23 พฤศจิกายน 2567, 10:13:08
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: สิทธิต้องคู่กับหน้าที่ถ้าไม่ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพสิทธิรักษาฟรีควรให้ร่วมจ่ายบ้างดีไหม?  (อ่าน 8534 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 05 ตุลาคม 2552, 14:39:54 »


สุดยอดของการเป็นหมอ คือ การไม่ต้องรักษาคนไข้ครับ

ไม่จำเป็นต้องใช้มีดผ่าตัด จับชีพจร ฝังเข็มหรือว่าจ่ายยารักษาโรคโดย

ไม่ต้องออกกระบวนท่าใดๆ ก็คือ

การป้องกันก่อนเกิดโรคนั่นเองที่จะเน้นให้เห็นก็คือ

การรักษาโรคที่เกิดขึ้นโดยไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของคนไข้ เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ

ต่อให้เป็น   หมอจีนที่พยายามปรับร่างกายแบบองค์รวมก็เถอะ เพราะ

เมื่อเรารักษาคนไข้จนหายโดยไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของคนไข้นั้น

เชื่อได้เลยครับว่าเดี๋ยวเราก็จะได้เจอกันอีก.....................
   

                                                               jamsai

ข้อความข้างบนนำมาจาก

Re: ออยพูลลิ่ง การบำบัดรักษาโรคได้ด้วยวิธีง่ายๆ  ? ? ?

« ตอบ #21 เมื่อ: 30 กันยายน 2552, 20:24:34 »

http://www.cmadong.com/board/index.php?topic=3514.0
  


ลี้คิมฮวง

ขอยกกระทู้ของ อาจารย์แจ่มใส ที่่พูดถึง ลี้คิมฮวง

คนกลัวฤทธิ์มีดสั้น แล้วไม่กล้าทำ

สิ่งที่ ลี้คิมฮวง ห้ามทำ ทำให้สงบไม่ต้องสู้รบกัน


นำมาใช้ เรื่อง

การสร้างสุขภาพดีกว่าการซ่อมสุขภาพ ทำให้ไม่ป่วยไข้ดีกว่าป่วย

จะทำให้เกิดการดูแลสุขภาพขึ้นได้ ถ้าปล่อยให้เกิดเอง ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่

ต้องใช้ด้านที่สาม ของสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา มาเสริมให้เกิดขึ้นด้วยการ

ออกกฏกระทรวงสาธารณสุข ให้คนที่ไม่ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพ ตาม

สุขบัญญัติ 10 ของกรมอนามัย http://www.thaigoodview.com/node/1946

โดยใช้เกณฑ์ตัดสินที่จะร่วมกันเสนอของประชาชนเอง ว่าอย่างไรถือว่า

ไม่ดูแลสุขภาพ ต้องเสียสิทธิ์การรักษาฟรี ต้องร่วมจ่ายค่ารักษาด้วยบางส่วน




ถ้าเห็นด้วยว่าการป้องกันดีกว่าการรักษา พวกเราประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือก ส.ส.

เข้าไปออกกฏหมาย ในสภาผู้แทนราษฏร และ เป็นรัฐบาล บริหารประเทศ

ต้องนำเรียนเสนอ พณฯ ท่าน ร.ม.ต.สาธารณสุข วิทยา แก้วภราดัย

ให้ออกกฏกระทรวงด้านสาธารณสุข ให้ผู้ที่ไม่ทำหน้าที่พลเมืองดีด้านสุขภาพ

เช่น น้ำหนักเกินมาตรฐาน สูบบุหรี่  ป่วยบ่อย เกินค่ามาตรฐาน ที่คนดูแลสุขภาพป่วยกัน

เช่น พบว่า ถึงดูแลสุขภาพแล้ว จะยังป่วยด้วยโรคกระเพาะได้ แต่ไม่เกิน 3 ครั้งต่อปี

ถ้าใครป่วยด้วยโรคกระเพาะ เป็นครั้งที่ 4 จะต้องเสียสิทธิรักษาพยาบาลฟรี

ต้องร่วมจ่ายค่ารักษาเองบ้างเป็นบางส่วนด้วย  


อาจจะกำหนดให้เสีย 20 % ของค่ารักษาเหมือนประเทศอเมริกา ที่เริ่มมีการใช้แล้ว

ตามที่ ศาสตราจารย์ น.พ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแำพทยสภา ไปเห็นมา ที่

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=samrotri&month=06-2007&date=24&group=1&gblog=11

นำมาเสนอ พวกเราให้จุดประเด็นให้ประชาชนเห็นตามว่า

การออกกฏหมายให้คนไม่ทำหน้าที่พลเมืองดีด้านสุขภาพ

ใช้สิทธิรักษาฟรีไม่ได้ทั้งหมด ต้องร่วมจ่ายบ้างบางส่วน จะได้ดูแลสุขภาพกันขึ้น

เพราะ ไม่อยากร่วมจ่าย ผลทำให้สุขภาพประชาชน แข็งแรงขึ้น คนป่วยน้อยลง

งบค่ารักษาพยาบาลที่รัฐจัดให้ ซึ่งมาจากการเก็บภาษี ที่พวกเราต้องจ่าย

ที่พบว่ามีสถิติค่ารักษาเพิ่มขึ้นประมาณ 20%ทุกปี จะหยุดเพิ่ม หรือ อาจเหลือ



นำมาตรวจสุขภาพ ให้พวกเรา ประชาชนผู้เสียภาษี ได้ฟรีปีละครั้ง

เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโรค ถ้าตรวจประจำปี พบผิดปรกติ

