23 พฤศจิกายน 2567, 09:03:25
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: "เรื่อง เจ็บ เชิญมาคุย วิธีแก้ และ รับความรู้กัน ที่กระทู้นี้"  (อ่าน 17721 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 05 มีนาคม 2553, 07:49:04 »


         ขอนำเรื่อง ที่องค์การสากลระดับโลก ด้านสุขอนามัย คือ รักนะ          

                            

                          องค์การอนามัยโลก

         ได้มีการประชุมเพื่อให้เกิดสุขภาพดีของพลโลก เมื่อปี 2529 ได้ข้อสรุป

         งานสาธารณสุขมูลฐาน ตาม Ottawa Charter

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3394.0.html?language=thai-utf8;language=english

         ณ. เมืองออตตาวา ประเทศคานาดา ได้ผลสรุป ผ่านมาปี พ.ศ.2553 24 ปี แล้ว แต่

ตัวชี้วัด 4 ตัว ความก้าวหน้าของงาน สาธารณสุขมูลฐาน ยังไม่สำเร็จ

1. ประชาชน ยังขาดสิ่งจำเป็นพื้นฐาน จปฐ
         http://info.pattaya.go.th/km/socialwelfare/DocLib8/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%20(%E0%B8%88%E0%B8%9B%E0%B8%90.).aspx

2.ประชาชน ยังไม่ร่่วมมือกับการมีสุขภาพดี

ประชาชน ยังคงไม่สร้างสุขภาพ ตามสุขบัญญัติ 10 ประการ

         http://health.kapook.com/view6623.html

 http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3394.0.html

ยังคงเมาแล้วขับ เป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการเกิดอุบัติเหตุ รถจักรยานยนต์

         ขอเสนอ ให้มีกฏหมาย ให้แพทย์สามารถตรวจระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ได้

ถ้าแพทย์สงสัยว่า เมา รักษาจนหายดีแล้ว

         ถ้ามากกว่า ค่ามาตรฐาน ต้องไม่เกิน 50 มิลลิกรัม % ให้ตำรวจจราจร มา

ดำเนินคดีเมาแล้วขับด้วย

         ผลจะทำให้คนไม่กล้าขับยานพาหนะ เมื่อดื่มแอลกอฮอล์ เพราะว่า

ถ้าเกิดอุบัติเหตุ รักษาหายแล้วถ้าผิดกฏหมายจะถูกลงโทษ เมาแล้วขับด้วย

ประชาชนยังไม่ดูแลสุขภาพ ปล่อยให้อ้วนลงพุง ซึงทำให้เจ็บป่วยตามมาหลายโรค

         ขอเสนอ ให้ ออกกฏกระทรวงสาธารณสุข ว่า คนที่ไม่ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพ ปล่อยให้อ้วน

สิทธิในการรักษาฟรี ควรร่วมจ่ายค่ารักษาด้วย 20% ใช้ดัชนีมวลกายเป็นตัวชี้วัดการดูแลสุขภาพ

         ถ้าดัชนีมวลกายเกินปกติ จากการวัด รอบเอว ระดับสะดือ ไม่แขม่วท้องปล่อยให้เป็นปกติ

ผู้ชายรอบเอว ไม่ควรเกิน 90 ซม. หรือ 36 นิ้ว

ผู้หญิงรอบเอว ไม่ควรเกิน 80 ซม. หรือ 32 นิ้ว


         ถ้าไม่จ่าย ให้มาขอให้แพทย์เซ็นต์ฟรี ได้ จะทำให้คนอ้วน มีปัญหาในการเข้ารับการรักษา

ถ้าอ้วน จะต้องมีขั้นตอนเสียเงิน 20 % หรือ ต้องมารอเข้าพบแพทย์เพื่อขอเซ็นต์ฟรี

ถ้าไม่อยากลำบากเช่นนี้ จะได้เข้า

         ขบวนการไร้พุง ของ ชมรมสร้างสุขภาพ ประจำหมู่บ้าน หรือ ของ ร.พ.

เพื่อลดพุงให้อยู่ในเกณฑ์ปรกติ

3.การเข้าถึงบริการสุขภาพ ที่สะดวก ยังไม่สำเร็จประชาชนเมื่อป่วยไข้ยังคง

ต้องมุ่งหน้ามารวมรักษากันที่ ร.พ.อำเภอ และ มาต่อคิวตรวจกันแน่น มาเช้ากลับเที่ยง หรือ เย็น

          

        แต่ปัจจุบันรัฐบาลท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ทุ่มงบประมาณ 5 หมื่นล้าน

เพื่อพัฒนาสถานีอนามัย ทั้งหมดที่มีอยู่ทุกตำบลแล้วให้เป็น ร.พ.สร้างเสริมสุขภาพตำบล

มีแพทย์ ร.พ.อำเภอ รับผิดชอบ ประจำแต่ละแห่ง เพื่อไปตรวจเอง หรือ รับปรึกษาจากพยาบาล

เวชปฏิบัติ ที่อยู่ประจำ อย่างน้อย 2 คนเพื่อ สลับกันอยู่เวรนอกเวลาได้ และ รับปรึกษาในเวลา

ราชการ นอกเวลาราชการปรึกษาแพทย์เวร ร.พ.อำเภอ ที่รับค่าเวร ร.พ.อำเภอ และ เบี้ยเลี้ยง

เหมาจ่าย ต่อเดือนแล้ว 1- 5 หมื่นบาท ตามอายุราชการ อยู่แล้วให้รับผิดชอบ ร.พ.สร้างเสริม

สุขภาพตำบลด้วย ทางโทรศัพท์มือถือ

                          

อดีต รมต.ว่าการกระทรวงสาธารณสุข พณฯ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์

     ผู้กล่าวถึงเทเลเมดดิซิน สมัยดำรงตำแหน่ง รมต.ว่าการฯ


         ในปัจจุบัน เทเลเมดดิซิน มีเทคโนโลยี่ดีขึ้น ราคาถูกลงในการจัดทำ

มีโปรแกรม  Skype ใช้ฟรี สามารถนำมาประยุกต์ใช้ ให้แพทย์มาตรวจทางออนไลน์ ที่

ร.พ.สร้างเสริมสุขภาพตำบล ใกล้บ้าน ไม่ต้อง มา ร.พ.อำเภอ พบแพทย์ใกล้บ้านได้

         http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,4044.0.html

4.ร.พ.ที่ให้การรักษาต้องมีคุณภาพด้วย

         ปัจจุบัน มีสถาบันรับรองคุณภาพ ร.พ.: สรพ.

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=samrotri&month=01-2007&date=18&group=12&gblog=2

มาพัฒนาและรับรองคุณภาพให้เขียนเอกสาร การดำเนินการให้ สรพ. ตรวจสอบ

         ถ้าเห็นด้วยว่ามีคุณภาพจริงก็จะให้การรับรองเป็นเอกสารอ้างอิง ไว้ให้กรรมการตรวจสอบ

ที่จะมีกรรมการตรวจสอบภายใน ร.พ.ตรวจสอบกันเองก่อน

         ถ้าผ่านการตรวจสอบกันเองแล้ว กรรมการตรวจสอบภายนอก จาก สรพ.จะเข้ามาตรวจซ้ำ

ถ้าปฏิบัติเหมือนเอกสารคุณภาพ อ้างอิง ก็จะให้ใบรับรองคุณภาพ ร.พ.ไว้ให้

         ประกาศให้ประชาชนทราบ การเป็น ร.พ.คุณภาพ

         ตลอดเวลาที่มีการติดป้ายประกาศ จะต้องมีการตรวจสอบภายใน เพื่อรับรองคุณภาพป้ายฯ

ให้มีคุณภาพตลอดที่ป้ายประกาศอยู่

หมายเหตุ กรรมการตรวจสอบภายใน ต้องได้รับการอบรม และ สอบผ่านการเป็นกรรมการตรวจสอบ

จากสถาบันรับรองคุณภาพ ร.พ.ก่อน ได้ใบประกาศเป็นผู้ตรวจสอบภายใน จึงจะทำหน้าที่ได้

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

แทรกเรื่อง ที่ 1

                      ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ข่าวการเมือง แก้เจ็บ จะนำมาเพิ่มที่กระทู้นี้ไปเรื่อย ๆ สนใจติดตามอ่านได้ ครับผม

                            

ทันโรคทันเหตุการณ์กับแพทยสภา น.ส.พ.แนวหน้า ประจำวันเสาร์ที่ 13 มีนาคม 2553

         http://www.naewna.com/news.asp?ID=203048

         แปดปีภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ความสำเร็จ ปัญหา อุปสรรค สิ่งท้าทายในการพัฒนา

         รัฐบาลได้ตราพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 โดยมีวัตถุประสงค์ที่ สำคัญคือ

         มุ่งหมายให้ประชาชนทุกคน สามารถเข้าถึงบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขอย่างทั่วถึง

โดยพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯนี้ ได้กำหนดให้มี

         กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติขึ้น โดยให้กองทุนนี้ ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาสุขภาพของประชาชน และให้

         สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นผู้ดูแลรักษากองทุนและจ่ายค่าบริการ ทางการแพทย์และสาธารณสุขให้แก่ประชาชน โดยให้มี

         คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นผู้วางกฎระเบียบในการจ่ายเงิน ตามบทบัญญัติในพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545

         โดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินี้ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน และ การทำงานของคณะกรรมการอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

         รัฐมนตรีไม่สามารถสั่งการคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ ต้องทำตามมติของคณะกรรมการเท่านั้น

         ในส่วนของแพทยสภา ซึ่งได้รับมอบอำนาจตามพ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 ให้มีหน้าที่

ควบคุมการประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ให้ถูกต้องตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมตามมาตรา 7(1) และ

ให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับปัญหาการแพทย์และสาธารณสุขของประ เทศ ตามมาตรา 7(5)

         ได้สังเกตเห็นว่า หลังจากการประกาศใช้พ.ร.บ.หลักประ กันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545 แล้ว มีจำนวนแพทย์ลาออกจากราชการมากขึ้นมีปัญหาการฟ้องร้องแพทย์มากขึ้น ประชาชนร้องขอเงินช่วยเหลือเบื้องต้นมากขึ้น รวมทั้งมีการนำคดีความไปฟ้องศาลมากขึ้น จนถึงกับมีการตัดสินให้มีการจำคุกแพทย์ในข้อหาฆ่าคนตายโดยประมาท เนื่องจากขาดแพทย์ผู้ เชี่ยวชาญด้านวิสัญญี ขาดแคลนจำนวนแพทย์ที่จะให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชน แพทย์ด้องทำงานหนัก มีชั่วโมงทำงานถึง สัปดาห์ละ 120 ชั่วโมง แต่มีเวลาตรวจผู้ป่วยเพียงคนละ 2-4 นาที ซึ่งทำให้ประชาชนเสี่ยงอันตรายจากความผิดพลาดเพราะหมอไม่มีเวลาใช้ดุลพินิจอย่างเพียงพอในการรักษาผู้ป่วย

         แพทยสภาจึงจัดสัมมนาขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานในหลักประกันสุขภาพ การบริหารงบประมาณค่าใช้จ่ายในการให้หลักประกันสุขภาพ บุคลากรที่ต้องให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชน สภาวิชาชีพที่ต้องควบคุมคุณภาพมาตรฐาน และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องจัดบริการสาธารณะด้านการแพทยและสาธารณสุขให้มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

         ทั้งนี้ เพื่อจะได้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้รับสิทธิเสมอกันในการรับบริการทางสาธารณสุขตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550มาตรา 51 และ รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านสังคม การศึกษา สาธารณสุข และวัฒนธรรมตามมาตรา 80(2)และมาตรา 82

         แพทยสภาหวังว่า การสัมมนาครั้งนี้ จะได้รับข้อมูลจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย จากทั้งวิทยากร และผู้เข้าร่วมสัมมนา และน่าจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข และระบบหลักประกันสุขภาพของประชาชนอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง ปลอดภัย ได้มาตรฐาน สมตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2550

http://www.naewna.com/news.asp?ID=203048

         พบข่าวนี้แต่ไม่บอกสถานที่ วันเวลา จัดสัมนาที่น่าสนใจนี้
ถ้าผมพบข่าว หรือ ใครพบข่าวช่วยนำมาโพสต์ต่อด้วยครับผม


         gek gek gek

         พบข่าวนี้แล้ว กำหนดการสัมมนาแปดปีภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปัญหา อุปสรรค สิ่งท้าทายในการพัฒนา ความสำเร็จและความเสี่ยง  

         ณ. ห้องประชุมไพจิตร ปวะบุตร อาคาร 7 ชั้น 9 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข วันศุกร์ ที่ 12 มีนาคม 2553

         การสัมนาผ่านไปแล้ว ติดตามข่าวนี้ได้จากเวบไทยคลินิคดอทคอม ข้างล่าง

http://www.thaiclinic.com/cgi-bin/wb_xp/YaBB.pl?board=doctorroom;action=display;num=1268120788

         gek gek gek

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

                      ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

แทรกเรื่อง ที่ 2

ข่าวการเมือง แก้เจ็บ จะนำมาเพิ่มที่กระทู้นี้ไปเรื่อย ๆ สนใจติดตามอ่านได้ ครับผม

          การดูแลทางด้านสาธารณสุขเบื้องต้นที่อังกฤษ และ ฟินแลนด์ พึ่งระบบPrimary health careมากประมาณ90%ของงาน

                        

         สถานีอนามัยที่สร้างไว้แล้วทุกตำบล สามารถพัฒนาเป็นสถานพยาบาลใกล้บ้านเป็นสถานที่ทำงานปฐมภูมิ ของ แพทย์ทั่วไป หรือ แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว

         เป็นการรักษาเมื่อเริ่มป่วยสามารถเข้าพบแพทย์ได้ทันที จะลดการเจ็บป่วยหนัก หรือ ร้ายแรงได้ ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ ลงได้เหมือนอารยประเทศ เช่น อังกฤษ และ ฟินแลนด์ ทำสำเร็จเป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ตามที่ ท่าน อจ.ศ.น.พ.พินิจ กุลวณิชย์ ไปดูงานมา

.........................................................

