22 พฤศจิกายน 2567, 16:22:00
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 71 72 [73] 74 75 ... 131   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: [2513] "ซำบายดีพี่แอ๊ะ ๑๓"  (อ่าน 796073 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 21 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #1800 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 10:21:00 »

ตัวพี่ป๋องเองก็จะเอาตัวไม่รอด จะเที่ยวไปตั้งข้อกล่าวหาใครเขาได้
พี่ป๋องนี่ชักมีสำเนียงคล้ายพี่สิงห์เข้าไปทุกวันทุกวันแล้ว
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1801 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 10:46:22 »

ขอฉายหนังซ้ำครับ

                       

ตามภาพที่ปรากฏ แปลเป็นไทยได้ว่า "บ้านเมือง ต้องมีขื่อมีแป เราจะสนับสนุนรัฐบาล"
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1802 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 10:46:48 »

เพิ่มเติมจากข่าวผู้พิพากษาใหม่เข้าถวายสัตย์ฯ ก่อนออกปฏิบัติหน้าที่ ในมุมมองของไทยโพสต์ ฉบับเมื่อวานนี้

มีคนลืมทำหน้าที่ พระราชดำรัสต่อศาลฎีกาให้เป็นตัวอย่างประชาชน
ข่าวหน้า 1  27 เมษายน 2553 - 00:00

  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสต่อคณะผู้พิพากษาฎีกา  ให้ตั้งใจทำหน้าที่อย่างเคร่งครัด  เพื่อรักษาเอาไว้ซึ่งความเรียบร้อยของประเทศ  จะทำให้เป็นความตั้งใจของประชาชนทั่วไปที่จะตั้งใจทำงานอย่างเคร่งครัด  อย่างสุจริต  ในประเทศนี้อาจจะมีคนลืมหน้าที่ของตนได้  ขอให้แสดงเป็นตัวอย่างว่ามีผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด  สุจริต
     เมื่อเวลา  17.27  น.  วันที่  26  เมษายน  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก  ณ  ห้องประชุมชั้น  14  อาคารเฉลิมพระเกียรติโรงพยาบาลศิริราช  พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายสบโชค  สุขารมณ์  ประธานศาลฎีกา   นำคณะผู้พิพากษาประจำศาล  สำนักงานศาลยุติธรรม  เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่  ในโอกาสนี้  นายวิรัช  ชินวินิจกุล  เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม  นายไพโรจน์  นวานุช  ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์  ประจำสำนักประธานศาลฎีกา  นายวรวุฒิ  ทวาทศิน  เลขาธิการประธานศาลฎีกา  และนายสราวุธ  เบญจกุล  รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม  ร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย
     ในการนี้   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า  ตามที่ผู้พิพากษาศาลฎีกาได้มาปฏิญาณตน  ในโอกาสนี้เป็นโอกาสที่สำคัญ  เพราะเป็นการแสดงว่าจะปฏิบัติหน้าที่  มีความตั้งใจจริงๆ   และการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตของประชาชน  ซึ่งท่านทั้งหลายจะได้ช่วยกันพยุงความยุติธรรม  ความเรียบร้อยของประเทศ  อันนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากถ้าท่านทำตามที่ปฏิญาณตนด้วยเคร่งครัด  จะช่วยให้ประเทศชาติมีความเรียบร้อยได้อย่างแน่นอน 
     "การที่ประเทศนี้  ผู้ที่ตั้งใจทำหน้าที่อย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  เพราะว่านอกจากความเรียบร้อยที่จะเกิดขึ้น   เป็นการแสดงว่า  มีเจ้าหน้าที่ในประเทศที่ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า  จะปฏิบัติหน้าที่อย่างแน่นอน  อย่างชัดเจน  และตั้งใจที่จะรักษาเอาไว้ซึ่งความเรียบร้อยของประเทศ  ทำให้ประชาชนทั่วไปมีความตั้งใจในตัว  ที่จะปฏิบัติงานของตนอย่างซื่อสัตย์สุจริตเหมือนกัน  เชื่อว่าการที่ท่านแสดงเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้พิพากษา   จะทำให้เป็นความตั้งใจของประชาชนทั่วไป   ที่จะตั้งใจทำงานทำการอย่างเคร่งครัด   อย่างสุจริต  ฉะนั้น  การที่ท่านมารับหน้าที่เป็นการที่ดีที่จะช่วยประเทศชาติปฏิบัติตนคนในชาติ  ปฏิบัติตนให้มีความเคร่งครัด  ความสุจริต"
     ในประเทศอาจจะมีคนที่ลืมหน้าที่ของตนได้   ท่านแสดงเป็นตัวอย่างว่ามีผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด  อย่างสุจริต  ฉะนั้นท่านมีหน้าที่ที่สำคัญมาก  ยิ่งได้ปฏิญาณตนว่า  จะรักษาความยุติธรรมโดยเคร่งครัดนี้  จะช่วยให้ประชาชนทั่วไปปฏิบัติงานของตนด้วยความเรียบร้อย  ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตได้อย่างมากที่สุด  เป็นผู้สุจริต  เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ง่าย   เพราะว่าในชีวิตมีสิ่งที่ล่อใจมาก  ฉะนั้นท่านได้ปฏิญาณตนนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ  ทำให้ท่านเตือนใจอยู่ตลอดว่า  ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต  ซึ่งถ้าหากมีบุคคลที่ปฏิบัติดี  ชอบ  ด้วยความแน่วแน่  ด้วยความตั้งใจ  เป็นสิ่งที่ช่วยให้คนอื่นปฏิบัติตนให้ดี
     ฉะนั้นสำคัญมากที่ท่านได้มาปฏิญาณตนว่าจะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์  สุจริต  เข้มแข็ง  ถ้ารักษาความซื่อสัตย์สุจริตนี้ไว้ตลอดเวลาที่ท่านปฏิบัติหน้าที่  ตลอดชีวิต  แสดงว่ามีคนที่อุ้มชูความเรียบร้อยของประเทศจำนวนหนึ่ง   ก็ขอให้ท่านได้สามารถรักษาความตั้งใจของหน้าที่ตามที่ได้ปฏิญาณตลอดเวลา  เป็นตัวอย่างสำหรับคนทั่วประเทศ  ให้มีกำลังใจที่จะปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต   อย่างที่ท่านได้ปฏิญาณ   ขอให้ท่านรักษาความซื่อสัตย์สุจริตอย่างที่ท่านได้กล่าวมาเมื่อครู่นี้  เป็นทางที่จะช่วยให้บ้านเมืองมีความเจริญมั่นคงแน่นอน  และในคราวเดียวกัน  ท่านเองจะได้ถือว่าเป็นตัวอย่างสำหรับประชาชนทั่วไป   ทั้งผู้ที่เป็นข้าราชการ  ทั้งผู้ที่ทำหน้าที่ต่างๆ  จะช่วยกันอุ้มชูประเทศชาติให้ได้อยู่เย็น  มีความผาสุก  มีความเข้มแข็งในการงาน  และทำให้งานการนั้นมีความสำเร็จ  เรียบร้อย  ทำให้ทุกคนมีความสุขได้
     "ขอให้ท่านรักษาคำปฏิญาณโดยเข้มแข็ง    เชื่อว่าท่านจะมีความสุขในการปฏิบัติหน้าที่ที่ดี   ขอให้ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างที่ท่านได้กล่าว  ให้เป็นสิ่งที่ท่านมีส่วนในการสร้างบ้านเมืองให้ดี  และเวลาเดียวกันท่านก็สร้างตัวท่านเองให้เป็นคนที่ดี  คนที่มีความสำเร็จ  ขอให้ท่านปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเรียบร้อยตลอดชีวิตของท่าน  และขอให้ท่านมีความสำเร็จในงานการ  ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สูงสุด  ณ  ในการปฏิบัติงานของคนที่เป็นคนสำคัญในชาติคือ  ผู้พิพากษา   ขอให้ท่านมีความสำเร็จในการงาน   ในเวลาเดียวกัน   ท่านก็จะมีความสุขที่ได้ทำงานอย่างครบถ้วน  ขอให้ท่านมีสำเร็จ  มีความสำเร็จในงานการดังกล่าว"

http://www.thaipost.net/news/270410/21380
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1803 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 11:31:45 »

เขาประกาศหาคนหายกันครับ ใครเห็นบ้าง ช่วยกันตามตัวให้หน่อย สงเคราะห์กันด้วย

ประกาศ ตร.หาย(หัว)
28 เมษายน 2553 10:40 น.
 
       0...ถือเป็นงานหนักงานแรกของของ"ธาริต เพ็งดิษฐ์" อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ต้องทำคดี"ก่อการร้าย" และเพิ่งได้ตัว"ผู้ก่อการร้าย"ตามหมายจับมาเพียงแค่คนเดียว นาม"เมธี อมรวุฒิกุล" ดารานายแบบเสื้อแดงแจ๋ ที่ไปพลาดท่าถูกตำรวจตปพ. หรือ 191 จับกุมได้แถวคลองสาน ก่อนส่งเข้าราบ 11 ให้ทหารสอบสวน แต่งานนี้ เจ้ากรมดีเอสไอ บอกไม่มีปัญหา เป็นหน้าที่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษทำอย่างรัดกุม รอบคอบ ก็ขอเป็นกำลังใจให้ เพราะถือเป็นการทำหน้าที่"เพื่อชาติ"ครั้งสำคัญอีกครั้ง แต่ที่หนักใจแทน ไม่ใช่ยังตามจับตามรวบบรรดาแกนนำผู้ก่อการร้ายยังไม่ได้ แต่เป็นสำนวนของตำรวจที่นำมาส่งมอบให้ โดยพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น.เสียมากกว่า แต่ถ้าจะให้ดี ขอแนะนำ ดีเอสไอ ทำสำนวนเองใหม่ดีกว่า ชาวประชาจะได้เบาใจได้ ไม่ใช่ไม่ไว้ใจตำรวจ แต่กลัว"ตำรวจมะเขือเทศ"จ้า...
       
       0...ประกาศนายตำรวจหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มีทั้งประดับรองผบ.ตร. ประกอบด้วย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์, พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี, พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ, พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์, พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย, พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์, พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต ระดับที่ปรึกษา (สบ 10) เทียบเท่ารองผบ.ตร. ประกอบด้วย พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว พล.ต.อ.วุฒิ พัวเวส พล.ต.อ.ชลอ ชูวงษ์

                   
                      

       ระดับผู้ช่วยผบ.ตร. ประกอบด้วย พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ, พล.ต.ท.สถาพร ดวงแก้ว, พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิชย์, พล.ต.ท.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล, พล.ต.ท.จิโรจน์ ไชยชิต, พล.ต.ท.ถาวร จันทร์ยิ้ม, พล.ต.ท.เอก อังสนานนท์, พล.ต.ท.สุวัฒน์ ธำรงศรีสกุล, พล.ต.ท.สถาพร หลาวทอง, พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง, พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง,พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง, พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา, พล.ต.ท.บรรจง ตันศยานนท์ ทั้งหมดหายตัวไประหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งแต่ที่ผ่านฟ้า จนมาปักหลักที่สี่แยกราชประสงค์ ซึ่งตั้งอยู่ติดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ไม่มีใครยืนยันว่า มีใครไปหลบอยู่หลังเวทีเสื้อแดงหรือไม่ ความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป ส่วนพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. โผล่มั่งไม่โผล่มั่ง ขึ้นอยู่กับกลุ่มเหยี่ยวข่าวตร.จะเข้าชาร์จได้สำเร็จหรือไม่....

                       
       
       0...เหตุคนร้ายปาระเบิดใส่เต้นท์ตำรวจหน้าบ้านพักนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี กลายเป็นเรื่องน่าขันในแวดวงสีกากี เพราะตำรวจที่ไปเฝ้าบ้าน เป็นตำรวจจากสน.บางพลัด ซ้ำบ้านนายบรรหาร อยู่ในท้องที่ความรับผิดชอบของสน.บางพลัดโดยตรง คดีน่าจะขึ้นอยู่กับสน.บางพลัด แต่ทว่า กลายเป็นเรื่องขบขัน เมื่อตำรวจสน.บางยี่ขันต้องไปทำคดีแทน สาเหตุก็เพราะว่า คนร้ายที่ปาระเบิดใส่ ดันไม่รอบคอบ ปาเอ็ม 67 ไปถูกขอบฟุตปาธ ทำให้ลูกระเบิดกลิ้งกลับมาตูมกลางถนน อันเป็นท้องที่ของสน.บางยี่ขัน ทำให้ พ.ต.อ.อดิศักดิ์ คุณพันธ์ ผกก.บางพลัด ไม่ต้องรับผิดชอบ ส่วนพ.ต.อ.พูนประยูร อิศรศักดิ์ ณ อยุธยา ผกก.สน.บางยี่ขัน ต้องนอนเอาเท้าก่ายหน้าผากไปพลางๆก่อน ทีพ.ต.ท.ศุภมิตร สุขเจริญ รอง ผกก.ปป.สน.บางพลัด ที่ถูกไปช่วยราชการ อก.บก.น.7 จากสาเหตุบึ้มป่วนเมืองเช่นเดียวกัน ก็ให้ถือเป็นการฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน เพราะผกก.บางพลัด เขาเส้นใหญ่กว่าเรา เจริญล่ะสตช....
       
       0...พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. ก้มหน้าก้มตายอมรับว่า ได้เซ็นคำสั่งให้พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผบช.น.และ พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ อดีต ผบก.จว.อุดรธานี กลับเข้ารับราชการตามมติของก.ตร.แล้ว โดยพล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ให้มาดำรงตำแหน่ง ผบช.ประจำ ส่วน พล.ต.ท.สุชาตินั้น อยู่ระหว่างการหาตำแหน่งให้ แหม...หาตำแหน่งให้"บิ๊กเบื๊อก"ยังไม่ได้หรือ งั้นมีข้อเสนอ ตั้ง"บิ๊กเบื๊อก"เป็นผู้บัญชาการสลายม็อบแดงราชประสงค์ หากทำสำเร็จ มอบตำแหน่งผบช.น.ให้คืน หรือจะให้นั่งรรท.ผบ.เลยก็ได้ รับรองไม่มีใครว่าแน่ ส่วน"บิ๊กทีป"กับ"บิ๊กฐาน" พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.คนปัจจุบันนั้น ให้"พี่เทือก" เอาไปปล่อยเกาะไหนก็ได้(ฮา)....
       
       0...ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับนายสัก กอแสงเรือง ที่ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกสภาทนายความเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่ง "นายกสภาทนายความ" ถือเป็นตำแหน่งใหม่ในหน้าที่เก่าที่ได้รับใช้สมาชิกสภาทนายและประชาชนมาแล้ว 2 สมัย สมัยนี้ถือเป็นสมัยที่ 3 ก็ขอให้ยึดมั่นใน"คุณธรรม"ที่ดำรงอยู่ต่อไป และที่ต้องบอกว่า ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งนั้น ก็เพราะ "นายกสัก"สามารถชนะ"ทนายไพร่" แดงแจ๋ได้ขาดลอย ไม่เห็นฝุ่น...