จะได้รีบแก้ไข ไม่ให้ป่วย ลดความพิการ หรือ เสียชีวิตลงได้

สิ่งที่จะได้เพิ่มคือ เป็นการแสดงให้เห็นว่า สิทธิ และ หน้าที่ต้องคู่กัน

เมื่อได้สิทธิ ต้อง ทำหน้าที่ เพื่อให้ได้สิทธิมาด้วย


  gek gek gek

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #1 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2552, 18:21:31 »


คลังเตรียมแก้กฎหมายคุมค่ารักษาพยาบาล

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 21 พฤศจิกายน 2552



พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมกรมบัญชีกลาง

คลังเตรียมแก้กฎหมายคุมค่ารักษาพยาบาล หลังแนวโน้มตัวเลขพุ่งสูงแตะหลัก 1 แสนล้านบาท ในปี"53 ส่งผลเป็นภาระงบประมาณของรัฐบาล

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมกรมบัญชีกลาง กล่าวในงานสัมมนา "หลักประกันความมั่นคงเพื่อการดำรงชีวิตที่มั่นใจ" ที่จัดโดยสมาคมประกันชีวิตไทย ว่า การเบิกค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการในปัจจุบันโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เกษียณอายุราชการมีการเบิกจ่ายสูงมากทำให้การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงถึง 61,000 ล้านบาท ในปี 2552 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 70,565 ล้านบาท ในปี 2553 เพิ่มเป็น 105,220 ล้านบาท และสูงถึง 156,623 ล้านบาท ในปี 2563 เป็นภาระต่องบประมาณของรัฐบาล เพราะรัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณให้กับราชการผ่านกองทุนประเภทต่างๆ เช่น กองทุนประกันสังคม ในการรักษาพยาบาลปัจจุบันที่ 200,000 ล้านบาทต่อปี จะเพิ่มเป็น 500,000 ล้านบาทใน 10 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง จึงต้องแก้ไขพระราชกฤษฎีกาค่ารักษาพยาบาล ปี 2523 รวมถึงกำหนดมาตรการต่างๆ ควบคุมค่าใช้จ่ายให้เกิดความเหมาะสม เช่น กฎหมายปัจจุบันกำหนดให้ข้าราชการและบุคคลในครอบครัวหากทำประกันสุขภาพจะต้องเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลจากบริษัทประกัน โดยห้ามเบิกจ่ายจากกรมบัญชีกลาง ดังนั้น จึงต้องแก้ไขให้ข้าราชการและบุคคลในครอบครัวที่ทำประกันสุขภาพสามารถเบิกจ่ายทั้งจากบริษัทประกัน และกรมบัญชีกลาง โดยเบิกได้ทั้ง 2 ทาง รวมกันไม่เกินค่าใช้จ่ายจริง การแก้ไขให้ข้าราชการเบิกจ่าย ในการบำรุงรักษาดูแลรักษาสุขภาพ เพื่อไม่ต้องใช้เงินรักษาพยาบาลจำนวนมากเมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บในยามชรา

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขให้ข้าราชการรักษาพยาบาลรักษาโรงพยาบาลเอกชนได้ จากเดิมให้รักษาเฉพาะกรณีฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ การแก้ไขการขยายสิทธิ์ของบุคคลในครอบครัวสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ ถึงแม้ว่าผู้มีสิทธิ์จะเสียชีวิตแล้วก็ตาม จากเดิมที่หากผู้สิทธิ์เสียชีวิตจะไม่สามารถเบิกจ่ายได้ โดยการแก้ไขกฎหมายและส่งเสริมให้ประชาชนหันมาทำประกันชีวิตเพิ่มขึ้นจะต้องหารือกับสมาคมฯในกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อนำไปสู่การดูแลสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดงบประมาณ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขกฎหมายดังกล่าว จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเร็วๆ นี้

นายกฤษฎา อุทยานิน ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า เพื่อลดภาระการพึ่งพางบประมาณดูแลสุขภาพส่วนหนึ่งต้องพยามหาประชาชนพึ่งพาต้นเองให้ความสำคัญในการออมเงินในยามเกษียณอายุ ขณะที่รัฐบาลได้ตั้งคณะทำงาน สร้างความเข็มแข็งของชุมชนแห่งชาติจัดทำนโยบาบสนับสนุนสวัสดิการชุมชนให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยการขับเคลื่อนการจัดสวัสดิการชุมชนให้ครอบคลุมตำบลทั่วประเทศ 7,938 แห่ง ใช้งบประมาณกว่า 4,528 ล้านบาท ในช่วงงบประมาณ ปี 2553-2555 เช่น ส่งเสริมการตั้งกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ กลุ่มออมธุรกิจชุมชน กลุ่มภูมิปัญญาท้องถิ่น องค์กรออมทรัพย์ในชนบท มีอยู่ 64,952 องค์กร มีสมาชิกกว่า 16 ล้านคน มีเงินออมกว่า 15,798 ล้านบาท จึงต้องสนับสนุนให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น

