23 กันยายน 2567, 22:06:05
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 99 100 [101] 102 103 ... 979   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ☼☼☼ ร่วมคุยกันในมุมมองของคุณแม่~แวะพักทักทายเอ๋ 24 ☼☼☼  (อ่าน 2700561 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 13 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2500 เมื่อ: 02 มีนาคม 2553, 14:12:17 »

สวัสดีค่ะท่านทู ขอบคุณสำหรับบทกลอนอันไพเราะนะคะ



ทายาท24ค่ะ คนหลังสุด ลูกชายของ ชาย-รัฐศาสตร์



และนี่ก็ลูกสาวด้วยเช่นกัน
      บันทึกการเข้า
SC (ก้าน 24)
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 981

« ตอบ #2501 เมื่อ: 02 มีนาคม 2553, 16:03:00 »

สวัสดีครับดร.เอ๋
สบายดีนะครับ


 บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

My Website <== คลิกเพื่อชม MV โดยไม่มีโฆษณาคั่น คลิกเล่นแล้ว คลิกขยายให้เต็มจอ อย่าคลิก YouTube
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2502 เมื่อ: 02 มีนาคม 2553, 16:06:05 »

หยุมฝากมาให้เพื่อนๆค่ะ เชื่อว่าจะมีประโยชน์กับชีวิตและครอบครัวได้นะคะ

ชีวิตคนเรามีอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามาให้ซึมซับรับรู้   ในชีวิตคนเรามีผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาให้รู้จักมักคุ้น

แต่ในผู้คนมากมายเหล่านั้น  อย่างน้อยคงต้องมีใครบางคนที่ทำให้เรารู้สึก "ไม่ธรรมดา"

ที่จะนึกถึง เรียกว่าเป็น "ความพิเศษ"   ที่เราจะยกเว้นเอาไว้จากความปกติทั่วไปของจิตใจ

ก็ในเมื่อคำว่า "พิเศษ" หมายถึงความจำเพาะ ความแปลกแยก ความดีงาม ความอบอุ่นในหัวใจ

กระนั้นทำไมเราไม่ปฏิบัติต่อเขาให้ตรงกับที่ใจคิด

ให้ "ความรู้สึกดีๆ" จากจิตใจที่ดีๆ      ให้ "ความอาทรถึง" จากจิตใจที่นึกถึง

ให้ "ความห่วง" จากจิตใจที่เป็นห่วง      ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างดีๆ แต่มี "สติ"

ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างอบอุ่น แต่ไม่ "คุกรุ่น"      ให้ไปเลย ให้ไปเท่าไหร่ก็ได้ แต่เมื่อให้ไปแล้วต้อง "ไม่ร้อนรุ่มกลัดกลุ้ม"

และหากเมื่อใดจิตใจอาจระส่ำระสาย สะดุดกับอะไรขึ้นมาบ้าง      ก็จงหยุดพักตรึกตรอง อย่าปล่อยให้พายุอารมณ์โถมพัด "สิ่งดีๆ"

จนกระจัดกระจาย      เพราะ "การให้ความหมาย" ไม่ใช่ "การตั้งความหวัง"

คนสองคนให้ความหมายซึ่งกันและกัน แต่คนสองคน      "จะไม่ตั้งความหวังในกันและกัน"

เพราะการตั้งความหวังมักนำพาซึ่ง "การเรียกร้อง"      "ความอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ" โดยที่ไม่รู้ตัว

มันร้อนนัก หนาวนัก และไม่เป็นสุข

เราต้องไม่ลืมปรับอุณหภูมิจิตใจเอาไว้ที่องศาอุ่นๆ      หากเริ่มรู้สึกตัวว่า ความร้อนเริ่มทวีขึ้น เราต้องค่อยๆ เดินออกมาสูดอากาศเย็น

หากตรงกันข้ามเราก็ต้องหลบเร้นจากความหนาวมาหาไอแดดเช่นกัน

และอย่าลืมว่า "ความพิเศษ"   ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นพิเศษมากหรือพิเศษสุด    หรือพิเศษอย่างยิ่งในคนคนเดียว

ทั้งเราและเขาอาจจะมีคนพิเศษในวิถีชีวิตได้หลายลักษณะ    พิเศษในเรื่องนั้น พิเศษในเรื่องนี้

ในเมื่อหัวใจเป็นของเรา    เราก็ย่อมเลือกให้ความพิเศษกับใครก็ได้ที่เราจะไม่ต้องแลกกับความทุกข์อย่างพิเศษกลับมา

จงให้ "ความพิเศษ" เป็นชีวิตชีวา    เป็นแววตาที่แจ่มใส    เป็นความห่วงใยที่เมื่อนึกถึงทีไรก็ยิ้มได้

ไม่วิ่งหนี แต่ไม่วิ่งตาม    ไม่หักห้าม แต่ไม่กระโจนใส่    ไม่เป็นน้ำตาลที่หวานอ่อนไหว    แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจและเอื้ออาทร

จงเป็นความแจ่มใสในอารมณ์ของตัวเอง เป็นความชุ่มชื่น สดใส เช่นสายน้ำ   เป็นสีสันงดงามเช่นมวลผกา เป็นสีเขียวของใบไม้

ที่เย็นที่ตาและที่ใจ    และที่ตรงนี้ จะอีกนานเท่าใด ไม่ว่า "คนพิเศษ" คนนั้นจะอยู่ใกล้หรือต้องจากกันไกล

"ความพิเศษ" นั้นก็จะคงอยู่อย่างมีคุณค่า ณ ที่เดิม ที่ซึ่งใจข้างซ้ายตรงกัน



ภาพจาก writer.dek-d.com
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2503 เมื่อ: 02 มีนาคม 2553, 16:07:04 »

อ้างถึง
ข้อความของ SC (ก้าน 24) เมื่อ 02 มีนาคม 2553, 16:03:00
สวัสดีครับดร.เอ๋
สบายดีนะครับ


 บ่ฮู้บ่หัน

สวัสดีค่ะก้าน สบายดีค่ะ ขอบคุณมาก
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2504 เมื่อ: 02 มีนาคม 2553, 16:45:53 »

เรื่องราวดีๆจากหยุมพรค่ะ



มีคู่รักคู่หนึ่งนั่งรถเมล์ที่กำลังตรงไปในเมืองในหุบเขา  มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ได้ลงกลางทาง  หลังจากที่พวกเขาได้ลงแล้วรถเมล์ก็วิ่ง

ต่อไป แต่เพียงไม่นานก็มีหินก่อนขนาดมหึมาได้ตกลงมาจากที่สูงมาก  และทับรถเมล์คันนั้นพังยับเยิน ทุกคนที่อยู่ในรถในเวลานั้นเสีย

ชีวิตทั้งหมด คู่รักคู่นั้นเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็พูดขึ้นว่า ' ถ้าพวกเรายังอยู่ในรถคันนั้นก็ดีน่ะซิ! '   

คนส่วนใหญ่น่าจะคิดว่า  ' ยังดีนะที่เราลงจากรถก่อน! '   แต่คู่รักคู่นี้กลับพูดสิ่งที่ต่างจากคนส่วนใหญ่   คุณคิดว่าเพราะอะไร Huh?

