ฟังความเห็นของ ศาสตราจารย์ ระพี สาคริก......
หยดน้ำตาแทนน้ำหมึกถูกทุกข้อ12 เมษายน 2553 - 00:00
เรียน คุณสามวา สองศอกที่เคารพ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำวันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2553 ผมคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่คงทราบกันดีอยู่แล้ว แม้ไม่ได้ไปอยู่ในเหตุการณ์อย่างน้อยก็ได้ชมข่าวรายงานจากวิทยุโทรทัศน์ ถ้าคนไทยที่มีเลือดไทยอยู่ในวิญญาณ หากไม่ทราบเรื่องนี้ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว
ณ โอกาสนี้ผมขออนุญาตใช้จิตใจตัวเองเป็นแผ่นกระดาษ และใช้น้ำตาเป็นหมึกเพื่อเขียนส่งมาให้คุณพิจารณา
ผมมีอายุ 88 ปีแล้ว แต่ก่อนใครเลยจะนึกว่าคนไทยจะต้องมายกพวกฆ่าฟันกันเอง แม้ 14 ตุลาฯ ก็ดี 6 ตุลาฯ ก็ดี ซึ่งเรามักนำมาอ้างอย่างโน้นอย่างนี้ด้วยความรู้สึกภูมิใจ แต่เหตุการณ์ที่คนไทยจะต้องมายกพวกฆ่าฟันกันเองนั้น มันมีเงื่อนปมที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น
หากแต่ละคนล้างเอาเงื่อนปมดังกล่าวออกจากใจตนเอง เหตุการณ์ดังกล่าวมันก็คงไม่เกิดขึ้น ทุกคนจึงควรอยู่โดยที่รักษารากฐานจิตใจตนเองให้อิสระอยู่เสมอ
หากเงื่อนปมดังกล่าวที่มันฝังอยู่ในรากฐานจิตใจตนเอง แล้วไม่สนใจที่จะชำระล้างมันออกไป ซึ่งประเด็นนี้บางทีฝ่ายหนึ่งก็ภูมิใจ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เจ็บช้ำน้ำใจกันไปตามเรื่อง
ในอดีตที่ผ่านมา "มักมีคนบ่นว่าเรื่องที่ผมเขียนมันลึกซึ้งทำให้อ่านแล้วเข้าใจยาก" ถ้าผมมองในมุมกลับแล้วพูดว่า "ผมเขียนลึกหรือความคิดคุณมันตื้นเขินกันแน่" ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงนำมาเรียงลำดับความสำคัญอย่างรู้เหตุรู้ผล
ผมเคยพูดอยู่เสมอว่า "ความลึก ความตื้น หรือความยากความง่าย มันไม่มีอยู่ในโลกแห่งความจริง" ถ้ายากแสดงว่าตัวคุณเองขาดความวิริยะอุตสาหะ ถ้าง่ายก็แสดงว่าตัวคุณเองตกอยู่ในความประมาท ความจริงแล้วโลกแห่งความจริงนั้นมันก็อยู่ในใจของคุณเองนั่นแหละ
ช่วงนี้กำลังสงกรานต์มักมีคนที่เคยเป็นลูกศิษย์ รวมทั้งผู้ที่ให้ความเคารพนับถือแก่ผมมารดน้ำขอพร หลายคนคงหวังว่าผมจะให้พรใครต่อใครให้ร่ำให้รวย แต่ผมกลับพูดว่า "ผมไม่บังอาจให้พรใครหรอกครับ เพราะทุกคนมีพรอยู่ในใจแล้ว นั่นคือพรที่เรียกกันว่าพรสวรรค์ ถ้าคุณตกอยู่ในความทุกข์เมื่อไหร่ก็ให้ค้นหาความจริงจากใจตัวเอง ผมรับรองว่าประเด็นนี้แก้ปัญหาความทุกข์ได้ทุกเรื่อง เมื่อผมไม่บังอาจให้พรกับใครได้ ผมก็คงให้ได้แต่กำลังใจ"
