนย์สาขาของพรรคขัตติยะธรรมขึ้นมาแล้วถึง 4 แห่ง คือที่ จ.เชียงใหม่ จ.อำนาจเจริญ จ.ชลบุรี จ.พังงา และเตรียมที่จะจัดตั้งสาขาเพิ่มอีกแห่งคือที่ จ.ยะลา ซึ่งต้องยอมรับว่าแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะที่เชียงใหม่และอำนาจเจริญนั้นต่างก็เป็นถิ่นเสื้อแดง จึงไม่ยากที่จะปักธงพรรคขัตติยะธรรมซึ่งถือเป็นสาขาหนึ่งของพรรคเพื่อไทย
       
      อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่ 'น้องเดียร์' จะหลงลืมไปก็คือ พฤติกรรมที่ผ่านมาของเสธ.แดง ซึ่งอาจนำไปสู่สาเหตุการตายของของนายทหารฮาร์ดคอร์ผู้นี้
       
       น้องเดียร์คงลืมไปว่า ขณะที่ 'พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม' รองเสนาธิการกองพลทหารราบที่2 รักษาพระองค์ หนึ่งในนายทหารฝีมือดีของบูรพาพยัคฆ์ถูก 'ล็อกเป้ายิง' กลางวงล้อมนายหาร ขณะทำปฏิบัติการกระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงบริเวณสี่แยกคอกวัว ก็ปรากฏภาพ 'ชายชุดดำ' ซึ่งถูกระบุว่าเป็นกองกำลังของเสธ.แดง อยู่บริเวณนั้นด้วย ยังไม่นับร่วมการยิง M79 เข้าถล่มพันธมิตรฯซึ่งชุมนุมด้วยสองมือเปล่าอยู่ภายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเสธ.แดงอ้างว่าเป็นฝีมือของ 'นักรบชุดดำ' เด็กในสังกัดของเขา
       
       ดังนั้น การที่ เสธ.แดง ถูกลอบยิง ขณะที่ยืนอยู่กลางวงล้อมของผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง อาจจะเป็นเคราะห์กรรมที่ตามมาสนองเสธ.แดงก็เป็นได้
 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #320 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2553, 14:40:39 »

วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11:25:54 น.   มติชนออนไลน์

อดัม คาเฮน ไขปริศนา" Power and Love" เราจะออกจากนรก(ความขัดแย้ง)ได้อย่างไร ?

13-17   สิงหาคม ศกนี้  อดัม คาเฮน   ผู้เขียน หนังสือเรื่อง  Power and Love  และหนังสือ Solving Tough Problems  เดินทางมาประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมสัมมนา เรื่อง   เราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน :  ถอดบทเรียนแก้ปัญหาความขัดแย้งแอฟริกาใต้ โคลัมเบียและที่อื่นๆ
   

ไม่บ่อยครั้งนักที่ จะได้เจอนักสันติวิธีระดับโลก ตัวเป็นๆ
   

ยิ่งสถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยปัญหาความขัดแย้งทางสังคม จากความแตกแยกทางความคิด นำไปสู่กระบวนการสร้างความขัดแย้งในระดับประเทศ จนเสี่ยงต่อการพาประเทศก้าวเข้าสู่ความขัดแย้งขั้นรุนแรงในอนาคต
   

...บางทีการมาถึงของ  อดัม คาเฮน  อาจทำให้ คนไทยคิดอะไรได้มากขึ้น(ก็ได้ )
 

จากประสบการณ์ของ  อดัม คาเฮน ที่ได้เข้าไปช่วยหาทางออกแบบสันติวิธีให้กับปัญหาความขัดแย้งที่รุนแรง ซับซ้อนและชะงักงันที่สุดหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่แอฟริกาใต้ (ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากยุคแบ่งแยกสีผิว) ที่โคลัมเบีย (ในช่วงสงครามการเมือง) ที่อาร์เจนตินา (ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ) รวมประสบการณ์ที่มีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวคละเคล้ากันไป ทำให้คาเฮนมองเห็นถึงสาเหตุที่ทำให้ปัญหาถึงทางตัน และวิธีการที่ทำให้ทุกฝ่ายหันหน้ามาหาทางออกร่วมกันอย่างได้ผลโดยปราศจาก ความรุนแรง
     