ถ้าพวกเขายังคงอยู่และไม่ได้ลงจากรถ  รถเมล์คันดังกล่าวก็จะไม่ต้องหยุดรถเพื่อพวกเขา และจะขับเลยตำแหน่งที่หินถล่มลงมา!!   

ในชีวิตของพวกเรานั้น  ให้ลองมองด้วยมุมมองที่ต่างจากของตัวเองและพยายามเข้าใจและช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น   อย่าได้ใช้ชีวิตอย่าง

ขาดสติและเฉยเมย   ทำเพื่อตัวเองอีกต่อไปเลย   

Date: Fri, 12 Feb 2010 04:22:51 -0800
Subject: Fwd: FW: อีกมุมมองของชีวิตคน
From: psirintorn2444@gmail.com
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2505 เมื่อ: 03 มีนาคม 2553, 09:44:50 »

กลเม็ดในการเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กดี     
     
พ่อแม่ทุกคนย่อมปรารถนา จะเห็นลูกหลานของตนเป็นเด็กดี ประพฤติตัวเป็นเด็กที่น่ารัก เพื่อที่จะได้รับความเมตตาเอ็นดู จากผู้ที่พบเห็น

ซึ่งโดยธรรมชาติเด็ก ในช่วงปฐมวัยจะมีความน่ารัก ไร้เดียงสา เป็นทุนในตัวเองด้วย ฉะนั้นหากพ่อแม่มีความตั้งใจจะอบรมสั่งสอนให้เด็กมี

พฤติกรรมที่เหมาะสมกับวัยอย่างต่อเนื่อง ลูกก็จะสามารถซึมซับสิ่งที่พ่อแม่จะนำมาใช้เป็นข้ออ้างอยู่ร่ำไปเมื่อลูกมีปัญหาด้านพฤติกรรมที่

ไม่เหมาะสม แม้ว่าลักษณะของครอบครัวไทยเปลี่ยนไป ภาระของพ่อแม่เปลี่ยนไป สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป สังคมมีการต่อสู้มากขึ้น พ่อแม่ยิ่ง

ต้องมีความเข้าใจในความเป็นมนุษย์  การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพื่อเป็นพื้นฐานของการบ่มเพาะนิสัยให้ลูกรู้จักเรื่องของกาลเทศะ อัน

จะนำไปสู่ขั้นตอนของการรู้จักคิดวางตนให้มีพฤติกรรมที่เหมาะสม ก่อเกิดเป็นความน่ารักหรือความมีเสน่ห์ในตัวของเด็กคนนั้น   
     
โดยปกติแล้วช่วงระยะเวลาที่เด็กมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว จะเริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงอายุราว ๖ ปี แรกของชีวิต จากนั้นจะเริ่มช้าลง ถ้าจะ

เปรียบกับการก่อสร้าง ช่วง ๖ ปีแรกของชีวิตเทียบได้กับช่วงที่กำลังเทปูน ซึ่งปูนยังไม่ทันที่จะแข็งตัว จึงสามารถปรับแต่งรูปทรงได้ตามที่

ต้องการ พอช่วงอายุ ๗ ปี ขึ้นไป เทียบได้กับช่วงระยะที่ปูนแข็งตัวแล้ว ยากที่จะปรับแต่งให้เป็นไปตามรูปทรงที่ต้องการได้ ดังนั้นในช่วงอา

ยุ ๖ ปีแรกของชีวิต จึงเป็นระยะที่สำคัญที่สุดในการวางรากฐานและสร้างเสริมคุณภาพของคน เพราะช่วง ๖ ปีแรกของชีวิตสมองจะเจริญ

เติบโตอย่างรวดเร็ว เด็กจึงมีความรู้สึกรับรู้ สัมผัสทั้งรูป รส กลิ่น เสียง กายสัมผัส เด็กมีความสามารถเลียนแบบอย่างตั้งแต่แรกเกิด ทั้งยังสา

มารถที่จะเรียนรู้จากสภาวะแวดล้อม ซึ่งเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงได้อย่างรวดเร็วและฝังรากลึกในจิตใจ ดังนั้นพ่อแม่เป็นตัวอย่างที่

ดีอย่างสม่ำเสมอลูกจะเข้าใจ และมีพฤติกรรมดังเช่นพ่อแม่ของตนนั่นเอง
 
หากขณะนี้ลูกมีนิสัยที่ไม่ต้องประสงค์ ประการแรกพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ ที่อยู่รอบข้างของลูกต้องปรับตัวและเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องที่ต้องการจะ

แก้ไขให้ลูกเสียก่อน จากนั้นพึงพร่ำบ่มอบรมเรื่องนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งผลการวิจัยของนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้ศึกษาค้นพบว่าถ้าต้อง

การที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัยเด็ก ต้องอบรมเด็กตั้งแต่เล็ก เพราะ   
     
คนที่มีอายุไม่เกิน ๕  ปี จะต้องใช้เวลาอบรมเรื่องที่ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมนานถึง ๑ เดือน 

คนที่มีอายุไม่เกิน ๑๐ ปี จะต้องใช้เวลาอบรมเรื่องที่ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมนานถึง ๒.๕ เดือน 

คนที่มีอายุไม่เกิน ๒๐  ปี จะต้องใช้เวลาอบรมเรื่องที่ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมนานถึง ๕ เดือน 

คนที่มีอายุไม่เกิน ๓๐  ปี จะต้องใช้เวลาอบรมเรื่องที่ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมนานถึง ๑๑  เดือน 