โปรดอย่าคิดว่าวิธีการให้กำลังใจของผมนั้นคือการพูดด้วยปาก คุณลองไปถามหลายต่อหลายคนที่ผมไม่เคยพูดด้วยปาก แต่การปฏิบัติของผมนั่นแหละคือการให้กำลังใจแก่ทุกคน
ประเด็นนี้ได้ทั้งสองฝ่าย ผมก็ได้รับเพราะลงมือปฏิบัติจากใจ ทุกคนที่มีโอกาสสัมผัสก็ได้รับ ผมเคยได้ยินหลายคนพูดว่า "ดูแต่อาจารย์ระพีซิ อายุ 88 ปีแล้วก็ยังทำงานให้แก่สังคมหนักมากกว่าเก่า แล้วเราจะท้อได้ยังไง"
ผมมีเรื่องหนึ่งที่จะขออนุญาตนำมาเล่าให้ทุกคนนำไปพิจารณา แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เรื่องเล็กมันก็เช่นเดียวกับเรื่องใหญ่ถ้ามองที่จิตใจมนุษย์ผู้ปฏิบัติ
สรุปได้ว่าเรื่องนี้แม้จะเป็นเรื่องเล็ก แต่มันก็อยู่บนหลักเดียวกันกับเรื่องใหญ่ เพราะเหตุมันอยู่ในรากฐานจิตใจคน
ช่วงที่ผมดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อยู่มาวันหนึ่งเกิดความขัดแย้งระหว่างนิสิตคณะเกษตรกับคณะวนศาสตร์ถึงขนาดยกพวกตีฟัน ในวันนั้นมีนิสิตคนหนึ่งซึ่งเป็นประธานปกครองขององค์การนิสิตชื่อนายสวัสดิ์ เขาวิ่งมาหาผมแล้วบอกว่า "คุณพ่อครับผมจะปล่อยให้มันต่อสู้กันให้ถึงที่สุดที่กลางสนามรักบี้ แต่จะปลดอาวุธออกให้หมด และถอดเสื้อออกด้วยคงเหลือแต่กางเกงอย่างเดียว"
ในวันนั้นปรากฏว่านิสิตสองคณะที่พูดถึง วิ่งดาหน้าเข้าไปหากัน หลังจากนั้นก็ต่อยกันเป็นคู่ๆ ต่อยกันจนเหนื่อย เสร็จแล้วจึงมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะหันเข้ามากอดคอกัน เพราะเหตุว่าเขาได้สติจึงรู้ว่า "นิสิตมหาวิทยาลัยเดียวกันแท้ๆ แถมยังกินข้าวหม้อเดียวกันอีกด้วย มาทำร้ายกันทำไม" หลังจากนั้นจึงจูงมือกันเดินกลับเข้าหอ
นี่แหละที่เขาพูดกันว่า "ธรรมชาติของคนเรานั้น ต้องเรียนรู้จากความเจ็บปวดจึงจะได้สติ"
อนึ่ง ก่อนหน้านั้นไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร เพราะความเห็นแก่ตัวนี่แหละที่มันทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน
มนุษย์ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น ผมเองก็มี จึงไม่ควรคิดว่าเราดีเหนือคนอื่น
ผมสารภาพความจริงให้ทุกคนได้รู้ว่า ตัวเองแม้จะมีอายุมากแต่ก็ลงมาทำงานอยู่กับพื้นดิน
มากกว่าเก่ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ ช่วงที่ผมดำรงตำแหน่งอธิการบดี ว่างเมื่อไหร่ยิ่งเวลาปิดภาคด้วยแล้ว ผมจะลงไปทำงานอยู่กับชาวบ้านร่วมกับนิสิต แม้แต่ใช้ชีวิตนอนกลางดินกินกลางทราย ถ้าวันหยุดวันเสาร์อาทิตย์ตัวผมเองก็ไม่มีวันหยุด เพราะรู้ว่า "วันหยุดนั้นคือสิ่งที่มนุษย์เป็นผู้สมมติขึ้นมา หาใช่ของจริงไหม จึงไม่ยอมให้มันมีอิทธิพลเหนือเรา"
