26 พฤศจิกายน 2567, 05:39:05
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 3 4 [ทั้งหมด]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องดีๆจากFW.MAIL ที่อยากให้อ่าน  (อ่าน 49106 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 14:11:08 »

       เรื่องของในหลวงที่เรา(อาจ)ไม่เคยรู้


1. ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.

2. นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์

3. พระนาม 'ภูมิพล' ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

4. พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช

5. ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก

6. ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี

    มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า 'H.H Bhummibol Mahidol'หมายเลขประจำตัว 449

7. ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า 'แม่'

8. สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง

9. แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม

10. สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง

      ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต

11. สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า'บ๊อบบี้'

12. ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่า

      เวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุกขึ้นบ่อยๆ

13. สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที

      ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ที มากเกินไป 2 ทีพอแล้ว

14. ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ

15. ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก 'การให้' โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า 'กระป๋องคนจน' เอาไว้

      หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก 'เก็บภาษี' หยอดใส่กระปุกนี้ 10%

      ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด

      มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน

16. ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน

      สมเด็จย่าก็ตอบว่า 'ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ

      ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน'

17. กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์

      เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา

18. ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง

19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก 'การเล่น' สมัยทรงพระเยาว์

      เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา

      ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง

20. สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่าง

      ทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์

21. ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรก

      ที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)

22. ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น

     โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้

23. ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส

24. ทรงพระราชนิพนธ์พลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ 'แสงเทียน'

      จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง

25. ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย

      ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง 'เราสู้'

26. รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5

27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย

      ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ

      โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย

28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง 'นายอินทร์' และ 'ติโต' ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์

      แต่ 'พระมหาชนก' ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์

29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ

      ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง

      (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น'กีฬาซีเกมส์') ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510

30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า

      เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น

      แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน

31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้น

      เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ 'กังหันชัยพัฒนา' เมื่อปี 2536

33. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น

      แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว

34. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ

      วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่

      ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง

35. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี

     จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

36. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น

      สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า'น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ

      เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง

37. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว..สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส

      ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป

      ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท

37. หลังอภิเษกสมรส ทรง'ฮันนีมูน'ที่หัวหิน

38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499

      และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน

39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวง

      จึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น

41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา

42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล

      เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ

43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด

      ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม

44. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้าแม่ถึงตีสี่ตีห้า
 
      พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ เมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว

      ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่

      ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง

45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ

46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง

      (ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ

47.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน

48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง

      ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น

      จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน

49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ

      ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน

50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท

      ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการ

      พัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้

51. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง

      เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด

52. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า

     'ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน

     เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ

53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง

      (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้

      เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน

54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา

55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย

56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก

57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย

      โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง

58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง

59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก

60. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที ่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง

61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศทุกฉบับ

      และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก

62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ

      ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ

      มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว

63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร

      ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ

64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวลแล้ว

      ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว

65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า 'นายหลวง' ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง

66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน

67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า 'ทำราชการ'

68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์

      รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา

      และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี

69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้น

      เป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า'อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก'

70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด

71. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า

      ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี

72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง

      ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์

73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี

      จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน

74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่า

      เสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง

      น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน

75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง

76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง

77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง

      จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด

 
   



      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #1 เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 14:14:51 »

 ปริญญาสองใบ...

ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก
คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก
เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน
ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร
มาเรียนที่อเมริกา
เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส
ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจาน
ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู
ว่าสะอาดจริงมั้ย
กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย
ต้องให้ดีที่สุด
เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน
แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ
แกเสนอแผนที่สอง
แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม
ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย แกมีบ้าน
มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจ
มีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง
วันหนึ่งแกพักผ่อน
หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย ลุกเมียไปขอพบ
บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต
วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป
ภรรยาพาเข้าโรงบาล ตรวจพบมะเร็ง
พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย จริง ๆ
เค้าก็เตือนตลอด
แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้
แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล
แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน บันทึกชีวิตแก
ก่อนจะเสียชีวิต แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว
แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่
กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก
ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า
พ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ
ปริญญาใบที่หนึ่ง ' ปริญญาวิชาชีพ ' เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น
พูดง่าย ๆ
ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง
แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ แต่ ' ปริญญาวิชาชีวิต '
ปริญญาใบที่สอง   ' ปริญญาวิชาชีวิต ' คือวิชาธรรมะ
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง

ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้
แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง
ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ
แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก เพราะอะไร
เพราะทำงานจนป่วยตาย
ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง
บ้าน รถ     มอบมันให้กับลูกและภรรยา
แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา
สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้
สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย
เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย
นี่คือปริญญาวิชาชีวิต
ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ
เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง
ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี
ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว
อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ
แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเอง
ดูจิต ดูใจตัวเอง ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์
มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า
แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้ เกินไปหรือเปล่า
พยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ
เพื่อที่ว่าอะไร
เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต
หนึ่งปริญญาวิชาชีพ
เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง
มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่
แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง
คือวิชาธรรมะ
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง
ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป
ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุข
อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก
อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ
ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง
อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด
และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี เพราะอะไร
เพราะว่าสิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของเรา
เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า
ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด บางคนก็ตอบเงิน
บางคนก็ตอบเพชร บางคนก็ตอบทอง
บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์
 พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือ “สุขภาพและชีวิต”
สุขภาพ ก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ
และอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ชีวิตของเรา”


ด้วยความปรารถนาดี

กัญญนัท  เวชศรีชนา

 Thank you…    ^_^

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #2 เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 14:17:15 »

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ

ของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

'ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

'ผมขโมยเองครับ'

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด

จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้

และด่าว่าน้องชายของฉัน

' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย'

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ



หลายปีผ่านไป

แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน

ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

' ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

' ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

'ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ

ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

' ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'

แต่ในขณะเดียวกัน

ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ .......


วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน

ขณะฉันกำลังหลับ

' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่'

ฉันนั่งอยู่บนเตียง

อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ Huh?

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
...

ฉันถามเขาว่า

'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

' พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง

เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้วพูดว่า

'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่า

หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด 'เจ็บมากไหม'

ฉันถาม

'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ

และ...'

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา

น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อออกไปแล้ว

ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

เขาบอกกับฉันว่า

'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

ฉันบอกกับน้องว่า

'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'

'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ  26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...



เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

' ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล 'พี่สาวของผมครับ' .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเอง

ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี

และจะทำดีกับเธอ'

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ

วันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม


จบบริบูรณ์....


ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ   ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

'ซัมซุง'

และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ

บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #3 เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 14:19:59 »

คำเตือน : 9 เคล็ดลับ...สำหรับสุภาพสตรี และบุคคลทั่วไป

1 . เคล็ดลับจากวิชาเทควันโด้
" ข้อศอก" คือจุดที่แข็งแกร่งที่สุดของร่างกาย
หากถูกทำร้าย หรือกำลังจะถูกทำร้าย
และคุณอยู่ในระยะที่ใกล้พอ
จงใช้ข้อศอกให้เป็นประโยชน์
( ถองกบาลหรือกกหูมันแรง ๆ )

2 . ข้อแนะนำจากหนังสือแนะนำ
นักท่องเที่ยวเมืองนิวออร์ลีนส์
หากถูกโจรจี้และขอกระเป๋าถือหรือ
กระเป๋าสตางค์ อย่ายื่นกระเป๋าให้โจร
แต่ให้เขวี้ยงกระเป๋าไปไกล ๆ
เพราะเป็นไปได้ว่าเจ้าโจรนั่น
อาจสนใจแค่เงินหรือข้าวของในกระเป๋า
มากกว่าตัวคุณ
มันจะวิ่งไปคว้ากระเป๋าที่คุณโยนออกไป
ทีนี้ก็จงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
ไปในทิศทางตรงกันข้าม

3. ถ้าถูกจับขังในฝากระโปรงท้ายรถ
พยายามทุบให้ไฟท้ายรถหลุดออก

จากนั้นยื่นแขนออกมาจากรูโหว่แล้วโบกสุดฤทธิ์
คนขับมองไม่เห็นคุณ
แต่รับรองชาวบ้านเห็นแน่ ๆ
วิธีนี้ช่วยชีวิตคน มานักต่อนักแล้ว

4. อย่านั่งแช่ในรถ

สาวๆ ทั้งหลาย เมื่อเสร็จภารกิจช้อปปิ้ง
กินข้าว เลิกงาน ฯลฯ สาว ๆ
เมื่อก้าวขึ้นรถแล้ว ก็มักจะ นั่งแช่
ทำอะไรต่อมิอะไรกระจุกกระจิก
เป็นต้นว่า ดูสมุดบัญชี จดลิสต์รายการ
ข้าวของ หรือเรื่องที่จะต้องทำ หรืออื่น ๆ
ขอเตือนว่า..อย่าทำเช่นนี้เป็นอันขาด
ผู้ร้ายอาจกำลังจับตาเฝ้าดูคุณอยู่
การที่นั่งจ่อมอยู่อย่างนี้แหละ
จะเป็นโอกาสอันงาม
ที่มันจะก้าวขึ้นมานั่งในรถข้าง ๆ คุณ
เอาปืนจี้แล้ว สั่งให้พาไปไหนต่อไหน
เพราะฉะนั้นก้าวขึ้นนั่งในรถเมื่อไร
ให้รีบล็อคประตูแล้วออกรถทันที

5. ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำเล็กๆ น้อยๆ
เมื่อคุณต้องเดินไปยังรถที่จอดในลานจอดรถ
โรงจอดรถ หรืออาคารที่จอดรถ

ก. สำรวจรอบตัวมองข้างในรถทั้งที่นั่งข้างคนขับ
พื้นรถรวมถึง เบาะหลังด้วย
ข. ถ้ารถคุณจอดอยู่ข้างรถตู้คันใหญ่
แนะนำให้ขึ้นรถด้านประตูผู้โดยสาร
ผู้ร้ายส่วนใหญ่มักฉวยโอกาสจังหวะที่เหยื่อกำลัง
เปิดประตูรถลากตัวเหยื่อขึ้นรถตู้
ค. ดูรถที่จอดอยู่ข้างรถคุณทั้งฝั่งซ้ายและขวา
หากมีผู้ชายนั่งอยู่คนเดียวตรงเบาะด้าน
ที่ใกล้รถคุณ ควรหลีกเลี่ยงด้วยการ
เดินกลับเข้าไปในห้างหรือที่ทำงาน
แล้วขอให้เจ้าหน้าที่ห้าง หรือ รปภ.
หรือเพื่อนชายเดินกลับมาส่งที่รถ
ปลอดภัยไว้ก่อน ดีกว่าต้องเสียใจทีหลัง
(โดนหาว่าประสาทยังดีกว่าต้องซี้ม่องเซ็ก)

6. ควรใช้ลิฟต์แทนการขึ้นลงทางบันได
บันไดเป็นจุดที่น่ากลัวที่สุดถ้าอยู่คนเดียว
รวมทั้งเป็นจุดที่เกิดอาชญากรรมได้ดีที่สุด

7. หากผู้ร้ายมีปืน และคุณยังไม่ได้ถูกจี้ ..วิ่งหนี!!!
โอกาสที่มันจะยิงโดนคุณมีเพียง 4 ใน
100 ครั้งเท่านั้น (เป้าเคลื่อนที่)
และถึงจะยิงโดน ก็เป็นไปได้มาก ว่า
จะไม่ถูกอวัยวะสำคัญเพราะงั้นวิ่งลูกเดียว!

8. อย่าใจอ่อน ผู้หญิงมักขี้สงสารและเห็นอกเห็นใจ
งานนี้อย่าเชียวนะ!! เพราะอาจนำไปสู่การทำร้ายร่างกาย
ข่มขืน หรือฆาตกรรมได้ กรณีนี้มีตัวอย่างมาแล้ว
ฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่งในอเมริกาชื่อ เท็ด เบินดี้ม
เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี มีการศึกษา
ใช้กลวิธีเรียกร้องความสงสารจากเหยื่อเพศหญิง
ซึ่งไม่ได้เกิดความสงสัยสักนิด
เขาหลอกลวงเหยื่อให้ตายใจด้วยการเดินโดยอาศัยไม้เท้า
หรือแสร้งทำขากะเผลก
แล้วขอ 'ความช่วยเหลือ'จากเหยื่อ
ให้ช่วยพยุงขึ้นรถ จากนั้นก็ใช้จังหวะนั้น
ลักพาตัวไป......ฆ่า?Huh?

9. ให้ร้องว่า ' ไฟไหม้ ' แทนคำว่า ' ช่วยด้วย'
จากหนังสือภัยจาก 108 มงกุฏ
เมื่อคุณกลับบ้านในเวลากลางคืน
หากถูกคนร้ายจี้ ชิงทรัพย์ ฯลฯ
เวลาร้องขอความช่วยเหลือ
คำว่าไฟใหม้จะทำให้ชาวบ้านในละแวกนั้น
ตกใจตื่นและออกมาดูสถานการณ์ได้เร็วกว่า

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
phraisohn
บักสน
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


บักสนแคมโบ้
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu89 (ปี 2549)
คณะ: วิทยาศาสตร์
กระทู้: 9,557

เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 14:21:16 »

ชอบมากครับ เียี่ยม!!
      บันทึกการเข้า
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #5 เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 14:28:36 »

                  ถังน้ำสองใบ


ชายคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร

ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ  

และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง...แต่ด้วยระยะทาง อันยาวไกล  จากลำธารกลับสู่บ้าน....

จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที ่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำ กลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง....

ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง ...

ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง

มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพี ยงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา

หลังจากเวลา 2 ปี… ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น

วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า ข้ารู้สึกอับอายตัวเอง

เป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้าที่ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทาง ที่กลับไปยังบ้านของท่าน

คนตักน้ำตอบว่า เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้น ทางในด้านของเจ้า...

แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง   เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่.... ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า

และทุกวันที่เราเดินกลับ... เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น  เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้น

กลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว  ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว..เราก็คงไม่ อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัว เอง...

แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ

และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้....  สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น..

และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่า นั้นเอง
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #6 เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 14:34:50 »


ระวังเติมน้ำมันตามปั้ม


_

 

เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ... .โค.. ต.. ร เลวทั้งตำรวจและพวกที่อยู่ในแก๊งค์เลย

> เท่าที่เพื่อนเคยโดนมานะครับ ... . เวลาเราไปเติมน้ำมันตามปั้ม ... ให้ลงมาดูนะครับเวลาเด็กปั้มมันเติม
> ... ... เพราะถ้าคุณไม่ดูอาจเป็นแบบเพื่อนผม ... .. เพื่อนผมไปเติมน้ำมัน ทางสายจะไปแพร่
> เติมเสร็จขับรถออกมา ดูกระจกหลังเห็นมีถุงพลาสติกปลิวไสวๆ อยู่ที่ฝาเติมน้ำมัน มันก็เลยลงมาดู ...
> .เจออะไรรู้ไหมครับ เจอยาบ้า 5 เม็ดอยู่ในถุง มันก็เลยโยนทิ้งข้างทาง พอขับรถออกมาได้ สัก 1 กม.
> เจอด่านตำรวจครับ ตำรวจเรียกตรวจ ... .. คำแรกที่ตำรวจถามมันถามว่าเปิดฝาถังน้ำมันหน่อย ... ...
> พอจะรู้กันหรือยังครับ รถเพื่อนผมโดนรื้อทั้งคันเลย ... . เพราะมันหายาบ้าไม่เจอ ท่าทางหงุดหงิดมาก
> ค้นอยู่นานเป็นชั่วโมงเลย พอไม่เจอมันก็เลยปล่อยเพื่อนผมไป พอจะวิเคราะห์ออกไหมครับ
> ตำรวจกับเด็กปั้มหากินด้วยกัน โดยการให้เด็กปั้มแอบเอายาบ้ามายัดตามรถที่เติมน้ำมัน ยัดเสร็จ
> โทรไปแจ้งรูปพรรณรถกะตำรวจ แล้วพอค้นเจอยาก็จะขอตังส์ ให้เรื่องจบ 2-3 หมื่น แล้วไปแบ่งกันกะเด็กปั้ม
> ... ! โชคดีที่เพื่อนผมเห็นทันเลยรอดตัว เวลาไปเติม น้ำมันสัง เกตกันให้ดีนะ ครับ ถ้าเจออย่างนี้








      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #7 เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 14:37:07 »

เรื่องที่ 1**เตือนภัย**สาวๆที่ออกไปข้างนอกคนเดียวบ่อยๆโดยเฉพาะคนที่ออกไปข้างนอกคนเดียวบ่อยๆ

โดยเฉพาะสถานที่ซ้ำๆกันด้วย  เรื่องนี้เกิดในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาค่ะเพื่อนเราไปนั่งอ่านหนังสือที่ร้านstarbucks

สาขาซีคอน ตอนประมาณเที่ยงๆระหว่างที่มันนั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆฟังไอพอดไปด้วยก็มีผู้ชายคนนึงเดินเข้ามา! คุย

ท่าทาง เกย์ๆ ตุ๊ดๆผู้ชายคนนั้นบอกว่า เค้าเป็น directorมาจากฮ่องกง หรือจีน เนี่ยแหละกำลังมองหานักแสดงหน้าตาจีนๆ

หรือเกาหลีๆไปเล่นหนัง เพื่อนเรามันก็ไม่ได้ตั้งใจฟังมาก เพราะหูข้างนึงก็ฟังไอพอดอยู่

จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็ยืนมือมาเชคแฮนด์เพื่อนเรามันก็จับมือเค้าต่อจากนั้นแปปเดียว

เพื่อนเรามันบอกว่าเกิดอาการมึนหัวขึ้นทันที เหมือนตัวลอยๆขยับอะไรไม่ได้ยืนอยู่นิ่งๆได้อย่างเดียว

เหมือนเค้าทายาอะไรซักอย่างไว้ที่มือ เพราะเพื่อนเราจับยาก็เลยซึมเข้าร่างกาย

ผู้ชายคนนั้นก็พูดไปเรื่อยโดยที่เพื่อนเราบอกว่าได้ยินและจำได้ทุกอย่างแต่ขยับตัวหรือพูดไม่ได้เลย

ผู้ชายคนนั้นก็พูดไปเรื่อยว่านี่น้องลดแขนหน่อยได้มั้ยแล้วก็เอามือจับแขนเพื่อนเรา

ลดแก้มด้วยก็ดีแล้วก็เอามือมาดึงๆหน้าแล้วพอมันรู้ว่าเมาได้ที่แล้วมั้งก็บอกให้เอาไอพอดบัตรประชาชน

แล้วก็เอทีเอ็มมาให้ ขอpassword ไปด้วย เพื่อนเราก็ทำตามทุกอย่างมันบอกว่ามันรู้ตัวแต่ควบคุมตัวเองไม่ได้

ต้องทำตามที่มันบอกจากนั้นเพื่อนเราก็เดินกลับบ้านทั้งที่ยังไม่รู้ตัวอย่างนั้น ผ่านไปสองสามชม.

มันถึงได้สติกลับมาปรากฎว่าเงินในเอทีเอ็มหายไปหมดแล้ว น่ากลัวเนอะขนาดในร้านตอนเที่ยง

เพื่อนเราก็บอกว่าคนเยอะ ไม่ได้เปลี่ยวเลยระวังตัวกันหน่อยนะคะสาวๆเพราะคนร้ายพวกนี้

อาจจะซุ่มดูหาเหยื่อก่อนแล้วเลือกคนที่ไปคนเดียวบ่อยๆทางที่ดี อย่าคุยกับคนแปลกหน้า

แล้วก็หาเพื่อนไปด้วยดีกว่านะจ้ะ

เรื่องที่ 2ขอเล่าเรื่องจริงแบบไม่ต้องผ่านจอแก้วด้วยตัวเราเองเป็นภัยสังคมที่เกิดกับคนใกล้ตัวแบบไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เจอะได้เจอ

เหตุการณ์เกิดกับพี่สาวของเพื่อน (ขออนุญาตนำมาเล่านะคะ)วันที่เกิดเหตุ วันที่ 9 สิงหาคม 2551

เวลาประมาณบ่ายหน่อยๆ ครอบครัวพี่สาวเพื่อนไปทานอาหารที่ร้าน ซิสล์เลอร์ สาขาอาคาร ซีพี ทาวเวอร์

(สถานที่เกิดเหตุ - ขอเน้น กลางกรุงเลยเพื่อน)ตัวพี่สาวทานเสร็จก่อนก็เลยปล่อยให้สามีและลูกทานกันต่อ

โดยที่ตัวเองจะลงไปซื้อของที่ร้านวัตสันที่อยู่ชั้นล่าง ระหว่างที่ลงบันไดเลื่อนก็มีชายหญิงคู่หนึ่งอยู่ข้างหน้าแต่งตัวดี

สักพักพี่สาวเพื่อนรู้สึกได้กลิ่นเหม็นเหมือน กลิ่นตด มาจากข้างหน้า (เค้ายังนึกด่าในใจว่าแต่งตัวดีแต่ดันตดมาได้)

พอลงจากบันไดเลื่อนก็เดินตรงไป เข้าร้านวัตสัน สักครู่ก็รู้สึกง่วงนอนมากเหมือนจะหลับให้ได้(ปกติจะเป็นคนไม่ชอบนอนกลางวัน)

เลยคิดว่าโดนดีเข้าแล้วเรา(เวลามีเมล์เรื่องภัยสังคมมอมยาแบบนี้ เพื่อนมักจะแฟ็กซ์ไปให้พี่สาวอ่านบ่อยๆ)

พี่สาวเพื่อนรีบหยิบมือถือโทรหาสามีกับลูกให้รีบมาเจอกัน เดชะบุญเก่ายังดีอยู่ สามีกับลูกเช็คบิลเสร็จแล้ว

และกำลังจะลงไปหา เลยรีบตามมาสมทบ แล้วพากันกลับบ้านเพื่อนเล่าว่า ขึ้นรถปุ๊บ

พี่สาวก็หลับปั๊บทันทีเลยสรุปกันว่าเจอตดมหาภัยซะแล้วก็เล่ามาเพื่อเตือนเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ กันไว้

(ช่วยกันส่งต่อเตือนพี่น้องเพื่อนฝูงของตัวเองด้วยนะ)เพราะสถานที่เป็นที่เราคุ้นเคยเดินเล่นกันบ่อย ๆ

จนอาจจะไม่ระวังตัวเปิดช่องให้พวกมารสังคมมาทำมิดีมิร้ายกับตัวเราและทรัพย์สินได้วันที่เกิดเหตุ

เพื่อนเล่าว่าพี่สาวเขาใส่จี้เพชรอยู่แต่ก็ไม่ใช่วูบวาบใหญ่โตขนาดจะนำภัยมาหาตัวได้เพราะแต่งตัวก็ธรรมดา

ไม่ฟู่ฟ่าอะไรมีกระเป๋าตังค์ติดตัวไปด้วยใบหนึ่งหากเราไปเดินคนเดียวและเจอเหตุการณ์แบบนี้

ขอแนะนำเพื่อน ๆถ้าได้กลิ่นแปลก ๆ ให้รีบกลั้นลมหายใจแล้วรีบออกมาให้พ้นแถวนั้น

พยายามฝืนตัวเองหาพนักงานขายของ(อย่าเอาคนแถว นั้น เพราะอาจเป็นพวกมันรออยู่ก็ได้)

แล้วรีบบอกพนักงานก่อนเลยว่า เรามาคนเดียวเพราะพวกมารสังคมอาจจะทำเนียน

เห็นยาออกฤทธิ์แล้วอ้างตัวว่ามากับเราได้...เฮ้อ... ทำได้แต่เตือน ๆ กัน

เมื่อไหร่พวกมารจะหมดไปจากสังคมกันซะทีขอให้ปลอดภัยกันทุก ๆ คนนะคะ

เรื่องที่ 3คนมาแจกโบร์ชัร์ก็ต้องระวังนะเรื่องคนเอาเอกสารหรือโบร์ชัวร์มาแจกตามห้างก้อน่ากลัวนะ

ต้องระวังด้วยเมื่อก่อนก็จะรับๆ ไว้เพราะสงสารคนแจก แต่ไม่กี่เดือนนี่เองน้องที่ทำงานเก่าเพิ่งโดนไปที่ โลตัสคลองสี่รังสิต

เรื่องก้อคือเค้าจะไปซื้อของใช้เข้าบ้าน ไปกันสามคน พ่อ แม่ ลูก ตัวน้องผู้หญิงเข้าไปซื้อของใช้และให้สามีพาลูกไปรอ

 และเล่นที่บ้านบอล พอเค้าซื้อของเสร็จมาหาสามีที่บ้านบอล มองหาลูกในบ้านบอลก็ไม่มีแล้ว

สามีก็นั่งอยู่ที่หน้าบ้านบอลที่เดิม เรียกอยู่ตั้งพักถึงจะรู้สึกตัว สามีรู้สึกตัวก็ตกใจมากที่รู้ว่าลูกหายไปแล้วเค้าบอกว่า

ขณะนั่งดูลูกเล่นอยู่ดีดี ก็มีคนเดินเข้ามาแจก โบร์ ชัวร์ให้อ่าน ก็เลยรับไว้แล้วพอเปิดปุ๊บก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย

มารู้ตอนที่ภรรยามาเรียกนี่แหละ เค้าหากันให้ทั่วห้างเลยแหละ แต่เป็นโชคดีของครอบครัวนี้มากๆ

เพราะก่อนที่จะเข้าไปซื้อของเค้าแวะซื้อขนมที่ร้านขนมไทยตรงทางเข้าห้างแล้วแม่ค้าขนมก็จำครอบครัวนี้ได้

แม่ค้าเล่าว่าเด็กออกมากับผู้ชาย คนนึงแต่เด็กร้องไห้เสียงดังลั่นเลยก็เลยเป็นที่สังเกตุแม่ค้าก็เลยเรียกไว้

แล้วถามหาพ่อแม่เด็ก ระหว่างนั้นคนร้ายก็เลยชิงหนีไป.....คิดดูสิ.....ถ้าแม่ค้าจำเด็กไม่ได้

หรือถ้าคนร้ายมันทำให้เด็กหมดสติแล้วทำทีเป็นเด็กหลับแล้วอุ้มไปหละไม่อยากคิดเลยว่า

ตอนนี้ครอบครัวนี้จะเป็นยังไง ตอนนี้น้องที่ทำงานเก่าที่เป็นแม่เด็กยังขวัญผวาไม่หายเลยกลัวไปหมด

โชคดีมากๆ บุญช่วยจริงๆ
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #8 เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 14:45:11 »

ประสบการณ์ตรงจากคนไข้ อันตรายจากยาที่หลายคนคาดไม่ถึง " Paracetamol "


เมื่อสักครู่ใหญ่ๆหลังจากผมและทีมพยายามช่วยชีวิตและพยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ใน ICUมาตลอดทั้งคืน

คนไข้ท่านนี้อายุ 46 ปีมีปัญหาเรื่องเป็นไข้ตลอดทุกๆวันมาตลอดหนึ่งเดือนแต่ไม่ได้ไปพบแพทย์

รักษาตนเองโดยทานยาลดไข้ paracetamol ที่ใครๆเรียกว่าพาราเป็นตัวเดียวกับยาที่มีชื่อทางการค้า

คุ้นหูขึ้นต้นด้วย  “ท.”ที่โฆษณาเป็นชาวต่างชาติพูดไทยไม่ชัดมาขอซื้อยา

ปัญหาก็คือผู้ป่วยท่านนี้ทานวันละ 8-10 เม็ดมาตลอด 1เดือนถึง 1 เดือนครึ่ง !!!!