ไม่ว่าปัญหานั้นจะมีรากฐานของปมปัญหามาจากสิ่งใด กระบวนการ Scenarios ที่ อดัม คาเฮนใช้ในการหาทางออก ทำให้ทุกฝ่ายสามารถมองข้าม วิกฤตเฉพาะหน้า และมองความเป็นไปได้ต่างๆ ในอนาคต
   

จากหนังสือ Solving Tough Problems หรือ วิธีสร้างปาฏิหารย์เมื่อถึงทางตัน คาเฮนได้ผสมผสาน ทฤษฏี หลักการ วิธีการ เครื่องมือ และประสบการณ์เข้าด้วยกันแล้วถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของเรื่องราวจากการเดิน ทางไปทั่วโลก เพื่อช่วยเหลือผู้นำต่างๆ ให้สามารถหาหนทางออกให้กับปัญหาที่แก้ไขได้ยากที่สุดของพวกเขาเอง ซึ่งช่วยให้เรามองเห็นภาพและสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการแก้ไขปัญหาที่ถึง ทางตันของเราได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นในระดับครอบครัว ชุมชน องค์กร ประเทศ หรือแม้แต่ระดับโลกก็ตาม
 

ล่าสุด หนังสือ Power and Love เป็นหนังสือเล่มที่สองต่อจาก Solving Tough Problems และเล่มล่าสุดของ อดัม โดยกล่าวถึง การแก้ปัญหาสังคมและความขัดแย้งที่มักจะลงเอยด้วย ความรุนแรง หรือไม่ก็การเจรจาที่ไม่รู้จบ หนังสือเล่มนี้ตอบคำถามที่ว่า ทำไมคนบางกลุ่มสามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ยุ่งยากได้อย่างง่ายดาย

 

 แต่บางคนกลับล้มลุกคลุกคลาน ล้มแล้วล้มอีก ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่โดยแท้ที่จริงแล้ว สองตัวแปรที่ชักใยอยู่เบื้องหลังการแก้ปัญหาก็คือ Power (desire to achieve) และ Love (urge to unite) ที่มิได้ขัดแย้งแต่ควรส่งเสริมซึ่งกันและกันนั่นเอง
   

อดัม คาเฮน เป็นหุ้นส่วนของบริษัท Reos Partners ซึ่งเชี่ยวชาญด้านกระบวนการประสานงานเพื่อแก้ปัญหาสังคม และ เป็นสมาชิกของสถาบัน Institute for Science, Innovation and Society ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Said Business School แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด
   

อดัม ยังเป็นผู้จัด ผู้ออกแบบ และผู้ประสานงานชั้นนำของกระบวนการต่างๆ ร่วมกับผู้นำในภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคประชาสังคม เพื่อแสวงหาทางออกให้กับความท้าทายที่หนักหน่วงที่สุดที่สังคมต้องเผชิญ อดัม ทำงานในโครงการเหล่านี้กว่า 50ประเทศทั่วโลก มีโอกาสร่วมงานและพบปะกับผู้นำจากหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารธุรกิจและนักการเมือง, ผู้นำ   กองทัพและผู้นำกองกำลังติดอาวุธ, ข้าราชการและสมาชิกสภาพแรงงาน, นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคมและเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ ไป  จนถึงนักบวช และศิลปิน
   

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 อดัม เป็นหัวหน้าแผนกวางแผนล่วงหน้าด้านสังคม การเมืองเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ของบริษัท รอยัล ดัทช์ เชล ในกรุงลอนดอน ก่อนหน้านี้เคยทำงานในตำแหน่งนักวิจัยและวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ให้กับบริษัท Pacific Gas and Electric Company ในซานฟรานซิสโก รวมถึงองค์กรเพื่อการพัฒนาและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (OECD) ในกรุงปารีส     