คนที่มีอายุไม่เกิน ๔๐ ปี จะต้องใช้เวลาอบรมเรื่องที่ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมนานถึง ๒๓ เดือน
 
คนที่มีอายุไม่เกิน ๕๐ ปี จะต้องใช้เวลาอบรมเรื่องที่ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมนานถึง ๕๐ เดือน
 
คนที่มีอายุไม่เกิน ๖๐ ปี จะต้องใช้เวลาอบรมเรื่องที่ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมนานถึง ๑๐๐ เดือน
 
ดังนั้น หากพ่อแม่อยากจะเปลี่ยนแปลงนิสัยของลูกรักแล้ว ก็พึงต้องใช้ความอดทนในการอบรมสั่งสอนซ้ำในเรื่องเดิมนานต่อเนื่องกันตามแต่

ละช่วงวัยอายุข้างต้นนั่นเอง
   
ข้อมูลจาก : ทีมงานศูนย์สร้างสรรค์เยาวชน (กระจ่างนิติเกษตร) โทร 0-2437-2490 begin_of_the_skype_highlighting     0-2437-2490      end_of_the_skype_highlighting
 
      บันทึกการเข้า
phraisohn
บักสน
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


บักสนแคมโบ้
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu89 (ปี 2549)
คณะ: วิทยาศาสตร์
กระทู้: 9,557

เว็บไซต์
« ตอบ #2506 เมื่อ: 03 มีนาคม 2553, 10:10:55 »

สวัสดีค้าบพี่เอ๋ สบายดีนะคับ?

วันนี้นำดอกไม้สีเหลืองอร่าม น่าชื่นใจมากฝาักคับ
ภาพสวยๆจากเว็บ flickr คับผม

      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2507 เมื่อ: 03 มีนาคม 2553, 12:08:35 »

อ้างถึง
ข้อความของ phraisohn เมื่อ 03 มีนาคม 2553, 10:10:55
สวัสดีค้าบพี่เอ๋ สบายดีนะคับ?

วันนี้นำดอกไม้สีเหลืองอร่าม น่าชื่นใจมากฝาักคับ
ภาพสวยๆจากเว็บ flickr คับผม



สวัสดีค่ะน้อง พี่เอ๋สบายดีค่ะ ขอบคุณมากสำหรับดอกไม้สวยๆนะคะ

โลโก้ใหม่ดูดีทีเดียวน้องเรา ..ตั้งใจเรียน ช่วยงานและเรียนรู้งานจากลุงณะเยอะๆนะคะจะได้เก่งขึ้นเรื่อยๆ
      บันทึกการเข้า
หนุ่ม2524
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
กระทู้: 1,042

« ตอบ #2508 เมื่อ: 03 มีนาคม 2553, 14:43:22 »

ประทับใจหลายๆเรื่องในบ้านนี้ ขออนุญาต copy นะครับ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2509 เมื่อ: 03 มีนาคม 2553, 14:58:38 »

อ้างถึง
ข้อความของ หนุ่ม2524 เมื่อ 03 มีนาคม 2553, 14:43:22
ประทับใจหลายๆเรื่องในบ้านนี้ ขออนุญาต copy นะครับ


สวัสดีค่ะหนุ่ม ดีใจที่เพื่อนแวะมาบ้านนี้ ตามสบายเลยนะคะ

เจ้าของบ้านขอตัวอ่านหนังสือเตรียมสอบวิชากฏหมายอาญาก่อนค่ะ



หลานชายค่ะ(คนกลางของภาพ)
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2510 เมื่อ: 03 มีนาคม 2553, 16:37:29 »

เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ดี     เลี้ยงลูกอย่างไรให้(ได้)ดี     โดย นพ.สมพนธ์ บุณยคุปต์

วิชัยยุทธจุลสารเล่มนี้เป็นเล่มสำหรับเด็ก เด็กเป็นวัยที่มีความสำคัญต่อสังคมและ ประเทศชาติมากที่สุด แต่เป็นที่น่าเสีย

ดายที่ในช่วง ๑๐ ปี ๒๐  ปี หลังนี้เราละเลย หรือเลี้ยงดูเด็กผิดแนวทาง โดยถูกกระแสสังคมใหม่ ชี้นำไปจนทำให้เด็กใน

ยุคนี้แทนที่จะเป็นกำลังแก่สังคม กลับเป็นภาระของสังคม เพราะพูดได้ว่าเด็กจำนวนมากหลงทาง หลงผิด เด็กติดสิ่งเสพ

ติดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสุรา ยาม้า ยาบ้า ยาอีไปจนถึงโคเคน และเฮโรอีน มีนิสัยเป็นอันธพาล ใจคอโหดร้าย  อย่างข่าวที่นัก

เรียนชายบังคับนักเรียนหญิงไปข่มขืน เป็นเด็กไม่มีระเบียบวินัย เป็นเด็กไม่มีปัญญามีแต่ปัญหา เป็นเด็กที่หลงระเริง หลง

ทาง ซึ่งปัญหาเหล่านี้แพร่หลายทั่วประเทศ ทั้งในกรุงและต่างจังหวัด  คนไข้ของผู้เขียนคนหนึ่ง เป็นครูที่โรงเรียนในจัง

หวัดไม่ห่างกรุงเทพฯมากนัก ได้ตรวจปัสสาวะของนักเรียนชายและหญิง พบยาเสพติดถึงครึ่งหนึ่ง เมื่อผู้เขียนบวชที่วัดป่า

จังหวัดหนองคาย พบเณรอายุ ๑๑-๑๒ ปี เมื่อถามว่าบวชเพราะอยากบวชหรือ เณรบอกเปล่าแต่แม่ให้ บวช เพราะกลัวติด

ยา เพื่อนๆที่โรงเรียนติดยาเกือบหมดแล้ว!