ญาติตัดสินใจนำผู้ป่วยส่งโรงพยายบาลด้วยปัญหาคือผู้ป่วยมีเลือดออกจากทางเดินอาหารจำนวนมาก

 (ถ่ายดำ +อาเจียนป็นเลือด ) หลังจากตรวจอย่างละเอียดแล้วพบปัญหาดังนี้

1.มีจุดเลือดออกอยู่ที่ทางเดินอาหารส่วนบน

2.ภาวะการทำงานของตับล้มเหลวรุนแรง

3.การแข็งตัวของเลือดผิดปกติดอย่างรุนแรงจาก ภาวะการทำงานของตับล้มเหลว

4.พบก้อนกดเบียดจากด้านนอกของหลอดอาหารและทางเดินอาหารได้ทำการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ

   หลังจากทำการรักษาที่พยายามหยุดการไหลของเลือดในทางเดินอาหารชดเชยเลือดที่เสียไป

   และรักษาการทำงานที่ผิดปกติของตับ จากตับวายคนไข้อาการทรุดลงเรื่อยๆจากภาวะไตวาย
 
   น้ำท่วมปอด ภาวะเลือดเป็นกรดอย่างรุนแรง

ผลตรวจชิ้นเนื้อพบว่าคนไข้เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดรักษาให้หายได้ด้วยยา

ซึ่งเป็นสาเหตุของไข้เรื้อรังมาตลอดเดือนถึงเดือนครึ่งและทำให้คนไข้ต้องกินยาลดไข้มาตลอด

แต่ปัญหาก็คือขณะที่ผู้ป่วยมาที่โรงพยายบาลผู้ป่วยมีภาวะการทำงานของตับและไตล้มเหลวแล้ว

(ตับวาย ไตวาย ) จึงเป็นอุปสรรคต่อการรักษาและทำให้อาการคนไข้ทรุดลงเรื่อยๆ

จนเสียชีวิตในเช้าวันนี้ ในที่สุด

โดยสรุปก็คือหากอาการป่วยของคนไข้ครั้งนี้ไม่มีภาวะตับวายจากพิษของยาParacetamol

(ไตวายเป็นภาวะที่เกิดจากตับวายอีกที)การรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนี้จะไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเลย

เป็นโรคที่รักษาหาย และอัตราเสียชีวิตต่ำมาก ยา Paracetamol โดยปกติจะถูกทำลายที่ตับ

โดยขนาดที่เป็นพิษคือทาน > 150 mg/Kg

ใน 24 ชั่วโมง หรือคิดง่ายๆคือ ขนาด 500 mg 15 เม็ด ในคนน้ำหนัก 50 Kg ใน 24ชั่วโมง

ปัญหาก็คือ

1. เมื่อทานปริมาณมากพอสมควรติดต่อกันแม้จะไม่กี่เม็ดต่อวัน(ในเด็กหรือผู้มีน้ำหนักน้อยจะยิ่งแย่

   เนื่องจากปริมาณยาต่อน้ำหนักตัว )จะทำให้เกิดถาวะตับวายได้

   จะเห็นได้จากที่ฉลากหรือข้างกล่องจะมีข้อความเตือนว่าไม่ควรทานติดต่อกันเกิน 5วัน

2.หลายๆคนใช้เป็นยาประชดฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่าเป็นแค่ยาลดไข้ไม่รุนแรงมั่นใจว่า "ไม่ตาย " 

   ........แต่ปัญหาก็คือหลายๆครั้งการรักษาก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จทุกครั้ง

   จากโรคประจำตัวของผู้ป่วย หรืออาจจะมีโรคที่ทำให้ตับทำงานไม่ดีอยู่แล้วหรืออื่นๆ

   และหากมาพบแพทย์ช้ากว่า 24 ชั่วโมงหลังทานยา

  การล้างท้องและการให้ยาต้านพิษของ Paracetamol ก็แทบจะไม่มีประโยชน์เลยคนไข้มักจะลงเอย

  ด้วยอาการตับวายอย่างรุนแรงและเสียชีวิตในที่สุด(หลายๆท่านคงเคยพบคนที่กินเยอะมาก
 
  ไปพบแพทย์ก็ช้า แต่ไม่สียชีวิตก็มาจากการที่อาเจียนทำให้ปริมาณยาที่ได้รับลดลง หรือ ทานไม่มากจริง หรืออื่นๆ

ผมเคยพบคนไข้ที่ตัวเหลืองเข้มทั้งตัวจากภาวะตับวาย จากการที่ทาน Paracaetamolประชดพ่อแม่ 

แต่มาถึงโรงพยาบาลช้า คนไข้ท่านนั้นร้องให้กับผมบอกว่า

"หนูไม่อยากตาย หนูแค่คิดจะประชด "ผมสะทือนใจกับความไร้เดียงสาและความไม่รู้ของคนไข้อย่างมาก

จนจำภาพติดตามาจนถึงทุกวันนี้

ผมพยายามรักษาอย่างสุดความสามารถและด้ส่งคนไข้ต่อไปยัง รพ. ที่ใหญ่กว่า

แต่สุดท้ายคนไข้ท่านนั้นก็เสียชีวิตในที่สุด


ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ก็เพราะอยากจะเตือนให้ทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้ทานยา Paracetamol

ด้วยความระมัดระวัง ทานเมื่อจำเป็น

อย่าเห็นว่าเป็นแค่"ยาลดไข้ "และควรไปพบแพทย์เสียแต่เนิ่นๆ เมื่ออาการป่วยของท่านไม่ดีขึ้น

และอย่าลืมหันมองดูการกินยาของคุณพ่อคุณแม่และคนใกล้ตัวด้วยนะครับ

ขอบคุณครับ

 

   

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #9 เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 15:31:25 »

ผมมีตัวตนแต่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ
> เรื่องต่อไปนี้จะเป็นตัวบอกว่าทำไมผมจึงบอกไม่ได้
>
> ประมาณสองสัปดาห์หลังปีใหม่ ภรรยาผมลางานเพื่อไปติดต่องานราชการ
> เสร็จแล้วแวะ Central ลาดพร้าว เพื่อหาซื้อหนังสือแนวที่เธอชอบอ่านที่ B2S
>
> ระหว่างที่กำลังเลือกหาซื้อหนังสืออยู่นั้น
> ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ
> สามสิบเข้ามาทักทาย
> บอกว่าชอบหนังสือแนวสืบสวนสอบสวนเช่นกันและ
> มีหนังสือที่น่าสนใจหลายเล่มที่น่าอ่านมาก การสนทนาก็เป็นไปอย่างมี
> มิตรไมตรีต่อกัน เพราะจากลักษณะท่าทางและการแต่งตัวดูเหมือนเป็น
> คนทำงานทั่วไป แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ให้นามบัตรภรรยาผมมา ส่วนภรรยาผม
> ก็ให้เบอร์มือถือเธอไปเพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิงด้วยกัน การติดต่อพูดคุยก็
>
> มีขึ้นเป็นระยะๆ
> และมีนัดเจอกันเพื่อให้หนังสือภรรยาผมมาอ่านแล้วก็บอกว่า
> จะรีบไปทำงาน
> แต่หนังสือที่ให้มาเป็นหนังสือแนวสืบสวนธรรมดาที่ภรรยาผม
> เคยอ่านมาแล้ว
> จึงอยากจะคืนกลับไป
>
> การนัดเจอกันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
> แต่คราวนี้ผู้หญิงคนนั้นชวนทานข้าวเพราะเป็น
> ช่วงเกือบเที่ยงวันแล้ว
> และได้แนะนำให้รู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ที่ Food Center
> เธอบอกว่าเป็นเพื่อนที่ทำงานชอบอ่านหนังสือแนวนี้เช่นกัน ผู้ชายคนนั้น
> ถามภรรยาผมและผู้หญิงคนนั้นว่า จะทานอะไรจะไปซื้อมาให้ ด้วยความเกรงใจ
> จึงทานเหมือนกันเป็นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู แต่ภรรยาผมก็พยายามจะขอตัวไปซื้อ
>
> น้ำมาให้แต่ทางผู้หญิงคนนั้น ชิงเดินไปซื้อมาให้ก่อน
> พอนั่งทานไปได้ประมาณ
> ครึ่งชามและดื่มน้ำไปหน่อย
> ภรรยาผมก็เกิดอาการมึนๆ และเริ่มง่วงนอน เพียงอีก
> ไม่กี่นาทีต่อมา
> เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาประคองตัวภรรยาผม
> แล้วพูดบอกผู้ชายว่า คงเป็นลมช่วยพาออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อย ตอนนั้น
> ภรรยาผมบอกว่าไม่สามารถพูดอะไรได้ ร่างกายยืนแทบไม่ไหว ระหว่างเดินผ่าน
> ตัวห้างมาลานจอดรถเห็นผู้ชายโทรศัพท์เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที
> รถตู้สีขาวก็มาจอด
> แล้วทั้งคู่ก็พาภรรยาผมขึ้นรถ
> วินาทีนั้นภรรยาผมบอกว่าเธอพยายามขัดขืนแต่
> ทั้งคู่ก็ใช้กำลังพาเธอขึ้นรถแล้วปิดประตูรถ
>
> บนรถมีผู้ชายสองคนนั่งมาในรถด้วย เมื่อรถวิ่งออกจากห้างภรรยาผมพยายาม
> ร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีเสียงและผู้ชายที่นั่งอยู่บนรถเอามือมาปิดปากเธอไว้
>
> พอรถวิ่งออกมาระยะหนึ่งผู้ชายที่เจอกันที่ Food Center
> เริ่มปลดเสื้อผ้าภรรยาผม
> เธอพยายามร้องขอความช่วยเหลือและต่อสู้แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรง
> ผู้ชายอีกสองคนที่นั่ง
> รออยู่บนรถก็ช่วยกันถอด
> สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปคงไม่ต้องบรรยายกันอีก
> โดยมีผู้หญิงเป็น
> คนเก็บภาพเป็นระยะๆ เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่ทราบ
> รู้สึกตัวอีกทีภรรยาผมถูกนำ
> มาทิ้งที่ห้องน้ำหญิงของปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งแถวสุขาภิบาล 2 ย่านบางกะปิ
>
> ผมไปรับเธอแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น
> เธอไม่พูดอะไรได้แต่ร้องไห้และไม่ไปทำงานอีกเลย
> นั่งซึมอยู่กับบ้าน
>
> สามวันต่อมาคุณแม่ของภรรยาโทรมาบอกว่ามีจดหมายลงทะเบียนส่งมาที่
> บ้านให้ไปรับผมก็ไปรับ แล้วเปิดออกดู
> มีภาพถ่ายพร้อมขอเงินสดสี่แสนบาทเป็นค่าฟิล์มและ
> ภาพถ่ายทั้งหมด
> ผมพูดไม่ออก ทุกความรู้สึกวิ่งพุ่งเข้ามาในใจ สับสน เสียใจ
> แค้นใจ
> เจ็บใจ
> ผมปรึกษาเรื่องนี้กับคุณพ่อและเพื่อนท่านที่เป็นนายตำรวจ
> มีความเห็นเหมือนกันว่าต้องแจ้งความกับตำรวจ
> เพราะเงินสี่แสนครอบครัวเราคงหามาให้ได้ยาก
> ผมกับภรรยาเป็นเพียงลูกจ้าง กินเงินเดือนเท่านั้น
> ในวันส่งเงินตามนัดหมายตำรวจกองปราบวางแผนอย่างดีและสามารถจับ
> พวกเดนสังคมได้สองคนได้ฟิล์มและภาพจำนวนหนึ่ง
> และตำรวจกำลังตามจับพวกที่เหลืออีกสามคน
> แต่ก็ไม่แน่ใจว่าภาพถ่ายยังคงมีเหลืออยู่อีกหรือเปล่า
> ซึ่งหลังจากพวกมันถูกจับผมก็ได้รับโทรศัพท์ขู่ว่าจะภาพลง internet สองครั้ง
>
> ทุกวันนี้ภรรยาผมไม่ได้ทำงานอีกแล้ว
> อยู่บ้านด้วยอาการซึมเศร้าและไม่ต้องการ
> พบปะกับใครเลย
> ส่วนผมก็ไม่กล้าออกไปไหนเช่นกันทำงานเสร็จก็กลับบ้าน
> ชีวิตความเป็นอยู่ มีแต่ความกลัว ระแวง คิดมาก เหมือนเป็นโรคประสาท
>
>
> ผมจึงอยากฝากบอกเรื่องราวของ
> ผมให้เป็นข้อมูลกับทุกคน
> ทุกวันนี้การหากินบนความทุกข์ร้อนของคนอื่นเป็นเรื่องธรรมดา
> ไปแล้วครับ ขอบุญกุศลในการให้ข้อมูลนี้ ทำให้ชีวิตครอบครัวผมดีขึ้นด้วยเถอะ
>
>
> อย่าลืมบอกต่อๆกันไปด้วยครับ
>
> พ. ศรีฯ
>
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #10 เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 15:38:00 »

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่างๆ

อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
 
1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ
อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
การตรวจโดยขูด นื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้
2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึก
ว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออนหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ >
มีปัญหา เกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติ
มักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ
และมักจะเกิดร่วมกับอาหาร ปวด ตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดู
จะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง
5. มะเร็ง ปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลาย
น้ำหนักลดอย่าง ฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วย
ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็ง ตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลือง
และเหลืองจัดจนเห็นได้ ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
8. มะเร็ง สมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียน
หรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ
 อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงาน
เช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัว
ที่มีอาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปาก
ที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำ
หรือ เป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ   อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก
หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืด
หรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ
แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวม
หรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้
บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คน
จะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า
ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกัน แน่
13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมาก
และระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
**** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิช ชูซับ
แล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น
คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง
อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ
หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่ง
ที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma ) คือ เนื้อ งอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่
 เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
ตุ๋ย 22
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2522
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 20,173

« ตอบ #11 เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 18:58:01 »

ที่เรารับฟอเวอร์ดเมลล์มีแต่ไร้สาระ
      บันทึกการเข้า

น้ำใจน้องพี่สีชมพู ไม่เสื่อมคลายหายไปจากหัวใจ
kdecha
Full Member
**


ผู้ชายที่ไม่เหลือหัวใจไว้ให้ผู้หญิงคนไหนแล้ว เหลือ
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 856

« ตอบ #12 เมื่อ: 09 เมษายน 2552, 12:55:21 »

โห น้องเจตน์ fw ให้ผมเจ๋งกว่านี้อีก
แต่ว่าผมไม่กล้า post อ่ะครับ
เกรงใจ admin



อย่าลืมส่งอีกนะเจตน์
      บันทึกการเข้า
เจตน์
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ใครๆเรียกผมว่า "กุ๊ปปิ๊"
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2534
คณะ: ครุฯ พลศึกษา
กระทู้: 6,520

« ตอบ #13 เมื่อ: 09 เมษายน 2552, 14:50:10 »

รับทราบ ครับผม
      บันทึกการเข้า

ชีวิตผมเป็นดั่งวงกลม จึงได้แต่ดอมดมความสุขจากคนอื่นๆ
เจษฎา
Cmadong พันธุ์แท้
****


the more you get ,the less you feel
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,682

« ตอบ #14 เมื่อ: 09 เมษายน 2552, 15:05:54 »

ฮี่ๆๆ
      บันทึกการเข้า

ไม่หล่อ แต่ไม่ค่อยว่าง
kdecha
Full Member
**


ผู้ชายที่ไม่เหลือหัวใจไว้ให้ผู้หญิงคนไหนแล้ว เหลือ
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 856

« ตอบ #15 เมื่อ: 09 เมษายน 2552, 16:49:56 »

hero member
นี่เสียค่าเมมเบอร์เท่าไรครับ
      บันทึกการเข้า
ตุ๋ย 22
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2522
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 20,173

« ตอบ #16 เมื่อ: 09 เมษายน 2552, 19:46:23 »

ชอบเกร็ดความรู้ของในหลวงจัง
      บันทึกการเข้า

น้ำใจน้องพี่สีชมพู ไม่เสื่อมคลายหายไปจากหัวใจ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #17 เมื่อ: 18 เมษายน 2552, 15:48:47 »

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่างๆ

อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
 
1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวด
และมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด นื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าว
ไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้
2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อ
หรือมีอาการบวมในช่องท้อง
3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออนหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์
มีปัญหา เกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว
หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหาร ปวด ตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย
บางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง
5. มะเร็ง ปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ
เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็ง ตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
8. มะเร็ง สมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น
ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหัน
อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษ
หากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา
หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือ เป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ   อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก
หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อย
รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้น
มีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวัง
เพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุ
ของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกัน แน่
13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ
มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
**** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิช ชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสด
นั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อ
ในบางส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ
หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma )
คือ เนื้อ งอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกาย
หรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #18 เมื่อ: 18 เมษายน 2552, 16:02:18 »

สิ่งที่เรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้ของ 'โน้ส' อุดม แต้พานิช

         
         ในโลกใบนี้มีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมากมาย แต่บางครั้งเราก็มองข้ามเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเราไป วันนี้
'นมอุโด้ส' จะมาบอกถึง   สิ่งที่เรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้ รับรอง สุหนัดแน่ๆ!!
 


          1. มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี


          2. เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์ เสียงมันมักจะหยุด เราจะช้าไป 1 จังหวะเสมอ


          3. ถ้าแอบรักใคร อย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า


          4. เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักที ให้พูดว่าไม่เอา จะได้เร็ว



          5. ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่าจะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที



          6. ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้าน ไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย



          7. ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่มไม้, ซอกตึก อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ



          8. ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ



          9. ระวังคนที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ

       
        10. อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง 

 
        11. หนังสือดี คือหนังสือที่เราชอบอ่าน,  หนังดีคือ หนังที่เราชอบดู


        12. อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ ว่าอย่าบอกใครนะ


        13. อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก

     
        14. เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ

     
        15. อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ

     
       16. รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป

     
       17. ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้ ยังไงเพื่อนต้องมี

   
       18. ตลาด อ.ต.ก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา

     
          19. เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน
 
          20. ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป

          21. คนไม่กินเนื้อ ไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีเสมอไป

          22. เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีนออกจากปาก ให้หลับตาด้วย

          23. ปูอัด มันทำจากปลา

          24. กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า

          25. อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ

          26. ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2 ผอมลงนะ
ไม่มีใครเข้ามาทักว่าปกติดีนี่ไปทำอะไรมา

          27. คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะบ้านเค้าไม่มีตู้ เค้าไม่ได้ลืม
เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร

          28. คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกันหลายๆ ตัว เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา

          29. คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ

          30. ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน 

          31. จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา

          32. เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดู หน้าที่ตัวเองพูดถึงมักจะหาไม่เจอ

          33. ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก

          34. ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต, ห้องน้ำผู้ชาย ผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน

          35. เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ

          36. ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก

          37. ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่เพื่อนฉัน' หมายความว่า 'แฟนฉัน'

          38. ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่แฟนฉัน' หมายความว่า 'ผัว/เมียฉัน

 
 

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #19 เมื่อ: 18 เมษายน 2552, 17:07:29 »

ถ้าใครมี FW.MAIL ดีๆมีสาระที่น่าสนใจ  อย่าเก็บเอาไว้เฉยๆ
ช่วยเอาเรื่องมาลงให้ชาวซีมะโด่งได้อ่านกันมากๆนะคะ
 ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
paitoonx
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 586

« ตอบ #20 เมื่อ: 18 เมษายน 2552, 18:28:17 »

ข้าพเจ้าขอสงบปากสงบคำไว้สักหนึ่งกระทู้ก็แล้วกัน
      บันทึกการเข้า

$$ พรุ่งนี้จะเป็นคนดี ฿฿฿
ตุ๋ย 22
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2522
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 20,173

« ตอบ #21 เมื่อ: 18 เมษายน 2552, 20:20:46 »

ชอบจังโพสต์มาอีก
      บันทึกการเข้า

น้ำใจน้องพี่สีชมพู ไม่เสื่อมคลายหายไปจากหัวใจ
ตุ๋ย 22
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2522
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 20,173

« ตอบ #22 เมื่อ: 19 เมษายน 2552, 20:31:54 »

ช่วงสมัยการอพยพของคนจีนสู่โพ้นทะเล  ก็มีคนจีนเข้ามาอยู่เมืองไทยไม่น้อยหน้าที่อื่น  ก็มีตาแป๊ะคนหนึ่งอพยพ
มาจากเมืองจีนด้วยเสื่อผืนหมอนใบ  ด้วยความขยันก้สร้างฐานะมั่นคงด้วยการเปิดร้านทอง  แล้วมีเมียคนไทยแสนน่ารัก
หนึ่งคน  จนได้ลูกได้เต้าเป้นลูกชายโทน  แสนถูกใจอาเตี่ยมาก
ปกติแล้วคนจีนมีนิสัยไม่ดีอันหนึ่งคือชอบขากเสลด  ขากถุยไม่เป้นที่เป็นทาง  ตอนเด้กอาศัยอยู่กับอาแป๊ะ  แกก็มีนิสัยแบบนี้
แต่แกขากถุยใส่กระโถน  เสลดเขียวๆ เหลืองๆ  เหนียว  บางวันครึ่งกระโถนที่เราต้องเอาไปเททิ้งแล้วล้างกระโถน
เสลดมันชอบติดมือเหนียวตอนล้าง   นึกแล้วสยอง
กลับ มาพูดถึงตาแป๊ะอีกครั้งหนึ่งแกรักลูกชายส่งเสียให้ร่ำเรียนจนจบวิศวะ จุฬา  ลุกชายแกเรียนเก่ง  เลยคิดไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ  แต่เผอิญเมียแก่มาตายทิ้งตาแป๊ะไว้คนเดียว  ลูกชายเรียนจบที่อังกฤษแล้วไม่อยากกลับเมืองไทย
เลยชวนอาเตี่ย ทั้งอ้อนวอน ทั้งกล่อมจนอาเตี่ยยอมขายร้านทองแล้วไปอยู่อังกฤษ  พอถึงอังกฤษลูกชายก้พาอาเตี่ยเที่ยวอังกฤษตามสถานที่สำคัญ เช่นบิกเบล สะพานข้ามแม่น้ำเทมส์  จนอาเตี่ยแกพอใจ  ลูกชายเลยพาอาเตี่ยไปเที่ยวดูโอเปร่า
แล้วบอกอาเตี่ยว่ามันเหมือนกับงิ้ว ที่อาเตี่ยเคยดู  อาเตี่ยก้ถุกใจ  ยอมเข้าไปดู  ก่อนเข้าไปลูกชายก็ซื้อโค้กแก้วหนึ่งดุดน้ำแล้วเทน้ำแข็งทิ้ง  ยื่นให้อาเตี่ยถิอ  เพราะรู้ว่าอาเตี่ยแกชอบขากถุย  แล้วเข้าไปดูโอเปร่า  นั่งไปนั่งมาอาเตี่ยแกดุไม่รู้เรื่อง  มันไม่เหมือนงิ้วที่ลูกชายเคยบอกไว้เลย  แกก็เลยเซ็งหนักยิ่งเซ็งยิ่งอยากขากถุยเต็มที    แกขากจนเต็มแก้ว  ขยับตัวนิดเสลดเหลืองๆ  เขียว ๆ มันกระฉอกรดง่ามมือ  เหนียวๆ น่าแขยง  แต่โอเปร่าไม่ยอมจบสักที   แกอยากขากถุยต่อมันก้เต็มแก้ว  จะเทลงพื้นพื้นก้เป็นพรม  แล้วจะไหลไปใส่คนอื่น  รู้ไหมแกทำอย่างไร      แกยกเสลดเขียว เหลืองในแก้ว ดื่มอักๆๆๆๆๆ  แล้วขากถุยต่อเฉยเลย
      บันทึกการเข้า

น้ำใจน้องพี่สีชมพู ไม่เสื่อมคลายหายไปจากหัวใจ
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #23 เมื่อ: 19 เมษายน 2552, 20:55:57 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อยเค็ม เมื่อ 18 เมษายน 2552, 17:07:29
ถ้าใครมี FW.MAIL ดีๆมีสาระที่น่าสนใจ  อย่าเก็บเอาไว้เฉยๆ
ช่วยเอาเรื่องมาลงให้ชาวซีมะโด่งได้อ่านกันมากๆนะคะ
 ปิ๊งๆ

ของผมก็พอมีบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะไร้สาระ
เก็บไว้ไปลงที่กระทู้แนวฮาครับ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #24 เมื่อ: 25 เมษายน 2552, 11:22:23 »

* วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด *
 
ถ้าเรารู้สึกไม่ชอบหน้าใครสักคนหนึ่งแต่จำเป็นต้องอยู่ทำงานด้วยกันในที่ทำงานเดียวกันทุกๆ วัน ผมควรจะวางตัวอย่างไรดีครับ
มันอึดอัดไปหมด ไม่มีความสุขเลยตลอดเวลาที่อยู่ในสำนักงานร่วมกันคนคนนี้
==========================
วิสัชนา โดย ว.วชิรเมธี

รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี
ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า

ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆตื่นๆอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง
หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้! อง
ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว)

คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง
คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน
ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า

'' น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง       ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
 ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน         จะกำนัลโลกนี้มีงานใด ''

คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเห! นื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง
แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า
ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ

นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า
เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง
คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง
ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้

เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า

บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น
เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย
วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย

ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า

คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก
เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม
อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง
คว! ามโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย !
มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า '' การกลับมาอยู่กับตัวเอง ''
กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก
แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา '' มองด้านใ! น ''
แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น
เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห
ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด
สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ
การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่กับเราทุกขณะ
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
เจตน์
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ใครๆเรียกผมว่า "กุ๊ปปิ๊"
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2534
คณะ: ครุฯ พลศึกษา
กระทู้: 6,520

« ตอบ #25 เมื่อ: 25 เมษายน 2552, 14:11:35 »

ขอแจมด้วยคนนะครับ

Subject: สุดยอดนักกีฬาหัวใจนักสู้อย่างแท้จริง

Mikael Ekvall  หนุ่มน้อยวัย 19 ปีชาวสวีเดนฝึกซ้อมวิ่งเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อลงแข่งรายการมาราธอน  แต่โชคร้ายเมื่อเช้าวันแข่งเขาตื่นมาพร้อมกับอาการปวดท้องอย่างแรง (อาการท้องเสีย)  เขาจะทำอย่างไรเพราะฝึกมาหลายเดือนจะสละสิทธิ์ไม่ลงแข่งก็เสียดายอุตส่าห์ซ้อมมา  เขาจึงตัดสินใจลงแข่งขัน

แต่ยิ่งโชคร้ายหนักเมื่ออาการท้องเสียไม่สามารถควบคุมได้  อาการกำเริบขณะวิ่งอยู่แต่ก็ไม่ได้ทำให้มิคาเอลหยุดวิ่งแต่อย่างใด เขาวิ่งจนเข้าเส้นชัยไปในที่สุด ท่ามกลางสายตาจากผู้ชมที่มองด้วยความขบขัน/ชื่นชม/แปลกใจ ระคนกันไป


ต้องอย่าลืมว่าอาการท้องเสียที่ว่าย่อมต้องทำให้เขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอย่างมาก  แต่ก็ยังใจสู้วิ่งจนเข้าเส้นชัย




      บันทึกการเข้า

ชีวิตผมเป็นดั่งวงกลม จึงได้แต่ดอมดมความสุขจากคนอื่นๆ
เจตน์
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ใครๆเรียกผมว่า "กุ๊ปปิ๊"
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2534
คณะ: ครุฯ พลศึกษา
กระทู้: 6,520

« ตอบ #26 เมื่อ: 25 เมษายน 2552, 14:18:51 »

      บันทึกการเข้า

ชีวิตผมเป็นดั่งวงกลม จึงได้แต่ดอมดมความสุขจากคนอื่นๆ
paitoonx
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 586

« ตอบ #27 เมื่อ: 25 เมษายน 2552, 22:10:41 »

ขออนุญาติทำความดีแก่เวปบอร์ดสักครั้งคงไม่ว่ากันนะครับ

เคล็ดลับ ในมือถือ
ถ้าพูดถึง มือถือ เชื่อว่าทุกคนต้องมีกันแน่ ๆ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ถึงเคล็ดลับในมือถือ

****ใช้ในกรณีที่ลืมกุญแจไว้ในรถ – สำหรับรถที่ใช้ Remote Key****
ถ้ารถล็อคไปแล้ว แต่ดันมีกุญแจสำรองอยู่ที่บ้าน  ให้โทรไปหาคนที่อยู่ที่บ้านด้วยมือถือ (ต้องโทรไปหาเบอร์มือถือของเขาด้วย) เมื่อเขารับแล้วให้บอกเขา ให้กดปุ่ม unlock บนกุญแจสำรอง แต่ในขณะนั้นควรนำมือถือให้ห่างจากประตูรถประมาณ 1 ฟุต (ส่วนคนที่อยู่บ้านต้องนำกุญแจมาจ่อใกล้กับมือถือของเขาในขณะที่กดปุ่มด้วย) ประตูรถก็จะเปิดออกเหมือนกดปุ่มรีโมท ส่วนเรื่องระยะทางไม่มีปัญหา แม้รถกับบ้านจะอยู่ห่างกันเป็นร้อย ๆ กม. ก็ตาม
อันนี้ หมอก๊อด แอ๊ปพู๊บ นะคร๊าบ งงมากครับ สงสัยต้องอธิบายด้วยไสยศาสตร์

หมายเลขสากลฉุกเฉิน 112 ใช้ได้ทั่วโลก
ถ้าเกิดหลงไปอยู่ในเขตที่ไม่มีสัญญาณ และเกิดมีเหตุด่วนเหตุร้ายให้ กด 112 แล้วมันจะหาเบอร์ให้อัตโนมัติแม้แต่ล็อคปุ่มก็ยังกดเบอร์นี้ได้
อันนี้ หมอก๊อด งงครับ ไม่แน่ใจว่ามันจะหาเจอ เพราะไม่มีสัญญาณ

กรณีแบตใกล้จะหมด กด *3370# สำหรับมือถือ Nokia 

          ถ้าเกิดแบตเหลือน้อยเต็มทีจนใกล้ดับ แต่จำเป็นต้องโทรออกให้กด *3370# มันจะรีดพลังสำรองที่ซ่อนออกมา แล้วแสดงให้เห็นว่า เพิ่มพลังแบตให้ขึ้นมาอีก 50% และมันจะชดเชยส่วนสำรองนี้ในการชาร์จแบตครั้งต่อไป
อันนี้ แสดงว่ามีกั๊ก

ถ้าโทรศัพท์หายต้องการทำให้ใช้ไม่ได้ตลอดไป 

          ในกรณีนี้ต้องใช้ หมายเลข serial number ประจำเครื่อง ซึ่งมี 15-17 หน่วย การที่จะทราบหมายเลขนี้ก็ไม่ยาก กด *#06# แล้วหมายเลขประจำเครื่องก็จะขึ้นมาให้เห็นทันทีเหมือนเล่นกล จดไว้แล้วเก็บไว้ให้ดี...
           ที่นี้ถ้ามือถือหายหรือตกหล่นให้โทรไปที่ศูนย์แล้วแจ้งหมายเลขให้เขาไปเขาก็จะบล็อกเครื่องของเราให้ แล้วทีนี้มือถือที่หายไปจะใช้ไม่ได้อีกเลย ถึงแม้ว่าคนขโมยไปจะเปลี่ยน sim card มันก็จะยังใช้ไม่ได้อยู่ดี
อันนี้ หมอก๊อด ไม่เชื่อครับ ไม่น่าเกินฝีมือคนไทย