 

 

อดัม เคยร่วมงานกับสถาบัน International Institute for Applied Systems Analysis ในกรุงเวียนนา สถาบัน Institute for Energy Economics ในกรุงโตเกียว และร่วมงานกับสถาบันการศึกษาชั้นนำหลายแห่งเช่นมหาวิทยาลัยในมณฑลบริติช โคลัมเบีย ของแคนาดา มหาวิทยาลัยในรัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐ ในนครโตรอนโต จนถึงมหาวิทยาลัยในแอฟริกาใต้
   

 

ในปี 1991 และ 1992 อดัมเป็นผู้ประสานงานในโครงการ Mont Fleur Scenario Project เพื่อช่วยสร้างความปรองดองให้กับชาวแอฟริกาใต้ในการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคม ประชาธิปไตย ภายหลังการสิ้นสุดของยุคแบ่งแยกสีผิว
 

หลังจากนั้น อดัมมีโอกาสเข้าร่วมกระบวนการวิวาทะระหว่างภาคส่วนต่างๆ หลายครั้งในหลายพื้นที่ของโลก และยังเป็นสมาชิกของกระบวนการเสวนาของผู้นำธุรกิจที่จัดขั้นโดยสถาบัน Aspen Institute เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมาธิการว่าด้วยโลกาภิวัฒน์ สมาชิกของเครือข่าย Global Business Network และ Global Leadership Network สมาชิกของ Society for Organizational Learning และ World Academy of Art and Science
   

อดัมจบการศึกษาเกียรตินิยมอันดับ 1 ด้านฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลับแมคกิล ในนครมอลทรีออล ประเทศแคนาดา และปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์พลังงานและทรัพยากรจากมหาวิทยาลัยแห่งแคลิ ฟอร์เนีย (เบิร์กเลย์) และปริญญาโทด้านพฤติกรรมศาสตร์ประยุกต์จากมหาวิทยาลัยแบสไทร์ ในนครซีแอทเติล นอกจากนี้ ยังศึกษาด้านกระบวนการเจรจาจากฮาร์วาร์ด ลอว์ สกูล
       

อดัมสมรสกับโดโรธี คาเฮน และพำนักพร้อมกับครอบครัวที่นครเคปทาวน์ของแอฟริกาใต้ และมอนทรีออล ในแคนาดา
      ---------------

โปรแกรม สัมมนาเราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน : ถอดบทเรียนแก้ปัญหาความขัดแย้งแอฟริกาใต้ โคลัมเบียและที่อื่นๆโดย อดัม คาเฮน


กำหนดการ  วันที่ 16 สิงหาคม 2553
ห้องเพียงพูณ บุนนาค อาคารพฤกษชาติพระทรงชัย สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
12.30 – 13.00 น. ลงทะเบียนสื่อมวลชน
13.00 – 13.30 น. อดัม คาเฮน เปิดตัวหนังสือเล่มล่าสุด Power and Love
13.30 – 14.00 น. ถาม – ตอบ โดย อดัมคาเฮน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
อาคารพฤกษชาติพระทรงชัย สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
13.00 – 14.00 น. ลงทะเบียนผู้ร่วมงาน
14.00 – 15.30 น. ถอดบทเรียนแก้ปัญหาความขัดแย้งแอฟริกาใต้ โคลัมเบีย
และที่อื่นๆ โดย อดัม คาเฮน และ สตีฟ แอ๊ดคินสัน
15.30 – 15.45 น. พักรับประทานอาหารว่าง
15.45 – 16.30 น. เสวนาแลกเปลี่ยนในขั้นตอนและวิธีการใช้ Scenarios เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและวิกฤตสังคม
กำหนดการ วันที่ 17 สิงหาคม 2553
ห้องประชุม ชั้น 3 ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
9.30 – 11.30 น. การประชุมความร่วมมือ การขับเคลื่อนการส่งมอบประเทศไทยให้ลูกหลาน กับ อดัม คาเฮน