 
 
จาก http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9530000058199
 
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1804 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 12:12:59 »

หลายๆคนกลัวมีชื่ออยู่ในคำให้การ รีบถีบ"เมธี"ทิ้ง โดยอ้างว่า เคลื่อนไหวอิสระ ไม่เกี่ยวข้องกันมานานแล้ว
เสมือน เห็บ โดดหนี ซากศพ

วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 08:48:07 น.  มติชนออนไลน์

ดีเอสไอเผย "เมธี" ให้ปากคำซัดทอดผู้เกี่ยวข้องหลายคน


นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยเมื่อวันที่ 28 เมษายน ถึงการสอบสวนนายเมธี อมรวุฒิกุล แนวร่วม นปช. ว่า เจ้าตัวมีการซัดทอดกับผู้เกี่ยวข้องสิบคนขึ้นไปซึ่งหลายชื่อเรารู้จักกันดี ซึ่งนอกจากนายเมธีแล้วยังจะใช้คำให้การของพยานรายอื่นประกอบด้วยเพื่อขยายผลซึ่งการให้ปากคำดังกล่าวมีความสอดคล้องกัน


ทั้งนี้ นายเมธีให้ความร่วมมือให้ข้อมูลการสอบสวนซึ่งเขามีความภูมิใจที่ได้ร่วมอุดมการณ์และสิ่งที่ได้ทำและบอกว่าถูกต้องจะขอสู้จนถึงที่สุดแม้ตายก็ยอมและไม่คิดว่าตัวเองจะกระทำ นายเมธีเล่าถึงเหตุการณ์ 10 เม.ย.และการย้ายที่ชุมนุมไปราชประสงค์ต่อเนื่องจนกระทั่งถูกจับควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ใช่ตามประมวล กม.อาญาตามปกติ และผิดในข้อหาอาวุธและยุทธภัณฑ์และผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนความผิดการก่อการร้ายกำลังพิจารณา


ส่วนการออกหมายจับคนที่นายเมธีระบุชื่อถึงนั้นกำลังตรวจสอบจะดำเนินการให้เร็วที่สุด ในส่วนของคดีเกี่ยวกับสถาบันที่ผ่านมามักจะเป็นคดีพิเศษเพราะถือเป็นความมั่นคงของประเทศ

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1272419296&grpid=&catid=17
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1805 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 17:43:53 »

ฟังคนเขาบ่นกัน ตรงกับใจของเราหรือไม่ ??

ไม่ตายแต่ไฉนไม่ยอมโชว์ตัว
วันพุธ ที่ 28 เมษายน 2553 เวลา 0:00 น

ลือกันได้ลือกันดี เพราะไม่ว่าจะเป็นสังคมถ้าได้ชื่อว่าเป็นสังคมมนุษย์ “ข่าวลือ” นี่แหละไปไวไปไกลและไปกว้างกว่าข่าวไหนทั้งหมด
   
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎ หมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ แข็งแรงดี ทุกอย่าง รับทราบข่าวที่ว่านี้และรู้สึกขำแล้ว ก็จะปล่อยให้ลือกันต่อไปตามอัธยาศัย คง ไม่ออกมาแสดงภาพเคลื่อนไหวเพื่อยืนยันเพราะประเมินแล้วว่า เป็นแผนที่ต้องการโยงกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
   
พูดง่าย ๆ คือนายนพดลจะระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณรู้ และไม่ยอมตกหลุมพราง
   
จริงหรือไม่จริง ยากจะรู้ แต่หาก ย้อนรอย “ข่าวลือ” จะพบว่า ไม่ใช่เรื่องใหม่และไม่ใช่เพิ่งเกิด ก่อนหน้านี้ก็ลือว่าเป็นมะเร็งตรงนั้นตรงนี้ ลือว่าไปรับการรักษาจน   “ผมร่วง”
   
ครั้งนั้น พ.ต.ท.ทักษิณโต้ข่าวลือด้วยการโชว์รูปถ่ายตอนไปตัดผม แถมยังวิดีโอลิงก์ “ดึงผมโชว์”
   
แต่สถานการณ์วันนี้ ที่ว่ากันว่าเดินมาถึงหัวเลี้ยวหัวต่อของการต่อสู้ทางการเมือง
   
พ.ต.ท.ทักษิณ กลับเลือกที่จะนิ่งเฉย ส่งแต่ข้อความกับโชว์รูปถ่ายเท่านั้น ไม่ได้วิดีโอลิงก์มาอย่างทุกครั้งที่มา
   
ทำไม หรือกลัวจะเข้าทางตามที่นายนพดล ยกมาเป็นเหตุผล ขนาดเหตุการณ์ เดือน เม.ย. ปี 2552 ที่ผ่านมา พ.ต.ท. ทักษิณ ยังวิดีโอลิงก์มาจนกระทั่งนาทีสุดท้าย
   
ป่วยการที่จะบอกว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลัง เพราะถ้าคนไหนในสังคมไทยเชื่อเช่นนั้นก็บ้าแล้ว
   
กรณี “ข่าวลือ” ไม่ได้เกิดกับ พ.ต.ท. ทักษิณ แต่อีกฝ่ายก็เคยนำมาใช้กับ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เข้าโรงพยาบาลบ้าง ช็อกหมดสติบ้าง
   
แต่สุดท้าย พล.อ.เปรมก็ปรากฏตัวตามปกติ
   
มีข่าววงในระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีปัญหาสุขภาพขนาดหนัก หนักขนาดลุกไม่ได้ อยู่ในสภาพที่ร่างกายทรุดโทรม แต่นั่นก็แค่รายงานข่าว
   
สถานการณ์การชุมนุมมาช่วงโค้งสำคัญ ช่วงวัดใจว่าใครจะชิงลงมือก่อน ช่วงชี้เป็นชี้ตาย ใครจะอยู่ใครจะไปข่าวระบุว่า ภายในไม่กี่ วันนี้แหละ
   
ระหว่างนี้แน่นอนกำลังใจย่อมเป็นเรื่องสำคัญ
   
หลักการง่าย ๆ ของการจะสยบข่าวลือ ก็ไม่มีอะไรยากแค่ออกมาโชว์ตัวว่า ทุกอย่างยังปกติดีอยู่
   
ยังไม่มีอะไร แต่แปลกไหมที่ไม่ยอมให้ใครเห็นตัว!!!!.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=16&contentID=62294
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1806 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 23:54:42 »

หาซื้อได้ที่ร้านแมงป่อง ครับ ราคา 79 บาท(ซื้อมาเมื่อเย็นของวันนี้เอง)

      บันทึกการเข้า
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #1807 เมื่อ: 29 เมษายน 2553, 06:30:09 »



ถ้าหมอตุลย์ไม่ว่าง ติดภาระกิจเสื้อหลากสี
ขอส่งหมอสำเริง ซีมะโด่งคนเก่งไปแทนก็ได้ครับ
      บันทึกการเข้า

เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1808 เมื่อ: 29 เมษายน 2553, 09:21:27 »

บทบรรณาธิการของ นสพ. แนวหน้าออนไลน์ วันนี้ (29 เมษายน 2553)

บทบรรณาธิการ 
 
รัฐบาลต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลม (บทบรรณาธิการ)  
 
 

    นับเป็นครั้งแรกและเป็นข้อมูลที่น่าหวั่นวิตกเป็นอย่างมากต่อความมั่นคงของชาติและราชบัลลังก์เมื่อรัฐบาลและกองทัพ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า ขบวนการกลุ่มคนเสื้อแดงที่จุดไฟเผาบ้านป่วนเมืองอยู่ในขณะนี้ ได้เปิดเผยตัวตนและมีเครือข่ายเชื่อมโยงที่บ่งชี้ว่าเป็นขบวนการก่อการร้ายที่นอกจากมุ่งหมายโค่นล้มเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐแล้วยังอาจมีเป้าหมายไกลไปถึงขั้นเป็นภัยต่อสถาบันบันเบื้องสูง

    พฤติกรรมความเคลื่อนไหวของขบวนการคนเสื้อแดงในเหตุการณ์จลาจลเผาบ้านป่วนเมืองเมื่อช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว หากเปรียบเทียบความเคลื่อนไหวในปัจจุบันเห็นได้ชัดเจนว่ามีการยกระดับการเคลื่อนไหวที่พัฒนารุนแรงขึ้นมากโดยมีกองกำลังก่อการร้ายซึ่งปฏิบัติการใต้ดินด้วยการลอบก่อวินาศกรรมด้วยอาวุธสงครามร้ายแรงนานาชนิดคู่ขนานไปกับการเคลื่อนไหวของม็อบคนเสื้อแดงแบบแยกกันเดินแต่ร่วมกันตีโดยมีเป้าหมายและภายใต้คำสั่งจากนายใหญ่คนเดียวกันนั่นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

    ผู้นำรัฐบาลและกองทัพเองยอมรับว่า ประเมินศักยภาพของขบวนการก่อการร้ายต่ำไปซึ่งถือเป็นความผิดพลาดอย่างสำคัญที่ทำให้ขบวนการก่อการร้ายเติบโตกล้าแข็งดังเช่นทุกวันนี้ ทั้งๆที่ ความจริงแล้ว เหล่าแกนนำขบวนการคนเสื้อแดงนับตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณลงมาได้เคลื่อนไหวทั้ง ที่แจ้งและที่ลับมาตลอดโดยแสดงจุดยืนว่าต้องการที่จะช่วงชิงอำนาจรัฐและเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ความเป็น"รัฐไทยใหม่"

 แต่ที่สำคัญก็คือ พฤติกรรมและเจตนาที่ส่อมุ่งบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงตลอดจนสถาบันหลักของชาติทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสถาบันองคมนตรี รัฐบาล สถาบันศาล กองทัพ และองค์กรอิสระต่างๆเพื่อใช้เป็นข้ออ้างสร้างความชอบธรรมนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศหลังช่วงชิงอำนาจรัฐได้แล้ว

    ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ และเหล่าแกนนำให้สัมภาษณ์สื่อทั้งต่างประเทศและในประเทศตลอดจนการปราศรัยบนเวทีคนเสื้อแดงอย่างจงใจ ยังไม่รวมถึงบรรดาสื่อคนเสื้อแดงต่างๆ ทั้งวิทยุชุมชน ใบปลิว สถานีทีวีพีเพิลชาแนล ตลอดจนหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และอินเตอร์เนตในเครือข่ายคนเสื้อแดงที่จาบจ้วงโจมตีสถาบันเบื้องสูงอย่างเหิมเกริมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

    ขณะเดียวกัน ก็มีการซ่องสุมแอบฝึกและจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธมานานนับปีจนกลายเป็นกองทัพคนเสื้อแดงที่พร้อมจะก่อสงครามเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่การปกครองระบอบใหม่ ซึ่งพัฒนาการของขบวนการเสื้อแดงที่ยกระดับแปรสภาพเป็นกองกำลังโจรก่อการร้ายในขณะนี้ถือเป็นภัยขั้นร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศ

    อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะนิ่งนอนใจเกินไปปล่อยให้ขบวนการโจรก่อการร้ายเสื้อแดงเติบโตกล้าแข็งเช่นทุกวันนี้ แต่มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มาภายใต้สถานการณ์ก่อการร้ายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติโดยเฉพาะภัยคุกคามต่อสถาบันอันเป็นที่เคารพศรัทธาของคนไทยทั้งประเทศมาแต่โบราณกาลเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งกอบกู้สถานการณ์ด้วยการตัดไฟแต่ต้นลม โดยสร้างความเข้าใจแยกมวลชนคนเสื้อแดงที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ออกมาร่วมพัฒนาชาติ ขณะเดียวกันต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับผู้บงการอยู่เบื้องหลังและบรรดาแกนนำของขบวนการโจรก่อการร้ายเสื้อแดงให้สิ้นซาก 
 
วันที่ 29/4/2010
 
http://www.naewna.com/news.asp?ID=209081
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1809 เมื่อ: 29 เมษายน 2553, 09:22:07 »

บทบรรณาธิการ นสพ.ไทยโพสต์ออนไลน์ วันนี้

เพื่อประชาธิปไตยรัฐไทยใหม่ ฉิบหายเท่าไหร่ก็ไม่ว่า
บทบรรณาธิการ 29 เมษายน 2553 - 00:00

     น่าเป็นห่วงกับแนวคิดของบรรดาคนเสื้อแดงทั้งหลาย  ที่คิดว่าต้องสู้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยภายใต้บรรยากาศการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  มีรัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชาพิจารณ์ของคนทั้งประเทศ  และให้สิทธิประชาชนสามารถชุมนุมได้อย่างสงบ  สันติ  ปราศจากอาวุธ
     ได้เกิดลัทธิเอาอย่างมากมาย  ปิดถนนเพื่อตรวจค้น  และปล้นทรัพย์สินประชาชนที่ขับยวดยานผ่านไปมาบนถนนหลวงไปพร้อมๆ  กับดักรถที่ขนเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ  แล้วควบคุมตัวส่งกลับต้นสังกัด  เพื่อไม่ให้ไปสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์
     ข่มขู่คุกคามโรงพยาบาล  ขอเข้าตรวจค้นอาคาร  ขัดขวางรถพยาบาลไม่ให้นำผู้ได้รับบาดเจ็บซึ่งเป็นประชาชนย่านสีลมเข้าห้องฉุกเฉิน  นำยางรถยนต์ไปขวางรางรถไฟฟ้า  นำถังแก๊สมาเป็นอาวุธหวังย่างสดทหาร  นำไม้ไผ่เหลาปลายแหลมเพื่อใช้แทงเจ้าหน้าที่  ล้วนเป็นการละเมิดสิทธิผู้อื่น  และขัดรัฐธรรมนูญที่ให้ชุมนุมอย่างสงบ  สันติ  ปราศจากอาวุธ  ทั้งสิ้น
     การเริ่มต้นแบบนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  ต้องถามคนเสื้อแดงว่า  ประชาธิปไตยแบบไหนกัน  ประชาธิปไตยแบบรัฐไทยใหม่  เขาเรียกร้องกันอย่างนี้หรือ
     หากขณะนี้ฝ่ายเสื้อแดงเป็นผู้กุมอำนาจรัฐ  ก็คงจะรู้ดีว่าควรจะจัดการอย่างไรกับการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์  เพราะรัฐบาลสมชาย  วงศ์สวัสดิ์  เองก็เคยใช้กำลังตำรวจฆ่าประชาชนในเหตุการณ์  7  ตุลาคม  2550  มาแล้ว
     แต่มีทางเลี่ยงไม่ให้ถึงขั้นนั้น  จะสังเกตเห็นว่าประเทศพัฒนาแล้ว  หรือบางประเทศที่ด้อยพัฒนา  การสลายการชุมนุมเป็นไปอย่างละมุนละม่อม  ผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่รู้ขอบเขตของตนเองดี  ผู้ชุมนุมไม่อาจใช้อาวุธได้  แต่จะยอมให้เจ้าหน้าที่จับกุมตัว  ขัดขืนบ้างไม่ขัดขืนบ้าง  ส่วนเจ้าหน้าที่ทำได้รุนแรงสุดแค่ใช้ไม้กระบองตี  ยิงแก๊สน้ำตาใส่  ไม่จำเป็นต้องขนอาวุธสงครามมาคอยรับมือกับกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่มีอาวุธสงครามอยู่ในมือเหมือนประเทศไทย
     การที่คนเสื้อแดงแสดงความก้าวร้าว  ต้องยึดอำนาจคืนให้ได้ทุกวิถีทางนั้น  จึงเป็นประเด็นที่ต้องค้นหาตำตอบให้ได้ว่า   จุดหมายปลายทางของคนเสื้อแดงอยู่ที่ประชาธิปไตยจริงหรือไม่  เพราะแม้แต่การต่อสู้เพื่อให้ได้อำนาจประชาชนคืนจากเผด็จการทหารในอดีต  คนไทยในยุคก่อนๆ  ไม่เคยทำกันถึงขนาดนี้  ไม่เคยคิดว่าต้องยึดอำนาจคืนให้ได้  ประเทศชาติจะฉิบหายก็ช่างมัน
     ประเด็นล้มเจ้านั้นเป็นจุดมุ่งหมายหนึ่งซึ่งต้องพูดกันในระยะยาว  เพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนเสื้อแดงจะล้มล้างสถาบันในทันทีเมื่อได้อำนาจคืน  แต่วัตถุประสงค์หลักน่าจะใช้อำนาจที่ได้มาจัดระเบียบประเทศสร้างเครือข่ายขึ้นมาใหม่  ทั้งรัฐตำรวจ  กลุ่มทุนสามานย์  สร้างข้าราชการแบบซีอีโอ  ปูทางนำสมบัติชาติมาเป็นสมบัติตัว  กลืนกินสำนึกผู้คน ให้หลงใหลกับนโยบายประชานิยมจนโงหัวไม่ขึ้น  ซึ่งทักษิณ  ชินวัตร  เคยทำสำเร็จมาแล้ว  แล้วค่อยคิดการใหญ่ล้มล้างสถาบัน.