เห็นเขาชอบเรียกกันว่า หมอ เลยขอเป็นหมอสักวัน นะครับ
      บันทึกการเข้า

$$ พรุ่งนี้จะเป็นคนดี ฿฿฿
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #28 เมื่อ: 26 เมษายน 2552, 12:36:09 »

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #29 เมื่อ: 26 เมษายน 2552, 12:38:17 »

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #30 เมื่อ: 26 เมษายน 2552, 12:39:16 »

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #31 เมื่อ: 26 เมษายน 2552, 12:40:11 »

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #32 เมื่อ: 26 เมษายน 2552, 12:42:16 »

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #33 เมื่อ: 26 เมษายน 2552, 12:43:10 »

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #34 เมื่อ: 26 เมษายน 2552, 12:44:05 »

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #35 เมื่อ: 26 เมษายน 2552, 12:45:16 »

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #36 เมื่อ: 26 เมษายน 2552, 12:46:42 »

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #37 เมื่อ: 26 เมษายน 2552, 12:47:35 »

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #38 เมื่อ: 26 เมษายน 2552, 12:48:23 »

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #39 เมื่อ: 26 เมษายน 2552, 12:53:52 »

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #40 เมื่อ: 26 เมษายน 2552, 12:56:34 »

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #41 เมื่อ: 26 เมษายน 2552, 12:57:36 »

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
ตุ๋ย 22
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2522
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 20,173

« ตอบ #42 เมื่อ: 26 เมษายน 2552, 20:22:15 »

เรื่องดีแบบนี้อ่านแล้วสบายใจจัง
      บันทึกการเข้า

น้ำใจน้องพี่สีชมพู ไม่เสื่อมคลายหายไปจากหัวใจ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #43 เมื่อ: 02 พฤษภาคม 2552, 23:57:02 »

ชีวิตคุณแย่อย่างนี้ไหม























      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
เจตน์
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ใครๆเรียกผมว่า "กุ๊ปปิ๊"
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2534
คณะ: ครุฯ พลศึกษา
กระทู้: 6,520

« ตอบ #44 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2552, 21:05:35 »

มาดูภาพสวยๆ น่ารักๆ จาก FW Mail กันบ้างครับ  บ่ฮู้บ่หัน



      บันทึกการเข้า

ชีวิตผมเป็นดั่งวงกลม จึงได้แต่ดอมดมความสุขจากคนอื่นๆ
เจตน์
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ใครๆเรียกผมว่า "กุ๊ปปิ๊"
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2534
คณะ: ครุฯ พลศึกษา
กระทู้: 6,520

« ตอบ #45 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2552, 21:10:29 »


      บันทึกการเข้า

ชีวิตผมเป็นดั่งวงกลม จึงได้แต่ดอมดมความสุขจากคนอื่นๆ
เจตน์
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ใครๆเรียกผมว่า "กุ๊ปปิ๊"
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2534
คณะ: ครุฯ พลศึกษา
กระทู้: 6,520

« ตอบ #46 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2552, 21:13:07 »


      บันทึกการเข้า

ชีวิตผมเป็นดั่งวงกลม จึงได้แต่ดอมดมความสุขจากคนอื่นๆ
เจตน์
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ใครๆเรียกผมว่า "กุ๊ปปิ๊"
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2534
คณะ: ครุฯ พลศึกษา
กระทู้: 6,520

« ตอบ #47 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2552, 21:15:28 »




      บันทึกการเข้า

ชีวิตผมเป็นดั่งวงกลม จึงได้แต่ดอมดมความสุขจากคนอื่นๆ
เจตน์
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ใครๆเรียกผมว่า "กุ๊ปปิ๊"
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2534
คณะ: ครุฯ พลศึกษา
กระทู้: 6,520

« ตอบ #48 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2552, 21:31:36 »



      บันทึกการเข้า

ชีวิตผมเป็นดั่งวงกลม จึงได้แต่ดอมดมความสุขจากคนอื่นๆ
เจตน์
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ใครๆเรียกผมว่า "กุ๊ปปิ๊"
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2534
คณะ: ครุฯ พลศึกษา
กระทู้: 6,520

« ตอบ #49 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2552, 21:34:45 »



      บันทึกการเข้า

ชีวิตผมเป็นดั่งวงกลม จึงได้แต่ดอมดมความสุขจากคนอื่นๆ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #50 เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2552, 21:46:09 »

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ........
มีครูกับลูกศิษย์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งใกล้กับสนามหญ้าอันกว้างใหญ่
ทันใดนั้น ลูกศิษย์คนหนึ่งก้อถามขึ้นมาว่า

ลูกศิษย์ : อาจารย์คับ ผมสงสัยจังเลยว่า
เราจะหาคู่แท้ของเราเจอได้ไงคับอาจารย์
บอกผมหน่อยได้ไหมคับ ?

อาจารย์ : ( เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะตอบ )
อืม มันเป็นคำถามที่ยากนะ
แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นคำถามที่ง่ายเหมือนกันนะ

ลูกศิษย์ Sad นั่งคิดอย่างหนัก )
อืม ?.... งงอะไม่เข้าใจ

อาจารย์ : โอเค งั้น
เธอลองมองไปทางนั้นนะ ตรงนั้นน่ะ
มีหญ้าเยอะแยะเลยใช่ไหม
เธอลองเดินไปหาหญ้าต้นที่สวยที่สุด
แล้วเด็ดมาให้ครูสิ ต้นเดียวเท่านั้นนะ
แต่ว่าเวลาเธอเดินเนี่ยเธอต้องเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวนะ
ห้ามเดินถอยหลัง เข้าใจไหม

ลูกศิษย์ : ได้เลยครับ จาน รอสักครูน่ะครับ
( ว่าแล้วก้อวิ่งตรงไปยังสนามหญ้า )
หลังจากนั้นไม่นาน ....

ลูกศิษย์ : ผมกลับมาแล้วครับจาน

อาจารย์ : อืม ... แต่ทำไมครูไม่เห็นต้นหญ้าสวย ๆ
ในมือเธอเลยหละ

ลูกศิษย์ : อ๋อ คืองี้ครับจาน
ตอนที่ผมเดินไปแล้วผมเจอต้นหญ้าสวยๆเนี่ย
ผมก้อก้อคิดว่า เออ เดี๋ยวก้อคงเจอต้นที่สวยกว่านี้
ดังนั้นผมก็เลยไม่เด็ดมัน แล้วผมก็เดินไปเรื่อย
รู้ตัวอีกที
มันก็สุดสนามหญ้าแล้วครับจะเดินกลับก้อไม่ได้
เพราะจานสั่งห้ามไว้

อาจารย์ : นั่นแหละ
คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงหละ
เรื่องนี้ต้องการที่จะสื่ออะไรกับเรา

ต้นหญ้า ก็คือ คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณ

ต้นหญ้าที่สวยงาม ก็คือคนที่คุณชอบ
หรือคนที่ดึงดูดคุณนั่นแหละ

ทุ่งหญ้าก็คือ เวลา เวลาที่คุณจะหาคู่แท้ของคุณ

อย่ามัวแต่เปรียบเทียบ
แล้วคิดว่าคงจะมีที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าคุณ มัวแต่เปรียบเทียบ
คุณจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

อย่าลืมว่า ' เวลาไม่เคยย้อนกลับ ' 

ไม่ใช่แค่ความรักเท่านั้น
เรื่องนี้ ยังสามารถใช้ได้กับการหาคนที่จะมาทำงานร่วมกับคุณในชีวิต
หรือแม้กระ ทั่งงานที่เหมาะสมกับคุณ

ดังนั้น มันจึงเป็นสัจธรรมที่ว่า
จงรัก และไขว่คว้าโอกาสที่คุณมีในขณะนี้
อย่ามัวแต่เสียเวลา
บางครั้งคนเราก็มีโอกาสเลือกแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ' 
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #51 เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2552, 21:57:03 »

















      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #52 เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2552, 22:01:36 »









      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
เจตน์
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ใครๆเรียกผมว่า "กุ๊ปปิ๊"
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2534
คณะ: ครุฯ พลศึกษา
กระทู้: 6,520

« ตอบ #53 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2552, 19:26:46 »

สำหรับหลายคนที่กำลังท้อแท้ หมดหวัง โปรดดูเจ้าเด็กน้อยคนนี้ครับ




เด็กชายตัวน้อยชื่อ Cody  Mccosland เด็กชาวอังกฤษ ผู้มีขาหลายคู่ เขาบ้าเล่นกีฬา แต่ก็เกิดมาโดยไม่มีกระดูกหัวเข่า ทำให้ต้องตัดขาท่อนล่างทิ้งตั้งแต่อายุ 15 เดือนวัยที่คนอื่นเดินเตาะแตะ แต่เขาเดินไม่ได้ แต่สองเดือนต่อมา เขาก็เริ่มหัดใช้ขาเทียมคู่แรก



  ตอนนี้ Cody อายุ 7 ชวบแล้ว ในภาพล่างเขาเล่นสกีน้ำ แต่อันที่จริง เขาเล่นทั้งว่ายน้ำ ปี่นจักรยาน ตีกอล์ฟ   เล่นคาราเต้ เบสบอลล์ และฮอคกี้น้ำแข็ง



ภาพล่างเขาขี่จักรยานสามล้อ พร้อมรอยยิ้มมีความสุขที่มีให้เห็นเสมอ



ตามมาด้วยเขาขี่ม้า พ่อกะแม่ตั้งความหวังจะพาเขาดูโอลิมปิกที่กรุงลอนดอนเป็นเจ้าภาพใน ปี 2012 ด้วย


 
ภาพเขาวิ่งด้วยขาคู่ที่ดูแปลกแต่น่าจะช่วยให้วิ่งได้เร็วนิ สมกับสมญานาม The Boy With The Magic Legs จริงๆ



ขาเทียมของเขาได้รับบริจาคจากศูนย์ขาเทียม โรงพยาบาลเด็ก   Texas Scottish Rite Hospital  แต่เขาโตเร็วต้องเปลี่ยนขาอยู่เป็นประจำ



Cody กับครอบครัวและเพื่อนๆจึงเข้าร่วมงานการกุศลหาเงินช่วยโรงพยาบาล ได้เงินบริจาคมา มากกว่า 6 หมื่นปอนด์แล้ว



Cody ไม่ยอมให้มีอะไรเป็นอุปสรรคต่อชีวิตของเขา เราจึงได้เห็นภาพเขาเล่นฮอคกี้น้ำแข็งในภาพล่าง เท่ห์ชมัด



กว่าจะมาเป็นเด็กชายสุขภาพดีหน้าเปื้อนยิ้มในวันนี้ Cody ผ่านอะไรๆมาเยอะ รวมทั้งช่วงหนึ่งของชีวิต ที่เขาต้องผ่าตัดหลายต่อหลายครั้ง จากปัญหาระบบภายในร่างกาย รวมทั้งต้องบำบัดอาการหายใจติดขัดและหอบหืด



ใครที่กำลังท้อถอย ทั้งที่มีมือมีเท้าครบ   ดู Cody หนุ่มน้อยมหัศจรรย์หน้าเปื้อนยิ้มนะจ๊ะ

      บันทึกการเข้า

ชีวิตผมเป็นดั่งวงกลม จึงได้แต่ดอมดมความสุขจากคนอื่นๆ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #54 เมื่อ: 31 พฤษภาคม 2552, 22:54:29 »

*** วันจันทร์ถึงศุกร์ ประมาณ 15.30 - 18.00 น. ใครพอมีเวลา (กี่ชั่วโมงก็ได้)
และอยากใช้เวลาให้เป็นประโยชน์บ้างคะ มีน้องๆ นักเรียนตาบอด ระดับ ม. 1 - ม. 6
รอให้พี่ๆไปสอนการบ้านให้ น้องๆน่ารักทุกคนค่ะ

** สอนที่ ' โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ' อยู่ตรงสี่แยกราชวิถี ใกล้รพ.รามา+บ้าน เด็กอ่อนพญาไท+บ้านราชวิถี รถเมล์


สายที่ผ่านด้านหน้า สาย 8 , 12 , 14 , 18 , 28 , 92 , 97 , 108 ฯลฯ ปอ . 9 , 10, 515 , 522 ถ้าสามารถขึ้นรถไฟฟ้าจะสะดวกมาก ลงสถานีอนุสาวรีย์ชัยฯ แล้วต่อรถหน้ารพ.ราชวิถี ได้เลย


      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #55 เมื่อ: 31 พฤษภาคม 2552, 22:57:42 »

  ในวันแรกที่พระเจ้าสร้างโลก พระเจ้าได้สร้างวัวขึ้นคู่หนึ่ง และบอกกับวัวว่า   
 
        ' วันนี้เราได้สร้างเจ้าขึ้นในฐานะของวัว เพื่อทำงานหนักกลางทุ่งนา ท่ามกลางแสงแดดจ้าทั้งวัน แล้วเราจะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาว 50 ปี'   
 
         วัวย้อนกลับว่า ' ชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้ จะให้มีอายุยาวถึง 50 ปี น่ะหรือ ? ฮึ! เมินเสียเถอะ ขอแค่มีอายุเพียง 20 ปี ก็พอแล้วล่ะ เอาคืนไปเลย 30 ปี ถ้าได้ก็โอเค'   
 
         และพระเจ้าตอบตกลง   
 
         วันต่อมาพระเจ้าสร้างสุนัขขึ้น และบอกกับมันว่า 'เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะของสุนัข หน้าที่ของเจ้าคือ   นั่งอยู่ที่ประตูบ้านและเห่าเมื่อมีคนเข้ามา แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืนถึง 20 ปี'   
 
         สุนัขได้ฟังก็พูดขึ้นว่า 'นั่งเฝ้าหน้าประตูบ้าน 20 ปี! ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่ออะไรเช่นนี้ ขอคืนชีวิต 10   ปี ก็แล้วกัน'

         พระเจ้าตอบตกลง   
 
         วันต่อมาพระเจ้าสร้างลิงขึ้น และบอกกับลิงว่า 'เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะของลิง หน้าที่ของเจ้าคือ สร้างความสนุกสนาน และใช้เล่ห์เหลี่ยมของลิงหลอกล่อคนให้หัวเราะ   แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืน 20 ปี'

         ลิงได้ฟังจึงตอบว่า ' อะไรนะ..ทำให้คนหัวเราะ ทำหน้าลิงและเล่ห์กลต่างๆ   ตั้ง 20 ปี น่ะเหรอ ? ไม่เอาด้วยหรอก ขอคืนชีวิตไป 10 ปี เหลือแค่ 10 ปี ก็แล้วกัน'   
 
         พระเจ้าตอบตกลง   
 
         วันต่อมาพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้น และบอกว่า 'เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะที่เป็นมนุษย์ หน้าที่ของเจ้าคือ กิน นอน เที่ยว   เล่นสนุกสนาน โดยไม่ต้องทำงานใดๆ เราจะให้เจ้ามีชีวิต 20 ปี'

         มนุษย์ได้ฟังก็ต่อรองว่า  ' ชีวิตที่สบายเช่นนี้ แล้วท่านจะให้เรามีชีวิตแค่ 20 ปี น่ะเหรอ เอาอย่างนี้ดีกว่าเราขอชีวิตที่วัวคืนชีวิตให้ท่าน 30 ปี สุนัข 10 ปี   และลิง 10 ปี มาเป็นของเรา เพื่อให้เรามีอายุยืนถึง 70 ปี ตกลงไหม ?'   
 
         พระเจ้าตอบตกลง   
 
         นั่นเป็นเหตุผลว่า...

           ทำไมชีวิตของเราในช่วง 20 ปีแรก จึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน กิน นอน เล่น และไม่ต้องทำอะไรมากมาย   
         30 ปีต่อมา ต้องทำงานหนักทั้งวัน เพื่อสร้างครอบครัว   
         10 ปีต่อมา เกษียณอยู่ที่บ้าน เฝ้าหน้าบ้าน และตะคอกคนที่ผ่านไปมา   
         10 ปีต่อมา เป็นปู่/ย่า ตา/ยาย ที่ต้องทำหน้าลิง และเล่ห์กลต่างๆ เพื่อหลอกล่อหลาน!
 
         อ่านจบแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเป็นวัวกันต่อไปนะพี่น้อง อย่าอู้!!!! อิอิ
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #56 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2552, 18:19:54 »

ข้อความต่อไปนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งที่จะรู้จักวิธีการหลอกลวงฉ้อฉล
ด้วยการแอบอ้างว่าโทรมาจาก Visa หรือ Master Cards
เพื่อให้คุณได้ระมัดระวังตนเองไม่ตกเป็นเหยื่อวิธีการฉ้อฉลดังกล่าว

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ภรรยาผมได้รับโทรศัพท์จาก Visa
และผมก็ได้รับโทรศัพท์จาก Master Card ในวันพฤหัสบดีต่อมา
คนที่โทรมาพูดว่า "ดิฉัน...(ชื่อ) โทรจากฝ่ายรักษาความปลอดภัยของ Visa ค่ะ
คือเราตรวจพบว่ามีความผิดปกติในการสั่งซื้อ
จึงโทรมาตรวจสอบว่าบัตร Visa ของคุณ ที่ออกโดยธนาคาร...(ชื่อ)
มีการสั่งซื้ออุปกรณ์ระบบป้องกันภัยมูลค่า 20,000 บาท จากบริษัทในอเมริกาหรือเปล่าคะ"

เมื่อคุณบอกว่า "เปล่านี่คะ" คนที่โทรมาก็จะบอกว่า
" ถ้าอย่างงั้นเราจะคืนเงินให้คุณกลับคืน เรากำลังตรวจสอบบริษัทฉ้อฉล
โดยมีวงเงินที่ฉ้อฉลโกงลูกค้า ครั้งละ 12,000-20,000 บาท
เราจะส่งหนังสือแจ้งการคืนเงินให้คุณทราบที่...(ที่อยู่ของคุณ) ถูกต้องมั๊ยคะ"

เมื่อคุณบอกว่า " ถูกต้องคะ" คนที่โทรมาจะพูดต่อไปว่า
" ดิชั้นจะทำการสืบสวนต่อไป หากคุณมีข้อสงสัยให้โทรตามหมายเลขที่อยู่หลังบัตรแล้วต่อฝ่ายรักษาความ
ปลอดภัย
คุณต้องระบุหมายเลขอ้างอิงนี้ (คนที่โทรมาจะบอกหมายเลข 6 หลัก)
คุณต้องการให้ดิชั้นทวนหมายเลขมั๊ยคะ"

ต่อไปนี้จะเป็นส่วนสำคัญของกลโกง
คนที่โทรมาจะพูดว่า " เพื่อให้ทราบว่าคุณเป็นเจ้าของบัตรที่แท้จริงของบัตรเครดิตการ์ดใบนี้
กรุณาพลิกด้านหลังของบัตรและให้ดูที่หมายเลข 7 ตัวสุดท้าย
4 ตัวแรกจะเป็นหมายเลขบัตร 3 ตัวต่อมาจะเป็นเลขสำหรับรักษาความปลอดภัย
ว่าคุณคือเจ้าของที่แท้จริงและใช้ในการสั่งซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต
กรุณาบอกเลข 3 ตัวสุดท้ายด้วยคะ"

เมื่อคุณบอกเลข 3 ตัวสุดท้ายไป คนที่โทรมาจะบอ กว่า
" ตัวเลขถูกต้อง ดิชั้นต้องการให้แน่ใจว่าบัตรยังอยู่กับคุณ มิได้สูญหาย
หรือถูกขโมย คุณมีข้อสงสัยอื่นใดอีกหรือเปล่าคะ"

เมื่อคุณบอกว่า "ไม่มีคะ"
คนโทรมาจะขอบคุณและบอกว่าหากมีในภายหลังก็ให้โทรสอบถามได้เสมอ แล้ววางสาย

ความจริงคุณพูดไปน้อยมาก คนโทรมาไม่ได้ขอหมายเลขบัตรเครดิตของคุณ
แต่ภรรยาผมเกิดเอะใจ จึงโทรกลับไปทันทีหลังจากวางสายไป 20 นาที
และปรากฏว่า Visa ตัวจริงบอกว่าภรรยาผมถูกหลอกแล้ว
และเมื่อ 15 นาทีที่ผ่านมาได้มีรายการซื้อสินค้าจำนวน 20,000 บาท
ส่งมาเรียกเก็บ ในที่สุด Visa ได้ยกเลิกบัตรและออกบัตรใหม่ให้

ผู้ฉ้อฉลต้องการเลขเพียง 3 ตัวสุดท้ายด้านหลังบัตร
อย่าให้ไปเป็นอันขาด ให้คุณบอกว่าแล้วจะโทรกลับไปแจ้งเองโดยตรงจะดีกว่า

วันพฤหัสบดีต่อมา ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณ...(ชื่อ)
อ้างว่าโทรจาก Master Card ซึ่งมีข้อความเหมือนกับที่ภรรยาผมได้รับคำต่อคำเลย
ผมเลยไม่รอให้เขาพูดจบ
ผมรีบวางสาย แล้วไปแจ้งความที่สถานีตำรวจตามที่ Visa ให้คำแนะนำมา

ตำรวจบอกว่าได้รับแจ้งแบบเดียวกันนี้ วันหนึ่งหลายราย
จึงขอร้องให้ข่วยกันบอกต่อ ด้วย เราต้องระมัดระวังตนเอง ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #57 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2552, 18:24:51 »


รูปเจ้าน้อยสุขเกษม ณ เชียงใหม่


ตอนนั้นเชียงใหม่เป็นประเทศราชของสยาม             ทางเชียงใหม่ส่ง  เจ้าดารารัศมี    ซึ่งเป็นเจ้าอาของเจ้าน้อย
ไปอภิเษกกับ ร. 5                เป็นการผูกสัมพันธ์   ตอนนั้นเจ้าดารารัศมีอายุแค่ 13 เอง...โอ้! จอร์จ
นี่เรื่องจริงตามประวัติศาสตร์เลยนะ
เจ้าน้อยถูกส่งไปเรียนที่ รร.เซนต์แพทริก เป็น รร.แคธอลิกของฝรั่งที่พม่า โดยแอบส่งไป ขี่ช้างไป
เพราะตอนนั้นพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษซึ่งมีเรื่องกับไทยอยู่

เจ้าน้อยไปตอนอายุ 15 เพราะทางบ้านต้องการให้ได้ภาษาอังกฤษ    เพราะค้าขายกะพม่า เจ้าน้อยเรียนอยู่หลายปี วันหนึ่งไปเดินเล่นที่ตลาด
ได้พบมะเมี้ยะแม่ค้าสาวสวย  ซึ่งเพิ่งมาจากตองอู   เจ้าน้อยอายุ 19 มะเมี๊ยะอายุ 15 ก็ตัดสินใจแต่งงานกัน
จนอายุ 20 เรียนจบถูกเรียกกลับเชียงใหม่    เจ้าน้อยเลยเอาเมียกลับมาด้วย โดยให้ปลอมเป็น
เด็กรับใช้ชาย เอาเมียไปแอบในเรือนเล็ก   โดยไม่รู้เลยว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่ได้หมั้นเจ้าบัวนวลเอาไว้ให้
เจ้าน้อยไม่ยอมแต่งงาน    เลยเปิดเผยว่ามีเมียแล้วคือมะเมี้ยะ เอามะเมี้ยะมากราบเจ้าพ่อเจ้าแม่แต่ไม่ได้รับการยอมรับ

เรื่องนี้ไปถึงสยาม ร. 5 กะเจ้าดารารัศมีเห็นว่าไม่ควร     เลยส่งผู้สำเร็จราชการมาเจรจา บอกว่าเจ้าน้อยจะมีเมีย
กี่คนไม่ใช่ปัญหาแต่ต้องไม่ใช่สาวพม่า เพราะว่าคนพม่า ถือสัญชาติอังกฤษ เดี๋ยวอังกฤษจะถือโอกาสแทรกแซง ว่าแต่งกะพม่า ก็ต้องถือว่าเป็นพม่าด้วย   ไปอยู่กะเมียที่ พม่าก็ไม่ได้     ที่สำคัญเจ้าน้อย เป็นเจ้าชายของล้านนา    ถูกวางตัวไว้ให้เป็นรัชทายาทล้านนา เท่ากับว่าสยามอาจต้องเสียเชียงใหม่ให้อังกฤษ    ก็เลยบังคับส่งมะเมี้ยะกลับพม่า     เจ้าน้อยสัญญาว่าอีก 3 เดือนจะไปรับมะเมี้ยะกลับ
ทั้งคู่สาบานกันไว้ว่าจะไม่รักใครอื่น หากใครผิดคำสาบานขอให้อายุสั้น

ตอนที่จะส่งมะเมี้ยะกลับพม่านั้นตรงนี้เป็นส่วนของตำนานเลย
" ตอนนั้นมะเมี้ยะโพกผมไว้พอจะไปก็ก้มลงกราบเท้า   เจ้าน้อยที่ประตูเมือง ชาวบ้านออกมามุงกันทั้งเมืองเพราะได้ยินว่ามะเมี้ยะงามจ๊าดนัก
พอกราบเสร็จ ก็เอาผ้าโพกผมออก  แล้วสยายผมเอามาเช็ดเท้าเจ้าน้อย จงรักภักดีบูชาสามีสุดชีวิต
แล้วก็กอดขาร้องไห้ เจ้าน้อยเองก็ร้อง   ทำเอาคนที่มามุงร้องไห้  ไปทั้งเมืองด้วยความสงสารความรักของทั้งคู่ "
ต่อมาเจ้าน้อยโดนเรียกไปสยาม พอเข้าไปก็โดนจับแต่งงาน     เจ้าดาราฯ จัดเจ้าบัวชุม ซึ่งเป็นพระญาติ
และเป็นสาวที่สวยที่สุดในตำหนักเจ้าดารารัศมี ร่ำลือกันว่าเล่นดนตรีไทยเก่ง แต่ดูรูปแล้วถ้ามาสมัยนี้
ถือว่าหน้าตาธรรมดาอ่ะ ถ้าในสมัยที่ผู้หญิงไม่มีศัลยกรรมคงจัดว่าสวย แต่ที่นี่แน่ๆ มินิไซค์มากๆ สาวๆ สมัยนั้น

ด้วยเหตุนี้เจ้าน้อยก็เลยต้องแต่งแล้วถูกกักอยู่ที่นั่น ตอนนั้นเจ้าพ่อของเจ้าดาราฯ สิ้นพระชนม์
พระญาติทางสยาม ไม่อนุญาตให้เจ้าล้านนาพระองค์ใดในวังขึ้นไปประกอบพิธีปลงพระศพ
เป็นเรื่องการเมืองเตะถ่วงการแต่งตั้งเจ้าครองแคว้นคนใหม่เอาไว้ระยะหนึ่ง     เจ้าอาของเจ้าน้อยได้ขึ้นเป็น
เจ้าองค์ใหม่     เจ้าพ่อได้เป็นเจ้าราชบุตร(อุปราช)    เท่ากับว่าเจ้าน้อยเป็นรัชทายาทอันดับ 3
ถ้าสิ้นเจ้าสองพระองค์นี้เจ้าน้อยจะครองเชียงใหม่ ก็ยิ่งไม่มีทางได้รับมะเมี้ยะกลับมา

มะเมี้ยะรอเกิน 3 เดือนแล้วเจ้าน้อยไม่มาตามสัญญาเลยไปบวชชี เพื่อพิสูจน์รักแท้ว่าจะไม่มีคนใหม่

ต่อมา...เมื่อได้ยินว่าเจ้าน้อยกลับเชียงใหม่แล้วเลยมาดักที่คุ้ม  แต่เจ้าน้อยไม่ยอมออกมาพบ รอนานเท่าไรก็ ไม่ยอมออกมา
จริงๆ แล้วเจ้าน้อยแอบดูอยู่ข้างหน้าต่าง   ได้แต่ร้องไห้ไม่กล้าสู้หน้าที่ผิดสัญญา   ก็เลยฝากให้ท้าวบุญสูงพี่เลี้ยง
 เอาแหวนทับทิม กับเงินอีก 1 กำปั่น( 800 บาท) ไปให้แม่ชีมะเมี้ยะ
ทางด้านแม่ชีบอกว่าไม่มาขอรักคืน เพียงแต่มาถอนคำสาบานให้

เจ้าน้อยฝากมาบอกแม่ชีว่า เงินนี่ทำบุญตามแต่แม่ชีจะใช้สอย
เรียกว่าบริจาคในฐานะโยมอุปฐาก ส่วนแหวนให้แทนใจว่า   หัวใจอยู่กับมะเมี้ยะเสมอ
แม่ชีเสียใจมาก รับไปแต่แหวนไม่รับเงิน   
สมัยก่อน 800 คงเยอะมากว่ะ 100 ปีก่อนคง
8 แสนล่ะมั้ง เงินเดือนคนสมัยนั้น 4 บาทเอง

เจ้าน้อยหลังจากกันกับแม่ชีคราวนั้น.....ก็เอาแต่กินเหล้าไม่มีใจรักเจ้าบัวชุม
ในที่สุดก็ตรอมใจตายหลังจากแต่งงานได้ไม่กี่ปีในขณะที่อายุแค่ 30 ปีเท่านั้นเอง

ในบันทึกบอกว่าสิ้นพระชนม์ด้วยโรคพิษสุรา อีก 6 ปีต่อมาหลังจากพบแม่ชีมะเมี้ยครั้งสุดท้าย
ส่วนแม่ชีมะเมี้ยะ... บวชจนสิ้นอายุขัยเมื่อ 73 ปี

เศร้ามะ ? เรื่องนี้ไม่มีตัวอิจฉามีแต่คนหัวใจสลาย

ผู้บันทึกเรื่องนี้คือ เจ้าบัวนวล คู่หมั้นคนแรกที่ถอนหมั้นไปหลังจากรู้ว่าเจ้าน้อยมีมะเมี้ยะ...
ส่วนเจ้าบัวชุมไม่ผิดอะไรเลย แต่สามีไม่รักก็อยู่เป็นข้าบาทจาริกาจนอายุ 81 ปี