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #321 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2553, 22:59:28 »

ใครสร้าง เขาพระวิหาร > คำตอบคือ ขอมครับ เป็นชนเผ่าที่สาบสูญ หาใช่เผ่าเดียวกับเขมรในปัจจุบันไม่
ดังนั้นข้ออ้างสั่วๆว่าชาวเขมรสมัยโบราณสร้างเขาพระวิหาร
และเขาพระวิหาร(รวมทั้งเชิงเขา)จึงควรเป็นของ(ประเทศ)เขมรนั้น เป็นข้อกล่าวหาที่มั่วนิ่ม
(จริงๆ แม้แต่ นครวัดนครธม ชนพื้นเมืองในเขมรเองก็ไม่เคยรู้เลยว่ามีอยู่ จนกระทั่งฝรั่งเศสไปพบเข้ากลางป่าเขา เมื่อร้อยกว่าปีมานี้เอง)

ข้อเท็จจริงอีกอย่างคือ ไอ้ฮุนเซ็น มันก็ไม่ใช่คนเชื้อสายเขมรแท้ๆโดยกำเนิดด้วย! เป็นลูกครึ่งเวียดนามอพยพต่ะหาก
แต่อาศัยหาแนวร่วมทางการเมืองเก่ง เลยได้เป็นใหญ่เป็นโตในประเทศเขมร
      บันทึกการเข้า

...
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #322 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2553, 09:36:58 »

เป็นไงไม่รู้..เมื่อเป็นฝ่ายค้านก็ขยันขันแข็ง ที่จะปกป้องดินแดน
พอเป็นรัฐบาล ก็เหมือนกันทุกคน แย่จริงๆนักการเมืองไทย
มันห่วยแตกจริงๆ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #323 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2553, 09:16:54 »

วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 14:58:43 น.   มติชนออนไลน์

"อดัม คาเฮน"แนะตั้ง กก.แก้ปัญหาความแตกแยกในสังคมไทย ภาคส่วนต่างๆ รับลูกเอาด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา  9.30 น. ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการจัดเสวนาหัวข้อ "การขับเคลื่อนการส่งมอบประเทศไทยให้ลูกหลาน กับอดัม คาเฮน"  โดยมีบุคคลสำคัญและองค์กร 9 องค์กรต่างๆ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง เช่น นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมม, นายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา, นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนายนิกร จํานง กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรชาติไทยพัฒนา และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม


นายอดัม ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการประสานงานเพื่อแก้ปัญหาสังคม สมาชิกสถาบันเพื่อวิทยาศาสตร์ นวัตกรรมและสังคม แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด  กล่าวว่า การเสวนาในครั้งนี้ ตนไม่ได้พยายามทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องของเมืองไทย แต่จะมาพูดถึงกระบวนการแก้ปัญหาทางสังคมที่ตนเองถนัด ทั้งนี้ จากการเดินทางเยือนประเทศไทยในรอบนี้  ตนได้พบปะกับคนไทยจำนวนมากที่พูดถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน พบว่าท่านต่างๆ มีทรรศนะที่แตกต่างกันออกไปและมีการแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน ทั้งการแบ่งขั้วที่ใช้เหตุผลและการแบ่งขั้วด้วยอารมณ์ที่รุนแรง แต่ในแง่ดีคือสังคมไทยยังมีความพยายามที่จะคุยกันเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะรัฐบาลที่ยอมรับว่ามีปัญหาและพยายามที่จะพูดคุย


นายอดัม กล่าวต่อว่า ตนมีแนวทางเสริมที่อยากเสนอในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในเมืองไทย ซึ่งเรียกกว่า "การสร้างสถานการณ์จำลองในอนาคต" ซึ่ง เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลมาแล้วในหลายประเทศและหลายความขัดแย้ง เช่น ในประเทศแอฟริกาใต้ หรือประเทศอาร์เจนติน่า การสร้างสถานการณ์จำลองในอนาคต หรือ Scenarios สามารถคาดการณ์ผลลัพท์ได้ 5 ประการ คือ 1.การที่สามารถหาจุดเข้าใจร่วมกันได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคมไทย 2.ความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่างๆ ในสังคม 3.การสร้างความเชื่อใจ ความชัดเจนและพันธะในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน 4.ผลในทางปฏิบัติในการสร้างสถานการณ์จำลองในอนาคต ที่ริเริ่มร่วมกันจากหลายภาคส่วน และ 5.ผลลัพธ์ในระยะยาว เป็นการเพิ่มความสามารถของสังคมไทยในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน


"ส่วนกระบวนการสร้างสถานการณ์จำลองในอนาคตนั้น มีอยู่ 3 ขั้นตอนหลัก คือ 1.การจัดการประชุม ซึ่งหมายถึงการสร้างพันธมิตรกับกลุ่มต่างๆ เพื่อนำไปสู่การสร้างทีมขับเคลื่อนกระบวนการนี้ โดยการสร้างพื้นที่ให้คนมาเจอกันและมาทำงานร่วมกัน 2.การร่วมสร้างสถานการณ์ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อดูเป็นทางเลือกและความเป็นไปได้ว่า แนวทางไหนคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสังคมไทยในอนาคต ควรเกิดจากการพูดคุยกับการอย่างเปิดอกและพูดถึงเรื่องที่เป็นความจริงต่อกัน และ 3.การนำไปสู่การปฏิบัติ เพื่อสร้างอนาคต โดยการนำทางเลือกที่ดีที่สุดดังกล่าวมาเริ่มปฏิบัติจริง โดยการมีส่วนร่วมจากกลุ่มต่างๆ และควรรับฟังข้อเสนอแนะที่หลากหลาย นอกจากนี้ จุดสำคัญในขั้นตอนที่ 3 คือการตั้งกองทุนริเริ่ม เพื่อที่จะสามารถขับเคลื่อนได้อย่างแท้จริง" นายอดัม กล่าวและว่า กระบวนการทั้งหมดนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในเวลา 18 เดือน และเราควรเริ่มกระบวนการในทันที


หลังจากที่นายอดัมได้พูดถึงกระบวนการข้างต้น เสร็จสิ้นแล้ว ก็มีการเปิดเวทีให้ทุกภาคส่วนที่มาร่วมฟังแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวาง จนได้ข้อสรุปกันในวงเสวนาว่า จะมีการเดินหน้าขับเคลื่อนกระบวนการนี้ให้เป็นจริงต่อไป จากนั้น จึงได้มีการถามความสมัครใจในการร่วมเป็นคณะทำงานเพื่อผลักดันกระบวนการนี้ ซึ่งปรากฎว่ามีหลายภาคส่วนร่วมเสนอตัวเป็นคณะกรรมการด้วย


ดร.สุมิท แช่มประสิทธิ์ เลขาธิการสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวภายหลังการเสวนาว่า กระบวนการในวันนี้เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่เราจัดมาหลายวันก่อนหน้านี้ โดยในช่วง 3 วันแรกเราได้พบปะกับบุคคลและกลุ่มต่างๆ ถึง 30 กลุ่ม เมื่อวันก่อนก็มีการจัดสัมมนา ซึ่งมีคนเข้าร่วมประมาณ 250 คน มีการเล่าเทคนิค ประสบการณ์ต่างๆ ของนายอดัม วันนี้เลยนำมาสู่การสรุปเป็นโฟกัสกรุ๊ป ซึ่งประกอบไปด้วยองค์กรและบุคคลที่ได้เจอมาจากหลายวันก่อนหน้านี้ เมื่อมีการถามทุกคนว่าจะมาร่วมด้วยช่วยกันไหม ข้อสรุปที่ออกมาคือวิธีของนายอดัมถือเป็นหนึ่งในหลายวิธีในการแก้ไขปัญหา ความขัดแย้งของสังคมไทยในปัจจุบัน


