23 พฤศจิกายน 2567, 15:34:46
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 17  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องของเขา จะเล่าให้ฟัง  (อ่าน 289751 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #75 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2554, 01:39:14 »


         แค่เพียงอ่าน ก็ดีใจ     แน่แล้ว พี่เอย
อ่านแล้วยัง คิดตาม              ยอดเยี่ยม
อ่านแล้วได้ปัญญา               ดี่เลิศ
อ่านแล้วนำไปใช้                 เรายิ่ง ยินดี
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #76 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2554, 01:07:06 »

อันเฟรล ออกแถลงการณ์ กรณีเลือกตั้งล่วงหน้า 8 ประเด็น เรียกร้องสื่อรายงานข่าวสร้างสรรค์

วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 21:08:29 น.

วันที่ 27  มิถุนายนที่ผ่านมา   เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี (อันเฟรล)  ออกแถลงการณ์เรื่องการเลือกตั้งล่วงหน้าในประเทศไทย วันที่  26  กรกฏาคม 2554   โดยแถลงการณ์มีสาระ ดังนี้


การจัดการเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันอาทิตย์ที่  26  กรกฏาคม 2554 ทำให้กระบวนการเลือกตั้งในประเทศไทยก้าวเข้าสู่ก้าวใหม่อีกก้าวหนึ่ง  มีผู้ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าทั้งภายในและภายนอกเขตเลือกตั้งเกือบ 3 ล้านคน  การดำเนินการเลือกตั้งล่วงหน้าเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย อันเฟรลขอชื่นชมคณะกรรมการการเลือกตั้งและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันจัดการการเลือกตั้งล่วงหน้าในครั้งนี้  ในขณะเดียวกันอันเฟรลใคร่ขอแสดงข้อคิดเห็นที่รวบรวมมาจากผู้สังเกตการณ์ เลือกตั้งกว่า 60 คนจาก 24 ประเทศที่เข้าร่วมสังเกตการณ์การลงคะแนนล่วงหน้าในประเด็นดังต่อไปนี้เพื่อ การปรับปรุงแก้ไขสำหรับวันเลือกตั้งจริงในวันที่ 3 กรกฏาคมต่อไป

ประเด็นแรก ผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตเลือกตั้งเมื่อการเลือกตั้งใน ปี 2550 กว่า 3,300,000 คน ส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนยังมีรายชื่ออยู่ในทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตและ จะไม่สามารถไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งจริงในวันที่ 3กรกฏาคม 2554 ได้ อันเฟรลขอแนะนำว่าทะเบียนรายชื่อของผู้ที่เลือกตั้งล่วงหน้าควรจะหมดอายุไป ในแต่ละครั้งของการเลือกตั้ง  ในขณะเดียวกันคณะกรรมการการเลือกตั้งควรมีอำนาจที่จะสั่งการให้มีการขยาย เวลาการเลือกตั้งออกไปได้ตามสมควรแก่สถานการณ์

ประการที่สอง คือการประกาศบัญชีรายชื่อสำหรับการตรวจสอบรายชื่อของประชาชนยังไม่เพียงพอ และไม่ทั่วถึงในต่างจังหวัด  ทำให้เกิดความสับสนในการตรวจสอบรายชื่อ ณ หน่วยเลือกตั้ง  ปัญหานี้ควรได้รับการแก้ไขก่อนถึงวันเลือกตั้งจริงในวันที่ 3กรกฏาคม 2554

ประเด็นที่สาม คือการจัดการภายในหน่วยเลือกตั้งยังต่างกันในแต่ละหน่วยและขาดการดำเนินการ ที่ครบถ้วนตามกระบวนการและขั้นตอนที่กำหนดไว้  แม้หน่วยเลือกตั้งในบริเวณเดียวกันบางหน่วยกลับมีการดำเนินการที่ไม่เหมือน กัน คณะกรรมการการเลือกตั้งควรจัดการอบรมเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งโดยเร่ง ด่วนและกรณีดังกล่าวนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในวันที่  3 กรกฏาคม 2554 นี้ การเตรียมการในหน่วยเลือกตั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่จะต้องรองรับผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าหลายแสนคนเป็นไป ด้วยดี  อย่างไรก็ตามการลดจำนวนวันเลือกตั้งล่วงหน้าให้เหลือเพียงวันเดียวทำให้เกิด ปัญหาการจราจรและจำนวนผู้มาใช้สิทธิมากเกินกว่าที่หน่วยเลือกตั้งนั้นๆ จะรองรับได้  ผู้มาใช้สิทธิจำนวนมากไม่สามารถใช้สิทธิได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตบางกะปิ  กรุงเทพฯ  จังหวัดเชียงใหม่และสมุทรปราการเป็นต้น

ประการที่สี่ อันเฟรลเห็นควรให้มีการงดการรณรงค์หาเสียงในวันเลือกตั้งล่วงหน้าเฉกเช่นเดียวกับวันเลือกตั้งจริง

ประการที่ห้า อันเฟรลขอเรียกร้องให้มีการอบรมตัวแทนของพรรคการเมืองต่างๆ ให้ไปสังเกตการณ์ในบริเวณหน่วยเลือกตั้งมากกว่าที่เป็นอยู่และขอให้พรรคการ เมืองปฏิบัติตามจริยธรรมการเลือกตั้งตามที่ได้ลงสัตยาบรรณไว้

ประการที่หก  ถึงแม้จะมีการรักษาความปลอดภัยตามหน่วยเลือกตั้งเป็นอย่างดี  อย่างไรก็ตามอันเฟรลขอแสดงความเป็นห่วงในกรณีที่ทหารมีการติดอาวุธเข้าไปใน คูหาเลือกตั้งเพื่อลงคะแนนเสียงในพื้นที่ต่างๆ เช่นนราธิวาส  ปัตตานี  และสงขลา นอกจากนี้ยังมีการให้สิทธิพิเศษแก่ทหารให้สามารถเข้าไปลงคะแนนก่อนประชาชนใน เขตจังหวัดกาญจนบุรี  ซึ่งทำให้ประชาชนที่รออยู่บริเวณหน่วยเลือกตั้งหลายคนไม่สามารถใช้สิทธิได้ ทันเวลาและต้องกลับบ้านไปด้วยความผิดหวัง

ประการที่เจ็ด อันเฟรลเรียกร้องให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเช่นสำนักงานตำรวจแห่งชาติและไปรษณีย์ไทยดำเนินการด้วยความ โปร่งใสและถูกต้องในวันเลือกตั้งจริง  เช่นเดียวกับการดำเนินการในวันเลือกตั้งล่วงหน้าที่ผ่านไปแล้ว  หีบเลือกตั้งจะต้องได้รับการเก็บรักษาอย่างมิดชิดและการขนย้ายหีบบัตรรวม ทั้งการนับคะแนนจะต้องปราศจากข้อครหาใดๆ

ประการสุดท้าย
อันเฟรลขอเชิญชวนให้สื่อมวลชนรายงานกระบวนการเลือกตั้งทั้งหมดอย่างสร้าง สรรค์โดยไม่พยายามรายงานข่าวใดๆ ที่เกี่ยวกับความรุนแรงเฉพาะเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเพียงเหตุการณ์เดียว จนเกินจริง  และขอเรียกร้องให้องค์กรภาคประชาชนต่างๆ ดำเนินการจัดหาและอบรมผู้สังเกตการณ์เลือกตั้งในพื้นที่ รวมทั้งขอให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยอิสระและเป็นตัวของตัวเองใน วันที่ 3 กรกฏาคม 2554 นี้ต่อไป
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #77 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2554, 01:11:11 »

ยังไม่ได้อ่านคะ
เรื่องยาวจัง.
จองที่นั่งอ่าน มุมๆหลืบๆไว้ก่อน
เดี๋ยวมาอ่านคะ
      บันทึกการเข้า


พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #78 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 02:30:49 »

เมื่อวันที่ 5 ก.ค. นายแทน เทือกสุบรรณ ทายาทนายสุเทพ เทือกสุบรรณ  แกนนำพรรคประชาธิปัตย์   ได้โพสต์บทความเรื่อง "10 เหตุผลที่ชาวประชาธิปัตย์ไม่ควรเสียใจ" ลงในเว็บไซต์เฟซบุคของตน โดยมีใจความ ดังนี้

 

10 เหตุผลที่ชาวประชาธิปัตย์ไม่ควรเสียใจ

 

แทน เทือกสุบรรณ  5 ก.ค. 2554

 

1. เราได้ ส.ส. คุณภาพถึง 160 คนเข้าไปทำหน้าที่ในสภา จำนวนไม่น้อยเป็น ส.ส. รุ่นใหม่ที่มีอนาคตไกล ที่พร้อมแบกรับ ปัญหาของประเทศชาติ

 

2. เราได้หักหน้าโพลรับจ้าง และ สื่อมวลชนที่เห็นแก่เงิน ที่พยายามจะชี้นำประชาชน จนถึงนาที่สุดท้าย

 

3. เราชนะในภาคใต้อย่างถล่มทลาย มากกว่าพรรคเพื่อไทยถึงเกือบสิบเท่า ในทุกเขต และ ชนะในพื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงเทพมหานคร และ ภาคตะวันออกของประเทศไทย

 

4. เราสู้ได้อย่างสูสีในหลายเขตของภาคเหนือ และภาคอีสาน เชื่อว่าประชาชนในส่วนนี้ เริ่มเข้าใจ อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์บ้างแล้ว

 

5. คะแนนโดยรวม และ ส.ส. บัญชีรายชื่อของเราแพ้เพื่อไทยไม่มาก แม้ว่าฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยจะมีประชากรมากกว่ามากก็ตาม

 

6. พรรคเพื่อไทยไม่ได้ ส.ส. ในภาคใต้ และ ตะวันออกของประเทศไทย ในขณะที่เราเป็นพรรคการเมืองเดียวที่มี ส.สในทุกภาคส่วนของประเทศไทย ตั้งแต่ แม่ฮ่องสอน อุลบลราชธานี จันทบุรี จนถึง นราธิวาส เป็นพรรคการเมืองของคนไทยทั้งประเทศอย่างแท้จริง

 

7. หลายเขต เราแพ้อย่างเฉียดฉิว แต่ถ้ารวมคะแนนโหวตโน (ที่สนธิ ขโมยเราไปให้ทักษิณ) เราชนะเกือบทุกเขตใน กทม. หลายเขตทั่วประเทศ และ บัญชีรายชื่ออีกหลายคน ถ้านับรวมแล้วเราควรได้ ส.ส. ประมาณ 200 ที่นั่ง ซึ่งมากกว่าคราวที่แล้วมาก เชื่อได้ว่าครั้งต่อไปประชาชนจะไม่หลงเชื่อบุคคลเหล่านี้อีก

 

8. พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมือง ไม่ได้เป็นสมบัติประจำตระกูลของใคร เพราะฉะนั้นตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่สิ้นคนดี ตราบนั้นประชาธิปัตย์จะยังคงอยู่ ผิดกับพรรคเพื่อไทย ถ้าไม่มี ทักษิณ ทุกอย่างก็จบ

 

9. แม้ว่าท่านนายกฯจะลาออกจากหัวหน้าพรรค แต่ท่านก็ยังเป็นสมาชิกพรรค เป็น ส.ส. ของพรรค ไม่มีวันที่จะทิ้งพรรค และ มีโอกาสที่ท่านกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีอีก

 

10. ประเทศไทยยังมีระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #79 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 19:47:02 »

เกจิดังลพบุรีฟันธง! ดวง"ยิ่งลักษณ์"เป็นนายกฯอายุถึง 60 ปี เชื่อพาชาติพ้นวิกฤต ไม่มีใครกล้าปฏิวัติ

วันที่ 06 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14:30:30 น.

ก่อนหน้านี้ "มติชนออนไลน์" ได้สัมภาษณ์พิเศษ "พระครูวิจิตรสุธาราม หรือพระอาจารย์นวย เจ้าอาวาสวัดธรรมิการาม (วัดค้างคาว) ต.บางขาม อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เกจิอาจารย์ชื่อดังเมืองลพบุรีที่หลายต่อหลายคนรู้จัก และศรัทธาในความสามารถของท่าน ที่ทำนายทายทักเหตุการณ์ต่างๆ ของบ้านเมืองได้อย่างแม่นยำ อย่างกับตาเห็นก็ว่าได้

 โดยเฉพาะการทำนายดวงของ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ก่อนการเลือกตั้งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร้อยเปอร์เซ็นต์และจะได้เป็นถึง 2 สมัย นอกจากนี้ยังทำนายอีกว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เสียงเกินครึ่ง คือ 250 เสียง ส่วนพรรคประชาธิปัตย์จะได้เสียงไม่ถึง 200 เสียง ทำให้คำทำนายของพระอาจารย์นวยเป็นจริงอย่างที่ทำนายไว้ตั้งแต่แรก

สอดคล้องกับ "โหรเนวิน" ที่บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์จะแพ้การเลือกตั้ง ได้ส.ส.เพียง 160 เสียง และนายอภิสิทธิ์จะต้องลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ที่ไม่ใช่แค่การสร้างพื้นที่สื่ออย่างที่หลายฝ่ายออกมาตอบกลับแต่อย่างใด

              นอกจากนี้ พระอาจารย์นวย เคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีพลังในตัวสูงถึงระดับ 19 เทียบเท่ากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย ซึ่งเลข 19 ในทางโหราศาสตร์ถือเป็นเลขที่ดี เป็นเลขจักพรรดิ์ ขณะที่ดวงของนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ไม่ค่อยดี จะสู้กับใครก็แพ้หมด และแพ้การเลือกตั้ง ทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค และเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ เพื่อจะสู้กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ให้ได้ในสมัยหน้า พร้อมกับแนะนำให้นายอภิสิทธิ์เปลี่ยนชื่อด้วย ต้องเอาตัวอักขระผู้ชนะใส่เข้าไป แถมเหน็บแนมด้วยว่า นายอภิสิทธิ์คงไม่เชื่อหรอก เขาไม่เชื่อตั้งแต่สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว

จนถึงขณะนี้ผ่านการเลือกตั้งไปแล้ว แม้คณะกรรมการการเลือกตั้งจะยังไม่ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการก็ตาม คงไม่มีคำทำนายไหนมาลบคำทำนายของพระอารย์นวยได้ แต่ภายหลังจากการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปแล้วนั้น ยังเป็นที่น่าสนใจของหลายๆ คนอยู่ไม่น้อย

พระอาจารย์นวย แห่งวัดค้างคาว ได้ให้สัมภาษณ์กับ "มติชนออนไลน์" อีกครั้ง ภายหลังการเลือกตั้งพึ่งผ่านพ้นไปไม่นาน โดยพระอาจารย์นวยกล่าวว่า ดวงของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังดีมาโดยตลอด ทั้งก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง เมื่อดวงของคนจะได้เป็นนายกฯ ยังไงแล้วก็จะต้องได้เป็นนายกฯ ยิ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ดวงอ่อนอย่างนายอภิสิทธิ์ เนื่องจากว่าดวงของความเป็นผู้นำไม่ดี ก็เลยทำให้มั่นใจว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ตามที่ได้ทำนายไว้ตั้งแต่แรก

