วันอาทิตย์ ไทยโพสต์ออนไลน์จะมีข่าวลงน้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่ก็พอมีข่าวให้อ่านครับ
วัดใจ'ป๊อก'ปราบ ขู่เสื้อแดง!'ผบ.ทบ.'สั่งปรับกำลังใหม่/แกนนำผวาย้ายที่ซุกหัวพัลวันข่าวหน้า 1 18 เมษายน 2553 - 00:00 "อนุพงษ์" เรียกประชุมผู้บังคับหน่วย ย้ำให้ใช้แนวทางเดิม ตำรวจอยู่ใกล้ม็อบ ทหารเฝ้าระวังรอบนอก ฟื้นฟูจัดกำลังใหม่ เช็กข่าวก่อนเคลื่อน แต่โอกาสขอพื้นที่คืนยาก ผู้ก่อการร้ายฝังตัว เผยนายกฯ กดดันให้ "ป๊อก" ทำงาน "สรรเสริญ" ลั่นต้องขอพื้นที่คืน พร้อมเมื่อไหร่ดำเนินการทันที รัฐบาลทำซีดีก่อการร้ายฆ่าแดง-ทหารล้านแผ่นแจกเหนือ-อีสาน ขณะที่แกนนำ นปช.เล็งขยายพื้นที่ชุมนุมยึดสีลม แบงก์กรุงเทพสำนักงานใหญ่เป็นเป้ารอบใหม่ 24 หัวโจกแดงหัวหด ผวาถูกจับ วนเวียนแค่เวทีปราศรัย ส่งทนายแจ้ง ตร.จะมอบตัว 15 พ.ค.
ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร. 11 รอ.) เมื่อวันเสาร์ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุนเฉิน (ศอฉ.) แถลงผลการประชุม ศอฉ.ในรอบเช้า ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. เป็นประธาน ว่าที่ประชุมได้กำชับเรื่องการสั่งการและทำความเข้าใจกับกำลังพล เพราะขณะนี้มีข่าวลือออกมาในทำนองว่าเจ้าหน้าที่ทหารรู้สึกเจ็บแค้นต่อผู้ชุมนุม
"อยากชี้แจงว่าข้าราชการทุกคนทั้งตำรวจ ทหาร พลเรือน มีหัวใจ และรู้สึกเสียใจต่อกรณีที่ผู้ร่วมอาชีพต้องได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ยืนยันว่าไม่ได้เจ็บแค้น เราจะเจ็บแค้นกับประชาชนไม่ได้"
โฆษก ศอฉ.กล่าวว่า ทุกคนยังรู้สึกว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเป็นคนไทย ไม่ใช่ศัตรูของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และข้าราชการพลเรือนทุกนาย เรามองว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมชาติ เป็นคนไทย และอยากให้เขามองเราในลักษณะเดียวกัน แม้เราจะต้องปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย ก็เป็นเรื่องของสถานการณ์หนักเบา แต่โดยภาพรวมเราต้องรู้สึกกันอย่างนี้ เพราะเราคือคนไทย
พ.อ.สรรเสริญเผยว่า จนขณะนี้ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพที่ถูกกลุ่มคนเสื้อแดงยึดไปยังไม่ได้รับคืน เราเป็นห่วงว่าผู้ไม่หวังดี ผู้หวังสร้างสถานการณ์ความรุนแรงจะหยิบฉวยอาวุธเหล่านี้ไปใช้สร้างสถานการณ์แล้วโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่ง และให้กลุ่มคนเสื้อแดงอีกส่วนหนึ่ง จึงอยากวิงวอนให้นำอาวุธทั้งหมดส่งคืนเจ้าหน้าที่โดยด่วน
เขายังกล่าวว่า การขอคืนพื้นที่ราชประสงค์ เป็นส่วนหนึ่งของการบังคับใช้กฎหมาย หลายคนถามว่าการขอคืนพื้นที่คือจะเข้าไปสลายการชุมนุมใช่หรือไม่ เอาเป็นว่า ศอฉ.จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย เพียงแต่เมื่อไรจะพร้อมเท่านั้น
"ขณะนี้เรากำลังเตรียมทุกอย่างให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูกำลังพล ฟื้นฟูอาวุธยุทโธปกรณ์ ไปพร้อมๆ กับการทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุม"
ผู้สื่อข่าวถามว่า วางแนวทางอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุชุลมุนขึ้นอีก พ.อ.สรรเสริญตอบว่า ความชุลมุนที่เกิดขึ้นในครั้งก่อนเป็นเพราะมีกลุ่มก่อการร้ายแฝงเข้ามา หากไม่ต้องการให้เกิดความชุลมุน ประชาชนทั่วไปก็ต้องถอนออกมาจากการชุมนุม ถ้าออกเร็วก็จัดการกลุ่มก่อการร้ายได้เร็ว บ้านเมืองก็จบได้เร็ว แต่ถ้าออกช้า ก็ยิ่งมีความเสียหาย ดังนั้นตัวแปรจึงอยู่ที่ประชาชนทั่วไปที่เข้าไปร่วมชุมนุม
โฆษก ศอฉ.ยังชี้แจงการตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เป็นผู้กำกับปฏิบัติงานหัวหน้ารับผิดชอบดูแลพนักงานเจ้าหน้าที่ในการดูแลสถานการณ์ที่มีความร้ายแรงว่า ในภาพรวมนายสุเทพในฐานะ ผอ.ศอฉ.ยังดูแลตามเดิม แต่ที่มอบอำนาจให้ ผบ.ทบ.คือเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการสั่งการใช้กำลังเพื่อให้สายการบังคับบัญชาสั้นลง