          บทความนี้ ผมในฐานะ แพทย์จุฬาฯ รุ่น 30 ลูกศิษย์ ท่านอาจารย์ พินิจ กุลละวณิชย์ เคยรับฟัง ท่าน สอน เกี่ยวกับโรคทางเดินอาหาร เมื่อมาได้พบ เรื่อง ที่ท่านเขียนลงคอลัมภ์ในหนังสือพิมพ์ มติชน ก็เก็บข่าวไว้ในเครื่องคอมพ์เพื่อนำมาอ้างอิง วันนี้จึงนำมาลงเผยแพร่ และ เรียนขออนุญาตท่านอาจารย์พินิจ มาด้วยความเคารพอย่างสูง ขอนำมาลง โดยยังไม่ได้ติดต่อกับท่าน หวังว่า ท่านอาจารย์คงไม่ว่า อะไร เพราะ ว่าเป็นบทความที่เป็นประโยชน์ต่อวงการสาธารณสุขของประเทศ และ เกี่ยวข้องกับงานที่ผมรับผิดชอบ ในตำแหน่งหัวหน้า งาน "เวชปฏิบัติครอบครัวและชุมชน" อยู่ จึงได้นำมาเผยแพร่ ให้ผู้เข้ามาในเวบบล็อค เวชศาสตร์ครอบครัว และ ชุมชน เนื้อข่าวมีดังต่อไปนี้

...........................................................................

                        

                  น.พ.พินิจ กุลละวณิชย์
             เลขาธิการแพทยสภา ปี 2548
                    ..........................

           "แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป "ของอังกฤษ คือ "แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว"ของไทย ที่เป็นแพทย์ทั่้วไปเรียน จบแพทย์ 6 ปี สามารถมาดูแลด่านแรก ที่ ร.พ.อำเภอ และ ร.พ.สร้างเสริมสุขภาพตำบลได้ทันที ไม่ต้องไปเรียนต่อเฉพาะทาง ซึ่่ง ร.พ.ด่านแรกทั้ง 2 ข้างต้นไม่จำเป็นต้องมีแพทย์เฉพาะทางมาอยู่เลย เพราะ การมีแพทย์เฉพาะทางทำให้แพทย์เครียดเพราะ ทำงานไม่ตรงสาขา ต้องรักษาแบบแพทย์ทั่วไปทั้งหมด

ในคอลัมภ์ ส่องโลกส่องสุขภาพ กับ แพทยสภา
จาก น.ส.พ.มติชน วันศุกร์ ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2548 มีใจความดังนี้


           เมื่อเร็วๆนี้ ผมได้เดินทางไปดูงานทางด้าน Primary health care หรือ การดูแลทางด้านสาธารณสุขเบื้องต้น(ระดับปฐมภูมิ)ที่อังกฤษ และ ฟินแลนด์ กับ กรรมการบริหารของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. หรือ โครงการ”30บาท”จริงๆแล้ว ผมไม่ได้เป็นกรรมการบริหารของ สปสช.แต่ท่าน นายกแพทยสภา ศ.เกียรติคุณ น.พ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา เป็น แต่ท่านไปไม่ได้เลยให้ผมไปแทนในนามของแพทยสภา

           จาการดูงานอาจกล่าวได้โดยสรุปว่าทั้ง 2 ประเทศ พึ่งระบบ Primary health care มาก กล่าวคือ 90% ของการดูแลสุขภาพของประชาชนจะอยู่ที่การป้องกัน สร้างเสริมสุขภาพ การดูแลการเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ เท่านั้น ซึ่งงาน 90% นี้จะขึ้นอยู่กับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป(General practisioner หรือ GP.), พยาบาล และ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขต่างๆ

           ประชาชนทุกคนถ้ามีปัญหาทางด้านสุขภาพจะต้องไปหา GPถ้า GPแก้ปัญหาไม่ได้จึงจะส่งต่อไปให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาล ประชาชนทุกๆ คนจะต้องขึ้นทะเบียนไว้กับ GP ฉะนั้น แพทย์ GP1คนจะมีผู้ป่วยหรือ ประชาชนประจำเป็นพันคน

           การทำงานของระบบ Primary health care ถือ ว่าสำคัญมากเป็นการสกัดกันไม่ให้ผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น แต่ถ้ามีกรณีฉุกเฉินก็ไปโรงพยาบาลได้เลย สมัยก่อนที่อังกฤษ GPอาจทำงานคนเดียว แต่ปัจจุบันนี้ GPจะรวมตัวกัน เป็นกลุ่ม อาจจะมี 6-10 คน มีพยาบาลเจ้าหน้าที่อื่นๆ รวมแล้วอาจมีถึง 30-40 คนทำงานค่อนข้างสบาย เพราะผู้ป่วยไม่หนัก

          บ้านเราพยายามมีระบบ GP แต่ยังทำไม่ครบวงจร ถ้าจะทำให้มีประสิทธิภาพ จะต้องทำคล้ายๆระบบอังกฤษ ฟินแลนด์ คือ ประชาชนทุกคนต้องไปขึ้นทะเบียนกับแพทย์ GPท่านหนึ่งท่านใด เงินเดือน GPต้องดีพอ แต่ปัจจุบันนี้ GPของเราได้เงินเดือนเท่าแพทย์อื่น ถ้าทำราชการ และ ต้องไปหารายได้พิเศษเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ป่วยมักชอบไปหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากกว่า

           แต่เขาก็ยังให้ความสำคัญกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังต้องมีมากพอ ยังต้องใช้งบประมาณมาก เพราะผู้ป่วยหนักๆ จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ ใช้เครื่องมือที่แพงในการตรวจ ยาที่แพง และ งบประมาณในการฝึกผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ

          ถ้าเราทำตามฝรั่งต้องทำให้ครบวงจร แต่ต้องเอาเฉพาะส่วนที่ดี เหมาะสมกับบ้านเราเท่านั้น และ นำมาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นกับสภาพของบ้านเรา

                                                                     น.พ.พินิจ กุลละวณิชย์
                                                               เลขาธิการแพทยสภา ปี 2548

นำมาจาก  http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=samrotri&month=11-2006&date=16&group=1&gblog=4

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

                      ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

แทรกเรื่อง ที่ 3

ข่าวการเมือง แก้เจ็บ จะนำมาเพิ่มที่กระทู้นี้ไปเรื่อย ๆ สนใจติดตามอ่านได้ ครับผม

           พ.ร.บ.วิชาชีพการสาธารณสุข และ พ.ร.บ.ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแห่งชาติ
เพื่อให้เกิด งานสาธารณสุขมูลฐาน ตาม Ottawa Charter เพื่อสุขภาพดีถ้วนหน้า


           ดู งานสาธารณสุขมูลฐาน ตาม Ottawa Charter ได้ที่

 http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3394.0.html

         "จุรินทร์”ยันหนุนร่างพรบ.วิชาชีพสาธารณสุข
 
คมชัดลึก : เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 53 เวลา 9.00 น.

         เครือข่ายวิชาชีพสาธารณสุขกว่า 150 คน นำโดยนายประสพ สารสมัคร สาธารณสุขอำเภอม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี แกนนำเครือข่ายวิชาชีพสาธารณสุข เข้าพบ

                        

         นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอความชัดเจนในการผลักดันร่าง พรบ.วิชาชีพสาธารณสุข พร้อมขอให้มีการประชุมร่วมสภาวิชาชีพเพื่อร่วมพิจารณาร่างกฎหมาย                  

         นายจุรินทร์ กล่าวว่า การผลักดันร่าง พรบ.วิชาชีพสาธารณสุข เป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนที่ตนได้ประกาศในช่วงเข้ารับตำแหน่งว่าจะผลักดันให้สำเร็จ

         ดังนั้นจึงต้องให้เวลาตนในการดำเนินการก่อน และพวกท่านต้องรอคอยตามความเป็นจริง แต่ยืนยันว่าจะไม่ล่าช้าเพราะตนมาอยู่ที่นี่ในเวลาที่จำกัด ทั้งนี้เมื่อประกาศเป็นนโยบายไปแล้ว ต้องอยากให้สัมฤทธิ์ผล จึงอยากให้สบายใจ

         ส่วนที่ร่างกฎหมายยังมีข้อท้วงติง 1-2 ข้อนั้น ตนอยากให้แก้ไข ไม่อยากให้มีในเนื้อหากฎหมาย เพื่อร่างกฎหมายจะได้ผ่านการพิจารณาในสภาฯ ได้ ไม่เช่นนั้นก็จะตกไป อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ตนได้มอบให้

                        

         นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รีบดำเนินการยกร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพสาธารณสุข ที่เป็นของกระทรวงแล้ว

         “ในระหว่างนี้ขอให้ติดตามดูว่า ผมจะผลักดันร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพสาธารณสุขอย่างไร แต่ที่แน่ๆ พวกท่านกับไปบอกกับพวกเราได้ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุน” รมว.สาธารณสุข กล่าว

         นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า จากนี้ไปหัวใจงานสาธารณสุขจะอยู่ที่ชุมชน เข้าไปสู่ครอบครัว ซึ่งเจ้าหน้าที่สถานีอนามัย เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งทำงานในทุกพื้นที่จะต้องเข้ามามีบทบาททำงานหนักมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งเสริมสุขภาพ คุ้มครองผู้บริโภคตามนโยบาย 10 ข้อที่ตนเร่งรัด ดังนั้นจึงอยากให้สบายใจว่า รมว.สาธารณสุขจะให้ความสำคัญกับพวกท่านมากขึ้น เพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย

         ด้าน นายประสพ กล่าวภายหลังพบ รมว.สาธารณสุข ว่า รู้สึกพอใจกับคำตอบที่ได้รับ ซึ่ง รมว.สาธารณสุขได้รับปากที่จะผลักดันร่าง พรบ.วิชาชีพสาธารณสุข และได้กำหนดเป็น 1 ในนโยบาย 10 ข้อแล้ว ซึ่งทางสมาคมวิชาชีพสาธารณสุขจะตั้งคณะกรรมการเข้าไปให้ข้อมูลและร่วมพิจารณาในอีก 2 สัปดาห์หน้านี้ โดยการระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมาย ซึ่งจะมีตัวแทนจากสภาวิชาชีพต่างๆ มาประชุมร่วมกัน

         นำมาจาก น.ส.พ.คมชัดลึก วันพุธ ที่ 27 ม.ค.2553

http://www.komchadluek.net/detail/20100127/46212/%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E2%80%9D%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%9A.%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82.html

         หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า

         ข่าวเกี่ยวกับ พ.ร.บ.วิชาชีพสาธารณสุข กับ พ.ร.บ.ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแห่งชาติ
         ที่จะเสริมงานสาธารณสุขมูลฐานให้สำเร็จได้


         เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยทั่วประเทศนับหมื่นบุกกรุง ดันร่าง พ.ร.บ.2 ฉบับ พัฒนามาตรฐานคน และ มาตรฐานการทำงาน สุดทนสภาพ งานหนักเงินน้อยด้อยศักดิ์ศรี เหมือนพลเมืองชั้นสองของ สธ. นัดรวมพล 19 สิงหานี้ ที่ลานพระบรมรูปฯ

         น.ส.พ.คมชัดลึก วันพฤหัสบดี ที่ 13 สิงหาคม 2552 :

         นายไพศาล บางชวด นายกสมาคมวิชาชีพสาธารณสุข เปิดเผยว่าได้เข้าพบ

                        

         นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วยกรรมการสมาคม เพื่อมอบร่าง

         พ.ร.บ.วิชาชีพการสาธารณสุข และ พ.ร.บ.ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแห่งชาติ ที่สมาคมผลักดันให้ผ่านเป็นกฎหมายบังคับใช้

         นายวิทยากล่าวว่า เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์มาก และได้มอบหมายให้นายพิเชฐ พัฒนโชติ ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข และฝ่ายกฎหมายของกระทรวง ไปศึกษาและยกเป็นร่างกระทรวงขึ้นมาประกบเพื่อเสนอเป็นร่างของรัฐบาลต่อไป

         นายไพศาลกล่าวว่า การเคลื่อนไหวผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับเป็นมติจากการประชุมสัมมนาสมาชิกสมาคม ซึ่งประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในสถานีอนามัยทั้ง 4 ภาค ในหัวข้อ

         “95 ปี สถานีอนามัย :ทศวรรษใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลง”

         ได้ข้อสรุปว่า จะร่วมกันผลักดันร่าง พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับให้ผ่านเป็นกฎหมายให้ได้ เพราะจะช่วยทำให้ได้

         ยกระดับมาตรฐานการทำงานของบุคลากรในวิชาชีพสาธารณสุขทั้งในแง่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิความเสมอภาคกับบุคลากรด้านอื่นๆ ของกระทรวงสาธารณสุข และ การทำงานมีคุณภาพมากขึ้น

         “สาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.ทั้งสองฉบับที่เสนอ คือ

         เรื่อง การพัฒนามาตรฐานคนทำงาน กับ มาตรฐานงานดูแลสุขภาพประชาชน ซึ่งประโยชน์ทั้งหมดก็จะตกอยู่กับสุขภาพโดยรวมของประชาชนที่เข้ามาใช้บริการนั่นเอง

         เพราะเจ้าหน้าที่สถานีอนามัย คือ บุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขที่ทำงานใกล้ชิดกับชาวบ้านมากที่สุด แต่กลับได้รับการเหลียวแลน้อยที่สุด ทั้งงบประมาณ ทรัพยากรต่างๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ จนปัจจุบันพูดได้เลยว่าเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยขาดขวัญและกำลังใจในการทำงานอย่างมาก รู้สึกเหมือนถูกปฏิบัติราวกับเป็นพลเมืองชั้นสองของกระทรวงสาธารณสุข” นายไพศาลกล่าว
 
         ทั้งนี้ ในวันที่ 19 สิงหาคม นี้ จะมีเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยจากทั่วประเทศประมาณ 1 หมื่นคน มาร่วมประชุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจะมารวมตัวแสดงพลังประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการผลักดันร่างพ.ร.บ.ทั้งสองนี้ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อให้รัฐบาลและพรรคการเมืองทุกพรรคได้รับทราบถึงความต้องการอย่างแท้จริง แม้ว่าขณะนี้จะมีความพยายามจากผู้บริหารระดับสูงขัดขวางการเดินทางมาชุมนุม แต่ยืนยันว่า การแสดงพลังในวันที่ 19 สิงหาคม จะต้องมีอย่างแน่นอน

นำมาจาก น.ส.พ.คมชัดลึก วันพฤหัสบดี ที่ 13 ส.ค.2552

http://www.komchadluek.net/detail/20090813/24114/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E.%E0%B8%A3.%E0%B8%9A.%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E19%E0%B8%AA.%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89.html

         ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

         ดังนั้น พ.ร.บ.วิชาชีพการสาธารณสุข และ พ.ร.บ.ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแห่งชาติ นี้จะเสริมด้านบุคลากร ทุน และ วิธีดำเนินการ ใน 3 M : Man , Money , Management เพื่อพัฒนา เป็น หัวหอกในการผลักดัน

         งานสาธารณสุขมูลฐาน ตาม Ottawa Charter

         http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3394.0.html

         ให้สำเร็จ เพื่อประชาชน จะได้มีสุขภาพแข็งแรง ตามนโยบายองค์การอนามัยโลก ที่ ประชุม ที่ประเทศคานาดา เมื่อ ปี 2529 หรือ 24 ปีมาแล้ว