ประกันขอเพิ่มลดหย่อนภาษีจาก 5 หมื่นเป็น 1 แสนบาท

นายสาระ ล่ำซ่ำ นายากสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า การที่กระทรวงการคลังจะส่งเสริมให้ประชาชนและข้าราชการเข้ามาสู่ระบบประกันมากขึ้น จึงมีข้อเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณานำเบี้ยประกันสุขภาพหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เกิน 50,000 บาทต่อปี เพราะขณะนี้ มีโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่น ไข้หวัด 2009 รวมทั้งจะเป็นการลดภาระงบประมาณของรัฐบาล และจะเสนอขอให้นำค่าใช้จ่ายเบี้ยประกัน ในการซื้อประกันบำเหน็จบำนาญมาหักลดหย่อนภาษีไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อดึงดูดให้ประชาชนเข้าสู่ระบบประกันมากขึ้น

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านรักษาที่เพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากจะลดสิทธิการเบิกค่ารักษาพยาบาล ลงยังมีอีกวิธีหนึ่ง ทีอยากเสนอให้ ออกระเบียบให้ผู้ที่ไม่ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เช่น ทานอาหารมากเกินไป ไม่ออกกำลังกาย โดยดูจาก ดัชนีมวลกาย ถ้ามากกว่า 25 หรือ ผู้หญิงรอบเอวมากกว่า 32 นิ้ว ผู้ชายรอบเอวมากกว่า 36 นิ้ว จัดว่าเป็นโรคอ้วน ทำให้เป็นโรคต่าง ๆ มากกว่าคนดัชนีมวลกาย หรือ รอบเอวอยู่ในเกณฑ์ปรกติ ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง มะเร็ง อัมพฤกษ์ อัมพาต ฯลฯ ดังนั้น คนอ้วนควรร่วมจ่ายค่ารักษา ร่วมด้วย เช่น ร่วมจ่าย 20 % ของค่ารักษา เป็นต้น จะทำให้ประชาชนหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพ  ป่วยน้อยลง ค่าใช้จ่ายก็จะลดลง และ ได้เงินเพิ่มจากผู้ไม่รักษาสุขภาพอีก
ถ้าไม่มีจ่่ายให้แพทย์มีสิทธิเซ็นต์ฟรีให้ แต่ทำให้คนไข้ต้องยุ่งยากที่ต้องมาขอแพทย์เซ็นต์




พณฯท่าน วิทยา แก้วภราดัย ร.ม.ต.กระทรวงสาธารณสุข

ขอพวกเราที่เห็นด้วยร่วมกันขับเคลื่อนด้วยการเสนอ ท่าน ร.ม.ต.กระทรวงฯ
พิจารณา และ สั่งการต่อไป

ข่าวค่ารักษาพยาบาลเพิ่ม นำมาจาก

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20091121/87629/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5.html

 gek gek gek

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #2 เมื่อ: 07 ธันวาคม 2552, 10:39:44 »


         กำหนดเกณฑ์และเงื่อนไขการเบิกยาเสียใหม่ ที่ต้องพิจารณาถึงบัญชียาให้
สอดคล้องกันด้วย รวมถึงการเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลในบางโรค เพราะ
ปัจจุบันสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลคิดเป็น 12-13% ของรายรับ จึงต้องควบคุม
และสุดท้าย คือ การแก้ไขกฎหมาย คือ

         พระราชกฤษฎีกา เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ.2523
โดยมุ่งแก้ไขใน 4 ประเด็น คือ

         ส่งเสริมให้ข้าราชการและครอบครัวเบิกจ่ายในเรื่องของการรักษาสุขภาพ
ได้แทนของเดิมที่จะให้เบิกจ่ายได้ เฉพาะกรณีเจ็บป่วย

         เพื่อส่งเสริมให้เกิดการรักษาสุขภาพมากขึ้น และจะทำให้ลดการเกิดเจ็บป่วย ,
ให้สิทธิสามารถเบิก จ่ายการเข้ารักษาพยาบาลในสถานบริการ เอกชนได้ จากเดิมที่
จะเบิกได้เฉพาะกรณีเข้ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน,สามารถเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล
ได้ต่อเนื่องกรณีรักษาพยาบาลจนเสียชีวิต และ

         กรณีมี 2 สิทธิ คือ สิทธิสวัสดิการข้าราชการ และสิทธิในส่วนของประกันชีวิต
หรือประกันภัยที่ซื้อความคุ้มครองไว้เอง สามารถที่จะเบิกได้ทั้ง 2 ทาง

         จากเดิมต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง แต่ต้องไม่เกินค่าใช้จ่ายจริงเป็นต้น

นำมาจาก

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20091207/89895/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%A3%E0%B8%81.%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2.html