ขณะเดียวกัน พระอาจารย์นวยเชื่อว่า ความเป็นผู้หญิงของน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะพาประเทศฝ่าฟันอุปสรรค ให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตของประเทศชาติไปได้ การค้า เศรษฐกิจ การลงทุนจะดี และลักษณะการทำงานที่อ่อนช้อย สุขุม นุ่มนวล เก่งกล้าสามารถ กล้าตัดสินใจ ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็จะช่วยบ้านเมืองไว้ได้ และช่วยหาหนทางทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข และในระหว่างการเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะไม่มีใครอาฆาต หรือกล้าทำร้ายด้วย ที่สำคัญก็คือ ไม่มีใครกล้าปฏิวัติด้วย

นอกจากนี้ ดวงของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่สามารถทำงานได้ก็เนื่องจากว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีเทพคุ้มครอง จากนี้ไปก็จะมีแต่คนนับถือ มีแต่คนเห็นด้วยกับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั่วโลกจะเชื่อถือ ซึ่งจะสังเกตุเห็นได้ว่า สมาชิกในพรรคเพื่อไทยแม้แต่ระดับพระกาฬ ยังต้องยอมให้กับอำนาจของน.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมถึงลูกพรรคคนอื่นๆ ก็ยังเกิดการยอมรับในความเป็นผู้นำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในทั้งๆ ที่พึ่งเข้ามาเล่นการเมือง และด้วยบารมีตรงนี้ก็จะทำให้การเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นไปอย่างราบรื่น             

เมื่อดูลักษณะสังคมไทยอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้หญิงจะเป็นใหญ่อยู่แล้ว สามีไม่กล้าแข็งข้อกับภรรยา เพราะกลัวได้นอนบ้านเช่า (หัวเราะ) และในสมัยนี้ก็น้อยนักที่ผู้หญิงจะยอมผู้ชาย เมื่อสังคมมีความเท่าเทียมกัน ความเป็นผู้นำของผู้หญิงก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดี ต่างจากนายอภิสิทธิ์ ที่ชอบโจมตีในระหว่างการหาเสียง ยิ่งเป็นการโจมตีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นผู้หญิงแล้ว ก็ทำให้คนมองว่าไม่ดี ก็ไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นายอภิสิทธิ์แพ้ มากกว่านั้นพลังของผู้หญิงก็จะไปเทคะแนนเลือกผู้หญิงด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม การจะเป็นผู้นำได้ นอกจากความสามารถแล้ว วันเดือนปีเกิด ชื่อ ดวง บารมี ก็มีส่วนช่วยเสริมให้ประสบความสำเร็จ ได้รับชัยชนะด้วย ทำให้น.ส.ยิ่งลักษ์ยังสามารถดำรงตำแหน่งได้ถึง 2 สมัย และจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีถึงอายุ 60 ปี ที่สำคัญพระอาจารย์นวย ยังเคยบอกไปแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะกลับมาในอีกไม่ช้า

จากนี้ไปคงต้องรอดูคำทำนายของพระอาจารย์นวย ว่าจะเป็นจริง หรือแม่นยำเพียงใด ภายหลังจากที่เคยทำนายดวงของนายกรัฐมนตรีคนผ่านๆ ราวกับตาเห็นมานักต่อนักแล้ว

ทั้งนี้ต้องรอดูอีกว่า ความเป็นผู้หญิงจะสามารถนำพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตได้หรือไม่
รับรองคราวนี้ต้องไม่พลาดแน่นอน!!
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #80 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 21:25:31 »

รัฐบาลยิ่งลักษณ์   โดย วรศักดิ์ ประยูรศุข

วันที่ 06 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 21:00:00 น.


(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 6 กรกฎาคม 2554)

ถ้าดูจากหุ้นที่พุ่งรับ ท่าทีของต่างประเทศ บรรยากาศทั่วๆ ไป ต้องถือว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ ผ่านไปอย่างเรียบร้อย

ความเรียบร้อยมาจาก   1.พรรคเพื่อไทยได้ 265 เสียง เกินครึ่งจาก 500 เสียงของสภา
                                 2.ประชาธิปัตย์เหลือ 159 นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศยอมรับผลการเลือกตั้ง

เป็นผลที่ปิดปากฝ่ายที่เตรียมจะลุกขึ้นมาป่วน

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลายเป็นว่าที่นายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทยไป

ผ่านไป 1 คืน วันถัดมารัฐบาล 5 พรรค 299 เสียงก็เกิดขึ้น ซึ่งถือว่ารวดเร็วมาก

ขั้นตอนต่อไปนี้ คือเรื่องของ "ตำแหน่ง" ต่างๆ

เพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่ หลายกลุ่มหลายมุ้ง ผสมกับพรรคเล็กอีก 4 พรรค การบริหารจัดการให้ลงตัวไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

คนอยากเป็นมีมากกว่าเก้าอี้ ก็อย่างที่พูดกันตอนนี้ว่า ยอดจองทะลุเกินจำนวนเก้าอี้ที่มีอยู่ 35 ที่

บางตำแหน่ง มีเกียรติยศยิ่งใหญ่ อย่างประธานสภาผู้แทนฯ ที่ต้องเป็นประธานรัฐสภาด้วย โดยทฤษฎีเทียบเท่านายกรัฐมนตรี และประธานศาลฎีกา

แต่ตำแหน่งนี้ ไม่ค่อยอยากรับกัน ขอไปเป็นรัฐมนตรีมากกว่า ขี้เกียจนั่งบัลลังก์ต่อปากต่อคำกับฝ่ายค้าน ซึ่งเที่ยวนี้มาแบบชุดใหญ่

ชื่อของตัวเต็งในตำแหน่งนี้ อย่าง สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ขุนค้อนเมืองขอนแก่น กับ วิทยา บุรณศิริ จากอยุธยา ก็เลยยังสรุปไม่ได้

สเปกของรัฐมนตรี ก็เป็นอีกเรื่องที่สังคมคาดหวังว่า พรรคเพื่อไทยควรจะคัดเลือกคนเก่งคนดีเข้ามาทำหน้าที่

ในงานบางด้านอย่างเศรษฐกิจ ก็มีเสียงจากนักธุรกิจบอกว่า อยากได้คนมีฝีมือ ที่เข้าใจถึงการแข่งขันระหว่างประเทศ

ต้องมองไกลไปถึงเศรษฐกิจระดับโลก ถึงจะเชื่อมต่อได้เป็นอย่างดีกับภาคเอกชนที่ล่วงหน้าไปไกลมากแล้ว

อีกสองตำแหน่งที่สังคมจับตา ได้แก่ รัฐมนตรีการต่างประเทศ และรัฐมนตรีกลาโหม

รัฐมนตรีการต่างประเทศ มีปัญหาความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ที่จะต้องมาฟื้นฟูจัดระเบียบการอยู่ร่วมกันใหม่ เก็บกู้ระเบิดกรรมการมรดกโลกที่ยูเนสโก และบอมบ์ 4.6 ตร.กม. ข้างเขาพระวิหาร ที่ศาลโลกกำลังจะมีคำสั่งแรก หลังจากเขมรยื่นตีความคำพิพากษา

ก็ยังโชคดีที่กัมพูชาแสดงท่าทีต้อนรับรัฐบาลใหม่ อาจทำให้หารัฐมนตรีได้ง่ายขึ้น

ส่วน รมว.กลาโหม ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความละเอียดอ่อน รัฐบาลบางยุคให้นายกฯควบเก้าอี้ เพื่อให้เกียรติกับกองทัพและหน่วยงานทหาร

เที่ยวนี้ ใช้วิธี "ปรองดอง" โดยสอบถามจากผู้เกี่ยวข้องของฝ่ายทหาร เพื่อให้ได้ตัวบุคคลที่ยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย

ขั้นตอนที่ยังต้องรอคอย ได้แก่การรับรอง ส.ส.โดย กกต. และการจัดทำโผเก้าอี้รัฐมนตรี

นายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทยจะไปได้หรือไม่ รายชื่อคณะรัฐมนตรีที่จะออกมา จะเป็นตัวตัดสินในเบื้องต้น

ประชาชนลงทุนเลือกเข้าไปเกินครึ่งของสภา ถือเป็นความได้เปรียบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองไหน

แต่ถ้าบริหารความได้เปรียบนี้ ให้สนองความคาดหวังของประชาชนไม่ได้

ฝ่ายค้านผสมยี่ห้อ ปชป.กับชูวิทย์ "จัดหนัก" แน่
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #81 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 21:31:37 »

ประวัติศาสตร์มีไว้ให้ศึกษาเพื่อความจริงไม่ใช่มีไว้ให้งมงาย

โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์
วันที่ 06 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 19:30:00 น.


ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านการศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์และสื่อสารมวลชน เนื่องในโอกาสครบรอบชาตกาล 100 ปี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 ทำให้ผู้เขียนคิดถึงข้อเขียนของท่านเมื่อครั้งที่ท่านได้ไปเยือนประเทศจีนครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้วว่า

"ไปประเทศจีนเที่ยวนี้เขาพาผมไปฮวงซุ้ยซูสีไทเฮา ผมต้องยกมือไหว้ขอโทษแก เพราะผมโกหกแกไว้มากผมก็ไม่รู้ว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ ผมอ่านประวัติเอาหนังสือฝรั่งมาค้นเยอะ แต่ผมก็แต่งของผมใหม่ อ้ายเรื่องที่ไม่ควรจะเป็น ตรงไปไม่เข้าเกร็ดพงศาวดาร ผมก็เขียนเสียใหม่ อย่างว่าแกมีลูก ผมก็เอาว่าแกไปเอาลูกคนอื่นมา ฆ่าแม่มันเสียด้วย ไม่งั้นไม่สนุก คนอ่านไม่ตื่นเต้น"

ครับ! ท่านมุ้ยก็เอาเรื่องสุริโยไทและตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาสร้างเป็นภาพยนตร์ก็ต้องเขียนเสียใหม่เยอะเหมือนกันไม่งั้นไม่สนุก คนดูหนังไม่ตื่นเต้นซึ่งท่านมุ้ยก็ทั้งบอกทั้งเขียนแหละว่าท่านเขียนเรื่องเพิ่มขึ้นเยอะจากจินตนาการและการค้นคว้าหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของท่านแต่หลักใหญ่ใจความก็คือเอาสนุกและให้คนดูหนังตื่นเต้นนั่นเอง

แต่ที่มันเป็นเรื่องงมงายขึ้นมาก็คือมีคนไทยจำนวนไม่น้อยเกิดทึกทักว่าเรื่องในหนังสือนั้นเป็นประวัติศาสตร์ที่แท้จริงแบบว่าแยกความจริงจากนิยายไม่ออกนี่ซิครับน่ากลุ้มใจพิลึก

ครับ! ตรงนี้เองทำให้นึกถึงประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสช่วงการปฏิวัติใหญ่ พ.ศ.2332 ที่ผู้เขียนเคยเรียนตอนอยู่ชั้นมัธยมขึ้นมาได้

เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ เมื่อชาวปารีสนับพันคนพากันเดินขบวนไปประท้วงความขาดแคลนอาหารต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เสียงประท้วงความขาดแคลนอาหาร ต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เสียงประท้วงที่ดังสนั่นราวกับเสียงฟ้าร้องคือ

"เราต้องการขนมปัง"

ซึ่งความนี้ทราบไปถึงพระนางมารีย์ อังตัวเนต พระมเหสีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พระนางทรงตรัสว่า "เมื่อไม่มีขนมปังจะกินแล้ว ก็ให้พวกเขากินขนมเค้กซิ"

พระดำรัสนี่ ที่ว่า "ก็ให้เขากินขนมเค้กซิ" เปรียบเสมือนเอาน้ำมันราดเข้าไปในกองเพลิง ทำเอาชาวฝรั่งเศสโกรธแค้นหนักขึ้นไปอีก ลุกลามไปจนถึงเข้าทลายคุกบาสติลล์ และเริ่มการปฏิวัติใหญ่ของฝรั่งเศส ค.ศ.1789 ที่นองเลือดขึ้นมา

คำตรัสนี้ ของพระนางมารีย์ อังตัวเนต ถ้าจะแปลให้เข้าใจกันชัดๆ ในคำพูดของคนไทยก็คือ "อ้าว! เมื่อไม่มีข้าวกินแล้วก็ให้กินบะหมี่หรือเกี๊ยวเสียสิ"

ความจริง แป้งทำขนมปังราคาถูกกว่าแป้งทำขนมเค้ก และขนมเค้กยังต้องผสมไข่ ผสมนมเนย ซึ่งแพงหนักขึ้นไปอีก ที่ชาวปารีส เคียดแค้น พระดำรัสของพระนางมารีย์ อังตัวเนต นี้ แบ่งเป็นสองนัย คือ

1.เข้าใจว่า ถูกพระนางมารีย์ อังตัวเนต ประชดประชันและไม่ไยดีต่อความทุกข์ยากของประชาชน

2.เข้าใจว่า บรรดาชนชั้นสูง ต่างมีชีวิตที่แตกต่างไปจากประชาชนอย่างไม่มีทางจะเข้าใจกันได้ เหมือนรัฐมนตรีที่ต้องดื่มไวน์ทุกวัน พอประชาชนร้องเรียนว่าไม่มีข้าวจะกินก็จะให้ดื่มไวน์แทนอย่างนั้นแหละ

เราเรียนประวัติศาสตร์สากลมาเช่นนี้ จนกระทั่งมีการศึกษาประวัติศาสตร์เชิงวิทยาศาสตร์คือ มีการไปค้นคว้าสอบเอาที่มาของเรื่องที่เล่ามานี้ ปรากฏว่า พบในนวนิยายที่นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส เขียนขึ้นสนุกๆ เพื่อให้มันอย่างว่า โดยเขียนขึ้นภายหลังการปฏิวัติใหญ่ ของฝรั่งเศสถึง 40 ปี

ส่วนข้อมูลคำดำรัสของพระนางมารีย์ อังตัวเนต ในช่วงก่อนนี้ไม่มีเลยจริงๆ

แต่บังเอิญคนฝรั่งเศสไม่โชคดีเหมือนคนไทย ที่มี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ผู้แต่งเรื่องซูสีไทเฮา โดยท่านบอกว่าท่านเขียนสนุกๆ เติมโน่นเติมนี้ เพื่อให้เรื่องที่เป็นนวนิยายสนุกขึ้นมาเท่านั้นเอง ไม่ใช่ประวัติศาสตร์จริงๆ

คราวนี้ลองมาพิจารณาถึงสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์พระองค์สุดท้าย แห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ในพงศาวดารกล่าวหาว่าเอาพระทัยใส่ต่อบรรดานางสนมกำนัล ในพระบรมมหาราชวังมากกว่าการทหารและการศึกษาสงคราม ทั้งๆ ที่กองทัพพม่าข้าศึกได้ล้อมพระนครเอาไว้แล้ว

สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ยังทรงมีพระบัญชาว่าหากนายทหารผู้ใดจะยิงปืนใหญ่เพื่อต่อต้านข้าศึกจะต้องแจ้งให้ทางสำนักพระราชวังทราบเสียก่อนเพื่อให้เวลานางสนมกำนัลได้อุดหู จะได้ไม่ตกอกตกใจ ในพงศาวดารเขียนกล่าวหาสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์กันถึงเพียงนี้