มีรายงานว่า ในช่วงเช้า พล.อ.อนุพงษ์ได้เรียกประชุมผู้บังคับหน่วยระดับผู้บัญชาการกองพล เพื่อให้นโยบายเกี่ยวกับการจัดวางกำลัง โดยได้ย้ำให้ใช้แนวทางเดิมคือ เจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ จะรับผิดชอบในพื้นที่ด้านในติดกับกลุ่มผู้ชุมนุม ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารเฝ้าระวังในพื้นที่รอบนอกและพื้นที่สำคัญๆ ตามแผนปฏิบัติการเดิม ซึ่งขณะนี้เป็นขั้นการฟื้นฟู เตรียมกำลัง และจัดกำลังใหม่ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหา พร้อมทั้งหาข่าวและสำรวจสภาพแวดล้อมอย่างรอบด้าน
แหล่งข่าวระบุว่า ขณะนี้ยังมีปัญหาหลายประการในการขอคืนพื้นที่ราชประสงค์จากคนเสื้อแดง โดยเฉพาะกองกำลังติดอาวุธ ที่พร้อมจะปฏิบัติการหากเจ้าหน้าที่รัฐเข้าทำการสลาย อีกทั้งอารมณ์ของผู้ชุมนุมฮึกเหิมไกลไปกว่าที่จะทำความเข้าใจได้ นอกจากนั้นการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายยังทำไม่ได้ผล โดยเฉพาะการจับแกนนำ ปัญหาที่สำคัญยังเกิดจากกำลังพลระดับปฏิบัติหรือพลทหารกำลังจะปลดประจำการ ที่ขณะนี้ส่วนที่ปฏิบัติงานตามแผนปลดไปแล้ว 11 กองร้อย การใช้กำลังจากทหารเกณฑ์ผลัดสอง ซึ่งยังไม่ได้รับการฝึกเท่าที่ควรจะเสี่ยงต่อการปฏิบัติหน้าที่มากขึ้น และกำลังที่ยังปฏิบัติหน้าที่ก็อ่อนล้าเต็มที
แหล่งข่าวระบุว่า เหตุผลสำคัญที่นายอภิสิทธิ์ได้แต่งตั้ง พล.อ.อนุพงษ์เป็นหัวหน้าในการดูแลกำลังการปฏิบัติทั้งหมด เพื่อต้องการกดดันให้ พล.อ.อนุพงษ์ใช้อำนาจหน้าที่ของตัวเองในการแก้ไขปัญหา เพราะที่ผ่านเขาไม่เห็นด้วยกับการสลายม็อบ แม้จะมีการเปลี่ยนคำเป็นการขอพื้นที่คืน และต้องการให้ฝ่ายการเมืองไปหารือและเจรจาเพื่อหาทางออก นอกจากนั้นยังมีปัญหาว่าฝ่ายการเมืองเองก็เป็นอุปสรรค ที่เข้าเร่งรัดการปฏิบัติในการขอคืนพื้นที่ โดยการที่นายสุเทพได้สั่งการข้ามหัว พล.อ.อนุพงษ์ในการใช้กำลังบางหน่วย ส่งผลให้เกิดการสูญเสียกำลังหลักที่กองทัพบกไว้ใจ
"น่าสนใจว่า ผบ.ทบ.จะใช้ทหารสลายการชุมนุมหรือไม่ เพราะตอนนี้ใครๆ ก็รู้ว่า ในขณะนี้ จากเงื่อนไขปัจจัยของเสื้อแดง ยากที่จะเข้าไปสลายได้สำเร็จ ถ้าสำเร็จก็สูญเสียเป็นอย่างมาก ทั้งหมดนี้ถือเป็นการต้อนให้ พล.อ.อนุพงษ์ต้องเลือก ซึ่งถ้า พล.อ.อนุพงษ์ไม่เลือก นายกฯ ก็มีดาบอยู่ในมือ ซึ่งที่ผ่านมาก็ยากที่จะปลด ผบ.ทบ.ได้ ยกเว้นจะมีการปฏิวัติก่อน แต่ตอนนี้ก็ยังเชื่อว่าไม่มีใครกล้าปฏิวัติ เพราะตอนนี้กำลังในกองทัพก็แตกเป็นเสี่ยง ส่วนกำลังที่ไว้ใจก็สูญเสียไปจากปฏิบัติการเมื่อวันที่ 10 เม.ย.หลายคน" แหล่งข่าวระบุ
ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ให้เจ้าหน้าที่นำซีดีบันทึกภาพเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. จำนวน 100 แผ่น แจกจ่ายให้กับสื่อมวลชน โดยหน้าซีดีเขียนว่า "ใครฆ่าแดง" ตอนที่ 1 พร้อมกับแนบเอกสารระบุว่า รายงานสถานการณ์ความจริงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ได้มีการกลุ่มผู้ก่อการร้ายแฝงตัวในกลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกร้องประชาธิปไตยโดยบริสุทธิ์ใจ ซึ่งกลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ได้มีการใช้อาวุธสงครามและระเบิด โดยมุ่งหวังให้เกิดการสูญเสียชีวิต ทั้งชีวิตและทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างไร้มนุษยธรรม เพื่อเป็นการยืนยันถึงการปฏิบัติการอันโหดเหี้ยมของกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่แฝงตัวเข้าในกลุ่มผู้ชุมนุม
สามารถดาวน์โหลดคลิปวิดีโอได้ที่