หัวข้อเรื่องที่เขียนมี ๒ นัย คือ “เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ดี” หรือ “เลี้ยงลูกอย่างไรให้ดี” ซึ่งฟังเผินๆคล้ายกันแต่ความหมาย

ต่างกันมาก  คนส่วนมากคงจะชอบอย่างแรก คือ เลี้ยงลูกให้ได้ดี ซึ่งการที่คนจะได้ดีนั้น สุดแต่ว่าใครตั้งเป้าไว้ว่าต้องการอะ

ไร มักจะเป็นเรื่องของทรัพย์ ตำแหน่ง อำนาจ วาสนา แต่ต้องไม่ลืมว่าคนที่ได้ดี  อาจเป็นคนเลวมากก็ได้ เห็นตัวอย่างอยู่

เต็มเมือง ในสังคมปัจจุบันคนที่ได้ดีแต่ไม่ใช่คนดีมีให้เห็นมากมาย จึงอยากจะเขียนเรื่องเลี้ยงลูกให้ดี คือให้เป็นคนดี ซึ่งถ้า

เป็นคนดีอยู่ในสังคมที่ดีแล้ว ย่อมจะได้ดีเอง  คนยุคใหม่มักตำหนิการเลี้ยงลูกของคนรุ่นเก่า   ว่าคร่ำครึ ไม่ถูกยุคถูกสมัย จะ

ไปแข่งไปสู้กับชาวโลกเขาไม่ได้ ซึ่งความจริงคนรุ่นเก่า  เขาไม่เคยมีใครมาอบรมสั่งสอนว่าให้เลี้ยงลูกอย่างไร ไม่มีหนังสือ

เขียนวิธีการเลี้ยงลูก แต่เขาเลี้ยงดูตามที่เห็นพ่อแม่เลี้ยงดูมา แต่เขาก็ไม่เคยนำประเทศไปเสียท่าแก่ประเทศอื่น พ่อแม่

สมัยใหม่ในปัจจุบันนี้ เลี้ยงลูกโดยการอ่านตำรา ซึ่งส่วนใหญ่เขียนโดยคนต่างประเทศที่เขาสอนเพื่อให้เด็กอยู่ในสังคมและ

วัฒนธรรมของเขา ซึ่งต่างจากสังคมและวัฒนธรรมเรา สิ่งที่ดีเหมาะสมในสังคมฝรั่งอาจไม่เหมาะสมกับสังคมไทย ดูง่ายๆ

เรื่องการแสดงออกของความพอใจ เด็กยุคใหม่ต้องส่งเสียงร้อง “กรี๊ด” ให้ดังหนวกหูที่สุด นานที่สุด จนฟังไม่ออกว่าผู้

แสดงเขาร้องหรือพูดว่าอะไร ถ้าเป็นสมัยโบราณคงถูกพ่อแม่ตีตาย เพราะอย่างมากที่คนสมัยก่อนจะแสดงออกก็คือปรบมือ

เท่านั้น และส่วนใหญ่เป็นการแสดงออกของเด็กสาว การร้องกรี๊ดทุกกาละเทศะเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่สมควรแก่สังคมไทย

หรือ? การแสดงออก หลายอย่างเป็นลักษณะของวัฒนธรรมของอาฟริกัน อเมริกัน เช่น การแต่งกาย แต่งผม แต่งหน้า หรือ

ผู้ชายใส่ตุ้มหู ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรเลียนแบบเลย เสียเงินเสียทองโดยใช่เหตุ



เรื่องเหล่านี้ยังไม่สำคัญเท่ากับผลที่เกิดต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดจากผลการปฏิบัติงานของ

คนยุคใหม่ในระดับต่างๆ ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม การมองแต่ผลประโยชน์ที่จะได้โดยไม่นึกถึงทางเสี่ยงหรือผลเสีย การวิ่ง

ตามยุคของเศรษฐกิจแบบใหม่ของอเมริกันโดยไม่ดูตัวเอง จนเกิดภาวะฟองสบู่แตก เข้าสู่ยุคไอเอ็มเอฟ (ดังที่เขียนความ

เห็นไว้ใน วิชัยยุทธจุลสาร เล่มที่ ๘ แล้ว) แต่ไม่ใช่ว่ากิจการทั้งหมดจะอยู่ในสภาพเลวร้าย จะเห็นได้ในทุกวันนี้ว่ากิจการ

ใดๆที่ดำเนินงานในลักษณะไม่เสี่ยง ไม่งกเอาแต่ได้ ก็จะสามารถประคองตัวรอดได้  ผู้เขียนเป็นอายุรแพทย์ไม่ใช่กุมาร

แพทย์  ไม่เคยศึกษาเรื่องวิธีเลี้ยงเด็ก แต่มีประสบการณ์จากคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงมา และตัวเองเคยเลี้ยงลูกมา ๒ คน คิด

โดยไม่ลำเอียงว่า ตัวเองคงจะถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ลูกที่ดี” หรือ “ลูกที่ได้ดี” ทั้ง ๒ กรณี และลูก ๒ คนของผู้เขียนก็คงจัดได้

เช่นเดียวกัน อย่างน้อยน่าจะแสดงว่าวิธีที่คุณพ่อเลี้ยงผมมา และที่ผมและภรรยาเลี้ยงลูกคงจะใช้ได้ เพราะทำให้เราเป็น

คนดีและได้ดี  ผู้เขียนเคยใช้เวลาพิจารณาว่าที่ตัวเองเป็นอย่างทุกวันนี้เป็นเพราะอะไร เป็นจากการอบรมของพ่อแม่อย่าง

เดียวหรือ? ตอบว่าไม่ใช่ เพราะพ่อแม่สมัยก่อนไม่มีเวลามากนักที่จะมาดูแลลูกหลายคน (พี่น้องผู้เขียน ๔ คน) แต่ส่วนหนึ่ง

เป็นจากการเห็นและการทำตามพ่อแม่หรือว่าได้การอบรมจากโรงเรียน? ก็ไม่ใช่อีก ได้จากเพื่อนหรือ? ก็ไม่ใช่ จากการอ่าน

หนังสือเองหรือ? ไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นจากอะไร? คงตอบว่าจากทุกอย่างรวมกัน แต่แม้รวมกันแล้วก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีส่วน

สำคัญอีกส่วนหนึ่ง คือ ส่วนที่อยู่ในตัวเอง ซึ่งคิดว่าอาจจะมากเกินครึ่งของทั้งหมด จะเรียกว่าอะไร อาจเรียกว่า “สันดาน”

ของคนคนนั้น หมายถึงว่าคนที่จะดีต้องมีสันดานดีอยู่ในตัว คนพาลสันดาลหยาบ ให้ไปอบรมอย่างไร ก็ยากจะดีได้ มีตัว

อย่างให้เห็นมากมายว่าคนบางคนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีเลยแต่เป็นคนดีได้ แต่คนที่อยู่ในที่แสนจะดีกลับเป็นคนชั่วเอา