บังเอิญผู้เขียนเจอพงศาวดารอยุธยาที่เล่าเรื่องภาษี ผักบุ้ง ซึ่งนายสังข์มหาดเล็กใกล้ชิดของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์เอง ได้แอบอ้างอิทธิพลของพระเจ้าอยู่หัวไปเก็บภาษีผักบุ้ง โดยให้พวกเก็บผักบุ้งขายให้แก่เจ้าภาษีแต่ผู้เดียว ถ้าเอาไปขายผู้อื่นจะต้องถูกปรับเป็นเงิน 10 บาท เมื่อมีการผูกขาดผักบุ้งดังนี้แล้วก็มีการกดราคาซื้อผักบุ้งจากคนเก็บในราคาถูกแล้วเอาไปขายแพงๆ ต่อไป

เรื่องนี้จดไว้ว่า ศักราช 1124 มะเมีย จัตวาศก ทำภาษีผักบุ้ง

เรื่องเก็บภาษีผักบุ้งนี้ ทราบไปถึงสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์โดยพวกละครชาตรี ที่มีโอกาสไปแสดงต่อหน้าพระที่นั่งโดยจำอวดร้องซ้ำเล่าว่า

"จะเอาเงินมาแต่ไหน จนจะตายแต่เก็บผักบุ้งขายยังมีภาษี"

สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ทรงเอะพระทัย ได้เรียกตัวจำอวดมาซักถาม เมื่อทราบความก็ทรงพระพิโรธ มีรับสั่งให้เสนาบดีคืนเงินให้แก่ประชาชน

ส่วนนายสังข์มหาดเล็กตัวดี ทีแรกทรงลงโทษถึงประหารชีวิตแต่ต่อมาคลายพิโรธ จึงทรงลดโทษงดประหาร

ทำให้คิดว่าพระมหากษัตริย์ระดับนี้ มีหรือเมื่อศึกประชิดพระนครจะทรงกังวลถึงแต่นางสนมกำนัลจะตกใจจากการยิงปืนใหญ่มากกว่าความปลอดภัยของบ้านเมือง

ผู้เขียนว่าเป็นการใส่ความกันมากเกินไปละมั้ง?
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
แจง-24
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 10,028

« ตอบ #82 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2554, 20:38:29 »

เพื่อนจากการบินไทย ส่งบทความนี้มาให้
แม้จะเห็นต่าง แต่อ่านแล้วนึกนิยมและนับถือในความเป็นนักประชาธิปไตยของ อ.สมเกียรติ
เลยเก็บมาฝาก



ผลการเลือกตั้ง คือเสียงของประชาชน

โดย สมเกียรติ อ่อนวิมล | Somkiat Onwimon เมื่อ 4 กรกฎาคม 2011 เวลา 6:42 น.
ผลการเลือกตั้ง คือเสียงของประชาชน
 
โดย     สมเกียรติ อ่อนวิมล
 
ในระบอบประชาธิปไตย คะแนนเสียงของประชาชนส่วนใหญ่คือคะแนนตัดสินทิศทางของประเทศและสังคมในอนาคตข้างหน้า ทุกพรรคการเมืองและประชาชนทุกคนควรจะต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง แล้วดำเนินชีวิตและทำหน้าที่พลเมืองผู้มีความรับผิดชอบต่อสังคมต่อไป  

หลังทราบผลการเลือกตั้ง การแสดงออกในเชิงสร้างสรรค์ของท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สะท้อนนำ้ใจประชาธิปไตยด้วยกันทั้งสองฝ่าย  

การจัดให้มีการเลือกตั้งตามกรอบของรัฐธรรมนูญและตามสัญญาประชาคม ถือเป็นมาตรฐานจิตวิญญาณประชาธิปไตยที่พรรคประชาธิปัตย์และท่านนายกฯอภิสิทธิ์มีอยู่ในตัว เป็นการกระทำที่น่ายกย่อง  

ท่านนายกฯอภิสิทธิ์ในฐานะผู้แพ้การเลือกตั้งได้ออกมาแถลงยอมรับผลการเลือกตั้งและกล่าวแสดงความยินดีต่อพรรคเพื่อไทยและคุณยิ่งลักษณ์ในฐานะที่เป็นฝ่ายชนะ ถือเป็นมาตรฐานอันสูงของท่านนายกฯอภิสิทธิ์อันเป็นมาตรฐานสูงในระดับสากล เป็นมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่สังคมควรยกย่องและนักการเมืองทั้งหลายควรยึดเป็นแนวปฏิบัติ

สำหรับคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นก็มีหน้าที่ทำความรู้จักกับการเมืองและบทบาทการเป็นผู้นำประเทศที่ได้รับอย่างฉับพลันทันทีให้ดีที่สุด พลเมืองไทยทั้งที่เป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและที่เป็นฝ่ายสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์และพรรคอื่นล้วนยังไม่รู้จักคุณยิ่งลักษณ์ดีพอที่จะเลือกด้วยเหตุผลของข้อมูลส่วนตัว แต่เมื่อประชาชนส่วนใหญ่เลือกพรรคเพื่อไทยที่มีคุณยิ่งลักษณ์เป็นผู้นำพรรคและมีคุณทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายนำทางคุณยิ่งลักษณ์อีกชั้นหนึ่ง ดั่งนี้แล้วคุณยิ่งลักษณ์จึงจะต้องทำหน้าที่หัวหน้าพรรคที่มิใช่ตัวจริงแต่แรกเริ่มให้กลายเป็นผู้นำประเทศตัวจริงให้ได้ การเป็นผู้นำรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรีของราชอาณาจักรไทยนั้น คุณยิ่งลักษณ์เป็นตัวจริงแล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นตัวแทนของพี่ชายหรือใครอื่นอีกต่อไปนอกจากจะเป็นตัวแทนของประชาชนชาวไทยทุกคน ทั้งที่เลือกและไม่เลือกคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักคุณยิ่งลักษณ์
 
เป็นสภาวการณ์ที่แปลกสำหรับชาวไทยที่ได้ผู้นำคนใหม่ทั้งๆที่ยังไม่รู้จักกันอย่างแท้จริง ทั้งส่วนตัวและส่วนสารธาณะ  
เป็นปรากฏการณ์ที่น่า “ ห่วงยิ่งนัก ” ที่ผู้นำประเทศคนใหม่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในงานการเมืองสาธารณะเลยในชีวิต  
เป็นปรากฏการณ์ที่น่า “ ห่วงยิ่งลักษณ์ ” น่าห่วงยิ่งลักษณ์ยิ่งนัก เพราะประชาชนยังไม่เคยได้รับรู้คุณภาพความคิดทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ของคุณยิ่งลักษณ์เลย ประชาชนส่วนใหญ่ใช้ข้อมูลอื่นมากกว่าที่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณยิ่งลักษณ์เองในการตัดสินใจลงคะแนนในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554
 
แต่ไม่ว่าความรู้สึกของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร เราพลเมืองไทยทุกคนต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน เพราะเรากำลังสร้างสังคมประชาธิปไตยที่ถูกต้องตามหลักปรัชญาพื้นฐานอันเป็นมาตรฐานโลก  

ส่วนคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยก็ต้องเคารพเสียงส่วนน้อยในสังคม เพราะคุณยิ่งลักษณ์กำลังเข้าสู่วัฒนธรรมประชาธิปไตยอันเป็นมาตรฐานสากลเช่นกัน

สำหรับคุณทักษิณ ชินวัตร ผู้กำกับดูแลคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยในเบื้องหลังก็กำลังปรากฏตัวเป็นผู้กำกับดูแลในเบื้องหน้ามากและเด่นชัดยิ่งขึ้น ความผูกพันกับพรรคที่คุณทักษิณสร้างขึ้นมาแต่แรกเริ่มและความแนบแน่นกับน้องสาวที่คุณทักษิณรักและเลี้ยงดูมาแต่วัยเด็กเป็นเรื่องส่วนตัวที่คุณทักษิณยังคงผูกพันแนบแน่นต่อไปโดยธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ แต่คุณทักษิณยังคงเป็นนักการเมืองผู้ประพฤติผิด ทุจริตทำผิดกฎหมายและผิดจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คุณทักษิณมีโทษต้องได้รับตามกฎหมายต่อไป คุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยจะใช้อำนาจการเมืองที่ประชาชนมอบให้มาแก้ไขกฎหมายเพื่อช่วยคุณทักษิณให้พ้นผิดไม่ได้ คุณทักษิณจะต้องยอมรับในความผิดที่กระทำลงไป กลับมารับความผิดตามที่เป็นคำตัดสินของศาลฯและต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมในคดีความอื่นๆที่รออยู่
 
ประชาชนมอบอำนาจให้คุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยบริหารประเทศในเวลาสี่ปี

ประชาชนมิได้มอบอำนาจอันใดให้กับคุณทักษิณที่จะมาครอบงำพรรคเพื่อไทยและประเทศไทยได้

พรรคประชาธิปัตย์และท่านนายกฯอภิสิทธิ์แพ้การเลือกตั้งครั้งนี้ ก็มีโอกาสที่จะได้ทำหน้าที่ชนะใจผู้สนับสนุนและประชาชนทั่วไปที่มิได้สนับสนุน โดยการทำหน้าที่ฝ่่ายค้านที่มีพลังและคุณภาพต่อไป เมื่อถึงการเลือกตั้งสมัยต่อไป การแข่งขันกันรับใช้ประชาชนจะเวียนกลับมาอีกครั้ง และเป็นวัฏจักรแห่งระบอบประชาธิปไตยเช่นนี้ต่อๆไป
 
ด้วยเหตุแห่งการขาดข้อมูลความจริงเกี่ยวกับคุณยิ่งลักษณ์ พร้อมกับข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับคุณทักษิณที่ผมมีมากพอ ผมจึงมีความห่วงใยคุณยิ่งลักษณ์ในบทบาทหน้าที่ผู้นำคนใหม่่ของประเทศไทยของผมเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นผมก็ขอแสดงความยินดีต่อคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ที่ได้โอกาสเป็นผู้บริหารประเทศและเป็นผู้นำของผมในสี่ปีข้างหน้า

ผมขอให้กำลังใจและยังคงยืนยันการสนับสนุนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป เพราะผมพอใจในผลงานการบริหารประเทศและคุณภาพการเป็นผู้นำของท่านและพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา  

ในฐานะพลเมืองผู้รับผิดชอบต่อสังคมประชาธิปไตย ผมจะเฝ้าติดตามตรวจสอบการทำงานของทั้งคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย ตลอดจนคุณอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป
 
สมเกียรติ อ่อนวิมล
4 กรกฎาคม 2554
      บันทึกการเข้า

   อยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูง
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #83 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2554, 03:59:21 »

ไม่อยากเห็นอะไรจากนายกฯใหม่

โดย วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
วันที่ 07 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 19:30:00 น.


ถ้าไม่มีการ "สับขาหลอก" ครั้งใหญ่แห่งศตวรรษของการเมืองไทยแล้ว คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สตรีผู้ซึ่งเราเพิ่งรู้จักดีไม่ถึง 60 วัน ก็จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยในฐานะคนไทยเราก็มีสิทธิจะขอ เห็นบางสิ่งจากเธอ (ท่าน) โดยมิบังอาจบอกให้ทำอะไรตามที่เราต้องการได้

อย่าง แรกที่อยากเห็นก็คือการสร้างความเชื่อมั่นในประเทศไทยของสาธารณชนทั้งใน ประเทศและต่างประเทศอย่างรวดเร็วด้วยการไม่ทำสิ่งต่อไปนี้

(ก) การนิรโทษกรรมพี่ชายและ/หรือพลพรรค ถึงแม้จะบอกว่า "ไม่มีการนิรโทษกรรมเพื่อคนคนเดียวเด็ดขาดค่ะ" แต่ผู้คนก็ระแวงว่าจะรักษาคำพูดจริงแต่เป็นนิรโทษกรรมหมู่ โดยมีพี่ชาย (แอบ) แฝงอยู่ด้วย

พรรคเพื่อไทยรู้ดีว่าประเด็นนี้ร้อน จึงเลี่ยงกลยุทธ์จากไม่ตอบชัดเรื่องนิรโทษกรรมและ "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" ในตอนต้นการหาเสียงเป็นระบุชัดว่าไม่มีนิรโทษกรรม มีแต่ปรองดอง ("ผมจะไม่ทำอะไรให้บ้านเมืองเดือดร้อนเป็นอันขาด ผมไม่แค้นใคร ตัวผมไม่สำคัญเท่าชาติ")

ความพยายามที่จะนิรโทษกรรมจะนำไปสู่ความ ยุ่งยาก เพราะเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ทั้งในกรุงและต่างจังหวัด (ศาลากลางถูกเผาในอีสาน เช่น อุบลฯ อุดรฯ มุกดาหาร ขอนแก่น ฯลฯ) ไม่ต้องการ มิฉะนั้นพรรคเพื่อไทยคงโหมประเด็นนี้ไปนานแล้ว ความยุ่งยากนั้นก็คือการเกิดการประท้วงต่อต้านอย่างกว้างขวางอย่างค่อนข้าง แน่นอน ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะควักกลวิธีการตลาดออกมาใช้และรอเวลาอันเหมาะสมอย่างไร ก็ตาม เรื่องนี้ผู้คนรู้ทันและเตรียมตัวต่อต้านกันอยู่

เหตุผลที่การนิรโทษกรรมกระทบความเชื่อมั่นประเทศไทยก็เพราะคาดเดาได้ว่าเกิดความวุ่นวายขึ้นในอนาคตอันใกล้

(ข) การไม่ทำตามคำสัญญาของพรรคเพื่อไทยที่ได้ประกาศไว้เป็นอันขาดในบางเรื่อง เช่น แจกแท็บเบล็ตให้เด็กประถมหนึ่งทุกคน ค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททันที ภาษีเงินได้นิติบุคคลลดจากร้อยละ 30 เป็น 23 และต่อไป 20 จำนำข้าวตันละ 15,000 บาท และถ้าเป็นข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท เงินเดือนคนจบปริญญาตรี 15,000 บาท

ถ้าแจกแท็บเบล็ตไม่ว่าจะเป็น iPad หรือของยี่ห้ออื่นจำนวน 700,000-800,000 เครื่อง (ใช้เงิน 10,000-20,000 ล้านบาท) ก็จะเป็นข่าวระดับโลก เด็กส่วนใหญ่ในต่างจังหวัดไม่อาจรับสัญญาณอินเตอร์เน็ตได้ในระยะเวลาอันใกล้ ใช้ไม่เป็นเพราะครูก็ไม่รู้จัก ก็จะกลายเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ แท็บเบล็ตจะขาดตลาดโลกชั่วคราวแต่จะมีขายมือสองที่บ้านเรานับแสนเครื่อง