เจ้าบัวนวลว่า  ตลอดชีวิตเจ้าน้อยรักผู้หญิงคนเดียวจนสิ้นลม คือ มะเมี๊ยะหลังจากนั้นเรื่องของเจ้าน้อยกับมะเมี้ยะ
ก็ถูกสั่งห้ามพูดถึงไปหลายปีเพราะเป็นเรื่องทางการเมือง    ต้องปิดบัง      รายละเอียดเลยหายไป 
เหลือแต่ตำนาน  อุปสรรคความรักของเจ้าน้อยกับมะเมี้ยะ ไม่ใช่ฐานันดร ไม่ใช่เชื้อชาติ แต่เป็นการเมืองแท้ๆ

เศร้าเนอะ ความรักในตำนานมักจบลงด้วยความเศร้าสลด ทั้งที่รักเดียวทั้งสองฝ่าย น่าสงสารจริงๆ
เรื่องนี้มีแต่คนน่าสงสาร เจ้าบัวชุมเมียแต่งก็น่าสงสาร
ทางเจ้าดารารัศมี มีบันทึกไว้แค่ว่าทรงไม่คิดว่าเจ้าน้อย
จะปักใจมั่นกับมะเมี้ยะขนาดนี้ เจ้าดารารัศมีทรงคิดว่าหลายปีผ่านไป และได้ภรรยาที่ดีพร้อมก็คงลืม
ความรักครั้งแรกได้ แต่เจ้าน้อยไม่ลืมจนสิ้นชีวิต

เจ้าบัวนวล คู่หมั้น เมื่อแรกรู้สึกเสียหน้าแต่หลังจากนั้นก็รู้สึกเห็นใจและศรัทธาในรักแท้ของเจ้าน้อย
จริงๆ แล้วเราแอบคิดว่า   ถ้าเจ้าน้อยโกหก ให้มะเมี้ยะหนีเข้าเมืองเถื่อนแล้วปลอมเป็นสาวไทย ให้เป็น
เมียบ่าว เรื่องก็จบแต่มันเป็นเพราะ...เจ้าน้อยต้องการมีภรรยาคนเดียว คือ...มะเมี้ยะ

หายากมากผู้ชายสมัยนั้น  เรื่องรักเดียวเนี่ยแต่ก็เป็นไปตามคำสาบานนะ
ผิดรักไปแต่งกับหญิงอื่นเลยอายุสั้น รูปหล่อ รักเดียว รักจนตาย
ยังกะนิยายเศร้าจริงๆๆๆ...ว่าแล้วก็เผื่อแผ่ความเศร้าให้คนอื่นบ้าง


สังเกตมั้ยว่า ความรักที่เป็นตำนาน...มักจะมีจุดจบที่เศร้ารันทดใจ
รักแฮ้ปปี้มันคงไม่กินใจพอที่จะเป็นตำนาน...สำหรับเราขอมีความสุขดีกว่าเป็นตำนาน..เฮ้อ...อ

แต่น่าเสียดาย...ไม่มีรูปมะเมี้ยะ คาดว่าเป็นสามัญชนคนธรรมดาเลยไม่มีรูปถ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐานบ้าง
ไม่งั้นคงได้เห็นว่ามะเมี๊ยะงามจ๊าดแค่ไหน.... แต่บางทีการไม่เห็นหน้า...
จินตนาการอาจทำให้มะเมี๊ยะสวยงามยิ่งในความทรงจำของผู้ที่ได้รู้เรื่องราวเธอก็ว่าได
ณ วันนี้... 99 ปีผ่านไป เจ้าน้อยกับมะเมี๊ยะ คงได้พบกันบนเส้นทางสายดวงดาวแล้ว
ความรักครั้งหน้า...ขอให้ไร้อุปสรรคทั้งปวง สมกับที่รอคอยกันมาแสนนาน
 

กู่บรรจุอัฐิเจ้าน้อยศุขเกษม ในวัดสวนดอก เชียงใหม่
 

มะเมี๊ย ะ ของ อ.จรัล มโนเพ็ชร
( พูด).....
เรื่องมันเก้าสิบปี๋มาแล้ว
เจ้าน้อยสุขเกษมอายุได้สิบห้าปี๋
เจ้าป้อก็ส่งไปเฮียนหนังสือ
ตี้เมืองมะละแมงปู้น...
ก็เลยเป๋นเรื่องของก๋ำของเวรเขา
( ร้อง)มะเมี๊ยะ เป๋นสาวแม่ก้า คนพม่า เมืองมะละแมง
งามล้ำ เหมือนเดือนส่องแสง คนมาแย่ง หลงฮักสาว.
มะเมี๊ยะ บ่ยอมฮักไผ มอบใจ๋ ฮื้อหนุ่มเจื้อเจ้า.
เป๋นลูก อุปราชท้าว เจียงใหม่
แต่เมื่อ เจ้าชาย จบก๋าน ศึก ษา
จ๋ำต้อง ลาจาก มะเมี๊ยะไป.
เหมือนโดน มีดสับ ดาบฟัน หัวใจ๋
ปลอมเป๋น ป้อจาย หนีตามมา
เจ้าชายเป๋นราชบุตร แต่สุด ตี้ฮักเป๋นพม่า
ผิดประเพณี สืบมา ต้องร้าง ลา แยกทาง
วันตี้ต้อง ส่งคืนบ้านนาง เจ้าชาย ก็จัดขบวนช้าง
ไปส่งนาง คืน ทั้งน้ำตา
มะเมี๊ยะ ตรอมใจ๋ อาลัย ขื่น ขม
ถวาย บังคม ทูล ลา.
สยาย ผมลง เจ๊ดบาท บา ทา
ขอลา ไปก่อน แล้วจ้าดนี้.
เจ้าชายก็ตรอม ใจ๋ตาย มะเมี๊ยะเลยไป บวชชี
ความฮัก มักเป๋นเช่นนี้ แล เฮย
************************
 
 

 

 
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #58 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2552, 18:26:47 »

แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน   
             ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน
     ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ
     คนที่ไ ม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
     ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวัน
     ก็ยังโง่เท่าเดิม
            ว วชิรเมธี

........................
นัยอันล้ำลึกของคำว่า "ขอบคุณ"



ขอบคุณความไม่รู้   ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน   ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว   ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ


ขอบคุณความผิดพลาด   ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา   ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์   ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ


ขอบคุณความไม่รู้   ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง   ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า   ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ


ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น   ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่
ขอบคุณความป่วยไข้   ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ
ขอบค ุณความทุกข์ที่   ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน


ขอบคุณความพลัดพราก   ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส   ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย   ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ
เจริญพร
ว วชิรเมธี
     
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #59 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2552, 18:28:54 »

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #60 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2552, 18:33:54 »

สาธุโมทนา  คนดีๆ อย่างนี้หายากนัก

 

 

เพื่อนเคยพาพ่อเค้าที่อยู่ต่างจังหวัด มาผ่าต้อกระจกที่ รพ . แพทย์ของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว(องค์การมหาชน) สาขาสุขุมวิท ซอย  24  ไม่เสียเงิน แม้แต่บาทเดียว แถมผ่าเสร็จ แถมแว่นตาให้อีกด้วย แ้ล้วการบริการก็เหมือนกับ รพ. เอกชน เลย
 
โปรดช่วยกระจายข่าวด้วยนะครับเพื่อผู้ป่วยต้อกระจกจะได้มองเห็นโลกได้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง


 


--------------------------------------------------------------------------------



 



อุดมการณ์ ของคนทุกคนย่อมแตกต่างกันไป แต่มีอุดมการณ์ของผู้ชายคนหนึ่งที่เลือกแล้วที่จะทิ้งธุรกิจหลายสิบล้านของ ตัวเอง เพื่ออุทิศชีวิตทำงานเพื่อสังคม อุทิศชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนไทยทั่วประเทศ เพราะเขาปวารณาตัวแล้วว่า จะเป็นข้าทาสของแผ่นดิน มีนายเพียงคนเดียวคือ พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย   
เขา ผู้นั้นคือ ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ ผู้ชายที่หาเงินได้หลายสิบล้านด้วยธุรกิจส่งออก แต่ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และแผ่นดินที่ตัวเองเกิด รวมถึงจุดเปลี่ยนที่เคยเฉียดตายมาแล้วจากการถูกลอบยิงที่ศีรษะ พอลุกขึ้นมาได้เขาก็ทำโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ฟอกไตฟรีให้กับประชาชนคนไทยทั่วประเทศ โดยใช้เงินของเขาเองทุกบาททุกสตางค์   
' ชีวิต ของผมตั้งใจเดินตามพระยุคลบาทขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เดินผิดไม่คิดจนตัวตาย มีแต่ความเจริญทั้งนั้น ไม่เจริญกับเรา ก็เจริญกับประเทศชาติ เจริญกับประชาชนผู้ยากจน เจริญกับวงศาคณาญาติหรือครอบครัวของเรา เพราะว่าเดินตามพระองค์ท่าน ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตไม่โกงกินแผ่นดิน และต้องไม่โกงกินผู้อื่น และต้องทำงานด้วยความเต็มใจทำ แล้วก็ต้องรักแผ่นดินใ ห้อยู่เหนือตัวเราเอง เค้าจะเรียกว่าทาสของแผ่นดิน   
' รพ.บ้าน แพ้ว เป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน ไม่ใช่ของเอกชน ประชาชนทุกคนต้องมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นของประชาชนได้ ถ้าคนยากคนจนติดต่อมารักษาฟรีหมดเลย ค่ารถค่าเดินทางก็ฟรี เราจะดูแลทุกอย่างให้อย่างดี ไกลที่สุดที่เคยมาอยู่ที่เชียงของ โดยที่เราไปรับมา คุณจะอยู่ที่ตรงไหน เราจะไปรับคุณที่ตรงนั้น ยะลา นราธิวาส ปัตตานี ผ่ามาหมด ทำให้เสร็จ '   
หลาย คนมองว่าเขาติ๊งต๊อง แต่เขาทำด้วยใจจริงๆ แล้วไม่ยอมรับเงินบริจาคของใครด้วย โดยเขาบอกว่าหากใครจะเอาเงินมาช่วยทำ ก็เอาเงินจำนวนนั้นไปช่วยเหลือประชาชนได้เลย   



เรื่องราวชีวิต มุมมองความคิดของเขาผู้นี้ได้ถูกถ่ายทอดออกอากาศในรายการ   ' เจาะใจ '   เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่   25   กันยายน   2551   ทางช่อง   5   
ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ ทาสของแผ่นดิน   

แม้ เจ้าตัวจะไม่อยากเปิดเผยเรื่องราวแห่งความดีที่เคยทำ แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่หลายคนควรรู้ โดยเฉพาะช่วงชีวิตกว่าจะเป็นธานินทร์ ผู้เป็นเจ้าของบริษัท ทาสของแผ่นดิน และผู้ก่อตั้งศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก-ต้อเนื้อ ฟรีแก่ประชาชนในเวลานี้   
คุณธานินทร์ เรียนจบปวช.จากพาณิชย์วิทยาลัยสีลม จากนั้นได้เข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ แต่เรียนได้เพียง   9   หน่วยกิตก็เลิกเรียน เพราะรู้สึกว่าการเรียนก็ได้แค่เรียนรู้เท่านั้น สู้ทำงานเองจะดีกว่า เขาจึงตัดสินใจออกมาทำธุรกิจกับเพื่อน จำหน่ายสินค้าประเภทรถยนต์ มอเตอร์ไซค์เก่า หนังสัตว์ กระดูกสัตว์ เสื้อผ้า และเครื่องใช้ต่างๆ กับต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น อเมริกา ลาว เขมร เวียดนาม สิงคโปร์ และจีน ในนาม หจก.เอ็ม.เอ.ที อิมปอร์ต-เอ็กซปอร์ต   
คุณ ธานินทร์เล่าว่า เขาซื้อมอเตอร์ไซค์เก่าจากประเทศญี่ปุ่นได้ในราคาเพียงคันละ   600   บาท แต่สามารถนำเข้ามาขายในเมืองไทยได้ในราคาสูงถึง   15,000   บาท ซึ่งหลังจากหักต้นทุนขนส่งทั้งหมดแล้ว ยังเหลือกำไรคันละเกือบหมื่นบาท   
สาเหตุ ที่คุณธานินทร์สามารถซื้อมอเตอร์ไซค์เก่าในราคาถูกเช่นนั้น เป็นเพราะน้ำใจ ความดี และความซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจของเขาที่มีมอบให้เพื่อนและคู่ค้าอย่างจริงใจ และสม่ำเสมอ จนเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือแก่นักธุรกิจต่างชาตินั่นเอง   
จวบจนกระทั่งได้มาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา บริษัท เพรสซิเดนท์ ปาร์ค (   President Park )   พร้อมกับเป็นผู้ควบคุมดูแลอาคารทั้งหมด จากนั้นจึงก่อตั้ง   ' บริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด '   เมื่อ ประ มาณ   3   ปีที่แล้ว เพื่อจัดตั้งศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก-ต้อเนื้อแก่ประชาชน โดยเขาเล่าถึงที่มาของชื่อบริษัทว่า ต้องการให้เห็นอันแน่วแน่ที่จะแก้ไขในสิ่งผิด   
' ในอดีตชาติหรือปัจจุบันเราทำผิดมาก็มาก ทำถูกมาก็มาก อยาก ให้มองว่าระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ ไม่ควรมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ หรือแบ่งเชื้อชาติศาสนา แต่ให้ยึดมั่นในองค์พระมหากษัตริย์ ประเทศไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่และเป็นแผ่นดินที่ร่มเย็นมาก '   
' พ่อแม่ผมอยู่ในประเทศไทย แล้วผมก็เกิดในแผ่นดินนี้   ทุกคนอาจเห็นผมตัวดำ สีผิวผมที่ดำนี้คือสีดิน แล้วถ้าตัวผมไม่ดำผมจะเป็นทาสของแผ่นดินได้ยังไง   เคยมีอุทาหรณ์สอนใจผมว่า ผมน่าจะเกิดเป็นลูกของคุณทักษิณ เพราะผมจะได้เป็นคนรวย มีเงินเยอะๆ ผมจะเดินทางไปหาประชาชน เดินตามรอยพระยุคลบาทของในหลวง พ่อผมจะเป็นอะไรก็เป็นไปไม่เกี่ยวกับผม แต่ผมจะเดินออกไปหาคนจนในถิ่นทุรกันดาร คิดว่าน่าจะเป็นความสุขใจในชีวิต วันนี้ผมจึงกล่าวขานขนานนามต่างๆในชีวิตของผมว่า ขอถวายชีวิตเป็นราชพลีแด่พระองค์วงศ์จักรี ธานินทร์ทาสของแผ่นดิน '   
ศูนย์ผ่าตัดต้อเกิดจากลมหายใจสุดท้าย   




ศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก-ต้อเนื้อ ฟรี ดังกล่าว เกิดขึ้นจากพลังแห่งศรัทธาในบุญและบาป โดย ครั้งหนึ่งคุณธานินทร์เคยถูกลอบยิงเกือบเอาชีวิตไม่รอด สาเหตุเกิดจากสองสามีภรรยาซึ่งเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในแวดวงสังคม   เอาภาพถ่ายของตัวเองขณะยืนอยู่หน้าทัชมาฮาลวางติดไว้ด้านบนผนังด้านบน   และเอารูปเจ้าแม่อุมาเทวีวัดแขกไว้ด้านล่าง เมื่อคุณธานินทร์เห็นเข้าจึงรู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่สมควร พร้อมกับเขียนเรื่องนี้ลงในหนังสือของตัวเองเพื่อบอกให้ประชาชนได้รับรู้   
ประเด็น นี้เองอาจสร้างความโกรธแค้นและกลายเป็นชนวนลอบสังหาร โดยเขาถูกมือปืนยิงบริเวณหน้าบ้านย่านสีลม ลูกปืนเข้าที่ศีรษะทำให้ต้องรักษาตัวอยู่ที่ห้องไอซียู รพ.กรุงเทพคริสเตียน นานถึง   45   วัน และต้องทำการผ่าตัดถึง   6   ครั้ง   
' เป็น ช่วงเวลาที่ได้เห็นคนเสียชีวิตมากมายมหาศาล สัจธรรมเกิดขึ้นมาทันทีว่าภาพที่เห็นคนตาย คิดในทางบวกถือเป็นความสุข เพราะไม่ได้นอนกับคนที ่รักเราอย่างเดียว แต่ได้นอนกับคนที่ต้องตายทุกวัน คิดว่าน้อยคนนักที่จะได้มานอนกับคนตายแบบนี้ ระหว่างที่อยู่ไอซียูยังได้ยินเสียงทุกคนพูดตรงกัน คงอยู่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่ครึ่งชั่วโมงนั้นทำให้รอดตายมาได้ นับว่าโชคดีและเป็นบุญอย่างหนึ่ง ถามว่าสะทกสะท้านกับความตายไหม บอกได้เลยว่าไม่มี เลยได้คารมเด็ดๆในชีวิตว่า ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา ไม่เสียดายเวลาถ้าสิ้นไป เพราะว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว '   
เหตุนี้ ชีวิตที่เหลืออยู่ เขาจึงขอแทนคุณแผ่นดินด้วยการตั้งศูนย์ผ่าตัดต้อกระจกขึ้น เพื่อรักษาผู้ยากไร้   ' วันนั้นคิดว่า ถ้าผมกลับมาได้จะตอบแทนบุญคุณให้กับแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่ได้ยังไง ถ้าไปกิน-นอนอยู่ กับใครสักคนโดยไม่ทำอะไรให้ แต่อยู่อย่างสุขสบายไม่ช่วยเหลือและเกื้อกูล ไม่ทำอะไรให้เลย เขาจะเรียกว่าเนรคุณไหม และถ้าผมอยู่ในแผ่นดินนี้ ไม่ช่วยเหลือแล้ว ยังกอบโกยโกงกินผืนแผ่นดิน เขาจะเรียกผมว่าทรราชของแผ่นดินหรือเปล่า '   ชีวิตเฉียดตายทำให้เข้าใจในความเป็นมนุษย์และบุญคุณที่ต้องทดแทนแผ่นดิน   
เมื่อแนวคิดในการเปิดศูนย์ผ่าตัดต้อกระจกทำท่าว่าจะเป็นจริง คุณธานินทร์จึงปรึกษากับ นพ. วิทิต อรรณเวชกุล ผอ.โรง พยาบาลบ้านแพ้วในขณะนั้นทันที แม้คุณหมอจะถามย้ำถึงความเชื่อมั่นว่าทำแน่หรือ เพราะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล แต่เขากลับมั่นใจว่าต้องทำได้   
' เมื่อ ปรึกษาหารือกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงสั่งซื้ออุปกรณ์การผ่าตัดดวงตาจากต่างประเทศ และสั่งซื้อรถห้องผ่าตัดเคลื่อนที่หลายสิบล้านบาท โดยเงินทั้งหมดในการซื้ออุปกรณ์เป็นเงินส่วนตัวของผมที่ได้เก็บสะสมตลอดทั้ง ชีวิต ผมต้องการช่วยเหลือชาวบ้านผู้ยากไร้ คนไทยในแผ่นดินด้วยกัน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว '   
จากนั้นเขาได้จัดทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ลงพื้นที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี โดยครั้งนั้นมีผู้ป่วยถึง   200   ราย หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดต้อกระจก และสามารถ มองเห็นอีกครั้ง ทุกคนต่างร้องไห้ดีใจ วิ่งเข้ามากอดเขาด้วยความซาบซึ้ง   
ตลอดเวลา   3   ปีที่ผ่านมา ศูนย์แห่งนี้สามารถทำให้ผู้ที่เป็นต้อกระจกมองเห็นได้ประมาณ   600,000   ราย และในปี   2549   พบผู้ป่วยตกค้างสะสมกว่า   100,000   ราย ณ วันนี้หากถามว่าเหนื่อยไหม คุณ ธานินทร์ ตอบกลับทันทีว่า   ' ไม่เหนื่อยเลย '   เพราะแม้ กำลังกายจะสู้คนอื่นไม่ได้ หรือกำลังเงินอาจสู้ประชาชนคนรวยไม่พอ แต่เขาเชื่อว่ากำลังใจของเขาใหญ่กว่าคนรวยในแผ่นดินไทยมากมายมหาศาล   
' ผม มาช่วยเหลือชาวบ้าน เพราะผมแบกความจนเอาไว้ การแบกความจนจะทำให้รู้ว่าเกิดเป็นคนอย่าลืมตัว เกิดเป็นวัวอย่าลืมตีน ดังนั้น ถ้าเราแบกความจนเอาไว้จะไม่ลืมความจนเลย   วันนี้เราแบกความจนเอาไว้ก็จะพาประชาชนพ้นทุกข์ได้ และหากเราแบกความรวยเอาไว้เมื่อไร เราจะกลายเป็นคนลืมตัว   ถ้าตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันก็ยังมีคนยากจนอยู่ในแผ่นดินนี้   ขอกลับลงมาเกิดในแผ่นดินนี้ดีกว่า ผมไม่ได้คิดที่จะเปิดศูนย์นี้เท่านั้น   แต่มีความตั้งใจจะสร้าง ร.ร.อนุบาลเรารักในหลวง เพื่อต้องการปลูกรากแก้วให้กับเด็กๆ '   เขาเล่าถึงสิ่งที่ได้ช่วยเหลือชาวบ้านให้หมดทุกข์ ด้วยแววตาที่มุ่งมั ่นเช่นเดิม   

ชีวิต ที่เหลืออยู่ของ ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ เขาขอเดินรอยตามพระยุคลบาทองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะสิ่งที่ผู้ชายคนนี้แบกไว้ ไม่ใช่ความรวย ไม่ใช่ความดี แต่คือ   ' ความจน '   ที่เขาจะแบกไปตลอดชีวิต...   
ผู้ ที่ประสงค ? ผ่าต้อกระจกฟรี หรือต้องการฟอกไตฟรี กรุณาติดต่อไปยังโรงพยาบาลบ้านแพ้ว และนายชูศักดิ์ แก้วสุริยอร่าม บริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด อาคารพระมหากรุณาธิคุณ เลขที่   98   ซอยสุขุมวิท   24   ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม.   10110   

ฟอกไต   :   โทร.   02-262 9454-5   
โรคเกี่ยวกับตา   :   โทร.   089-889 0097, 02-261 8213-7   

โดยผู้ป่วยที่ประสงค์ผ่าต้อกระจกฟรี กรุณาเตรียมบัตรประชาชน และบัตรทองมาด้วย และสามารถรับการตรวจได้ในวันจันทร์   -   วันศุกร์ เวลา   08.00   น.-   11.00   น.   
ข้อมูลส่วนหนึ่งจาก   :   

http://www.jsl.co.th/minisite/index.php?tv=0006&sec=hilight&hilight=3909   


โครงการคืนแสงสว่างให้ผู้ป่วยต้อกระจกและต้อเนื้อ   ขอเรียนเชิญผู้ป่วยทุกท่านมารับ บริการผ่าตัดต้อต้อกระจกและต้อเนื้อ ฟรี โดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น   
โดยมีแพทย์ของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว(องค์การมหาชน) สาขาสุขุมวิท ซอย   24   ติดต่อได้ที่
บริษัททาสของแผ่นดิน จำกัด ( 02-2629454-5, 02-2618213-7)   เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์   8.00-17.00   น.   
เลขที่   99/359-360   ซอยสุขุมวิท   24( เกษม) ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร   10110   
โทร   02 262 9454-5   แฟ็กซ์   02 262 9454   
**** เอกสารที่ต้องนำมาด้วย ถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรทอง อย่างละ   2   ใบ แพทย์จะทำการตรวจคนไข้ใหม่เฉพาะวันพุธและวันศุกร์ กรุณาโทรแจ้งล่วงหน้า****   
คน บางคนอาจจะเห็นว่าไม่สำคัญแต่สำหรับบางคนอาจจะต้องการแสงสว่างเพื่อที่จะทำ ให้ชีวิตเค้ามีค่ามากว่าอยู่ในความมืดมัว ถ้าใครมีจิตศรัทธาที่จะทำบุญช่วยกัน บอกต่อๆไปด้วย การทำบุญด้วยการให้แสงสว่ างแก่คนมาค่ามากกว่าสิ่งใดเพราะมันจะช่วยให้ชีวิต หนึ่งชีวิตที่พวกคุณหยิบยื่นไปให้ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง   
*   เช็คข้อมูลออกหน่วย   
-   โรงพยาบาลฝาง อ.ฝาง จ. เชียงใหม่   
-   โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ(รพร.ท่าบ่อ)  อ.ท่าบ่อ  จ.หนองคาย   
-   โรงพยาบาลหนองจอก อ.หนองจอก กรุงเทพฯ   
-   โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม(รพร.เดชอุดม)  อ. เดชอุดม  จ.อุบลราชธานี

โปรดช่วยกระจายข่าวด้วยนะครับเพื่อผู้ป่วยต้อกระจกจะได้มองเห็นโลกได้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
 
 
 
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #61 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2552, 18:38:49 »

Police Message: Coke+Ajinomoto Can be Used To Rape Ladies

For Info
 

  คำเตือนจากตำรวจ     โค้ก + อายิโนะโมโต๊ะ ( ผงชูรส) สามารถใช้เพื่อข่มขืนหญิงสาวได้
 


 

DO YOU KNOW? Coke+Ajinomoto Can be Used to Rape Ladies         
คุณรู้หรือไม่?  ว่าโค้ก + อายิโนะโมโต๊ะ สามารถนำมาเพื่อใช้ในการข่มขืนหญิงสาวได้อย่างไร   
         
I received a news about the recent tactic used to spike girls' drink.
ฉันได้รับข่าวเมื่อเร็ว ๆนี้ถึงรายละเอียด ที่นำมาใช้สำหรับเครื่องดื่ม (แอลกอฮอล์) ของสาว ๆ
 
It is a cheap and widely used method.
วิธีการนี้เป็นวิธีที่ประหยัดและใช้กันอย่างแพร่หลาย
 
This method was used in Canny Ong murder.
วิธีการนี้ถูกนำมาใช้ในในคดีฆาตกรรมของ แคนดี้ อ๋อง
 
Rapist uses this method.
ผู้ข่มขืนใช้วิธีการดังนี้
 
Coca-cola+ajinomoto/monosodium glutamate = a medicine which will cause drowsiness and excitement in the victim.
 โค้ก + อายิโนะโมโต๊ะ / โมโนโซเดียมกลูตาเมต  = ยาที่มีผลทำให้เหยือเกิดอาการมึนและตื่นเต้นเร่าร้อน
 
This mixture is poisonous if used too often on the victim.
 ส่วนผสมนี้จะกลายเป็นยาพิษหากถูกใช้กับเหยื่อมากเกินไป
 
Please send this to all your female friends, sisters, & your loved ones  and ask them to beware.
ได้โปรดส่งเมล์นี้ไปยังเพื่อนสาว  พี่น้องหญิงทุกคนของคุณ และคนที่คุณรักให้ระวังตัว
 
DO NOT accept coca-cola or any other drinks from stranger / even
If it is your friend that you are not very close with.
อย่าได้รับเครื่องดื่ม โค้กหรือเครื่องดื่มใด ๆ จากคนแปลกหน้า ถ้าหากเขาไม่ใช่เพื่อนหรือคนที่คุณสนิทสนมเป็นอันขาด
 
 
 
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #62 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2552, 18:41:46 »

ผู้ใช้รถ หรือผู้ที่ไม่ได้ใช้รถส่วนตัว จะไปบอกต่อกันก็ ได้
ช่วยกันบอกต่อๆ ไป รถเสียช่วยฟรี กด 1137
ชาวกรุงซึ้งน้ำใจรถเสียช่วยฟรี 24 ชม. รถ เสียกลางกรุงไม่ต้องตกใจ กด 1137
เรียกใช้บริการช่างซ่อมอาสาได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง ตามโครงการ "ปันน้ำใจช่วยเหลือ สังคม"   
ช่วยป้องกันทั้งโจรในคราบพลเมืองดีและภัยสุภาพสตรีที่รถเกิดเสียกลางทาง   
เผยคนยังเรียกใช้น้อย เพราะส่วนใหญ่ยังไม่ รู้จัก
วอนรัฐช่วยส่งเสริมสนับสนุน     ขณะที่ ผู้คนในสังคมต่างดิ้นรนเอาตัวรอด
ส่งผลให้ผู้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้นเสีย สละต่อผู้อื่นน้อยลง และไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของคน อื่น
แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนหนึ่งแม้จะไม่มากนัก
แต่ก็พร้อมจะทำงานที่เสียสละช่วยเหลือคนอื่น โดยไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน   
อย่างกลุ่มคนในโครงการ"ปันน้ำใจช่วยเหลือรถจอดเสียกลางทาง"           

นายกฤตวิทย์ ศรีพสุธา เจ้าของโครงการ"ปันน้ำใจช่วยเหลือรถจอดเสียกลางทาง" กล่าวถึงที่มาโครงการนี้ ว่า


เห็นข่าวผู้หญิงรถเสียในเวลากลางคืนและเกิดปัญหาอาชญากรรมตามมา โดยพวกมิจฉาชีพคอยทำร้ายชิง ทรัพย์


รวมไปถึงทำตัวเป็นพลเมืองดีในคราบโจรแล้วน่าเป็นห่วง นอกจากนี้จากการสำรวจดู ยังพบว่า
มีรถเก่าจอดเสียอยู่ข้างทางไกลบ้านและไม่มีใครดูแลจึงได้หารือกับ พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล ผบก.จร .
เพื่อหาทางแก้ไขให้ประชาชนมีที่พึ่ง เพราะเชื่อว่าในสังคมไทยยังมีคนดีอยู่อีก จำนวนมาก