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

            

        การสาธารณสุขมูลฐาน ก็เป็นแนวทางดูแลสุขภาพให้แข็งแรง

เจ็บป่วยน้อยลง ทำให้ ค่ารักษาพยาบาลลดลงได้ ดูเนื้อหาที่

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3394.0.html

 gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #3 เมื่อ: 31 มกราคม 2553, 13:13:22 »

อ้างถึง
ข้อความของ สำเริง 17 รุ่น 57 เมื่อ 05 ตุลาคม 2552, 14:39:54

สุดยอดของการเป็นหมอ คือ การไม่ต้องรักษาคนไข้ครับ

ไม่จำเป็นต้องใช้มีดผ่าตัด จับชีพจร ฝังเข็มหรือว่าจ่ายยารักษาโรคโดย

ไม่ต้องออกกระบวนท่าใดๆ ก็คือ

การป้องกันก่อนเกิดโรคนั่นเองที่จะเน้นให้เห็นก็คือ

การรักษาโรคที่เกิดขึ้นโดยไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของคนไข้ เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ

ต่อให้เป็น   หมอจีนที่พยายามปรับร่างกายแบบองค์รวมก็เถอะ เพราะ

เมื่อเรารักษาคนไข้จนหายโดยไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของคนไข้นั้น

เชื่อได้เลยครับว่าเดี๋ยวเราก็จะได้เจอกันอีก.....................
   

                                                               jamsai

ข้อความข้างบนนำมาจาก

Re: ออยพูลลิ่ง การบำบัดรักษาโรคได้ด้วยวิธีง่ายๆ  ? ? ?

« ตอบ #21 เมื่อ: 30 กันยายน 2552, 20:24:34 »

http://www.cmadong.com/board/index.php?topic=3514.0
  


ลี้คิมฮวง

ขอยกกระทู้ของ อาจารย์แจ่มใส ที่่พูดถึง ลี้คิมฮวง

คนกลัวฤทธิ์มีดสั้น แล้วไม่กล้าทำ

สิ่งที่ ลี้คิมฮวง ห้ามทำ ทำให้สงบไม่ต้องสู้รบกัน


นำมาใช้ เรื่อง

การสร้างสุขภาพดีกว่าการซ่อมสุขภาพ ทำให้ไม่ป่วยไข้ดีกว่าป่วย

จะทำให้เกิดการดูแลสุขภาพขึ้นได้ ถ้าปล่อยให้เกิดเอง ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่

ต้องใช้ด้านที่สาม ของสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา มาเสริมให้เกิดขึ้นด้วยการ

ออกกฏกระทรวงสาธารณสุข ให้คนที่ไม่ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพ ตาม

สุขบัญญัติ 10 ของกรมอนามัย http://www.thaigoodview.com/node/1946

โดยใช้เกณฑ์ตัดสินที่จะร่วมกันเสนอของประชาชนเอง ว่าอย่างไรถือว่า

ไม่ดูแลสุขภาพ ต้องเสียสิทธิ์การรักษาฟรี ต้องร่วมจ่ายค่ารักษาด้วยบางส่วน




ถ้าเห็นด้วยว่าการป้องกันดีกว่าการรักษา พวกเราประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือก ส.ส.

เข้าไปออกกฏหมาย ในสภาผู้แทนราษฏร และ เป็นรัฐบาล บริหารประเทศ

ต้องนำเรียนเสนอ พณฯ ท่าน ร.ม.ต.สาธารณสุข วิทยา แก้วภราดัย

ให้ออกกฏกระทรวงด้านสาธารณสุข ให้ผู้ที่ไม่ทำหน้าที่พลเมืองดีด้านสุขภาพ

เช่น น้ำหนักเกินมาตรฐาน สูบบุหรี่  ป่วยบ่อย เกินค่ามาตรฐาน ที่คนดูแลสุขภาพป่วยกัน

เช่น พบว่า ถึงดูแลสุขภาพแล้ว จะยังป่วยด้วยโรคกระเพาะได้ แต่ไม่เกิน 3 ครั้งต่อปี

ถ้าใครป่วยด้วยโรคกระเพาะ เป็นครั้งที่ 4 จะต้องเสียสิทธิรักษาพยาบาลฟรี

ต้องร่วมจ่ายค่ารักษาเองบ้างเป็นบางส่วนด้วย  


อาจจะกำหนดให้เสีย 20 % ของค่ารักษาเหมือนประเทศอเมริกา ที่เริ่มมีการใช้แล้ว

ตามที่ ศาสตราจารย์ น.พ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแำพทยสภา ไปเห็นมา ที่

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=samrotri&month=06-2007&date=24&group=1&gblog=11