ถ้า ค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นถึง 300 บาททันที ธุรกิจใหญ่น้อยรวมทั้งภาคครัวเรือนก็จะเดือดร้อน เพราะต้นทุนค่าครองชีพสูงขึ้น จากทั้งแรงผลักดันต้นทุนอันเกิดจากน้ำมันมีราคาสูงขึ้น และแรงผลักดันอำนาจซื้ออันเกิดจากค่าแรงสูงขึ้น จนต้องมีการปรับค่าจ้างครั้งใหญ่ตามระดับอ้างอิงใหม่ของค่าจ้างขั้นต่ำทั้ง ในภาครัฐและเอกชน ธุรกิจจำนวนไม่น้อยก็จะม้วนเสื่อเพราะปรับแล้วเจ๊ง และการจ้างงานก็จะลดลงไปด้วย

ค่าจ้างขั้นต่ำควรปรับขึ้นแต่เป็นไป อย่างมีขั้นตอนตามกาลเวลาและความเหมาะสม ไม่ใช่บอกตัวเลขมาเลยว่า 300 บาทต่อวัน ถึงแม้ผู้ใช้แรงงานในระบบแบบจ้างรายชิ้นและรายวันจะมีเพียง 11 ล้านคน ในแรงงานทั้งประเทศ 38 ล้านคน แต่อย่าลืมว่าระดับอ้างอิงใหม่นี้จะกระทบถึงค่าจ้างแม่บ้านของภาคบริการและ มีผลต่อการคาดหวังในการได้รับผลตอบแทนของภาคที่ไม่เป็นทางการ เช่น ขายลูกชิ้นปิ้ง เปิดท้ายขายของ ขายผลไม้ ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ฯลฯ ด้วย

เงิน เดือนปริญญาตรีอย่างต่ำ 15,000 บาทต่อเดือน ก็จะทำให้การจ้างงานของคนจบปริญญาตรีน้อยลงเพราะคงหาผู้จ้างที่มีปัญญาจ้าง ในระดับนี้ไม่มากรายนักในทันที

 
ความตั้งใจดีก็จะก่อให้เกิดผลในทางลบ ทำให้เกิดการจ้างงานต่ำกว่าระดับคือยอมรับเงินเดือนต่ำกว่าระดับปริญญาตรี เพียงขอให้มีงานทำเท่านั้น

ส่วนการกำหนดการประกันราคาข้าว ที่ 15,000 บาท และ 20,000 บาทนั้น เชื่อแน่ได้ว่าเกษตรกรจะทิ้งข้าวที่จำนำไว้แน่เพราะราคาตลาดยากที่จะสูงถึง ขนาดนั้นใน 2 ปีข้างหน้า นอกจากภาครัฐจะเสียเงินไปมหาศาลแล้ว จะมีข้าวล้นอยู่ในมือมากด้วย ครั้นจะขายสู่ตลาดในประเทศก็จะทำให้ราคาข้าวที่รัฐไม่ได้ประกันราคาตกลงไป ครั้นจะส่งออกนอกก็สูงกว่าราคาต่างประเทศ

ในขณะที่สัญญาจะสร้างรถไฟ ด่วนหลายสาย ให้บริการประชาชนมากมายแต่มีรายได้ของรัฐน้อยลงมากจากการลดภาษีเงินได้ นิติบุคคลลงจากร้อยละ 30 (จาก 30 เป็น 20) ในเวลาไม่นานฐานะการคลังก็จะไม่มั่นคง รัฐบาลขาดดุลเพราะใช้งบฯประเทศขนาดใหญ่มาก ทั้งหมดนี้จะทำให้หนี้สาธารณะสูงขึ้น (กฎหมายกำหนดไม่ให้เกินร้อยละ 60 ของ GDP)

การออกมากู้เงินขนาดใหญ่ของภาครัฐเพื่อปิดหีบก็จะสร้างแรงกดดัน ให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศสูงขึ้นเนื่องจากภาครัฐต้องแย่งชิงเงินออมกับภาค เอกชนที่ต้องการเงินเอาไปลงทุน เมื่อดอกเบี้ยถูกผลักดันสูงขึ้น คนโชคร้ายก็คือพวกกู้ยืมผ่อนส่งบ้านและรถทั้งหลาย

โดยส่วนตัวผมไม่ ว่าอะไรถ้าจะไม่ทำตามที่สัญญาเพราะรู้ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ผมแก่พอจะแยกแยะออกว่าอะไรจริงอะไรลวง แต่ถ้ารัฐบาลจะทำจริงแม้เพียงสักครึ่งหนึ่งเพราะคิดว่าได้สัญญาไว้กับคนที่ เชื่อพรรคเพื่อไทยจนลงคะแนนให้ ผมก็รู้สึกหนาวแล้ว

เมื่อคุณยิ่ง ลักษณ์ได้ "เสียงสวรรค์" มากผมก็ยอมรับและมีความปรารถนาดีเพราะอยากเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า อย่างไรก็ดี ก็ให้รู้สึกหนักใจแทนคุณยิ่งลักษณ์ (ผู้ซึ่งผมเคยพบส่วนตัวครั้งหนึ่งในงานหนังสือแห่งชาติและรู้สึกประทับใจใน ความเป็นมิตร) เพราะเชื่อว่ามีพันธกิจสำคัญยิ่งคือพาพี่ชายกลับบ้านให้ได้โดยเร็วเพื่อจะ ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงอีกครั้ง

 

มิฉะนั้นคุณทักษิณจะเลือกคนที่เชื่อได้ที่สุดว่าจะทำตามคำสั่งมาเป็นนายกรัฐมนตรีตัวแทนทำไม

ตรง นี้แหละคือทุกขลาภของการเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ยกแรกของคุณยิ่งลักษณ์ ถ้าพยายามหาวิธีนิรโทษกรรมไม่ว่าด้วยวิธีใดก็จะปะทะกับประชาชนส่วนหนึ่งที่ รู้ทัน ครั้นไม่ทำก็ไม่ได้เพราะมันคือสาเหตุของการได้รับเลือกมาเป็นตัวแทน เมื่อคำนึงถึงการเป็นฝ่ายค้านของประชาธิปัตย์ที่มีประสบการณ์การเมืองสูง กว่าคุณยิ่งลักษณ์และพวกด้วยแล้ว คุณยิ่งลักษณ์ก็น่าจะทุกข์ใจยิ่งขึ้นเพราะแรงกดดันที่มาจากสารพัดด้าน

ใน พรรคเพื่อไทยเองในขณะนี้ก็คงฟัดกันนัวแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี ดูข้างนอกเหมือนมีอำนาจจริงแต่คนเคาะในทุกเรื่องคือพี่ชาย คุณยิ่งลักษณ์ก็คงมีความคิดเองบ้างว่าอะไรควรเป็นอะไร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ตรงนี้แหละคือความอึดอัดและความทุกข์ที่จะทำให้แก่ลงไปอีกหลายปีในระยะเวลา เพียงไม่กี่เดือน

ช่วงเวลาฮันนีมูนกับประชาชนคงมีไม่นานเพราะผู้คน ปัจจุบันใจร้อน อยากเห็นผลเร็วๆ และไม่อยากเห็นอะไรที่ไม่อยากเห็นและหลังจากเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ กี่เดือนก็จะเจอฝ่ายค้านในศึกอภิปรายงบประมาณ ศึกครั้งนี้เป็นของจริงที่โค้ชทั้งหลายก็ไม่อาจช่วยได้มากนัก เพราะคงใส่กันไม่ยั้งเพราะไม่มีอะไรต้องเกรงกันอีกแล้ว

ขอ ให้คุณยิ่งลักษณ์โชคดี ตัดสินใจถูกต้องและทำประโยชน์ให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง เพราะเป็นโอกาสดีที่จะทิ้งสิ่งดีๆ ไว้เป็นอนุสรณ์แก่ชื่อของตนเองและน้องไปค์ในอนาคตครับ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #84 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2554, 04:16:11 »

โจทย์หินปูพรม"ประชานิยม"กระตุ้นศก. บททดสอบว่าที่นายกฯหญิง"ยิ่งลักษณ์" ธุรกิจลุ้นระทึก !

วันที่ 07 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:58 น.

ยิ่งลักษณ์ในวันที่เรียกประชุมทีมงานศก.เพื่อไทย เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่พรรคได้หาเสียงไว้

ในวันแถลงจับขั้วตั้งรัฐบาล

ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลกำลังฟอร์ม"ครม.ยิ่งลักษณ์1"

ดูเหมือนว่าขณะนี้หลายฝ่ายกำลังให้ความสนใจต่อนโยบายเศรษฐกิจของพรรค เพื่อไทยที่หาเสียงก่อนหน้านี้ รวมถึงทีม"ครม.เศรษฐกิจ"ที่จะมาขับเคลื่อนนโยบายไปสู่ภาคปฏิบัติ

โดยเฉพาะเรื่องใกล้ตัวที่เกี่ยวกับปากท้องของประชาชน ทั้งเรื่องยกเลิกกองทุนน้ำมัน ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น300บาท/วัน ขึ้นเงินเดือนผู้ที่จบปริญญาตรีเริ่มต้นที่15,000บาท/เดือน การลดภาษีนิติบุคคลจากร้อยละ30เหลือร้อยละ23 การซื้อแท็บเล็ตแจกให้กับนักเรียน  เป็นต้น

แม้ก่อนหน้าบรรดาภาคเอกชน นักวิการจะออกมาเตือนอยู่เป็นระยะๆแล้วก็ตาม ว่า"นโยบายประชานิยม"จะมีผลกระทบตามมามากมาย

แต่เมื่อชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลแน่นอนแล้ว ภาคธุรกิจเอกชน นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวจึงออกมาเตือนถึงผลกระทบที่จะตามมาอีก ครั้ง

@เอกชนค้านหัวชนฝา "ขึ้นค่าแรง-ปรับฐานเงินเดือน"

เริ่มจากหัวเรือใหญ่ของภาคเอกชนอย่างสภาอุตสาหกรรมอห่งประเทศไทยหรือ ส.อ.ท.  นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธาน ส.อ.ท. สายแรงงาน ได้ออกมาย้ำอีกครั้งว่า นโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศนั้น จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการมหาศาล  เนื่องจากค่าแรงขั้นต่ำในต่างจังหวัดเฉลี่ยอยู่ที่ 180 บาทต่อวัน กทม.และปริมณฑลอยู่ที่ 215 บาทต่อวัน เมื่อปรับขึ้นเป็น300บาทต่อวัน จึงเป็นการปรับแบบก้าวกระโดด

ที่สำคัญผู้ประกอบการที่เสี่ยงจะปิดกิจการทันทีคือกลุ่มผู้ประกอบการ ขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เพราะใช้แรงงานจำนวนมาก มีสัดส่วนมากถึง 60-70% จากทั้งหมดประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในระบบมีมากถึง 80% ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ใช้แรงงานน้อยเพราะใช้เทคโนโลยี ใช้เครื่องจักรเป็นหลัก

ส่วนการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% นั้นผู้ที่ได้ประโยชน์คือผู้ประกอบการขนาดใหญ่ เพราะกำไรสูง แต่เอสเอ็มอีไม่ได้ประโยชน์เพราะมีกำไรไม่มากจึงจ่ายภาษีไม่สูง ส.อ.ท.เตรียมเสนอความเห็นและผลกระทบที่ภาคอุตสาหกรรมได้รับโดยเฉพาะผลจากการ ขึ้นค่าแรงจะทำให้กิจการใดเดือดร้อนหรือต้องปิดกิจการ

@เอกชนหวั่นราคาสินค้าพุ่ง ธุรกิจรอวันเจ๊ง


เช่นเดียวกับนายสมมาต ขุนเศรษฐ เลขาธิการ ส.อ.ท. กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ 300 บาทต่อวัน ส.อ.ท.ไม่คัดค้าน แต่เห็นว่ายังไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งค่าครองชีพและเงินเฟ้อ ขณะที่การประกาศว่าจะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำก็ได้กระตุ้นให้ราคาสินค้า อุปโภคบริโภคปรับราคาขึ้นไปแล้วไม่ต่ำกว่า 20%

"หากรัฐบาลใหม่จะเดินหน้าขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทจริงๆ ก็ควรจัดทำแผนวิเคราะห์ผลกระทบให้รอบด้าน โดยเฉพาะตัวเลขผู้ประกอบการทุกขนาด จำนวนแรงงาน และดูว่าจะมีผู้ประกอบการล้มตายเท่าไร เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ" นายสมมาตกล่าว และว่า

ในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้ ส.อ.ท.จะประชุมกับสมาชิกแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดจุดยืนต่อนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรม เช่น การขึ้นค่าแรงเป็นวันละ 300 บาท ซึ่งเห็นว่าเวลาเหมาะสมที่การจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทคือหลัง 3 ปีไปแล้ว

@เตือน"เงินเฟ้อ"พุ่ง ฉุดภาพรวมศก.ชะลอตัว

นายพรายพล คุ้มทรัพย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า เกือบจะทุกนโยบายที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ไม่ควรทำทั้งสิ้น ถ้าจะทำจริงก็ควรทบทวนว่าจะทำได้แค่ไหน โดยเฉพาะการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ควรปรับขึ้นให้สมเหตุสมผลกับอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพ ซึ่งไม่น่าจะถึง 300 บาท คิดว่าอัตราที่เหมาะสมน่าจะเพิ่มขึ้นปีละ 10% ส่วนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ของพรรค เพื่อไทยอาจทำให้เกิดความต้องการในตลาดเพิ่มขึ้นสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อ ถ้ารัฐบาลใหม่ยืนยันปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท จะส่งผลให้ต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นสูงและต้องผลักภาระมายังผู้บริโภค ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อทันที

สอดรับกับบทวิเคราะห์ของต่างชาติหลายสำนักก็ออกมาเตือนรัฐบาลเพื่อไทยใน ทิศทางเดียวกันว่า นโยบายประชานิยมดังกล่าวจะสร้างความกังวลต่อแรงกดันทางด้านเงินเฟ้อตามมา เช่นวอลสตรีท เจอร์นัลระบุว่านโยบายของพรรคเพื่อไทยแม้จะกระตุ้นการใช้จ่ายให้เติบโต แต่ก็จะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นด้วย และอาจกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษบกิจไทยตามมา เพราะเมื่อเงินเฟ้อเพิ่ม ธนาคารพาณิชย์ก็ต้องขึ้นดอกเบี้ย ก็จะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

@ ยกเลิกกองทุนน้ำมันฯ หนีไม่พ้นขึ้นภาษีสรรพสามิต

ด้านนายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการอิสระผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า การยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยนั้น จะส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ลดลงทันที 7.50 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน 91 ลดลงทันที 6.70 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซล ลดลงทันที 2.40 บาทต่อลิตร

ส่วนพลังงานทางเลือก อาทิ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 20 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 85 ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) ที่ใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันฯชดเชยอยู่ในปัจจุบัน จะมีราคาเพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 20 จะปรับเพิ่มขึ้น 1.30 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 85 จะปรับเพิ่มขึ้น 13.50 บาทต่อลิตร ส่วนเอ็นจีวีชดเชยกิโลกรัมละ 2 บาท

นายมนูญกล่าวว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคตสำหรับการยกเลิกกองทุนน้ำมันฯ จะส่งผลกระทบต่อแผนพลังงานทดแทนของประเทศ โดยพลังงานทดแทนราคาเพิ่มขึ้น และราคาเบนซินลดลง ส่งผลให้ประชาชนจะหันกลับไปใช้พลังงานเดิมตามปกติ โดยราคาพลังงานก็จะเป็นไปตามกลไกราคาตลาดโลกตามความเป็นจริง