www.factreport.go.th ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่า ได้มีการทำซีดีแจกจ่ายไปยังหน่วยงานราชการ ประชาชนทั่วประเทศแล้ว 5 แสนแผ่น อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่านายสุเทพได้ประสานกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลคนหนึ่ง ในการทำแผ่นวีซีดีที่บันทึกภาพเหตุการณ์ที่ทหารและคนเสื้อแดงถูกไอ้โม่งชุดดำยิงออกเผยแพร่จำนวน 1 ล้านแผ่น โดยมีเป้าหมายแจกจ่ายในจังหวัดภาคเหนือและภาคอีสาน เพื่อให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้ดูและไม่ให้การสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
วันเดียวกันนี้ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีต ผบ.สส. ในฐานะญาติผู้พี่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการลับ ลวง พราง ทางเอฟเอ็ม 100.5 ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า ดูแล้วไม่สบายใจ ไม่ชอบเลยที่ทหารมีการตาย ไม่ควรจะมีการตาย เพราะการปฏิบัติการของทหารมันไม่ถูกต้อง มีประชาชนตาย มันไม่ถูก จะทำอะไรก็แล้วแต่ แต่ผลลัพธ์ออกมามีคนตาย มันไม่ได้
"คนสั่งต้องรับผิดชอบ จะมาแก้ตัวอย่างไรก็ไม่ขึ้น ไม่ใช่ถืออำนาจบาตรใหญ่"
ญาติแม้วด่ากองทัพ ถามว่ามองความผิดพลาดในแง่ทหารอย่างไร ญาติผู้พี่ พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า วันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ทหารบุกเกิน 6 โมงเย็น มันไม่ถูกหลักสากล ดังนั้นทำไม่ได้ ใครจะรับผิดชอบ แสดงว่าการทำตอนนั้นเพื่อปิดหูปิดตาประชาชน มันไม่ได้หรอก เดี๋ยวนี้มีคลิปวิดีโอ โทรศัพท์มือถือ
ซักว่าอาจจะอยากปิดเกม พล.อ.ชัยสิทธิ์กล่าวว่า "ประเมินสถานการณ์อย่างไร ข้าศึกเวลาเข้าตี ต้องมีกำลังพลมากกว่าคนตั้งรับ อย่างน้อย 2 เท่า แต่นี่อาวุธคุณมี เขาไม่มี แต่กำลังพลประชาชนมากกว่า คุณประเมินผิด ผมได้ยิน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. เป็นผมผมปลดแม่งไปแล้ว"
"ไปให้ข้อมูลเจ้านายได้อย่างไรว่าม็อบมีแค่ 2-3 พัน เจ้านายก็ตัดสินใจผิด การข่าวห่วยมากๆ รบเมื่อไหร่ก็แพ้ ส่วนกองกำลังแทรกซ้อน คุณเอะอะก็มาบอกว่ามีผู้ก่อการร้าย ขายหน้าประเทศไทยหรือไม่ คุณเป็นตัวแทนประเทศ คุณพูดได้อย่างไร มันไม่มีหรอก การข่าวคุณมันไม่มีดีจริง ชุดดำที่มี เป็นได้ทั้ง 2 ฝ่าย ก็มีส่วนหนึ่งมาช่วยเสื้อแดง หรือรัฐบาลเองมีแผนอะไรสักอย่าง มันมีประวัติอยู่ จะมีมือที่ 3 ก็พูดไป แต่มาพูดเรื่องการก่อการร้าย มันหน้าด้าน ทุเรศ"
พล.อ.ชัยสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มีการล้มการปกครองหรอก กลุ่มคนเสื้อแดงชัดเจนที่เรียกร้องประชาธิปไตย ต้องเห็นใจผู้ชุมนุมบ้าง หัดไปดูผู้ชุมนุมอยู่กันอย่างไร คุณทารุณประชาชนมากเกินไปแล้ว ไม่ทราบรัฐบาลคิดอะไร แต่คุณไปได้แล้ว ทั้งนี้ เหตุการณ์ เม.ย.52 ปีที่แล้วก็จับใครไม่ได้สักคน พูดไปก็เสียหาย คุณสร้างขึ้นมาเองก็ได้ แต่อย่ามาพูดก่อการร้าย อีกหน่อยนักท่องเที่ยวจะมาประเทศไทยได้อย่างไร
ถามว่าแกนนำต้องรับผิดชอบหรือไม่ เพราะคุมประชาชนไม่ได้ พล.อ.ชัยสิทธิ์กล่าวว่า เมื่อเป็นประชาชนตรงนั้น ใครก็แทรกซึมเข้าไปได้ ไม่ได้มีรั้วลอบขอบชิด และห้ามเข้า แต่เป็นประชาชนที่มารวมกัน
ซักว่าเป็นทหารสู้กับทหารหรือไม่ พล.อ.ชัยสิทธิ์กล่าวว่า มีส่วน แต่ถ้าดูง่ายๆ ถ้า นปช.จะสู้โดยอหิงสา อาวุธที่เขายึดไปก็ไม่คืน แต่นี่ไม่ใช่ กลุ่มเสื้อแดงคืนหมด นั่นแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจ หมดเวลาแล้วล่ะ ผลคือมีการตาย ไปทบทวนใหม่กันได้ อยากเป็นฮีโร่ พล.อ.อนุพงษ์มาทำแทนนายสุเทพ จิตใจของคงไม่เหมือนไอ้เทือกหรอก