บทสรุปที่ได้ คือ ให้ตำรวจแต่ละท้องที่จัดหาอู่ซ่อมรถ จัดซื้อรถลากรถยกไว้ให้ บริการ โดยมีตำรวจโครงการพระราชดำริมาร่วมด้วยช่วย กัน
ปรากฏว่าเจ้าของอู่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยไม่คิดค่าแรง และบอกว่า ยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็ม ที่ เพราะต้องการช่วยประชาชนอยู่แล้วแต่ ไม่มีโอกาส     

นายกฤตวิทย์ กล่าวว่า เพื่อสร้างความ เชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่
จึง กำหนดให้เจ้าหน้าที่ที่ออกให้บริการต้องติดบัตรใส่ชุดฟอร์ม และไม่รับค่าตอบ แทน
เพราะทุกคนทำด้วยใจรัก"บริษัทได้ทำประกันอุบัติเหตุให้เป็นค่า ตอบแทน 1 ปี
ถึงขณะนี้การช่วยเหลือยังน้อยอยู่เดือนหนึ่งประมาณ 50-60 ราย
เฉลี่ยวันละ 4-5 รายแต่ในช่วงกลางคืน ฝนตกจะมีคนเรียกใช้มากถึงวันละ 10 ราย"

ผู้ริเริ่มโครงการนี้กล่าวและยอมรับ ว่า โครงการ  " ปันน้ำใจช่วย เหลือรถจอดเสียกลางทาง"
ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เนื่องจากประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนยังไม่ทราบว่ามีโครงการนี้
หากมีการประชาสัมพันธ์มากกว่าที่เป็นอยู่เชื่อว่าจะมีคนที่เดือดร้อนขอใช้ บริการมากกว่านี้   
และน่าจะมีอู่ซ่อมรถยนต์มาร่วมช่วยเหลือมากขึ้น "ถ้าผู้ใช้รถไม่ได้ฟัง จส. 100 จะไม่รู้ว่ามีโครงการนี้
อย่างไรก็ดียังมีประชาชนส่วนหนึ่งยังไม่เชื่อใจว่าจะช่วยเหลือจริงหรือเปล่า จะหวังอะไรหรือไม่ ถ้าทำอย่างโปร่งใส
คนจะเชื่อใจและใช้บริการมากขึ้นเราก็พร้อมจะขยายขอบข่ายการช่วยเหลือออก ไป
เพราะโครงการนี้ตั้งเป้าใช้งบไว้ 4 ล้านบาท แต่ทำจริงๆใช้เงินเพียง 1.69 ล้านบาทเท่านั้น"

นายกฤตวิทย์กล่าวและย้ำว่า คนที่ต้อง การความช่วยเหลือจากรถเสีย   
กดโทรศัพท์แจ้งเรื่องได้ที่ 1137

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #63 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2552, 19:11:58 »

รบกวนสาวสวย ขอบริจาคผ้าอนามัยและชุดชั้นใน ให้เด็กกำพร้า วัดโบสถ์วรดิษฐ์ ด้วยค่ะ (ช่วยกดโหวตหน่อยนะคะ)
วันอาทิตย์ไปทำบุญที่วัดโบสถ์วรดิษฐ์ จ.อ่างทองมาค่ะ   ที่วัดนั้นเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้ 400 กว่าคน   มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง   ก่อนหน้าโทรไปถามคนรับสายบอกว่าของที่ขาดแคลนคือข้าวสาร อาหารแห้ง รองมาอยากได้สมุดดินสอ และอื่นๆตามแต่จะศรัทธา ให้อะไรก็เอาหมดค่ะ

เรากับเพื่อนเลยคิดบริจาคข้าวสารแต่น้ำหนักมากเลยขับรถไปหาซื้อ เอาแถวนั้น   แล้วเจอร้านขายส่งไม่ไกลจากวัดก็แวะซื้อข้าวสาร 1 กระสอบ 1400 บ าท(คนขายแนะนำให้ซื้อแบบนี้)   ป้าเจ้าของร้านเขียนแผนที่ไปวัดให้ค่ะ   แล้วก็สอบถามเด็กที่ขายของ   ทราบว่าในวัดมีเด็กผู้หญิงด้วย   เราเลยซื้อผ้าอนามัย 2 แพ็คใหญ่ แพ็คแบบเค้าขายส่งกันน่ะค่ะ

พอมาถึงวัดก็คุยกับท่านเจ้าอาวาสนิดหน่อย   แล้วก็ให้คนพาไปดูเด็ก   เราเดินไปดูตรงโรงนอนแออัดมากเลยเจ้า T-T เข้าไปในโรงนอนเด็กผู้หญิงแล้วไล่เพื่อน(ผู้ชาย)ออกไปก่อน   ชิ้ว ๆ ๆ   เราก็พยายามถามว่ามีเด็กกี่คน ต้องการอะไรเพิ่มเติมไหม   น้องๆเค้าบอกว่ามีเด็กที่ถึงวัยประจำเดือน 80 กว่าคน   ผ้าอนามัยไม่พอใช้เลยต้องซื้อกันเอง   ฟังแล้วดูธรรมดานะคะซื้อผ้าอนามัยกันเองใครก็ซื้อกันเองเน! ้อ   แต่ถ้าเห็นโรงนอนแล้วคำว่า ' ซื้อกันเอง ' เนี่ย   คงเป็นอะไรที่ลำบากมากๆเลยค่ะ T-T   เราอยากถ่ายรูปมาให้ดูมากแต่เกรงใจน้องเค้าเพราะแค่ไปถามก็ดูน้องๆอายกันมากแล้ว   ถามว่าชุดชั้นในมือสองต้องการไหม   เด็กก็บอกเอาค่ะ   พูดคุยเสร็จก็เดินออกมาเจอเพื่อน
เพื่อนบอกว่าเด็กน่ารักไม่ส่งเสียงหนวกหูหรือทะเลาะกันเลย สิ่งที่ต้องการสำหรับเด็กผู้หญิงที่เราไปถามมา   แล้วไม่ค่อยมีคนบริจาค   อยากให้สาวสวยโต๊ะแป้งช่วยกันบริจาคหน่อยค่ะ
1. ผ้าอนามัย ซื้อแบบยกแพ็คใหญ่จะถูกกว่าซื้อปลีกมาก
2. กางเกงใน ขอเป็นของใหม่ก็ดีนะคะ
3. บราเซียร์ อันนี้มือสองก็ได้ค่ะ

ที่อยู่จัดส่งทางไปรษณีย์ ( แนะนำให้ส่งแบบพัสดุธรรมดาถูกดีค่ะ)
วัดโบสถ์วรดิษฐ์
210/ ค   ต.ป่าโมก   อ.ป่าโมก   อ่างทอง  14130

เบอร์โทร 035-661134  ! มือถือ 086-1345003   แฟกซ์ 035-623356

เลขบัญชีวัดโบสถ์วรดิษฐ์   กสิกรไทยสาขาป่าโมก
ออมทรัพย์  1822-113-644




พระครูวุฒิธรรมาทร พ่อของเด็กกว่า 400 ชีวิต เคยออกรายการมหาลัยชีวิตด้วยค้ะ
ดีใจแทนหลวงพ่อค่ะ ท่านก็แก่มากแล้ว เราเห็นท่านมาตั้งแต่เราเด็กๆ ว่าท่านได้ทำประโยชน์มากมายให้กับวัด ให้กับน้องๆ     
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://hilight.kapook.com/view/25206



      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
เจษฎา
Cmadong พันธุ์แท้
****


the more you get ,the less you feel
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,682

« ตอบ #64 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2552, 14:50:51 »

ท่านใดทราบบ้างครับว่า ผงชูรส มีไว้ทำอะไร ลองเดามาครับแล้วจะมาเฉลยอีกที
      บันทึกการเข้า

ไม่หล่อ แต่ไม่ค่อยว่าง
เจตน์
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ใครๆเรียกผมว่า "กุ๊ปปิ๊"
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2534
คณะ: ครุฯ พลศึกษา
กระทู้: 6,520

« ตอบ #65 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2552, 09:02:00 »







      บันทึกการเข้า

ชีวิตผมเป็นดั่งวงกลม จึงได้แต่ดอมดมความสุขจากคนอื่นๆ
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #66 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2552, 10:35:43 »

ขอเอามาฝากบ้างนะคะ น้องชอบมากเลย..

แนวคิดเทียบกับธรรมะ(ชาติ)

Subject: ภรรยา 4 คน (อยากให้ลองอ่าน)

ชายคนหนึ่งมีภรรยาอยู่ 4 คน
ภรรยาคนที่ 1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามใจ ตลอดอยากได้อะไร เขาหาให้ทุกอย่าง
ภรรยาคน ที่ 2 เขารักมาก เขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อภรรยาคน นี้ และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ
ภรรยาคนที่ 3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบางเป็นครั้งคราว
ภรรยาคน ที่ 4 เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไป หาไม่คิดถึงเลยด้วยซ้ำ

ต่อมาชาย คนนี้ไปกระทำความผิดร้ายแรงและถูกจับ ต้องถูก ประหารชีวิต ก่อนที่จะถูกประหาร เขาขอร้องว่า เขาขอกลับ
บ้านเพื่อไปร่ำลาภรรยาสุดที่รักซักครั้ง ผู้คุมเห็นใจจึง อนุญาต

เมื่อกลับ มาถึงบ้าน เขารีบตรงไปหาภรรยาคนที่ 1 เล่า เหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟัง
และถามภรรยา คนที่ 1 ว่า ' ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 1 จะ ทำอย่างไร? '
ภรรยาคนที่ 1 ตอบน้ำเสียงที่เย็นชาว่า ' ถ้าเธอตาย เราก็จบกัน' คำตอบที่ได้รับเหมือนสายฟ้าที่ผ่า เปรี้ยง!!
ลงมาที่เขาอย่าง จังเขารู้สึก เจ็บปวดและเสียใจเป็นอย่าง ยิ่งนึกเสียดายว่าเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้ เลย

จากนั้นเขาก็ ไปหาภรรยาคนที่ 2 ด้วยอาการเศร้าโศก เล่า เรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง
และถามคำถาม เดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า' ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 2 จะทำอย่างไร?
ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า ' ถ้าเธอตาย ฉันจะมี ใหม่ 'เหมือนสาย ฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขาอย่างจัง
เขารู้สึกเสียใจ มาก และนึกเสียดายว่าที่ผ่านมา เขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน

เขาเดินคอตก มาหาภรรยาคนที่ 3 เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง
และถามภรรยา คนที่ 3 ว่า' ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 3 จะทำ อย่างไร? '
ภรรยา คนที่ 3 ตอบว่า ' ถ้าเธอตาย ฉันจะไปส่ง' ทำให้เขาคลายความเศร้าโศกขึ้นมาได้ บ้าง
อย่างน้อยก็ ยังมีภรรยาที่จริงใจกับเขา

ก่อนกลับไป รับโทษเขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคนซึ่งไม่เคยไปหาเลย
จึงไป หาภรรยาคนที่ 4 และถามว่า' ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 4 จะทำอย่าง ไร? '
ภรรยาคน ที่ 4 ตอบว่า ' ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไป ด้วย ' แทนที่เขา จะดีใจกลับนึกเสียใจหนักขึ้นไปอีก
เพราะ...มัน สายเกินไปเสีย แล้ว ช่วงที่เขา มีชีวิตอยู่เขาไม่เคยเห็นค่
าของภรรยาคนนี้
แต่ภรรยาคน นี้ไม่คิดที่จะทิ้งเขา จะติดตามเขาไปอยู่ด้วย
แล้วชายคน นี้ก็กลับไปรับโทษประหาร และเมื่อเขาตาย ภรรยาคน ที่ 4 ก็ตายตามไปด้วย.....
เราทุกคนก็มีภรรยา 4 คน นี้ มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร ? ลองคิดกันก่อนนะ แล้วค่อยดูเฉลย
....................................................................................


ทีนี้เรามาดูกัน ว่า ภรรยาคนที่ 1, 2, 3 และ 4 เป็นใครกัน บ้าง

ภรรยาคน ที่ 1 = ร่างกายของ เรา
เพราะเวลาเรา มีชีวิตอยู่ เราจะบำรุงบำเรอด้วยของสิ่ง ทุกอย่างอยากได้อะไรก็หาให้
แต่ พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา เมื่อเราตายร่างกายมันก็มีค่าเท่ากับท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่า นั้น

ภรรยาคนที่ 2 = ทรัพย์ สมบัติ
เพราะเวลา เรามีชีวิตอยู่ เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มัน มา แต่พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา แต่ไปเป็นของคน อื่น

ภรรยาคนที่ 3 = พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่ น้อง
เพราะพอเรา ตาย เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญไป ให้ แปลว่า เขา แค่ไปส่งเราเท่านั้น

ภรรยาคนที่ 4 = บุญ กับ บาป
เมื่อเราตาย ไป เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วยได้ มีเพียงแค่บุญกับบาปเท่านั้นที่จะตามเราไป

.....หลังจากอ่านจบแล้วได้แง่คิดอะไรกันบ้าง? 
.... จะให้ความ สำคัญกับภรรยาคนไหนมากกว่ากัน?
      บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #67 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2552, 22:40:25 »

น่าเสียดาย  ข้อคิดจากท่าน ว.วชิรเมธี
 
น่าเสียดาย (ธรรมจักร)                                                                                               
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ                                                                   
         แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ                                                                           
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี                                                                           
         แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง                                                                           
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล                                                                       
         แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป                                                                         
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475                                                             
         แต่เรากลับมีปฏิวัติ/รัฐประหารมาแล้ว 14 ครั้ง                                                                       
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก                                                                   
         แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวงบวงสรวงเทพยดา                                                                 
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์                                                                 
         แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา                                                                         
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง                                                                     
         แต่เรากลับเก่ง "การลอกเลียนแบบ" เป็นที่สุด                                                                       
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน                                                                     
         แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า                                                                 
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย                                                                                     
         แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา                                                                 
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด                                                               
         แต่สถิติสูงสุดคือเราอ่านหนังสือกันปีละ 8 บรรทัด                                                                     
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เรามีอินเทอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม                                                             
         แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊                                                                     
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง                                                                           
         แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า                                                                               
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน                                                                               
         แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา                                                                         
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้                                                                         
         แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล                                                                         
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้                                                                       
         แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก                                                                         
                                                                                                                 
         น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้                                                                           
         แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน     
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #68 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2552, 09:18:45 »

ไต้หวัน-- -- หญิงคนหนึ่งเลือดออกทางทวารทั้ง 7 โดยไม่รู้สาเหตุ เสียชีวิตในข้ามคืนเดียว จากการชันสูตรศพเบื้องต้น  ลงความเห็นว่าตายเพราะพิษสารหนู แล้วสารหนูมาจากไหนล่ะ
ตำรวจเริ่มสืบสวนในวงกว้าง และเชิญศาสตราจารย์นิติเวชมาร่วมคลี่คลายคดี
ศาสตราจารย์ตรวจวิเคราะห์สิ่งตกค้างในกระเพาะ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เปิดโปงสาเหตุการตายฉับพลัน "ผู้ตายไม่ได้ฆ่าตัวตาย ไม่ได้ถูกลอบสังหาร แต่ตายเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ถูกมันฆ่า " ศาสตราจารย์ฟันธง
ผู้คนงงเป็นไก่ตาแตก อะไรคือ "มันฆ่า" แล้วสารหนูมาจากไหน
ศาสตราจารย์กล่าวว่า สารหนูเกิดในกระเพาะผู้ตาย ผู้ตายกินวิตามินซีทุกวัน นี่ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่เธอกินกุ้งจำนวนมากในมื้อเย็น  กินกุ้งโดยลำพังก็ไม่มีปัญหา คนในบ้านกินกันก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ผู้ตายกินวิตามินซีพร้อมกันด้วย ปัญหาจึงเกิดตรงนี้แหละ
นักวิจัยมหาวิทยาลัยชิคาโกเคยทำการทดลอง พบว่าสัตว์เปลือกอ่อนเช่นกุ้งมีสารประกอบอาเซนิกเข้มข้นในปริมาณสูง สารประกอบชนิดนี้เข้าไปอยู่ในร่างกายก็ไม่มีพิษภัยอะไร แต่เมื่อรับประทานวิตามินซีพร้อมกัน จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้สารประกอบเดิมที่มีสูตรเคมี As2O5 หรืออาเซนิกออกไซด์ซึ่งไม่มีพิษ กลายเป็นสารประกอบที่มีสูตรเคมี As2O3 หรืออาเซนิกไตรออกไซด์ซึ่งมีพิษ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าสารหนูนั้นเอง
พิษสารหนูจะทำให้การทำงานของเส้นโลหิตฝอยและเอนไซม์ของซัลฟีดรีลขัดข้อง เกิดอาการเลือดคั่งในหัวใจ ตับ ไต และลำไส้ เซลล์ผิวหนังตายด้าน เส้นโลหิตฝอยขยายตัว ดังนั้น ผู้ที่รับพิษจนตาย จะมีเลือดออกทางทวารทั้งเจ็ด
เพราะฉะนั้น ในระยะที่รับประทานวิตามินซี ต้องงดกินอาหารประเภทกุ้ง เพื่อความไม่ประมาท
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
kdecha
Full Member
**


ผู้ชายที่ไม่เหลือหัวใจไว้ให้ผู้หญิงคนไหนแล้ว เหลือ
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 856

« ตอบ #69 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2552, 10:15:47 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อยเค็ม เมื่อ 14 มิถุนายน 2552, 18:33:54
สาธุโมทนา  คนดีๆ อย่างนี้หายากนัก

 

 

เพื่อนเคยพาพ่อเค้าที่อยู่ต่างจังหวัด มาผ่าต้อกระจกที่ รพ . แพทย์ของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว(องค์การมหาชน) สาขาสุขุมวิท ซอย  24  ไม่เสียเงิน แม้แต่บาทเดียว แถมผ่าเสร็จ แถมแว่นตาให้อีกด้วย แ้ล้วการบริการก็เหมือนกับ รพ. เอกชน เลย
 
โปรดช่วยกระจายข่าวด้วยนะครับเพื่อผู้ป่วยต้อกระจกจะได้มองเห็นโลกได้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง


 


--------------------------------------------------------------------------------



 



อุดมการณ์ ของคนทุกคนย่อมแตกต่างกันไป แต่มีอุดมการณ์ของผู้ชายคนหนึ่งที่เลือกแล้วที่จะทิ้งธุรกิจหลายสิบล้านของ ตัวเอง เพื่ออุทิศชีวิตทำงานเพื่อสังคม อุทิศชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนไทยทั่วประเทศ เพราะเขาปวารณาตัวแล้วว่า จะเป็นข้าทาสของแผ่นดิน มีนายเพียงคนเดียวคือ พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย  
เขา ผู้นั้นคือ ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ ผู้ชายที่หาเงินได้หลายสิบล้านด้วยธุรกิจส่งออก แต่ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และแผ่นดินที่ตัวเองเกิด รวมถึงจุดเปลี่ยนที่เคยเฉียดตายมาแล้วจากการถูกลอบยิงที่ศีรษะ พอลุกขึ้นมาได้เขาก็ทำโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ฟอกไตฟรีให้กับประชาชนคนไทยทั่วประเทศ โดยใช้เงินของเขาเองทุกบาททุกสตางค์  
' ชีวิต ของผมตั้งใจเดินตามพระยุคลบาทขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เดินผิดไม่คิดจนตัวตาย มีแต่ความเจริญทั้งนั้น ไม่เจริญกับเรา ก็เจริญกับประเทศชาติ เจริญกับประชาชนผู้ยากจน เจริญกับวงศาคณาญาติหรือครอบครัวของเรา เพราะว่าเดินตามพระองค์ท่าน ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตไม่โกงกินแผ่นดิน และต้องไม่โกงกินผู้อื่น และต้องทำงานด้วยความเต็มใจทำ แล้วก็ต้องรักแผ่นดินใ ห้อยู่เหนือตัวเราเอง เค้าจะเรียกว่าทาสของแผ่นดิน  
' รพ.บ้าน แพ้ว เป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน ไม่ใช่ของเอกชน ประชาชนทุกคนต้องมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นของประชาชนได้ ถ้าคนยากคนจนติดต่อมารักษาฟรีหมดเลย ค่ารถค่าเดินทางก็ฟรี เราจะดูแลทุกอย่างให้อย่างดี ไกลที่สุดที่เคยมาอยู่ที่เชียงของ โดยที่เราไปรับมา คุณจะอยู่ที่ตรงไหน เราจะไปรับคุณที่ตรงนั้น ยะลา นราธิวาส ปัตตานี ผ่ามาหมด ทำให้เสร็จ '  
หลาย คนมองว่าเขาติ๊งต๊อง แต่เขาทำด้วยใจจริงๆ แล้วไม่ยอมรับเงินบริจาคของใครด้วย โดยเขาบอกว่าหากใครจะเอาเงินมาช่วยทำ ก็เอาเงินจำนวนนั้นไปช่วยเหลือประชาชนได้เลย  



เรื่องราวชีวิต มุมมองความคิดของเขาผู้นี้ได้ถูกถ่ายทอดออกอากาศในรายการ   ' เจาะใจ '   เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่   25   กันยายน   2551   ทางช่อง   5  
ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ ทาสของแผ่นดิน  

แม้ เจ้าตัวจะไม่อยากเปิดเผยเรื่องราวแห่งความดีที่เคยทำ แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่หลายคนควรรู้ โดยเฉพาะช่วงชีวิตกว่าจะเป็นธานินทร์ ผู้เป็นเจ้าของบริษัท ทาสของแผ่นดิน และผู้ก่อตั้งศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก-ต้อเนื้อ ฟรีแก่ประชาชนในเวลานี้  
คุณธานินทร์ เรียนจบปวช.จากพาณิชย์วิทยาลัยสีลม จากนั้นได้เข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ แต่เรียนได้เพียง   9   หน่วยกิตก็เลิกเรียน เพราะรู้สึกว่าการเรียนก็ได้แค่เรียนรู้เท่านั้น สู้ทำงานเองจะดีกว่า เขาจึงตัดสินใจออกมาทำธุรกิจกับเพื่อน จำหน่ายสินค้าประเภทรถยนต์ มอเตอร์ไซค์เก่า หนังสัตว์ กระดูกสัตว์ เสื้อผ้า และเครื่องใช้ต่างๆ กับต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น อเมริกา ลาว เขมร เวียดนาม สิงคโปร์ และจีน ในนาม หจก.เอ็ม.เอ.ที อิมปอร์ต-เอ็กซปอร์ต  
คุณ ธานินทร์เล่าว่า เขาซื้อมอเตอร์ไซค์เก่าจากประเทศญี่ปุ่นได้ในราคาเพียงคันละ   600   บาท แต่สามารถนำเข้ามาขายในเมืองไทยได้ในราคาสูงถึง   15,000   บาท ซึ่งหลังจากหักต้นทุนขนส่งทั้งหมดแล้ว ยังเหลือกำไรคันละเกือบหมื่นบาท  
สาเหตุ ที่คุณธานินทร์สามารถซื้อมอเตอร์ไซค์เก่าในราคาถูกเช่นนั้น เป็นเพราะน้ำใจ ความดี และความซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจของเขาที่มีมอบให้เพื่อนและคู่ค้าอย่างจริงใจ และสม่ำเสมอ จนเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือแก่นักธุรกิจต่างชาตินั่นเอง  
จวบจนกระทั่งได้มาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา บริษัท เพรสซิเดนท์ ปาร์ค (   President Park )   พร้อมกับเป็นผู้ควบคุมดูแลอาคารทั้งหมด จากนั้นจึงก่อตั้ง   ' บริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด '   เมื่อ ประ มาณ   3   ปีที่แล้ว เพื่อจัดตั้งศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก-ต้อเนื้อแก่ประชาชน โดยเขาเล่าถึงที่มาของชื่อบริษัทว่า ต้องการให้เห็นอันแน่วแน่ที่จะแก้ไขในสิ่งผิด  
' ในอดีตชาติหรือปัจจุบันเราทำผิดมาก็มาก ทำถูกมาก็มาก อยาก ให้มองว่าระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ ไม่ควรมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ หรือแบ่งเชื้อชาติศาสนา แต่ให้ยึดมั่นในองค์พระมหากษัตริย์ ประเทศไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่และเป็นแผ่นดินที่ร่มเย็นมาก '  
' พ่อแม่ผมอยู่ในประเทศไทย แล้วผมก็เกิดในแผ่นดินนี้   ทุกคนอาจเห็นผมตัวดำ สีผิวผมที่ดำนี้คือสีดิน แล้วถ้าตัวผมไม่ดำผมจะเป็นทาสของแผ่นดินได้ยังไง   เคยมีอุทาหรณ์สอนใจผมว่า ผมน่าจะเกิดเป็นลูกของคุณทักษิณ เพราะผมจะได้เป็นคนรวย มีเงินเยอะๆ ผมจะเดินทางไปหาประชาชน เดินตามรอยพระยุคลบาทของในหลวง พ่อผมจะเป็นอะไรก็เป็นไปไม่เกี่ยวกับผม แต่ผมจะเดินออกไปหาคนจนในถิ่นทุรกันดาร คิดว่าน่าจะเป็นความสุขใจในชีวิต วันนี้ผมจึงกล่าวขานขนานนามต่างๆในชีวิตของผมว่า ขอถวายชีวิตเป็นราชพลีแด่พระองค์วงศ์จักรี ธานินทร์ทาสของแผ่นดิน '  
ศูนย์ผ่าตัดต้อเกิดจากลมหายใจสุดท้าย  




ศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก-ต้อเนื้อ ฟรี ดังกล่าว เกิดขึ้นจากพลังแห่งศรัทธาในบุญและบาป โดย ครั้งหนึ่งคุณธานินทร์เคยถูกลอบยิงเกือบเอาชีวิตไม่รอด สาเหตุเกิดจากสองสามีภรรยาซึ่งเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในแวดวงสังคม   เอาภาพถ่ายของตัวเองขณะยืนอยู่หน้าทัชมาฮาลวางติดไว้ด้านบนผนังด้านบน   และเอารูปเจ้าแม่อุมาเทวีวัดแขกไว้ด้านล่าง เมื่อคุณธานินทร์เห็นเข้าจึงรู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่สมควร พร้อมกับเขียนเรื่องนี้ลงในหนังสือของตัวเองเพื่อบอกให้ประชาชนได้รับรู้  
ประเด็น นี้เองอาจสร้างความโกรธแค้นและกลายเป็นชนวนลอบสังหาร โดยเขาถูกมือปืนยิงบริเวณหน้าบ้านย่านสีลม ลูกปืนเข้าที่ศีรษะทำให้ต้องรักษาตัวอยู่ที่ห้องไอซียู รพ.กรุงเทพคริสเตียน นานถึง   45   วัน และต้องทำการผ่าตัดถึง   6   ครั้ง  
' เป็น ช่วงเวลาที่ได้เห็นคนเสียชีวิตมากมายมหาศาล สัจธรรมเกิดขึ้นมาทันทีว่าภาพที่เห็นคนตาย คิดในทางบวกถือเป็นความสุข เพราะไม่ได้นอนกับคนที ่รักเราอย่างเดียว แต่ได้นอนกับคนที่ต้องตายทุกวัน คิดว่าน้อยคนนักที่จะได้มานอนกับคนตายแบบนี้ ระหว่างที่อยู่ไอซียูยังได้ยินเสียงทุกคนพูดตรงกัน คงอยู่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่ครึ่งชั่วโมงนั้นทำให้รอดตายมาได้ นับว่าโชคดีและเป็นบุญอย่างหนึ่ง ถามว่าสะทกสะท้านกับความตายไหม บอกได้เลยว่าไม่มี เลยได้คารมเด็ดๆในชีวิตว่า ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา ไม่เสียดายเวลาถ้าสิ้นไป เพราะว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว '  
เหตุนี้ ชีวิตที่เหลืออยู่ เขาจึงขอแทนคุณแผ่นดินด้วยการตั้งศูนย์ผ่าตัดต้อกระจกขึ้น เพื่อรักษาผู้ยากไร้   ' วันนั้นคิดว่า ถ้าผมกลับมาได้จะตอบแทนบุญคุณให้กับแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่ได้ยังไง ถ้าไปกิน-นอนอยู่ กับใครสักคนโดยไม่ทำอะไรให้ แต่อยู่อย่างสุขสบายไม่ช่วยเหลือและเกื้อกูล ไม่ทำอะไรให้เลย เขาจะเรียกว่าเนรคุณไหม และถ้าผมอยู่ในแผ่นดินนี้ ไม่ช่วยเหลือแล้ว ยังกอบโกยโกงกินผืนแผ่นดิน เขาจะเรียกผมว่าทรราชของแผ่นดินหรือเปล่า '   ชีวิตเฉียดตายทำให้เข้าใจในความเป็นมนุษย์และบุญคุณที่ต้องทดแทนแผ่นดิน  
เมื่อแนวคิดในการเปิดศูนย์ผ่าตัดต้อกระจกทำท่าว่าจะเป็นจริง คุณธานินทร์จึงปรึกษากับ นพ. วิทิต อรรณเวชกุล ผอ.โรง พยาบาลบ้านแพ้วในขณะนั้นทันที แม้คุณหมอจะถามย้ำถึงความเชื่อมั่นว่าทำแน่หรือ เพราะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล แต่เขากลับมั่นใจว่าต้องทำได้  
' เมื่อ ปรึกษาหารือกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงสั่งซื้ออุปกรณ์การผ่าตัดดวงตาจากต่างประเทศ และสั่งซื้อรถห้องผ่าตัดเคลื่อนที่หลายสิบล้านบาท โดยเงินทั้งหมดในการซื้ออุปกรณ์เป็นเงินส่วนตัวของผมที่ได้เก็บสะสมตลอดทั้ง ชีวิต ผมต้องการช่วยเหลือชาวบ้านผู้ยากไร้ คนไทยในแผ่นดินด้วยกัน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว '  
จากนั้นเขาได้จัดทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ลงพื้นที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี โดยครั้งนั้นมีผู้ป่วยถึง   200   ราย หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดต้อกระจก และสามารถ มองเห็นอีกครั้ง ทุกคนต่างร้องไห้ดีใจ วิ่งเข้ามากอดเขาด้วยความซาบซึ้ง  
ตลอดเวลา   3   ปีที่ผ่านมา ศูนย์แห่งนี้สามารถทำให้ผู้ที่เป็นต้อกระจกมองเห็นได้ประมาณ   600,000   ราย และในปี   2549   พบผู้ป่วยตกค้างสะสมกว่า   100,000   ราย ณ วันนี้หากถามว่าเหนื่อยไหม คุณ ธานินทร์ ตอบกลับทันทีว่า   ' ไม่เหนื่อยเลย '   เพราะแม้ กำลังกายจะสู้คนอื่นไม่ได้ หรือกำลังเงินอาจสู้ประชาชนคนรวยไม่พอ แต่เขาเชื่อว่ากำลังใจของเขาใหญ่กว่าคนรวยในแผ่นดินไทยมากมายมหาศาล  
' ผม มาช่วยเหลือชาวบ้าน เพราะผมแบกความจนเอาไว้ การแบกความจนจะทำให้รู้ว่าเกิดเป็นคนอย่าลืมตัว เกิดเป็นวัวอย่าลืมตีน ดังนั้น ถ้าเราแบกความจนเอาไว้จะไม่ลืมความจนเลย   วันนี้เราแบกความจนเอาไว้ก็จะพาประชาชนพ้นทุกข์ได้ และหากเราแบกความรวยเอาไว้เมื่อไร เราจะกลายเป็นคนลืมตัว   ถ้าตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันก็ยังมีคนยากจนอยู่ในแผ่นดินนี้   ขอกลับลงมาเกิดในแผ่นดินนี้ดีกว่า ผมไม่ได้คิดที่จะเปิดศูนย์นี้เท่านั้น   แต่มีความตั้งใจจะสร้าง ร.ร.อนุบาลเรารักในหลวง เพื่อต้องการปลูกรากแก้วให้กับเด็กๆ '   เขาเล่าถึงสิ่งที่ได้ช่วยเหลือชาวบ้านให้หมดทุกข์ ด้วยแววตาที่มุ่งมั ่นเช่นเดิม  