สำหรับมาตรการที่จะมาทดแทนกองทุนน้ำมันฯหากมีการยกเลิกนั้น นายธรรมนูญกล่าวว่ามีทางเดียวคือ มาตรการทางภาษีสรรพสามิตน้ำมันเท่านั้น

ไม่ต่างอะไรกับนายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ของบางจาก หากยกเลิกกองทุนน้ำมัน ผลกระทบที่จะตามมาจะส่งผลไปถึงการสนับสนุนและพัฒนาพลังงานทดแทนด้วย ซึ่งจะส่งผลไปถึงเกษตรกรที่ภาครัฐส่งเสริมให้มีการปลุกพืชพลังงานทดแทน เพราะคนจะหันไปใช้น้ำมันเบนซินมากขึ้น

@ติงแจก"แท็บเล็ต" ดาบสองคม

ด้านนายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การแจกแท็บเล็ตเป็นดาบ 2 คม ข้อดีคือ เด็กไทยจะก้าวเข้าสู่โลกสมัยใหม่และค้นคว้าข้อมูลได้ง่ายขึ้น แต่ด้านลบคือ เด็ก ป.1 ยังอ่านและเขียนไม่ได้ ช่วงเวลาหลังเลิกเรียนควรเป็นเวลาของการวิ่งเล่นออกกำลังกาย เรียนรู้การเข้าสังคมกับเพื่อนฝูง หากแจกแท็บเล็ตจะทำให้เด็กหมกมุ่นกับเกมคอมพิวเตอร์ ไม่มีสังคมกับคนรอบข้าง ขาดพัฒนาการด้านร่างกายและจิตใจ

@ เพื่อไทยยันทำได้ "ยิ่งลักษณ์"ยันพร้อมชี้แจงทุกประเด็น

ขณะนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรค พท. และอดีตปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวชี้แจงถึงการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท เป็นนโยบายที่มุ่งพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เพื่อให้คนจนและระดับล่างลืมตาอ้าปากได้ ยืนยันจะให้เท่ากันทุกจังหวัด ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของลูกจ้างที่เรียกร้องค่าจ้างขั้นต่ำที่ 441 บาท แม้แต่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) ก็ระบุว่าค่าจ้างต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่สามารถเลี้ยงดูแรงงาน รวมทั้งคู่สมรสและบุตรได้ จากนี้เมืองไทยจะไม่มีค่าแรงถูกอีกต่อไป โดยจะยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงานและยุทธศาสตร์การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูง ให้สอดรับกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในปี 2020

นายจารุพงศ์กล่าวว่า ยืนยันจะไม่รื้อระบบไตรภาคีค่าจ้าง เพราะถือว่าเป็นระบบที่ดีอยู่แล้ว แต่จะแก้กระบวนการสรรหาที่มาของตัวแทนไตรภาคีที่ยังไม่มีตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง เพราะติดขัดเรื่องสหภาพแรงงานที่มีจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับสัดส่วนแรงงานทั้งประเทศ

"ส่วนการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการและรัฐวิสาหกิจระดับปริญญาตรีไม่ต่ำ กว่า 15,000 บาท คาดว่าจะเริ่มในเดือนตุลาคมนี้ ส่วนค่าจ้างขั้นต่ำจะเริ่มได้หลังทำความเข้าใจกับภาคเอกชน รวมถึงหานโยบายลดภาระให้เอกชนจากการขึ้นค่าจ้าง เช่น การลดภาษีนิติบุคคล ภาษีเครื่องจักร หาตลาดส่งออกให้ คาดจว่าะเริ่มได้ในเดือนมกราคม 2555 ส่วนที่กังวลการขึ้นค่าจ้าง จะทำให้มีการย้ายฐานผลิตนั้น ยืนยันว่าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น หากจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิต ภาครัฐจะสนับสนุนให้ไปตั้งโรงงานในประเทศที่ค่าแรงถูกหรือตามแนวชายแดนแทน" นายจารุพงศ์กล่าว

กระนั้นก็ตามพลันที่การยกเลิกกองทุนน้ำมันฯค่อนข้างสับสนว่าจะยกเลิกหรือ ไม่อย่างไร จะทำเมื่อไหร่ ทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาชี้แจงอีกครั้งว่า  พรรคเพื่อไทยไม่ได้มีนโยบายจะยุบกองทุนน้ำมัน เพียงแต่จะยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันแบบชั่วคราว ในรายการน้ำมันเบนซิน 95 เบนซิน 91 และ ดีเซล แต่ยังคงต้องรอดูระยะเวลาในการยกเลิกก่อนว่าจะนานเท่าใด เนื่องจากพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีนโยบายที่จะยกเลิกตลอด แต่จะดูระบบเศรษฐกิจเป็นที่ตั้ง อีกทั้งยังต้องรอดูแผนงบประมาณต่าง ๆ ด้วย

ซึ่งขัดแย้งกับเมื่อครั้งที่พรรคเพื่อไทยประกาศตอนหาเสียงไว้ชัดเจนว่าจะยกเลิกกองทุนน้ำมันฯ

นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้อีก ครั้งหนึ่ง เพื่อให้มีผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องน้อยที่สุดด้วย ซึ่งในขณะนี้ยังคงเป็นเพียงแผนงานระยะสั้นเท่านั้น ส่วนกรณีหากราคาน้ำมันลดลงจะทำให้การใช้พลังงานทดแทนลดน้อยลงหรือไม่นั้น ตนคิดว่าในปัจจุบันพลังงานทดแทนก็ยังไม่มีเพียงพอต่อประชาชน ซึ่งในอนาคตก็จำเป็นที่จะต้องมีสร้างพลังงานทดแทนมากขึ้น

นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่า ในเบื้องต้นจะใช้เงินที่ยังคงมีเหลือจากกองทุนน้ำมันก่อน โดยเมื่อเงินหมด ก็จะเป็นหน้าที่ภาระของรัฐบาลที่จะจัดสรรเงินจากส่วนต่าง ๆ ซึ่งอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับค่าครองชีพและราคาของสินค้าต่าง ๆ อย่างไรก็ตามพรรคเพื่อไทยขอเวลาอีกสักระยะหนึ่งในการหารือและสร้างแผนงบ ประมาณ

@ ยันไม่แทรกแซงค่าเงินบาท ชี้การวิจารณ์เป็นความเห็นส่วนตัว

ส่วนกรณีเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของประเทศไทยนั้น นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกดึงเข้ามาเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย ซึ่งยืนยันว่าจะไม่มีการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาท เพราะในขณะนี้ค่าเงินบาทที่ลอยตัว ก็ยังส่งผลดีต่อการที่ต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวถามว่านโยบายต่าง ๆ ของพรรคเพื่อไทยจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในประเทศหรือไม่ นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ทางพรรคเพื่อไทยก็มีนโยบายที่พยายามจะลดค่าใช้จ่าย ซึ่งตนคิดว่าคงไม่กระทบค่าเงินมากนัก ซึ่งประเด็นสำคัญนั้นประชาชนคงอยากจะเห็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า ส่วนการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ของผู้เชี่ยวชาญในขณะนี้ตนเห็นว่าเป็นความคิด เห็นส่วนตัว

แต่ในส่วนของพรรคเพื่อไทยก็จะออกมาชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ อย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งยังจะต้องดูสภาพการเงินการคลังในขณะนี้ด้วย

นี่จึงเป็นบททดสอบด่านแรกของว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยว่าจะรับมือกับโจทย์เศรษฐกิจใหญ่นี้ได้หรือไม่ ?
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
แจง-24
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 10,028

« ตอบ #85 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2554, 20:54:59 »

ป๋าเป็นอะไรไม่ยอมนอน มาเข้าบอร์ดตอนตีหนึ่งบ้าง ตีสี่บ้าง
นอนน้อยน้ำตาลจะขึ้นนะ...รักษาสุขภาพด้วย
      บันทึกการเข้า

   อยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูง
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #86 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2554, 21:00:45 »

นอนไม่หลับ โดนรังแก
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #87 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2554, 00:17:15 »

ใคร ใครรังแกพี่?
บอก.
เดี๋ยวจ้างมอไซค์รับจ้างไปดักทุบ.



(ของเก่าก็ยังไม่อ่าน,ของใหม่ก็มาซ้ำ!
ช่วยด้วยยยย ใครช่วยรับจ้างอ่าน
briefให้ฟังที ให้ 10 €)
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #88 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2554, 00:26:57 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 06 กรกฎาคม 2554, 02:30:49
เมื่อวันที่ 5 ก.ค. นายแทน เทือกสุบรรณ ทายาทนายสุเทพ เทือกสุบรรณ  แกนนำพรรคประชาธิปัตย์   ได้โพสต์บทความเรื่อง "10 เหตุผลที่ชาวประชาธิปัตย์ไม่ควรเสียใจ" ลงในเว็บไซต์เฟซบุคของตน โดยมีใจความ ดังนี้

 

10 เหตุผลที่ชาวประชาธิปัตย์ไม่ควรเสียใจ

 

แทน เทือกสุบรรณ  5 ก.ค. 2554

 

1. เราได้ ส.ส. คุณภาพถึง 160 คนเข้าไปทำหน้าที่ในสภา จำนวนไม่น้อยเป็น ส.ส. รุ่นใหม่ที่มีอนาคตไกล ที่พร้อมแบกรับ ปัญหาของประเทศชาติ

 

2. เราได้หักหน้าโพลรับจ้าง และ สื่อมวลชนที่เห็นแก่เงิน ที่พยายามจะชี้นำประชาชน จนถึงนาที่สุดท้าย

 

3. เราชนะในภาคใต้อย่างถล่มทลาย มากกว่าพรรคเพื่อไทยถึงเกือบสิบเท่า ในทุกเขต และ ชนะในพื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงเทพมหานคร และ ภาคตะวันออกของประเทศไทย

 

4. เราสู้ได้อย่างสูสีในหลายเขตของภาคเหนือ และภาคอีสาน เชื่อว่าประชาชนในส่วนนี้ เริ่มเข้าใจ อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์บ้างแล้ว

 

5. คะแนนโดยรวม และ ส.ส. บัญชีรายชื่อของเราแพ้เพื่อไทยไม่มาก แม้ว่าฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยจะมีประชากรมากกว่ามากก็ตาม

 

6. พรรคเพื่อไทยไม่ได้ ส.ส. ในภาคใต้ และ ตะวันออกของประเทศไทย ในขณะที่เราเป็นพรรคการเมืองเดียวที่มี ส.สในทุกภาคส่วนของประเทศไทย ตั้งแต่ แม่ฮ่องสอน อุลบลราชธานี จันทบุรี จนถึง นราธิวาส เป็นพรรคการเมืองของคนไทยทั้งประเทศอย่างแท้จริง

 

7. หลายเขต เราแพ้อย่างเฉียดฉิว แต่ถ้ารวมคะแนนโหวตโน (ที่สนธิ ขโมยเราไปให้ทักษิณ) เราชนะเกือบทุกเขตใน กทม. หลายเขตทั่วประเทศ และ บัญชีรายชื่ออีกหลายคน ถ้านับรวมแล้วเราควรได้ ส.ส. ประมาณ 200 ที่นั่ง ซึ่งมากกว่าคราวที่แล้วมาก เชื่อได้ว่าครั้งต่อไปประชาชนจะไม่หลงเชื่อบุคคลเหล่านี้อีก

 

8. พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมือง ไม่ได้เป็นสมบัติประจำตระกูลของใคร เพราะฉะนั้นตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่สิ้นคนดี ตราบนั้นประชาธิปัตย์จะยังคงอยู่ ผิดกับพรรคเพื่อไทย ถ้าไม่มี ทักษิณ ทุกอย่างก็จบ

 

9. แม้ว่าท่านนายกฯจะลาออกจากหัวหน้าพรรค แต่ท่านก็ยังเป็นสมาชิกพรรค เป็น ส.ส. ของพรรค ไม่มีวันที่จะทิ้งพรรค และ มีโอกาสที่ท่านกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีอีก

 

10. ประเทศไทยยังมีระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

ไชโย,
อ่านจบ!
it's true.




ไม่คะ,ชาวใต้แท้ๆรู้คะ
เค้าถูกฝึกให้คิดเป็น
ยอมรับและปฏิบัติหน้าที่ของตน
อะไรคือส่วนรวม อะไรคือส่วนตน
bla bla ที่เหลือ ล้วนว่ากันไป
แต่ที่แน่ๆ...พรรคนี้ที่พวกเค้าเชื่อ
...ยังอยู่.
นั่นคือความเชื่อมั่นที่แท้.



ลงชื่อ
ลูกพ่อกล่อม!
      บันทึกการเข้า


ตี้ถาปัด
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2524
คณะ: สถาปัตยกรรมศาสตร์
กระทู้: 10,337

« ตอบ #89 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2554, 10:39:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 08 กรกฎาคม 2554, 21:00:45
นอนไม่หลับ โดนรังแก

ภรรยากวนใจหรือป่าว หรือหลับไปแล้วปวดฉี่ แบบนี้เข้าวัยทองแล้ว
      บันทึกการเข้า

2437041
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #90 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2554, 22:45:14 »

น้องหนิง นายแทนมันโกหก และพูดไม่หมดหลายเรื่อง ต้องใช้วิจารณาญานในการอ่านนะ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #91 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2554, 23:04:46 »

วิพากษ์รายงานกรรมการสิทธิฯ กรณีความรุนแรงปี 53 แล้วย้อนอ่านจดหมายโต้ตอบระหว่าง "ยุกติ-อมรา"

วันที่ 09 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 19:30:00 น.