"อนุพงษ์มาน่าจะดีขึ้น แต่บอกให้ไปทบทวนการข่าว อนุพงษ์น่าจะเดินเข้าไปหาแกนนำเลย และประชาชนที่อยู่หน้าราชประสงค์ เพราะเขาไม่เหมือนพวกพันธมิตรฯ ที่คนของราชการเข้าไม่ได้ หากไม่เชื่อผมพาไปเองก็ได้ เข้าไปคุยได้เลย ไม่ต้องมีข้อเสนอ จะได้รู้ว่าเขามาทำไม ตัวนายกฯ จะอยู่ไม่ได้ สุเทพก็อยู่ไม่ได้ ไปที่ไหนก็โดนรังเกียจ โฆษกรัฐบาลก็เหมือนกัน อย่านึกว่าปิดหูปิดตาได้ ความจริงก็คือความจริง"
เขายังบอกว่าไม่ได้ติดต่อกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และดีแล้วที่เขาไม่ได้ติดต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณเป็นแพะอยู่แล้ว เขาคงกำลังหาแพะอยู่ ตนพูดแบบนี้ก็อาจหาแพะมาทางตนก็ได้ เพราะไม่ใช่ลูกผู้ชาย พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนดื้อที่ไหน ถึงเวลาก็ลง แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมามีคนตายยังไม่ยอมยุบเลย ดังนั้นใครดื้อกว่ากัน
ส่วนความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์นั้น ในช่วงกลางวันมีผู้ชุมนุมไม่มากนัก เพราะมีฝนตกโปรยปรายลงมา ขณะที่บรรดาแกนนำที่มีชื่อในหมายจับต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดและแทบไม่เดินห่างจากเวทีมากนัก
แกนนำแดงกลัวหัวหด ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าแกนนำส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่การชุมนุมเกือบตลอดเวลา และเกาะกลุ่มรวมตัวกัน ทั้งนายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ, นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์, นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, นายพายัพ ปั้นเกตุ ยกเว้นแต่นายวีระ มุสิกพงศ์ เท่านั้นที่จะเข้ามายังเวทีปราศรัยในช่วงค่ำ ทั้งๆ ที่ปกติแกนนำหลักส่วนใหญ่จะสลับกันมาที่บริเวณพื้นที่การชุมนุม โดยจะอยู่เฉพาะช่วงเช้าและเย็นเท่านั้น แต่ทั้งนี้หลังจากเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่แกนนำคนเสื้อแดงถูกล้อมจับนั้น ทำให้แกนนำส่วนใหญ่ไม่กล้าเดินทางออกไปไหน ทั้งที่ในวันเสาร์เดิมมีกำหนดการที่จะไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพของผู้ชุมนุมที่เสียชีวิต ซึ่งตามปกติทางแกนนำจะส่งตัวแทนไปร่วมงานด้วย
นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลปิดสัญญาณการถ่ายทอดสถานีพีทีวี ทำให้มีผู้ชุมนุมเดินทางมาชุมนุมที่แยกราชประสงค์จำนวนมาก ตนจะหารือกับแกนนำให้เปิดเวทีเพิ่มที่หน้าธนาคารกรุงเทพฯ ถนนสีลม เพื่อกดดันรัฐบาล เนื่องจากเป็นพื้นที่ขับเคลื่อนทางด้านเศรษฐกิจของประเทศอีกจุดหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ช่วงวันที่ 17-18 เมษายนนี้ จะไม่เคลื่อนขบวนไปไหน แต่วันที่ 19 เมษายนจะมีเคลื่อนไหวแน่ โดยจะเดินทางไปในจุดที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาล แต่ไม่สามารถเปิดเผยในตอนนี้
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง แถลงว่า สิ่งที่กลุ่มคนเสื้อแดงต้องการในวันนี้คือจิตสำนึกและความรับผิดชอบของนายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากนายอภิสิทธิ์ยอมยุบสภา นอกจากจะทำให้สถานการณ์และบรรยากาศทางการเมืองคลี่คลายลงแล้ว ยังเป็นการป้องกันการสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ซึ่งตนกังวลว่าความสูญเสียในครั้งต่อไปจะเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่กว่าวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา เพราะขณะนี้รัฐบาลได้ใช้พิมพ์เขียว 6 ต.ค. 2519 โดยสร้างภาพว่าผู้ชุมนุมเป็นผู้ก่อการร้าย ใส่ร้ายป้ายสีประชาชนโดยใช้สื่อของรัฐให้ข้อมูลข้างเดียว รวมทั้งมีการปลุกระดมประชาชนอีกกลุ่มด้วย
เขายังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลได้ล้อมจับแกนนำคนเสื้อแดงว่า รัฐบาลทำตัวเหมือนกำลังจะพบกับชัยชนะครั้งแรก ประกอบกับเมื่อดูอาการของนายสุเทพ ที่รีบออกโทรทัศน์ตั้งแต่เช้า แต่เมื่อปฏิบัติการไม่สำเร็จ ทั้งนายสุเทพและนายอภิสิทธิ์ก็หลบตัวเงียบหาย เห็นได้ชัดว่าการกระทำดังกล่าวรัฐบาลไม่ได้มีความพยายามในการรักษากฎหมาย แต่เป็นความพยายามที่ต้องการเอาชนะทางการเมืองมากกว่าโดยไม่เลือกวิธีการ
นายณัฐวุฒิกล่าวถึงการดำเนินการกับหมายจับของรัฐบาลว่า กลุ่มคนเสื้อแดงได้มอบหมายให้ทนายความไปแสดงความจำนงแล้ว โดยแกนนำทั้ง 24 คนจะเข้ามอบตัวในวันที่ 15 พ.ค.นี้ ซึ่งตนมั่นใจว่าหากคนเสื้อแดงแสดงเจตนารมณ์เช่นนี้ ทางรัฐบาลก็ควรจะให้โอกาสตามกระบวนการยุติธรรมกับเราด้วย เช่นเดียวกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เคยได้รับโอกาสจนถึงทุกวันนี้
ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์เปลี่ยนผู้อำนวยการ ศอฉ. จากนายสุเทพ เป็น พล.อ.อนุพงษ์นั้น นายณัฐวุฒิเชื่อว่าคงไม่มีอะไร เพราะการถอดนายสุเทพก็เพื่อให้เกิดความสะดวกที่จะเล่นเกมใต้ดินได้อย่างเต็มที่เท่านั้น ส่วนการตั้ง พล.อ.อนุพงษ์นั้น ตนเห็นว่าคงเป็นเกมของรัฐบาลที่ต้องการเปลี่ยนตัว ผบ.ทบ.มากกว่า โดยจะใช้ข้ออ้างว่าไม่สนองตอบฝ่ายการเมือง เนื่องจาก พล.อ.อนุพงษ์แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนมาตลอดว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง
เขายังบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่มีการโฟนอินหรือวิดีโอลิงค์ เนื่องจากคนเสื้อแดงไม่ต้องการให้รัฐบาลนำคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณมาโจมตีกลุ่มคนเสื้อแดงว่าเป็นการต่อสู้เพื่อคนคนเดียว เพราะความจริงกลุ่มคนเสื้อแดงต่อสู้และเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตย
ปืน มท.ระดมปืนลูกซอง ในช่วงเย็น นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง เปิดแถลงข่าวผ่านเวทีการปราศรัยว่า วันนี้มีกระแสข่าวว่านายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ต้องตอบคำถามให้ได้ ว่าได้มีการรวบรวมปืนลูกซองในหน่วยงานที่สังกัดของกระทรวงมหาดไทย จำนวน 3,000 กระบอก เพื่อส่งไปยังกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ สำหรับใช้ปราบปรามกลุ่มคนเสื้อแดงจริงหรือไม่ ทั้งนี้หากเป็นจริง ขอเตือนว่าไม่ต้องมาปกป้องชีวิตประชาชนหรอก เพราะนายชวรัตน์เองจะไม่มีชีวิตและไม่มีแผ่นดินอยู่
ส่วนการส่งคดีเหตุการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอให้รับผิดชอบนั้น นายจตุพรกล่าวต่อว่า ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษทั้งตัวอธิบดีเองรวมทั้งประธานที่เป็นนายอภิสิทธิ์ หรือเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการสั่งฆ่าประชาชนโดยตรงนั้น วันนี้มีการเตรียมการเพื่ออุปโลกน์ผู้กล่าวหาเรื่องผู้ก่อการร้ายขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตามปรากฏว่าในขณะนี้มีผู้กล่าวหาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามที่ได้อุปโลกน์ไว้ 2 คนได้ขอถอนตัว ไม่กล้าเป็นผู้กล่าวหา เนื่องจากหากไม่มีพยานหลักฐานข้อเท็จจริงย่อมจะถูกดำเนินคดีในข้อหาแจ้งความเท็จและถูกดำเนินคดีทางอาญากลับ
"ดีเอสไอ ถ้าคุณร่วมกับนายอภิสิทธิ์ ย่อมเท่ากับเป็นการสมคบกันฆ่าคนตายโดยปิดบังข้อเท็จจริงและโยนความผิดให้กับบุคคลอื่น" นายจตุพรระบุ
นายจตุพรกล่าวต่อว่า ขอถามไปยังนายอภิสิทธิ์ รวมถึง พล.อ.อนุพงษ์ และ พ.อ.สรรเสริญ ว่าการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น มีกฎหมายข้อใดที่บังคับใช้เฉพาะกับกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะกรณีที่กลุ่มคนเสื้อหลากสี ซึ่งจริงๆ คือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและพรรคประชาธิปัตย์ ที่รวมตัวกันขึ้น และเดินทางไปยัง ร.11 รอ. เมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา และที่อนุสาวรีย์ฯ ซึ่งถือเป็นการผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เรื่องการชุมนุมเกิน 5 คนนั้น เหตุใดจึงไม่ออกหมายจับ