         สุขภาพดีถ้วนหน้า นี้ แม้จะถึงช้า ก็ ดีกว่าไม่ถึงเลย จริงไหมพวกเรา


OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

                      ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

แทรกเรื่อง ที่ 4

ข่าวการเมือง แก้เจ็บ จะนำมาเพิ่มที่กระทู้นี้ไปเรื่อย ๆ สนใจติดตามอ่านได้ ครับผม


กว่าจะได้ป้าย ร.พ.คุณภาพ จาก สรพ.มาประกาศและมีประโยชน์อย่างไร

                     ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ได้พบกระทู้
 
         "ทางดีไม่มีคนเดิน" ในเวบ

http://www.budpage.com/forum/index.php

มีเนื้อหาว่า "ทางดี" หรือ คำสอนที่มุ่งให้

"เสียสละประโยชน์ส่วนตัว เพื่อประโยชน์ของคนส่วนรวม เพื่อให้การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข ไม่เบียดเบียนกัน"

มีในทุกศาสนา แต่ยังไม่สามารถทำให้เกิดเป็นจริงได้ ยังมีการเบียดเบียนเอาเปรียบกันดังคำที่ว่า

                

         "ปลาใหญ่ กิน ปลาเล็ก"

จึงมีผู้คิด แนวทางเพื่อทำให้คนต้องปฏิบัติตามแนวทาง

         "ทางดีที่ไม่มีคนเดิน"ให้เป็นรูปธรรม ปฏิบัติได้จริง โดย มี 2 แนวคิด คือ

แนวคิดที่ 1 เรื่อง "วงจรคุณภาพของเดมมิงส์"และ

แนวคิดที่ 2 เรื่อง ”การมีป้ายรับรองคุณภาพ”

แนวคิดที่ 1 วงจรคุณภาพของเดมมิงส์ นำเสนอโดย

                                  
                           William Edwards Deming
October 14, 1900–December 20, 1993 was an American statistician, college professor

ดูประวัติของท่านได้ที่

http://en.wikipedia.org/wiki/W._Edwards_Deming

ดู เรื่องวงจรคุณภาพที่ เวบ Balanced Scorecard Institute ที่

http://www.balancedscorecard.org/bkgd/pdca.html

เป็นกุศโลบายที่จะทำให้การดำเนินการมีคุณภาพ โดย มี

ขบวนการ ดำเนินตามวงจรคุณภาพ ดังนี้

              

1. การวางแผน PLAN ต้องหา...ข้อมูล บุคคล ความรุ้ และ อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นำมาร่วมวางแผน

2. การดำเนินการตามแผน DO

3. การประเมินผลระหว่างดำเนินงาน CHECK และ

4. การแก้ไข ACT เมื่อไม่เข้าเป้าหมายของแผน เช่น มีอุปสรรค มีความรู้ใหม่ มีความคิดเห็นจากผู้ใช้บริการ ฯลฯ เพื่อแก้ไขแผน เพื่อให้เข้าสู่เป้าหมายคุณภาพ

วงจรคุณภาพนี้ เปรียบ เป็น

ทางดี ที่ไม่มีคนเดิน จะทำให้มีีคนเดินได้ด้วย.....

แนวคิดที่ 2 เรื่อง ”การมีป้ายรับรองคุณภาพ”

         โดย มีองค์กรอิสระภายนอก มาพัฒนา และ ให้ป้ายรับรอง เป็น ร.พ.คุณภาพ องค์กรนั้น คือ

         สถาบันรับรองคุณภาพ ร.พ.หรือ สรพ.

สามารถเข้าเวบสถาบันรับรองคุณภาพ ร.พ. หรือ สรพ. ได้ที่

         http://www.ha.or.th/



        ทำไม ร.พ.ต้องมีป้ายรับรองคุณภาพ

1.เพื่อให้ได้รับเงินงบประมาณ จาก สำนักงานประกันสุขภาพ แห่งชาติ : สปสช.ได้ เพราะ
สปสช.จะให้ประชาชนมาใช้บริการ ฟรีได้ ใน ร.พ.ที่ได้ป้ายประกาศการเป็น ร.พ.คุณภาพเท่านั้น

2.เพื่อให้มาตรฐาน ร.พ.คงที่แน่นอน เพราะ มีแนวทางดำเนินการ ตามเอกสารอ้างอิงคุณภาพ  แม้บุคลากร ที่ทำงานไม่อยู่ การทำงาน ของ ร.พ.ก็จะยังคงคุณภาพ เหมือนเดิม ตามเอกสารอ้างอิงคุณภาพ  จาก สรพ.ตลอดไปที่มีป้ายรับรองประกาศอยู่

3. เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมแสดงความพึงพอใจในบริการ โดยเขียนแสดงคุวามคิดเห็น ลงตู้แสดงความคิดเห็นซึงความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญที่ ร.พ.ที่ได้ป้ายรับรองจะต้องมีเพื่อนำข้อคิดเห็นที่ดี นำมาพิจารณา ร่วมกับ สรพ.เพื่อแก้ไขเอกสารอ้างอิงคุณภาพ ให้ประชาชนพึงพอใจมากขึ้นได้

                    

4.เพื่อให้เจ้าหน้าที่ ร.พ.มีแนวทางที่แน่นอนในการทำงานโดยมีเอกสารคุณภาพ เป็นเส้นทางให้เดิน

5. เมื่อมีการฟ้องร้อง ผู้ตัดสินการฟ้องร้อง จะได้ใช้เอกสารคุณภาพ ของ ร.พ.คุณภาพ มาใช้ตรวจสอบ ว่าทำตามแนวทางหรือไม่ เพื่อให้คำตัดสิน แนวทางการรักษาคุณภาพนี้ จึง เปรียบเป็น เสื้อเกราะปัองกันผู้ปฏิบัติงาน ที่ยึดมั่นแนวทางคุณภาพ

สรุป : ทางดีที่ไม่มีคนเดิน สามารถทำให้คนเดินได้ โดย ระบบคุณภาพ มีองค์กรภายนอก สรพ.มาพัฒนา และ รับรองคุณภาพองค์กรให้ ทำให้ทุกคนต้องเดินตามทางดี ที่เขียนเป็นเอกสารอ้างอิงอย่างเคร่งครัด
ทำให้ทางดีที่ไม่มีคนเดิน เป็นทางที่จำเป็นจะต้องเดินเพื่อให้คงได้รับป้ายรับรองคุณภาพ ไว้ไม่ถูกยึดคืนนั่นเอง


        
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #1 เมื่อ: 21 มีนาคม 2553, 12:07:52 »


                    

          ทันโรคทันเหตุการณ์กับแพทยสภา
น.ส.พ.แนวหน้า ประจำวันเสาร์ ที่ 20 มีนาคม 2553


          จะทำอย่างไรกับค่ารักษาพยาบาลที่แพงเอาๆ?

          ผมรู้สึกเห็นใจ กรมบัญชีกลางของกระทรวงการคลังที่รับผิดชอบดูแลงบประมาณค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการและครอบครัวราว 4 ล้านคน อันเป็นสวัสดิการที่รัฐจัดให้ซึ่งทางฝ่ายข้าราชการโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการชั้นผู้น้อย ถือว่าเป็นสิทธิอันพึงมีพึงได้และเป็นแรงจูงใจสำคัญที่พวกเขาตัดสินใจมาสมัครเป็นข้าราชการ ด้วยความหวังว่า

         เวลาเขาหรือครอบครัวเจ็บป่วยจะมีคนดูแลรักษาให้ฟรี ทางฝ่ายรัฐก็รักษา งบประมาณสนับสนุนสวัสดิการกลางด้วยดีมาตลอด    

           5 ปีหลังนี้ ค่ารักษาพยาบาลที่เบิกจ่ายมาที่กรมบัญชีกลาง พุ่งสูงขึ้นกว่าร้อยละ 20 ทุกปี จนตัวเลขปาเข้าไปถึง 6 หมื่นล้านบาทเมื่อปีงบประมาณที่ผ่านมาและคาดว่าจะเติบโตเป็นแสนล้านใน 2 ปีข้างหน้า

        ถ้าไม่มีการปรับเปลี่ยน กระบวนวิธีการเบิกจ่าย


         สาเหตุที่ค่ารักษาพยาบาลทางข้าราชการเพิ่มขึ้นไม่หยุด ส่วนหนึ่ง เพราะ เป็นระบบปลายเปิด คือ จ่ายตามที่ผู้ให้บริการเรียกเก็บที่เรียกว่า FEE FOR SERVICE

         ซึ่งต่างจากค่ารักษาพยาบาลในกองทุนประกันสังคมและกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า(บัตรทอง) ที่จ่ายผู้ให้บริการแบบเหมาจ่ายรายหัวรายปี (CAPITATION)

         โดยทั้งสองแบบนี้มีปัญหาต่างกัน

แบบแรกผู้จ่ายอ่วม

ส่วนแบบหลัง สถานพยาบาล ผู้ให้บริการต่างบ่นว่าขาดทุนเพราะต้นทุนค่ารักษาเพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้ซื้อบริการเหมาจ่ายมาอย่างจำกัด


         จะเป็นการจ่ายค่ารักษาแบบไหนก็ตาม ทุกฝ่ายต้องยอมรับว่าต้นทุนการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นตามความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งมีการวิจัยและพัฒนายากับเทคโนโลยีการรักษาใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ยาและเครื่องมือใหม่ๆล้วนมีราคาแพง ซึ่งผู้ผลิตต้องเรียกเก็บจากผู้ใช้ ผู้ใช้จึงมีหน้าที่หาเงินมาจ่ายค่ารักษาเป็นก้อนหรือจ่ายเป็นเบี้ยประกันสุขภาพเพื่อให้บริษัทประกันรับภาระต่อ

        การเลือกวิธีการรักษาที่ดีที่สุด ซึ่งประชาชนผู้ใช้บริการสามารถมีบทบาทร่วมประสานกับแพทย์และโรงพยาบาลผู้ให้บริการได้ แต่แพทย์จะต้องยอมรับในกระบวนการวิธี ประกอบวิชาชีพเวชกรรมสมัยใหม่กล่าวคือ

         การวินิจฉัยและรักษาโรคโดยใช้ข้อมูลประจักษ์ทางการแพทย์ (EVIDENCE - BASED MEDICAL PRACTICE)

         กรมบัญชีกลางเองก็กำลังปวดเศียรเวียนเกล้ากับ การรักษาแบบไม่ดูข้อมูลประจักษ์ทางการแพทย์ของหมอในโรงพยาบาลภาครัฐหลายแห่ง

         ดังจะเห็นได้จากหนังสือขอความเห็นของกรมบัญชีกลางไปที่แพทยสภาเกี่ยวกับการรักษามะเร็งเต้านม และโรคกระดูกพรุนพร้อมทั้งข้อมูลเวชระเบียนของคนไข้

         แพทยสภาจึงทำตัวเป็นคนกลางสอบถามผู้เชี่ยวชาญของมะเร็ง วิทยาสมาคมและสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย ปรากฏว่าผู้เชี่ยวชาญดูทั้งข้อมูลการรักษาที่ส่งตัวอย่างถามไปแล้วบอกว่า

         แพทย์เจ้าของไข้ไม่ได้ใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์ในการสั่งการรักษา มีผลทำให้เกิดความสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ

         ผมปวดหัวแทนกรมบัญชีกลางจึงขอเชิญชวนแพทย์ทุกท่านช่วยกันหาทางออกที่ดีให้แก่รัฐบาลด้วยครับ

                                                             ด้วยความปรารถนาดีจาก
                                             พลตำรวจตรีนายแพทย์ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์
                                                                กรรมการแพทยสภา
                                                                  วันที่ 20/3/2010

                                                             ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

                                    นำข่าวมาจาก http://www.naewna.com/news.asp?ID=204091

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

ทันโรคทันเหตุการณ์กับแพทยสภา ประจำวันที่ 17 เมษายน 2553
                  http://www.naewna.com/news.asp?ID=207651

                       CER น่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ

           ท่านผู้อ่านที่จ่ายเงินค่ายาหรือค่ารักษาพยาบาลที่คลินิกและที่โรงพยาบาลเอง คงจะพบความจริงว่าในรอบสิบปีที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายเหล่านี้สูงขึ้นตามลำดับ โดยอัตราเพิ่มจะเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ ไม่ต้องดูอื่นไกลหรอกครับ เมื่อไม่กี่ปีก่อนค่ารักษาและผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบในโรงพยาบาลระดับ 3 - 4 ดาว จะตกประมาณหมื่นกว่าบาท แต่เดี๋ยวนี้ต้องเตรียมเงินไว้ตั้งแต่ห้าหมื่นถึงแสนบาท
                     
           ทุกประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาเดียวกัน หลายๆประเทศจึงหาทางชะลอค่ารักษาพยาบาลไม่ให้แพงขึ้นด้วยมาตรการต่างๆ โดยใช้

                         

          แนวคิดที่ว่าต้องเป็นวิธีการรักษาพยาบาลที่คุ้มค่าและคุ้มทุน (Cost - Effective และ Cost - Benefit) แต่เนื่องจากการรักษาโรคต่างๆ มีวิธีการที่ดีๆมากกว่าหนึ่งวิธี แต่ละวิธีก็มีค่าใช้จ่ายแตกต่างกัน

          หลายประเทศ จึงใช้วิธีที่เรียกว่า การวิจัยเปรียบเทียบประสิทธิผลการรักษา หรือ CER (Comparative - Efficiency Research) ซึ่งที่สหรัฐอเมริกาทางรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพื่อการนี้ประมาณหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีงบประมาณปัจจุบัน โดยตั้งความหวังว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะยาว

           ตอนแรกที่รัฐบาลประกาศแนวคิดดังกล่าว มีสมาชิกรัฐสภาบางคนคัดค้านแล้วประณามว่าทางรัฐบาลกำลังจะปันส่วนการรักษาและเลือกปฏิบัติ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ โดยมีตัวอย่างงานวิจัยเปรียบเทียบที่พบว่าการรักษาแบบใหม่ที่มีราคาแพงบางครั้งก็จำเป็น เช่นวิธีรักษาคนไข้ที่กล้ามเนื้อหัวใจตายแล้วหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดปกติ ( MI with Nonsustained Ventricular Tachycardia) โดยใช้อุปกรณ์ฝังเข้าไปในหัวใจเพื่อกำกับการเต้นของหัวใจ (Implantable Defibrillator) ซึ่งมีราคาแพงระยับ จะมีประสิทธิผลดีกว่าการใช้ยาและมีความคุ้มค่ากว่าแม้จะแพงกว่า ทำให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและอายุยืนขึ้น