ดังนั้นวันเสาร์อาทิตย์ผมจะลงไปเก็บขยะ แม้กระทั่งโกยผักตบชวาในคูน้ำร่วมกับเด็กๆ เป็นประจำ ถ้าวันปิดภาคผมก็จะตามเด็กๆ ลงไปทำงานร่วมกับชาวบ้านบนพื้นดิน เช่น ไปช่วยดำนา เกี่ยวข้าว เพาะเห็ดฟาง ปลูกผักอยู่ในภาคอีสาน แทบจะทุกตำบล ทุกอำเภอ เรื่องทุกจังหวัดนั้นคงไม่ต้องพูดถึง
ริมฝั่งโขงผมไปมาแล้ว แถมยังรู้ว่าที่ริมฝั่งโขงนั้นมีกลุ่มเผยแพร่คริสต์ศาสนาไปทำงานอยู่ที่นั่น สังเกตได้จากต้นสตาร์แอปเปิ้ลซึ่งเป็นพันธุ์ไม้จากฟิลิปปินส์ใบคล้ายใบทุเรียน ด้านบนมีสีเขียวส่วนใต้ใบมีสีน้ำตาล ผลคล้ายลูกจันทน์ มีกลิ่นหอม กินได้ ที่ชาวบ้านนำมาขายอยู่ในตลาดท้องถิ่น
ผมเป็นรัฐมนตรีที่ไม่ยอมนั่งโต๊ะ แต่สนใจลงไปทำงานร่วมกับชาวบ้านอยู่บนพื้นดิน แม้กระทั่งไปดำนา เกี่ยวข้าว ไปลากลูกกลิ้งอัดพื้นนาเกลืออยู่ที่ชลบุรี เป็นต้น
มันเป็นความสุขอย่างหนึ่ง เมื่อมันเป็นความสุขก็ย่อมเกิดปัญญา แม้กระทั่งการพัฒนาประเทศก็แทบไม่ได้ใช้เงินใช้ทอง ทั้งนี้เป็นเพราะเงินทองมันอยู่ในใจชาวบ้านอยู่แล้ว เมื่อเขามีกำลังใจก็เปลี่ยนจิตใจให้มาเป็นทุนในการทำงานอันมหาศาล แถมยังเกิดความคิดในการพัฒนาตนเองอีกด้วย
"นี่แหละที่เขาเรียกกันว่าเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ถ้าเราหยั่งรากจิตใจลงสู่พื้นดินอย่างลึกซึ้งประเทศชาติก็ย่อมมีความมั่นคง ทำให้เจริญก้าวหน้าต่อมาอย่างเชื่อมั่นได้ เศรษฐกิจเราก็แก้ปัญหาอย่างได้ผลโดยใช้เงินใช้ทองน้อยที่สุด เมื่อใช้เงินน้อยที่สุดเศรษฐกิจมันก็ดีขึ้นโดยมีรากฐาน"
ที่ผมกล่าวมานี้ทุกวันนี้ ยิ่งไม่มีอำนาจไม่มีตำแหน่งผมก็ยิ่งทำมากกว่าเก่า
แม้รัฐบาลหรือใครจะมายกย่องว่าผมเป็นผู้สูงอายุแห่งชาติ ผมก็ไม่ตกเป็นเหยื่อคำสรรเสริญเยินยอดังกล่าว แต่ยิ่งทำงานลงไปสู่พื้นดินอย่างมีความสุขยิ่งขึ้นไปอีก
ที่ผมกล่าวมาแล้วทั้งหมดคงไม่ต้องอ้างหลักฐานที่ไหน เพราะหลักธรรมก็ได้พูดเอาไว้แล้วว่า "ความลับไม่มีในโลกแห่งความจริง เพราะเรื่องที่พูดนี้หลายคนมองเห็นได้เอง โดยไม่ต้องคิดว่าจะให้คนโน้นคนนี้มามองเห็น"
บางคนลงไปอยู่ในพื้นที่แล้วยังไม่ทำ รอว่าเมื่อไหร่กล้องทีวีจะมาถึงแล้วจึงลงมือทำเช่นนี้
เป็นต้น
สิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ผมไม่มีเจตนาที่จะว่าร้ายใคร ถ้าใครคิดว่าผมว่าร้ายก็ต้องกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้เขียนบทความเรื่องหนึ่งโดยให้ชื่อว่า "เรื่องเล็กที่สุดคือเรื่องใหญ่ที่สุด" ความหมายของเรื่องนี้ก็คือ ยิ่งเราขึ้นไปอยู่ที่สูงก็ควรทำตัวให้มันลงมาอยู่ต่ำกว่าคนอื่น สิ่งนี้เองที่ให้ความสุข ให้บุญกุศล และทำให้คนอื่นเขายกมือไหว้ได้อย่างสนิทใจ แถมยังแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ได้อีกด้วย