http://www.thaipost.net/news/290410/21480
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1810 เมื่อ: 29 เมษายน 2553, 09:24:04 »

คอลัมม์"คนปลายซอย" ของคุณเปลว สีเงิน

ด้วยเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า......?
เปลว สีเงิน 29 เมษายน 2553 - 00:00

  "พลทหารณรงค์ฤทธิ์   สาระ"  เป็นลูกหลานใคร  มาจากหน่วยไหน  สังกัดไหน  และจังหวัดไหน  ผมก็ยังไม่ทราบนะครับ  ทราบแต่ว่า...นี่คือ  "ทหารของชาติ"  มาปฏิบัติหน้าที่ควบคุม   "กลุ่มกบฏ"  ยึดเมืองหลวงอยู่ในกรุงเทพฯ  และเมื่อวานนี้  (๒๘  เม.ย.๕๓)  ปะทะกับกลุ่มกบฏเสื้อแดงที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ  ดอนเมือง  และ  "ถูกยิงตาย"  ผมก็ขอแสดงความเสียใจกับผองเพื่อนทหาร  และญาติ-พี่น้องของพลฯ  ณรงค์ฤทธิ์ด้วย
     คงไม่ต้องเล่ารายละเอียดที่คณะแกนนำกบฏมอบหมายให้  "นายขวัญชัย  ไพรพนา"  เป็นแม่ทัพแดง  ยกกำลังจากศูนย์บัญชาการใหญ่  ณ  แยกราชประสงค์ไปเป็นกำลังสนับสนุนพรรคพวกที่ปฏิบัติการอยู่ย่านตลาดไท  แถวๆ  ธรรมกาย  เพราะโทรทัศน์ทั้งใน-นอกประเทศออกข่าวตลอดตั้งแต่บ่าย  ๒  โมงกว่าอยู่แล้ว
     พวกกบฏแดงปิดถนน  ทหารเข้าสกัดกั้น  ก็เลยปะทะกัน  "นายขวัญชัย  ไพรพนา"  ทิ้งชาวบ้านเสื้อแดงให้สู้กับทหาร  ส่วนตัวเองขึ้นรถหนีเอาตัวรอดกลับไปรวมหัวที่ราชประสงค์  แล้วขึ้นเวทีอวดซะอีกว่า  "มีพระดี"  จึงรอดมาได้!
     ก็ไม่อยากแสดงความคิดเห็นอะไรอีก   มันอนาถใจจนไม่รู้จะพูดอะไรถูก   วานซืนได้ยิน   "นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ"  รองนายกฯ  ฝ่ายความมั่นคง  และผู้กำกับดูแลกิจการตำรวจพูดกระแทกๆ  ว่า  "ใครรู้ตัวว่าไม่พร้อมก็ขอย้ายตัวเองออกไปได้"
     นี่มันคือคำสารภาพตรงๆ  ว่า  "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ"  เต็มไปด้วย  "ตำรวจเกียร์ว่าง...ตำรวจสีแดง"  อย่างชัดเจน!
     การที่กฎหมายไร้สภาพบังคับใช้ขณะนี้   ส่วนหนึ่งก็มาจาก  "ตำรวจฝักใฝ่กบฏแดง"  ไม่ทำหน้าที่ก็ยังพอทน  แต่ที่หนักหนาน่าทุเรศกว่านั้น  ทั้งร่วม-ทั้งรู้เห็นเป็นใจ  เรียกว่าเป็นไปกับขบวนการ
     ทั้ง  ส.ส.แดง  ทั้งทหารแดง  ทั้งมหาดไทยแดง  และทั้งนายทุนอิทธิพลถิ่น  ไม่เว้นกระทั่งไอ้พวกหัวโล้นห่มเหลือง!
     ตำรวจ-ทหาร-ข้าราชการ  ใครจะแดง  ผมไม่ว่าอะไร  และไม่แปลกตรงไหน  แต่การที่ยังกินเงินเดือนชาวบ้าน  อยู่ในหน้าที่ราชการทำงานเพื่อประเทศชาติ-ประชาชน  พวกคุณต้องซื่อสัตย์-มั่นคงต่อหน้าที่นั้น  ถ้าอยากเป็นพวกกบฏแดง-กบฏทักษิณ  ก็ควรลาออกไป  ประกาศตัวให้ชัดเจนไปเลย
     แต่การทำอย่างนี้   ยังเป็นคนหลวง  กินเงินเดือนหลวง  แต่ทรยศหลวง  ทรยศประชาชน  พวกคุณเป็นคนไม่มีค่า-ไม่มีราคาความเป็นคนอะไรเลย  ฉะนั้น  การที่นายสุเทพแสดงอำนาจอวดชาวบ้านด้วยปากว่า  "ใครไม่พร้อมก็ขอย้ายตัวเองออกไปได้"  นั้น  นอกจากเป็นความเหลืออดที่สิ้นปัญญาแล้ว  ก็เหมือนตักน้ำรดหัวสาก  ซู่เดียวหายไป  ไม่มีใครรู้สึก
     ว่าแต่นายสุเทพเองก็เถอะที่ต้องสำนึก  เป็นคนคุมตำรวจ  แต่ตำรวจไม่ทำงาน  แถมยังมีบางส่วนไปร่วมพวกกบฏ  การที่เป็นเช่นนี้
     "ตัดหัวตำรวจกบฏ"  นั้น...ตัดได้
     แต่หัวนายสุเทพผู้เป็นนาย  ควรต้องตัดก่อนใช่มั้ย?!
     ณ  วันนี้  ด้วยการบริหารของนายกฯ  อภิสิทธิ์  ไม่เพียงกรุงเทพฯ  เท่านั้นที่กลายเป็นเมืองอันตราย   แต่ทั่วโลกประกาศให้รู้กันทั่วไปหมดแล้วว่า  "ทุกพื้นที่ประเทศไทย...อันตรายสูงสุด  ห้ามมา"!
     งามหน้ามั้ย...อภิสิทธิ์  "ผมจะบังคับใช้กฎหมายนำความสงบกลับคืนมาให้พี่น้องประชาชนโดยเร็ว"   พูดน่ะสวย  แต่ทำเฮงซวยตลอด  ปล่อยให้ชาวบ้าน  และทหาร  (ส่วนใหญ่ทหารเกณฑ์)  ต้องบาดเจ็บและตายไปวันละคน-สองคน  โดยไม่ได้ผลตอบแทนมาเป็นความสงบเรียบ
ร้อยอะไรเลย
     เป็นนายกฯ   น่ะ  ถ้าทำให้บ้านเมืองดีไม่ได้  ก็ไม่ควรเป็นตัวถ่วง  ถ้าบ้านเมืองมันจะต้องเป็นอะไร  ก็ปล่อยให้มันเป็นของมันไป  แต่ละคนจะได้สมน้ำหน้าตัวเองเท่าๆ  กัน   แต่อย่าให้มันเป็นด้วยการปล่อยให้คนเอาไปพูดกันว่า...เพราะบ้านเมืองมีนายกฯ-มีแม่ทัพที่...
     เหลือเดน!
     อภิสิทธิ์-อนุพงษ์   อยากมีชื่ออยู่ในบรรทัดประวัติศาสตร์ของหนังสือเรียนว่า  เราเสียเมืองให้กบฏ  สถาบันถูกย่ำยีในยุคนายกฯ  ชื่ออภิสิทธิ์  ผบ.ทบ.ชื่อ  พล.อ.อนุพงษ์อย่างนั้นหรือ?
     ไหน...เห็นเขาลือกันว่า   จะเปลี่ยนตัวว่าที่  ผบ.ตร. จาก  พล.ต.อ.ปทีป  ตันประเสริฐ   ไปเป็น  พล.ต.อ.จุมพล  มั่นหมาย  เพื่อนรักทักษิณ  (ความจริงอดีตก็คือเพื่อนรักผมด้วย)   ก็เปลี่ยนไปเลย  เพราะตั้งแต่  พล.ต.อ.ปทีปรักษาการ  ผมไม่เคยเห็น  พล.ต.อ.ปทีปแสดงภาวะผู้นำตำรวจที่ลูกน้องเคารพ-เชื่อฟังอะไรเลย
     ท่านเป็นคนดี   แต่ท่านน่าสงสารที่ตกอยู่ในฐานะ  "หนังหน้าไฟ"  ก็ลองให้  พล.ต.อ.ชุมพลเขามาทำหน้าที่บ้าง  อย่าไปมองว่า  "เพื่อนทักษิณ"  แล้วจะฉวยโอกาสยกตำรวจทั้ง  ๒-๓  แสนคน  ไปสังกัด  "สำนักงานตำรวจแดงแห่งชาติทักษิณ"  ถ้าเป็นอย่างนั้น  จะได้เชือดกันให้ถนัด
     ผมเชื่อว่า   พล.ต.อ.จุมพลแยกแยะความเป็นเพื่อน   กับความเป็นชาติในการทำหน้าที่ได้   ถ้าระแวงว่าเป็นเพื่อน  ผมก็จะบอกว่า  ผบ.สส. พล.อ.ทรงกิตติ  จักกาบาตร์  ก็เพื่อนทักษิณ   พล.อ.อนุพงษ์  เผ่าจินดา  ผบ.ทบ. ก็เพื่อนทักษิณ  กระทั่ง  พล.ร.อ.กำธร  พุ่มหิรัญ  ผบ.ทร.ก็เพื่อนทักษิณ
     แต่ไม่เห็นทักษิณมีอิทธิพลเหนือการทำหน้าที่ของแต่ละท่านนี่ครับ  แต่ละท่านปฏิบัติหน้าที่  "เพื่อชาติ"  จนตัวเป็นเกลียวกันทั้งนั้น!
     ก็ลองใช้บริการบิ๊กจุ๋มดูบ้าง  บางที  "ลางเนื้อชอบลางยา"  ในเมื่อเพ่งเล็งว่า  พล.ต.อ.จุมพลเป็นคนทักษิณ  ก็ให้มารับผิดชอบบัญชาการตำรวจซะเลย!
     เหมือนเอาคนชอบหนียาม  มาเป็นหัวหน้ายาม  แล้วดูซิต่อจากนี้  หน้าไหนมันจะหนีกันมั่ง!?
     แต่พูดกันด้วยความเป็นธรรม  "ตำรวจแดง"  ที่ยอมทรยศหน้าที่เพื่อทักษิณมีเพียงบางส่วนเท่านั้น  ส่วนใหญ่ยังคงเป็นตำรวจของประชาชน  ไม่ต้องดูไกล  ดูอย่าง  "กองปราบ"  นั่นก็พอ  ที่นั่นตำรวจแดงก็มี  แต่ในภาพรวมท่านทำหน้าที่  "พิทักษ์สันติราษฎร์"  กันน่าชื่นใจ
     อย่างท่าน  พ.ต.อ.ศานิตย์  มหถาวร  รองผู้บังคับการกองปราบนั่นปะไร  ใครก็ไม่กล้าจับเสธ.แดง  แต่ท่านจับซะเสธ.แดงซะแดงห้อไปเลย!
     ถึงตอนนี้...ใครยังบอกว่าที่พวกกบฏทักษิณทำ  เป็นการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยโดยสันติ  ปราศจากอาวุธอยู่อีก?
     ฆ่าทหารก็ฆ่าแล้ว  ยิงเอ็ม  ๗๙  ฆ่าชาวบ้านก็ฆ่าแล้ว  จลาจลเมืองก็จลาจลแล้ว  นี่...คาหนัง-คาเขา  วานนี้  ทหาร-ตำรวจไล่กวดมอเตอร์ไซค์เสื้อแดง  เห็นจวนตัวโยนถุงที่บรรทุกมาทิ้งข้างทางแถววิภาวดีรังสิต
     ปรากฏว่าเป็นลูกเอ็ม  ๗๙  ร่วมร้อยลูก!
     มันเป็นพวกก่อการกบฏ-เป็นพวกก่อการร้าย   มีอาวุธร้ายแรงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเห็นชัดๆ  มันทำกรุงเทพฯ  มันทำประเทศไทยให้กลายเป็นแดนมิคสัญญี  เป็นแดนก่อการร้ายเป็นที่หวาดกลัวกันไปทั้งโลก
     มีแต่นายกฯ  อภิสิทธิ์  พล.อ.ประวิตร  พล.อ.ทรงกิตติ  พล.อ.อนุพงษ์  พล.ร.อ.อิทธพร  พล.ร.อ.กำธร  และ  พล.ต.อ.ปทีป  เท่านั้นที่ยังเห็นว่า  พวกกบฏทักษิณเป็นผู้ชุมนุมโดยสันติ  ปราบปรามไม่ได้
     ขนาดจะพูดถึงยังเกรงอก-เกรงใจ   กลัวท่านวีระ  ท่านจตุพร  ท่านณัฐวุฒิ  ท่านเหวง  ท่านแรมบ้าอีสาน   ท่านอริสมันต์  จะไม่พอใจ  จะสลายม็อบแต่ละทียังต้องพูดว่า  "ขอคืนพื้นที่"!
     ดัดจริตจนอยากจะอ้วก!!
     นี่เห็นโรงพยาบาลจุฬาฯ   ปิดตึก-ปิดอาคาร  ย้ายผู้ป่วยใน  ไม่รับผู้ป่วยนอก  ชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด  สงครามโลกครั้งที่  ๑  และครั้งที่  ๒  ยังไม่ถึงขนาดนี้เลย  จะรอให้กบฏยึดกรุงเทพฯ  เบ็ดเสร็จเสียก่อนรึไง  ค่อยไปนุ่งผ้าเตี่ยววางแผนอยู่ในป่าเขาใหญ่ปราบกบฏ?
     นี่เห็นทำท่าจะ   "ปิดประตูตีแมว"  เอาตำรวจ-ทหารตั้งด่าน  "อุดทวารกบฏ"  ที่ราชประสงค์   ทั้ง  ๖  ทิศ  ๖  ทาง  จะสลายม็อบว่างั้นเถอะ  มัวแต่ตั้งท่า  เงื้อง่าราคาแพงอยู่อย่างนี้  คงจะรอให้พวกสมุนเสื้อแดง-เสือดำตั้งพิกัดหันลำกล้องส่องเอ็ม  ๗๙  ใส่กลุ่มทหาร-ตำรวจชัดๆ  เสียก่อนแล้วค่อยเคลื่อนพลกระมัง?
     ก็หวังว่าจากวันนี้ไปจนถึงเช้าวันที่  ๒  พฤษภา  เช้าวันใด-วันหนึ่ง  ตื่นขึ้นมาคงพบข่าวดี  "ทหาร-ตำรวจ"  เข้าเคลียร์พื้นที่จับไอ้พวกหัวโจกมัดอกแอ่นได้เรียบร้อยแล้ว!
     ไม่ใช่กลายเป็นว่า  พวกกบฏบุกเข้าจับ  อภิสิทธิ์-อนุพงษ์-สุเทพ  แล้วเอาดินหม้อทาหัว-ทาหน้า  ชักรอกให้ฮากันตรึมกลางสี่แยกราชประสงค์แทนซะล่ะ
     ช่วงนี้ที่   "หมอตุลย์"  พักการแรลลี่ชาวหลากสีไว้ก่อนนั้น  ดีแล้วครับ  เพราะกรุงเทพฯ  เหมือน  ๓  จังหวัดใต้  โจรมันฆ่าได้ทั้งนั้น  ไม่เลือกชาวบ้าน  ไม่เลือกคนดี-คนร้าย  ฝังระเบิดเอาไว้   พ่อแม่มันเองก็ฆ่า  พอใครผ่านมามันก็ตูม..ตูม..ทั้งนั้น  เพื่อความไม่ประมาท  และไม่ต้องมาโทษกัน  หรือเสียใจกันภายหลัง
     เก็บพลังไว้ในใจ  ช่วงนี้อย่าเพิ่งเคลื่อนไปทางไหนเลย!
     นี่...พี่น้องหนุ่ม-สาวชาว  facebook  เขานัดหมายกันเอง  มีแผนร่วมทำกิจกรรมเพื่อชาติ  เพื่อสังคม  เพื่อในหลวง  ดูเหมือนว่าตั้งแต่บ่าย  ๒  โมงยัน  ๓  ทุ่ม  วันที่  ๒  พฤษภา   ที่เชิงสะพานพระราม  ๘  ฝั่งธนบุรี  เป็นความงดงามทางจิตใจและสายเลือด  ผมน่ะไม่ขัดหรอก  แต่ด้วยความเป็นคนแก่คิดมาก  ก็อยากจะบอกว่า...ไม่ขัดอะไร
     แต่ถ้ายังไงล่ะก็  "ระวัง-ระไว"  คิดถึงความปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุด!
     ตั้งแต่ตี  ๕  จากเมื่อคืนเป็นต้นไป  อย่างที่ผมบอก  "เสาร์เล็งมฤตยู"  ต้องเตรียมตัวกันเป็นพิเศษ   เปิดวิทยุช่องข่าวให้หลับคาหูไว้ก็ดี  เผื่อมีเสียงตึงตัง-ดังโครมอะไรขึ้นมา  จะได้ไม่นอนหลับทับเหตุการณ์   แล้วจะมาบ่นเจ็บใจทีหลังว่า  พลาดท่า-ไม่ได้ดูช็อตเด็ด  ๒  คู่หูต่างวัย  "มาร์ค-ป๊อก"  ปฏิบัติการไม่ได้เชียวนา
     จากนี้....ห้ามกะพริบตา  เว้นแต่ว่า...ใครตาค้าง!?