          ในอีกงานวิจัยหนึ่งซึ่งมีชื่อย่อว่า ALLHAT (Antihypertensive And Lipid-Lowering Treatment To Prevent Heart Attack Trial) นักวิจัยพบว่ายาขับปัสสาวะราคาถูกที่แพทย์สมัยใหม่พากันลืมเลือนเลิกใช้เพราะเป็นยาเก่า กลับได้ผลดีกว่าการให้ยาลดแรงดันโลหิตกลุ่มใหม่ที่มีราคาแพงกว่า ไม่เป็นจะเป็นยากลุ่ม ACE Inhibitor, ยาปิดกั้นแคลเซียมและกลุ่ม Alpha-Blocker ก็ตาม

           ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนะว่าบรรดาบริษัทยายักษ์ใหญ่ที่มีงบประมาณวิจัยยามากๆ ควรจะพิจารณาลงทุนวิจัยเปรียบเทียบการรักษาแบบใหม่กับแบบเดิมว่าดีกว่าจริงๆ ยิ่งถ้าค่ารักษาโดยรวมถูกกว่ายิ่งดีใหญ่ ซึ่งปรากฏว่าขณะนี้ประเทศอังกฤษ, ออสเตรเลีย และแคนาดา เริ่มใช้มาตรการวิจัย CER ในการอนุมัติยาใหม่ที่มีข้อมูลประจักษ์ว่าดีกว่าจริงๆ

           CER จะให้ข้อมูลทางวิชาการแก่ผู้ให้บริการสุขภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาแพทย์ทั้งหลายที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ค่อยยอมรับคำสั่งจากใคร แต่ถ้าเป็นผลงานวิจัยเปรียบเทียบที่บ่งชี้ว่าการรักษาวิธีหนึ่งดีกว่าวิธีหนึ่งอย่างชัดเจน อย่างนี้เธอจะยอมรับและนำไปประกอบการตัดสินใจทางคลินิกได้ดีกว่า แทนที่จะใช้กลไกการตลาดมาชักชวนคุณหมอให้ใช้ยาที่เพิ่งวางตลาดโดยไม่มี CER

                                          ด้วยความปรารถนาดีจาก
                          พลตำรวจตรี นายแพทย์ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์
                                             กรรมการแพทยสภา
                                               วันที่ 17/4/2010

                                gek gek gek

                                                

        ผมปวดหัวแทนกรมบัญชีกลางจึงขอเชิญชวนแพทย์ทุกท่าน
ช่วยกันหาทางออกที่ดีให้แก่รัฐบาลด้วยครับ  

                        พลตรีนายแพทย์ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์


                                 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

         ผมในฐานะแพทย์ครอบครัวด่านแรก ขอเสนอวิธีแก้ค่ารักษาเพิ่ม นอกจากใช้ การวินิจฉัยและรักษาโรคโดยใช้ข้อมูลประจักษ์ทางการแพทย์ แล้ว ด้วยการ

1.ใช้การจ่ายค่ารักษาตามราคากลาง ที่มีหลักการ มีเหตุผล และ ยุติธรรม เรียกว่า การจ่ายตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม หรือ Diagnosis Related Group : DRG และ การวินิจฉัยและรักษาโรคโดยใช้ข้อมูลประจักษ์ทางการแพทย์ หรือ EVIDENCE - BASED MEDICAL PRACTICE จะทำให้คุมราคาค่าใช้จ่าย โดยประชาชนได้รับการรักษาที่ถูกต้องไม่สิ้นเปลืองเกินจำเป็น

2.มีการบันทึกส่งข้อมูลการรักษาลงในคอมพิวเตอร์ เพื่อส่งให้ สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ : สปสช.ผู้ทำหน้าที่จ่ายเงิน และ ตรวจสอบหลักฐานค่าดูแลสุขภาพ ทางออนไลน์ เพื่อตรวจสอบ ทั้งตาม  DRG และ EVIDENCE - BASED MEDICAL PRACTICE และ จ่ายค่ารักษาโอนเข้าทางบัญชีธนาคารอย่างรวดเร็ว

3.ใช้วิธีการ ที่องค์การอนามัยโลก ได้สรุปจากการประชุมที่เมืองออตตาวา ประเทศแคนาดา เมื่อ ปี 2529 เรียกว่า Ottawa Charter ให้

         ใช้กลวิธีสาธารณสุขมูลฐาน เพื่อให้ประชาชนสุขภาพแข็งแรงไม่ป่วยง่าย จะทำให้ค่ารักษาพยาบาล ลดลงได้                                  

                          

                     การสาธารณสุขมูลฐาน

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,4945.0.html

มีตัวชี้วัดความสำเร็จอยู่ 4 ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดตัวที่ 2 คือ

         ประชาชนมีส่วนร่วมในการมีสุขภาพดีด้วย ด้วยการทำหน้าที่ดูแลสุขภาพ

ปฏิบัติตาม สุขบัญญัติ 10 ประการของกรมอนามัย
อันประกอบด้วย

1. การดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด

2. รักษาฟันให้แข็งแรงและแปรงฟันทุกวัน

3. ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังขับถ่าย

4. กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด

5. งดสูบบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนันและการสำส่อนทางเพศ

6. สร้างสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น

7. ป้องกันอุบัติเหตุด้วยการไม่ประมาท

8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอและตรวจสุขภาพประจำปี

9. ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส

10. มีจิตสำนึกต่อส่วนรวม ร่วมสร้างสรรค์สังคม

         แต่การที่จะให้ประชาชนปฏิบัติตามสุขบัญญัติ 10 ประการข้างต้นเป็นการยากเหมือนการเขยื้อนภูเขา ต้องใช้

         สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ที่เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มาช่วย

ด้านที่่ 1 ให้ความรู้ ว่าการปฏิบัติตาม สุขบัญญัติ 10 ประการ จะทำให้แข็งแรงไม่ป่วยง่าย

ด้านที่ 2 การรวมตัวกันของประชาชนที่เข้าใจความรู้ สร้างเป็นวัฒนธรรมการปฏิบัติตัวตามสุขบัญญัติ 10 ประการ ไม่มีบทลงโทษ

         ถ้าไม่ทำตามเพียงแต่ ถูกมองแปลก มองแบบไม่พอใจ จากชุมชนเท่านั้น จึงยังมีคนไม่ทำตามอยู่ ต้องใช้ด้านที่ 3 ด้วย

ด้านที่ 3 ด้านการเมือง ใช้การเมือง โดยการใช้กุศโลบาย ให้ประชาชนทำตาม

         มีวิธีได้ 3 ทาง คือ

1.เชิงบวก  เช่น การประกวดยอดคนสุขภาพดี ไม่เคยเจ็บป่วย เลย ให้ได้รับรางวัล

2.เชิงลบ เช่น ให้ร่วมจ่ายถ้าไม่ทำหน้าที่ดูแล สุขภาพ ป่วยบ่อยมากเกินคนทั่วไปป่วยกัน ใช้ค่ารักษามากเกินที่ควรเป็น ควรให้ร่วมจ่ายค่ารักษา 20 % เพื่อให้ดูแล สุขภาพไม่ป่วยบ่อย โดย

         การกำหนดว่าดูแลสุขภาพหรือไม่ โดยใช้น้ำหนักตัวตามดัชนีมวลกายค่าปกติ 18-25 ถ้าน้อยไป หรือ มากไป ให้ร่วมจ่ายค่ารักษา 20 % ตามที่ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มปีละ 20 %  

         การคำนวณดัชนีมวลกาย ใช้ น้ำหนัก เป็น กิโลกรัม หาร ด้วยส่วนสูงเป็นเมตร หาร 2 ครั้ง จะได้ค่าดัชนีมวลกาย แต่ประชาชนจะคำนวณยาก สามารถ ใช้เส้นรอบเอวระดับสะดือไม่เบ่ง ไม่ทำพุงแห้ง มาแทนเกณฑ์ดัชนีมวลกายได้ ได้แ่ก่ รอบเอว

         ผู้ชาย ไม่ควรเกิน 90 ซม. หรือ 36 นิ้ว

         ผู้หญิง ไม่ควรเกิน 80 ซม. หรือ 32 นิ้ว

         โดยมีข้อยกเว้น ให้แพทย์พิจารณา ให้ฟรีได้ โดยต้องกลับมาบอกเหตุผล ที่ไม่มีจ่าย และ เหตุผลที่ทำให้น้ำหนักเกิน เพื่อแพทย์จะได้ แนะนำโทษของการมีน้ำหนักเกินเกณฑ์ พร้อมชักชวนให้เข้า ชมรมไร้พุงลดความอ้วน ของ ร.พ. สร้างเสริมสุขภาพอำเภอ หรือ ตำบล (สถานีอนามัยเดิม ใกล้บ้าน)

3.เชิงผสมผสาน ใช้วิธีทั้ง 2 วิธีข้างต้น ทั้ง เชิงบวก และ ลบ ร่วมกัน เป็นต้น
                                
         นำมาเสนอพวกเราที่มีความสามารถเข้าพบท่านได้ ให้ช่วยนำเสนอ

                                

          ท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์  รมต.ว่าการกระทรวงสาธารณสุข

                                

         ท่านนายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วม พิจารณา

                                      ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ



แผนฟื้นฟูประกันสุขภาพของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บารัค โอบามา
                ผ่านความเห็นขอบจากบรรดา ส.ส. ในรัฐสภา


                                

          สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 22 มี.ค. ว่า หลังการประชุมโหวตลงมติผ่านความเห็นชอบแผนฟื้นฟูประกันสุขภาพจากรัฐสภา ผลปรากฏว่า แผนดังกล่าวของ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ได้รับเสียงสนับสนุนจากบรรดา ส.ส. ในรัฐสภา ด้วยคะแนน 220-211

          ทั้งนี้ โอบามา กล่าวว่าหลังจากที่แผนของเขาได้รับไฟเขียวว่า การตัดสินใจของสภาในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตามมันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และ มันจะเป็นประโยชน์ต่อชาวอเมริกันทั้งหมด ไม่ใช่แค่เฉพาะกับพรรคการเมือง.

          นำมาจากไทยรัฐ วันจันทร์ ที่ 22 มีนาคม 2553

http://www.thairath.co.th/content/oversea/72189

           ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

          นำมาให้พวกเราดูว่า อเมริกา ผ่านกฏหมายประกันสุขภาพแล้ว จะทำให้ ผู้ใช้บริการ มีอำนาจต่อรองกับ ผู้ให้บริการได้ จะทำให้เกิดการแข่งขันของสถานพยาบาล เพื่อให้รัฐบาลสามารถเลือกซื้อให้ประชาชน ที่จะให้การดูแลสุขภาพ และ สามารถกำหนดหน้าที่ ที่ประชาชนต้อง ทำ เพื่อการมีสุขภาพดี เพื่อได้รับสิทธิประกันสุขภาพของรัฐด้วย
         ถ้าไม่ทำตามต้องร่วมจ่ายบ้างบางส่วน เตือน

          ในประเทศไทย ผ่าน พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มา 8 ปีแล้ว ก่อนหน้าอเมริกาอีก ถ้าใช้่วิธีให้ประชาชนทำหน้าที่ก่อนเพื่อได้สิทธิ จะทำให้ประชาชนต้องใส่ใจการดูแลสุขภาพได้ด้วย เมื่อดูแลสุขภาพ จะป่วยน้อยลงค่ารักษาจะลดลงเบี้ยประกันสุขภาพที่รัฐต้องจ่ายจะลดลงได้

         ดูเนื้อหา พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่

http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2545

         เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ


          


      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #2 เมื่อ: 17 เมษายน 2553, 16:20:31 »


                  พกบัตร ปชช.เที่ยวสงกรานต์ฉุกเฉินเข้ารพ.ฟรี

                                              

         นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)แนะพกบัตรประชาชน เที่ยวสงกรานต์ เพื่อใช้สิทธิเข้ารักษาตัว ใน โรงพยาบาลฟรี กรณีเกิดอุบัติเหตุ โดยให้ข่าวว่า

         ระหว่างวันที่ 10-18 เม.ย. 2553 ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีประชาชนจำนวนมากเดินทางไปท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งหลังจากที่ รัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนไทยมีบัตรประจำตัวประชาชนเพียงใบเดียวที่สามารถใช้ในการรับบริการสาธารณสุขจากหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้อย่างสะดวกมากขึ้น

         สำหรับประชาชนที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ไม่จำเป็นต้องพกบัตรทองแล้ว และหากเกิดกรณีเจ็บป่วยกระทันหันหรือฉุกเฉิน รวมทั้งประสบอุบัติเหตุ ผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ากว่า 47 ล้านคน สามารถเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐ หรือ โรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุด เพื่อช่วยชีวิตหรือช่วยผ่าตัดเร่งด่วน ก่อนส่งตัวกลับไปรักษาพยาบาลที่หน่วยบริการประจำต่อไป

         และหากพบเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุ ให้โทรแจ้งที่ 1669 ทั่วประเทศเพื่อขอรับความช่วยเหลือภายใน 30 นาที ทั้งนี้การใช้สิทธิการเจ็บป่วยฉุกเฉินดังกล่าวนั้น ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ขึ้นอยู่กับความจำเป็น ซึ่งเป็นผลมาจากมติของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้ยกเลิกการจำกัดความคุ้มครองการเจ็บป่วยฉุกเฉิน จากเดิมไม่เกินปีละ 2 ครั้งเปลี่ยนเป็นผู้ป่วยสามารถใช้บริการนอกหน่วยบริการที่กำหนดได้ตามความจำเป็นไม่จำกัดจำนวนครั้ง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นอย่างแท้จริง

         เลขาธิการ สปสช. กล่าวด้วยว่า สำหรับการเข้ารักษาพยาบาลในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินนั้น ต้องมีข้อบ่งชี้ว่าโรค หรืออาการของโรคมีลักษณะรุนแรง ต้องรักษาเป็นการเร่งด่วน หากปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือทุพพลภาพหรืออาจจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่นได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที รวมทั้งโรคที่ต้องผ่าตัดด่วนหากปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ซึ่งโรงพยาบาลที่ให้การรักษาผู้ป่วยบัตรทองสามารถเบิกค่ารักษาได้จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามจริงแต่ไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยจากเรื่องดังกล่าว สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน สปสช.โทร. 1330 ตลอดเวลา

