วันนี้เมื่อ 60 ปีที่แล้วเป็น
วันบรมราชาภิเษกสมรสขอนำเสนอเรื่องราวดีๆ สำหรับเช้านี้
6 ทศวรรษ...พระคู่ขวัญแห่งแผ่นดิน28 เมษายน 2553 06:41 น. นับจากวันที่ 28 เม.ย.2493 จวบจนวันนี้ ยาวนานมาถึง 60 ปีแล้ว ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงครองคู่พระบารมี สถิตย์เป็นพระมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย
เรื่องราวความรักของทั้งสองพระองค์ เป็นที่ทราบดีของปวงชนชาวไทย รวมไปถึงผู้ที่ได้มีโอกาสรับทราบเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสของทั้งสองพระองค์มาจนถึงทุกวันนี้
ย้อนกลับไปในวันมหาประชาปีติเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนจะประกาศก้องให้คนไทยทั้งแผ่นดิน ได้ร่วมชื่นชมในความรักของพระมิ่งขวัญทั้ง 2 พระองค์
ในช่วงเช้าเมื่อได้เวลาพระฤกษ์เวลา 09.30 น.พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสได้เริ่มขึ้น ณ พระตำหนักของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในวังสระปทุม เริ่มจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ทูลเกล้าฯ ถวายสมุดทะเบียนสมรส
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย จากนั้นพระคู่หมั้น หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ลงนามในสมุดทะเบียนสมรส โดยมี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร พระราชปิตุลา และ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ลงพระนามและลงนามเป็นราชสักขีพยาน พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสในครั้งนั้น นับว่าเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ไทยในยุคประชาธิปไตย ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่นเดียวกับประชาชนชาวไทยทั่วไป
จากนั้นทั้ง 2 พระองค์ทรงเข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เพื่อทรงประกอบพระราชพิธีตามโบราณราชประเพณี จากนั้นทรงให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการลงนามถวายพระพรเฉพาะพระพักตร์ ทรงรับของทูลพระขวัญ แล้วมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานของที่ระลึกตอบแทนเป็นหีบเงินขนาดเล็ก มีตราจักรีคล้องกันอยู่เบื้องกลางระหว่างอักษรพระปรมาภิไธยย่อ ภ.อ.และอักษร พระนามาภิไธยย่อ ส.ก.
ในวันเดียวกัน ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ พระอัครมเหสี เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ และเสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณในพระบรมมหาราชวัง ทั้ง 2 พระองค์ประทับคู่กันเหนือพระราชอาสน์ พระราชทานพระราชวโรกาสให้พระบรมวงศานุวงศ์เฝ้าฯ โดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร (ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร) กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลแทนพระบรมวงศานุวงศ์ มีความตอนหนึ่งแสดงความปีติโสมนัสในวันราชาภิเษกสมรส ในการที่ทรงเลือกสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์มาเป็นพระอัครมเหสี ความว่า
“...ได้ทรงพิจารณาเลือกสรรประสบผู้ที่สมควรแก่การสนองพระยุคลบาท ร่วมทุกข์ร่วมสุขแบ่งเบาพระภาระในภายหน้า...”
ไม่เพียงแต่กล่าวถวายพระพรชัยมงคลในวาระนั้น สมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรยังได้รับฉันทานุมัติจากพระบรมวงศานุวงศ์ ให้กล่าวถวายพระพรชัยมงคลในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 อีกด้วย หม่อมราชวงศ์ปรียนันทนา รังสิต สมาชิกวุฒิสภาสรรหา ผู้เป็นพระนัดดา เล่าให้ฟังว่า
“เสด็จปู่ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร) ทรงเป็นพระราชโอรสที่พระชนมายุยืนที่สุด ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) และในขณะนั้น (พ.