http://www.thaipost.net/news/290410/21485
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1811 เมื่อ: 29 เมษายน 2553, 09:37:36 »

คอลัมม์ "ถูกทุกข้อ" ของ สามวา สองศอก

คนสร้างไทย
ถูกทุกข้อ 29 เมษายน 2553 - 00:00

     นักสร้างไทย...ใช่ที่ดีแต่พูด
     ต้องพิสูจน์ด้วย..ทำ..จึงสำเร็จ
     นักวิชามากล้นกลเม็ด
     สมองเพชร..กลั่นใช้ไทยจึงงาม
          นักสร้างไทย ดีกรีดีอวดอ้าง
          พูดเข้าข้างประโยชน์ตนคนรุมหยาม
          พวก "มะกอกมากตะกร้า" ไม่น่าตาม
          ไม่มีความจริงใจ..ให้ใครชม
     นักสร้างไทยต้องนำ..ทำทันที
     ทำเดี๋ยวนี้..ไม่ขลาดก่อนชาติล่ม
     ไม่เกี่ยงมึง..เกี่ยงมัน..ฝันลมลม
     ชาติอุดม..คือความหวังคนสร้างไทย
                                             สมเจตน์  สายแก้ว

                  กลับหัวกลับหาง
เรียน คุณสามวา สองศอก ที่เคารพ
     ช่วงนี้ไม่ว่าจะกระดิกตัวไปทางไหน   หูผมมักได้ยินเสียงคนปรับทุกข์กันถึงปัญหาบ้านเมืองแทบจะทั่วไปหมด   ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุช่วงซึ่งท่านยังมีชีวิตอยู่  ได้ปรารภฝากไว้ว่าไม่ว่าวิถีการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามที่มันสร้างปัญหาให้แก่สังคม  ถ้ากลับหัวกลับหางมันได้ย่อมเป็นทิศทางที่ช่วยแก้ปัญหาได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ
     เรื่องนี้ฟังดูแล้วมันเหมือนกับเป็นเรื่องง่าย  แต่หลายคนหลังจากรับฟังแล้วมักจะบ่นว่า  "มันยากที่จะนำปฏิบัติ"
     ความจริงแล้วประเด็นนี้  ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่รู้สึกว่ามันสร้างปัญหา  ความจริงแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นมันมีเหตุสืบเนื่องมาจากเงื่อนไขที่อยู่ในรากฐานจิตใจตนเอง
     เรื่องนี้คือหลักธรรม  หากใครนำปฏิบัติได้ก็ย่อมแก้ปัญหาได้
     ท่านถึงได้กล่าวฝากไว้ว่า  "สิ่งที่มันอยู่ในรากฐานจิตใจมนุษย์แต่ละคนนั้นคือธรรมชาติ  ส่วนสิ่งที่อยู่ข้างนอกนั้นมันคือธรรมดา"
     นี่คือหลักธรรมจากการนำปฏิบัติ  หากใครปฏิบัติได้ก็ย่อมรู้ได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ  แม้ไม่มีใครสอน  เราผู้ปฏิบัติก็ควรสอนตัวเองได้ด้วย     
     สิ่งที่ได้กล่าวมาแล้ว  ถ้าใครยังไม่สามารถนำปฏิบัติได้ก็ย่อมรู้ได้ไม่ถึง  ผมมีบทความเรื่องหนึ่งซึ่งพึ่งจะเขียนขึ้นมาเมื่อไม่นาน  บทความเรื่องนี้ให้ชื่อว่า  "ใหญ่ที่สุดคือเล็กที่สุด"  ซึ่งหมายถึงสิ่งใดก็ตามที่ตกหล่นอยู่บนพื้นดิน  ย่อมเป็นสิ่งมีคุณค่าสูงมาก  แต่มนุษย์ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยจะเห็นความจริงในเรื่องนี้
     ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ด้วยแล้ว  หลักธรรมได้กล่าวฝากไว้ว่า  "เพราะไม่มีเหตุนั้น   จึงไม่มีเหตุนี้"   ดังนั้นถ้าจะกล่าวว่า  "เพราะเราไม่เห็นคุณค่าของสิ่งซึ่งอยู่บนพื้นดิน  เราจึงมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตคนระดับล่าง  เช่น  ชาวไร่  ชาวนา"
     เพราะเรามองคนเหล่านี้อย่างดูถูกดูแคลน   การพัฒนาชนบทของเราจึงตกอยู่ในสภาพล้มเหลวจนแทบจะสิ้นเชิง
     ไม่ต้องดูอื่นไกล  แม้แต่ชีวิตคนที่หากินอยู่ตามข้างถนน  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแผงลอย  คนเหล่านี้อพยพเข้าเมือง  จึงน่าสังเกตว่าเหตุใดพวกเขาจึงตกอยู่ในสภาพดังกล่าว
     แม้แต่ชีวิตภายในเมือง   ซึ่งแต่ก่อนแทบไม่มีขโมยขโจร  แต่ในปัจจุบันคนก่ออาชญากรรมเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองไปหมด  เช่นนี้เป็นต้น
     อย่างที่ผมเคยเขียนเอาไว้แล้วในอดีตว่า   ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนหนึ่งที่เชิญผมไปพูด  เพื่อแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ  ครั้นพูดไปพูดมามันก็มาลงตรงที่ชีวิตคนในชนบท  มักไม่อยู่กับร่องกับรอยจึงทำให้คนอพยพเข้ากรุง
     เรื่องนี้ถ้าใครไม่คิดดูถูกสิ่งที่มันอยู่ใกล้ตัวเรา  ดังเช่นตราประจำกระทรวงยุติธรรมที่เป็น
รูปตาชั่ง  อันหมายถึงหลักการที่ได้ชี้ไว้ว่า  "เมื่อด้านหนึ่งลง  อีกด้านหนึ่งก็ย่อมขึ้น"  ดังนั้นการคิดแก้ไขปัญหาคนชนบทอพยพเข้ากรุง  จนกระทั่งมาสร้างชุมชนแออัดขึ้นในเมืองหลวง   แทนที่เราจะมุ่งไปแก้ไขในเมืองกรุงก็ควรคิดแก้ไขปัญหาในชนบทให้ได้
     ผมยังจำได้ว่าครั้งนั้น   หลังจากมีการชี้ให้เห็นปัญหาชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ  จนกระทั่งผู้ว่าราชการ  กทม.รู้ว่า  "ถ้าจะคิดแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ  ต้องไปมุ่งมั่นแก้ไขในชนบท"  ทั้งนี้  ก็เพราะถ้าเราสามารถสร้างความเข้มแข็งให้แก่รากฐานคนชนบท  คนก็ย่อมไม่อพยพเข้ากรุงเช่นนี้  เป็นต้น
     นี่แหละวิธีแก้ไขปัญหาที่ควรจะมุ่งเน้นความสำคัญไปยังด้านตรงกันข้าม  แต่เราก็คิดไม่ออก
 โดยเฉพาะปัญหาการจัดการศึกษาที่ไม่ทำให้รากฐานจิตใจคนเข้มแข็ง   ซึ่งเรื่องนี้ความจริงแล้ว
ความเข้มแข็งภายในรากฐานของมนุษย์  ทุกคนมีอยู่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติมาตั้งแต่เกิด  เราไม่ต้องไปสร้างความเข้มแข็งให้กับรากฐานจิตใจใครอื่น   แต่โปรดอย่าทำลายความเข้มแข็งภายในรากฐานจิตใจที่มีอยู่แล้วเท่านั้นเป็นพอ
     ผมถึงได้เขียนบทความเรื่องหนึ่งโดยให้ชื่อว่า   "ยิ่งเล็กก็ยิ่งใหญ่"  สรุปแล้วโปรดอย่าดูถูกของเล็ก  แต่ควรให้ความสำคัญและรู้คุณค่าของเล็กเหนือกว่าของใหญ่
     ผมยังจำได้ดีว่าในอดีตที่ผ่านมา  คนไทยส่วนใหญ่มักถูกปรามาสว่า  "มองข้ามความสำคัญของสิ่งซึ่งตกหล่นอยู่บนพื้นดิน"  อีกทั้ง  "มองข้ามความสำคัญของสิ่งซึ่งอยู่ใกล้ตัว  แม้กระทั่งมองข้ามความสำคัญของสิ่งเล็กน้อย"
     หลักธรรมก็ได้ชี้ไว้ว่า  "เพราะเรามองข้ามความสำคัญ  สิ่งที่เรามองข้ามมันจึงพ่นพิษใส่เรา"  นอกจากนั้นยังมีคำปรามาสอีกประโยคหนึ่ง  ซึ่งกล่าวไว้ว่า  "เพราะเราดูถูกสิ่งที่ตกหล่นอยู่บนพื้นดิน  ยิ่งเป็นชีวิตมนุษย์ด้วยแล้ว  บัดนี้คนกลุ่มนี้จึงลุกขึ้นมาพ่นพิษใส่ตัวเอง"
     นอกจากนั้นยังมีเสียงปรามาสด้วยว่า   "คนไทยนิยมแก้แต่ปัญหาเฉพาะหน้า"  ส่วนปัญหาระยะยาวนั้นล้วนคิดไม่ออก
     คอยดูก็แล้วกันว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้  ซึ่งเรานิยมออกกฎหมายแก้ไข  ถ้าในระยะยาวเรายังขาดจิตใต้สำนึกที่จะแก้ไข  ในที่สุดวันหนึ่งย่อมเกิดปัญหารุนแรงมากกว่านี้  ถ้าผมทายไม่ผิด
     การแก้ปัญหาระยะสั้นนั้น  ถ้าคิดแก้ไขโดยยกพวกฆ่ากันเองมันก็เท่านั้น  แต่ถ้าคิดแก้ไขในระยะยาว  เราจะต้องให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่มันฝังอยู่ในรากฐานการจัดการศึกษาของชาติ
     ไม่ต้องดูอื่นไกล  แม้แต่ทุกวันนี้คนที่มีการศึกษาสูงๆ  ก็ยังทำให้สังคมจำต้องผิดหวัง
     ถ้าเราเป็นคนที่มีรากฐานจิตใจอิสระจริง  ก็ควรรู้สึกเฉลียวใจว่า  "เหตุใดคนที่มีการศึกษาสูงก็ยังคิดแบบหลงผิด"  เรื่องนี้เห็นจะต้องค้นหาเงื่อนปมที่มันแฝงอยู่ในระบบการจัดการศึกษาเท่าที่เป็นมาแล้ว
     ถ้าคิดจะแก้ไขปัญหากันอย่างจริงจังแล้ว  เราก็ไม่ควรที่จะมองปัญหาแต่เพียงผิวเผิน  แม้ว่าการแก้ปัญหาของชาติในครั้งนี้จะผ่านพ้นไปได้ก็ตาม   ถ้าไม่ติดตามให้ลึกซึ้ง  วันหนึ่งข้างหน้ามันก็ย่อมเกิดขึ้นอีกและรุนแรงยิ่งกว่าเก่า  ถ้าผมคาดการณ์ไม่ผิด
     ผมอายุ  88  ปีแล้ว  แต่ก็ยังลงไปใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับพื้นดิน  และลงมือทำงานดำนาเกี่ยวข้าวร่วมกับชาวนาชาวไร่
     ผมถือว่าหลักธรรมได้ชี้เอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องแก้ไขด้วยการลงมือปฏิบัติ  หาใช่เพียงแก้ไขด้วยปาก  ซึ่งมันเป็นเรื่องผิวเผิน  ทั้งนี้  เป็นเพราะการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการลงมือปฏิบัตินั้น   ย่อมมีผลการแก้ไขที่เกิดจากความจริง  ซึ่งอยู่ในใจตนเองของแต่ละคน
     ผมรู้สึกเสียใจที่มองครั้งใด  ก็มักจะมีแต่คนพูดว่า  "ขอให้จับเข่าคุยกัน"
     ถ้าคุณมานั่งจับเข่าคุยกัน   ต่อให้กี่สิบกี่ร้อยครั้งมันก็แก้ไม่ได้  นอกจากลงมือทำด้วยตัวเอง  ซึ่งทุกคนควรจะต้องนำปฏิบัติให้ได้
     อย่าว่าแต่ในยามที่เกิดปัญหาเลย  แม้แต่ในยามปกติผมก็ลงทำงานแบบติดดินร่วมกับชาวบ้าน
     เมื่อไม่นานมานี้   ตัวผมเองก็ยังลงไปเกี่ยวข้าว  คัดพันธุ์ข้าวในนาร่วมกับชาวบ้านในชนบท  ไม่เช่นนั้นแล้วไฉนเลยเราจะรู้ความจริงจากใจตัวเองให้ถึงแก่นแท้
     ถ้าแต่ละคนยังหลงอยู่กับความสบายทางวัตถุ  โดยไม่ยอมลงไปทำงานแบบติดดินอยู่กับชาวบ้าน  ซึ่งเขาก็เป็นคนไทยเช่นเดียวกับเรา  ไฉนเลยจะแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ
     ช่วงที่ผมเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ  ผมเคยหาภาพที่มันเป็นความจริงมาสะท้อนให้คน
ทั่วไปได้มองเห็น  เพราะโทรทัศน์ตามไปถ่ายผมเพื่อทำข่าว  แต่ผมก็ยอมให้เขาถ่ายหากเอาตัวเองล่อกล้อง  ลงไปให้ทุกคนได้เห็นปัญหาของชาวบ้าน  ซึ่งประเด็นนี้หลายคนที่ติดตามข่าวผมคงจะจำได้ดี
     ความจริงแล้ววิธีแก้ปัญหาแบบนี้มักไม่ค่อยมีใครทำ  แต่ถ้าผู้บริหารประเทศทำได้ย่อมแก่ปัญหาได้ทุกเรื่อง  แม้ไม่จำเป็นต้องเสียเงินของชาติมากมาย
     ผมคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้  เราต้องหวนกลับไปแก้ไขสิ่งที่มันเป็นมาแล้วในอดีต  แม้การแก้ไขในปัจจุบันมันก็อาจช่วยให้อนาคตเกิดปัญหาลดน้อยลงไปได้  ถ้าเราเป็นคนเอาจริงเอาจังโดยไม่ต้องคิดทำร้ายคนอื่น  ถ้าตัวเราเองไม่หลงอยู่กับอำนาจอีกทั้งโชคชะตาราศี  รวมทั้งความมีหน้ามีตาในสังคม
     ผมฝากตรงนี้ไว้ให้ทุกคนนำไปคิดพิจารณากันเอาเอง  จะว่ามันยากมันก็อาจยาก  แต่หากคิดว่ามันง่าย  โปรดอย่าดูถูกตัวเอง  แต่ขอให้ลงมือทำอย่างจริงจัง
                                                    ด้วยความเคารอย่างสูง
                                                            ระพี สาคริก
ตอบ อาจารย์ระพี
     มาถึงวันนี้คนส่วนใหญ่จะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล  เพื่อมาแก้ปัญหาวิกฤติชาติที่ส่งผลถึงคน
ไทยทุกคน  อาจารย์ก็พยายามเสนอแนะมาหลายครั้ง  แต่ยังไม่มีใครนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง
                                                       สามวา สองศอก

http://www.thaipost.net/news/290410/21478
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1812 เมื่อ: 29 เมษายน 2553, 13:57:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ mek เมื่อ 28 เมษายน 2553, 22:11:35
เมื่อกี้ลองตามไปอ่าน link ที่พี่เหยงลงไว้เกี่ยวกับการยึด m79 ในเว็บผู้จัดการครับมีคนมาคอมเม้นท์เกี่ยวกับการแถลงข่าวลูกระเบิดm-79 ว่า