น.พ.ชูชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในฐานะประธานคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้รายงานผลการศึกษาผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มนปช. ระหว่างวันที่ 12 มี.ค.2553 - 19 พ.ค.2553 ต่อที่ประชุมกสม. เมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา

ซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เมื่อรายงานดังกล่าวมีข้อสรุปว่า "รัฐบาลอภิสิทธิ์กระทำภายใต้หลักกฎหมาย" "ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เกินกว่าเหตุ" และ "ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน" ส่วนการชุมนุมของ นปช.นั้น "มิใช่การชุมนุมที่สงบและปราศจากอาวุธ" และ "ละเมิดสิทธิผู้อื่น"

ขณะเดียวกัน มีผู้วิจารณ์รายงานของคณะกรรมการสิทธิฯ บางท่าน ได้อ้างอิงถึงจดหมายวิพากษ์วิจารณ์จุดยืนและการทำงานในฐานะประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ของ ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ ในช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ซึ่งเขียนโดย ผศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร นักวิชาการมานุษยวิทยารุ่นหลัง แห่งมหาวิทยาธรรมศาสตร์


ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสื่อมวลชนที่เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกฉบับดังกล่าว มติชนออนไลน์จึงขออนุญาตนำจดหมายที่ อ.ยุกติ เขียนถึง อ.อมรา มาเผยแพร่อีกครั้งหนึ่ง พร้อมด้วย จดหมายที่ อ.อมรา เขียนตอบ อ.ยุกติ ในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้น

จาก "ยุกติ" ถึง "อมรา"

เรียนอาจารย์อมรา พงศาพิชญ์ที่นับถือ

ผมเฝ้าติดตามการทำงานในหน้าที่ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของอาจารย์อมรามาโดยตลอด ในฐานะที่เป็นผู้ศึกษามาทางมานุษยวิทยาด้วยกัน นักมานุษยวิทยารุ่นเยาว์ผู้ห่วงใยสังคมไทยอย่างผมย่อมยินดีที่วิชาชีพทางมานุษยวิทยาจะได้มีส่วนสร้างสรรค์สังคมที่ยุติธรรม ด้วยความละเอียดอ่อน ลึกซึ้งและกว้างขวางของสาระในวิชามานุษยวิทยาเพื่อการทำความเข้าใจมนุษย์ ผมเชื่อว่าวิชามานุษยวิทยาจะช่วยให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเล็งเห็นถึงปัญหาสิทธิมนุษยชนอย่างละเอียดอ่อนตามไปด้วย

อย่างไรก็ดี ขณะนี้เห็นได้ชัดว่าเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงในประเทศไทย แต่ผมสงสัยว่า อาจารย์อมราได้แสดงบทบาทของการเป็นนักสิทธิมนุษยชนที่เห็นแก่มนุษยธรรมอย่างลึกซึ้งจากการฝึกฝนให้ทำงานกับเพื่อนมนุษย์แบบนักมานุษยวิทยาหรือไม่

มานุษยวิทยากับสิทธิมนุษยชน

พวกเรานักมานุษยวิทยาคงไม่ค่อยได้ศึกษาเรื่องสิทธิมนุษยชนกันอย่างจริงจังหรอก แต่ในขณะที่โลกก้าวมาสู่ยุคปัจุบัน ที่ความเป็นสากลของหลักการหลายๆ ประการเป็นที่ยอมรับ เป็นบรรทัดฐานสำหรับมนุษยชาติ พวกเรานักมานุษยวิทยาก็ยอมรับหลักการเหล่านั้นมาโดยตลอด อาจารย์อมราคงมิได้จะต้องมาถกเถียงกับผมในประเด็นปลีกย่อยเหล่านี้หรอกนะครับ

เช่น การที่มานุษยวิทยาหลังฟรานซ์ โบแอส บิดามานุษยวิทยาอเมริกันที่ผมมั่นใจว่าอาจารย์อมราก็จะต้องได้ศึกษามาไม่มากก็น้อย หรืออย่างน้อยอาจารย์ก็ต้องนับได้ว่าเป็นหลานศิษย์ของลูกศิษย์คนใดคนหนึ่งของโบแอส ได้ต่อสู้กับแนวคิดวิวัฒนาการที่หลงใหลในความสูงส่งของชนชาติตนเอง (ethnocentrism) แล้วเขาเสนอให้ยอมรับว่า ความแตกต่างของมนุษย์ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเหนือหรือด้อยกว่ามนุษย์อีกกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อาจารย์ก็คงเคยสอนนักศึกษาว่า หลักการนี้พวกเราเรียกกันว่าวัฒนธรรมสัมพัทธ์ (cultural relativism) นอกจากนั้น หากใครร่ำเรียนมาทางมานุษยวิทยาแบบอาจารย์ ก็ย่อมทราบเช่นกันว่า โบแอสเป็นชาวยิว การที่เขาอพยพมาสหรัฐอเมริกานั้น ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากการเริ่มเกิดกระแสคุกคามชาวยิวในเยอรมนีในต้นศตวรรษที่ 20

หรือการที่นักมานุษยวิทยาอย่างโคลด เลวี-สโตรสส์ ได้รับการยกย่องจากแวดวงนักมานุษยวิทยาโลก ก็มิได้เพียงเพราะเขาแสดงความปราดเปรื่องแบบที่หลายๆ คนในโลกนี้ไม่สามารถทำได้ ด้วยการวิเคราะห์โครงสร้างความสัมพันธ์ของสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ปรากฏในนิทานที่ดูไร้เหตุผลของคนทั่วโลกเท่านั้น หากแต่ด้วยความที่เขายืนยันมาตลอดถึงการที่มนุษย์ทั้งผองมีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน อันแสดงให้เห็นจากความสลับซับซ้อนของวิธีคิดในบรรดานิทานต่างๆ ตลอดจนความสลับซับซ้อนของระบบความคิดของมนุษย์ทั่วโลก ที่แสดงในระบบต่างๆ ของวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ การแต่งงานและเครือญาติ หรือแม้แต่อาหารการกิน

หากจะเล่าต่อไปเรื่อยๆ ถึงเกียรติประวัติของนักมานุษยวิทยาท่านต่างๆ ต่อการสร้างสรรค์ความเข้าใจกันและกันระหว่างมนุษย์ ผมและอาจารย์อมราก็คงจะแลกเปลี่ยนต่อกันไปได้ไม่มีวันสิ้นสุด แต่สิ่งที่อาจารย์น่าจะเห็นตรงกับผมคือ มานุษยวิทยามิได้แยกตนเองจากกระแสโลก หลักการสำคัญๆ ของมานุษยวิทยาสอดคล้องไปกับหลักการสากล ในเรื่องของสิทธิมนุษยชนพื้นฐานก็เช่นเดียวกัน นักมานุษยวิทยาย่อมเห็นตรงกันว่า การทำลายชีวิตมนุษย์ และการปิดกั้นสิทธิในการแสดงตัวตนของมนุษย์ ย่อมเป็นสิ่งที่มิอาจยอมรับได้ ไม่ว่าจะใช้มาตรฐานทางวัฒนธรรมใดๆ ประเทศไทยจึงไม่ควรได้รับการยกเว้นจากคำวิพากษ์วิจารณ์ของหลักการสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

บทบาทต่อเหตุการณ์รุนแรง

แต่กระนั้นก็ตาม ผมยังไม่ได้เห็นบทบาทที่เหมาะสมของอาจารย์อมราต่อเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นเลย เรื่องที่เห็นได้ชัดในลำดับแรกเลยคือการที่มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากในการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของรัฐบาลเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เป็นต้นมา กระทั่งข้อเท็จจริงจำนวนมากที่ต้องการการสืบสาวหาข้อสรุป ในกรณีการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 13 - 20 เมษายน 2553

อาจารย์อมราที่นับถือ ผมหวังว่าอาจารย์จะไม่ใช้วาทศิลป์ทำนองเดียวกันกับถ้อยคำที่รัฐบาลใช้เรียกปฏิบัติการเหล่านี้เลย เพราะนักเรียนมานุษยวิทยารุ่นเยาว์อย่างผม ที่คิดด้วยหลักการง่ายๆ ทางมานุษยวิทยา ก็ยังเห็นได้ไม่ยากว่า คนที่ยืนอยู่บนพื้นที่เหล่านั้นย่อมสำคัญกว่าพื้นที่และที่ว่าง หรือหากจะให้ผมอ้างนักทฤษฎีหรือใครต่อใครมายืนยันว่าคนสำคัญกว่าพื้นที่ ก็คงจะต้องยกชื่อนักมานุษยวิทยามาหมดโลกนั่นแหละ แต่คนที่จะตอบคำถามนี้ได้ดีและลึกซึ้งที่สุดคงไม่พ้นนักภูมิศาสตร์ชื่ออองรี เลอร์แฟบวร์ ที่วิพากษ์การทำพื้นที่ให้ไร้ความเป็นมนุษย์ เพื่อการที่ผู้มีอำนาจจะได้สามารถแปลงพื้นที่เหล่านี้ไปเป็นผลผลิตและการขูดรีดมนุษย์ ถ้าพูดแบบเลอร์แฟบวร์ ซึ่งอาจารย์ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย ถ้อยคำแบบ ศอฉ.และรัฐบาลเป็นภาษาที่นายทุนอำมหิตใช้เข่นฆ่าผู้คนอย่างไม่เห็นหัวมนุษย์ชัดๆ

ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ผมเห็นบทบาทอาจารย์อย่างชัดเจน ว่ามิได้แสดงความกระตือรือล้นที่จะประณามการกระทำของทุกฝ่าย และมิได้พยายามมุ่งค้นหาความจริง โดยเฉพาะการตั้งคำถามกับฝ่ายรัฐบาลว่าได้ใช้กำลังติดอาวุธสงครามเข้าสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตหรือไม่ แต่อาจารย์อมราในฐานะประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกลับให้ท้ายคำอธิบายของรัฐบาลอย่างน่าละอาย

บทบาทต่อการปิดกั้นสื่อ

ที่น่าละอายอย่างยิ่งคือ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกำลังปล่อยให้บทบาทในการค้นหาความจริงในประเทศนี้ ตกอยู่ในมือของคนส่วนน้อยของสังคมบางคน ที่นั่งอยู่บนโพเดียม เป็นนักวิชาการติดเก้าอี้ แบบที่นักมานุษยวิทยาต้นศตวรรษที่ 20 วิจารณ์นักมานุษยวิทยาวิวัฒนาการในสมัยวิคทอเรียน แต่เที่ยวไปไล่ตัดสินใครต่อใครโดยมิได้พยายามทำความเข้าใจพวกเขาจากมุมมองของพวกเขาเอง

ผมคงไม่ต้องเท้าความไปมากมายนักถึงเรื่องการปิดกั้นสิทธิในการแสดงออก ด้วยการปิดสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล หากเราจะไม่ยินดียินร้ายกับสื่อของ นปช. ผมก็ไม่เห็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนยินดียินร้ายกับการปิดสื่อที่เสนอความจริงหลายด้าน หลายระดับความลุ่มลึก อย่าง "ประชาไท" แต่ประชาไทก็คงจะไม่ยินดีนักหรอกหากเขาจะได้รับการยกเว้นแต่ผู้เดียว เพียงเพราะพวกเขาเสนอมุมมองหลายด้านหลายระดับความลุ่มลึก เพราะทุกวันนี้ ศอฉ.เองนั่นแหละที่เสนอข่าวปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชัง ให้เกิดความแตกแยก อันเป็นภัยต่อความมั่นคงของชีวิตและทรัพย์สินของผู้คน และเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ โดยปราศจากคำประณามของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน

หากอาจารย์อมราเห็นว่าการประกาศแต่ละครั้งของ ศอฉ.จะก่อให้เกิดความมั่นคง ความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติขึ้นมาได้ อาจารย์คงจะยังไม่ได้อ่านงานที่ศึกษาเหตุหนึ่งแห่งความรุนแรงในรวันดา รวมทั้งความสลับซับซ้อนของการทำให้คนดำกลายเป็นคนอื่นจนกระทั่งสามารถถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมได้อย่างสม่ำเสมอบนท้องถนนในสหรัฐอเมริกา หากจะยกเรื่องราวในสหรัฐฯ ประเทศที่อาจารย์อมราร่ำเรียนมาทางมานุษยวิทยาเอาไว้ก่อน เพราะต้องอาศัยกลวิธีการวิเคราะห์สื่ออย่างแยบยลพอสมควร แล้วมามองเฉพาะที่รวันดา การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่การปลุกปั่นของสื่อมวลชนมีส่วนรับผิดชอบอย่างยิ่งนั้น ให้บทเรียนกับคนทั่วโลกอย่างตรงไปตรงมาแก่ประเทศไทย

กรณีการเสนอข่าวของศอฉ. ก็มีทิศทางที่เป็นไปได้ว่าจะสร้างเงื่อนไขให้เกิดความแตกแยกที่นำไปสู่การทำลายล้างชีวิตกันอย่างในรวันดา หากว่าสื่อมวลชนไทย คณะวารสารศาสตร์ และคณะนิเทศศาสตร์ของสถาบันอันทรงเกียรติทั้งหลายในประเทศไทย ที่แสดงออกอย่างสม่ำเสมอว่าพวกเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการนำเสนอข่าวด้านเดียวของสื่อมวลชนไทย ไม่อยากเรียนรู้บทเรียนอะไรจากเพื่อนร่วมโลก ผมก็ยังหวังว่าอาจารย์อมราและคณะกรรมการสิทธิที่อาจารย์เป็นประธานอยู่ จะเข้าใจปัญหานี้เป็นอย่างดี

การที่ผมอ้างเรื่องราวในรวันดา คงไม่ทำให้อาจารย์อมราคิดเห็นเป็นว่า เรื่องที่รวันดาจะมาเทียบกับสังคมพุทธที่รักสงบอย่างเมืองไทยของเราได้อย่างไร แต่เพราะวิธีการทางมานุษยวิทยาย่อมสนับสนุนให้มีการศึกษาเปรียบเทียบบทเรียนจากสังคมต่างๆ เพื่อส่องสะท้อนแก่กัน และเพื่อให้ตระหนักว่าเราก็ไม่ได้ดีเด่นต่างจากเขาเท่าไรนัก

แต่หากอาจารย์จะอ้างแบบที่ใครต่อใครมักพูดกันว่า ประเทศของเรามีลักษณะพิเศษแตกต่างจากที่อื่นเป็นอย่างยิ่ง เพราะเรามีใครต่อใครที่ค้ำจุนหลักธรรมของประเทศอยู่ อาจารย์อมราก็ควรเลิกใช้ตำแหน่งศาสตราจารย์ทางมานุษยวิทยาเสียเถิด เพราะนั่นเท่ากับว่าอาจารย์อมราเลิกเชื่อในหลักการทางมานุษยวิทยาว่าด้วยความเท่าเทียมกันของมนุษย์ต่างสังคมไปแล้ว ผมเห็นว่า วิธีคิดในเชิงสัมพัทธ์นิยมดังกล่าวเป็นการบิดเบือนสัมพัทธ์นิยมมารับใช้อำนาจนิยมอย่างสามานย์ หาใช่สัมพัทธ์นิยมเพื่อมนุษยธรรมไม่

บทบาทต่อการคุกคามนักวิชาการ

อาจารย์อมราที่นับถือ อาจารย์คงมิได้ทำงานปกป้องสิทธิมนุษยชนจนมือเป็นระวิง จนกระทั่งไม่ทราบว่าขณะนี้มีเพื่อนนักวิชาการหลายคนกำลังถูกคุกคาม ถูกกักขัง ถูกไล่ล่า หลายคนในจำนวนนั้นอาจไม่ได้มีความผิดจริงตามข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่รัฐหรือ ศอฉ. หลายคนยังไม่ได้ถูกตั้งข้อกล่าวหาด้วยซ้ำ แต่กลับถูกตัดสินด้วยวิธีการประโคมข่าวให้เกิดความเกลียดชังผ่านการสื่อสารทางเดียวของรัฐบาล และถูกกักขัง หน่วงเหนี่ยว โดยมิได้ดำเนินคดี หากนี่จะยังมิได้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างรุนแรง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนที่มีอาจารย์อมราผู้เป็นศาสตราจารย์ทางมานุษยวิทยาเป็นประธานอยู่ควรเปลี่ยนชื่อ ด้วยการใส่สร้อยท้ายอะไรก็ตาม ให้หมดความเป็นสากลของแนวคิดสิทธิมนุษยชนไปเสียดีกว่า