นำมาเสนอ พวกเราให้จุดประเด็นให้ประชาชนเห็นตามว่า

การออกกฏหมายให้คนไม่ทำหน้าที่พลเมืองดีด้านสุขภาพ

ใช้สิทธิรักษาฟรีไม่ได้ทั้งหมด ต้องร่วมจ่ายบ้างบางส่วน จะได้ดูแลสุขภาพกันขึ้น

เพราะ ไม่อยากร่วมจ่าย ผลทำให้สุขภาพประชาชน แข็งแรงขึ้น คนป่วยน้อยลง

งบค่ารักษาพยาบาลที่รัฐจัดให้ ซึ่งมาจากการเก็บภาษี ที่พวกเราต้องจ่าย

ที่พบว่ามีสถิติค่ารักษาเพิ่มขึ้นประมาณ 20%ทุกปี จะหยุดเพิ่ม หรือ อาจเหลือ



นำมาตรวจสุขภาพ ให้พวกเรา ประชาชนผู้เสียภาษี ได้ฟรีปีละครั้ง

เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโรค ถ้าตรวจประจำปี พบผิดปรกติ

จะได้รีบแก้ไข ไม่ให้ป่วย ลดความพิการ หรือ เสียชีวิตลงได้

สิ่งที่จะได้เพิ่มคือ เป็นการแสดงให้เห็นว่า สิทธิ และ หน้าที่ต้องคู่กัน

เมื่อได้สิทธิ ต้อง ทำหน้าที่ เพื่อให้ได้สิทธิมาด้วย


  gek gek gek



"ทีดีอาร์ไอ"ชี้ การให้ร่วมจ่ายมีผลกระทบทำให้คนจน ยิ่งจนลง

การศึกษา-สาธารณสุข น.ส.พ.ไทยโพสต์ วัน ศุกร์ ที่ 29 มกราคม 2553 - 00:00

         ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ผอ.วิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยผลการศึกษาชุดโครงการวิจัย

          "การใช้ข้อมูลการสำรวจมาวัดผลกระทบของโครงการ 30 บาทฯ และหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีต่อภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชนและการลดความยากจน และการสร้างดัชนีชี้วัดความเป็นธรรมด้านสุขภาพ" จากเงินอุดหนุนของภาครัฐในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

         ผลการศึกษาฯ พบว่า โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชนและการลดความยากจน พบว่า

         โครงการ 30 บาทฯ สามารถลดภาระรายจ่ายด้านสุขภาพของกลุ่มผู้ยากไร้ที่สุดลงจนแทบจะหมดไปในช่วง 3 ปีแรกของโครงการ 30 บาทฯ ขนาดความรุนแรงของความยากจนเพราะสุขภาพในกลุ่มคนจนก็ลดลงจากประมาณร้อยละ 1 จนแทบจะกลายเป็นศูนย์ในปี 2545 และ 2547

         การศึกษานี้มีข้อสังเกตอีกว่า การปรับเส้นความยากจนให้รวมหรือไม่รวมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ (ซึ่งมีความแตกต่างเพียงประมาณ 19-33 บาทต่อคนต่อเดือนเท่านั้น) มีผลทำให้จำนวนคนที่จนเพราะรายจ่ายด้านสุขภาพเปลี่ยนแปลงไปถึงร้อยละ 0.25-1.1 ของประชากรทั้งประเทศในปีต่างๆ (หรือประมาณหยาบๆ อยู่ระหว่าง 200,000-600,000 คน)

         ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่า

         ถ้ามีการปรับเปลี่ยนนโยบายให้ประชาชนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล (copayment) แต่เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้จำนวนคนที่จนเพราะรายจ่ายด้านสุขภาพเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากได้.

นำมาจาก น.ส.พ.ไทยโพสต์ วันศุกร์ ที่ 29 ม.ค.2553

         http://www.thaipost.net/news/290110/17101

         gek gek gek

                    

         ผมขอมองต่างไปว่า การให้คนที่ไม่ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพปล่อยให้อ้วน นำมาใช้เป็นตัวชี้วัดในการร่วมจ่าย 20% เช่น

         รอบเอวเกินปรกติ ในผู้หญิง ไม่เกิน 32 นิ้ว ในผู้ชาย ไม่เกิน 36 นิ้ว

         ถ้าไม่มีเงินจ่าย หรือ ไม่อยากจ่ายเงิน ต้องไปขอให้แพทย์เซ็นต์ฟรี จะทำให้เกิดความแตกต่าง ระหว่างคนอ้วน กับ คนไม่อ้วน เมื่อมารับการรักษา

         ผลจากการใช้มาตรการ บังคับ ตามด้านที่ สาม ของสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา จะทำให้คนอ้วนต้องพยายามลดน้ำหนักให้ได้ และ มีผลประโยชน์ต่อตัวผู้อ้วนเองด้วย เมื่อลดน้ำหนัก จะไม่ป่วยด้วยโรคที่เกิดจากความอ้วนได้
         เป็นกุศโลบาย ให้คนสุขภาพดี ค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นจะลดลงได้  เหอๆๆ

         รักนะ รักนะ รักนะ



      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
เจษฎา
Cmadong พันธุ์แท้
****


the more you get ,the less you feel
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,682

« ตอบ #4 เมื่อ: 31 มกราคม 2553, 13:21:44 »

น่าขำตรงที่ สิ่งที่เป็นการป้องกันไม่ได้รับการสนับสนุน กลับต้องจ่ายเอง ในกรณีของทันตกรรมได้แก่การทำเคลือบหลุมร่องฟันทั้งที่ ลดอัตราการเกิดฟันผุได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก รวมทั้งการเคลือบฟลูออไรด์ ใช้ต้นทุนเวลาและทรัพยากรต่ำกว่าการบูรณะมากกอย่างไม่ต้องเอาสถิติมาจับก็วัดได้ชัดเจน
      บันทึกการเข้า

ไม่หล่อ แต่ไม่ค่อยว่าง
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #5 เมื่อ: 31 มกราคม 2553, 22:00:46 »

ในวัยต่างๆกัน...
สภาพของร่างกายก็ต่างกันไช่มั้ยคะ?