กราบมาด้วยความเคารพ
ระพี สาคริก
ตอบ อาจารย์ระพี
ไม่รู้ว่าทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายแกนนำ นปช.จะมีเวลาอ่านจดหมายของอาจารย์ระพีหรือไม่ เพราะนี่คือหนทางที่จะแก้ปัญหาที่หลายคนมองว่ามาถึงทางตันแล้ว
เราถอยไปไม่ได้อีกแล้ว
เรียน คุณสามวา สองศอก
วันที่ 3 เมษายน 2553 ที่ผ่านมานี้ เป็นวันครบรอบ 15 ปี แห่งการจากไปของศิลปินนักแต่งเพลงที่มีชื่อว่า พรธีรา (จ่าสิบเอกพรเลิศ สารานิยคุณ)
ครูพรธีราเกิดวันอังคารที่ 25 มีนาคม 2484 ถึงแก่กรรม 3 เมษายน 2538 เป็นคนยโสธร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 6 คน ครูพรธีราเป็นบุตรคนที่สองของครอบครัว สมรสกับคุณเพ็ญนี สารานิยคุณ (เป็นอาจารย์สอนอยู่ รร.สุรศักดิ์มนตรี) มีบุตรธิดา 3 คน
เข้ารับราชการสังกัดกองดุริยางค์ทหารบก เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2508 ประจำวงหัสดนตรีในตำแหน่งนักร้องนักแต่งเพลง พ.ศ.2527 ย้ายประจำแผนกวิทยาการ ตำแหน่งนักดนตรีพิเศษ
ผลงานการประพันธ์เพลง ได้รับพระราชทานรางวัลแผ่นเสียงทองคำ ประจำปี 2522 ในเพลงสุดแผ่นดิน ขับร้องโดยคุณศิริจันทร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
ผลงานเพลงดัง หลานย่าโม ร้องโดยรุ่งฤดี แพ่งผ่องใส เพลงนี้ได้รับพระราชทานแผ่นเสียงทองคำปี 2522 เพลงที่หนึ่ง ขับร้องโดยสุเทพ วงศ์กำแหง เพลงรักเธอเหนือสิ่งใดและต้นลมหัวใจ ขับร้องโดยทนงศักดิ์ ภักดีเทวา
ครูพรเลิศเป็นคนมีน้ำใจ รักพวกพ้อง จึงเป็นที่รักและอาลัยยามจากเพื่อนๆ ไป
เพลงสุดแผ่นดิน คำร้อง/ทำนอง ส.อ.พรเลิศ สารานิยคุณ
เรียบเรียงเสียงประสาน พ.อ.ชูชาติ พิทักษากร
สุดดินคือถิ่นน้ำ เขตคามไทยสุดแนว
เราถอยไปไม่ได้อีกแล้ว ผืนดินสิ้นแนวทะเลกว้างใหญ่
ชาติไทยในเก่ากาล ถูกเขาราญย่ำใจ
เคยเสียน้ำตามากเพียงไหน เสียเนื้อเลือดเท่าไรชาวไทยจำได้ดี
เราถอยมาอยู่แสนไกล รวมเผ่าไทยอยู่อย่างเสรี
พระสยามทรงนำโชคดี ผืนดินถิ่นนี้คือแผ่นดินทอง
ไม่มีที่แห่งไหน ให้ไทยไปจับจอง
เราถอยไปไม่ได้พี่น้อง ใครคิดแย่งครองผองไทยจงสู้ตาย
นิสา อาภรณ์
ตอบ คุณนิสา
เพลงสุดแผ่นดินเป็นอีกเพลงหนึ่งที่น่าจะนำมาเปิดในช่วงสงกรานต์ปีนี้.
สามวา สองศอก
http://www.thaipost.net/news/120410/20693