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล นายคารม พลทะกลาง ทนายความแกนนำ นปช.ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากแกนนำ นปช.ที่ถูกออกหมายจับ จำนวน 24 คน เดินมายื่นหนังสือกับ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.
นายคารมเผยว่า มาแจ้งกับทางพนักงานสอบสวนที่ได้ออกหมายจับแกนนำ นปช.ทั้ง 24 คน ตามอำนาจของ ศอฉ. เพื่อยืนยันว่าทั้งหมดไม่ยอมรับความผิดที่ถูกกล่าวหาว่าก่อการร้ายนั้น และจะแสดงเจตจำนงว่าจะเข้ามอบตัวในวันที่ 15 พ.ค. เวลา 10.30 น. เหตุผลเนื่องจากเกรงเรื่องความไม่ปลอดภัยและต้องใช้เวลาในการดำเนินการเพื่อเตรียมหลักทรัพย์ขอประกันตัว รวมทั้งกรณีที่ตำรวจพยายามเข้าจับกุมตัวนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำ นปช.และพวก ที่โรงแรมเอสซีปาร์ค อาจเป็นเหตุที่จะนำไปสู่ความวุ่นวาย
ดังนั้นเห็นว่าการที่แกนนำ นปช.ทั้งหมดนัดหมายวันเวลาที่จะเข้ามอบกับพนักงานสอบสวนอย่างชัดเจน น่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ซึ่งเชื่อว่าเมื่อถึงตอนนั้นปัญหาดำเนินมาทั้งหมดคงยุติแล้ว ในส่วนข้อกล่าวหาอื่นๆ เช่น มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้น หรือยุยงปลุกปั่นไปให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองนั้น ไม่ได้กังวล และจะต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม
ด้าน พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า พนักงานสอบสวนออกหมายจับแกนนำตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยมีเจตนารมณ์และเกรงว่าหากไม่รีบนำตัวแกนนำ นปช.ทั้งหมดมาควบคุมไว้ อาจจะไปก่อเหตุร้ายขึ้น ตามอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีอำนาจควบคุมตัวได้ครั้งละ 7 วัน แต่ต่อเนื่องกันไม่เกิน 30 วัน พนักงานสอบสวนไม่ได้จับกุมตาม พ.ร.บ.คดีอาญาทั่วไป ดังนั้นไม่สามารถนำหลักทรัพย์มาประกันตัวได้ และการที่ทนายความมายื่นว่าจะเข้ามอบตัวในอีก 1 เดือนข้างหน้า ก็ไม่มีผลให้เจ้าหน้าที่หยุดการจับกุมได้ และหมายจับส่วนใหญ่เป็นการออกโดยกองปราบปราม อย่างไรก็ตาม จะรับเรื่องไว้เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชา
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีความผิดพลาดในการจับกุมแกนนำคนเสื้อแดงที่โรงแรมเอสซีปาร์คว่าเกิดจากอะไร พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า การจับกุมคดีอื่นๆ หรือการพนันไม่ประสบความสำเร็จก็หลายครั้ง และเมื่อวานไม่มีการสูญเสียใดๆ เจ้าหน้าที่เน้นความปลอดภัยเป็นหลัก หากจะเกิดการสูญเสียก็ให้ถอนมาก่อน ค่อยดำเนินการจับกุมใหม่ได้
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินสถานการณ์ก็ต้องมาปรับกัน โดยเฉพาะ ผบ.พื้นที่ ต้องปรับกัน เจ้าของพื้นที่จะชัดเจนขึ้น ซึ่งการจับกุมครั้งต่อไปต้องรวดเร็ว ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ฝ่ายสอบสวนกำลังดำเนินการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับกลุ่มแกนนำคนเสื้อแดงที่หลบหนีการจับกุมเจ้าหน้าที่ว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายข้อใดบ้าง
ตำรวจปรับทัพใหม่ ขณะที่ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก บช.น.แถลงข่าวว่า พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. เรียกประชุมเจ้าหน้าที่เพื่อประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง และรับทราบปัญหาการปฏิบัติหน้าที่ โดยมี รอง ผบช.น.ผบก.น.1-9 ผบก.ตปพ. และ ผกก.ทุก สน. เข้าร่วมประชุม