ที่โน่น คนวัยทำงาน จ่ายประกันสุขภาพ
รายเดือน ทุกเดือน แพง แม้แทบไม่ป่วย
แม้แทบไม่ได้ไปหาหมอสักกี่ครั้งในหนึ่งปี
เมื่อมาคำณวณจำนวนเงินที่ต้องถูกหัก
เข้าประกันสุขภาพ.

ถาม....ว่าทำไมไม่มีใครเรียกร้องขอยกเลิก
ให้เรื่องประกันสุขภาพเป็นเรื่องรายบุคคล
ส่วนตัว ป่วยก็จ่าย ไม่ป่วยก็ไม่จ่าย ?

ได้รับคำตอบว่า...เรื่องนี้เป็นพื้นฐานของตัววัด
ความกินดีอยู่ดีของประชาชนพลเมืองโดยเท่า
เทียมกัน เป็นสวัสดิการของรัฐสู่ประชาชน เป็น
เรื่องของการพัฒนา...โรคภัย ไม่ไช่เรื่องอภิสิทธิ์
มีเงินรักษาก็รอด ไม่มีเงินรักษาก็เสี่ยงชีวิต...
เค้าๆ คนวัยทำงาน เห็นว่าในระยะยาว เมื่อพวกเค้า
หยุดทำงานในวัยสูงอายุ ความทรุดโทรมของอวัยวะ
ก็ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้....ถึงตอนนั้น
พวกเค้าจะใช้สิทธิ์! สิทธิ์โดยชอบธรรมที่ใครจะมา
อ้างไม่ได้ว่าต้องจ่ายเอง...แม้ในความเป็นจริง
ต้องควักกระเป๋าเพิ่มในงานที่มากกว่าพื้นฐาน
จัดเข้าข่าย...เพื่อความงาม ไม่ไช่เพื่อสุขภาพ
.
      บันทึกการเข้า


Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #6 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2553, 17:07:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 31 มกราคม 2553, 22:00:46
ในวัยต่างๆกัน...
สภาพของร่างกายก็ต่างกันไช่มั้ยคะ?

ที่โน่น คนวัยทำงาน จ่ายประกันสุขภาพ
รายเดือน ทุกเดือน แพง แม้แทบไม่ป่วย
แม้แทบไม่ได้ไปหาหมอสักกี่ครั้งในหนึ่งปี
เมื่อมาคำณวณจำนวนเงินที่ต้องถูกหัก
เข้าประกันสุขภาพ.

ถาม....ว่าทำไมไม่มีใครเรียกร้องขอยกเลิก
ให้เรื่องประกันสุขภาพเป็นเรื่องรายบุคคล
ส่วนตัว ป่วยก็จ่าย ไม่ป่วยก็ไม่จ่าย ?

ได้รับคำตอบว่า...เรื่องนี้เป็นพื้นฐานของตัววัด
ความกินดีอยู่ดีของประชาชนพลเมืองโดยเท่า
เทียมกัน เป็นสวัสดิการของรัฐสู่ประชาชน เป็น
เรื่องของการพัฒนา...โรคภัย ไม่ไช่เรื่องอภิสิทธิ์
มีเงินรักษาก็รอด ไม่มีเงินรักษาก็เสี่ยงชีวิต...
เค้าๆ คนวัยทำงาน เห็นว่าในระยะยาว เมื่อพวกเค้า
หยุดทำงานในวัยสูงอายุ ความทรุดโทรมของอวัยวะ
ก็ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้....ถึงตอนนั้น
พวกเค้าจะใช้สิทธิ์! สิทธิ์โดยชอบธรรมที่ใครจะมา
อ้างไม่ได้ว่าต้องจ่ายเอง...แม้ในความเป็นจริง
ต้องควักกระเป๋าเพิ่มในงานที่มากกว่าพื้นฐาน
จัดเข้าข่าย...เพื่อความงาม ไม่ไช่เพื่อสุขภาพ
.