ศ 2493) ทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ฝ่ายหน้า (ฝ่ายชาย) พระองค์เดียวที่เหลืออยู่ ทรงเป็นพระราชปิตุลาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถด้วย ทั้งสองพระองค์ทรงสนิทสนมคุ้นเคยกับท่านมากและทรงเรียกว่า “เสด็จลุง” เสด็จปู่ทรงกำพร้าพระมารดาตั้งแต่ชันษา 11 วัน รัชกาลที่ 5 จึงพระราชทานให้สมเด็จพระพันวัสสาฯ ทรงเลี้ยง เสด็จปู่จึงทรงสนิทสนมกับ พระราชโอรสพระราชธิดาในสมเด็จพระพันวัสสาฯ โดยเฉพาะ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 พระราชพิธีต่างๆในพระราชสำนักได้ถูกระงับไปเป็นเวลาเกือบ 20 ปี จนผู้ใหญ่ที่เชี่ยวชาญรู้เรื่องพระราชพิธี ก็ได้ล้มหายตายจากไปตามๆ กัน เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเสด็จปู่เป็นประธานผู้สำเร็จราชการฯ และต่อมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่เพียงองค์เดียว เสด็จปู่จึงค่อยๆ รื้อฟื้นพระราชพิธีต่างๆ ที่ได้หยุดประกอบไป อาทิ พระราชพิธีแรกนาขวัญ พระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต ตามฤดูกาล เป็นต้น พระราชพิธีบรมราชาภิเษกจึงได้เป็นไปตามโบราณราชประเพณีทุกประการ เพราะเสด็จปู่ได้ทรงค้นคว้า และกำกับขั้นตอนของพระราชพิธีด้วยพระองค์เองอย่างละเอียดยิ่ง”
นอกจากนี้ คุณหญิงยังเล่าต่อว่า ภายหลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังได้เสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์ เพื่อเฉลิมฉลองและร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำ กับเสด็จในกรมและหม่อมเอลิซาเบธ รังสิต ณ อยุธยา ที่วังวิทยุ (วังของเสด็จในกรม) อย่างสำราญพระราชหฤทัยยิ่ง
จากบทบาทของเสด็จปู่องค์ต้นราชสกุลรังสิต ทำให้ หม่อมราชวงศ์ปรียนันทนา ยังคงปลาบปลื้มในเหตุการณ์ครั้งสำคัญเรื่อยมา แม้เกิดไม่ทัน แต่ในฐานะพสกนิกรชาวไทยคนหนึ่ง และเป็นตัวแทนของราชสกุลรังสิต ที่มีความใกล้ชิดผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ในวาระ 60 ปี แห่งพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส คุณหญิงขอถวายพระพรให้ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน พระสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ และขอให้ทรงได้สบายพระราชหฤทัยโดยเร็วที่สุด เพราะว่าในขณะที่บ้านเมืองของเรามีวิกฤตเช่นนี้ คนไทยกำลังทะเลาะเข่นฆ่ากันเอง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทำให้ทรงทุกข์พระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง
จึงอยากเชิญชวนให้คนไทยทุกคน ร่วมกันสร้างความสงบ สันติสุขให้กลับคืนมาสู่บ้านเมือง เพื่อมอบถวายให้ทั้ง 2 พระองค์ ที่ทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ศูนย์รวมจิตใจคนไทยทั้งชาติ เพราะตลอดระยะเวลา 60 ปี ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ประเทศไทยได้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงมาก่อนนี้ เพราะฉะนั้น คนไทยจึงควรตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณ โดยให้ทั้ง 2 พระองค์ได้ทรงสบายพระราชหฤทัยโดยเร็ว
“ไม่มีพระมหากษัตริย์และพระราชินีพระองค์ใดในโลก ที่ทรงงานหนัก ทรงทุ่มเทพระวรกาย เพื่อพสกนิกรมากเท่านี้แล้ว ทรงริเริ่มโครงการเพี่อปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนกว่า 3,000 โครงการ พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักพัฒนา ทรงพัฒนาทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและเพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนและมีศักดิ์ศรี สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันคู่ชาติไทยมากว่า 800 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระองค์อยู่เหนือการเมือง ทรงวางรากฐานให้แก่การปกครองระบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างดี”
กระทั่งทุกวันนี้ แม้จะมิได้เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมพสกนิกรทั่วทุกภาคเหมือนแต่ก่อน แต่ทั้ง 2 พระองค์ก็ยังคงทรงงานทุกวัน และระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อรักษาพระอาการประชวร สมเด็จพระนางเจ้าฯ ก็ทรงประทับเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้ห่าง เคียงคู่พระบารมีตราบจนทุกวันนี้
“อันที่จริง ในวันที่ 28 เม.ย.ที่จะถึงนี้ เป็นวันสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ ที่คนไทยจะได้ร่วมกันฉลองในวาระ 60 ปีราชาภิเษกสมรส แต่ก็ทำได้ไม่เต็มที่ เพราะอยู่ในช่วงไม่สงบ จึงอยากขอให้ทุกคนร่วมกันนำความสงบ สันติ คืนมาร่วมกัน เพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย”
คลิ๊กไปอ่านและชมภาพเพิ่มเติมที่
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9530000057863