"ทำไมไม่เรียงเป็นคำว่า M79 ว่ะ"

 เหอๆๆ

อ้างอิงภาพ : http://pics.manager.co.th/ShowImage.html?Image=%2fImages%2f553000006230802.JPEG&Width=610&Height=457


วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 12:50 น.  ข่าวสดออนไลน์


ค้นบ้านตร.คูคตพบอาวุธซุกเก๋ง-เจ้าตัวเผ่น



ผบช.ภ.1ให้ออกพร้อมสั่งสอบ

     เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่ สภ.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รอง ผบช.ภ.1 ,พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง ผบก.ภ.จ.ปทุมธานี ,พ.ต.อ.นราเดช ทิพย์รักษ์ ผกก.สภ.คูคต พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน เร่งประชุม เพื่อสอบสวนเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจของ สภ.คูคต ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจพบบัตรประจำตัวตกอยู่ในที่เกิดเหตุที่ตรวจพบเครื่องกระสุนชนิดเอ็ม 79 ที่เหตุการณ์ย่านอนุสรณ์สถานเมื่อวานนี้ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นบ้านพักย่านสายไหม กทม. และรถเก๋งยี่ห้อมาสด้า รุ่น 323 สีแดง หมายเลขทะเบียน กค 7163 สระบุรี สภาพเก่า ไม่สามารถใช้งานได้ จากการตรวจสอบเป็นทะเบียนรถปลอม ของ จ.ส.ต.ปริญญา  มณีโคตม์ ผบ.หมู่งานปราบปราม สภ.คูคต พบอาวุธปืน,เครื่องกระสุนและอุปกรณ์อีกหลายรายการ แต่ไม่เป็นที่เปิดเผยว่าเป็นอาวุธชนิดใด จำนวนมากน้อยเพียงใด เบื้องต้นทราบว่า จ.ส.ต.ปริญญาไม่เดินทางเข้าทำงานเมื่อเวลา 08.00 น.ของวันนี้ และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวออกจากราชการแล้ว พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมสอบสวนว่าจะมีพัวพันการเหตุการณ์ดังกล่าวและคดีอื่น ๆ หรือไม่ และเตรียมออกหมายจับเพื่อติดตามตัวมาสอบสวนดำเนินคดี
     พ.ต.อ.สุรพันธ์ กอบเงินทอง ผกก.ฝ่ายสรรพาวุธ 3 หน่วยเก็บกู้ระเบิด กองสรรพาวุธตำรวจ เปิดเผยว่า หลังจากรับแจ้งตรวจพบอาวุธของจ.ส.ต.ปริญญาทั้งที่บ้านพักและรถเก๋ง จึงเข้าตรวจสอบภายในรถดังกล่าวเนื่องจากเกรงว่าจะมีการพบวัตถุระเบิดหรืออาวุธสงครามซุกซ่อนอยู่ในรถชนิดคาบอมม์ เพราะรถคันดังกล่าวถูกจอดทิ้งไว้มานานอยู่บริเวณที่จอดรถด้านข้างแฟลตตำรวจ มีสภาพเก่า หม้อแบตเตอรรี่ถูกถอดออก ตรวจไม่พบระเบิดแต่อย่างใด ส่วนอาวุธที่ตรวจพบได้ต้องนำไปตรวจสอบอีกครั้ง
     พล.ต.ต.เมธี เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวเคยเป็นทหารเกณฑ์จากทหารอากาศ แล้วสอบเข้าเตรียมพลตำรวจ รุ่นที่ 5 จ.สระบุรี จากนั้นเข้ารับราชการตำรวจฝ่ายงานจราจร สภ.คูคต มานานจนได้รับเลื่อนเป็นผบ.หมู่ปราบปราม  กระทั่งมาเกิดเรื่อง แต่โดยปกติเพื่อนตำรวจด้วยกันจะทราบว่า จ.ส.ต.ปริญญาฯ เป็นคนนิสัยไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เดิมเป็นคนจ.เชียงราย และทำธุรกิจส่วนตัวในการซื้อขายอาวุธปืนสั้น ซ่อมและหาอะไหล่อาวุธปืน จากการสืบสวนทราบว่า จสต.ปริญญา มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจค้นพบอาวุธสงครามที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และที่ จ.สมุทรปราการ ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวออกจากราชการแล้ว และออกหมายจับติดตามตัวต่อไป

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRJM01qVXlNREk1TVE9PQ==
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1813 เมื่อ: 30 เมษายน 2553, 09:02:19 »

บทบรรณาธิการของ นสพ.แนวหน้าออนไลน์ วันนี้(30 เมษายน 53)

บทบรรณาธิการ  
 
ผลประโยชน์แห่งรัฐมิเคยอยู่ในความคิดของทักษิณ (บทบรรณาธิการ
 
 
 
    เป็นเวลายาวนานเกือบ 3 เดือนแล้ว ที่กลุ่มผู้สนับสนุนระบอบทักษิณกลับมาชุมนุมประท้วงครั้งล่าสุด โดยยึดพื้นที่สำคัญของกรุงเทพมหานครไว้เป็นที่ชุมนุมทางการเมืองเพื่อขับไล่รัฐบาลชุดปัจจุบัน ให้พ้นจากอำนาจ เพราะต้องการให้ทักษิณ ชินวัตร กลับมามีอำนาจรัฐอีกครั้ง และยังต้องการล้างความผิดทั้งปวงที่ทักษิณและพรรคพวกได้จงใจก่อไว้

    อย่างไรก็ตาม การชุมนุมประท้วงในครั้งนี้ รวมถึงทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา มีประจักษ์พยานหลายสิ่งหลายอย่างยืนยันให้เห็นว่า ทักษิณและพรรคพวก คือ ผู้ชักใยและบงการอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุจลาจล หลักฐานเชิงประจักษ์ชิ้นสำคัญคือ การโฟนอินและวีดีโอลิงค์เข้ามาปลุกระดมเป็นประจำ

    นอกจากนี้ การชุมนุมของกลุ่มผู้สนับสนุนระบอบทักษิณบางพวก ยังมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การพยายามก่อเหตุวินาศกรรมโดยมุ่งหมายเอาชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นเครื่องสังเวย เพราะได้มีการวางแผนไว้แล้วว่า เมื่อสามารถสังหารประชาชนได้แล้ว ก็จะนำศพประชาชนไปสร้างภาพและขยายเรื่องเพื่อนำไปสู่ความรุนแรงขั้นต่อไป โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ก็ได้ปรากฏชัดเจนแล้ว หลังเกิดเหตุวินาศกรรมวันที่ 10 เมษายน 2553 รวมถึงการจงใจก่อเหตุวินาศกรรมที่สีลม เมื่อค่ำวันที่ 22 เมษายน 2553 และการจงใจก่อเหตุจลาจลที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อบ่ายวันที่ 28 เมษายน 2553

    ขณะเดียวกันวิญญูชนก็ยังสามารถจับประเด็นที่ชัดเจนได้ว่า เป้าหมายสำคัญของกลุ่มผู้สนับสนุนระบอบทักษิณบางกลุ่ม อยู่ที่การจงใจโค้นล้มและล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ให้จงได้ หากจะมีผู้ชื่นชอบระบอบทักษิณบางกลุ่มโต้แย้งว่า เอาหลักฐานอะไรมากล่าวหาเช่นนี้ ก็ตอบได้ว่า จากคำพูดของทักษิณเอง รวมถึงจากคำพูดของเหล่าผู้สนับสนุนทักษิณ ที่กล่าววาจาจาบจ้วงล่วงละเมิดและแสดงอาการอาฆาตมาดร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถเป็นประจำ

    ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา ณ ที่นี้ ล้วนเป็นเครื่องยืนยันถึงวัตถุประสงค์อันไม่บริสุทธิ์ของทักษิณ ชินวัตรและพรรคพวก ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าทักษิณและกลุ่มผู้สนับสนุน จะอวดอ้างว่าตนเองและพรรคพวกนิยมชมชอบและศรัทธาหลักการประชาธิปไตยอย่างมากล้นเพียงใดก็ตาม แต่การกระทำทั้งปวงที่เกิดขึ้นก็ล้วนแล้วแต่ขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง

 เราพบว่า หลายต่อหลายครั้ง ทักษิณจะแอบอ้างว่าเทิดทูนและจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เหนือยิ่งกว่าใครๆ ทั้งประเทศ แต่เรากลับไม่เคยพบเห็นว่าทักษิณจะห้ามปรามหรือพยายามหยุดยั้งมิให้แกนนำกลุ่มผู้สนับสนุนระบอบทักษิณกระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของสมเด็จพระมหากษัตริย์เจ้า

    เราพบด้วยว่าทั้งทักษิณและแกนนำระบอบทักษิณชอบอ้างว่า รักความสงบ รักสันติภาพ รักความเสมอภาค และรักประชาชน แต่นั่นก็เป็นแค่เพียงวาทกรรมที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อเป้าหมายทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์และความอยู่รอดของทักษิณและพวกพ้องเท่านั้น โดยประชาชนส่วนใหญ่และประเทศชาติหาได้ประโยชน์อันใดจากการกระทำดังกล่าว 
 
วันที่ 30/4/2010
 
http://www.naewna.com/news.asp?ID=209226
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1814 เมื่อ: 30 เมษายน 2553, 09:02:50 »

บทบรรณาธิการ นสพ.ไทยโพสต์ ออนไลน์ วันนี้

เพื่อไทยล้มซักฟอกรัฐบาล สังคมได้หรือเสียประโยชน์
บทบรรณาธิการ 30 เมษายน 2553 - 00:00

     มติของที่ประชุม  ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่มีมติอย่างเป็นทางการว่า  จะไม่ยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีกหลายคนตามที่ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้   โดยมีการแถลงอย่างเป็นทางการจาก  ร.ต.อ.เฉลิม  อยู่บำรุง  ประธาน  ส.ส.พรรคเพื่อไทย  ว่าเนื่องจาก  ส.ส.พรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลมือเปื้อนเลือดจากกรณีการสลายการชุมนุมเมื่อ  10  เมษายน  2553  ที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก  รัฐบาลจึงไม่มีความชอบธรรมทางการเมืองที่ฝายค้านจะต้องเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
     ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยที่จะต้องหาเหตุอันชอบธรรมมายกเหตุผลอธิบายต่อประชาชน  แต่ข้อเท็จจริงทางการเมืองก็คือ  ท่าทีของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  รวมถึงแกนนำพรรคคนอื่นๆ  ได้เทน้ำหนักการล้มรัฐบาลมาไว้ที่การเมืองนอกรัฐสภาเพียงที่เดียว  และละทิ้งการทำหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยในสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว
     ทั้งที่ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยโดยเฉพาะบรรดาแกนนำทั้งหลายออกมาประกาศล่วงหน้าว่า  พรรคฝ่ายค้านมีข้อมูลการทุจริตแสวงหาผลประโยชน์  การใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบของรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาล
     จึงมีเสียงสะท้อนอีกด้านว่าในเมื่อพรรคฝ่ายค้านมีข้อมูลการทุจริตอยู่มาก  แล้วทำไมพรรคเพื่อไทยจึงไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลในรัฐสภา  ซึ่งเหตุผลง่ายๆ  กับท่าทีของเพื่อไทยครั้งนี้ก็คือ  เพื่อไทยมองว่าหากยื่นญัตติไปแล้วจะทำให้เกิดเงื่อนไขทางการเมืองหลายอย่างที่จะทำให้การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงติดล็อกทางการเมืองโดยเฉพาะการยุบสภา  เพราะเมื่อฝ่ายค้านยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้ว  นายกรัฐมนตรีไม่สามารถยุบสภาได้
     แม้จะมี  ส.ส.เพื่อไทยบางคนอธิบายให้ฟังว่าถึงยื่นญัตติไปแล้ว  แต่ระหว่างนั้นหากเกิดเหตุการณ์สำคัญๆ  ทางการเมืองขึ้น  ก็ให้  ส.ส.เพื่อไทยไปถอนชื่อออกจากญัตติได้อันจะทำให้ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจล้มลง  อย่างไรก็ตาม  ในทางการเมืองหาก  ส.ส.เพื่อไทยชักเข้าชักออกลงชื่อไปแล้ว  จากนั้นไปถอนชื่อออกก็จะไม่เป็นผลดีทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทย  จึงทำให้สุดท้ายเพื่อไทยก็เลยไม่ยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจและเลือกที่จะสนับสนุนการเคลื่อนไหวการเมืองของคนเสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์อย่างเต็มที่  เพราะเห็นว่านี่คือการล้มรัฐบาลที่เร็วที่สุด  เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อให้มีข้อมูลดีอย่างไร  อภิปรายอย่างไร  ก็ไม่มีผลทางการเมืองมากนัก  เพราะอย่างไรรัฐบาลก็ต้องผ่านศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจไปได้อยู่ดี
     และนี่จะเป็นอีกหนึ่งสัญญาณการเมืองที่บ่งบอกว่า  การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงจะทวีความดุเดือดเข้มข้นขึ้นหลังพรรคเพื่อไทยไม่อภิปรายไม่ไว้วางใจ  เพราะทั้งหมดจะทำทุกอย่างเพื่อล้มรัฐบาลให้ได้ในเวลาเร็วที่สุด  แต่จะรุนแรงแค่ไหน  อย่างไรเสียเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยก็ต้องคำนึงถึงหลักกฎหมายบ้านเมือง  ความสงบสุขของประเทศด้วย  ไม่ใช่จะเอาชนะกันอย่างเดียวจนบ้านเมืองพังพินาศ.

http://www.thaipost.net/news/300410/21535

      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1815 เมื่อ: 30 เมษายน 2553, 09:07:12 »

คอลัมม์"คนปลายซอย" ของคุณเปลว สีเงิน วันนี้(30 เมษายน 53)