         กิจกรรมที่ทำให้สุขภาพดีมี 4 กิจกรรม การรักษาเป็นเพียง 1 ใน 4 กิจกรรม ประเทศไทย ใช้กิจกรรม การรักษาเป็นหลักใหญ่  ไม่ส่งเสริมอีก 3 กิจกรรม คือ การส่่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และ การฟื้นฟูสุขภาพ

         ผลจากการมุ่งรักษาด้านเดียว เป็นหลัก ทำให้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นปีละ 20% ทุกปี และ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอด จนกระทรวงการคลังจะำจำกัดค่ารักษาตามข่าว

         องค์การอนามัยโลก เห็นปัญหาเรื่องประชากรโลกป่วยไข้ ต้องการหาทางให้ประชาชนสุขภาพดีไม่ป่วยบ่อย จึงจัดประชุม ประเทศสมาชิก ที่เมือง Ottawa ประเทศ Canada เมื่อปี 2529 ได้ข้อสรุป จะทำให้ประชากรโลกสุขภาพดี ต้องใช้กิจกรรมสาธารณสุขทั้ง 4 กิจกรรม เรียกว่า

         Ottawa Charter

         ประเทศไทย นำมากำหนดเป็นแผน เรียกว่า สาธารณสุขมูลฐาน หรือ Primary Health Care มีตัวชี้วัดความสำเร็จ 4 ตัวชี้วัด คือ

1 ประชาชนทุกคนต้องมีสิ่งจำเป็นพื้นฐาน หรือ จปฐ.ทุกคน

2.ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดสุขภาพดีด้วย ได้แก่ อาสาสมัครมาเป็น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม.ทำหน้าที่เป็นแกนนำ และ เป็นตัวแทนด้านสาธารณสุข ของหมู่บ้าน เพื่ออุดมการณ์

         "แก้ข่าวร้าย กระจายข่าวดี ชี้บริการ ประสานงานสาธารณสุข บำบัดทุกข์ประชาชน ทำตนเป็นตัวอย่างที่ดี"

เช่น จัดตั้งและดำเนินการชมรมสร้างสุขภาพภายในหมู่บ้าน ฯลฯ เพื่อให้คนในหมู่บ้านสุขภาพดี

3.การเข้าถึงบริการสุขภาพได้สะดวกใกล้บ้าน กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว โดยพัฒนาสถานีอนามัย ที่มีอยู่แล้วทุกตำบล ให้เป็น ร.พ.สร้างเสริมสุขภาพตำบล มีแพทย์จาก ร.พ.อำเภอรับผิดชอบประจำ ตำบลละ 1 คน

         ตัวอย่าง ตำบลเขาหินซ้อน ที่ผมรับผิดชอบ อยู่ได้ปรับปรุง เป็น ร.พ.สร้่างเสริมสุขภาพตำบล ใกล้เสร็จแล้ว จากเงินบริจาค ประชาชน และ คหบดี จะแล้วเสร็จประมาณเดือนเมษายน 2553

4.สถานพยาบาลที่ให้บริการสุขภาพต้องให้บริการที่มีคุณภาพ โดยมีองค์กรอิสระ คือ

         สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (พรพ.)

         มาพัฒนาสถานพยาบาล ให้เขียนเอกสารการดำเนินการ เป็นเอกสารอ้างอิง เพื่อให้กรรมการตรวจสอบภายในของ สถานพยาบาลเอง มาทำการตรวจสอบ ให้เป็นไปตามเอกสารคุณภาพทุกประการ  เมื่อเป็นไปตามเอกสารคุณภาพแล้ว กรรมการตรวจสอบภายนอก จาก พรพ. จะเข้ามาตรวจสอบอีกครั้ง ถ้าเหมือนเอกสารคุณภาพอ้างอิงทุกประการ ก็จะให้ใบรับรอง เป็น ร.พ.คุณภาพ ให้ผู้ใช้บริการได้มั่นใจ

         ขณะนี้ ปี 2553 ผ่านมา 24 ปีแล้ว กิจกรรม สาธารณสุขมูลฐาน ใกล้จะเป็นจริงแล้วในแผนการณ์

         ไทยเข้มแข็งของรัฐบาล

จะเร่งทำตัวชี้วัด ทั้ง 4 ให้สำเร็จ

         ตัวชี้วัดตัวที่ 2 ประชาชนมีส่วนร่วมในการมีสุขภาพดี ให้ความรู้ประชาชนเรื่อง สุขบัญญัติ 10 ประการของกรมอนามัย มานานแล้ว แต่ไม่มีประชาชนสนใจทำ

         ผมขอเสนอว่า ต้องใช้สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขามาเสริม โดยการ ออกระเบียบกระทรวงสาธารณสุข ให้สิทธิรักษาสุขภาพฟรี เฉพาะกับผู้ดูแลสุขภาพ เช่น ทำตามสุขบัญญัติ 10 ประการของกรมอนามัย  

        ถ้าไม่ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพ สิทธิรักษาฟรี ต้องร่วมจ่ายค่ารักษาบางบ้างส่วน เช่น จ่าย 20% แต่ถ้าไม่มีจ่าย หรือ ไม่อยากให้ อนุญาตให้แพทย์เซ็นต์ฟรีได้

        เป็นกุศโลบาย ทำให้คนต้องดูแลสุขภาพทำตามกิจกรรม สาธารณสุข 4

         คนไม่ดูแลสุขภาพ ดูได้ด้วยอะไร เสนอให้ ใช้ดัชนีมวลกาย เป็นตัวชี้วัด ถ้าเกิน 25 ถือว่าอ้วน จัดว่าไม่ดูแลสุขภาพ แต่การใช้ดัชนีมวลกาย ยากกับประชาชนที่จะคำนวณได้ สามารถ ใช้ เส้นรอบเอวแทนได้ง่าย ๆ