ตัวไม่รอด  คนเราอาจเปลี่ยนได้บ้างถ้าได้รับการสั่งสอนถูกทางตั้งแต่เด็ก  เจ้าตัว “สันดาน” นี้คืออะไร? อย่างที่เขียนใน

เล่มที่แล้วว่า พระพุทธเจ้าอธิบายการเกิดของมนุษย์ว่า เมื่อไข่ของมารดาผสมกับเชื้อของบิดาแล้วจะเกิด “กายทสกะ” ทำ

ให้มีรูปร่างหน้าตาอย่างที่เป็นซึ่งจะมีส่วนคล้ายบิดามารดา มี “ภาวะทสกะ” ที่ทำให้กำหนดเพศว่าเป็นเพศอะไรและ “วัตถุ

ทสกะ” เป็นโครงสร้างของสมองที่ทำให้ลูกมีสติปัญญาเทียบเคียงพ่อแม่ ในทางวิทยาศาสตร์เราก็อธิบายเรื่องของพันธุกรรม

ไว้ตรงกัน แต่ก็ยังอธิบายว่าอะไรทำให้เราเป็นอย่างที่เราเป็นนี้ไม่ได้อยู่ดี ยกตัวอย่างการที่ผู้เขียนมาเป็นแพทย์นี้  ไม่ได้เกิด

จากความชอบ  ความต้องการของตนเอง เพราะสิ่งที่ชอบที่สุดตั้งแต่เด็กคือการเป็นเกษตรกร แต่บังเอิญในยุคที่เรียนจบจะ

เข้ามหาวิทยาลัย  ยังไม่มีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีแต่วิทยาลัยแม่โจ้ ผู้เขียนเลยไม่ได้เป็นเกษตรกร ไม่ได้เกิดจากอิทธิ

พลความต้องการของครอบครัว  ซึ่งเป็นครอบครัวทหารน่าจะเป็นทหาร บังเอิญใจผู้เขียนไม่ชอบเป็นทหาร (แต่ในที่สุดช่วง

หนึ่งของชีวิตก็ต้องไปเป็นทหาร อาจเรียกได้ว่าเป็นไปตามดวงเพราะหมอผูกดวงที่มีชื่อเสียงในอดีตท่านหนึ่ง คือ พล.ต.พิ

สนห์ ทองดีเลิศ ท่านทำนายไว้ว่าอนาคตของผู้เขียนจะเด่นมาก โตขึ้นจะเป็นครู หรือเป็นแพทย์ และจะเป็นทหารมียศเป็นถึง

นายพันตรี! ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่าทำไมเป็นพันตรีจึงเด่น ในสมัยนั้นยศสูงสุด ที่คนธรรมดา จะเป็นได้คือพันเอกซึ่งมีเพียงไม่

กี่คน ดังนั้นเป็นพันตรีก็เทียบกับสมัยนี้เป็นนายพลแล้ว ซึ่งเมื่อผู้เขียนจบแพทย์หลังเป็นแพทย์ประจำบ้านอายุรศาสตร์ที่ศิริ

ราชแล้วก็ออกมาหางานทำ ไปดูโรงพยาบาลต่างๆ หลายแห่ง เขาอยากได้ผู้เขียนแต่ตนเองมาพอใจเอาที่โรงพยาบาลพระมง

กุฎเกล้า ซึ่งในยุคนั้นเหมือนโรงพยาบาลต่างจังหวัด มีคนไข้นอนในหออยู่ ๔๐ คน ไม่มีหมอประจำ นอนเตียงละ ๒ คนก็มี ไม่มี

ผ้าปูที่นอน ทั้งward มีเข็มฉีดยา ๒ อัน เลยเลือกมาอยู่ เพราะมีงานทำมากดี ได้ยศเป็นร้อยโทและอยู่จนเป็นนายพันตรีจริงๆ

ตามคำทำนาย พอดีทางมหาวิทยาลัยขอโอนไปเป็นหัวหน้าหน่วยโรคทางเดินอาหารและอายุรศาสตร์เขตร้อน  โรงพยาบาล

รามาธิบดี แต่หมอดูผิดไปหน่อยที่หลังจากโอนมาพลเรือนแล้วมีคำสั่งกลาโหมติดตามมาให้เลื่อนยศเป็นพันโทย้อนหลัง คือ

เรียกว่าผู้เขียนได้ดีกว่าดวง!)  เหตุที่ผู้เขียนมาเป็นแพทย์ก็เพราะบังเอิญไปเรียนอยู่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาฯ ซึ่งระยะนั้น

เป็นที่รวมคนเก่งจากโรงเรียนต่างๆเพื่อเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย มีเพื่อนที่เก่งๆทั้งนั้น ทุกคนอยากเข้าเรียนแพทย์เป็นอันดับหนึ่ง

ถึงเราไม่เก่งแต่ก็สมัครรวมกลุ่มไปกับเขา และบังเอิญสอบติดแพทย์ด้วย ก่อนหน้านี้คุณแม่ป่วยหนักและเสียชีวิตในช่วงหลังสง

ครามที่ไม่มีหมอไม่มียารักษา เป็นเหตุจูงใจให้เห็นความ สำคัญของแพทย์ จึงเต็มใจไปสอบเข้าแพทย์



ตามที่เขียนไว้แล้วว่าผู้เขียนยังอธิบายไม่ได้ว่า ทำไมผู้เขียนจึงเป็นอย่างที่เป็น ส่วนหนึ่งคือ “ดวง” หรือ จังหวะของชีวิต ซึ่งใคร

เป็นคนกำหนด หรือเกิดขึ้นเอง ถ้าเป็นฮินดูคงจะบอกว่า พระพรหมเป็นผู้กำหนดมา ทางคริสต์คงบอกว่าเป็นความต้องการของ

พระผู้เป็นเจ้า แต่ทางพุทธบอกว่าเป็น “กรรมกำหนด” คือสิ่งที่ตัวเองได้เคยทำมาแล้วในอดีตชาต ิจนถึงปัจจุบันนี้เป็นตัวกำหนด

“ปัจจุบันคือผลของอดีต” มันมาควบคุมเราได้อย่างไร มันมากับเราตั้งแต่เมื่อเราอยู่ในครรภ์ของแม่ คือ “จุติ วิญญาณ” ที่เข้ามา

ในรูปที่เราเรียกว่า “คันธัพพะ” เป็น “ปฏิสนธิวิญญาณ” มาพร้อมกับข้อมูลของกรรมเก่าที่เราแต่ละคน ได้สร้างสมมาในอดีต