"วันนี้เราก็ได้ทีมขึ้นมาทีมหนึ่ง เป็นออแกนไนซ์ซิ่งทีม ในการร่วมคิดร่วมทำ ต่อไปคงมีการหารือกันภายในทีมนี้ เพื่อกำหนดกระบวนการผลักดันการสร้างสถานการณ์จำลองในอนาตต่อไป ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ในการเสวนาครั้งนี้ เห็นควรว่าต้องผลักดันต่อไป" ดร.สุมิท กล่าว




   
ข่าวล่าสุด ในหมวดเดียวกัน
โภคิน พลกุล เปิดใจครั้งแรก “ถ้าเราคิดเอาชนะคนอื่น ไม่มีวันได้ชัยชนะ และยิ่งแพ้ตัวเองไปทุกวัน"
เปิดมุมมอง "มอเตอร์ไซค์รับจ้าง" "การเมืองบนท้องถนน" จากการศึกษาของนศ.ป.เอกชาวอิตาลี
"เซ็นทรัล"ลงทุนไม่ยั้ง ทุ่มอีกกว่า 4 พันล้าน ผุดห้างบิ๊กบึ้มที่สุราษฎร์ - พิษณุโลก ช่วยจ้างงานอื้อ !
ชวาลา 34 ปี ...ตำนานไม่มีวันตาย ห้างหุ้นส่วน ไม่จำกัดความสุข
"อดัม คาเฮน"แนะตั้ง กก.แก้ปัญหาความแตกแยกในสังคมไทย ภาคส่วนต่างๆ รับลูกเอาด้วย
   



   
   
   
   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #324 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2553, 13:14:00 »

ฟังฝรั่งพูดแก้ความขัดแย้ง : คนไทยก็รู้..แต่ปัญหาคือการปฏิบัติ
โดย : ทศพร โชคชัยผล กรุงเทพธุรกิจ 18สค.2010


  'อดัม คาเฮน' ฝรั่งที่สนใจเรื่องความขัดแย้ง เสนอทางออกให้กับสังคมไทย เป็นข้อเสนอที่น่ารับฟังจริงหรือ? เขาเป็นใครและมาทำไม


เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา หลายๆองค์กรได้ร่วมจัดงานเสวนา "เราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน ถอดบทเรียนการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ในแอฟริกาใต้ โคลัมเบีย และที่อื่นๆ" หรือ  "Scenario to shape the future" โดย นายอดัม คาเฮน ผู้ที่มีประสบการณ์ในการร่วมแก้ปัญหาความขัดแย้งในหลายประเทศเช่นแอฟริกาใต้ โคลัมเบีย และกัวเตมาลา

โดยสรุปแล้ว แต่ละประเทศต่างก็มีวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างกันไป ขึ้นกับเงื่อนไขของแต่ละประเทศ

นายอดัม ออกตัวเมื่อกล่าวถึงความขัดแย้งในประเทศไทยว่ามาถึงประเทศไทยเพียงสี่วัน ไม่มีเวลาเพียงพอจะเข้าใจสถานการณ์ในเมืองไทยอย่างชัดแจ้ง คงไม่เหมาะที่จะวิเคราะห์หรือให้คำแนะนำทั้งหมด

เขาบอกว่าจากประสบการณ์จากที่อื่นๆ ได้ตั้งข้อสังเกตว่าสถานการณ์ของประเทศไทยมีความซับซ้อนในหลายๆด้าน และเพิ่มพูนขึ้นมา จนถึงตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเหลืองหรือแดง แต่เป็นเรื่องความหลากหลาย เราต้องเข้าใจเรื่องตัวปัญหา ซึ่งความขัดแย้งระดับนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ผู้คุมกำลัง ผู้มีอำนาจหรือนักวิชาการมาแก้ปัญหาได้ง่ายๆ แต่ต้องให้ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมกันแก้ปัญหา

"วิธีแก้ไม่ใช่ใช้อำนาจหรือปราบปรามใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องพยายามสร้างสรรค์ผ่านกระบวนการรัฐ โดยใช้ความรัก แต่ความรักก็ไม่ใช่แค่ยื่นดอกกุหลาบ แต่ต้องมีความรักเชิงสมานฉันท์ สร้างความเชื่อมโยง จะบรรเทาประเด็นต่างๆได้ไม่น้อย ยังต้องสร้างเอกภาพ ยอมรับการสูญเสียที่เกิดขึ้น"