ชีวิต ที่เหลืออยู่ของ ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ เขาขอเดินรอยตามพระยุคลบาทองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะสิ่งที่ผู้ชายคนนี้แบกไว้ ไม่ใช่ความรวย ไม่ใช่ความดี แต่คือ   ' ความจน '   ที่เขาจะแบกไปตลอดชีวิต...  
ผู้ ที่ประสงค ? ผ่าต้อกระจกฟรี หรือต้องการฟอกไตฟรี กรุณาติดต่อไปยังโรงพยาบาลบ้านแพ้ว และนายชูศักดิ์ แก้วสุริยอร่าม บริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด อาคารพระมหากรุณาธิคุณ เลขที่   98   ซอยสุขุมวิท   24   ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม.   10110  

ฟอกไต   :   โทร.   02-262 9454-5  
โรคเกี่ยวกับตา   :   โทร.   089-889 0097, 02-261 8213-7  

โดยผู้ป่วยที่ประสงค์ผ่าต้อกระจกฟรี กรุณาเตรียมบัตรประชาชน และบัตรทองมาด้วย และสามารถรับการตรวจได้ในวันจันทร์   -   วันศุกร์ เวลา   08.00   น.-   11.00   น.  
ข้อมูลส่วนหนึ่งจาก   :  

http://www.jsl.co.th/minisite/index.php?tv=0006&sec=hilight&hilight=3909  


โครงการคืนแสงสว่างให้ผู้ป่วยต้อกระจกและต้อเนื้อ   ขอเรียนเชิญผู้ป่วยทุกท่านมารับ บริการผ่าตัดต้อต้อกระจกและต้อเนื้อ ฟรี โดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น  
โดยมีแพทย์ของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว(องค์การมหาชน) สาขาสุขุมวิท ซอย   24   ติดต่อได้ที่
บริษัททาสของแผ่นดิน จำกัด ( 02-2629454-5, 02-2618213-7)   เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์   8.00-17.00   น.  
เลขที่   99/359-360   ซอยสุขุมวิท   24( เกษม) ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร   10110  
โทร   02 262 9454-5   แฟ็กซ์   02 262 9454  
**** เอกสารที่ต้องนำมาด้วย ถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรทอง อย่างละ   2   ใบ แพทย์จะทำการตรวจคนไข้ใหม่เฉพาะวันพุธและวันศุกร์ กรุณาโทรแจ้งล่วงหน้า****  
คน บางคนอาจจะเห็นว่าไม่สำคัญแต่สำหรับบางคนอาจจะต้องการแสงสว่างเพื่อที่จะทำ ให้ชีวิตเค้ามีค่ามากว่าอยู่ในความมืดมัว ถ้าใครมีจิตศรัทธาที่จะทำบุญช่วยกัน บอกต่อๆไปด้วย การทำบุญด้วยการให้แสงสว่ างแก่คนมาค่ามากกว่าสิ่งใดเพราะมันจะช่วยให้ชีวิต หนึ่งชีวิตที่พวกคุณหยิบยื่นไปให้ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง  
*   เช็คข้อมูลออกหน่วย  
-   โรงพยาบาลฝาง อ.ฝาง จ. เชียงใหม่  
-   โรงพยาบาลยุพราช ท่าบ่อ อ.ศรีเชียงใหม่ หนองคาย  
-   โรงพยาบาลหนองจอก อ.หนองจอก กรุงเทพฯ  
-   โรงพยาบาลยุพราช อ. เดชอุดม อุบลราชธานี

โปรดช่วยกระจายข่าวด้วยนะครับเพื่อผู้ป่วยต้อกระจกจะได้มองเห็นโลกได้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
 



 
 
 
 



อ้อย  เราอยากให้แก้ไขข้อมูลตอนท้ายนิดหนึ่งนะ
โรงพยาบาลยุพราชท่าบ่อ
โรงพยาบาลยุพราช อ.เดชอุดม
ต้องเขียนให้ถูกว่า  โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ
                           โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม
หรือ ถ้าจะเขียนตัวย่อก็เขียน รพร.ท่าบ่อ    รพร.เดชอุดม
แล้วก็ รพร.ท่าบ่อ  อยู่ อำเภอ ท่าบ่อ  จังหวัดหนองคาย จ้ะ
      บันทึกการเข้า
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #70 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2552, 10:24:32 »

ขอบคุณมาก  เดี๋ยวจะแก้ไขให้จ้ะ
ช่วงนี้คงได้เข้ามาบ่อยๆ  เพราะเทศบาลเมืองโคราชขอความร่วมมือโรงเรียนในเขตเทศบาล
ให้หยุดเรียนเพื่อทำความสะอาดเมืองตั้งแต่ 4-10 ส.ค.52
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #71 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2552, 22:02:23 »

อันตราย ! ฝาครอบแก้วชาไข่มุก ... หยุดลมหายใจ
> ปุ๊ ! เสียงหลอดกาแฟอันโตกระแทกเจาะฝาครอบแก้วชาไข่มุก
> เศษฝาพลาสติกแผ่นกลมขนาดเท่าปลายหลอดตกลงสู่ก้นแก้ว
> ฉันดูดเครื่องดื่มสุดโปรดอย่างหิวกระหายและ
> กระดกแก้วกินน้ำแข็งจนเกลี้ยงตามความเคยชิน

> เมื่อจะทิ้งแก้วลงถังขยะ
> ฉันแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นเศษฝาพลาสติกอยู่ในแก้วเหมือนทุกคราว
> แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

> สักพัก รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ ติดอยู่ในคอ
> แม้จะพยายามล้วงและดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้อาเจียน
> แต่สิ่งนั้นก็ไม่ยอมหลุดออกมา
> ฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เริ่มติดขัด
> อาจารย์และเพื่อน ๆ จึงรีบพาส่งโรงพยาบาล
> เมื่อไปถึงโรงพยาบาล
> หลังจากรอหมออยู่เกือบสองชั่วโมง หมอก็ให้ลองกลืนน้ำดู
> ปรากฎว่ามีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่จริง
> ตามด้วยการเอกซเรย์ ซึ่งสูญเปล่า เพราะไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมนั้นเลย
> จึงตัดสินใจให้วางยาสลบเพื่อส่องกล้องตรวจหาต้นเหตุ
> ระหว่างนั้นฉันยังรู้สึกตัวดีอยู่ทุกอย่าง
> จนกระทั่งหลังวางยาสลบ
> ท่อส่องทางเดินอาหารขนาดใหญ่ประมาณท่อประปาขนาดเล็ก
> สอดจากปากผ่านลงไปตามทางเดินอาหาร
> แต่ไม่รู้ด้วยโชคร้ายของฉัน
> หรือด้วยความประมาทเลินเล่อของใคร
> แทนที่เจ้าท่อนี้จะเป็นอุปกรณ์ในการตรวจเพื่อช่วยชีวิตฉัน
> หลังการตรวจ
> มันกลับทำให้ฉันรู้สึกปวดแน่นหน้าอกและหลังอย่างสุดจะบรรยาย
> เมื่อฟื้นจากยาสลบ แม่บอกว่าฉันปากซีด ตัวเขียว และไข้ขึ้น
> ผิดกับเมื่อตอนก่อนส่องกล้องราวกับคนละคน
> จนแม่ใจหาย รีบตามหมอกลางดึก

> การกลืนแป้งเพื่อเอกซเรย์เริ่มขึ้น
> ผลปรากฎว่า หลอดอาหารทะลุ ต้องผ่าตัดด่วน
> แต่แม่ไม่มีเงิน อย่าว่าแต่ค่าผ่าตัดที่สูงลิบลิ่วของโรงพยาบาลเอกชนเลย
> แม้แต่ค่าตรวจทั้งหลายก่อนหน้านี้
> ที่เกินวงเงินการประกันอุบัติเหตุของนักศึกษา เพียงไม่กี่พันบาท
> แม่ก็ไม่มี ทางโรงพยาบาลจึงขอยึดบัตรประชาชนของแม่ไว้
> เพื่อเป็นหลักประกันให้แม่หาเงินส่วนเกินมาชำระในภายหลัง
> หมอที่ส่องกล้องแนะนำให้ย้ายฉันไปโรงพยาบาลรัฐบาลที่เขาประจำอยู่
> แต่แม้จะเป็นโรงพยาบาลรัฐบาลก็ต้องคุยกันเรื่องค่าใช้จ่ายเช่นกัน
> แม่จึงวิ่งวุ่นติดต่อเรื่องใช้สวัสดิการบัตรประกันสุขภาพ 30 บาท
> กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็เกือบเที่ยง
> นั่นแหละฉันจึงได้รับการผ่าตัด
>
> การผ่าตัดใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง
> เพราะรอยทะลุที่หลอดอาหารอยู่ใกล้ปอด
> น้ำย่อยจะไหลเข้าไปในปอดซึ่งอันตรายมาก
> หมอต้องผ่าตัดเปิดซี่โครงจากราวนมด้านซ้ายไปจนถึงสันหลังอีกข้าง
> แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่สามารถซ่อมแผลได้หมด
> เพราะแผลในทางเดินอาหารเป็นทางยาว
> จากต้นคอถึงกระเพาะ ยาวถึง 30 เซนติเมตร

> สามวันหลังผ่าตัด ฉันลืมตาขึ้นมาพร้อมสายระโยงระยางเต็มตัว
> สายจากจมูกทั้งสองข้างเพื่อเอาน้ำย่อยในกระเพาะออกมา
> สายที่ไว้ดูด น้ำมูก น้ำลาย สายที่ต่อจากบริเวณซี่โครงที่ผ่าตัดเพื่อเอาเลือดจากแผลออกมา
> สายให้เลือด สายน้ำเกลือ

> สิบเอ็ดวันที่อยู่โรงพยาบาลเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
> กินอาหารไม่ได้อยู่เป็นอาทิตย์
> ยิ่งเวลานอนจะรู้สึกทรมาน
> เพราะเจ็บที่บริเวณแผลผ่าตัดเป็นที่สุด
> หมอที่ส่องกล้อง ซึ่งช่วยหาหมอผ่าตัดให้
> มาสารภาพในภายหลัง ว่า...
> แผลในทางเดินอาหารที่ยาวเหยียด
> เกิดจากการส่องกล้องไปดันเอาเศษแผ่นพลาสติก
> ซึ่งติดอยู่ที่ระหว่างหลอดลมและหลอดอาหารให้ครูดบาดไปตลอดทางเดินอาหาร


> แต่อย่างไรเขาก็ติดต่อหาหมอผ่าตัดที่เชี่ยวชาญให้
> เ และเป็นความผิดพลาดที่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ
> เพราะมองไม่เห็นแผ่นพลาสติกแก้วที่ติดอยู่ที่หลอดลม/ หลอดอาหาร

> กรุณาช่วยส่งต่อเพื่อนๆ พี่ๆ
> เพื่อเตือนภัยคนที่เรารักและเป็นห่วงนะคะ
กินชาไข่มุก แก้วต่อไป ระวังนะคะ
> แผ่นพลาสติกที่เจาะทะลุจากตัวแก้ว...
> อันตรายถึงชีวิตได้
> บอกลูกหลานด้วย
> โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ชอบซื้อเครื่องดื่มทานเองค่ะ
> ฝาครอบแก้วที่ต้องเจาะรู... ผู้ปกครองควรช่วยดูแล
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #72 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2552, 22:04:28 »

อย่าเปิดเครื่องปรับอากาศ (แอร์) ทันทีที่คุณขึ้นรถ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณจอดรถตากแดดไว้ ให้เปิดหน้าต่างหลังจากขึ้นรถ และอย่าเปิดแอร์ทันที ตามผลการวิจัย แผงหน้าปัทม์ (คอนโซล) เบาะที่นั่ง และน้ำหอมปรับอากาศ จะสร้างสารเบนซีน ที่เป็นสารก่อมะเร็งขึ้น (อย่างที่คุณได้กลิ่่นเหมือนพลาสติคจาง ๆ ในรถ "โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถใหม่" : ผู้แปล)
นอกจากเป็นสาเหตุให้เป็นมะเร็งแล้ว สารดังกล่าวยังเป็นพิษต่อกระดูก ทำให้เกิดโรคโลหิตจาง และลดจำนวนเม็ดเลือดขาว ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เป็นโรคลูคีเมีย และอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์มารดาได้
ระดับของสารเบนซีนที่ยอมรับได้ในอาคาร / ในรถ คือ 50 มิลลิกรัม ต่อ ตารางฟุต แต่ระดับของสารเบนซีนในรถที่จอดอยู่ในร่มมีค่าอยู่ที่ 400 - 800 มิลลิกรัม หากรถจอดอยู่กลางแจ้งที่มีอุณหภูมิสูงเกินกว่า 60 องศาฟาร์เรนไฮท์ (15.5 องศาเซลเซียส "ในเมืองไทยจอดในร่มอุณหภูมิก็สูงเกินแล้ว" : ผู้แปล) ระดับของสารเบนซีนจะสูงขึ้นถึง 2000 -4000 มิลลิกรัม คือสูงกว่าระดับที่ยอมรับได้ถึง 40 เท่า คนที่อยู่ในรถจะหายใจเอาสารพิษที่สูงเกินมาตรฐานดังกล่าวเข้าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นจึงขอแนะนำว่าให้คุณเปิดประตู หน้าต่างรถ ไว้สักระยะเพื่อให้อากาศที่อยู่ในตัวรถออกมาก่อนจะเข้าไปนั่ง สารพิษที่ร่างกายคุณไม่สามารถขับออกได้โดยง่าย ซึ่งส่งผลร้ายต่อ ตับ ไต ไส้ พุง ("สองอันหลังเพิ่มเอง" : ผู้แปล) จะได้ลดปริมาณลง
"เมื่อใครบางคนแบ่งปันบางสิ่งที่มีค่ากับคุณ และคุณได้รับประโยชน์จากมัน คุณก็ควรจะแบ่งปันสิ่งนั้นให้กับผู้อื่นด้วย"

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #73 เมื่อ: 09 กันยายน 2552, 20:01:27 »

หญิงคนหนึ่ง ไปเติมแก็สที่ปั้มแก็ส มีชายมาเสนอบริการทาสี โดยยื่นนามบัตรให้ หญิงคนนั้นก็รับ
มาอ่าน แล้วถือเข้ามาในรถด้วย สักครู่เมื่อขับรถออกมาจากปั้มแก็ส ก็สังเกตว่าชายคนนั้นขับรถ
ตามมา และเธอก็รู้สึกว่า หายใจไม่ค่อยออก เธอรับเปิดหน้าต่าง และตระหนักว่ากลิ่นนั้นมาจาก
มือของเธอเอง ซึ่งเป็นมือข้างที่เธอรับนามบัตรมาจากชายคนนั้น เธอตัดสินใจขับรถและกดแตร
ดังไปตลอดทางเพื่อขอความช่วยเหลือ ชายคนนั้นจึงขับรถหนีไป
ยาที่ป้ายบนนามบัตร คือ ยา BURUNDANGA เพิ่อให ้เราหมดสติ ควบคุมตนเองไม่ได้ แล้วเจ้า
ตัวร้ายก็จะขโมยของและหรือข่มขืนเรา โดยยานี้มีประสิทธิภาพแรงกว่ายาที่ใช้ข่มขืนสาวๆ ถึง 4 เท่า
ดังนั้นอย่ารับ กระดาษ นามบัตร แผ่นพับ จากคนแปลกหน้านะจ๊ะ !!!! หรือแม้แต่คนที่แจกโฆษณา
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #74 เมื่อ: 09 กันยายน 2552, 20:03:28 »

พร 4 ข้อ ธรรมะ ท่าน ว.วชิรเมธี

คอลัมน์ WEEKLY TALK

 
 

1.อย่าเป็นนักจับผิด

คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่าหลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง "กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก"

คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส "จิตประภัสสร"

ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี "แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข"



2.อย่ามัวแต่คิดริษยา

"แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน"

คนเราต้องมี พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า "เจ้ากรรมนายเวร" ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์

ฉะนั้น เราต้องถอดถอน ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น "ไฟสุมขอน" (ไฟเย็น)

เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน

เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเรา โดยใช้วิธี "แผ่เมตตา" หรือซื้อโคมลอยมาแล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป



3.อย่าเสียเวลากับความหลัง

90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ "ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น"

มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขา พร้อมแบกเครื่องภาระต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย

ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ "อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน" "อยู่กับปัจจุบันให้เป็น"

ให้กายอยู่กับจิต

จิตอยู่กับกาย

คือมี "สติ" กำกับตลอดเวลา



4.อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ

"ตัณหา" ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ "ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม"

ทุกอย่างต้องดู "คุณค่าที่แท้จริง" ไม่ใช่คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกาคืออะไร ? คือไว้ดูเวลาไม่ใช่ใส่เพื่อความโก้หรู

คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือคืออะไร ? คือไว้สื่อสารองค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมเข้ามา อาจไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของโทรศัพท์

เราต้องถามตัวเองว่า "เกิดมาทำไม" คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน ตามหา "แก่น" ของชีวิตให้เจอ

คำว่า "พอดี" คือ ถ้า "พอ" แล้วจะ "ดี"

รู้จัก "พอ" ชีวิตจะมีความสุข... Cheesy
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #75 เมื่อ: 09 กันยายน 2552, 20:10:05 »

ลูก ๆ ทุกคน...ก็ได้รู้กันแล้วว่า
ความหวังของแม่ ที่มีต่อลูก ๓ หวัง คือ


ยามแก่เฒ่า ... หวังเจ้า ... เฝ้ารับใช้

ยามป่วยไข้ ... หวังเจ้า ... เฝ้ารักษา

เมื่อถึงยาม ... ต้องตาย ... วายชีวา

หวังลูกช่วย ... ปิดตา ... เมื่อสิ้นใจ

ที่นี้...มาดูตัวอย่างบ้าง..บุคคลที่เป็นยอดกตัญญู ที่ประทับใจอาจารย์มากที่สุด คือใคร ทราบไหม? คือคนในภาพนี้...


ในหลวงของเรา... ในหลวง...นอกจากจะเป็นยอดพระมหากษัตริย์ของโลก...เป็น THE KING OF KINGS แล้ว ในหลวงของเรายังเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูด้วย
ความหวังของแม่...ทั้ง ๓ หวัง ในหลวงปฏิบัติได้ครบถ้วน ... สมบูรณ์ เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ให้แก่พวกเรา ในหลวงทำกับแม่ยัง ? ตามอาจารย์มา...อาจารย์จะฉายภาพให้เห็น

หวังที่ ๑. ยามแก่เฒ่า.. หวังเจ้า...เฝ้ารับใช้... ใครเคยเห็นภาพที่สมเด็จย่า เสด็จไปในที่ต่างๆ แล้วมีในหลวง..ประคองเดินไปตลอดทาง...เคยเห็นไหม...? ใครเคยเห็น..กรุณายกมือให้ดูหน่อย ... ขอบคุณ...เอามือลง

ตอนสมเด็จย่าเสด็จไปไหนเนี่ย... มีคนเยอะแยะ .. มีทหาร...มีองครักษ์ ...มีพยาบาล.. ที่คอยประคองสมเด็จย่าอยู่แล้ว แต่ในหลวงบอกว่า

“ไม่ต้อง....คนนี้...เป็นแม่เรา...เราประคองเอง”

ตอนเล็ก ๆ แม่ประคองเรา ..สอนเราเดิน หัดให้เราเดิน... เพราะฉะนั้น..ตอนนี้แม่แก่แล้ว...เราต้องประคองแม่เดิน
เพื่อเทิดพระคุณท่าน...ไม่ต้องอายใคร

เป็นภาพที่...ประทับใจมาก... เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านกตัญญูต่อแม่ ประคองแม่เดิน ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ ... สองข้างทาง ฝั่งนี้ ๕,๐๐๐ คน ฝั่งนู๊น.......๘,๐๐๐ คน

ยกมือขึ้น สาธุ แซ่ซ้อง สรรเสริญ “กษัตริย์ยอดกตัญญู...”
ในหลวง..เดินประคองแม่.. คนเห็นแล้ว... เขาประทับใจ ถ่ายรูป...เอามาทำปฏิทิน...
เอาไปติดไว้ที่บ้าน เพื่อแสดงความเคารพ...กราบไหว้

ลองหันมาดูพวกเรา...ส่วนใหญ่ เวลาออกไปไหน แต่งตัวโก้...ลูกชาย..แต่งตัวโก้... ลูกสาว..แต่งตัวสวย... แต่เวลาเดิน...ไม่มีใครประคองแม่...กลัวไม่โก้...กลัวไม่สวย ข้าราชการ...แต่งเครื่องแบบเต็มยศ... ติดเหรียญตรา...เหรียญกล้าหาญ...เต็มหน้าอก... แต่เวลาเดิน... ไม่กล้าประคองแม่... กลัวไม่สง่า... กลัวเสียศักดิ์ศรี...ประคองแม่..... เป็นเรื่องของ..คนใช้...หลายคน..ให้ประคองแม่..ไม่กล้าทำ....อาย

เวลาทำดี.. ไม่กล้าทำ...อาย , เวลาทำชั่ว...กล้า....ไม่อาย...

ใครเห็นภาพนี้ที่ไหน..กรุณาซื้อใส่กรอบ... แล้วเอาไปแขวนไว้ที่บ้าน...เาอไว้สอนลูกเห็นภาพชัดเจนไหมครับ? เท่านั้น ... ยังน้อยไป...มาดูภาพที่ชัดเจนกว่านั้น

หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่า...เสร็จสิ้นลงแล้ว ราชเลขา..ของสมเด็จย่า
มาแถลงในที่ประชุม...ต่อหน้าสื่อมวลชน...ว่า...ก่อนสมเด็จย่า จะสิ้นพระชนม์ ปีเศษ
ตอนนั้นอายุ ๙๓ ในหลวง...เสด็จจากวังสวนจิตร..ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน

ไปทำไมครับ...? ไปกินข้าวกับแม่... ไปคุยกับแม่...ไปทำให้แม่...ชุ่มชื่นหัวใจ... พอเขาแถลงถึงตรงนี้ อาจารย์ตกตะลึง

โฮ้โห้!...ขนาดนี้เชียวหรือในหลวงของเรา

เสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่... สัปดาห์ละกี่วัน...ทราบไหมครับ ? พวกเราทราบไหมครับ...สัปดาห์ละกี่วัน ? ... ๕ วัน …

มีใครบ้างครับ...? ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่ ...สัปดาห์ละ ๕ วัน หายาก...

ในหลวง มีโครงการเป็นร้อย...เป็นพันโครงการ... มีเวลาไปกินข้าวกับแม่..สัปดาห์ละ ๕ วัน พวกเรา ซี๗ ซี๘ ซี๙ ร้อยเอก..พลตรี...อธิบดี...ปลัดกระทรวง ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่ ....บอกว่า..งานยุ่ง

แม่บอกว่า... ให้พาไปกินข้าวหน่อย..บอกว่าไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ... ไม่มี...เวลาพาแม่ไปกินข้าว... แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ...เห็นตัวเองหรือยัง...?

พ่อแม่.. แก่แล้ว ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง... ฝนตก..น้ำเซาะ .. อีกไม่นานโค่น...พอถึงวันนั้น...เราก็ไม่มีแม่ให้กราบแล้ว...

ในหลวงจึงตัดสินพระทัย... ไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ ๕ วัน เมื่อตอนที่สมเด็จย่าอายุ....๙๓

สัปดาห์หนึ่งมี ๗ วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่ ๕ วัน อีก ๒ วันไปไหนครับ ...? ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์ ... องคมนตรี บอกว่า...

ในหลวง...ถือศีล ๘ วันพระ ...ถึอศีล ๘ นี่ยังไง...? ต้องงดข้าวเย็น... เลยไม่ได้ไปหาแม่...วันนี้เพราะถือศึล อีกวันหนึ่งที่เหลือ... อาจจะกินข้าวกับพระราชินี...กับคนใกล้ชิดแต่ ๕ วัน...ให้แม่ เห็นภาพชัดแล้วใช่ไหม...?

ตอนนี้เราขยับเข้าไปใกล้ ๆ หน่อย ไปดูตอนกินข้าว ... ทุกครั้ง...ที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า... ในหลวงต้องเข้าไปกราบ ที่ตัก ... แล้วสมเด็จย่า...ก็จะดึงตัวในหลวง
เข้ามากอด กอดเสร็จก็หอมแก้ม

ใครเคยเห็นภาพสมเด็จย่า..หอมแก้มในหลวงบ้าง...? ภาพนี้...ถ้าใครมี...ต้องเอาไปใส่กรอบ เป็นภาพความรักของแม่..ที่มีต่อลูก..อย่างยอดเยี่ยม

ตอนสมเด็จย่า..หอมแก้มในหลวง...อาจารย์คิดว่า แก้มในหลวง...คงไม่หอมเท่าไหร่..เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม แต่ทำไม...สมเด็จย่าหอมแล้ว...ชื่นใจ.. เพราะท่าได้กลิ่นหอม... จากหัวใจในหลวง หอมกลิ่นกตัญญู
ไม่นึกเลยว่า...ลูกคนนี้ จะกตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้

ตัวแม่เอง คือ สมเด็จย่า..ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนธรรมดา...สามัญชน...เป็นเด็กหญิงสังวาลย์

เกิดหลังวัดอนงค์...เหมือนเด็กหญิงทั่วไป... เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้ในหลวงหน่ะ... เกิดมา เป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า
ปัจจุบันเป็นกษํตริย์..เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว
แต่ในหลวง..ทีเป็นพระเจ้าแผ่นดิน.... ก้มลงกราบ..คนธรรมดาที่เป็นแม่

หัวใจลูก...ที่เคารพแม่...กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว... คนบางคน... พอเป็นเป็นโต ไม่กล้าไหว้แม่... เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ... เป็นชาวนา...เป็นลูกจ้าง... ไม่เคารพแม่...ดูถูกแม่....

แต่นี่...ในหลวง เทิดแม่ไว้เหนือหัว... นี่แหละครับความหอม

นี่คือเหตุที่สมเด็จย่า...หอมแก้มในหลวงทุกครั้ง...ท่านหอมความดี...หอมคุณธรรม....หอมกตัญญู..ของในหลวง หอมแก้มเสร็จแล้ว..ก็ร่วมโต๊ะเสวย... ตอนกินข้าวนี่...ปกติ...แค่เห็นลูกมาเยี่ยมก็ชื่นใจแล้ว

นี่ลูกมากินข้าวด้วย..โอย..ยิ่งปลื้มใจ

แม่ทั้งหลาย...ลองคิดดูซิ...อะไรอร่อย ๆ ในหลวงจะตักใส่ช้อนแม่...อันนี้อร่อย...แม่ลองทาน... รู้ว่าแม่ชอบทานผัก... หยิบผักมาม้วน ๆ ใส่ช้อนแม่... เอ้าแม่...แม่ทานซะ...ของที่แม่ชอบ แทนที่จะกินแค่ ๓ คำ ๔ คำ ก็เจริญอาหาร...กินได้เยอะ เพราะมีความสุขที่ได้กินข้าวกับลูก มีความสุขที่ลูกดูแล...เอาใจใส่...

กินข้าวเสร็จแล้ว..ก็มานั่งคุยกับแม่...ในหลวงดำรัสกับแม่ว่าไง..ทราบไหม..?