คิดร้ายต่อประเทศไทย "ตาย (ไม่ดี) ทุกคน!"
เปลว สีเงิน 30 เมษายน 2553 - 00:00

 สถานการณ์งวดเข้ามาทุกขณะ  "ศอฉ."  จะลุยกบฏหรือไม่ลุย  ผมตอบได้เลยว่า  "ไม่ลุย"  เมื่อไม่ลุยแล้วจะจบยังไง?"  เท่าที่ผมหยั่งใจ  ศอฉ.  "จบแบบ  (อยาก)  จับหัวโจก"  แต่จะมีแผนฝ่าการ์ดเสื้อแดงและดงเอ็ม  ๗๙  เอ็ม  ๑๖  ทั้งสารพัดระเบิดที่กั้นถึง  ๓  ชั้น  โดยใช้ชาวบ้านเป็นไข่ขาวล้อมอยู่วงนอกได้อย่างไร  ตรงนี้เป็นหน้าที่ของพวก  "หัวเสธฯ" เขาคิด  พวกหัวชันนะตุอย่างผม  ไม่อยากไปสะเออะ!
     แต่ระวัง   "จันทร์ตรีโกณอังคาร"  ตอนเช้าวันเสาร์ที่  ๑  พฤษภา.ไว้ด้วยละกัน  ทั้งจันทร์-ชาวบ้านระดับรากหญ้า  ทั้งอังคาร-ทหารตำรวจในเครื่องแบบอยู่ในจุด   "เปราะบาง"   คือเสื่อมทั้งคู่   แมวก็อย่าไปเลียหนวดเสือ  และเสือก็อย่าไปเกาคางแมว  ต่างฝ่ายต่างเกิดอารมณ์ขึ้นมาแล้วมันจะ
     โลกาวินาส!?
     ผมกะท่านก็คุยกันไปจนไม่เหลืออะไรจะคุยกันแล้ว  แต่..อ้อ..พรรคแดงทั้งแผ่นดินเขาตกลงไม่ยื่นญัตติอภิปรายล้มรัฐบาลแล้ว  เป็นอันว่าปีนี้ฝ่ายค้าน  "หมดสิทธิ์"  ได้ล้มรัฐบาลผ่านญัตติไม่ไว้วางใจ  เพราะ  ๒๑  พฤษภา  ก็จะปิดสมัยประชุมทั่วไป  เปิดอีกทีเป็นสมัยนิติบัญญัติ  ยื่นไม่ได้แล้ว
     ล้มในสภาไม่ได้  แต่นอกสภายังเป็น  "ละครหลังข่าว"  จะสั้น-จะยาวอยู่ที่เรตติ้งท่านผู้ชม  เอาเป็นว่า  ณ  นาว  อภิสิทธิ์  "ลงยันต์"  หนังเหนียว  เป็นนายกฯ  ต่อไป  เพราะฝ่ายแค้นกัดไม่เข้า!
     นี่...พูดกันตามหน้าไพ่ที่เล่นในบ่อนรัฐสภานะครับ  แต่ใครจะอยู่-ใครจะไป  ไพ่ที่เล่นในบ่อน   "นอกสภา"  กลางถนนนั่นตะหากเป็นทั้งตัวแปร-ตัวกำหนด-ตัวชี้ขาด  ซึ่งไม่เพียงชี้ขาดนายกฯ  อภิสิทธิ์  ยังเป็นการชี้ขาด
     อนาคตประเทศไทยใน  ๒  ทศวรรษต่อจากนี้ไปด้วย!?
     ๒   ทศวรรษก็คือ  ๒๐  ปี  หมายความว่าประเทศไทยในอีก  ๒๐  ปีข้างหน้า  จะไม่ใช่อย่างที่เห็นเมื่อวาน  และไม่ใช่อย่างที่เป็นวันนี้
     "ปัจจุบันคืออดีตของอนาคต"   นั่นคือ  ความสนุกสนานของการบ้าน-การเมืองตั้งแต่ช่วง  ๒๕๕๐-๒๕๕๕  นี่คือ...คำตอบของโจทย์ประเทศไทยที่จะเห็น-ที่จะเป็นชัดเจน  ณ  พ.ศ.๒๕๖๖-๒๕๗๐!
     คุยเรื่องที่พิสูจน์อีกไกล-ไม่สนุก   เอาที่พิสูจน์ใกล้ๆ  ดีกว่า  ท่านกะผมลองมาเดากันดูซิว่า  เพราะอะไรฝ่ายแค้นเขาจึงพับแผนอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ผมว่า
     ๑.ถ้าใช้ระบบอภิปรายในสภาก็จะสวนทางกับระบบกบฏในราชอาณาจักรนอกสภา  เพราะรัฐธรรมนนูญกำหนดเมื่อยื่นญัตติไม่ไว้วางใจห้ามรัฐบาลยุบสภา  ดังนั้น  ถ้าฝ่ายค้านยื่น  พวกกบฏที่ให้อภิสิทธิ์  "ยุบสภาทันที"  ก็ผิดแผน......เสียหมาเลย!
     ๒.เจ้ามูลแม้วตายแล้วจริงๆ  ถ้ายังไม่ตาย  ก็แสดงว่าอยู่ในสภาพ  "รอลูก-เมีย"  มาสั่งเสีย   เลยหมดกำลังใจ  เพราะลงทุน-ลงแรงแสดงไป  ก็ไม่รู้จะไปวางบิลเอากะใคร  สู้สงวนท่าทีไว้   เผื่อไปเป็นผีพึ่งป่าช้า   "ภูมิใจไทย"  ของเนวิน-นายใหญ่คนใหม่  จะได้ผสมพันธุ์กันไม่ยาก!
     ๓.นับจากนี้   ต่อให้ชนะทั้งในสภา-นอกสภา  และต่อให้ทักษิณไม่ตาย  ก็ไม่สามารถกลับมามีตำแหน่งทางการเมืองอะไรในประเทศไทยได้แล้ว เพราะทั้งเจ้าตัว และทั้งเจ้าประเทศมอนเตเนโกร  ประกาศชัดแล้วว่า  นายแม้วสละสัญชาติไทยไปถือสัญชาติมอนเตเนโกร  "เพียง
สัญชาติเดียว"  เรียบร้อยแล้ว
     ทักษิณไม่ใช่คนไทยอีกต่อไป  ต่อให้กบฏแดงยึดประเทศไทยได้สำเร็จ  แม้วก็ไม่มีทางกลับได้  เพราะเรื่องอะไรที่  "จิ๋ว"  จะยอมให้กลับมากินไข่แดง!?
     เอา   ๓  ข้อก่อน  แล้วท่านล่ะ  คิดว่าไงที่ฝ่ายแค้นพับแผนไม่ไว้วางใจ  แต่เรื่องข่าวลือ   "แม้วตาย"  นับวันจะหนาหูยิ่งกว่าข่าวแมวที่รัฐสภาตายซะอีก  ยิ่ง  "๔  แม่-ลูกตระกูลชิน"   บินด่วนไปอย่างนี้ด้วย  เท่ากับสนับสนุนข่าว  "แม้วตาย"  ที่ว่อนตามเว็บไซท์หนักขึ้นไปอีก   แถมที่ป่าช้าประจำตระกูลชินวัตร  "วัดโรงธรรมสามัคคี"  ที่เชียงใหม่  มีการเตรียมงาน  คนไปถามว่า...ศพใคร? คนงานบอกว่า
     "เตรียมงานศพให้ทักษิณ"!?
     แต่เขาว่า   "ทำแก้เคล็ด"   ก็ขอเอาใจช่วย   กลับมาเลี้ยงข้าวผมอีกซักมื้อก่อนเถอะ   อย่าเพิ่งตายเลยพ่อคุณ..พ่อทูนหัว  แต่ระหว่างลูกพี่ที่ชื่อทักษิณ  กับลูกน้องที่ชื่อวีระ  หัวหน้ากบฏใหญ่"  ใครจะไปก่อนใคร  "ผมรักทั้งคู่  เลยไม่กล้าแทงเต็งใครเป็นพิเศษ...พับผ่าเหอะ
     ก็ไม่รู้ซี....แฟนๆ   facebook  เขาบอกผมว่า  แดงตัวพ่อ  เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก  แต่แดงตัวลูก   เป็นมะเร็งหลอดอาหาร  อาการอยู่ในขั้นต้อง  "ถ่ายรูป"  ว่าใครจะถึงเส้นชัยก่อนใคร  นี่แหละ....เขาถึงว่า  บ้านเมืองไทยมี  "พระสยามเทวาธิราช"  คุ้มครอง  ใครคิดร้ายจะต้องมีอันเป็นไป  ชัดๆ  สั้นๆ  ง่ายๆ  แต่ขลัง คือ
     ไม่มีใครได้  "ตายดี"  ซักคน!?
     เดี๋ยวนี้พี่แกนๆ  กบฏเขาไม่ไปใช้บริการโรงแรม  SC  ปาร์ค  อยากจะบอกพี่จุ๋มกับพี่อัศวิน   ว่างๆ  แวะไปดูใน  "โรงพยาบาลตำรวจ"  หน่อย  เผื่อจะมีใครเขาเมื่อยปากจากด่าสถาบัน   และบ้านเมืองแล้วแวบเข้าไปหลบนอนก่ายหน้าผากอยู่ตามห้องติดแอร์แถวๆ   นั้นบ้าง   แต่อย่าให้ใครทำเสียงดังจนพี่กี้เล่นบทเห้..ตะกายตึก  อย่างที่  SC  ปาร์คอีกล่ะ!?
     โบราณบอกว่า   "นอนนาน-วิชาน้อย,   กินบ่อย-เงินหมด,  พูดมาก-โกหกมาก"  ฉะนั้น  เอาเท่านี้ดีกว่า  มีบัดดี้รุ่นหลานจาก  FB  ส่งนี่มาให้อ่าน  เอ้า...ช่วยกันอ่านหน่อย
     เรียนคุณ อาเปลวสีเงิน
     ส่งบทความนี้มาให้อ่านค่ะ  คัดลอกมาจาก FB มั่นใจคนไทยเกิน 1 ล้านคนต่อต้านการยุบสภา
     ด้วยความเคารพ
     ท.สิริ
     ความในใจ จากจดหมายท่านนายกฯ  อภิสิทธ์  จากราบ  11  เมื่อวานนี้  28  เมษายน  http://www.facebook.com/topic.php?uid=108372992525155&topic=4371
     ?เป็นจดหมายของท่าน  panwat  เขียนถึงนายกฯ  แล้วตอนนี้ท่านนายกฯ  ตอบกลับมาแล้ว   ลองอ่านแล้วจะรู้สึกถึงหัวจิตหัวใจท่านนายกฯ  คนนี้  รวมถึงสภาพจิตใจที่ท่านต้องเผชิญอยู่  ลองอ่านและให้กำลังใจท่านกันครับ
..............................................................
     จดหมายจากนายกรัฐมนตรี
     หลังจากที่ผมได้เขียนจดหมายถึงนายกฯ   ไป  2  ฉบับ  เหตุการณ์ต่างๆ  ในแนวที่ทำให้บ้านเมืองมีปัญหา  ก็ยังเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง  ถึงแม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่เวลานี้ล้วนหันมาให้ความรักและสงสารท่านนายกฯ   กันทั้งนั้นแล้ว   โดยมี  ”กลุ่มเสื้อหลากสี  ”เป็นตัวอย่าง   ที่แสดงตนอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนการบริหารประเทศของนายกฯอยู่
     นอกจากนั้นแล้วยังมี  ”พรรคการเมืองใหม่”  ก็สนับสนุนนายกฯ  ถึงแม้ว่าจะมีการตำหนิวิธีการบริหารงานของนายกฯ  อยู่บ้าง  แต่ก็  ”เป็นการติเพื่อก่อ”  เพราะมีคำแนะนำไว้ด้วยเสมอ  เรียกว่า  “ติอย่างมีเหตุผล” ครับ  แต่ท่านก็ยังเงียบๆ  อยู่ดูเหมือนว่าท่านจะไม่มีที่ปรึกษาเอาเลย  ทั้งๆ  ที่พรรคประชาธิปัตย์ก็มีขุนพลฝีมือทุกๆ  ด้าน  ล้วน  ”หัวหมอ”  ทั้งนั้นในเวลาที่ท่านเป็นฝ่ายค้าน ฤว่า....ลูกพรรคของท่านไม่อยาก  ”เอามือมาซุกหีบ” ?  ในขณะที่ผมกำลังท้อ  เกือบหมดแรงจะเชียร์
     นายกฯ  ก็ตอบจดหมายผมมาแล้วครับ  ท่านนายกฯ  ว่าอย่างนี้ครับ

-------------------------------------------
     กรมทหารราบ 11 รักษาพระองค์
     28 เมษายน 2553
     เรียน คุณพันวัตต์ ที่นับถือ
     ก่อนอื่นผมและคณะรัฐบาลรวมทั้งทีมงาน  ศอฉ.ทุกท่าน  ขอขอบพระคุณที่ให้กำลังใจ  และให้ความเชื่อมั่นต่อวิธีการแก้ปัญหาของผม  ผมอยากเรียนว่า  ในระหว่างเวลาที่ผมหายเงียบไปก็เพื่อทบทวนปัญหาที่เกิดขึ้น  ว่ามันเกิดขึ้นด้วยเหตุใด  อีกทั้งเพื่อทบทวนบทบาทของผมเองว่า  ผมบริหารผิดพลาดที่ตรงไหน  ในที่สุดผมก็ได้รู้ถึงรากของปัญหาเหล่านั้นครับ  ซึ่งตรงกับบางประการที่คุณพันวัตต์พูดไว้ในจดหมายฉบับที่  1  และที่  2  ผมจะสรุปเป็นข้อๆ  นะครับ
     1.ในประเด็นเรื่องการใช้เครื่องมือ  ผมทราบดีครับว่าเครื่องมือหลายชนิดมัน...................ทำงานไม่ได้ผล......................................................ผมจึงยอมทุกข์อยู่คนเดียว  ที่ผมกล่าวว่าผมทุกข์ไม่น้อยกว่าท่าน  “ท่าน”  ก็คือ  ”พี่น้องประชาชน” นะ
     ครับ..................................................................................
     2.ถ้าผมจะยุบสภาไปตอนนี้ก็ได้ครับ  เพราะการยุบสภาเป็นอำนาจของผม  อีกอย่าง  “ผมไม่เคยวางผลประโยชน์ตนเองเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศ”   แต่การยุบสภาต้องตอบคำถามให้ได้เสียก่อนว่า “สภาบกพร่องอะไรตรงไหน”  ในขณะที่บางกลุ่มบอกให้ยุบสภา  เพราะหลงรักคนคนเดียว  กับกลุ่มที่บอกว่า “ไม่ยุบสภา” หรือ “จะยุบสภาไม่ถามกูก่อนหรือ”   ขออภัยที่ใช้  “กู”  เพราะเขาแสดงออกอย่างนั้นจริงๆ  กลุ่มหลังนี้มีเหตุผล  เป็นการสนับสนุนให้ผมอยู่ต่อไปเพื่อแก้ปัญหาส่วนรวม  และเพื่อสถาบันสูงสุดที่คนไทยเคารพบูชาครับ “คุณพันวัตต์”  เห็นด้วยกับกลุ่มไหนครับ
     3.ผมเป็นสุภาพบุรุษพอครับที่จะไม่ฉวยโอกาส  หรือใช้โอกาสทำร้ายประชาชนที่ไม้รู้อิโหน่อิเหน่  เพื่อกรุยทางเดินไปสู่ความชอบธรรม  ซึ่งผมอยากจะเรียนคุณพันวัตต์ตามตรงเลยว่า  เหตุกาณ์เมื่อวันที่   10  เมษายน  2553  ถ้านายกรัฐมนตรีไม่ใช่นายอภิสิทธิ์  คนไทยที่มาร่วมกันชุมนุมจะบาดเจ็บล้มตายกันมากกว่านั้น  เพราะมันมีบุคคลที่สาม  (อาจจะสองครึ่งก็ได้)  ผมไม่อยากจะฟันธงหรอกครับว่าเป็นกลุ่มเสื้อแดง   เพราะคิดว่าพวกเขาอาจยังมีคุณธรรมปนอยู่บ้าง  เป็นกลุ่มไหนนั้นผมก็ได้แถลงข่าวไปแล้วนะครับ  “ผู้ก่อการร้าย”  ผมจึงอยากให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ออกมาจากคนกลุ่มนั้นซะนะครับเพราะ
     "ปัญหาของประเทศไม่ไช่เรื่องการเมืองล้วนๆ  เสียทีเดียว  แต่เกี่ยวข้องกับความมันคงและสิ่งที่เขาเรียกว่าปัญหาด้าน  “ก่อการร้าย”  ประเทศไทยต้องการมากกว่าการแก้ปัญหาในระยะสั้น  เราจำเป็นต้องจัดการแก้ปัญหาทั้งหมดในเวลาเดียวกัน  เมื่อพูดถึงเสถียรภาพที่ทุกคน
อยากให้เกิดขึ้นมันจะต้องไม่ใช่ในระยะสั้น  เพื่อรอคอยการเกิดปัญหาใหม่  ขึ้นมาแทนที่ปัญหาเดิมแบบซ้ำแล้วซ้ำอีก”
     และอีกเรื่องที่อยากจะเรียนให้เข้าใจคือ   เรื่องการประกาศกฏอัยการศึกครับ  เวลานี้ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ  อีกอย่าง  “กฎอัยการศึกจะต้องประกาศใช้โดยกองทัพ  ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของผม  และตอนนี้กองทัพก็ยังไม่มีความประสงค์ที่จะประกาศใช้  จากที่ผมได้หารือกับ
กลุ่มบุคคลที่มีหน้าที่รับผิดชอบและคนที่มีอำนาจในการสั่งการบริหาร   “ไม่มีใครมีความประสงค์ที่จะประกาศใช้กฎอัยการศึกในเวลานี้”
     สุดท้ายนี้   ผมอยากให้คุณพันวัตต์กับเพื่อนพ้องอดใจรอนะครับ  ผมแก้ปัญหานี้ได้แน่นอนครับ  และขอขอบคุณที่เชื่อมั่นในตัวผม  และหวังว่าคุณจะสนับสนุนและไม่ทิ้งผมนะครับ
     ด้วยความรักคุณและประชาชนชาวไทยทุกคน
     อภิสิทธิ์
     28 เมย.2553
     ****ปล.วันนี้ทหารเสียชีวิต 1 นาย ผมเสียใจมากครับ
     แต่ผมดีใจมากครับที่ท่านยังอยู่   นึกว่าจะใจน้อยลาออกให้นายสุเทพได้เป็น  "นายใหญ่"  คนใหม่แทนซะแล้ว!