เขาบอกว่าขณะนี้ประเทศไทยยังมีความไม่สมดุลระหว่างการใช้อำนาจกับความรัก ในระหว่างเปิดตัวหนังสือของตัวเองที่มีการแปลเป็นภาษาไทย และมองว่าประเทศไทยใช้อำนาจมากกว่าความรัก

"แต่ทางแก้จะไม่ใช่การการลดอำนาจ แต่ต้องเป็นการเพิ่มความรักขึ้นมา เรื่องการแก้ปัญหาในประเทศไทยนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่คนไทยรู้กันอยู่แล้ว แต่บางครั้งก็อาจจะจำเป็นต้องมาพูดเรื่องง่ายๆอีกครั้ง"

จากเนื้อหาที่นายอดัมพยายามหยิบมาเป็นประเด็น เพื่อเสนอแนะทางออกให้กับความขัดแย้งในสังคมไทย เมื่อถามหลายคนที่ได้ฟังมา ก็รู้สึกว่า"ไม่มีอะไรใหม่" แต่ก็ช่วยจุดประกายให้คนมาใส่ใจอีกครั้ง หลังจากทำท่า"หายไปกับสายลม"

ก่อนหน้านี้คนไทยหลายคนก็เคยพูดทำนองเดียวกันและใช้วิธีเดียวกันกับที่นายอดัมพยายามจัด"เวิร์คช็อป"เพื่อหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้ง

อาทิ แนวคิดในการแก้ปัญหาของน.พ.ประเวศ วะสี ที่เรียกร้องให้ยึดหลัก"การให้อภัย" และ"การมีส่วนร่วม" ซึ่งก็ไม่ต่างจาก"ความรัก"ของนายอดัม เพียงแต่น.พ.ประเวศ มีฐานความคิดจากสังคมวัฒนธรรมตะวันออก และใช้ศัพท์แสงในเชิงพุทธศาสนา ส่วนนายอดัมนั้นเข้าใจว่า"ความรัก"เป็นฐานแนวคิดจากศาสนาคริสต์(บางคนที่นิยมฝรั่งเป็นชีวิตจิตใจอาจรู้สึกตื่นเต้นกว่า)

น.พ.ประเวศก็ย้ำอยู่ตลอดเวลาว่า"อำนาจ"ไม่สามารถแก้ปัญหาสังคมได้ เพราะเมื่อไรที่หลงกับอำนาจ ก็เท่ากับว่าพาตัวเองและสังคมตกสู่"หลุมดำ"

หรือแม้แต่หลัก"สานเสวนา"ของ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่พยามก่อตั้งเครื่อข่ายสานเสวนาเพื่อสันติ ซึ่งก็ใช้แนวคิด "dialogue"(เป็นต้นกำเนิดของวิธีการเวิร์คช็อปในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง) ก็ไม่ต่างจากนายอดัมพยายามทำอยู่ในขณะนี้ ที่เดินสายรับฟังความเห็นและจัดเวิร์คช็อปเพื่อหาทางแก้"ปม"ขัดแย้ง

ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ที่เข้าไปร่วมเวทีด้วย ก็เห็นว่าวิธีการของนายอดัมก็ไม่ต่างกับที่กำลังพยายามทำกันอยู่ในขณะนี้

(แต่นายอดัมจะรู้หรือไม่ว่าจุดอ่อนของวิธีการทำเวิร์คช็อปแก้ปัญหาความขัดแย้ง สามารถใช้ได้ดีในระดับองค์กรเท่านั้น อย่างเช่นตัวอย่างอันลือลั่นที่มีการนำมาใช้ในบริษัทเชล แต่วิธีนี้ไม่สามารถใช้ได้กับการแก้ปัญหาระดับประเทศ ที่มีความซับซ้อนกว่ามาก)