เทียบกับความรู้ ปัจจุบันก็คือข้อมูลที่บรรจุไว้ในแผ่นดิสก์ เพื่อมาใช้ในชาติภพนี้ ดังนั้นส่วนสำคัญที่สุดที่จะทำให้เราเป็นอย่างนี้

จะฉลาดจะโง่จะดีจะเลว จะตกอับจะรุ่งเรือง ก็อยู่ที่วิบากกรรมที่ “เรา” ได้สร้างสมมาในอดีต ที่แสดงออกมาให้เห็นส่วนหนึ่ง

เรียกว่า “สันดาน” ของทุกคนนั่นเอง

สรุปได้ว่า เหตุที่ทำให้ใครก็ตามเป็นคนดีหรือได้ดี ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆหลายอย่าง ส่วนสำคัญที่สุดมากกว่าครึ่งหนึ่ง คือ “วิญ

ญาณ และวิบากกรรม” ของตนเอง เรียกภาษาชาวบ้านว่า “สันดานและดวง” ของคนนั้นๆ ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่แก้ไขอะไรมากไม่

ได้ อย่างมากคงเพียงตบแต่งได้ อย่างที่พูดกันว่าสันดอนขุดได้สันดานแก้ไม่ได้ ดังนั้นลูกที่เราจะเลี้ยงดูนั้นบาง ครั้งไม่ว่าเรา

จะเลี้ยงดูอย่างไรก็ทำให้เขาดีไม่ได้และไม่ได้ดี ซึ่งพ่อแม่จะต้องทำใจ ถือว่าเป็นวิบากกรรมของเราด้วย ในส่วนที่มีการผูกพัน

กับเขามาในอดีตชาติ

อย่างไรก็ตามมีส่วนหนึ่งที่พ่อแม่อาจให้การอบรมดูแลและแก้ไขได้ ได้แก่

๑. การทำตนให้เป็นแบบเยี่ยงอย่างที่ดี ข้อนี้เป็นข้อสำคัญที่สุด ลูกจะยึดเอาพ่อแม่เป็นแบบอย่าง นิสัยหลายอย่างได้มาจากพ่อ

แม่ อย่างที่โบราณว่า “ลูกปูเดินตามแม่ปู” หรือ “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” ผู้เขียนเองได้ความซื่อตรง และระเบียบวินัยมาจากพ่อที่

เป็นทหารรุ่นเก่า ที่มีกิตติศัพท์ทั่วกองทัพบกในยุคของท่าน และคงได้ความเมตตาต่อคนและสัตว์ทั้งหลายจากคุณแม่ ซึ่งเสียชี

วิตตั้งแต่ผู้เขียนอยู่โรงเรียนเตรียมอุดมฯ แต่ยังจำได้ถึงความเมตตาอบอุ่นของคุณแม่  เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าครอบครัว

ใดพ่อแม่มีปัญหา ทะเลาะเบาะแว้ง  หงุดหงิดทั้งวัน หรือพ่อเมาเหล้า แม่เล่นการพนัน ครอบครัวแตกแยก จะมีผลกระทบต่อนิสัย

ของลูกแน่นอน พ่อแม่ที่หวังจะให้ลูกเป็นคนดี จึงจะต้องดูที่ตัวเองด้วยให้เป็นแบบอย่างที่ดี ให้ความรักความใกล้ชิดอบอุ่นและ

อาทร

๒. สอนให้ลูกรู้จักคิด ค้นคว้า หาเหตุผล และความถูกผิด เป็นคุณสมบัติข้อแรกที่พ่อแม่จะต้องปลูกฝังให้ลูกตั้งแต่เด็ก โดยใช้

ประสบการณ์ ของเด็กเอง ที่รู้อะไรหรือพบอะไรมา ให้มาคุยให้ฟังและให้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนั้นๆ และพ่อแม่เป็นผู้สนับ

สนุนหรือชี้แนะในสิ่งที่เขายังมองไม่เห็นนึกไม่ถึง เมื่อลูกโตขึ้นก็ให้มีการนำเรื่องที่เกิดขึ้นต่างๆมาคุยและชี้มุมมองต่างๆ อย่าให้

ลูกมองอะไรในแง่มุมเดียว ชี้ให้พยายามมองในมุมอื่นทัศนะอื่น ซึ่งจะทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวิจารณญาณที่ดี คงทน ต่อสังคม

ปัจจุบันที่มีการชี้นำชี้แนะด้วยสิ่งต่างๆมากมาย และส่วนมากเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ข้อสำคัญคือพ่อ-แม่จะต้องมีคุณสมบัติอันนี้ด้วย

ถ้าเด็กและคนรุ่นใหม่มีคุณสมบัติข้อนี้ ข้อเดียวจะทำให้บ้านเมืองก้าวหน้าไปในทางที่ถูกแน่นอน แทนที่จะเลอะเทอะอย่างใน

ปัจจุบัน

๓. สอนให้ลูกมีวินัย เคารพในกติกาของสังคม เป็นคุณสมบัติอีกข้อหนึ่งที่คนไทยยุคใหม่ควรมี เพื่ออยู่ร่วมกันได้ด้วยดี จะเห็น

ได้ว่าในปัจจุบัน  คนไม่มีวินัย ไม่มีการปฏิบัติตามกฎระเบียบหรือกติกาต่างๆ นิยมใช้กฎหมู่เป็นหลัก จนทำให้เกิดปัญหาแก่สังคม

ไทยและเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เราแก้ปัญหาต่างๆที่ควรแก้ไม่ได้ ที่เห็นตัวอย่างชัดเจนคือ เรื่องของการขับรถไม่เป็นตามกฎจราจร

จนทำให้เกิดปัญหาในเมืองใหญ่ทุกเมือง  อยากให้ดูตัวอย่าง คนญี่ปุ่น อังกฤษ หรือเยอรมัน ข้อหนึ่งที่ทำให้ทั้ง ๓ ชาติมั่นคงเป็น

เจ้าโลกได้หลายยุคหลายสมัยก็เพราะคำว่าวินัยนี้ประการหนึ่ง เพราะไม่ว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่ต่อข้อระเบียบอันใดอันหนึ่ง ถ้ามี

การโต้แย้งกันแล้วผลสรุปออกมาเป็นอย่างใด ทุกคนจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีบางอย่างเราดูว่าเขาไม่ใช้สติปัญญาแก้

ไขสถานการณ์เลย ผิดจากคนไทยที่แก้ปรับตัวตามสถานการณ์เสียจนขาดวินัย  ไม่มีกติกา จึงทำให้สังคมวุ่นวาย...