http://www.thaipost.net/news/300410/21536
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1816 เมื่อ: 30 เมษายน 2553, 09:20:01 »

คอลัมม์ "ท่านขุนน้อย"

จากกฎหมาย...ถึงกฎธรรมชาติ
ท่านขุนน้อย 30 เมษายน 2553 - 00:00

    บรรยากาศสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงนี้...ดูๆ  แล้ว  ออกจะมีลักษณะคล้ายๆ  กับบรรยากาศช่วง  กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่  2  อยู่ไม่น้อยทีเดียว  แม้นว่ารายละเอียดของฉากเหตุการณ์ต่างๆ   จะเป็นคนละเรื่อง  คนละกรณี  รวมทั้งช่วงระยะเวลาก็ห่างกันนับเป็นร้อยๆ  ปี แต่กลิ่นอายความเป็นรัตนโกสินทร์ปี  2553  กับกลิ่นอายความเป็นกรุงศรีอยุธยาปี  2112  ไปๆ  มาๆ...มันชักจะกลายเป็นกลิ่นเดียวกันยังไงก็มิทราบได้...
             -------------------------------------------
     เรื่องราวในอดีตที่เคยมีการเล่าสู่กันฟัง  ในแบบปากต่อปาก  จะจริงหรือไม่จริงขนาดไหน  ก็คงยากที่จะหาหลักฐานมาพิสูจน์  ยืนยัน  ได้ชัดเจน  แต่เป็นเรื่องที่ฝังอยู่ในความคิด  ความรู้สึกของลูกไทย  หลานไทย  ในรุ่นต่อๆ  มากันเป็นจำนวนไม่น้อย  นั่นก็คือ  กรณีความพยายามที่จะปกป้องรักษาพระนครด้วยการยิงปืนใหญ่ต่อต้านผู้บุกรุก    ไม่อาจกระทำการใดๆ   ได้   ด้วยเหตุที่อ้างๆ  กันว่า...เป็นเพราะนางสนม  กำนัล  หวาดหวั่นตกใจในเสียงปืน  ส่งผลให้บรรดาผู้ซึ่งทำหน้าที่ดูแลความมั่นคง  ปกป้องกรุงศรีอยุธยา  ต่างต้องหันไปเอามือซุกหีบกันโดยถ้วนหน้า...
         ---------------------------------------------------
     จะเป็นเพราะบรรดานางสนม  กำนัล  เหล่านั้น...กลับชาติมาเกิดเป็น  นักสันติวิธี  ในขณะนี้หรือเปล่าก็มิอาจทราบได้  หรือเป็นเพราะผู้ซึ่งมีอำนาจควบคุมดูแลพระราชฐานชั้นใน  อันเป็นผู้ถ่ายทอดคำสั่ง   ไม่ให้ยิงปืนใหญ่ในยุคนั้น  กลับมาเกิดเป็น  ผบ.ทบ.  ในยุคนี้หรือไม่?  อย่างไร?   ก็ยากที่จะสรุปได้ชัดๆ   แต่ที่แน่ๆ  ก็คือ...บรรยากาศความเป็นไปของอยุธยา  ณ  ขณะนั้น  กับรัตนโกสินทร์  ณ  ขณะนี้  ออกจะคล้ายๆ  บทพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่  1  ซึ่งทรงถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกออกมาเป็นบทกลอนว่า...อันกำแพงค่ายคูก็ดูลึก/ไม่น่าศึกอ้ายพม่าเข้ามาได้/แต่ยังปล่อยมันข้ามเข้าเอาเวียงชัย/โอ้...กระไร  เหมือนบุรี...ไม่มีชาย...
        -----------------------------------------------------
     อีกลักษณะหนึ่งที่ก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกคล้ายๆ  กัน...ก็คือเหตุการณ์  การทรยศ  จากภายใน  อันเนื่องมาจากคนไทยด้วยกันเอง  ไม่ว่าระดับราษฎร  หรือข้าราชการในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  หันไปเอาใจออกห่างเข้ากับฝ่ายศัตรู  หรือหันไปรับใช้  สุกี้พระนายกอง  ส่งผลให้อำนาจรัฐของกรุงศรีอยุธยาที่เสื่อมโทรมอยู่แล้ว  ต้องล่มสลายลงไปในแบบไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี  ถึงจะมีราษฎรบางกลุ่ม  บางเหล่า  พยายามจับอาวุธขึ้นสู้  เพื่อปกป้องบ้านเกิดเมืองนอน  อย่างที่รู้ๆ  กันในนาม  ชาวบ้านบางระจัน  แต่ในเมื่อศูนย์กลางอำนาจรัฐ  มันได้ล่มสลายลงไปแล้ว...ทุกสิ่งทุกอย่าง  ย่อมมีแต่จะต้องแพ้พ่าย  สิ้นชาติ  สิ้นแผ่นดิน  ลงไปจนได้...
         --------------------------------------------------
     การกู้ชาติ  กู้แผ่นดิน  ที่ล่มสลายลงไปแล้ว...จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  เหตุการณ์ภายหลังกรุงศรีอยุธยาแตก  กับเหตุการณ์ในอนาคตข้างหน้า  ที่เราทั้งหลายจะต้องเผชิญกันต่อไป  ไม่ว่าพวกม็อบแดงจะถูก  กำราบ  ปราบปราม  ลงไปเมื่อไหร่ก็แล้วแต่  คงต้องยอมรับว่า...ยังไงๆ  มันก็คงไม่ออกไปในลักษณะ  แฮปปี้  เอนดิ้ง  โดยแน่นอน  แนวโน้มที่มันจะเกิดบรรยากาศคล้ายๆ  กับบรรยากาศภายหลังกรุงศรีอยุธยาแตกเป็นครั้งที่  2  มีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ!!!  นั่นก็คือ...การเกิด  ศูนย์อำนาจ  หลายๆ  ศูนย์อำนาจ  ปรากฏตัวขึ้นมาท่ามกลางความล่มสลายของศูนย์กลางอำนาจเดิม  ไม่ว่าจะเป็น  ก๊กพระเจ้าตาก  ก๊กพระเจ้าฝาง  ก๊กพระเจ้าพิมาย  หรือ  ก๊กเจ้าพระยามหานคร  ฯลฯ  ก็ตาม...
        ----------------------------------------------------
     ส่วนใครจะเป็นพระเจ้าตาก  พระเจ้าฝาง  พระเจ้าพิมาย  ฯลฯ  ก็คงต้องไปแยกแยะ หาข้อสรุปกันเอาเองว่า  ระหว่างก๊กประชาธิปัตย์  ก๊กเนวิน  ก๊กเพื่อไทย  ก๊กการเมืองใหม่  ฯลฯ  ใครจะสามารถรวบรวมกำลังทหาร  ตำรวจ  ข้าราชการ  ตลอดไปจนถึงราษฎร  ที่ต่างก็แตกกระจัดกระจายออกไปไม่รู้ต่อกี่กลุ่มกี่เหล่า  ไม่ว่าจะเป็นทหารกลุ่มบูรพาพยัคฆ์  ทหารกลุ่มวงศ์เทวัญ  ทหารแตงโม  ทหารทุเรียน  ตำรวจมะเขือเทศ  ตำรวจมะม่วง  ราษฎรเสื้อแดง  เสื้อเหลือง  เสื้อขาว  ตลอดไปจนถึงเสื้อหลากสี  ฯลฯ  ให้เกิดความเป็นปึกแผ่น  เกิดเอกภาพพอที่จะพัฒนาตัวเองให้กลายมาเป็นศูนย์กลางอำนาจใหม่  แทนที่ศูนย์อำนาจซึ่งได้ล่มสลายลงไปแล้ว...
         ---------------------------------------------------
     พูดง่ายๆ  ก็คือว่า...ไม่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับรัตนโกสินทร์ปี  2553  จะจบลงไปในลักษณะใดก็ตาม  แต่มันได้ก่อให้เกิดภาวะ  สุญญากาศทางอำนาจ  ปรากฏตัวขึ้นมาค่อนข้างชัดเจน  อันทำให้ประเทศไทยไม่มีวันที่จะเป็นเช่นเดิมได้ต่อไปอีกแล้ว  การหาทางรวบรวมพลังอำนาจต่างๆ   ที่ย่อยแยก  แตกกระจาย  ให้สามารถกลับเข้ามาผสมผสาน  จนเกิดความเป็นเอกภาพ  ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  เพื่อดำรงความเป็นประเทศไทยให้คงอยู่ต่อไปให้จงได้  ถือเป็นภารกิจที่สำคัญเอามากๆ  เป็นภารกิจที่นอกจากจะต้องอาศัยกำลังอำนาจที่เด็ดขาด  อำนาจที่ตั้งมั่นอยู่บน  พื้นฐานคุณธรรม  และศีลธรรมแล้ว  ยังต้องอาศัย  การคิดแบบใหม่  ที่มีความสอดคล้อง  เหมาะสมกับความเป็นไปในสังคมไทย  และสังคมโลกควบคู่ไปด้วย...
         ---------------------------------------------------
     ส่วนจะเรียกมันว่า  การปฏิรูป  การปฏิวัติ  การปฏิสังขรณ์  ฯลฯ  หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่...แต่มันคงเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้เลยแม้แต่น้อย  เนื่องจาก...เพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไปนั่นเอง  ในเมื่อกฎเกณฑ์อันเคยเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในสังคมหนึ่งๆ  อย่างที่เรียกๆ  กันว่า กฎหมาย  ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมระดับหมดสภาพที่จะบังคับใช้ต่อพลังอำนาจต่างๆ  ในสังคมได้อย่างเบ็ดเสร็จ  สมบูรณ์  หรืออย่างโดยถ้วนหน้า  กฎเกณฑ์ที่จะถูกนำเข้ามาแทนที่ภายใต้สภาพเช่นนี้  มันคงไม่มีอะไรมากไปกว่า  กฎแห่งธรรมชาติ  อันเป็นกฎเหล็กนับตั้งแต่กฎหมายใดๆ  ยังไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมานั่นแล...
        -----------------------------------------------------
     เอาเป็นว่า...เมื่อมาถึงขั้นนี้   อย่ามัวไปเสียเวลารอลุ้นว่า  อำนาจรัฐ  และกลไกรัฐ  จะเริ่มลงมือปฏิบัติการกัน  เมื่อไหร่  อย่างไร?  เพราะไม่ว่าเหตุการณ์มันจะจบลงไปในแบบไหน?  เมื่อไหร่?  แต่  ความสงบเรียบร้อย  ที่จะบังเกิดขึ้นต่อไปในภายภาคหน้านั้น  มันคงไม่ใช่ความสงบเรียบร้อยที่แท้จริงแต่อย่างใด  เป็นแต่เพียงความสงบ  ภายใต้ความพยายามที่จะช่วงชิงอำนาจกันใหม่ของกลุ่มอำนาจ  ซึ่งแตกกระจัดกระจายออกไปไม่รู้จะกี่กลุ่ม  ต่อกี่กลุ่ม  และต่างพยายาม  ฉวยโอกาส  จากสถานการณ์ที่กำลังไหลไปสู่ภาวะสุญญากาศทางอำนาจด้วยกันทั้งสิ้น  สู้หันมา  คิดแบบใหม่  หันมาค้นหาพลังทางศีลธรรม  คุณธรรม  อันสามารถปรากฏตัวขึ้นมาได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง  ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะตกอยู่ในอาการ  สิ้นชาติ  สิ้นแผ่นดิน  ระดับไม่อาจกู้กลับคืนมาได้อีกเลย...
       -------------------------------------------------------
     ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก  จี.ดับเบิลยู.เอช. เฮเกล...บทเรียนจากประวัติศาสตร์...มักสะท้อนให้เห็นว่า  เรามิได้เรียนรู้ใดๆ  จากประวัติศาสตร์เอาเลยแม้แต่น้อย...

http://www.thaipost.net/news/300410/21532
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1817 เมื่อ: 30 เมษายน 2553, 09:23:14 »

คอลัมม์ "ถูกทุกข้อ" ของคุณสามวา สองศอก

คารวะ สดุดี..ทหารกล้า
ถูกทุกข้อ 30 เมษายน 2553 - 00:00

      ยอกรก้มกราบกรานทหารกล้า
     สิ้นชีวาโดยพวกไพร่แดงถ่อย
     ทั้งบาดเจ็บล้มตายมีไม่น้อย
     เลือดไหลย้อยรดถิ่นแผ่นดินไทย
          มีเพียงโล่-กระบอง-กระสุนยาง
          อยู่เคียงข้างที่นายมอบมาให้
          ต้องต่อกรกับพวกเวรตะไล
          ที่มันใช้อาวุธระเบิด-ปืน
     ใครกันหนอ...อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้
     ใจมันโหดสิ้นดีที่หยิบยื่น
     ทวยทหารหลายนายล้มทั้งยืน
     เป็นค่ำคืนปิศาจร้ายกระหายเลือด
          ลากคนเจ็บบนรถลงมาซ้อม
          ต่างสะบักสะบอมหน้าซีดเผือด
          ปิศาจแดงต่างกรูตามมาเชือด
          เห็นรอยเลือดทหารกล้าทาแผ่นดิน
     ประชาไทยทั่วหล้าโศกสลด
     ภาพทีวีปรากฏกระจ่างสิ้น
     มีไอ้โม่งปิดหน้าใจทมิฬ
     เป็นนักรบโรนิน...ของใครกัน
          คารวะ สดุดี ทหารกล้า...
          ดวงชีวาจงล่องลอยสู่สวรรค์
          คนข้างหลังยังพร้อมจะโรมรัน
          ปราบพวกอันธพาล...มารแผ่นดิน!
                                             สมบัติ  จันทร์จำรัส