         เมื่อประชาชนไม่อ้วน โรคที่เกิดจากความอ้วนจะได้ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

         รอบเอว ในผู้หญิง ไม่เกิน 32 นิ้ว ผู้ชาย ไม่เกิน 36 นิ้ว เป็นต้น

         รักนะ รักนะ รักนะ


      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #7 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2553, 17:59:58 »

พี่หมอสำเริง,
หนิงสังเกตว่าเวลาไปพบแพทย์..จะด้วย
เจ็บหรือยังไม่เจ็บแต่เพียงไปตรวจประจำ
ควบคุมดูแล ไม่ทราบจะเรียกการป้องกัน
ได้มั้ย อย่างพบหมอฟันทุก 6 เดือน,หมอสูติ
ทุก 6 เดือน,หมอประจำบ้าน ปีละครั้ง...
เดี๋ยวนี้เพิ่มหมอตามาด้วย กรณีตรวจประจำปี
ทุก 6 เดือนแล้วพบอะไร....เหมือนไปรับฟัง
จากหมอว่าต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะรักษา/ใช้
ทรัพยากรร่างกาย ให้ยาวนานที่สุด.
หากป่วยอย่างไข้ หวัด ไวรัสตามฤดู
ได้ยาเล็กน้อยถึงไม่ได้เลย...ยินว่าดูอาการ
ให้ร่างกายสู้เชื้อโรคเอง!


โดยรวมๆแล้วสุขภาพก็ยังเป็นเรื่องบุคคล
ที่จะระวัง ป้องกัน รักษาตัวเอง...ไม่นับโรคภัย
ร้ายแรงที่อาจพบได้ ก่อนวัยที่ควร...ก็ต่อสู้กัน
สุดกำลังคะ..ภายใต้ความรู้สึกว่าอยู่ในมือผู้เชี่ยวชาญ
และไม่กระเทือนฐานะทางเศรษฐกิจหลังการรักษา...

ท้ายที่สุด การไม่มีโรค ก็ยังเป็นลาภอันประเสริฐอยู่นั่นเอง
ไม่เกี่ยวกับว่าระบบสาธรณสุขจะเป็นอย่างไร...ในอีก10-20ปี
ข้างหน้าหนิงอาจพูดอีกแบบ เมื่อต้องไปซ่อมร่างกายบ่อยๆ
ก็ได้คะ
      บันทึกการเข้า


Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #8 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2553, 19:29:32 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 01 กุมภาพันธ์ 2553, 17:59:58
พี่หมอสำเริง,
หนิงสังเกตว่าเวลาไปพบแพทย์..จะด้วย
เจ็บหรือยังไม่เจ็บแต่เพียงไปตรวจประจำ
ควบคุมดูแล ไม่ทราบจะเรียกการป้องกัน
ได้มั้ย อย่างพบหมอฟันทุก 6 เดือน,หมอสูติ
ทุก 6 เดือน,หมอประจำบ้าน ปีละครั้ง...
เดี๋ยวนี้เพิ่มหมอตามาด้วย กรณีตรวจประจำปี
ทุก 6 เดือนแล้วพบอะไร....เหมือนไปรับฟัง
จากหมอว่าต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะรักษา/ใช้
ทรัพยากรร่างกาย ให้ยาวนานที่สุด.
หากป่วยอย่างไข้ หวัด ไวรัสตามฤดู
ได้ยาเล็กน้อยถึงไม่ได้เลย...ยินว่าดูอาการ
ให้ร่างกายสู้เชื้อโรคเอง!


โดยรวมๆแล้วสุขภาพก็ยังเป็นเรื่องบุคคล
ที่จะระวัง ป้องกัน รักษาตัวเอง...ไม่นับโรคภัย
ร้ายแรงที่อาจพบได้ ก่อนวัยที่ควร...ก็ต่อสู้กัน
สุดกำลังคะ..ภายใต้ความรู้สึกว่าอยู่ในมือผู้เชี่ยวชาญ
และไม่กระเทือนฐานะทางเศรษฐกิจหลังการรักษา...

ท้ายที่สุด การไม่มีโรค ก็ยังเป็นลาภอันประเสริฐอยู่นั่นเอง
ไม่เกี่ยวกับว่าระบบสาธรณสุขจะเป็นอย่างไร...ในอีก10-20ปี
ข้างหน้าหนิงอาจพูดอีกแบบ เมื่อต้องไปซ่อมร่างกายบ่อยๆ
ก็ได้คะ


         การไปพบแพทย์ตามระยะเวลา เพื่อตรวจสุขภาพถึงแม้ยังไม่แสดงอาการป่วย จะทำให้ได้รับการดูแลทันที  ดีกว่าการรอให้ป่วยแล้วมารักษา อาจจะมีความพิการ หรือ เสียชีวิต เพราะมาช้ากว่าจะรักษาได้ครับ

          รักนะ รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><