นำมาจาก น.ส.พ.ไทยรัฐ วันพฤหัสบดี ที่ 8 เมษายน 2553

http://www.thairath.co.th/content/edu/75646

                                     ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

         นำข่าวมาบอก พวกเราว่า ในกรณีฉุกเฉิน ใช้บัตรประชาชน เข้า ร.พ.ได้ทุกแห่งที่ใกล้ที่สุด ไม่ว่าเอกชนก็เข้าได้ ซึ่งใช้ได้ตลอดเวลา ไม่เฉพาะสงกรานต์ เท่านั้น เป็นมาตรการของรัฐ ที่จะช่วยให้ประชาชนทุกคนเมื่อเจ็บป่วยฉุกเฉิน เข้ารักษาได้ทุกที่ ที่ใกล้ที่สุด ไม่ว่า ใช้สิทธิบัตรอะไรก็ตาม บัตรประกันสุขภาพ หรือ เดิมเรียก บัตรรักษาฟรี 30 บาท  บัตรประกันสังคม บัตรข้าราชการ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ใช้ได้ทั้งหมด

                                  

          ถ้ามีการเชื่อมข้อมูล ร.พ.ทั่วประเทศด้วยระบบอินเตอร์เนตให้อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน หรือ

                                          Virtual Private Network : VPN

                         http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=4&post_id=327

          แพทย์สามารถ ล็อคอิน เข้าไปใน ร.พ.ที่เข้าเครือข่าย VPN ไว้ จะทำให้คนไข้ไม่ว่า อยู่ที่ใด ก็ สามารถเข้ามาดูประัวัติการรักษา ที่ ร.พ.ที่คนไข้เคยใช้สิทธิรักษาได้ ใช้ได้ทั้งประเทศ ถ้าทุก ร.พ.เข้าสู่ระบบเครือข่าย ร.พ.ดังกล่าว โดย ระบบคอมพ์ จะบันทึกว่า ล็อคอินเข้ามารักษาโดยแพทย์ท่านใด ร.พ.ใด สามารถตามจ่ายค่ารักษาได้ไม่จำเป็นต้องบังคับประชาชน ต้องรักษา ร.พ.ใกล้บ้านเท่านั้น แต่กระทรวงไอซีที กำลังหาทางป้องกันเครือข่ายไม่ให้ถูกโจมตีโดย Hacker

         ทุก ร.พ.ที่ให้บริการสามารถรู้ประวัติว่าไปรักษาที่ใด ได้ยาอะไร ใช้บัตรประชาชน ร่วมกับลายนิ้วมือ หรือ แล้วแต่จะกำหนดในอนาคต เพื่อเก็บรักษาประวัติการเข้าถึงข้อมูลต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของประวัติ

          ผลจากการเข้าดูประวัติการรักษาได้ทุกที่ จะทำให้แพทย์สามารถประเมินผลการรักษาที่เคยได้ เพื่อให้การรักษาต่อเนื่องได้ทันที ประหยัดยา ช่วยแพทย์ให้ดูการรักษาของ ร.พ.อื่น เป็นการเรียนรู้ทางการแพทย์ระหว่างแพทย์ด้วยกัน  ผู้ป่วยก็สะดวกในการเข้าถึงบริการ รักษาที่ใดก็ได้ ฟรี ทั่วประเทศตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุข

         ถ้าเจ็บป่วยเลือก ร.พ.เองได้จะทำให้ ทุก ร.พ.ต้องพัฒนาคุณภาพเอาใจผู้ใช้บริการ

                                     win win win    

        
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #3 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2553, 15:19:43 »


ขออนุญาต นำกระทู้เรื่อง เจ็บ ที่พี่แอ๊ะ โพสต์ไว้ที่กระทู้ แก้ โง่ มาไว้ที่กระทู้ แก้ เจ็บ ด้วย

      Re: "เรื่อง โง่ เชิญมาคุยวิธีแก้กันที่กระทู้นี้"
« ตอบ #9 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2553, 21:07:24 » อ้างถึง  
 
 "การทำงานของระบบ Primary health care ถือ ว่าสำคัญมากเป็นการสกัดกันไม่ให้ผู้ป่วยไปโรง

พยาบาลโดยไม่จำเป็น แต่ถ้ามีกรณีฉุกเฉินก็ไปโรงพยาบาลได้เลย"


ประเทศอื่นเขาไม่มีป้าย โรงพยาบาล กับคลินิกมากมายเหมือนบ้านเรา

พี่แอ๊ะดูเกือบทุกประเทศ หาป้าย ร.พ ไม่เจอเลย

บ้านเราลองมองจากทางด่วนซิ มีแต่ป้ายชื่อโรงพยาบาลและคลินิก

ป่วยกันจริงๆ คนไทยนี่

พี่แอ๊ะ ประภาศรี prapasri AH

Hero Cmadong Member

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ผมว่าควรนำมา โพสต์ในกระทู้ เจ็บ ด้วยครับ

 หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #4 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2553, 17:40:58 »


ขอเชิญตรวจเอ็นไซม์ตับฟรี 18-22 พ.ค. 2553

FW: ตรวจเอ็นไซม์ตับฟรี 18-22 พ.ค. 2553‏
From:    Charoenchai Taitilanunt (charoenchai.t@thaiairways.com)
Sent:   Tuesday, May 11, 2010 2:55:09 PM



มูลนิธิโรคตับมีกำหนดที่จะจัดโครงการ “ เรารักตับ ” ครั้งที่ 5

วันตับอักเสบโลก 19 พฤษภาคม 2553 มูลนิธิโรคตับ ร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ
ในจังหวัดหลักๆ ทุกภาคทั่วประเทศ ตรวจค่าเอ็นไซม์ตับ ( ALT) แก่ประชาชน

ฟรี ระหว่าง วันที่ 18-22 พฤษภาคม 2553  

นับแต่ปี 2551 เป็นต้นมา มูลนิธิฯ ได้จัดโครงการนี้ร่วมกับโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ
ในภาคกลางและภาคตะวันออกมาแล้วรวม 4 ครั้ง มีโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำเข้าร่วม 45 แห่ง
มีประชาชนรับการตรวจกว่า 8,000 คน และมีประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ
ความสำคัญของการตรวจสุขภาพนี้จากการประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และ
วิทยุจำนวนหลายล้านคน ซึ่งนับว่าประสบผลสำเร็ จเป็นอย่างสูง

เพื่อร่วมมือกันรณรงค์ให้คนไทยเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพตับอย่างต่อเนื่อง
มูลนิธิฯ จึงโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำทั่วประเทศ จัด

โครงการ “ เรารักตับ ” ครั้งที่ 5

โดยตรวจค่าเอ็นไซม์ของตับ ALT แก่ประชาชนฟรี จำนวน 30 คนต่อวัน

ในครั้งนี้มีโรงพยาบาลพันธมิตรเข้าร่วมรวม 53 แห่ง ใน 16 จังหวัดทั่วประเทศประกอบด้วย

โรงพยาบาลในจังหวัดกรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ราชบุรี สมุทรสาคร
จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี ภูเก็ต และสงขลา

เอ แอล ที ( ALT) อะลานีน อะมิโนทรานเฟอเรซ ( alanine aminotransferase)

ซึ่งเซลล์ตับผลิตขึ้นและปล่อยเข้าสู่เลือดของเราตลอดเวลา โรคตับในระยะต้น
มักจะไม่แสดงอาการ แต่ ALT จะเป็นตัวที่ไว และสามารถบ่งบอกในเบื้องต้นว่า
อาจมีการอักเสบของตับหรือมีการทำลายเนื้อตับมากกว่าปกติ

หากเรามีระดับค่า ALT สูงผิดปกติ คือ มากกว่า 40 IU/L

สามารถเกิดจากหลายสาเหตุ การสืบหาสาเหตุที่ผิดปกตินี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ
เพื่อจะได้ทำการรักษาอย่างทันท่วงที และสามารถป้องกันภาวะตับแข็งที่อาจตามมาได้

การตรวจวัดระดับ ALT เป็นเรื่องง่ายและไม่สิ้นเปลืองอย่างที่คิด
แต่จะเป็นผลดีต่อการดูแลสุขภาพตับของท่าน
ดังนั้นในการตรวจสุขภาพครั้งต่อไป
เราขอเชิญชวนให้ท่านตั้งคำถามว่า “ALT” ของฉันเป็นอย่างไร ?  

ตารางรายชื่อโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ “ เรารักตับ ” ครั้งที่ 5

ท่านสามารถรับการตรวจ ALT ได้ที่โรงพยาบาล 53 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการ ดังรายชื่อต่อไปนี้

กรุงเทพฯ : กรุงเทพคริสเตียน , เกษมราษฎร์ บางแค , เกษมราษฎร์ประชาชื่น , เจ้าพระยา , เซนต์หลุยส์ , เซ็นทรัลเยนเนอรัล , เทพธารินทร์ , ไทยนครินทร์ , ธนบุรี , ธนบุรี 2 , นครธน , บางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล , เปาโล เมโมเรียล นวมินทร์ , เปาโล เมโมเรียล พหลโยธิน , พญาไท 1 , พญาไท 3< /A>, เพชรเวช , เมโย , วิภาวดี , เวชธานี , ศรีวิชัย 2   หนองแขม , ศิครินทร์ , สมิติเวช สุขุมวิท , สายไหม , สินแพท ย์ , เสรีรักษ์

นครปฐม : กรุงเทพคริสเตียน นครปฐม

นนทบุรี :   นนทเวช

ปทุมธานี : ปทุมเวช , ภัทร-ธนบุรี

สมุทรปราการ :   จุฬารัตน์ 9, บางปะกอก 3 , เปาโล เมโมเรียล สมุทรปราการ    

ราชบุรี : ซานคามิลโล , เมืองราช

สมุทรสาคร : มหาชัย 2 , เอกชัย

จันทบุรี : กรุงเทพจันทบุรี

ฉะเชิงเทรา : โสธราเวช

ชลบุรี : กรุงเทพพัทยา , พัทยาอินเตอร์ , สมิติเวช ศรีราชา , เอกชล

ระยอง : มงกุฎระยอง , รวมแพทย์ระยอง

เชียงใหม่ : เชียงใหม่ ราม , ราชเวช เชียงใหม่ , ลานนา  

ขอนแก่น : ขอนแก่น ราม

อุดร : นอร์ทอิสเทอร์น-วัฒนา , ปัญญาเวชอินเตอร์

ภูเก็ต : กรุงเทพภูเก็ต

สงขลา : ราษฎร์ยินดี

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิโรคตับ โทร. 02-2612428

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ค่าตรวจ ALT นี้ ราคาไม่แพง ร.พ.รัฐบาล คิดค่าตรวจเพียง 50 บาท ไม่ต้องงดอาหาร
ที่ ร.พ.พนมฯ ในคนไข้ทานยาโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง ฯลฯ
ทาง ร.พ.พนมฯ จะตรวจเป็นแนวทางมาตรฐานให้ทุก 6 เดือน หรือ ทุกปี ให้อยู่แล้ว ฟรี

จึงนำมาบอกพวกเราว่า ตรวจก่อนเกิดโรค ดีกว่า เกิดโรค แล้วมาตรวจ นั่นเอง

 win win win

 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #5 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553, 10:31:47 »


เอาล่ะสิ.....น้ำมันพืช…  อันตรายระดับชาติ !!!


  
คนไทยตาสว่างเสียที… เลิกเสียเงินซื้อยาฝรั่ง  ต้นเหตุเพียงแค่น้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึม
    
อดีตเมื่อก่อน 30 ปีที่แล้ว คนไทยใช้น้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำกับข้าว  
จู่ ๆ โฆษณาฝรั่ง มากล่าวโทษวิถีไทยเดิม ๆ อ้างว่าน้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมู
ทำให้คลอเลสเตอรอลสูง เพราะจับตัวเป็นไข   วิธีแก้คือ การใช้น้ำมันพืช

  
ปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืช เพราะความเชื่อที่ถูกฝรั่งฝังหัวมา
แต่ปรากฏว่าอัตราการเป็นโรคต่างๆไขมันในเลือดสูง,โรคหัวใจ,โรคไต,ภูมิแพ้ เป็นต้น มากขึ้น
  
วงการสุขภาพของตะวันตก เพิ่งจะมาตาสว่างเมื่อค้นพบโทษของน้ำมันพืช  
สหรัฐ ฯ ได้ออกมาตรการลด ละ เลิก ใช้ น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี(transfat oil) ในหลาย ๆ รัฐ

ท่านสามารถอ่านข่าวเหล่านี้ได้  เช่น

อาร์โนลด์ ชวาชเนกเกอร์ ผู่ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กับการแบนการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี  
 โดยกล่าวว่า “การใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ…”
http://gov.ca.gov/press-release/10291/
  
รัฐเท็กซัส…พระราชบัญญัติ ขจัดน้ำมันพืชแปรรูปให้หมดจากร้านอาหาร ภายใน สิงหาคม 2553  
http://dallas.bizjournals.com/dallas stories/2009/05/04/daily72.html
  
KFC เริ่มเห็นโทษของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี  ออกเมนูไร้น้ำมันพืช Transfat
http://abcnews.go.com/Health/OnCall/story?id=2615217< /FONT>
  
McDonald ประกาศเริ่มใช้น้ำมันชนิดอื่น แทนน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเมื่อปี 2007
http://www.msnbc.msn.com/id/16873869/
  
Dunkin Donut ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีตั้งแต่ปี 2550
https://www.dunkindonuts.com/aboutus/press/PressRelease..aspx?viewtype=current&id=100102
  
เว๊บไซท์ ต่อต้าน transfat  http://www.bantransfats.com/
  
โรคที่มากับน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี…

ระบบเผาผลาญอาหารเสื่อม, เบาหวาน,  ธัยรอยด์, เสื่อสมรรถภาพทางเพศ, โรคหัวใจ, โรคอ้วน
http://transfatdisease.com/why.html
  
อาหารที่พบอยู่ทั่วไป มีน้ำมันพืชเสมอ… ก๋วยเตี๋ยว, ผัดไท, หอยทอด, ราดหน้า, ผัดผักทุกชนิด,
ไก่ทอด, ปาท่องโก๋, ข้าวผัด ขนมอบ เบเกอรี่…สรุปรวมว่าอาหารทุกชนิดที่ใช้กะทะ (ผัด ทอด)
ใช้น้ำมันพืชทั้งนั้น

น้ำมันพืชเกือบทุกชนิด ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ ซึ่งราคาถูก แต่ขวางระบบดูดซึม
น้ำซึมผ่านไม่ได้  หากใช้วัสดุอื่นตามที่โฆษณาจริง เหตุใดจึงยังขายได้ในราคาถูกเช่นนั้น
  
อย่าให้คำว่า ‘ไม่เป็นไข’ มาหลอกท่านได้อีก

น้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 25 องศา จะดูสวยงาม ไม่เป็นไข ผิดกับน้ำมันหมู
ที่เมื่อยู่ในอุณหภูมิต่ำ จะเป็นไข  