                สถานศึกษาขนาดเล็ก       
เรียน บรรณาธิการไทยโพสต์
     นับจากที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ   พ.ศ.2542  จนกระทั่งปัจจุบัน  เป็นเวลา  10  ปีเศษของการปฏิรูปการศึกษาที่เป็นระบบของไทย  การดำเนินงานปฏิรูปการศึกษาตามแนวทางที่กำหนดไว้ในกฎหมายการศึกษา  ประสบผลสำเร็จหลายเรื่อง  แต่บางเรื่องยังคงเป็นปัญหาให้เห็นอยู่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านคุณภาพการศึกษา  ทำให้เกิดข้อเสนอการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง  (พ.ศ.2552-2561)  เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
     ประเด็นในการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง  ที่คณะทำงานควรเน้นเป็นพิเศษ  และมุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ก็คือ  การเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  เพื่อให้ทำหน้าที่กำกับและส่งเสริม  สนับสนุนกิจการของสถานศึกษา
     คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ระบุไว้ในมาตรา  40  แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ  พ.ศ.2542  แก้ไขเพิ่มเติม  (ฉบับที่  2)  พ.ศ.2545  ประกอบด้วยผู้แทนผู้ปกครอง  ผู้แทนครู  ผู้แทนองค์กรชุมชน  ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  ผู้แทนศิษย์เก่าของสถานศึกษา  ผู้แทนพระภิกษุสงฆ์  และหรือผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นในพื้นที่  และผู้ทรงคุณวุฒิ 
     กลุ่มบุคคลดังกล่าวนี้มาจากอาชีพ   ค่านิยม   ประสบการณ์ความรู้  และอื่นๆ  แตกต่างกัน  ช่วงเวลาในรอบ  10  ปีที่ผ่านมาได้รับการพัฒนาน้อยมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  ในสถานศึกษาขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่ำกว่า  120  คน  จำนวน  12,828  โรงเรียน
     เนื่องจากโรงเรียนเหล่านี้ขาดแคลนทรัพยากรในการบริหารจัดการ  คุณภาพการศึกษาค่อนข้างต่ำ   และขาดการมีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงเรียน  บทบาทของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานส่วนใหญ่ไม่ได้แสดงบทบาทในการกำกับและส่งเสริมสนับสนุนกิจการของโรงเรียนที่ชัดเจน  ส่วนใหญ่ยังเคยชินกับบทบาทกรรมการศึกษาของโรงเรียน  ซึ่งเป็นบทบาทเดิม
     ในการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก   คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานตามมาตรา  40  ในสถานศึกษาขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่ำกว่า  120  คน  ควรเป็นกลุ่มเป้าหมายลำดับแรกๆ  ในการเข้ารับการพัฒนา  โดยการฝึกอบรมหลักสูตรคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
     อาจใช้เวลา  18-24  ชั่วโมง  (3-4  วัน)  เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  ระบบการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน  การศึกษาในสถานศึกษา  ประกอบด้วยงานบริหารการศึกษาในสถานศึกษา  หลักสูตรแกนกลางและหลักสูตรสถานศึกษา   การจัดการเรียนการสอน  การวัดผลและประเมินผลการเรียน  การประกันคุณภาพการศึกษา  การทดสอบของสถาบันทางการศึกษาแห่งชาติ  และการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา
     รวมทั้งเทคนิควิธีการทำงานในฐานะคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  ได้แก่  เทคนิคการประชุม  การตัดสินใจแบบกลุ่ม  การกำกับติดตามและประเมินผล  การส่งเสริมสนับสนุนกิจการของสถานศึกษา  สาระต่างๆ  เหล่านี้จะทำให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีทั้งองค์ความรู้   เทคนิควิธีการทำงาน  และรู้บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบ  ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่สูงขึ้น
     สำหรับผู้รับผิดชอบในการบริหาร  หลักสูตรคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอาจมอบให้
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา   โดยร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนที่อยู่ในพื้นที่ที่เปิดสอนหลักสูตรศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์  เป็นหน่วยในการฝึกอบรม  และวิทยากรฝึกอบรมมาจากทั้งสถาบันอุดมศึกษา  หน่วยงานอื่นๆ  และกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  ที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นแบบอย่างที่ดีจากสถานศึกษาอื่นๆ
     รูปแบบการฝึกอบรมควรประกอบด้วย  การบรรยาย  การสัมมนา  การปฏิบัติการ  และการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้  กระบวนการเตรียมความพร้อมให้กรรมการดังกล่าวข้างต้น  จะส่งผลให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทุกคนในโรงเรียนมีศักยภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น  มีความมั่นใจกล้าแสดงออก   และสามารถขับเคลื่อนสถานศึกษาให้ดำเนินงานได้ตามมาตรฐาน      รัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนขนาดเล็ก  (กลุ่มที่มีนักเรียนต่ำกว่า  120  คน)  โดยใช้งบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง  2555  ที่รัฐบาลกำลังดำเนินงานในขณะนี้  เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มบุคคลในสถานศึกษาขนาดเล็กเหล่านี้ให้มีความพร้อมที่จะรองรับการกระจายอำนาจทางการศึกษาไปสู่โรงเรียน
     เนื่องจากกว่า   10  ปีที่ผ่านมา  คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนขนาดเล็กยังไม่มีความพร้อมในการทำงานให้กับโรงเรียน  กรรมการสถานศึกษายังไม่มีส่วนร่วมในการ
พิจารณาเรื่องต่างๆ  ตามบทบาทหน้าที่อย่างแท้จริง  และยังไม่สามารถนำโรงเรียนไปสู่เป้าหมายของหลักสูตรและมาตรฐานการศึกษาชาติได้
     หากยังไม่มีการปรับรื้อรูปแบบการทำงานของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  ในสถาน
ศึกษาขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่ำกว่า  120  คน  โอกาสในการที่โรงเรียนจะถูกยุบมีสูงมาก  โรงเรียนขนาดเล็กในกลุ่มนี้ขาดแคลนทรัพยากรทุกเรื่อง
     ครูต้องทำงานหนักทั้งด้านการสอน   งานธุรการ  และงานนโยบายของต้นสังกัด  ทั้งระดับเขตพื้นที่การศึกษา  และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  หากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีศักยภาพเพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทที่กฎหมายกำหนด  จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การจัดการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็กกลุ่มนี้  ขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาให้เป็นไปตามเป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษา
     โครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง  2555  ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน   ควรเป็นโครงการที่เกิดขึ้นในลักษณะบนสู่ล่าง  (top-down  approach)  กล่าวคือ  เป็นโครงการที่ทุกเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศจะต้องจัดทำโครงการฝึกอบรมคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในสถานศึกษาขนาดเล็ก  (นักเรียนต่ำกว่า  120  คน)  เหมือนกัน  ดีกว่าส่งงบประมาณไปให้สถานศึกษาจัดทำโครงการที่ไม่ตรงกับสภาพปัญหา  และความต้องการที่แท้จริง   
     จากข้อมูลที่ได้ศึกษาโครงการต่างๆ   ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง  2555  ที่โรงเรียนบางแห่งปฏิบัติยังขาดน้ำหนักของเหตุผลที่ทำโครงการ   แทนที่จะนำไปพัฒนาคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่ำกว่า  120  คนทั่วประเทศ  ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานความพร้อมให้โรงเรียนเหล่านี้  ในช่วงเริ่มต้นรอบทศวรรษที่สองของการปฏิรูปการศึกษา
     หรือจะปล่อยให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนขนาดเล็กกลุ่มนี้   ไปตามรอบ  10  ปีที่แล้วที่ยังไม่เห็นความสำเร็จของมาตรา  40  แห่ง  พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ  พ.ศ.2542  แก้ไขเพิ่มเติม  (ฉบับที่  2)  พ.ศ.2545
                                                         สุรชัย เทียนขาว
                                                  มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
ตอบ คุณสุรชัย เทียนขาว
     ปัญหาม็อบเสื้อแดงที่กลายพันธุ์เป็นผู้ก่อการร้าย  ก็มาจากการศึกษาขั้นพื้นฐานของคนไทยที่ยังไม่ได้พัฒนาไปถึงไหน  คุณสุรชัยน่าจะนำเรื่องนี้ไปเสนอคุณชินวรณ์  บุณยเกียรติ  รมว.ศึกษาธิการ  ถ้ารัฐบาลมัวแต่มุดหัวอยู่ใน  ศอฉ.เพื่อปราบพวกเสื้อแดง  แล้วเมื่อไหร่จะชนะใจชาวบ้านได้ล่ะ
                                                        สามวา สองศอก

http://www.thaipost.net/news/300410/21533
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1818 เมื่อ: 30 เมษายน 2553, 10:19:13 »

จะเข้ากรุงเทพครับ

หากสะดวกในการเปิดเว็ป จะเข้ามาร่วมชุมนุมในเว็ปต่อครับ
      บันทึกการเข้า
yyswim
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2511
คณะ: "นิเทศศาสตร์"
กระทู้: 9,245

เว็บไซต์
« ตอบ #1819 เมื่อ: 30 เมษายน 2553, 11:43:24 »

ถึงน้องแอ๊ะ ไม่เกี่ยวกะเรื่องการเมือง นะครับ

ได้ยินจากช่อง 3 เมื่อตะกี้ บอกว่า

วันเสาร์พรุ่งนี้ ที่ 1 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 16.45 -17.15 น.ทางช่อง 3 ก่อนรายการเรื่องเด่นเย็นนี้  น้องหนา ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ จะออกรายการครับ

พี่นภบอก เผื่อน้องแอ๊ะจะให้ทาง ร.พ. ช่วยอัดรายการมอบให้ น้องหนา ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ ครับ

      บันทึกการเข้า

จาก สิน
http://yyswim.bloggang.com
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #1820 เมื่อ: 30 เมษายน 2553, 12:44:36 »

มาเยี่ยมพี่แอ๊ะ  ครับ  ^_^

      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1821 เมื่อ: 30 เมษายน 2553, 21:57:27 »

ปัญหาข้อ ๓ ของคุณเปลว สีเงินที่นำเสนอในวันนี้ ตามที่คัดมานี้

๓.นับจากนี้   ต่อให้ชนะทั้งในสภา-นอกสภา  และต่อให้ทักษิณไม่ตาย  ก็ไม่สามารถกลับมามีตำแหน่งทางการเมืองอะไรในประเทศไทยได้แล้ว เพราะทั้งเจ้าตัว และทั้งเจ้าประเทศมอนเตเนโกร  ประกาศชัดแล้วว่า  นายแม้วสละสัญชาติไทยไปถือสัญชาติมอนเตเนโกร  "เพียงสัญชาติเดียว"  เรียบร้อยแล้ว ทักษิณไม่ใช่คนไทยอีกต่อไป  ต่อให้กบฏแดงยึดประเทศไทยได้สำเร็จ  แม้วก็ไม่มีทางกลับได้  เพราะเรื่องอะไรที่  "จิ๋ว"  จะยอมให้กลับมากินไข่แดง!?

อดีต พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้กุศโลบายที่ตัวเองอยู่ต่างประเทศ ศาลไทยทำอะไรไม่ได้ เมื่อจำเลยไม่อยู่ในเขตอำนาจศาล
ศาลก็สั่งชะลอคดีไว้ แต่ตัวเองมอบอำนาจให้ทนายฟ้องคดีบุคคลทุกคนในประเทศไทยทั้งอาญาและแพ่ง
โดยมักใช้ใบมอบอำนาจ ซึ่งระบุตัวเองเป็นคนไทยและใช้ภูมิลำเนาที่อยู่ที่บ้านจันทร์ส่องฟ้า ฝั่งธนฯ นั่นเอง
โดยคดีแพ่งจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากคู่กรณีเป็นเงินนับล้านๆบาท สร้างภาระ สร้างความหวาดกลัวให้กับคู่คดีเป็นอย่างมาก
เว้นแต่ที่สุดศาลสั่งหรือมีคำพิพากษายกฟ้อง คู่กรณีจึงจะหายใจได้สะดวก(หลายๆคดีจะเป็นเช่นนี้)

ต่อไปนี้ อดีต พ.ต.ท.ทักษิณ ฟ้องคดีในประเทศจะต้องเปลี่ยนเป็นคดีที่ชาวต่างประเทศและไม่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย
ฟ้องคดีในประเทศไทยแล้ว....คู่กรณีต้องหาหลักฐานการสละสัญชาติไทย, การได้สัญชาติมอนเตเนโกร
รวมทั้งเอกสารแสดงถิ่นที่อยู่ในมอนเตเนโกร มาหักล้างใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดี
ซึ่งต้องมีคำสั่งหรือคำพิพากษาสำหรับกรณีอดีต พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นตัวอย่างเกิดขึ้นในอนาคตนี้แน่นอน
      บันทึกการเข้า
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #1822 เมื่อ: 01 พฤษภาคม 2553, 07:37:13 »

แหม๋ ...น้องดร.มนตรี หล่อจังเลยรูปนี้ 
ขอบคุณที่มาเยี่ยมค่ะ
ช่วงนี้พี่แอ๊ะยุ่งกะงานบุญบั้งไฟ ซ้อมรำวงมาตรฐาน ให้ชาวญี่ปุ่นดูค่ะ

เขายืนยัน เสี่ยงภัยมาหาชาวยโสธร 26 คนค่ะ

ทีทีแอน์ที จะร่วมเป็นสปอนเซอร์บ้างไหมคะ


อ้างถึง
ข้อความของ ดร.มนตรี เมื่อ 30 เมษายน 2553, 12:44:36
มาเยี่ยมพี่แอ๊ะ  ครับ  ^_^


      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #1823 เมื่อ: 01 พฤษภาคม 2553, 07:46:07 »


พี่นภขา
ขอบคุณที่มาเยียม   แอ๊ะไปสุราษฎร์มาค่ะ

และมาพักที่บ้านกรุงเทพ 2วัน
ออกไปไหนไม่ได้เพราะกลัวมอบ ว่าจะไปชอบ ที่ชิดลม ก็อดค่ะ



ที่บ้านมี อินเตอร์เนตไร้สาย

แต่แอ๊ะ  ทำ คอมไม่เป็น เข้าเนตไม่ได้ ยกเว้นเข้าที่ยโสธรค่ะ 55555555555
แอ๊ะโง่มาก เรืองไอที


  วันนี้ จะคอยดูรายการน้องหนา และแอ๊ะจะขอเทป น้องหนา จาก ช่อง 3ให้นะคะ

เด่วโทรหา น้องหนา ถ้าน้องหนามาเมืองไทยแล้ว แอ๊ะจะตามให้มาพัก ใจ ทียโสค่ะ


อ้างถึง
ข้อความของ yyswim เมื่อ 30 เมษายน 2553, 11:43:24
ถึงน้องแอ๊ะ ไม่เกี่ยวกะเรื่องการเมือง นะครับ

ได้ยินจากช่อง 3 เมื่อตะกี้ บอกว่า

วันเสาร์พรุ่งนี้ ที่ 1 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 16.45 -17.15 น.ทางช่อง 3 ก่อนรายการเรื่องเด่นเย็นนี้  น้องหนา ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ จะออกรายการครับ

พี่นภบอก เผื่อน้องแอ๊ะจะให้ทาง ร.พ. ช่วยอัดรายการมอบให้ น้องหนา ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ ครับ


      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
ภาณุ ปาตานี
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,254

« ตอบ #1824 เมื่อ: 01 พฤษภาคม 2553, 07:59:08 »

สวัสดีครับพี่แอ๊ะ...

รูปนี้..พอจะประชันได้ไหมครับ...



      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 71 72 [73] 74 75 ... 131   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><