ปัญหาก็คือเมื่อคนไทยพูดแล้ว ไม่ค่อยจะมีใครใส่ใจเท่าไรนัก เพราะที่ผ่านมา แทบทุกคนล้วนถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง เมื่อพูดอะไรหรือเสนออะไรมักจะไม่มีใครฟัง หากไม่"เข้าข้าง"ตัวเอง

แน่นอนว่าปัญญาชนหลายคนอาจนั่งหัวเราะนายอดัม ที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมไทยเสียเลย และมองความขัดแย้งในสังคมแบบ"ตื้นๆ" ทั้งๆที่ตัวเองก็ยอมรับว่ามีความซับซ้อน แต่ข้อเสนอของนายอดัมก็น่ารับฟัง แม้คนที่มองอะไรๆก็มีลักษณะเฉพาะ"ทางวัฒนธรรม"ไปหมด อาจจะวิจารณ์ว่า"ฝรั่งคนนี้จะไปรู้อะไร มันจึงเสนอไอเดียกว้างๆนามธรรม ให้ไปคิดฟุ้งซ่านกันเอาเอง"

(อันที่จริง ผมก็อดสงสัยที่มาที่ไปของงานนี้ไม่ได้ว่าใครเป็นต้นคิด และมีเป้าหมายใดกันแน่ แต่ที่รู้มานายอดัมก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรเหมือนที่เราพยายามอยากให้เป็น ยังมีข้อสงสัยอีกมากที่กล่าวอ้างกัน อีกทั้งเขาก็ทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งของฝรั่ง ซึ่งในช่วงหลังก็มีองค์กรลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด เพื่อรองรับความขัดแย้งในโลกที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเป็นการเข้าไปช่วยแก้ปัญหา หรือค้นคว้าวิจัยด้วยอาศัยเงินทุนจากการบริจาค หรือรัฐบาลบางประเทศเจียดเงินมาให้ แถมงานนี้มีการแถลงข่าวเปิดตัวหนังสืออีกต่างหาก... ผู้อ่านค้นคว้าด้วยตัวเองได้ในเว็บไซต์ แล้วอาจนั่งอมยิ้มเล็กน้อย)

บางที การมองอะไรๆก็มีความ"ซับซ้อนยุ่งยาก"ไปหมด ก็อาจเป็นดาบสองคมก็ได้ ด้านหนึ่ง ทำให้เรามีความรอบคอบและลึกซึ้ง แต่อีกด้านหนึ่ง ทำให้เราไม่รู้จะทำอะไรกันดี นายอดัมถึงบอกว่า"ขอพูดเรื่องง่ายๆอีกครั้ง"

หากเปรียบเทียบข้อเสนอของนายอดัมกับปัญญาชนที่เป็นคนไทย หรือแม้แต่นักเคลื่อนไหวต่างๆแล้ว อาจกล่าวได้ว่าไม่มีอะไร"เซอร์ไพร์" ในด้านความลึกซึ้งเกี่ยวกับปัญหาทางสังคมการเมือง คนไทยจำนวนมากก็มีความรู้ความเข้าใจมากกว่า หรือในแง่ความเข้าใจลักษณะคนไทย นายอดัมก็ไม่อาจเปรียบเทียบได้

อีกทั้งขณะนี้รัฐบาลก็ตั้งคณะกรรมการเพื่อ"สมานฉันท์" "ปฏิรูปประเทศ" หรือ อื่นๆอีกมาก เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ซึ้งล้วนแต่เป็น"ผู้รู้"และมี"ประสบการณ์ทั้งสิ้น

ปัญหาของสังคมไทยขณะนี้ จึงไม่ใช่เรื่อง"ความรู้" "วิธีการ" "แนวทางปฏิบัติ" ฯลฯ เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราฟังกันแทบทุกวันอยู่แล้ว

เรา"รู้และพูด"กันมากพอแล้ว เหลือแต่"ปฏิบัติ"เท่านั้น ที่เรายังไม่กระทำ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 33  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><