ตอนในหลวงเล็ก ๆ แม่เคยสอนอะไรที่สำคัญ “อยากฟังแม่สอนอีก”
เป็นยังไงบ้าง..? เป็นกษัตริย์.. ปกครองประเทศอยากฟังแม่สอนอีก

พวกเราเป็นยังไง..? เราคิดว่า..เรารู้มาก...เราเรียนสูง...เรามีปริญญา...แม่จบ ป.๔

เวลาแม่สอน...ตะคอกแม่ ตวาดแม่ กระทืบเท้าใส่แม่ เบื่อจะตายอยู่แล้ว ... รำคาญ... พูดจาซ้ำซาก.. เมื่อไหร่จะหยุดพูดซะที... เราเหยียบย่ำ หัวใจแม่...

พอสมเด็จย่าสอน.. ในหลวงจะเอากระดาษมาจด.. มีอยู่เรื่องหนึ่ง.. ที่จำได้แม่น สมเด็จย่าเล่าว่า... ตอนเรียนหนังสือที่ Swiss ในหลวงยังเล็กอยู่...เข้ามาบอกว่า..อยากได้รถจักรยาน เพื่อน ๆ เขามีจักรยานกัน

แม่บอกว่า... “ลูกอยากได้จักรยาน.. ลูกก็เก็บสตางค์... ที่แม่ให้ไปกินที่โรงเรียนไว้ซิ” ...เก็บมาหยอดกระปุก..วันละเหรียญ.. สองเหรียญ พอได้มากพอ
...ก็เอาไปซื้อจักรยาน...

นี่คือสิ่งที่แม่สอน ... แม่สอนอะไร.. ทราบไหมครับ ..?

ถ้าเป็นพ่อแม่บางคน... พอลูกขอ .. รีบกดปุ่ม ATM ให้เลย ประเคนให้เลย... ลูกก็ ฟุ้งเฟ้อ ...ฟุ่มเฟือย ..เหลิง .. และหลงตัวเอง พอโตขึ้น .. ขับรถเบนซ์ชนตำรวจ.. ก็
ได้.. ยิงตำรวจ .. ยังได้ ..เพราะหลงตัวเอง ..พ่อตนใหญ่ เห็นไหม.. ? ตามใจ เทิดทูน จนเสียคน ...

แต่สมเด็จย่านี่ ...เป็นยอดคุณแม่... สร้างคุณธรรมให้ลูก ... ลูกอยากได้..ลูกต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้...ไปหยอดกระปุก

แม่สอน 2 เรื่อง คือ ให้ประหยัด ... ให้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง

“ความประหยัด...เป็นสมบัติของเศรษฐี” ใครสอนลูกให้ประหยัดได้ ... คนนั้นกำลังมอบความเป็นเศรษฐีให้แก่ลูก

พอถึงวันปีใหม่... สมเด็จย่าก็บอกว่า... “ปีใหม่แล้ว... ไปซื้อจักรยานกัน”“เอ้า .. แคะกระปุก..ดูซิว่ามีเงินเท่าไร...?” เสร็จแล้ว ... สมเด็จย่าก็แถมให้... ส่วนที่
แถมนะ... มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก


มีเมตตา... ให้เงินลูก...ให้ .. ไม่ได้ให้เปล่า... สอนลูกด้วย.. สอนให้ประหยัด สอนว่า... อยากได้อะไร... ต้องเริ่มจากตัวเรา... คำสอนนั้น.. ติดตัวในหลวง
มาจนทุกวันนี้.....เขาบอกว่า... ในสวนจิตรเนี่ย... คนที่ประหยัดมากที่สุด... คือ... ในหลวง.. ประหยัดที่สุด ..ทั้งน้ำ.. ทั้งไฟ... เรื่องฟุ้งเฟ้อ...ฟุ่มเฟือย.. ไม่มี..เป็นอันว่า ..ภาพนี้ .. ชัดเจน...

หวังที่ ๒. ยามป่วยไข้.. หวังเจ้า..เฝ้ารักษา ดูว่าในหลวง ทำกับแม่ ยังไง... ? สมเด็จย่า.. ประชวร อยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช .. ในหลวงไปเยี่ยม .. ตอนไหนครับ.. ?

ไปเยี่ยมตอน ตี 1 ตี 2 ตี 4 เศษๆ ... จึงเสด็จกลับ... ไปเฝ้าแม่วันละ หลายชั่วโมง ...

แม่... พอเห็นลูกมาเยี่ยม.. ก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ทีมแพทย์ ที่รักษาสมเด็จย่า.. เห็นในหลวงมาเยี่ยม มาประทับ ก็ต้องฟิต... ตามไปด้วย ต้องปรึกษาหารือกันตลอดว่า .. จะให้ยายังไง .. จะเปลี่ยนยาไหม..? จะ
ปรับปรุงการรักษายังไง.. ให้ดีขึ้น.. ทำให้สมเด็จย่า.. ได้รับการดูแล ที่ดีขึ้น... เห็นภาพไหม...?

กลางคืน... ในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่า... คืนละหลายชั่วโมง... ไปให้ความอบอุ่นทุกคืน

ลองหันมาสำรวจตัวเราเองซิ... ตอนพ่อแม่ป่วย... โผล่หน้าเข้าไปดูหน่อยนึง ถามว่า.. ตอนนี้.. อาการเป็นยังไง... ?

พ่อแม่...ยังไม่ทันตอบเลย ฉันมีธุระ งานยุ่ง ต้องไปแล้ว... โผล่หน้าไปให้เห็น .. พอแค่เป็นมารยาท... แล้วก็กลับ... เราไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู ... เราไม่ได้ไปเพื่อ
ทดแทนพระคุณท่าน... น่าอายไหม... ?

ในหลวง... เสด็จไปประทับกับแม่... ตอนแม่ป่วย.. ไปทุกวัน... ไปให้ความอบอุ่น.. ประทับอยู่วันละหลายชั่วโมง.. นี่คือ.. สิ่งที่ในหลวงทำ

คราวหนึ่ง ... ในหลวงป่วย.. สมเด็จย่า... ก็ป่วย... ไปอยู่ศิริราช..ด้วยกัน... อยู่คนละมุมตึก.. ตอนเช้า..ในหลวงเปิดประตู... แอ๊ด... ออกมา... พยาบาลกำลังเข็นรถ
สมเด็จย่า... ออกมรับลมผ่านหน้าห้องพอดี

ในหลวง...พอเห็นแม่...รีบออกจากห้อง... มาแย่งพยาบาลเข็นรถ มหาดเล็ก..กราบทูลว่า ไม่เป็นไร .. ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว ในหลวงมีรับสั่งว่า... แม่ของเรา ... ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น... เราเข็นเองได้

นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน.. เป็นกษัตริย์... ยังมาเดินเข็นรถให้แม่ ยังมาป้อนข้าว.. ป้อนน้ำให้แม่... ป้อนยาให้แม่ให้ความอบอุ่นแก่แม่ ... เลี้ยงหัวใจแม่... ยอดเยี่ยมจริงๆ ... เห็นภาพนี้แล้ว ... ซาบซึ้ง...

มาตามดูต่อ ....

หวังที่ ๓. เมื่อถึงยาม.. ต้องตาย..วายชีวา.. หวังลูกช่วย..ปิดตา ..เมื่อสิ้นใจ... วันนั้น...ในหลวง..เฝ้าสมเด็จย่า อยู่จนถึงตี 4 ตี 5 เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน... จับมือแม่... กอดแม่... ปรนนิบัติแม่... จนกระทั่ง “แม่หลับ...” จึงเสด็จกลับ...

พอไปถึงวัน ... เขาโทรศัพท์มาแจ้งว่า... สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์... ในหลวง...รีบเสด็จกลับไป...ศิริราช ... เห็นสมเด็จย่า.. นอนหลับตาอยู่บนเตียง .. ใน
หลวงทำยังไงครับ... ?

ในหลวงตรงเข้าไป...คุกเข่า... กราบลงที่หน้าอกแม่... พระพักตร์ในหลวง... ตรงกับหัวใจแม่... “ขอหอมหัวใจแม่... เป็นครั้งสุดท้าย.....” ซบหน้านิ่ง.. อยู่นาน ... แล้วค่อยๆ เงยพระพักตร์ขึ้น... น้ำพระเนตรไหลนอง...

ต่อไปนี้... จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว ..เอามือ.. กุมมือแม่ไว้ มือนิ่มๆ .. ที่ไกวเปลนี้แหละ ที่ปั้นลูก... จนได้เป็น กษัตริย์... เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง... ชีวิตลูก ... แม่ปั้น...



มองเห็นหวี... ปักอยู่ที่ผมแม่... ในหลวงจับหวี.. ค่อยๆ หวีผมให้แม่... หวี...หวี..หวี..... หวี..ให้แม่สวยที่สุด... แต่งตัวให้แม่.. ให้สวยที่สุด... ในวันสุดท้ายของแม่...

เป็นภาพประทับใจอาจารย์ที่สุด... สุดยอดของลูกกตัญญู... หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว

กษัตริย์ ... ยอดกตัญญู
ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ
คัดลอกจากหนังสือเรื่อง หยุดความเลว... ที่... ไล่ล่าคุณ

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
narongb
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 100

« ตอบ #76 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2552, 22:23:38 »

ทำไมพิมพ์เก่งจัง
      บันทึกการเข้า
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #77 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:03:35 »

หน้าที่พ่อ+แม่

ตอนที่ผมเพิ่งแต่งงานนั้น
ผมมีความคิดว่าเป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้ชาย
ที่จะต้องหาเงินเข้าบ้าน
ยิ่งหาเงินได้มาก ก็แสดงว่าทำหน้าที่สามีและพ่อได้ดี

ผมคิดง่ายๆว่า ถ้าผมทุ่มเทเวลา+สติปัญญาหาเงินมากๆ
จนมีเงินมากพอที่จะใช้ได้ตลอดชีวิต
(ผมเป็นคนไม่สุรุ่ยสุร่าย คิดก่อนใช้เงิน)
รวมทั้งเหลือไว้ให้ลูก
อาจเหลือเป็นเงินหรือทรัพย์สินที่ทำเงินได้เช่นอพาร์ทเมนท์
ก็ถือว่าตัวเองทำหน้าที่ของหัวหน้าครอบครัวได้ครบถ้วนแล้ว
------------------------------------
ตอนผมแต่งงานใหม่ๆ
เป็นช่วงเวลาเดียวกับการเริ่มธุรกิจส่วนตัว
เป็นช่วงก่อร่างสร้างตัว งานยุ่งมาก
แทบไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น นอกจากเรื่องงาน
เพราะต้องควบคุมวางแผนและลงมือทำงานเองเกือบทุกอย่าง
ช่วยกันคิดช่วยกันทำ2คนกับภรรยา

ภรรยาผมเป็นคนขยัน อดทน
เธอรับผิดชอบงานหลายอย่างไม่น้อยกว่าผม
ผมรับผิดชอบงานที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคเช่น
ด้าน ผลิต ซ่อมบำรุง
เธอรับผิดชอบด้านบัญชี ภาษี เอกสารต่างๆ
ส่วนการขายและงานบุคคล เราช่วยกันคิดและทำ



เมื่อกลับบ้านเธอยังต้องดูแลงานบ้านและลูกด้วย
ผมรู้ว่าเป็นภาระหนักสำหรับเธอ
จึงพยายามหาคนเลี้ยงเด็กมาช่วยดูแลลูกเล็ก
และแม่บ้านมาทำงานบ้านแทนเธอ

จำได้ว่าใช้ชีวิตแบบนี้อยู่13ปี
2535-2548
ออกจากบ้านแต่เช้า กลับบ้านค่ำ
ทั้งเหนื่อยและเครียด กับธุรกิจที่มีปัญหาให้แก้ไขอยู่ตลอด
บางคืนต้องลุกจากที่นอนตอนตี2
เพราะลูกน้องโทรมาตาม เพราะเครื่องจักรมีปัญหา
(โรงงานเล็กๆผลิต24 ชม
บ้านและที่ทำงาน ...งกันประมาณ10 กม)

ช่วงหลัง พี่เลี้ยงเด็กและคนทำงานบ้านหายาก
และมีปัญหาบ่อยมาก
เช่น ลาออกบ่อย ขโมยของ ไม่ดูแลลูก
แต่เราไม่กล้าตำหนิ
เพราะกลัวว่า อันตรายจะเกิดกับลูก

ภายหลังเราทนไม่ไหว(2546)
จึงตัดสินใจไม่ใช้คนงาน
ภรรยาผมต้องทำงานบ้านเอง
รวมทั้งขับรถ เพราะผมมีปัญหาด้านสายตา
ทำให้ภาระของเธอหนักมากยิ่งขึ้น

ส่วนลูกคนเล็กซึ่งอายุเพียง2ขวบ(ในขณะนั้น)
ก็ให้เข้า รร อนุบาล

ในช่วง11ปีนั้น บ้านและลูกถูกดูแลโดยคนที่จ้างมา
ภรรยาผมเคยถามผมว่า

"เราใช้ชีวิตแบบนี้ เป็นเรื่องถูกแล้วหรือ
ซื้อบ้านสวยๆไว้ให้คนงานอยู่ แทบไม่ได้อยู่เอง
ออกจากบ้านแต่เช้า กลับบ้านก็มืดแล้ว

ต้องคอยดูแลพี่เลี้ยงเด็กและคนทำงานบ้าน
ทั้งความเป็นอยู่ อาหารการกินที่ต้องซื้อมาให้ทุกวัน

ลูกก็ต้องให้คนอื่นเลี้ยงทั้งวัน
เมื่อพิจารณาจากตัวบุคคลแล้ว
หวังไม่ได้เลยว่า จะสอนและดูแลลูกอย่างดี
หวังแค่ไม่ทำร้ายลูกและดูแลลูกไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ

พอเรากลับบ้านก็เหนื่อยและเครียด
ไม่มีเวลาและอารมณ์ดีพอที่จะพูดคุยและสอนลูก"

ผมไม่ตอบ
ผมรู้สึกว่า เธอพูดถูก

แต่ก็แก้ตัวกับตัวเองว่า
เงินซึ่งได้มาจากใช้เวลา+แรงกายแรงใจ ขับเคลื่อนธุรกิจ
ก็น่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายของตัวเองและลูก
เพราะเงินนำมาซึ่งความสุขสบายต่างๆให้กับชีวิต

ในอนาคต การหาเงินจะยิ่งยากลำบากกว่าปัจจุบัน
เพราะคนมากขึ้น มีความรู้ความสามารถมากขึ้น
ปัจจัยต่างๆในโลกลดลง

ผมควรใช้โอกาสในปัจจุบัน หาเงินให้มากที่สุดเผื่อลูก
------------------
ในช่วงเวลา2ปีนั้น(2547-2548)
ภรรยาผมต้องเหนื่อยมากขึ้นรับภาระทั้งธุรกิจและงานบ้าน
แต่สถานการณ์ในครอบครัวไม่ดีขึ้น

เรายังเหนื่อยและเครียดกับงาน
ไม่มีเวลาสอนลูก
ปล่อยเวลาเกือบทั้งหมดของลูกทั้ง2ให้ผ่านไปกับการเล่นต่างๆ
เช่นเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ดูการ์ตูน
โดยไม่มีการสอนและดูแลเรื่องความคิด นิสัยและความประพฤติ
----------------
วันที่15มีนาคม2549 (ผมจำได้อย่างแม่นยำ)

ครอบครัวผมจะล่องใต้ไปเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ7วัน
กับญาติอีก2ครอบครัว
เป็นการวางแผนล่วงหน้ามา2สัปดาห์แล้ว
ผมจองโรงแรมต่างๆตามเส้นทางเดินทาง
หาข้อมูลเรื่องสถานที่เที่ยวและร้านอาหาร

รวมทั้งสั่งงานลูกน้องไว้ล่วงหน้า7วัน
และเคลียร์นัด+ส่งของตามorderลูกค้าไปหมดแล้ว

เช้าวันนั้น ลูกๆดีใจที่จะได้ไปเที่ยวหลายๆวันแบบนี้
ผมนึกภูมิใจว่า
ผมได้ทำหน้าที่ พ่อที่ดี ในการพาลูกไปเที่ยวพักผ่อน
ไม่ได้ปล่อยปละละเลยให้ลูกเล่นเกมอยู่กับบ้านเพียงอย่างเดียว

ถึงแม้ว่า จะต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก
รวมทั้งเวลาและความยุ่งยากในการเตรียมการ
ทั้งการสะสางธุรกิจ+หาข้อมูลในการเดินทาง

7.00 รถตู้ที่ว่าจ้างไว้มารับที่หน้าบ้าน
ลูกทั้ง2ทะเลาะกัน เพราะเกี่ยงกันเรื่องเปิดประตูและยกกระเป๋า

ผมรู้สึกโมโหและผิดหวังมาก
ผมใช้เวลาเตรียมการ2สัปดาห์ เพื่อtripนี้
ใช้โทรศัพท์หลายสิบครั้ง
ติดต่อพูดคุยนัดหมายกับผู้คนหลายสิบคน
ยอมเสียงาน เสียเงิน เสียเวลา

แต่ดูเหมือนลูกจะเอาแต่ใจตนเอง โดยไม่รับรู้อะไรเลย

ผมถามภรรยาอย่างผิดหวังว่า "ทำไม ลูกจึงทำแบบนี้"

เธอตอบด้วยความรู้สึกเดียวกันว่า
"เพราะเราไม่ได้เลี้ยงลูกเอง ปล่อยให้คนอื่นเลี้ยงให้
แล้วก็ให้ลูกอยู่กับวัตถุ เช่นเกม การ์ตูน
จะให้ดีอย่างใจเรานั้น เป็นไปไม่ได้หรอก"

-----
เหตุการณ์ในวันนี้สะท้อนให้เห็นถึง
ความคิด นิสัย การดำรงชีวิตของลูกในอนาคต
ถ้าลูกยังเป็นแบบนี้ เขาคงลำบากแน่

ผมคิดผิดมาตลอด13ปี
ในการทุ่มเทเวลา+แรงกายแรงใจเพื่อการหาเงิน
เตรียมไว้ให้ลูก

ถ้าผมยังปล่อยให้ลูกมีนิสัยและความคิดแบบนี้
ในอนาคต ลูกอาจใช้เงินและทรัพย์สินที่ผมหามาทั้งชีวิต
ให้หมดไปในเวลาเพียง1-2ปี
แล้วคงลำบากยากจนในภายหลัง

--------
ผมตัวชาและมือเย็น รู้สึกใจหาย
เพราะเพิ่งรู้ตัวว่า คิดผิดมาตลอด10กว่าปี

ผมสัญญากับตัวเองว่า
นับตั้งแต่วันนี้ ผมจะไม่ใช้เวลาและสติปัญญาเพื่อ
หาเงินและทรัพย์สินเผื่อลูกอีกต่อไป
เพราะไม่เกิดประโยชน์

ความคิด ความสามารถ นิสัย ความประพฤติ ของลูก
เป็นเรื่องสำคัญสำหรับลูกมากกว่าทรัพย์สิน

ผมต้องเริ่มต้นทันที ตั้งแต่วันนี้
เพราะปล่อยเวลามานานมากแล้ว
ลูกอายุ11ขวบและ5ขวบแล้ว(ในขณะนั้น)

ลูกทั้ง2มีบุคลิกนิสัยและตัวตนแล้ว
การแก้ไขเป็นเรื่องยากกว่า การทำให้ดีตั้งแต่แรก

1.วันนั้น ผมบอกเลิกนัดญาติ และขออภัยที่ไม่ไปกับพวกเขา

2. สามเดือนที่แล้ว (2552) ผมได้ฟังนิทานธรรมะเรื่องหนึ่ง
เลยcopyให้เพื่อนๆอ่านครับ

มีชายคนหนึ่งมีภรรยา 4 คน
ภรรยาคนที่ 1 เขารักมากที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ตามใจทุกอย่าง อยากจะได้อะไรก็หาให้ตลอดมิได้ขาด
ภรรยาคนที่ 2 เขารักมาก จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้ และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ
ภรรยาคนที่ 3 เขารักลองลงมา คอยดูแลเอาใจใส่และไปหาบ้างเป็นบางครั้ง
ภรรยาคนที่ 4 เขาไม่เคยเอาใจใส่เลย ไม่เคยไปหาและไม่คิดถึงเลย

ต่อมา.....ชายคนนี้กระทำความผิดร้ายแรง ถูกจับ....ต้องโทษประหารชีวิต ก่อนถูกประหาร ชายคนนี้ร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ว่า ขอกลับบ้านเพื่อร่ำลาภรรยาสุดที่รักอีกครั้ง ผู้คุมเห็นใจ จึงอนุญาต
เมื่อกลับถึงบ้าน เขารีบไปหาภรรยาคนที่ 1 เล่าเหตุการณ์ต่างๆให้ฟังและถามภรรยาคนที่ 1 ว่า " ถ้าเขาตาย เธอจะทำอย่างไร ? ."
ภรรยาคนที่ 1 ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า " เมื่อเธอตาย เราจบกัน "
เหมือนสายฟ้าผ่าเปรี้ยงกลางใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกเจ็บปวดและเสียใจเป็นอย่างยิ่ง นึกเสียดายว่า ตลอดเวลาเราไม่น่าทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้มากที่สุดเลย
จากนั้นก็ไปหาภรรยาคนที่ 2 ด้วยอาการเศร้าโศก เล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง แล้วถามว่า " ถ้าเขาตาย เธอจะทำอย่างไร "
ภรรยาคนที่ 2 ตอบหน้าตาเฉยว่า " ถ้าเธอตาย ฉันจะมีใหม่ " เสมือนฟ้าผ่า! ลงมาที่เขาอย่างจัง และรู้สึกเสียใจและเสียดายว่า ที่ผ่านมาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน
จากนั้นก็เดินคอตกไปหาภรรยาคนที่ 3 เล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังแล้วถามว่า " ถ้าเขาตาย เธอจะทำอย่างไร "
ภรรยาคนที่ 3 ตอบว่า " ถ้าเธอตาย ฉันจะไปส่ง " ทำให้เขาคลายความเศร้าโศกขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็มีภรรยาที่จริงใจกับเขาบ้าง
ก่อนกลับไปรับโทษประหาร ระหว่างทางนึกขึ้นได้ว่ายังมีภรรยาอีกคน จึงไปหาภรรยาคนที่ 4 เล่าเรื่องราวให้ฟังและถามเช่นที่ถามภรรยาคนอื่นๆ
ภรรยาคนที่ 4 ตอบว่า " ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไป " แทนที่จะดีใจ เขากลับต้องเสียใจหนักขึ้นเพราะสายไปเสียแล้ว ช่วงที่มีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยสนใจภรรยาคนนี้เลย แต่....
ภรรยาคนนี้ไม่เคยคิดทิ้งเขาและคิดจะตามเขาไปด้วย
จากนั้นเขาจึงกลับไปรับโทษ.... และภรรยาคนที่ 4 ก็ตายตามเขาไปจริง..
..............................เราทุกคนต่างก็มีภรรยา 4 คน................................
.............................. แล้ว 4 คนนั้น เป็นใครบ้าง.................................
ลองคิดดูครับว่า แต่ละคนคือใคร
ภรรยาคนที่ 1 คือ ร่างกายของเรา
เวลาเรามีชีวิตอยู่ เราจะบำรุงด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง อยากได้อะไรก็สรรหาให้ แต่พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา เมื่อเราตายร่างกายก็เปรียบเหมือนท่อนไม้ท่อนหนึ่ง
ภรรยาคนที่ 2 คือ ทรัพย์สมบัติ
เพราะเรามีชีวิตอยู่ เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา แต่พอเราตายกลับเอาไปไม่ได้ แต่กลายเป็นของคนอื่น
ภรรยาคนที่ 3 คือ พ่อแม่ ลูก ภรรยา ญาติพี่น้อง เพราะเราตายเขาก็จะทำศพให้เรา ทำบุญให้แปลได้ว่า เขาเป็นผู้ไปส่งเรา
ภรรยาคนที่ 4 คือ บุญและบาป
เมื่อเราตายไป เราไม่สามารถเอาทรัพย์สินอย่างอื่นไปได้ มีเพียงบุญและบาปเท่านั้น ที่จะติดตามเราไป
รู้แล้วใช่ไหมครับว่า คนไหนที่เราควรให้ความสนใจเมื่อเรายังมีชีวิต

***************

กระทู้นี้ copy มาจาก Momypedia.com
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #78 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:06:09 »

ประสบการณ์จริง จากรถเกียร์ออโต้ อุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิด  !
คงเคยอ่านข่าว รถจอดอยู่แล้วไหลชนเจ้าของบ้าน  หรือตกคลองกันบ้าง  เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นได้
เหตุเกิดเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมานี้เอง หลังจากที่ได้นำรถออกจากอู่ตอนบ่าย  มันคือรถ  BENZ 300 E ที่เอารถไปเข้าอู่เพื่อดูแลตามปกติ  เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง. น้ำมันเกียร์ เช็คโน่นเช็คนี่ตามเลขที่กิโลตามกำหนด  ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาเลย  แต่วันนี้เกิดเหตุไม่คาดฝันจนได้  เคยได้ยินไหม  ' เกียร์หลุด  ' ไม่ใช่หลุดออกมา ไม่ใช่เข้าเกียร์ไม่ได้  แต่มันหลุดไปอยู่ที่เกียร์ถอย (R) อาการคือ ไม่ว่าคุณจะเข้าเกียร์อะไรก็ควบคุมรถไม่ได้  ไม่ว่าจะอยู่ที่  P, D, 3 หรือ  2
ทุกเกียร์รถจะถูกสั่งให้ถอยหลังทั้งหมด  ยิ่งคุณพยามยามจะเดินหน้า  โดยผลักไปที่ D แล้วเหยียบคันเร่ง เครื่องยนต์จะถูกเร่งให้ถอยหลังแรงขึ้น  ยกเว้นคุณจะ
เหยียบเบรคอยู่อย่างนั้น  อย่าหวังพึ่งเบรคมือ เพราะมันประสิทธิภาพเมื่อรถจอด  ป้องกันไม่ให้ไหลเท่านั้น  เหตุเกิดดังนี้
เย็นวันนั้นหลังเลิกงาน  แวะ  Shopping ที่ห้างเดอะมอล์ ผ่านจากจุดรับบัตรตรงทางเข้า  ไปเล็กน้อยก็เห็นที่มีที่จอดรถว่างอยู่  เป็นทางลาดเล็กน้อย (เล็กน้อยจริงๆ)  ก็เลยเปิดไฟกระพริบ เปลี่ยนเป็นเกียร์  R เพื่อถอยหลังเข้าที่จอด  ถอยไปได้ครึ่งคัน  เริ่มรู้สึกว่ามันไม่
ค่อยตรงเท่าไหร่  ก็เปลี่ยนเป็น D เพื่อให้รถเดินหน้าจะได้ตั้งลำถอยใหม่  ตอนนี้เองรถไม่ยอมเดินหน้า  ถอยหลังซะงั้น ก็เริ่มแปลกใจ หันมามองหน้ากัน  เกิดอะไรขึ้นรีบเหยียบเบรค เข้าเกียร์  D ใหม่เหยียบคันเร่งเบา ๆ  รถกลับถอยหลังแรงขึ้นไปอีก ก็เหยียบเบรคอีก  แต่กำลังของรถมันคอยจะถอยอยู่อย่างเดียว  เครื่องดังหึ่งๆ  จะถอยลูกเดียว ทีนี้คิดว่าจะทำอย่างไรดี ไม่เคยเจอ  ก็เลยให้อีกคนเปิดประตูลงมามองหาว่ามันมีที่กั้นล้อด้านหลังไหม  จะได้กั้นรถไว้ได้  เพราะด้านหลังเป็นท่อแก๊ส และท่อน้ำขนาดใหญ่ของห้าง ถ้าถอยไปชน  จะเกิดอะไรขึ้น ? พอลงไปดูเห็นมีที่กั้นค่อยโล่งใจหน่อย  ก็เลยตะโกนบอกมีที่กั้น  จอดเลยไม่ต้องถอยแล้ว คนขับก็เหยีบเบรค  และเลื่อนเกียร์มาที่เกียร์ว่าง N ห่างจากจุดที่กั้นเป็นปูนประมาณ  2 คืบได้  แล้วก็ปล่อยเบรค เพื่อจะดั บเครื่องจอด  ทันใดนั้นเองสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ  รถกระโดดข้ามไปอยู่บนที่กั้นด้วยความเร็วและแรงมากในชั่ว
วินาทีเดียว  วินาทีเดียวจริง ๆ  ซึ่งคนที่ยืนดูท้ายอยู่  อยู่ห่างจากตัวรถทางด้านข้างไม่ถึงฝ่ามือ  ยืนตะลึง  แรงของรถ  กระแทกท่อแก๊สกับท่อน้ำอย่างแรง  กันชนแตกเละ โครมเบ้อเริ่ม สิ่งที่ทำตอนนั้นคือ ตะโกน  ดับเครื่อง  ดับเครื่อง  ดับเครื่อง หลายคนคงสงสัยแล้วแล้วจากนั้นเป็นอย่างไรต่อ  ก็ค่อยๆ  มองซ้ายมองขวาช่วยกันเข็นรถที่มันคาอยู่บนขอบปูน  และกำลัง เบียดท่อแก๊สกับท่อน้ำ ออกหนะสิ โชคดีมาก ๆ  ท่อเป็นเหล็กหนามาก ไม่อย่างนั้น
คนที่ดูหลังอยู่ด้านท้ายคง  ไม่มีโอกาสมาเล่าให้ฟัง คงจะแบนไปกับท่อแก๊สไปแล้ว   
สิ่งที่อยากจะฝากเตือนทุกคนก็คือ   
1. เมื่อเกิดเหตุควบคุมรถไม่ได้เพราะเกียร์หลุด  ต้องดับ
เครื่องยนต์ทันที  ( คำแนะนำของช่าง) เพราะรถที่เกียร์หลุด จะไม่สามารถควบคุมได้เด็ดขาด  ยกเว้นหลุดไปเป็นเกียร์ว่าง   
2. เวลาจะถอยหลัง หรือออกรถ  ระวังอย่าให้มีคนยืนอยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังเด็ดขาด  เพราะส่วนใหญ่ เวลาถอยรถ  เรามักมีคนไปด้วยช่วยลงไปดู  เพราะไม่แน่ใจหรือคอยระวังรถคันอื่น   
3. รถที่พึ่งออกจากอู่ ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีข้อผิดพลาด
4. สติของคนขับ  สำคัญมาก  แม้ประสบการณ์หลายสิบปี  ก็อาจควบคุมไม่ได้
ด้วยความปรารถนาดี เพื่อเป็นประสบการณ์หากเกิดเหตุฉุกเฉิน 
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #79 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:07:34 »