แต่เมื่อน้ำมันพืชเข้าไปอยู่ในร่างกาย อุณหภูมิ 37 องศา จะกลายเป็นกาวเหนียว เกาะติดลำไส้
ตั้งแต่ลำคอลงมาถึงลำไส้ใหญ่   ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยพืชผักที่เราทานเข้าไป และ
ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยน้ำชาธรรมดา

แต่น้ำมันจากสัตว์ และ น้ำมันมะพร้าว เมื่ออยู่ในอุณหภูมิร่างกาย จะไม่มีทางเป็นไข และ
จะละลายกับน้ำได้  สารอาหารต่าง ๆ ยังซึมเข้าร่างกายได้

หากท่านลองนำน้ำมันพืช ใส่ภาชนะ แล้วไปตั้งทิ้งไว้กลางแดดสัก 10 นาที  
อุณภูมิจะประมาณ 30 กว่าองศา ใกล้เคียงร่างกายมนุษย์

ท่านเช็ดน้ำมันพืชออกได้ยากมาก  เหมือนกับที่เขม่ากาวติดกะทะ เครื่องครัว  
เขม่ากาวเหนียวนั่นคือผลของน้ำมันพืชโดนความร้อน จำเป็นต้องใช้กรดมาล้างเท่านั้น

แต่หากท่านลองใช้น้ำมันหมู หรือ น้ำมันมะพร้าว ใส่ภาชนะแล้วตากแดด
จะพบว่าล้างออกได้โดยง่าย

เมื่อน้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึมท่านทั้งหมด  น้ำก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน
เมื่อท่านทานน้ำ น้ำไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าไปใช้ในอวัยวะต่าง ๆ เลย

เมื่อน้ำซึมเข้าตัวไม่ได้  วิตามินที่มากับน้ำ เช่น วิตามินบี และ ซี ก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน  
ขาดวิตามินบี ทำให้สมองมีปัญหา เฉื่อยชา ความจำสั้น

หากหญิงกำลังตั้งครรค์ มีโอกาสทำให้ลูกคลอดมาเป็นออทิสติค  ขาดวิตามินซี
ทำให้ภูมิคุ้นกันมีปัญหาเป็น ภูมิแพ้ หวัด ไวรัส

เมื่อภูมิคุ้มกันมีปัญหา  ท่านก็จะติดโรคอื่น ๆ ได้ง่ายมาก  จบลงด้วยการเสียเงินซื้อยาฝรั่ง  
เงินทองไหลออกนอกประเทศ  เพราะเพียงแค่ท่านหลงเชื่อว่าน้ำมันพืชสมัยใหม่ไม่เป็นอันตราย
  
น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ

- ฟอกสี (bleached) เพื่อให้สีดูสวย สดใส
- แต่งกลิ่น (deodorized) เพื่อให้ไม่มีกลิ่นหื มีกลิ่นตามที่ต้องการ
- ใส่ไฮโดรเจน (hydrogenated)

        
กระบวนการเหล่านี้ ทำให้สารเคมีเปลี่ยน เมื่อทานเข้าไปแล้ว เป็นพิษต่อร่างกายโดยตรง

เมื่อใดที่เห็นข้างกล่องผลิตภัณฑ์ว่า มีน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี
ขอให้รู้ว่านั่นคือยาพิษ โยนทิ้งขยะทันที …

…Trans fats do not exist in nature. They are laboratory-designed and have adverse health consequences. They interfere with the body’s production of beneficial fatty acids and promote heart disease. As trans fatty acids offer no benefits and only clear adverse metabolic consequences, when you see the words partially hydrogenated on the side of a box, consider it poisonous and throw it in the trash. (Ascherio, A., and W. C. Willett. 1997. Health effects of trans fatty acids.. Am. J. Clin. Nutr. 66 (4 supp.): 1006S–10S.)
http://www.diseaseproof.com/archives/hurtful-food-dunkin-donuts-kills-trans-fat.html
  
ท่านอย่าเพิ่งเชื่อบทความใน e mail นี้ จนกว่า ท่านจะได้หาข้อมูลเพิ่มเติมใน
search engine (google) ต่าง ๆ ด้วยตนเอง  โดยพิมพ์ key word ต่อไปนี้ (พิมพ์ครั้งละ 1 คำ)

Transfat, transfat bill, vegetable oil bad health, hydrogenated oil, ละกอ, อันตราย น้ำมันพืช

 gek gek gek

  
 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #6 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553, 13:31:33 »


สธ.ประกาศ ส.ค.นี้ได้ฤกษ์ยกระดับสถานีอนามัยทั่วประเทศเป็น รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล
ขอขอบคุณสนุกดอทคอม และ วันพฤหัสบดีที่13 พ.ค.53 สนับสนุนเนื้อหา
http://news.sanook.com/%E0%B8%AA%E0%B8%98%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8-%E0%B8%AA%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99-%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1-931405.html

คณะรัฐมนตรี ผ่านงบไทยเข้มแข็งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ซึ่งจะทำให้ไทยมี



โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 2,000 แห่งแน่ในปีนี้



นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณไทยเข้มแข็งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข
สำหรับใช้พัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานในระบบบริการสุขภาพแล้ว

ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขจึงเตรียมเดินหน้าในการ

ยกระดับสถานีอนามัยทั้งหมด ขึ้นเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล

เริ่มเดินหน้าตั้งแต่เดือน สิงหาคมนี้ นำร่อง 2,000 แห่ง ในปีนี้
ด้วยงบประมาณไทยเข้มแข็ง 1,500 ล้านบาท

ส่วนที่เหลืออีก 4,000 แห่ง จะดำเนินการในปี 2554 ด้วยงบประมาณประจำปี
ของกระทรวงสาธารณสุขรวม 6,000 ล้านบาท

เพื่อขยายโอกาสการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพให้ทั่วถึงประชาชนทุกพื้นที่
พร้อมเพิ่มการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ยังเตรียมพัฒนาโรงพยาบาลทุกระดับทั่วประเทศเป็นโรงพยาบาลยุคใหม่ เป็น

รพ. 3S ด้วยการยกระดับ

คุณภาพการรักษา การมีส่วนร่วม และคุณภาพบริการ

ด้วยการกำหนดให้โรงพยาบาลทุกแห่งต้องมี

พนักงานต้อนรับ คอยให้บริการข้อมูลแก่ผู้มาใช้บริการ โดยจะให้มีชุดฟอร์มเดียวกัน
ซึ่งขณะนี้สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการออกแบบชุด
คาดว่าจะเริ่มปรับปรุงทุกโรงพยาบาลให้เป็นโรงพยาบาล 3S ได้ภายในเดือน กรกฎาคมนี้


 รักนะ รักนะ รักนะ

ได้พบข่าวดีนี้ จึงนำมาบอกพวกเรา ให้รู้ว่า การเข้าถึงบริการสุขภาพ อย่างมีคุณภาพ เข้าถึงได้สะดวก
กำลังเป็นจริงแล้ว ไม่น่าเกินปี 2555 จะได้หัวเราะ เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ กับ ระบบสุขภาพ 3 S กัน

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

 3  เอส  (S)  ได้แก่

1.ปรับปรุงโครงสร้างกายภาพ  (Structure)  พื้นที่การให้บริการ ให้สะอาด สะดวก ไม่แออัด ปรับภูมิทัศน์ของโรงพยาบาล

2.การให้บริการ (Service) เช่น มีพนักงานต้อนรับ และมีชุดแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนกันทั่วประเทศ
มีมุมพักผ่อน มีโทรทัศน์ มีน้ำดื่มบริการ

3.ระบบการบริการ (System)  เน้นธรรมมาธิบาล  กระจายอำนาจ  และการมีส่วนร่วมของสังคม   โดยให้มีคณะกรรมการพัฒนาโรงพยาบาล  เชิญองค์กรปกครองท้องถิ่น  ภาคเอกชน ประชาชน  ผู้รับบริการ  
รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิร่วมเป็นคณะกรรมการ  
หลั่นล้า โดยจะเปิดตัวโรงพยาบาล  3  เอส  อย่างเป็นทางการในเดือน มิ.ย.53 นี้  หลั่นล้า

ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยรัฐ วันศุกร์ ที่ 14 พ.ค. 53 สนับสนุนข่าว โรงพยาบาล  3  เอส

http://www.thairath.co.th/content/edu/82824


รักนะ รักนะ รักนะ

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #7 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2553, 16:09:16 »




ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา

เปิดเผยสถานการณ์การผลิตแพทย์ ว่า ปัจจุบันมีการเร่งผลิตแพทย์จำนวนมาก
โดยมีแพทย์จบใหม่ปีละประมาณ 2,500 คน จากเดิมผลิตเพียงปีละ 200 คน


ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยรัฐ วันจันทร์ ที่ 17 พ.ค.2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว

http://www.thairath.co.th/content/edu/83416

ในขณะที่มีประชากรเกิดใหม่น้อยลงเหลือเพียงปีละ 7-8 แสนคน จากเดิมที่มีปีละประมาณ 1 ล้านคน
หากเป็นเช่นนี้ในอีก 15 ปี อาจส่งผลให้แพทย์มีจำนวนล้น และแพทย์ ที่จบใหม่อาจจะตกงาน
เหมือนกับหลายประเทศ เช่น

ทวีปยุโรปที่แพทย์ต้องไปขับรถแท็กซี่  หรือประเทศอินเดียที่ต้องส่งแพทย์ออกไปต่างประเทศ
ถึงปีละ 6 หมื่นคน และว่านโยบายเกี่ยวกับการผลิตแพทย์ควรที่จะมองไปข้างหน้า 15 ปี
จะทำให้มองเห็นภาพว่าแพทย์ที่ผลิตในปัจจุบันขาดหรือเกิน หรือไม่ได้ขาดแคลน

แต่ปัญหาอยู่ที่การกระจายแพทย์ไม่ดี โดยส่วนตัวเห็นว่าในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีจำนวนแพทย์มาก
แต่ในพื้นที่ต่างจังหวัดกลับมีจำนวนแพทย์น้อย

แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีปัญหาในเรื่องของการกระจายแพทย์ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง

ควรพัฒนาโรงพยาบาลในรูปแบบเครือข่าย โดยให้แพทย์ประจำอยู่ในโรงพยาบาลใหญ่ๆ  หรือ
โรงพยาบาลประจำจังหวัด  และจัดเวรหมอประจำการตลอด  24  ชั่วโมง
 

ส่วนในพื้นที่ชุมชน ควรมีเพียงคลินิกหรือศูนย์สุขภาพชุมชนขนาดไม่ใหญ่
โดยแต่ละแห่งเป็นเครือข่ายของโรงพยาบาล และพัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วยที่ดี
ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

ศ.นพ.สมศักดิ์กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีกระแสข่าวมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.)
เตรียมเปิดคณะแพทยศาสตร์

ขณะนี้ยังไม่มีมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งใดเสนอเรื่องมายังแพทยสภาเพื่อขออนุมัติ
หลักสูตรแพทยศาสตร์ มีเพียงมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งส่งจดหมายแจ้งให้ทราบว่า
ได้ดำเนินการตั้งคณะกรรมการร่างหลักสูตรแล้ว และ
การที่แพทยสภาจะรับรองหลักสูตรแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งใด
จะพิจารณาตามเกณฑ์มาตรฐานเป็นสำคัญ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีโรงพยาบาลรองรับให้นักศึกษาฝึกปฏิบัติ และ
หากมหาวิทยาลัยที่ได้รับการรับรองหลักสูตร แต่จัดการเรียนการสอนไม่ได้มาตรฐาน
แพทยสภามีสิทธิ์ที่จะยุบคณะแพทยศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยแห่งนั้นได้

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ผมมองว่า น่าจะให้แพทย์ทั่วไปจบใหม่ มาประจำ ร.พ.อำเภอ เพราะ คนไข้เมื่อป่วย นั้น 90%
นั้นเพิ่งเริ่มป่วย รักษาได้ด้วยแพทย์จบใหม่ เรียน 6 ปีสามารถให้การดูแลได้


ส่วนแพทย์เฉพาะทาง ที่ไม่สามารถตั้งแผนกให้ตรวจเฉพาะทางได้ ต้องทำงาน
ตรวจคนไข้ทุกคนที่มารักษา ทำให้แพทย์ทำงานไม่ตรงสาขาที่เรียนมาทำให้เครียดกัน

ถ้าทำเป็นรูปเครือข่าย ที่อาจารย์ ศ.นพ.สมศักดิ์ เสนอ น่าจะเป็นรูป

ร.พ.อำเภอ ใช้แพทย์ทั่วไป ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นแพทย์สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว
ทำงานได้แบบองค์รวมในกิจกรรมสาธารณสุข 4 คือ

ส่งเสริมสุขภาพ ป้ัองกัน รักษา และ ฟื้นฟูสุขภาพ

ส่วนแพทย์เฉพาะทางควรให้ไปรวมกันที่ ในแผนกเฉพาะที่ ร.พ.จังหวัด หรือ ร.พ.ศูนย์
พร้อมนำเครื่องมือเฉพาะทางราคาแพง ที่นำมาใช้คนเดียวที่ ร.พ.อำเภอนำไปใช้ร่วมกันในแผนก
จะเป็นการใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่า และ

ใช้ระบบเครือข่ายอินเตอร์เนต สร้างเครือข่ายสาธารณสุข ให้ทุก ร.พ.เชื่อมโยงในเครือข่าย
แพทย์สามารถล็อกอินเข้าไปที่ ร.พ.ใดก็ได้ในเครือข่ายจะทำให้คนไข้เกินความสามารถของ
แพทย์ทั่วไป หรือ แพทย์ครอบครัว ที่มีอยูน้อยเพียงไม่ถึง 10 %

สามารถพบแพทย์เฉพาะทางที่ ร.พ.อำเภอ หรือ ร.พ.สร้างเสริมสุขภาพตำบล ที่ต้องการให้พบได้
โดยให้รักษาโดยแพทย์สามารถล็อกอินเข้ามาดูประวัติ และสั่งการรักษาได้ โดยไม่ต้องเดินทาง
มาพบกันได้ เป็นการอำนวยความสะดวกประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งของประชาชน และ ของรัฐบาลด้วย


หมายเหตุ ถ้ามีเครือข่ายสาธารณสุขเกิดขึ้นจริง สถานีอนามัย ยกฐานะเป็น
ร.พ.สร้างเสริมสุขภาพตำบล มีแพทย์จาก ร.พ.อำเภอ ในอำเภอนั้นรับผิดชอบ ให้คำปรึกษา และ
มาช่วยรักษาทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์

โดยให้พยาบาลเวชปฏิบัติอย่างน้อย 2 คนอยู่ประจำ เพื่ออยู่เวรได้ ตลอด 24 ชั่วโมง ทำหน้าที่
วัดความดัน ซักประวัติอาการนำ แล้วให้แพทย์เข้ามาตรวจทางเทคโนโลยี่สารสนเทห์ เช่น
โทรศัพท์มือถือ/ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกระทรวงสาธารณสุข


Virtual Private Network:VPN
  
แพทย์ที่เป็นสมาชิกจะเข้าเครือข่ายได้ต้องได้รับอนุญาต จากกระทรวงฯได้รับ Password/User name
สามารถจะล็อกอินเข้าไปที่ใดก็ได้ในเครือข่าย

ทำให้สามารถกระจายความสามารถการรักษาพยาบาลออกไปได้ทุกแห่งในเครือข่าย
อยากพบแพทย์เฉพาะทางด้านใด

ก็เรียนเชิญแพทย์ท่านนั้นล็อกอินเข้ามาใน ร.พ.ที่ผู้ป่วยอยู่ได้
จะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดบุคลกร ทำให้เกิดการเรียนรู้เรื่องการรักษาจากการ
ดูวิธีของแพทย์เฉพาะทางได้ เมื่อมารักษาให้ที่ ร.พ.แล้วจะให้การรักษาต่อได้ทันที
มีปัญหาสามารถเรียนเชิญแพทย์เฉพาะทางเข้ามาตรวจรักษาให้ทางเครือข่ายได้ทันที

พวกเราคิดว่าอย่างไร ใช้เครือข่าย วางคนให้ตรงกับงาน และ ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ร่วมด้วย
จะทำให้เกิดสุขภาพดีถ้วนหน้าตาม Ottawa Charter เมื่อปี 2529 เกิดขึ้นได้จริงไม่เกินปี 2555

เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ

ดู สุขภาพดีถ้วนหน้าตาม Ottawa Charter เมื่อปี 2529 ปีนี้ 2553 ผ่านมา 24 ปีแล้ว ที่

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3394.0.html

 win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
donaldjeo13
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2553, 17:18:00 »

Я люблю эту должность, и я бы сказал, что реальная возможность где и страсть и боль удовлетворения.