แน่นอนว่าประเทศต่างๆ ย่อมมีกฎหมายที่รับรองหรือปกป้องอำนาจอธิปไตยของประเทศ หากใครละเมิดอำนาจอธิปไตย ก็เท่ากับว่ากำลังทำลายสังคมนั้นอยู่ แต่ในฐานะนักมานุษยวิทยาที่ปวารณาตนเองว่าจะปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนในประเทศ เราก็ต้องยอมรับได้ว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างกันของบุคคลต่างๆ ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการแสดงออกและได้รับการรับฟัง ตราบเท่าที่ความคิดเห็นเหล่านั้นมิได้ละเมิดสิทธิของผู้อื่น การอ้างหลักการความมั่นคงของอำนาจอธิปไตยมาเพื่อกำจัดความคิดเห็นที่แตกต่าง เท่ากับไม่เคารพในความเป็นมนุษย์ของคนบางกลุ่ม

ผมสู้อุตส่าห์ใช้ความพยายามมากโข ในการศึกษางานรุ่นหลังทศวรรษ 1970 ที่นักมานุษยวิทยาอย่างเชอร์รี ออร์ตเนอร์ ประกาศให้พวกเราสืบสาวถึงบทบาทของมนุษย์ในการสรรค์สร้างพร้อมๆ กับถูกกระทำจากโครงสร้าง มานุษยวิทยาหลังแนวคิดมาร์กซิสม์ หลังแนวคิดโครงสร้างนิยม หลังแนวคิดสตรีนิยม จึงรุ่มรวยด้วยการยกย่องพลังในการต่อสู้กับระบบและโครงสร้างที่กดทับมนุษย์ หากนั่นจะไม่ถึงกับทำให้มานุษยวิทยากลายเป็นปัจเจกชนนิยมไปในชั่วข้ามทศวรรษ อาจารย์อมราคงเห็นด้วยกับผมว่า แนวโน้มใหม่ๆ ของมานุษยวิทยายิ่งทำให้เราเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ คุณค่าของความแตกต่างหลากหลายที่ไม่เพียงจำกัดเฉพาะความหลากหลายทางวัฒนธรรม ไปสู่การยกย่องคุณค่าความหลากหลายของการสร้างสรรค์ของผู้กระทำการทางสังคมในโครงสร้าง (human agency) และคงไม่ใช่เฉพาะคนเล็กคนน้อยที่ยากจน ไร้อำนาจต่อรองใดๆ อยู่ชายขอบหรือใต้ถุนสังคมเท่านั้น ที่เราจะประยุกต์ใช้หลักการนี้ด้วย

หากเราในฐานะนักมานุษยวิทยาจะยอมรับร่วมกันถึงความเท่าเทียมกันของความคิดเห็นที่แตกต่าง เราก็ไม่สามารถตัดสินคนอื่นๆ หรือความคิดที่แตกต่างอื่นๆ จากความคิดที่แตกต่างของเราได้ ความอดกลั้นต่อความเห็นที่แตกต่าง คือมาตรฐานทางศีลธรรมแบบมานุษยวิทยาที่พวกเราสู้อุตส่าห์ฝึกฝนกันมาอย่างยากเย็นมิใช่หรืออาจารย์อมราที่นับถือ ผมเฝ้ารอดูอยู่ว่า ในเวลานี้อาจารย์อมราจะปกป้องสิทธิมนุษยชนในด้านการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นที่แตกต่างของเพื่อนนักวิชาการอย่างไร อย่างน้อยที่สุด จะทำอย่างไรที่จะให้พวกเขาได้รับความยุติธรรมตามกระบวนการยุติธรรมแบบปกติของประเทศ มิใช่กระบวนการยุติธรรมที่รัฐธรรมนูญที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกงดเว้นในสภาวะที่ใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินอยู่อย่างทุกวันนี้

บทสรุป

อันที่จริงผมไม่เคยลืมเลยว่า ผมสงสัยในความเป็นนักสิทธิมนุษยชนของอาจารย์อมรามานานแล้ว ดังที่ได้เห็นจากเมื่อหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อาจารย์อมรารับตำแหน่งในสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ผมไม่สามารถยอมรับได้ว่าการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 จะอยู่บนหลักการใดๆ ของหลักสิทธิมนุษยชน หรืออยู่บนหลักการใดๆ ของหลักมานุษยวิทยา แต่ผมก็ยังมิได้แสดงออกแต่อย่างใด เนื่องจากหวังว่า อาจารย์อมราในขณะนั้น อาจจะตัดสินใจอย่างบริสุทธิ์ใจด้วยความหวังว่าจะได้นำเอาวิชาความรู้ทางมานุษยวิทยาเข้าไปหน่วงรั้งความเลวร้ายอันอาจจะเกิดขึ้นจากระบอบรัฐประหาร

แต่เมื่อเกิดการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ด้วยการยกเว้นบทบัญญัติต่างๆ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างร้ายแรง แต่อาจารย์อมราและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนก็มิได้ประณาม หรือแม้แต่ทัดทาน ท้วงติง หรือมิได้แม้จะแสดงความเห็นตักเตือนรัฐบาลสักเพียงเล็กน้อย จนขณะนี้รัฐบาลได้บริหารประเทศในสถานการณ์ที่เรียกว่า "ภาวะฉุกเฉินร้ายแรง" ในพื้นที่เกือบครึ่งประเทศ มาเนิ่นนานจนในบางพื้นที่ อย่างกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ถูกปกครองด้วยระบอบภาวะฉุกเฉินมาเป็นระยะเวลาเกินกว่า 50 วันแล้ว อาจารย์อมราและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนจะปล่อยให้ระบอบภาวะฉุกเฉิน ที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง กลายเป็นบรรทัดฐานในการปกครองประเทศไปหรืออย่างไร

วิชามานุษยวิทยาในปัจจุบันมิได้มุ่งเพียงเพื่อให้มนุษยชาติมีความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ต่างๆ ทั่วโลก แต่มานุษยวิทยาปัจจุบันให้ความสำคัญกับการที่มนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์ ต่างสังคม ต่างระบบคุณค่าทางวัฒนธรรม ต่างชนชั้น จะรู้สึกถึงความสุข ความทุกข์ ของเพื่อนร่วมโลก ของมนุษยชาติ หากอาจารย์อมราจะไม่รู้สึกรู้สากับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลในขณะนี้ ผมก็ยังหวังว่าอาจารย์จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะต้องดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนโดยไม่เคารพหลักการของวิชามานุษยวิทยา แต่หากอาจารย์ไม่รู้สึกรู้สากับประเด็นต่างๆ เหล่านี้ ผมก็สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าอาจารย์จะยังคงเรียกตนเองว่านักมานุษยวิทยาได้หรือไม่

ด้วยความห่วงใยประเทศชาติและมนุษยชาติ
29 พฤษภาคม 2553
ยุกติ มุกดาวิจิตร


จาก "อมรา" ถึง "ยุกติ"

ตอบจดหมายเปิดผนึกของอาจารย์ยุกติ  มุกดาวิจิตร

ขอบคุณ อาจารย์ยุกติ มุกดาวิจิตร  ที่ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงดิฉัน  ในฐานะที่ดิฉันเป็นผู้ร่วมวิชาชีพทางมานุษยวิทยา  และปัจจุบันรับทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับมานุษยวิทยาและสิทธิมนุษยชนที่อาจารย์เขียนมา  ดิฉันเห็นด้วยทั้งหมด  และชื่นชมในความลุ่มลึกทางความคิดและความสามารถในการนำเสนอข้อคิดเห็นที่ลุ่มลึกนี้ได้อย่างชัดเจน  เข้าใจง่าย  ช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ทางมานุษยวิทยาสู่สาธารณชนในวงกว้างได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น   ดิฉันได้ติดตามอ่านผลงานของอาจารย์ยุกติอย่างชื่นชมในความสามารถในการถ่ายทอดความคิดที่น่าสนใจเสมอมา  และในครั้งนี้อาจารย์ได้แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสาธารณะได้อย่างไม่ผิดหวัง
 
  ดิฉันไม่มีข้อแก้ตัวในสิ่งที่ไม่ได้ทำ  หรือไม่ได้ทำตามความคาดหวังของอาจารย์และเพื่อนร่วมวิชาชีพ  นอกจากจะบอกว่าเมื่อมานั่งเป็นประธานคณะกรรมการขององค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญ  ดิฉันพบว่า  ดิฉันไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเหมือนเมื่อเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย  ซึ่งมีเสรีภาพทางวิชาการสูง  และอาจารย์สามารถแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลต่อสาธารณะได้

ปัจจุบันการแสดงความคิดเห็นของดิฉันต้องคำนึงถึง ความคิดเห็นของกรรมการร่วมคณะอีก  6  ท่าน  อำนาจหน้าที่ขององค์กรที่มีจำกัดเฉพาะในบางเรื่อง  ภาพลักษณ์ขององค์กรต่อสาธารณะทั้งในประเทศและต่างประเทศ  ในกรณีที่ข้อมูลไม่ชัดเจน การแสดงออกของดิฉันจึงมีความล่าช้า  รอบคอบ  และคำนึงถึงองค์กรมากกว่าส่วนตัว    หลายครั้งดิฉันอยากจะถอดหมวกประธานกรรมการฯ เพื่อจะได้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวได้อย่างเต็มที่  แต่ดิฉันก็ไม่ได้ทำตามที่อยาก     ต้องขออภัยที่ทำให้อาจารย์ยุกติผิดหวัง

คณะกรรมการสิทธิฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนและการแสดงความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ   มีทั้งจากผู้ถูกละเมิดสิทธิ  ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม  ผู้สนับสนุนผู้ชุมนุม (เสื้อแดง)  ผู้ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม (เสื้อเหลือง)  ผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้รักชาติ  ฯลฯ   ดิฉันถูกต่อว่าว่าเข้าข้างกลุ่มเสื้อแดงและถูกต่อว่าว่าอยู่ในกลุ่มเสื้อเหลือง  ที่เป็นเช่นนี้คงเป็นเพราะแต่ละคนต่างมีอัตตาและเชื่อว่าความคิดเห็นของตัวเองคือสิ่งที่ถูกต้อง  และคาดหวังให้คณะกรรมการสิทธิฯ ทำตามความคิดเห็นของตน

ขอเรียนเพิ่มเติมว่า  การทำงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหลายอย่างที่ไม่ได้เป็นข่าวหรือเป็นประเด็นสาธารณะ  แต่คณะกรรมการสิทธิฯ ได้แสดงให้รัฐบาลเข้าใจว่า  เราไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง  เราจะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐ  และเราจะส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนอย่างเข้มแข็งตลอดไป

ในโอกาสนี้  ดิฉันขอบคุณอาจารย์ยุกติที่ได้ทำหน้าที่ของนักวิชาการ  โดยตั้งคำถามแก่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  และเปิดโอกาสให้ดิฉันได้ชี้แจงในส่วนที่ทำได้   ดิฉันทราบดีว่าคำตอบนี้ไม่เพียงพอและไม่ช่วยให้ท่านหายข้องใจทั้งหมด  แต่หวังว่าคงจะช่วยแก้ปัญหาความคับข้องใจของท่านได้ในบางส่วน

ขอบคุณในความห่วงใยและข้อคิดเห็นที่ลึกซึ้ง
อมรา  พงศาพิชญ์
2 มิถุนายน 2553
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #92 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2554, 23:07:36 »

เสนาะ-ณัฐวุฒิ     โดย สรกล อดุลยานนท์

วันที่ 09 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 21:00:00 น.

(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 9 กรกฎาคม 2554)

ฟัง "เสนาะ เทียนทอง" และ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ให้สัมภาษณ์เรื่องตำแหน่ง "รัฐมนตรี" แล้ว

รู้เลยว่า "กระดานชนวน" กับ "แท็บเล็ต" แม้จะมีรูปร่างคล้ายกัน

แต่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ตอนนี้คนในพรรคเพื่อไทยคงเริ่มสับสนว่า "ป๋าเหนาะ" เพิ่งก้าวเข้ามาในพรรคเพื่อไทยได้ไม่ถึง 1 เดือนก่อนสมัครรับเลือกตั้ง

หรือว่าเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่ในพรรคเพื่อไทยมายาวนาน

ลำพังแค่การต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีให้ตนเองหรือลูกชาย ก็ถือว่า "กระดานชนวน" แล้ว

"เสนาะ" ยังตีกัน "ณัฐวุฒิ" และแกนนำคนเสื้อแดงไม่ให้รับตำแหน่งรัฐมนตรีอีก

เพราะขนาด "สุเทพ เทือกสุบรรณ-บรรหาร ศิลปอาชา-สุวัจน์ ลิปตพัลลภ-เนวิน ชิดชอบ" แกนนำพรรคคู่แข่งต่างออกมาให้สัมภาษณ์ในทำนองเดียวกัน

เขายอมรับว่าแพ้เพราะกระแสพรรคเพื่อไทย

และ "คนเสื้อแดง"

"คนเสื้อแดง" นอกจากลงคะแนนให้ "เพื่อไทย" แล้ว ยังเป็นอาสาสมัครช่วยหาเสียงแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ทำลายระบบโครงสร้าง "หัวคะแนน" แบบเดิมๆ

จน "กระสุน" แพ้ "กระแส"

ในทางการเมือง การจัดสรรตำแหน่งในรัฐบาลนั้นนอกจากเลือกคนดีมีฝีมือในการบริหารงานเป็น "รัฐมนตรี" แล้ว ส่วนหนึ่งยังต้องตอบแทนให้กับคนที่ทำงานการเมืองด้วย

เพราะในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลไม่ได้บริหาร "บ้านเมือง" เพียงอย่างเดียว แต่ต้องบริหาร "การเมือง" ด้วย

ดังนั้น ในทางการเมืองไม่ใช่เรื่องแปลกหาก "ณัฐวุฒิ" จะเป็น "รัฐมนตรี"

เพราะนอกจากเป็นแกนนำ "คนเสื้อแดง" พลังหลักของ "เพื่อไทย" แล้ว

ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง เขาเป็นคนเดินสายพร้อมกับ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เรียกคะแนนให้ "เพื่อไทย" ในทุกพื้นที่

"ณัฐวุฒิ" จึงเหมาะสมที่จะเป็น "รัฐมนตรี" มากกว่า "เสนาะ เทียนทอง"

แต่ในการให้สัมภาษณ์ "สรยุทธ" ทางช่อง 3 "ณัฐวุฒิ" กลับนิ่งมาก ไม่ได้เรียกร้องเก้าอี้ "รัฐมนตรี" เลย

เขายืนยันว่าจะยอมรับมติของพรรค จะให้ทำงานบริหารหรือทำงานสภาก็ได้

หากถามว่า "เพื่อไทย" ควรให้เก้าอี้รัฐมนตรีกับ "ณัฐวุฒิ" หรือไม่

ตอบได้เลยว่า "ต้องให้"

แต่ถามว่า "ณัฐวุฒิ" ควรรับตำแหน่งหรือไม่

ตอบว่า "ไม่ควร"

เพราะนอกจากเป็น "สายล่อฟ้า" ทางการเมือง และทำให้แผนการปรองดองไม่ราบรื่น

"คนเสื้อแดง" ยังเคยกล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ว่าตั้งผู้ต้องหาคดี "ก่อการร้าย" อย่าง "กษิต ภิรมย์" มาเป็นรัฐมนตรี