เด็กที่โตขึ้นโดยมีระเบียบวินัยนั้นจะดูตัวอย่างของพ่อแม่และดูวินัยในบ้านเช่นกัน พ่อแม่จึงต้องมีกติกาสำหรับลูกในบ้าน และ

ต้องรักษากติกานั้นๆ ให้เด็กได้เห็นและปฏิบัติตาม แต่พ่อแม่สมัยนี้เอาใจลูกมากเกินไป ปล่อยตามใจจนเด็กขาดวินัย สมัยก่อน

โรงเรียนก็เป็นที่บ่มวินัยที่ดีเพราะครูจะเคร่งครัด เด็กทำผิดจะถูกตี เด็กนักเรียนต้องแต่งเครื่องแบบ แต่ปัจจุบันเห็นว่าเป็นสิ่งไม่

ถูกต้องคร่ำครึ จะมีการแก้ไขว่าเด็กนักเรียนแต่งกายอย่างไรก็ได้ไปโรงเรียนตามแบบอเมริกัน และไม่ทราบว่าจะเอาอะไรไปเป็น

แบบอย่างให้เด็กเห็นว่า  ระเบียบวินัยเป็นสิ่งสำคัญ ในความเห็นของผู้เขียน ถ้าคนไทยส่วนใหญ่ขาดสิ่งนี้ประเทศชาติจะเจริญ

และสงบสุขไม่ได้

๔. สอนให้ลูกรู้จักค่าของเงินและใช้เงินให้เป็น ข้อนี้เป็นคุณสมบัติที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่พ่อแม่ควรสอนลูก.. เมื่อผู้เขียนมีลูกก็

ได้อบรมสั่งสอนอย่างเดียวกัน ให้รู้จักรับผิดชอบ ใช้เงินในส่วนของตนเองตั้งแต่เด็ก รู้จักออมเพื่อซื้อสิ่งที่ตนอยากได้ ถ้าพ่อแม่

สมัยนี้จะสอนลูกเหมือนคนสมัยก่อนจะทำให้ลูกมีชีวิตที่มั่นคง

๕. สอนให้ลูกมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม คนที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อหน้าที่ของตน จะทำให้เป็นคนมี

คุณค่าต่อสังคมและมีโอกาสได้ดี ต้องอบรมนิสัยนี้ตั้งแต่เด็กให้รู้จักหน้าที่การไปโรงเรียน การทำการบ้านที่ได้มอบหมายให้เสร็จ

มิฉะนั้นจะไม่ได้ไปเล่น เป็นต้น ไม่ใช่ตามใจลูกจนเป็นเด็กเกเร ไม่เรียนหนังสือ ถ้าเขาได้รู้จักปฏิบัติตามหน้าที่ เมื่อโตขึ้นไปทำ

งานก็จะมีความรับผิดชอบ ปฏิบัติงาน ได้เป็นผลดีมีความก้าวหน้า

๖. ต้องหาทางป้องกันไม่ให้ลูกติดยาเสพติดชนิดต่างๆ หรือติดเอดส์..เพราะมิฉะนั้นไม่ว่าจะอบรมสั่งสอนมาดีอย่างไรก็ตาม ลูก

จะไม่มีอนาคต เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากกว่าที่ทุกคนคิด เพราะเด็กยุคนี้ติดยาเสพติดต่างๆชนิดมากมาย หลายแห่งเกินครึ่ง

ของโรงเรียน และไม่มีท่าทีว่า จะหยุดยั้งลงได้ เพราะเด็กเป็นตลาดใหญ่และเป็นวัยอยากรู้อยากลองและชักจูงง่าย กว่าจะรู้ตัว

ก็เลิกไม่ได้แล้ว ติดแล้วเลิกยากจริงๆ พ่อแม่จะต้องพยายามพูดคุยสั่งสอนตั้งแต่เล็กๆให้ลูกเห็นโทษและกลัว ไม่อยากลอง และ

ที่สำคัญคือต้องสอนให้ลูกเลือกเพื่อนด้วย และดูเพื่อนของลูก เพราะถ้าได้เพื่อนดีก็จะรอดตัวไป สนับสนุนให้ลูกพาเพื่อนมากิน

มาเล่น หรือมาอยู่ที่บ้านเพื่อจะได้ดูได้ใกล้ชิด



ทางป้องกันอีกทางหนึ่งก็คือพยายามสนับ สนุนให้ลูกได้เล่นกีฬา อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลาย อย่าง เพราะจะทำให้เด็กมีร่าง

กายแข็งแรงและได้เพื่อนที่เป็นนักกีฬาด้วยกัน โอกาสจะติดยาน้อยรวมทั้งรู้จักการรู้แพ้รู้ชนะในการเล่นกีฬาและรู้จักทำงานร่วม

เป็นกลุ่มเป็นคณะ นอกจากนี้ควรสนับสนุนให้เล่นดนตรีหรือทางศิลป์ เช่น วาดรูป เพื่อให้เด็กมีจิตใจที่สงบอ่อนไหว มีความรู้สึก

ต่อสิ่งแวดล้อมที่ดี เมื่อลูกยังเล็กๆ ผู้เขียน เป็นผู้พาเขาไปหัดเล่นเทนนิสที่สนามกีฬาแห่งชาติ พาไปเรียนดนตรีที่สยามยามา

ฮ่า ซึ่งลูกทั้ง ๒ คนก็เล่นทั้งกีฬาและดนตรีได้ อีกระยะหนึ่งที่สำคัญคือเมื่อลูกโตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาวต้องดูแลใกล้ชิด  แต่ให้

อิสระแก่เขาเพราะถ้าเราสอนเขาดีแล้ว เขาจะรู้ว่าสิ่งใดดีไม่ดี เพราะโอกาสที่เพื่อนที่เขาคบจะติดยาเสพติดยังมีอยู่

นอกจากยาเสพติดที่ต้องระวังที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการติดเอดส์ จะต้องคุยให้ข้อมูลถึงความน่ากลัวของโรคให้เด็กฟังอยู่เสมอ