Страсть, на мой взгляд, абсолютно необходимо, если вы собираетесь выйти на собственном или выполнить над проектом, который платит по счетам. Но это должно быть то, о чем вы действительно, удивительно страстные? Например, мой самый успешный запуск проекта в индустрии моды очки, - на которой я стал страстно, потому что я хотел, чтобы работы компании, а не потому, что я влюбленный в отрасли.

Меня беспокоит только о страсти, что иногда перекосы, что вы думаете на рынке, возможно, захотите. Вы так возбуждены и увлечены темой, но она не может масштабе. В этих случаях, я думаю, что нужно подходить к проекту скептически, говоря с людьми и ведения неустанные исследования рынка, давая себе все возможности, чтобы доказать, что это не очень хорошая идея. Если после того, мало времени, и обратную связь, вы не смогли убедить себя, что он не будет работать, то это полный вперед.
      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #9 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2553, 16:14:34 »


ขอขอบคุณเวบแคนนอตดอทอินโฟ วันพฤหัสบดี 15 กรกฏาคม 2553 ที่่เอื้อเฟื้อข่าว
http://cannot.info/feed/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%20960%20%E0%B8%A5%20%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%89%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B0%209%20%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2

สั่งเพิ่มงบ 960 ล. หลังคนไทยตายฉุกเฉินปีละ 9 หมื่นราย
 


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข

สธ.สั่งเพิ่มงบ 960 ล้าน หลังคนไทยตายฉุกเฉินปีละ 9 หมื่นราย เหตุหลักเพราะไม่ได้รับการรักษา
พยาบาลอย่างถูกต้องและทันเวลา กับการแพทย์ฉุกเฉินที่มีในปัจจุบันดำเนินการได้เพียงร้อยละ 25...

เมื่อวันที่ 15 ก.ค. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2554 นี้
ที่ประชุมคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินได้มีมติเห็นชอบให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ
ขอตั้งงบประมาณเพื่อใช้ดำเนินการสนับสนุนการปฏิบัติการของชุดปฏิบัติกู้ชีพทั้งหมด และ
พัฒนาระบบแพทย์ฉุกเฉินของประเทศให้มีประสิทธิภาพ โดยบริหารจัดการในรูปของ
กองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน ครอบคลุมคนไทยทุกคนประมาณ 64 ล้านคน

ในอัตราเหมาจ่ายรายหัว 15 บาทต่อคน เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554 ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่
วันที่ 1 ต.ค. 2553 เป็นต้นไป

โดยได้ลงนามในหนังสือราชการถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
โดยเร็วที่สุด

รมว.สาธารณสุข กล่าวอีกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน ได้รับทราบรายงาน
เงินงบประมาณรายปีที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้รับการจัดสรรในช่วงปี 2552-2553

ปรากฏว่าไม่เพียงพอกับการปฏิบัติงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ในแต่ละปี และอัตราการตาย
ของผู้ป่วยฉุกเฉินในประเทศไทยยังสูง ปีละประมาณ 60,000 ราย เนื่องจากไม่ได้รับการรักษา
พยาบาลอย่างถูกต้องและทันเวลา

โดยระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่มีในปัจจุบันดำเนินการได้เพียงร้อยละ 25 ของจำนวนผู้ป่วยฉุกเฉิน
ทั้งหมด 4 ล้านครั้ง หากมีการจัดสรรงบเหมาจ่ายรายหัวๆละ 15 บาท ก็จะมีเงินกองทุนปีละ
ประมาณ 960 ล้านบาท ทำให้มีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพและเป็นบริการฟรี

คาดว่าจะช่วยรักษาชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินได้ประมาณร้อยละ 15-20 หรือปีละ 9,000-12,000 คน
 
ที่มา : www.thairath.co.th
วันที่ 16 Jul 2010 - 00:35 (15 ชั่วโมง ที่ผ่านมา)
 
เหนื่อย เหนื่อย เหนื่อย

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

เวชศาสตร์ฉุกเฉิน เป็นปัญหาทางสุขภาพด้งข่าว ค่าใช้จ่ายและอัตราตายสูง

แต่ถ้าเรามุ่งเน้นเวชศาสตร์ป้องกัน จะมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากกว่า เช่น
ให้การบังคับใช้กฏหมายเมาแล้วขับให้เข้มงวดขึ้น

ด้วยการประกาศให้ประชาชนทราบว่า เป็นความจำเป็นทางการแพทย์เมื่อบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
เป็นหน้าที่ทางการแพทย์ และ ทางกฏหมายจะต้องตรวจระดับแอลกอฮอล์ในเลือด
เพื่อการประเมินอาการทางสมอง และ เป็นหลักฐานทางกฏหมายว่าสูงเกินกฏหมายกำหนดหรือไม่

เมื่อผลเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หลังรักษาปลอดภัยแล้วต้องรายงานตำรวจมาดำเนินคดี
เมาแล้วขับด้วย ถ้าทำได้จะทำให้คนเมาไม่กล้าขับรถได้


  gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #10 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2553, 11:01:32 »


ชมรมแพทย์ชนบทไม่ค้านพรบ.ฯมั่นใจทำตามวิชาชีพไม่มีใครเอาผิดได้



นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท

ขอขอบคุณเวบประชาชาติธุรกิจออนไลน์ วันอาทิตย์ ที่ 01 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1280625103&grpid=03&catid=00

ชมรมแพทย์ชนบทไม่ค้านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ

มั่นใจหากทำเต็มกำลังตามวิชาชีพไม่มีใครเอาผิดได้

นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ให้สัมภาษณ์

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม กรณี

กลุ่มสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป (รพศ./รพท.) จากทั่วประเทศ

แต่งชุดดำประท้วง รวมทั้งล่ารายชื่อบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อคัดค้านร่าง


พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ...ว่า

ในส่วนของโรงพบาบาลที่เป็นเครือข่ายชมรมแพทย์ชนบททุกแห่งขอแสดงจุดยืนว่า

เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว และจะไม่ออกมาประท้วงแต่งชุดดำอย่างแน่นอน

เนื่องจากเห็นว่า

 

การมี พ.ร.บ.ฉบับนี้จะช่วยคุ้มครองผู้รับบริการที่ได้รับความเสียหายทางการแพทย์อย่างเป็นธรรม

บอกไม่ต้องกังวลถูกฟ้องในคดีอาญามากขึ้น ยังไม่เคยมีกรณีถูกศาลตัดสินกระทำการ

โดยประมาทเลินเล่อ ร้ายแรงมาก่อน

 win win win

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

ขอขอบคุณเวบสนุกดอทคอม วันจันทร์ 2 ส.ค. 53 สนับสนุนเนื้อหา
http://news.sanook.com/956086-%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%9E.%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8131%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%942009-%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2.html

ฟ้องรพ.ดัง เรียก31ล้าน ปล่อยผู้ป่วยหวัด2009 ตาย
วันนี้ ( 2 ส.ค.) ที่ ศาลจังหวัดพระโขนง ถ.สรรพาวุธ
นายธวัชสิทธิ์ ตวงสินกุลบดี และนางธัญญพัฒน์ ตวงสินกุลบดี
บิดาและมารดาของ นายพีรวีร์ ตวงสินกุลบดี อายุ 28 ปี

ผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากไข้หวัด2009



ไข้หวัด 2009

เป็นโจทก์ฟ้องบริษัทโรงพยาบาลศิครินทร์ นพ. ดำรงค์ ประกายทิพย์
นพ. สุทธิศักดิ์ ไชยอัชนรัตน์ แพทย์ และ นพ. หิรัญย์ ศรีจินไตยที่
แพทย์รพ.ไทยนครินทร์ เป็นจำเลยที่ 1 - 5 ตามลำดับ

เรื่องทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายในฐานะผู้บริโภค
เรียกค่าเสียหายจำนวน 31.2 ล้านบาท

โจทก์บรรยายฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 52
ด.ญ.ชญาณ์พิศา โฆษิตเบ็ญจพล ได้ป่วยเป็นไข้ และ
เข้ารักษา รพ.ศิครินทร์ ต่อมาทราบว่าเป็นไข้หวัด 2009
ที่กำลังระบาดไปทั่วโลก ในขณะนั้น ตามที่องค์การอนามัยโลก
ได้ออกข่าวเตือนประเทศต่างๆทั่วโลก เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 52
โดยระหว่างที่ ด.ญ.ชญาณ์พิศา พักรักษา พักรักษาตัวอยู่ที่
โรงพยาบาล นายพีรวีร์ บุตรชายโจทก์ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง
ได้แวะไปเยี่ยมดูแลเป็นประจำ ต่อมาในวันที่ 24 มิ.ย.552

นายพีรวีร์ มีอาการตัวร้อนและไอ จึงเข้ารับการรักษาตัวที่
โรงพยาบาลศิครินทร์ โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้รักษา
ตั้งแต่วันที่ 24 - 27 มิ.ย. 52

จำเลยที่ 3 ก็ให้นายพีรวีร์กลับบ้าน ทั้งๆที่อาการยังไม่ดีขึ้น
มีอาการไอและอ่อนเพลียมาก คลื่นไส้อาเจียน หน้าซีด
จนต้องส่งรพ.ศิครินทร์ อีกครั้งหนึ่ง

ครั้งนี้ญาติขอให้จำเลยที่ 4 เป็นผู้รักษาแทน พบว่านายพีรวรร์
มีอาการปอดบวม เมื่อเอ็กซ์เรย์ปอดเป็นฝ้าขาว

จำเลยที่ 4 ถึงกับอุทานว่าอาจารย์ (จำเลยที่3) ปล่อยกลับไปได้ยังไง

แล้วแพทย์หลายคนก็ปิดห้องคุยกัน จากนั้นจำเลยที่ 4
จึงมาแจ้งญาติว่าจะส่งตัวไปรักษาที่ รพ.ไทยนครินทร์ ของจำเลยที่ 2
เนื่องจากมีแพทย์เฉพาะทาง

โดยก่อนส่งตัวจำเลยที่ 4 ก็มิได้ให้ยาต้านไวรัสหวัด 2009

ต่อมาจำเลยที่ 5 ได้วินิจฉัยว่านายพีรวีร์ เป็นโรคปอดบวมจาก
เชื้อไมโครพลาสม่า และไม่ได้ซักประวัติเกี่ยวกับโรคหวัด 2009
เมื่ออาการไม่ดีขึ้น ญาติขอย้ายไปรักษาที่รพ.อื่น แพทย์ก็ไม่ยอม

จนนายพีรวีร์ถึงแก่ความตาย เห็นว่า จำเลยเป็นโรงพยาบาลและแพทย์
โดยปกติย่อมมีความรู้ความชำนาญในการตรวจรักษา

โดยเฉพาะกำลังมีข่าวไข้หวัด2009 ซึ่งจำเลยควรระมัดระวังแต่
กลับประมาทเลินเล่อ ไม่ตรวจรักษาให้ดี ซึ่งจำเลยอาจใช้ความระมัดระวัง
ได้แต่ไม่ได้ใช้

จึงฟ้องเรียกค่าค่าเสียหายจากการเสียบุตรชาย ค่าปลงศพ
ค่าขาดไร้อุปะการระ ขาดใช้จ่ายอื่นๆรวม 31.2 ล้านบาท
พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 จนกว่าจะชำระเสร็จ

ศาลรับฟ้องคดีไว้และนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 6 ก.ย. นี้ เวลา 13.30 น.

 win win win

xXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

เป็นตัวอย่าง Risk Management ที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นอีก เกิดแล้ว
เสียทั้งชีวิตคนไข้ และ โดนฟ้องเรียกค่าเสียหายด้วย

ทุก ร.พ.ที่ต้องเป็น ร.พ.คุณภาพ จึงควรมีแนวทางการดูแลให้ชัดเจนเป็นเอกสารคุณภาพไว้ใช้

 win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #11 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2553, 10:46:16 »


ขอขอบคุณเวบเดลินิวส์ วันจันทร์ ที่ 02 สิงหาคม 2553 ที่สนับสนุนเนื้อหาข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=23&contentId=82130



'สารสนเทศ Information technology (IT)' เร่งพัฒนา คือยาดี!

ความเคลื่อนไหวในวงการแพทย์ไทยในกรณีที่ไม่ใช่เรื่องวุ่นๆแต่เป็นกรณีสร้างสรรค์ก็มีที่น่าสนใจ...