ดังนั้น ถ้าเขารับตำแหน่งรัฐมนตรีก็เท่ากับทำซ้ำในสิ่งที่ "ประชาธิปัตย์" เคยทำ

หรือต้องเจอข้อหานำมวลชนออกมาเพราะอยากเป็น "รัฐมนตรี"

ช่วงเวลาแบบนี้เองที่จะพิสูจน์ความหนักแน่นของใจคน

ถ้า "ณัฐวุฒิ" รู้จักรอคอย และกล้าปฏิเสธความหอมหวนของ "อำนาจ"

เขาจะสง่างามมากในทางการเมือง

อย่าลืมบทเรียนของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ที่หรี่ตาทำเป็นมองไม่เห็นการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารและรับตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี"

ตัดสินใจผิดนิดเดียว ความเป็นนักประชาธิปไตยที่สร้างสมมาหายวับไปกับตา

ที่สำคัญถือเป็นการย้ำให้ "ป๋าเหนาะ" รู้ว่า "กระดานชนวน" กับ "แท็บเล็ต" นั้นแม้รูปร่างคล้ายกัน

แต่แตกต่างกันจริงๆ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #93 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2554, 10:59:35 »

Happy Birthday น้องป๋าทูค่ะ
มีความสุข สุขภาพแข็งแรง รวยขึ้นๆนะคะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #94 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2554, 02:10:19 »

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=JrFvqmaDS7U" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=JrFvqmaDS7U</a>
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #95 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2554, 16:17:52 »

อาสาฬหบูชา วันกำเนิดพระรัตนตรัย

วันศุกร์ ที่ 15 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
 

โบราณเรียกวันนี้ว่า “วันพระใหญ่ เดือน 8” ทางการเรียกว่าวันอาสาฬหบูชา อ่านว่า วัน-อา-สาน-หะ-บูชา แปลว่าการบูชาในเดือน 8
   
บูชาอะไร ตอบว่าบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญ ภายหลังที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ ใต้ต้นโพธิ์ในคืนวันเพ็ญเดือน 6 ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา แคว้นมคธ (บัดนี้คือจังหวัดคยา รัฐพิหาร) เมื่อทรงทบทวนญาณและองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ได้ราวเดือนเศษแล้วจึงทรงปรารภที่จะเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี แคว้นกาสี (บัดนี้คือรัฐอุตตรประเทศ)
   
ระยะทางจากที่ตรัสรู้ไปป่าอิสิปตนมฤคทายวันไกลประมาณ 200 กิโลเมตร ต้องข้ามแม่น้ำยมุนา และข้ามพรมแดนกั้นแคว้นมคธกับแคว้นกาสี ชื่อป่าที่ปัญจวัคคีย์หรือนักบวชทั้ง 5 หลบหนีไปบำเพ็ญเพียรอยู่นั้นแปลว่า “สวนกวางอันเป็นที่ชุมนุมของฤๅษีชีไพร” เพราะนักบวชทั้งหลายชอบไปชุมนุม อวดวิชาประลองฤทธิ์กันที่นั่น
   
ว่ากันว่าที่พระพุทธเจ้าต้องไปโปรดนักบวชทั้ง 5 เพราะต้องการตอบแทนคุณที่ได้อุปัฏฐากกันมาประการหนึ่ง ต้องการพยานว่าบัดนี้ได้ทรงรู้ธรรมแล้วประการหนึ่ง และเพื่อจะได้นักบวชทั้ง 5 มาเป็นนักบวชช่วยเผยแผ่พระธรรมคำสอนอีกประการหนึ่ง
   
จุดที่พระพุทธเจ้าได้พบนักบวชทั้ง 5 นั้น อีกราว 300 ปีต่อมาพระเจ้าอโศกได้สร้างเจดีย์ครอบไว้เรียกว่า “เจาคัณฑีสถูป” นักบวชทั้ง 5 ไม่เลื่อมใสกลับผละหนีไปจนพระพุทธเจ้าทรงตามไปทันและให้นั่งลงสดับธรรม จุดนั้น ต่อมาพระเจ้าอโศกให้สร้างเจดีย์ใหญ่ครอบไว้เรียกว่า “ธัมเมกขสถูป”
   
จุดนั้นเองในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 สองเดือนหลังตรัสรู้ คือสถานที่แสดงปฐมเทศนาว่าด้วยอริยสัจ ตรัสแสดงธรรมจักกัปปวัตนสูตร จนโกณฑัญญะนักบวชผู้มีอาวุโสสูงสุดเกิดดวงตาเห็นธรรม ขอบวชเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา ส่วนนักบวชอีก 4 รูปได้ขอบวชในเวลาต่อมา
   
สถานที่นั้นบัดนี้เรียกว่าสารนาถ อยู่ห่างจากเมืองพาราณสีราว 10 กิโลเมตรเป็นป่าโล่งกว้างขนาดสวนจตุจักรเป็นหนึ่งในสังเวชนียสถาน 4 ตำบลที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าควรไปดูเพื่อให้เกิดความสลดสังเวชในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของสิ่งทั้งปวงใครไปที่นั่นต้องหาเวลานั่งสวดธรรมจักรให้ได้ แล้วเดินเวียนเทียนรอบสถูป ทำสมาธิ ทำจิตทำใจว่ามานั่งฟังพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ตรงสถูปนั้นแสดงธรรม
   
ในบรรดาสังเวชนียสถาน 4 แห่ง ผมชอบที่ตรงนี้ที่สุด คงเพราะกว้างขวาง ร่มรื่น ผู้คนหมอบกราบ นั่งสมาธิหรือสวดมนต์ตามภาษาของตนหน้าพระมหาสถูปองค์ใหญ่ขนาดน้อง ๆ พระปฐมเจดีย์เต็มไปหมด ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ไม่ต้องหลบมุมยักเยื้องเหมือนที่พุทธคยา ไม่ร้อนแดดเหมือนที่ลุมพินี
   
เสร็จแล้วอย่าลืมเดินข้ามถนนไปชมพิพิธภัณฑ์สารนาถ ในนั้นมีพระพุทธรูปหินทรายงาม ๆ อายุร่วม 2,000 ปีหลายองค์ มีเสาหินพระเจ้าอโศกที่สมบูรณ์ ของส่วนใหญ่ขุดได้จากบริเวณนี้เหมือนจะยืนยันว่าสารนาถเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาโดยไม่ต้องสงสัย
   
เราไม่เคยให้ความสำคัญแก่วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 มาก่อน จนเมื่อเร็ว ๆ นี้ท่านเจ้าคุณ พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ) ราชบัณฑิต วัดราษฎร์บำรุง ชลบุรี เสนอให้รัฐบาลประกาศเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาเพราะเป็นวันที่พระรัตนตรัยเกิดขึ้นครบทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รุ่งขึ้นก็เป็นวันเข้าพรรษาพอดี
   
วันอย่างนี้ควรไปวัดเวียนเทียนฟังธรรม สวดธรรมจักรร่วมกัน และปรารภถึงทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ และวิธีดับทุกข์
   
วันสองวันนี้หยุดวิ่งเต้นตั้งรัฐบาล หยุดแบ่งโควตารัฐมนตรี แบ่งกระทรวงสักพักก็ได้ พระท่านว่าตัณหาทำให้เกิดทุกข์ แต่ตัณหามิได้มีแค่กามตัณหา หากรวมถึงภวตัณหาคือความอยากได้ อยากมี อยากเป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรี และวิภวตัณหาคือความไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็นฝ่ายค้านด้วยนะโยม.

ดร.วิษณุ  เครืองาม
wis.k@hotmail.com
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #96 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2554, 16:19:17 »

หลากวิธีแก้ปัญหาซิปติด

วันศุกร์ ที่ 15 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
 
เนื้อหาข่าว

ปัญหาซิปติด รูดไม่ขึ้น หรือกินเนื้อผ้า แก้ไม่ยากหากรู้วิธี วันนี้เดลินิวออนไลน์หาเคล็ดลับทำให้ซิปลื่นมาฝาก

หลายคนคงเคยโชคร้าย ได้เสื้อผ้า กระโปรง กางเกง กระเป๋า ที่เมื่อรูดซิปแล้วไม่ลื่น ติดขัด รูดยาก หรือบางทีก็กินเนื้อผ้า หากฝืนดึงหรือกระชากไปก็อาจทำให้ซิปแตก ต้องเสียเงินเปลี่ยนซิปใหม่ หรือบางทีก็อาจจะไม่ได้แบบเดิม ต่อไปนี้เมื่อประสบปัญหานี้อีกให้ใจเย็น ๆ แล้วลองวิธีแสนง่ายเหล่านี้ดู

หากซิปติด วิธีแรกที่แนะนำคือให้ใช้สบู่ก้อนถูตรงซี่ฟันของซิป เท่านี้ก็จะรูดได้ปกติ หรือหากเกิดในช่วงที่หาสบู่ไม่ได้ลองลิปมันที่ใช้บำรุงริมฝีปากนั่นแหละถูทั้งด้านในและด้านนอก แล้วลองดึงดู ถ้าไม่ออกให้ใช้คีมดึงที่ตัวซิป ก็สามารถแก้ปัญหาได้เช่นกัน แต่วิธีที่ราคาถูกและง่ายที่สุดคือการใช้เทียนไข ควรใช้ทาบริเวณซิปทุกส่วนทั้งด้านในด้านนอกก่อนใช้ หากซื้อสินค้าที่มีซิปมาแล้วรูดยากไม่สะดวกมือ ซึ่งได้ผลอย่างยิ่ง

กรณีซิปติดเพราะดันไปกินเนื้อผ้าเข้า ให้ดูว่าผ้าที่เข้าไปติด เป็นด้านบนหรือด้านล่างของซิป แล้วใช้ไขควงปากแบนที่เอาไว้ไขน็อต แงะเบา ๆ ทางด้านที่ผ้าเข้าไปติด เสร็จแล้วค่อย ๆ ดึงเอาผ้าที่ติดออก ระวังอย่างัดแรงจนหัวซิปหลุดออกมา เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งานชุดตัวโปรด หรือกระเป๋าใบเก่งได้ดีดังเดิมแล้ว.
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #97 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2554, 01:14:18 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 11 กรกฎาคม 2554, 22:45:14
น้องหนิง นายแทนมันโกหก และพูดไม่หมดหลายเรื่อง ต้องใช้วิจารณาญานในการอ่านนะ

หนิงไม่ต้องรู้จักใคร คนใดทั้งนั้นคะพี่ป๋า
ขอให้รู้จักคนใต้พอ!
รู้ว่าถ้าโรซก ซกมก และจอแหล
เค้าตามดู ตามด่า ตามติด
ไม่เอาก็คือไม่เอา
ร้าย ลายผัง...เค้าก็ด่าคนของเค้า
และ เอาจริง.
คนที่นั่นซื้อเค้าไม่ได้คะ.
(ไม่อยากบอกว่า"เลี้ยงไม่เชื่อง"..เพราะจะcheapป่ะ)
ไม่ไช่ว่าสักแต่รวย แล้วพวกเค้าจะต้องงกๆกุมเป้า
ผงกหัว ค้อมตัวงุดๆ...
จะสมัยไหนก็เหอะพี่.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #98 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2554, 01:16:44 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 15 กรกฎาคม 2554, 16:19:17
หลากวิธีแก้ปัญหาซิปติด

วันศุกร์ ที่ 15 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
 
เนื้อหาข่าว

ปัญหาซิปติด รูดไม่ขึ้น หรือกินเนื้อผ้า แก้ไม่ยากหากรู้วิธี วันนี้เดลินิวออนไลน์หาเคล็ดลับทำให้ซิปลื่นมาฝาก

หลายคนคงเคยโชคร้าย ได้เสื้อผ้า กระโปรง กางเกง กระเป๋า ที่เมื่อรูดซิปแล้วไม่ลื่น ติดขัด รูดยาก หรือบางทีก็กินเนื้อผ้า หากฝืนดึงหรือกระชากไปก็อาจทำให้ซิปแตก ต้องเสียเงินเปลี่ยนซิปใหม่ หรือบางทีก็อาจจะไม่ได้แบบเดิม ต่อไปนี้เมื่อประสบปัญหานี้อีกให้ใจเย็น ๆ แล้วลองวิธีแสนง่ายเหล่านี้ดู

หากซิปติด วิธีแรกที่แนะนำคือให้ใช้สบู่ก้อนถูตรงซี่ฟันของซิป เท่านี้ก็จะรูดได้ปกติ หรือหากเกิดในช่วงที่หาสบู่ไม่ได้ลองลิปมันที่ใช้บำรุงริมฝีปากนั่นแหละถูทั้งด้านในและด้านนอก แล้วลองดึงดู ถ้าไม่ออกให้ใช้คีมดึงที่ตัวซิป ก็สามารถแก้ปัญหาได้เช่นกัน แต่วิธีที่ราคาถูกและง่ายที่สุดคือการใช้เทียนไข ควรใช้ทาบริเวณซิปทุกส่วนทั้งด้านในด้านนอกก่อนใช้ หากซื้อสินค้าที่มีซิปมาแล้วรูดยากไม่สะดวกมือ ซึ่งได้ผลอย่างยิ่ง

กรณีซิปติดเพราะดันไปกินเนื้อผ้าเข้า ให้ดูว่าผ้าที่เข้าไปติด เป็นด้านบนหรือด้านล่างของซิป แล้วใช้ไขควงปากแบนที่เอาไว้ไขน็อต แงะเบา ๆ ทางด้านที่ผ้าเข้าไปติด เสร็จแล้วค่อย ๆ ดึงเอาผ้าที่ติดออก ระวังอย่างัดแรงจนหัวซิปหลุดออกมา เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งานชุดตัวโปรด หรือกระเป๋าใบเก่งได้ดีดังเดิมแล้ว.


แล้วถ้า....
ซิบแตก เพราะอ้วน
พุงปลิ้นจนซิบแตกล่ะพี่ขา?
ช่วยทันม้าย?
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #99 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2554, 01:24:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sittipong เมื่อ 12 กรกฎาคม 2554, 10:59:35
Happy Birthday น้องป๋าทูค่ะ
มีความสุข สุขภาพแข็งแรง รวยขึ้นๆนะคะ


โอ,
พี่ป๋าวันเกิดเหรอคะ?


พี่ป๋า,
ขอให้พี่คงความเป็นพี่
ที่เพื่อน พี่ น้อง ที่นี่รู้จัก
ไม่ต้องแขม่ว ไม่ต้องหด
(อะไรแขม่ว อะไรหด?)
ขอให้พี่เดินหน้า ลุยด่ะ
แม้แปะเพลงดึกๆดื่นๆไม่หลับไม่นอน
ขอให้น้ำตาล เป็นเพียงนิยามของกวามหวาน
ที่มิได้มีอะไรต่อสุขภาพพี่ ที่คึกได้เรื่อยๆ(ดูหมั๋น!)
นานเท่านาน ขอให้พี่สร้างสรรร้อยแก้ว ร้อยกรอง
ไม่ต้องประหยัดหน้ากระดาษ!กำกวมก็ได้ฉุกให้คนคิด
เป็นเอกลักษณ์ที่ดีที่น่านิยม...ว่า...ตูจาทำ...ใครจาทำมาย!


belated happy birthdayค่ะ
      บันทึกการเข้า


  หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 17  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><