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งว่าตามที่มีการจัดโครงสร้างกำลังเพิ่มเติม จากที่ขึ้นกับ กอ.รมน.ภาค 1 ให้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปขึ้นกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรง มีภารกิจหลักดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย หากภารกิจนอกเหนือจากนั้นต้องได้รับคำสั่งจาก พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร.เท่านั้น อย่างไรก็ดีทาง พล.ต.ท.สัณฐานได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกนายหลีกเลี่ยงความรุนแรง เน้นการเจรจา และห้ามกำลังพลพกพาอาวุธปืนและระเบิดโดยเด็ดขาด เว้นแต่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวต่อว่า จากนี้ไป ผบก.น.1-9 ห้ามอ้างว่ากำลังพลดูแลพื้นที่ไม่เพียงพอ เพราะทาง บช.น.ส่งกำลังกองร้อยควบคุมฝูงชนของแต่ละ บก.ให้แล้ว 1 กองร้อย คงเหลือเพียง บก.ละ 1 กองร้อยเท่านั้น จากนั้นให้เน้นงานสายตรวจเดินเท้า ปรากฏกายให้ประชาชนเห็นเพื่อความอุ่นใจ โดยให้เน้นตรวตตราร้านค้า ตลาด ห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยวและสถานีขนส่ง
"ส่วนภารกิจพิเศษเรื่องถวายอารักขาความปลอดภัยแก่ราชวงศ์จะต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เน้นเส้นทางเสด็จฯ พระราชวัง อย่างเคร่งครัด ห้ามบกพร่องอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่การชุมนุมที่อยู่ใกล้พระตำหนัก ก็ให้สนธิกำลังกับทหารเข้าไปดูแลเป็นพิเศษ"
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีกลุ่มคนเสื้อหลากสีชุมนุมที่บริเวณหน้าราบ 11 เมื่อวันศุกร์ เข้าข่ายผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ พล.ต.ต.ปิยะตอบว่า ผิดส่วนหนึ่ง แต่ต้องดูองค์ประกอบ หากไม่ปะทะกันหรือก่อความวุ่นวายก็อะลุ่มอล่วยกันได้
ทั้งนี้ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.มีคำสั่ง บช.น.ที่ 154/2553 ลงวันที่ 13 เมษายน 2553 ให้ พ.ต.ท.วีระชัย ปฤษฎางคเดชา พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.บางโพงพาง ไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการที่ สน.สุวินทวงศ์ เป็นเวลา 60 วัน มีผลตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2553
ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.อำนวยได้รายงานต่อ พล.ต.ท.สัณฐานว่า หลังเกิดเหตุกลุ่ม นปช.ชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองและเกิดเหตุวุ่นวาย ในวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมาจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก พล.ต.ต.อำนวยจึงมีคำสั่งระดมพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อประชุมแบ่งหน้าที่การสอบสวนกรณีดังกล่าว แต่ปรากฏว่า พ.ต.ท.วีระชัยกลับเข้าร่วมประชุมสาย ซึ่งถือว่าไม่เคร่งครัดต่อระเบียบแบบแผนของตำรวจ
ด้าน พ.ต.ท.วีระชัยยอมรับว่าสุขภาพไม่ค่อยดี ป่วยเป็นความดันและเบาหวาน ต้องไปหาหมอบ่อยๆ ซึ่งในวันที่มีการเรียกประชุมพนักงานสอบสวนคดีการชุมนุมของกลุ่ม นปช.โรคเก่ากำเริบ จึงไปหาหมอ ทำให้เข้าประชุมสาย ตนก็บอกผู้บังคับบัญชาไปตามความเป็นจริง ซึ่งท่านก็เข้าใจ จึงให้ย้ายไป สน.สุวินทวงศ์ ใกล้บ้านพัก เพราะตนอยู่ย่านรามอินทรา ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เรื่องสุขภาพของเท่านั้น
วันพระไม่ได้มีวันเดียว ขณะที่ฝ่ายการเมืองนั้น นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปจับกุมแกนนำตามหมายจับและไม่ประสบความสำเร็จว่า รัฐบาลก็ยังมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะจับกุมผู้กระทำผิดตามกฎหมายต่อไป จะไม่ปล่อยโอกาสให้คนชั่วลอยนวลอย่างแน่นอน และขอให้ประชาชนมั่นใจในการทำหน้าที่ของรัฐบาล แม้ว่าวันนี้อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่พรุ่งนี้หรือวันต่อไปเมื่อมีโอกาสก็สามารถที่จะดำเนินการจนประสบความสำเร็จได้ คิดเสียว่าวันพระไม่ได้มีหนเดียว