คุณค่าแท้ คุณค่าเทียม .. โดย ว. วชิรเมธี


ชีวิต : สำคัญที่รู้จักใช้

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าสั้นหรือยาว


เงิน : สำคัญที่รู้จักบริหาร

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามากหรือน้อย


มิตร : สำคัญที่รู้จักคบ

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีกี่คน


งาน : สำคัญที่ความสุจริต

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าได้เงินเท่าไหร่


ปัญหา : สำคัญที่การรู้จักวางท่าที

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องเล็ก-ใหญ่


เวลา : สำคัญที่นำไปสู่อะไร

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเวลามากหรือมีน้อย


ปัญญา : สำคัญที่รู้จริง

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ารู้มากไปเสียทุกเรื่อง


การศึกษา : สำคัญที่ความเป็นเลิศทางวิชาการ

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจบมาจากสถาบันไหน


ความสุข : สำคัญที่คุณภาพ

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่ครอบครอง


ครอบครัว : สำคัญที่ความรักความอบอุ่นความเข้าใจ

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของคนที่คุณแต่งงานด้วย


สัมพันธภาพ : สำคัญที่ความจริงใจ

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรู้จักคนมากมายไปทั่วทั้งโลก


นักการเมือง : สำคัญที่ประโยชน์สุขซึ่งเคยรังสรรค์ไว้

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเป็น ส.ส.มาแล้วกี่สมัย

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #80 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:08:56 »

สังฆทาน ที่พระจะได้ประโยชน์มากที่สุด

รายการ 'จุดเปลี่ยน' เมื่อวันเสาร์ที่ 14 และ 21 มิถุนายน ที่ผ่านมา (ช่อง 9 เวลา 13.00 น.) ออกอากาศเรื่อง '10 อันดับของสังฆทาน ที่ทำแล้วพระท่านจะได้ประโยชน์มากที่สุด' อันเนื่องมาจากมีการสำรวจของในถังสังฆทานสำเร็จรูป (ถังเหลือง) ที่เห็นวางขายกันอยู่ทั่วไป พบว่า กว่า 50 % เป็นของที่ไม่มีคุณภาพ ใช้งานจริงไม่ได้ เช่น ผ้าจีวรสั้นและบางจนแทบจะเป็นผ้าซีทรู ใบชาเหม็นผงซักฟอกที่วางมาข้างๆ (กลายเป็นใบชารสโอโม่) กระดาษชำระหยาบและมีกลิ่นเหม็น แปรงสีฟันแข็งจนพระค่อนประเทศเป็นโรคเหงือกอักเสบ, สบู่ แชมพู ที่ถวายมีกลิ่นหอมแรง และผสมมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ ทำให้พระผิดศีลต้องปลงอาบัติกันทุกวัน (มีศีลข้อหนึ่งห้ามการประทินผิวและใช้เครื่องหอม ไม่แน่ใจว่าศีลข้อที่ 6,7 หรือ 8 นี่แหละค่ะ) เครื่องชงดื่มมักหมดอายุ ถ่านไฟฉายหมดอายุ แบตเยิ้ม ฯลฯ หรือแม้แต่ตัวภาชนะที่ใส่ คือถัง ก็ยังทำจากพลาสติกคุณภาพต่ำ ใส่อะไรได้แป๊บเดียวก็ฉีก แตก พัง เป็นต้นค่ะ

รายการจุดเปลี่ยนจึงได้ไปสอบถามพระสงฆ์จำนวนหนึ่ง แล้วจัดอันดับสิ่งของสังฆทาน ตามความจำเป็นในการใช้งาน รวม 10 อันดับ ซึ่งเรียงจากจำเป็นมากสุดไปน้อยที่สุดได้ ดังนี้




1. เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ
เนื่องจากพระสมัยนี้ต้องเรียนพระปริยัติธรรม และจดกำหนดนัดหมายต่างๆ ช่วยจำ บางรูปท่านเป็นเหรัญญิกดูแลค่าใช้จ่าย ยิ่งต้องใช้มาก แต่ไม่ค่อยมีใครถวายเครื่องเขียนเหล่านี้ พระท่านจึงต้องไปเดินหาซื้อเองเสมอ หากเราถวายไป พระท่านจะได้ใช้อย่างแน่นอนค่ะ อันดับ 1 จึงตกเป็นของ 'เครื่องเขียน' ไปอย่างพลิกความคาดหมาย (หรือว่าคุณทายถูกล่ะ ? เอ้อ)




2. ใบมีดโกนตราขนนก (Feather) หรือยี่ห้อ Gillette ยิลเลตต์
เนื่องจากพระต้องโกนผมทุกวันโกน แต่ใบมีดยี่ห้ออื่น พระใช้โกนผมแล้วเลือดสาด !!! ท่านจึงใช้ได้แค่ 2 ยี่ห้อนี้เท่านั้น อนึ่ง ใบมีดตราขนนกจะคมกว่ายินเลส ใช้ในการโกน?รั้งแรก ส่วนยิลเลตต์จะใช้เก็บความเรียบร้อยอีกครั้ง หากท่านใดถวายใบมีด ก็ได้ชื่อว่า ช่วยไม่ให้พระต้องเสียเลือดเนื้อทุกวันโกน ข้าพเจ้าเห็นว่าได้บุญดีกว่าให้ยาอีกนะท่าน



3. ผ้าไตรจีวร ที่มีความย?วพอที่จะนุ่งห่มได้ มีความหนาพอเหมาะสม
เพราะผ้าที่ติดมากับถังเหลือง มันทั้งสั้น ทั้งเต่อ ทั้งบาง ทำให้พระท่านลำบากใจเวลาสวมใส่ ขาดความมั่นใจ และเสียภาพลักษณ์ที่ดีของสงฆ์ ผู้ใดถวายผ้าไตรจีวร จึงได้อานิสงส์มากนัก นี่ก็ใกล้จะถึงเทศกาลเข้าพรรษาแล้ว เตรียมผ้าอาบน้ำฝนไปถวายพระกันเถอะนะคะ



4. หนังสือธรรมะ สารคดี นิตยสาร หรือที่ให้ความรู้ด้านอื่นๆ
เนื่องจากพระสงฆ์ มีหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา จึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ที่แตกฉาน ทั้งทางธรรม และรู้ทันข่าวสารบ้านเมือง เพื่อจะได้สาธิตยกตัวอย่างให้ชาวบ้านเข้าใจได้แจ่มแจ้ง การถวายหนังสือเหล่านี้ จึงถือเป็นต้นทุนแห่งธรรมทาน ให้พระท่านได้นำไปต่อยอด กระจายสู่ผู้คนได้อีกมาก ทั้งยังถือเป็นการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง แถมได้ผลตอบแทนสูง น่าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง



5. รองเท้า
(ยกเว้นพระนิกายธรรมยุตต์นะจ๊ะ สังเกตให้ดีล่ะว่าวัดที่เราไป พระท่านใส่รองเท้ากันหรือเปล่า) พระท่านต้องเดินบิณฑบาตร, ธุดงค์, ไปเรียนหนังสือ, ไปกิจนิมนต์ตามที่ต่างๆ, บางรูปต้องทำงานที่ใช้แรงงานในวัด เช่น ก่อสร้าง ทำสวน สิ่งที่ต้องรับภาระหนักก็คือ 'รองเท้า' ที่มักจะขาด เสียหาย อยู่บ่อยๆ นั่นเอง รองเท้าจึงถือเป็นอีก item หนึ่งที่มีความสำคัญอย่างสูง




6. ยาหลักๆ ที่จำเป็น
ยาสามัญประจำบ้าน ยาแก้ปวดหัว ปวดท้อง ยาแก้ไอ แก้ไข้ ลดกรดในกระเพาะอาหาร ยาใส่แผลสด แผลเปื่อย แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลพุพอง เป็นหนอง ผิวหนังอักเสบ เป็นหนอง




7. ผ้าขนหนูสีสุภาพ ไม่ต้องสีเหลืองก็ได้
เพราะผ้าขนหนูที่ติดมากับถังเหลืองมักหยาบ เล็ก และคุณภาพต่ำ จนเอามาใช้ไม่ได้ในชีวิตจริง




8. ชุดคอมพิวเตอร์
อู้วววว ไฮโซไปนิดนึง แต่ถ้าใครรวบรวมเงินได้เป็นกอบเป็นกำอย่างกฐิน ผ้าป่า ก็น่าพิจารณาถวายคอมพิวเตอร์แด่วัดที่ขาดแคลน .. ถ้าเป็นวัดที่อินเตอร์เน็ตเข้าไม่ถึงจะดีมากๆ ค่ะ




9. น้ำยาเช็ดพื้น
เหอ... งงไปเลย พระท่านจะเอาน้ำยาเช็ดพื้นไปทำอะไร ?? เฉลย ก็เอาไปผสมน้ำ ถูกุฏิ ศาลา อุโบสถ ไงจ๊ะ เพราะนอกจากจะช่วยผ่อนแรงในการทำความสะอาด สลายคราบแล้ว บางยี่ห้อยังช่วยฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในมูลนกพิราบ ฉี่หมา ฉี่แมว ฉี่หนู เห็บ หมัด ของหมาวัดได้อีกด้วย




10. แชมพู
พระท่านไม่มีผมแล้วจะเอาแชมพูไป??ำไมเนี่ย แถมยังฮอตฮิตติดท็อปเท็นของที่มีประโยชน์อีกด้วย แซงหน้าไมโล โอวัลติน ชาเขียว ขิงผง สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ทิชชู่ ฯลฯ ที่เห็นสลอนอยู่ในถังเหลืองซะด้วยซี คืองี้ เมื่อพระท่านไม่มีผมมาปกป้องหนังศีรษะเนี่ย ทั้งความร้อน ฝุ่นละออง เชื้อโรคต่างๆ ก็จะเข้าถึงหนังศีรษะของท่านได้โดยตร? แถมการรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของหนังศีรษะก็จะเสียไป เพราะไม่มีผมปกคลุม ทำให้หนังศีรษะของพระ มักจะแห้ง และเกิดโรคผิวหนังอยู่เสมอ เช่น ชันตุ เป็นต้น สิ่งที่จะช่วยบรรเทาได้ก็คือ แชมพูยา ที่มีส่วนผสมปกป้องหนังศีรษะ รักษาสมดุล สังเกตง่ายๆ ที่ฉลากจะมีคำว่า 'Scalp' เป็นสำคัญ ยี่ห้อที่เป็นแบบนี้ก็มักจะเป็นพวก แชมพูขจัดรังแค อย่างคลินิค, แพนทีน, Head & Shoulder, ไนโซรัล เป็นต้น แต่น่าเศร้าใจ ที่ไม่มีใครถวายแชมพู พระท่านจึงจำต้องใช้สบู่แก้ขัด ซึ่งทำให้ยิ่งคันหัว ศีรษะแห้งไปกันใหญ่ ดังนั้นจึงขอท่านโปรดจำไว้ ว่าเราควรซื้อแชมพูไปถวายพระ แต่ก็เลือกสูตรกันนิดนึงนะคะ ให้เป็นสูตรดูแลหนังศีรษะ เพราะถ้าเกิดเราเลือกสูตร 'เพื่อผมนิ่มสลวยดำเงางาม' ไปถวายท่าน... ท่านอาจเข้าใจผิด คิดว่าเราแซวได้ค่ะ


การทำสังฆทาน นอกจากจะถวายเป็นสิ่งของแล้ว อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ การบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อช่วยเหลือพระภิกษุที่อาพาธค่ะ หวังว่าข้อมูลนี้คงจะเป็นประโยชน์ ทั้งกับท่านพุทธศาสนิกชนที่มีจิตกุศลต้องการทำสังฆทาน และกับพระภิกษุสามเณร ผู้รับสั?ฆทาน ที่เป็นเนื้อนาบุญของโลก และเป็นผู้ที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนาของเราต่อไปค่ะ

ถ้ามีโอกาส ขอความกรุณาส่งต่อ Forward ให้กับเพื่อนสนิท มิตรสหาย เพื่อช่วยกันลดพาณิชย์อุบาทว์ สังฆทานถังเหลืองด้อ
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #81 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:11:20 »

กด ATM แล้วไฟดับ ทำยังไงดี (มีประโยชน์มาก)

ผู้ชายคนหนึ่งไปกดเอทีเอ็มที่ธนาคารไทยพาณิชย์ประมาณ 6 โมงเย็น ธนาคารปิดแล้ว ขณะนั้นเขากด 5000 บาท ขั้นตอนต่างๆ เรียบร้อย จนถึงขั้นตอนรอรับเงิน ไฟเกิดดับ บัตรเอทีเอ็มตีคืนมาแต่เงินไม่ออก เขารอสักครู่ไฟก็ยังไม่มา จึงขับรถไปตู้อื่นที่ไฟไม่ดับ ปรากฏว่ายอดเงินได้ถูกตัดไปแล้ว

วันรุ่งขึ้นเขามาทำเรื่องแจ้งธนาคาร ๆ ได้ตรวจสอบและบอกว่าเงินได้ถูกจ่ายออกมาแล้วแน่นอน ทางธนาคารไม่สามารถรับผิดชอบได้ แต่ถ้าเงินไม่ออกมาธนาคารก็จะคืนเงินให้ เขาก็บอกว่าเขาไม่ได้เงิน ทางธนาคารก็บอกว่าช่วยไม่ได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ให้โทรเช็คยอดกับศูนย์บัตรเอทีเอ็ม ถ้ายอดเงินถูกตัดไปแล้ว ต้องรอตรงนั้นเลย จนกว่าไฟจะมา พอไฟมาเงินจะออกมา

เงินของเขาก็คงมีคนที่มากดคนแรกหลังจากไฟมาได้เอาไปแล้ว ธนาคารแจ้งเพิ่มเติมว่า ถ้าไฟดับจังหวะอื่นที่ไม่ใช่ช่วงรอรับเง ิน เงินจะไม่ถูกตัด ยอดเงินจะคงเดิม หากยอดเงินถูกตัด ธนาคารจะคืนเงินให้ เรื่องนี้เป็นเรื่องเตือนใจว่า กดเอทีเอ็มแล้ว ถ้าไม่ได้เงิน อย่ารีบออกจากบริเวณนั้น โทรเช็คธนาคารให้ได้รับคำตอบแน่นอนเสียก่อน ถ้าเงินถูกตัดแล้วต้องรอจนไฟมาอย่างเดียว

ช่วยส่งต่อยังเพื่อนของท่านด้วย
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #82 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:12:51 »

วันนี้คุณเคาะรองเท้าให้คนที่คุณรักหรือยัง
 
   
เรื่องจริงเตือนใจครับ
ผมเพิ่งกลับจากงานศพลูกสาวเพื่อนข้าง บ้านมาครับ (อายุ 4 ขวบครึ่ง)
เป็นการเสียชีวิตแบบไม่ควรเกิดเลยครับ
       
       
เรื่องมีอยู่ว่า...
ตอนเช้าคุณแม่เขาก็ไปส่งลูกไปโรงเรียนตามปกติ
แต่แปลกที่ว่าลูกสาวพอขึ้นรถมาสักพักก็บ่นว่า หนูง่วงนอน
แม่ก็แปลกใจนิดหน่อยแต่ไม่คิดอะไรมาก เลยให้นอนหลับไป
       
       
พอใกล้ถึง รร. คุณแม่เขาก็ปลุก
ปรากฎว่าลูกตัวแข็ง และปากเขียวคล้ำ ไม่รู้สึกตัว
แม่ตกใจมากรีบพาส่ง รพ. คุณหมอบอกว่าเสียชีวิตแล้ว
         
         
จากการสันนิษฐานน่าจะเกิดจาก " งูกัด "
คุณแม่บอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเดินออกบ้านมาด้วยกัน ขึ้นรถก็ไม่เห็นงูเลย
         
         
เชื่อไหมครับ คุณหมอลองถอดถุงเท้าและรองเท้าดู
ผมฟังยังขนลุกเลยครับ " ลูกงูเห่านอนตายอยู่ในรองเท้านักเรียนครับ "
           
         
ผมเสียใจแทนคุณแม่จริงๆครับ คาดว่ามันคงไปขดอยู่ในรองเท้า
แล้วน้องเขาใส่เขาไป มันเลยฉก แต่ด้วยความที่มีถุงเท้าอยู่
แล้วเด็กคงเจ็บไม่มาก เลยไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่พิษมันมากครับ
         
           
ผมอยากฝากเพื่อนๆไว้ครับ บ้านใครที่ ต้น ไม้เยอะๆ
หรือวางรองเท้าไว้นอกบ้าน ก่อนใส่เคาะดูสักนิดนะครับ
ผมไม่รู้ว่า โอ กาสแบบนี้จะเกิด 1 ใน 100 หรือเปล่า
แต่อยากเตือนไว้เป็นอุทาหรณ์ครับ 
 
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #83 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:24:58 »

หนุ่มบ้านนอกยากจนคนหนึ่ง
เสี่ยงโชคเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ
ทั้งที่มิได้มีความรู้อะไรเลย

เนื่อง จากได้ทราบข่าวที่เพื่อนเล่าให้ฟังว่า
มี โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ
กำลังรับสมัคร นักการภารโรง ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา

จึงจับรถมากรุงเทพ
และเดินกางแผนที่ (ที่เพื่อนเขียนให้)
สุ่มถามชาวบ้านถึงที่ตั้งของ โรงเรียนนั้น
ซึ่ง กว่าจะเจอก็เหงื่อตกไปหลายปี๊บทีเดียวแหละ

เมื่อ เข้าไปแจ้งความจำนงที่แผนกธุรการ
จึงมีเจ้า หน้าที่มาเรียกให้นั่ง< /SPAN>
และยื่นใบ สมัครมาให้กรอกข้อความ
นายหนุ่มนั้นก็ยิ้มแห! ย ๆ
ยกมือไหว้แล้วบอกอ่อย ๆ กับเจ้าหน้าที่ว่า

“...ขอโทษครับพี่
ผม...คือ ว่า...
ผม...อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ครับ...”

เจ้าหน้าที่ ท ี่นั่งรับสมัครอยู่นั้น
ชักสีหน้าทันที

“...อะไรกัน คิดจะมาสมัครงานที่โรงเรียน
ถึงจะตำแหน่งแค่ นักการภารโรง
ถึงจะไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษา
แต่อย่างน้อยก็น่าจะอ่านออก เขียนได้ บ้างแหละ”

หนุ่มบ้านนอกหน้าซีด
ยกมือไหว้เจ้าหน้าที่ประหลก ๆ

“...ผมไม่รู้หนังสือจริง ๆ ครับ
แต่ช่วยรับผมไว้หน่อยเถิดครับพี่
ให้ผมแบกหามกวาดถูอะไรก็ได้ทุกอย่างครับ”

“งั้นก็คงจะไม่ได้หรอก. ..”
เจ้าหน้าที่เก็บใบสมัคร กับปากกาที่วางไว้ให้ คืนที่อย่างไม่มีเยื่อใย

“...เรามาสมัครงานกับโรงเรียนนะ
อย่างน้อยก็ต้องมีพื้นรู้หนังสือ บ้างสิ
ถ้าไม่รู้อะไรเลยอย่างนี้ ก็เสียใจด้วยนะ
กลับไปเถอะ”

หนุ่มบ้านนอกก็ได้แต่เดินออกจากโรงเรียน
ที่ตั้งความหวังว่าจะได้งานทำนั้นอย่างเงื่องหงอย

และเมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ใน กรุงเทพ
ก็จึงต้องจำใจ กำเงินจำนวนสุดท้าย
จับรถ ซมซานกลับบ้าน อย่างนกปีกหัก



แต่เมื่อกลับถึงบ้าน
จึงนึกขึ้นได้ว่า
ตนเองนั้นเพิ่งได้ รับมรดก
เป็นที่ดินสวนรกร้างเท่าแ มวดิ้นตาย
มาจากพ่อผู้ล่วงลับไปแล้ว

ด้วยความเจ็บใจ
จึงเกิดเป็นแรงมานะ ให้จับจอบเสียม
หักร้างถางพง ที่ดินสวนเก่าที่รกร้างนั้น
และค่อย ๆ พลิกฟื้นลงร่องผลไม้ไปทีละเล็กละน้อย
อย่างฮึดสู้ชะตาชีวิต ด้วยความอดทน. . .



อาจเป็นบุญในปางบรรพ์
ของพ่อหนุ่มคน นี้ก็ได้
ที่ปรากฎว่า หลายปีต่อมา
สวนผลไม้ที่ ลงแรงไว้นั้น
ออก ผลอย่า! งงดงาม
และสร้างผลกำไรมากทบทวีขึ้นทุก ปี
กระทั่งสามารถเก็บเงินซื้อที่ดินในแปลงข้างเคียง
ขยายอาณาเขตสวนของตนเอง จนกว้างขึ้น และกว้างขึ้น. . .

หลายสิบปีต่อมา
จากความขยันขันแข็ง มานะอดทน
และ ประสบการณ์ที่เพิ่มพูน

บัดนี้
หนุ่มบ้านนอกคนนั้น
ก็กลายเป็นชายชรา
ที่คนทั้งเมืองรู้จักในนามของ
พ่อ เลี้ยงสวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด
และ ภูมิภาคนั้น



อยู่มาปีหนึ่ง
เมื่อเก็บเกี่ยวผลไม้มากมายมหาศาล
และ ชำระบัญน้ำบัญชีเรียบร้อย
โดยฝีมือของลูกหลานที่ เลี้ยงดู ให้! การศึกษา
และแจกงานการให้ทำในสวน นั้นแล้ว

พ่อ เลี้ยงชราก็หอบเงินเป็นฟ่อน
นั่งรถเข้ามาในตัว อำเภอ
เพื่อขอเปิดบัญชีกับธนาคารเป็นครั้งแรก

เมื่อแจ้งนาม และความจำนงกับธนาคารแล้ว
พนักงานถึงกับตื่นเต้นกันยกใหญ่
ผู้ จัดการสาขาถึงกับเดินมาต้อนรับด้วยตัวเองเลยทีเดียว

เมื่อพนมมือไหว้ลูกค้าใหญ่ รายใหม่ อย่างนอบน้อมแล้ว
ผู้จัดการก็แตะข้อต่อศอก
ยื่นใบเปิดบัญชีพร้อมปากกาปลอกทอง
ให้ กับพ่อเลี้ยงชราอย่างพินอบพิเทา

“ขอบพระคุณ เป็นอย่างสูงครับ
ทาง เรารู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง
ที่ได้มี โอกาสบริการพ่อเลี้ยงในครั้งนี้
รบกวนกรอกใบเปิด บัญชีด้วยครับ”

พ่อเลี้ยงชราส่ายหน้าช้าๆ
ยื่นปากกาปลอกทองคืนให้กับผู้จัดการ
พร้อม กับยิ้มให้ พลางกล่าวเนิบๆ

“พ่อหนุ่มช่วยกรอกรายการให้ลุงทีเถิด
ลุงอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้หรอก...”

ผู้จัดการรับปากกาคืนมาโดย อัตโนมัติแบบงงสุดขีด
พลางค่อยๆอ้อมแอ้มถามลูกค้า รายใหญ่ (มาก ) อย่าง เกรงใจสุดๆ

“... เอ่อ...ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยครับ...
...เอ่อ...ขออนุญาตเรียนถามพ่อเลี้ยงด้วยความเคารพนิดหนึ่งเถิด ครับ
คือ...พวกเราในจังหวัดนี้ก็ทราบกัน ดีอยู่
ถึงชื่อเสียงของพ่อเลี้ยง
ในกิจการสวนผลไม้ที่ใหญ่โตและเจริญก้าวหน้าที่สุดในภูมิภาคนี้
แต่...” ผู้จัดการ ชะงัก ด้วยความเกรงใจ

และในที่สุดก็หลุดปากถามออกมา
ด้วยความฉงนที่มิอาจเก็บไว้ได้จริงจริง

“...แต่ พ่อเลี้ยงอ่านหนังสือไม่ออก
และเขียนหนังสือไม่ได้ หรือครับ...”

“...พ่อหนุ่ม” พ่อเลี้ยงชรายิ้มให้ผู้จัดการสาขาของธนาคาร อย่างใจดี

“...ถ้าลุงอ่านหนังสือออก และเขียนหนังสือได้น่ะนะ...”

แกถอนหายใจยาว

ก่อน จะพูดประโยคที่ทำให้ผู้จัดการถึงกับอึ้งไปนานเลยว่า

“...ป่านนี้ ลุงก็คงได้เป็นภารโรงไปแล้วแหละ...”


========================================

คุณค่าของเ! ราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่คนอื่นมองเรา
แต่ขึ้นอยู่กับตัวเรา
โอกาสยังมี อยู่เสมอ ขอเพียงแต่มองไปรอบๆ
ตั้งใจทำในสิ่ง ที่ทำได้ และทำให้เต็มความสามารถ
แล้วดอกผลจะตาม มาเอง
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #84 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:29:00 »

อ้างถึง
ข้อความของ narongb เมื่อ 09 พฤศจิกายน 2552, 22:23:38
ทำไมพิมพ์เก่งจัง

copy มาจากเมลที่มีคนส่งมาให้จ้ะ
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #85 เมื่อ: 17 มีนาคม 2553, 23:09:09 »

มหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง
สุดแสนจะภูมิใจที่ลูกชาย
วัยห้าขวบของเขากำลังจะได้
เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง
ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น

โดยส่วนตัวของเขาเอง
ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก
ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน
ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียวไป
ท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ
แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่อง
”ความยากจน”
เพราะเขามีความเชื่อว่า
ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน
เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง
และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา
มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่า
ลูกชายได้อะไรบ้างจากการไปพักแรมกับชาวนา ผู้ ยากจน
ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดา ว่า
เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนา
และพักแรมที่นั่น
ซึ่งทำ ให้เขาได้พบว่า....
ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่
ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง
แต่ก็ยังน้อยกว่าห้องทำงานของชาวนา

อาหารที่ชาวนารับประทานสามารถหาได้ตลอดเวลา
รอบๆบริเวณบ้านโดย ไม่ต้องซื้อหา
ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้น ที่เป็นที่เก็บอาหาร
เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อน
คุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหาร
กับโต๊ะอาหารที่ยาวเกือบสิบเมตร
และ มีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

ลูกชาวนา ที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา
ต้องกอดเอวพ่อให้แน่น
เพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน

แต่เขาเอง ต้องนั่งในรถที่ใหญ่โต
อยู่ข้างหลังเพียงลำพังโดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟ
ส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืนโดยไม่ขาดแคลน
แต่เขา ก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน
... ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่
ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีดหิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

เขาขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำให้เขารู้คำตอบว่า ...
จริงๆ แล้ว ... เรายากจนกว่าชาวนามาก

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #86 เมื่อ: 05 เมษายน 2553, 16:37:57 »

 “ มองที่ปัญหา หรือ     มองที่ทางออก “ 

   เรื่องแรก   


อเมริกาส่งนักบินไปในอวกาศเจอปัญหาปากกาเขียนไม่ออก นักวิทยาศาสตร์ระดมปัญญาเพื่อประดิษฐ์ปากกา   

ที่สามารถเขียนในภาวะไร้แรงโน้มถ่วงได้     ต้องทุ่มเงินหลายร้อยล้านเหรียญและใช้เวลาไปหลายปี    ในที่สุดได้ปากกาที่สามารถเขียนได้ทุกพื้นผิว    แม้ใต้น้ำก้อเขียนได้
ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง
แต่นักบินอวกาศรัสเซีย ประสบปัญหาเดียวกัน ใช้ดินสอเขียนแทนปากกา   

 
               *******************************

 

                เรื่องที่สอง   

             
โรงงานผลิตสบู่ในญี่ปุ่นประสบปัญหา   เมื่อส่งสินค้าไปแล้วลูกค้าบ่นเรื่องบางกล่องไม่มีสบู่ เป็นกล่องเปล่าๆ ทางโรงงานติดตั้งเครื่อง X-Ray เพื่อตรวจสอบ ใช้เงินลงทุนไปหลายล้านเยน กล่องไหนไม่มีสบู่ก้อตรวจจับได้ ทำให้สามารถส่งสบู่ที่ไม่มีกล่องเปล่าอีก   แต่โรงงานเล็กๆ อีกโรงประสบปัญหาเดียวกัน    ช่างคุมงานใช้พัดลมตัวใหญ่ๆ เป่าลมบนสายพาน กล่องเปล่าก็ปลิวออกไป     

               ****************************** 


คนเราเวลาประสบปัญหา ส่วนมากมักคิดแต่จะแก้ปัญหา

ทุ่มกำลังสติปัญญาและทุ่มเทเวลาเพื่อแก้ปัญหานั้น

ถ้าคุณเปลี่ยนเป็นมองที่ทางออก ปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายดูจะกลายเป็นเรื่องจ้อยไปเลย

               ******************************

เมื่อคุณเจอปัญหา ลองเปลี่ยนวิธีคิด แล้วคุณจะประหลาดใจ   


      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
  หน้า: 1 2 3 4 [ทั้งหมด]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><