คือ "การพัฒนาสารสนเทศทางการแพทย์”
   
เพื่อให้บริการผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วจะเป็นการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ
จากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งจากสถานพยาบาล และหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน

เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการดูแลรักษาสุขภาพและเพิ่มประสิทธิภาพการเข้ารับบริการของประชาชน
เป็นการระบุของ นพ.ฆนัท ครุธกูล ผู้จัดการศูนย์หัวใจ ฯ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล รามาธิบดี   
เป็นการระบุที่มีนัยเกี่ยวโยงถึงการที่จะมีการจัด ประชุมระดับชาติ

“เมดิคัล ดาต้า สแตนดาร์ดส์ เอ็กซ์โปร์” ในช่วงวันที่ 20-21 ส.ค. 2553
ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์


โดยความร่วมมือกันระหว่าง โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศฯ,
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ,สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์
สมาคมเวชสารสนเทศไทย, คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักคณะกรรมการอุดมศึกษา
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
   
รศ.นพ.อาทิตย์ อังกานนท์ รองคณบดีฝ่ายสารสนเทศ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
ในฐานะประธานจัดงานประชุม ระบุว่า... การประชุมดังกล่าวนี้จะเกี่ยวกับ

“ระบบสารสนเทศทางการแพทย์” จะเป็นโอกาสที่ดีในการ “พัฒนาศักยภาพด้านสาธารณสุข”

โดยคณะผู้จัดประชุมมุ่งเน้นพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการแพทย์ ซึ่งเป็นบันไดขั้นสำคัญ
ในการใช้ประโยชน์จาก

ระบบสารสนเทศทางการแพทย์

เป็นตัวแปรหลักที่ต้องหาทางเลือกเพื่อที่ทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกันเพื่อพัฒนาบุคลากร
ด้านเทคโนโลยีสาร สนเทศทางการแพทย์ได้ต่อเนื่อง
   
ทางโรงพยาบาลรามาธิบดีเล็งเห็นถึงความสำคัญของการส่งต่อข้อมูลทางการแพทย์ เนื่องจาก
ระบบบริการสุขภาพเป็นข้อมูลที่ยากต่อการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันระหว่างโรงพยาบาล
เข้าถึงได้ยาก และแตกต่างกันออกไป


จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงและองค์กรที่เกี่ยวข้องจัดการประชุมเรื่องระบบสารสนเทศทางการแพทย์
เพื่อสนับสนุนการให้บริการทางการแพทย์ และหน่วยงานภาคเอกชนที่ส่งเสริมและผลักดันการนำ
เทคโนโลยีสารสนเทศทางการแพทย์ไปสู่ภาคอุตสาหกรรมเพื่อศักยภาพของประเทศไทยในด้านนี้
   
“การใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศทางการแพทย์มีประโยชน์มาก"

ตัวอย่างการใช้ทำประวัติและนัดหมาย จะสามารถกำหนดรายละเอียดผู้ป่วยได้สะดวกและรวดเร็ว
ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องค้นหาแฟ้มประวัติผู้ป่วย และสามารถเติมข้อมูลเข้าไปให้ถูกต้อง รวมถึง
สามารถรู้สถิติสารสนเทศได้เร็วขึ้น อาทิ จำนวนผู้ป่วย, ประสิทธิ ภาพยา, การเบิกจ่ายยา, ราคายา,
รวมทั้งสามารถติดตามสถานการณ์ โรคต่าง ๆ และ

ส่งต่อข้อมูลระหว่างโรงพยาบาลกับโรงพยาบาลได้อีกด้วย ...รศ.นพ.อาทิตย์ ระบุ
   
ขณะที่ นพ.ฆนัท เสริมว่า... การจัดประชุม “เมดิคัล ดาต้า สแตนดาร์ดส์ เอ็กซ์โปร์” ครั้งนี้
ผู้ที่สนใจสามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์

http://cvmc.mahidol.ac.th/mds/

หรือติดต่อสอบถามที่ โทร. 0-2201-2211 ต่อ 237 ซึ่งนี่เป็นการประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมด้าน
บุคลากรและการวิจัยในการรองรับยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารทางสุขภาพของประเทศ
โดยเฉพาะด้านการกำหนดมาตรฐานและการกำหนดข้อมูลใช้ประโยชน์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยและ
รวมถึงการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน
   
ที่ผ่านมาในอดีต การรักษาผู้ป่วยมีปัญหาอันเนื่องจากระบบเกิดขึ้นหลายรูปแบบที่ทำให้
ผู้ป่วยเกิดอาการเบื่อแพทย์ เบื่อโรงพยาบาล เช่น
การที่ผู้ป่วยต้องเสียเวลาเกือบทั้งวันในการเข้าพบแพทย์ตามโรงพยาบาล หรือ การฟ้องร้อง
ซึ่งการพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพจะช่วยได้

   
“จะช่วยให้การสืบค้นข้อมูลของผู้ป่วยทำได้สะดวกรวด  เร็ว และช่วยให้แพทย์เข้าถึงข้อมูล
ได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งสามารถส่งต่อข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือ

ส่งต่อไปยัง กระทรวงสาธารณสุข เพื่อการกำหนดนโยบายสาธารณสุขของประเทศได้
อย่างมีประสิทธิภาพ”
...นพ.ฆนัท ระบุ
   
ทั้งนี้ การประชุมเกี่ยวกับ “ระบบสารสนเทศทางการแพทย์” ดังกล่าวนี้ ถือว่า
สอดคล้องโดยตรงกับ แผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนระบบพัฒนา
ข้อมูลข่าวสารสุขภาพที่ ครม.มีมติเมื่อ20 ก.ค.ที่ผ่านมา   
นี่เป็น “เรื่องไม่วุ่นเกี่ยวกับแพทย์” ที่น่าติดตามผล!!.


 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

เครือข่ายกระทรวงสาธารณสุข Virtual Private Network:VPN ใกล้จะมีจริงแล้ว
ทำให้รักษาได้ที่ ร.พ.ทุกแห่งที่ เป็นสมาชิกเครือข่ายสาธารณสุข VPN โดยประชาชนจะ
ใช้บัตรประชาชน สมาร์ทการ์ด เข้าตรวจได้ทุกที่ในประเทศไทย ใช้สิทธิฟรีรักษาได้
แพทย์ที่ทำการรักษาจะล็อคอินเข้าไปใน ร.พ.ที่คนไข้เคยรักษาได้ ทำให้รักษาต่อเนื่องได้ทันที

 win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #12 เมื่อ: 06 กันยายน 2553, 09:49:59 »


                 กรณีศึกษาสร้างแพทย์ปลูกคุณธรรม
         ขอขอบคุณเวบเดลินิวส์ วันจันทร์ ที่ 06 กันยายน 2553 เวลา 3:00 น
         http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=582&contentID=89808

                
 
         “สำหรับแพทย์ไทย ผมเชื่อว่ามาตรฐานเรื่องความเก่งสูงมาก คือ เด็กไทยเก่งมาตั้งแต่เรียนหนังสือแล้ว แสดงว่าเรื่องคุณภาพความเก่งไม่มีข้อสงสัย แต่คุณภาพเรื่องหัวใจความเป็นมนุษย์ ความอดทน ความเสียสละ จิตของตนเป็นที่สอง จิตของคนไข้เป็นที่หนึ่ง มันหนักแน่นจริงจังแค่ไหน?”

       ...นี่เป็นการระบุเชิงตั้งคำถาม ของ ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุณยะลีพรรณ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา ประธานคณะดำเนินงานศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัย   ศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ต่อกรณีบุคลากร “แพทย์” ซึ่งศูนย์การแพทย์-สถาบันการศึกษาแห่งนี้ ก็กำลังพยายามตอบคำถามนี้

         ทั้งนี้ ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ หรือโรงพยาบาลชลประทานเดิม ปัจจุบันโอนย้ายเข้าอยู่ภายใต้สังกัดมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งนอกจากด้านการรักษาผู้ป่วยแล้ว ปัจจุบันก็ได้ประกาศตัวสู่การเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตแพทย์สู่สังคม และมีการมองหาโมเดลที่ดี-ที่มีประโยชน์มาปรับใช้ในการดำเนินการ

               

       เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะของมหาวิทยาลัยและศูนย์การแพทย์ได้เดินทางไปศึกษาดูงานของมูลนิธิพุทธฉือจี้ ที่ไต้หวัน โดยมูลนิธินี้เป็นจุดกำเนิดองค์กรการกุศลระดับโลกที่มีการส่งเสริมเรื่อง “จิตอาสา” ซึ่งนอกจากภารกิจจิตอาสาในการบรรเทาทุกข์รูปแบบต่าง ๆ แล้ว ในด้าน “ระบบการผลิตนิสิตแพทย์” และ “การบริหารจัดการในโรงพยาบาล” ทางมูลนิธินี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีแง่มุมที่น่าสนใจไม่น้อยเลย

        กับเรื่องนี้ ผศ.นพ.เฉลิมชัย สะท้อนผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า...โรงพยาบาลซินเตี้ยนของฉือจี้ เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ใหญ่ ทันสมัย และดีที่สุดแห่งหนึ่งของไต้หวัน แต่เรื่องนี้ก็ดูจะเป็นเรื่องรอง เมื่อมองแนวคิดในการผลิตบุคลากรของฉือจี้ โดยจุดที่น่าสนใจคือ คณะแพทยศาสตร์ที่นี่ ไม่แยกเรื่องวิชาการออกจากเรื่องคุณธรรม แต่ทำให้เดินไปพร้อม ๆ กัน ระบบการผลิตแพทย์จะเน้นคุณธรรมนำความรู้ ผลิตคนดีออกมารับใช้สังคม ขณะที่ระบบการผลิตแพทย์แบบยึดตำรา หรือคอนเวนชั่น จะเน้นสร้างคนเก่ง เน้นเรื่องความเป็นเลิศทางวิชาการ ซึ่งแนวทางของฉือจี้นี้ก็เคยมีคำถามว่าเป็นไปได้อย่างไร? แต่ก็เป็นไปได้  

        หากได้สัมผัสวิถีในการผลิตนิสิตแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ของฉือจี้ ก็จะพบว่าที่นี่ยึดหลัก

         สอนแพทย์ให้เป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่แพทย์ โดยยึดหลักความมีจิตสงสาร ความมีจิตอาสา และถึงแม้ว่าระบบของฉือจี้กับไทยจะแตกต่างกัน แต่ก็เชื่อว่าเป็นไปได้ที่ไทยจะนำมาปรับใช้ เพราะมีความเป็นสังคมพุทธเหมือนกัน 

       ผศ.นพ.เฉลิมชัย บอกว่า... เรื่องนี้เป็นเป้าหมาย เป็นก้าวใหม่ ที่กำลังจะมีการดำเนินการในไทย และนอกจากในเชิงการผลิตแพทย์โดยเน้นเรื่องคุณธรรมแล้ว อีกสิ่งที่คิด และถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย คือการคาดหวังที่จะทำให้อัตรา “การขาดแคลนแพทย์ในชนบท” ของไทยลดระดับความรุนแรงลง

       “ส่วนตัวมองว่า ปัจจุบันแม้สัดส่วนระหว่างแพทย์และประชาชนจะดีขึ้น แต่ความรุนแรงในเรื่องนี้กลับยังไม่ลดลงเลย นั่นหมายความว่า การกระจายแพทย์ของไทยยังไม่บรรลุเป้าหมาย”

        หนึ่งในคีย์แมนที่มีส่วนสำคัญในการผลิตแพทย์รุ่นใหม่ ๆ ในประเทศไทยรายนี้ บอกอีกว่า... ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2527 ปัจจุบันไทยมีแพทย์เพิ่มขึ้นกว่าตอนปี 2527 ถึง 2 เท่า ขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้น 25% ซึ่งสัดส่วนดูดีขึ้น แต่การขาดแคลนแพทย์ในพื้นที่ขาดแคลนกลับยังรุนแรงเท่าเดิม

       ทุกวันนี้แพทย์จะอยู่ในพื้นที่เป้าหมายเหล่านี้เฉลี่ยคนละ 2 ปี ไม่เกิน 3 ปี ซึ่งลองคิดดู ถ้าทำให้มีจำนวนแพทย์เพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลอำเภอที่ขาดแคลน เพิ่มเป็น 2 เท่าตามจำนวนที่ผลิตได้ งานก็จะมีคุณภาพเพิ่มเป็น 2 เท่าทันที เพราะมีคนไข้เท่าเดิม ทำให้มีเวลาตรวจคนไข้เพิ่มขึ้น ความผิดพลาดลดลง อัตราฟ้องร้องแพทย์ก็จะน้อยลงไปด้วย และความสัมพันธ์กับคนไข้ก็จะดีขึ้น เพราะแพทย์มีเวลาให้กับคนไข้มากขึ้นนั่นเอง

         “ปัจจุบันเงินที่เติมลงไปในระบบ ผมว่าก็ไม่น้อยนะ แต่เงินกลับตรึงไม่อยู่ ได้แค่ผ่อนหนักเป็นเบา ผมเชื่อว่าจุดสำคัญคือการที่แพทย์ไม่มีแรงบันดาลใจหรือจิตอาสาที่เข้มแข็งพอ”

        ทั้งนี้ ผศ.นพ.เฉลิมชัยยังบอกด้วยว่า... โดยส่วนตัวเชื่อว่าบัณฑิตแพทย์ทุกคนมีแรงบันดาลใจที่จะทำงานรับใช้สังคมเพื่อช่วยเหลือประชาชนในชนบท แต่เอาเข้าจริงกลับอยู่ไม่ได้ ทั้งที่มีการเพิ่มเงินให้ในระบบแล้ว ดังนั้น เงินจึงไม่ใช่คำตอบ อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีเงินตรงนี้ แพทย์จะลาออกเยอะแยะหรือไม่ นี่ก็เป็นคำถาม ซึ่งจากจุดเริ่มต้นที่เป็นคำถาม จึงเป็นที่มาของนโยบายในการปลูกฝังนิสิตแพทย์ด้วย “หลักสูตรจิตอาสา” ในโมเดลเฉพาะของศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ มศว โดยเป็นโมเดลที่ประยุกต์มาจากระบบของฉือจี้
 
         “เรื่องนี้มีการทำสำเร็จในโลกแล้วจริง ๆ ผมเชื่อว่าถ้าเราทำเรื่องนี้ไปสัก 2-3 ปี ทำให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับการทำความดี ทำให้มีคนร่วมอุดมการณ์มาก ๆ คนที่ทำดีอยู่ก็จะไม่รู้สึกท้อ ไม่รู้สึกว้าเหว่ และในที่สุดสังคมในอุดมคติมันก็จะเกิดขึ้นได้จริง ๆ” ...ผศ.นพ.เฉลิมชัยระบุ

        น่าสนใจ-น่าติดตามการ “ปลูกคุณธรรม” ในกรณีนี้
กรณีที่มุ่งเพิ่ม “ผลผลิตแพทย์ที่ดี+เก่ง” ในไทย!!.


                     หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><