นายประมวล เอมเปีย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เผยว่า ล่าสุดมีการแจ้งเตือนมาให้ทราบว่าขณะนี้มีการซ่องสุมกำลังชายฉกรรจ์และอาวุธย่านหมู่บ้านเมืองทอง 3 โดยมีอดีตนายตำรวจใหญ่นอกราชการคนหนึ่งให้การสนับสนุนดึงลูกน้องเก่ามาใช้งานอย่างใดอย่างหนึ่งในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน จึงขอให้หน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐตรวจสอบด้วย
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ กล่าวว่า แกนนำ นปช.จะต้องกล้าตัดสินใจเพื่อรักษาชีวิตของผู้บริสุทธิ์ในที่ชุมนุม เพราะสถานการณ์ได้พัฒนาไปไกลจนคนทั่วไปเริ่มเชื่อและเห็นข้อเท็จจริงว่ามีกลุ่มติดอาวุธฝังตัวอยู่ในที่ชุมนุม และพร้อมเปิดศึกทำสงครามกับอำนาจรัฐเต็มรูปแบบ ฉะนั้นวิธีกดดันอำนาจรัฐของแกนนำ นปช.เป็นวิธีที่สุ่มเสี่ยงมากขึ้น และยังปลุกกระแสความเกลียดชังและความรุนแรงให้เกิดขึ้นในสังคม
"ผมเป็นห่วงว่ามันจะคล้ายๆ กับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แต่จะเป็น 6 ตุลาคมด้านกลับ กล่าวคือผู้ชุมนุมถูกปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังฝ่ายตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นอำนาจรัฐและประชาชนหลากสีที่เห็นต่างจากคนเสื้อแดง"
สำหรับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ นั้น จะมีการประชุมเครือข่ายทั่วประเทศในวันพรุ่งนี้ ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. ที่อาคารนันทนาการ ม.รังสิต (เมืองเอก) เพื่อกำหนดท่าทีและทางออกต่อวิกฤตการณ์ของประเทศในขณะนี้
ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อหลากสีนั้น เมื่อเย็นวันเสาร์ ประชาชนยังคงทยอยเข้าร่วมกับกลุ่มพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดินที่รณรงค์อยู่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอย่างต่อเนื่อง ทำให้โดยรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเต็มไปด้วยผู้คนใส่เสื้อหลากสี โบกธงชาติ ถือพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีธงชาติไทยผืนใหญ่หลายผืนใช้คลุมพื้นที่โดยรอบ
พร้อมกันนั้นได้มีการโบกมือชักชวนประชาชนที่เดินอยู่โดยรอบและบนรถโดยสารให้มาร่วมชุมนุมปกป้องประเทศ ซึ่งมีประชาชนเข้ามาร่วมโดยตลอด
นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานงานกลุ่มพิทักษ์ชาติ เผยว่า ในวันอาทิตย์จะมาชุมนุมตรงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เวลา 16.00 น. และในเวลา 17.00 น. จะเดินไปสวนสันติภาพ ส่วนกำหนดการ 16.00 น.ของทุกวันในวันจันทร์ ไปชุมนุมที่สวนจตุจักร วันอังคารไปสักการะพระปิยมหาราช ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า วันพุธไปสักการะพระเจ้าตากสินฯ ที่วงเวียนใหญ่ ส่วนวันพฤหัสฯ วันศุกร์และวันเสาร์ จะมาชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และวันอาทิตย์ไปสวนหลวง ร.9 เวลา 09.00 น
วันเดียวกันนี้ มีรายงานว่านายอภิสิทธิ์ได้เดินทางออกจากกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ โดยเครื่องบินแบล็กฮอว์ก ไปยังอำเภอหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อพักผ่อนกับครอบครัว มีกำหนดกลับในวันอาทิตย์
ในขณะที่นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดงหมายเลข 1 นั้น ตลอดทั้งวันไม่ได้ปรากฏตัวที่เวทีปราศรัยแยกราชประสงค์เลย ซึ่งมีแนวโน้มว่านายวีระได้ออกจากพื้นที่ชุมนุม แต่ไม่ทราบว่าไปสถานที่ใด.
http://www.thaipost.net/sunday/180410/20952