โดยเฉพาะวิธีติดโรค เมื่อถึงวัยที่มีโอกาสติดทั้งลูกผู้ชายและผู้หญิงจะต้องสอนวิธีป้องกันตัว ป้องกันโรคทางด้านของเพศสัม

พันธ์อย่างเปิดเผยจริงจัง มิฉะนั้นจะสายเกินแก้ ขอให้ทุกคนรู้ว่าโรคเอดส์อยู่ใกล้ตัวทุกคนมากที่สุดแล้ว

พ่อแม่จะต้องดูแลลูกใกล้ชิดพอสมควร ในการออกไปเที่ยวนอกบ้าน โดยเฉพาะในเวลาที่ไม่ได้ไปโรงเรียน ควรจะต้องรู้ว่าจะ

ไปไหนไปทำอะไร  ไปกับใคร ซึ่งเด็กเมื่อถึงวัยหนุ่มสาวไม่ค่อยชอบให้พ่อแม่ถาม ที่สำคัญคือต้องอย่าห้ามหวงโดยไม่มีเหตุผล

ต้องปล่อยให้เขาไปตามใจเขาบ้าง  ถ้าเห็นว่าพอจะปล่อยได้ แต่ไม่ใช่ปล่อยมากจนเลยเถิด อย่างเด็กหนุ่มสาวรุ่นใหม่

๗. สอนให้ลูกมีความมานะพยายาม มุ่งมั่นและอดทน ตั้งแต่เด็กเมื่อลูกต้องการอะไรหรืออยากได้อะไร ก็ต้องให้ลูกมีความพยา

ยามที่จะให้ได้สิ่งที่ต้องการ สอนให้มีความอดทนเพื่อสิ่งที่ต้องการ จนเป็นนิสัยติดตัว เมื่อโตขึ้นเขาจะเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น

มานะ พยายาม ทุกคนคงจะได้อ่านหรือทราบพระราชนิพนธ์ ของพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง“พระมหาชนก” ซึ่งเป็นสิ่งที่เตือนใจชาว

ไทยทุกคนในปัจจุบัน ให้นึกถึงคุณสมบัติอันสำคัญข้อนี้ที่จะได้ช่วยกันทำให้ประเทศชาติผ่านพ้นอุปสรรคทั้งปวงได้

๘. สอนให้เป็นคนมีสัมมาคารวะ รู้จักพูด อะไรควรพูดไม่ควรพูด วางตัวต่อคนอื่นและผู้ใหญ่ได้ดี รู้อะไรควรไม่ควร ผู้เขียน

เคยเห็นพ่อแม่พาลูกมาเยี่ยมคนไข้ที่โรงพยาบาลและยืนหัวร่อที่ลูก ๒ คนวิ่งเล่นส่งเสียงดังและไปทุบประตูห้องคนไข้ต่างๆจน

ต้องให้พยาบาลไปห้ามเด็กไม่ให้ทำ เป็นต้น เรียกว่าพ่อแม่เป็นคนไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ลูกจึงเป็นเช่นนั้น ในเรื่องของการพูด

อยากขอให้พ่อแม่ดูแลให้ลูกพูดภาษาไทยได้ถูกต้องด้วย โดยเฉพาะเรื่องของตัว ร. และ ล. ซึ่งน่ากลุ้มใจที่คนรุ่นใหม่พูด ร. ไม่

ได้ บางคนไม่ได้ทั้ง ร. และ ล. ขอเราอย่าได้ทำลายภาษาของเราด้วยเลย

๙. สอนให้เด็กช่วยงานบ้าน ให้เป็นส่วนหนึ่งของบ้านที่จะต้องช่วยกันทำงานตั้งแต่เด็กๆ เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ช่วยล้างจาน

ซักผ้าตัวเองฯ ไปจนถึงการทำสวน ปลูกต้นไม้ ตัดหญ้าฯ ทำอาหารง่ายๆ ซึ่งถ้าสอน เด็กๆเป็นวัยที่กำลังอยากทำอยากลอง จะ

ทำให้เขารู้หน้าที่ และเป็นประโยชน์ติดตัวเขาต่อไป เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยได้ทำเพราะอ้างว่ามีการบ้านมากไม่มีเวลาช่วย ปล่อย

ให้คนใช้หรือพ่อแม่ทำเอง เมื่อผู้เขียนเป็นเด็กช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงานเหล่านี้ ทุกอย่าง รวมทั้งทำสวนครัว เลี้ยงไก่ไว้กินไข่

ในยามสงคราม ซึ่งเมื่อโตขึ้นจึงรู้จักงานเหล่านี้ทั้งหมด เมื่อมาดูแลโรงพยาบาลจึงดูแลได้

๑๐. สอนให้เป็นคนมีใจเมตตากรุณาต่อคนอื่น หรือต่อสัตว์ต่างๆ ไม่ใช่สอนให้ลูกทำร้ายสัตว์ฆ่าสัตว์ ไม่ว่าเล็กน้อยอย่างไร

ให้เห็นใจผู้ยากไร้ ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และสอนให้ๆความช่วยเหลือแก่เขาเหล่านั้น ความเมตตาจะช่วยค้ำจุนโลก

และสังคมรวมทั้งเป็นผลดีแก่ตนเองด้วย

๑๑. สอนให้ลูกเป็นนักอ่านหนังสือ ควรสร้างนิสัยให้ลูกชอบอ่านหนังสือ เริ่มด้วยการหาหนังสือสำหรับเด็กมาอ่านให้ฟังทุก

คืนก่อนนอน จะทำให้เด็กสนใจหนังสือ และเมื่อเด็กอ่านได้ก็หาหนังสือให้อ่าน สอนให้อ่านหนังสือทุกประเภท  จะทำให้มี

ทัศนกว้างขวาง ความรู้รอบตัวกว้างขวาง ลึกซึ้ง และมักจะทำให้เป็นคนมีความคิดความอ่าน และมีวิจารณญาณที่ดี ความ

จริงส่วนหนึ่งคงเป็นจากนิสัยประจำตัว ผู้เขียนโตขึ้นในสมัยสงคราม หาหนังสืออ่านได้ยาก ช่วงหนึ่งกระดาษพิมพ์ใช้กระ

ดาษฟาง คุณพ่อเป็นคนอ่านหนังสือ มีหนังสืออ่านเล่นเต็มบ้าน ผู้เขียนอ่านตั้งแต่เด็ก เมื่อเป็นนักเรียนจะขี่จักรยานไป

เช่าหนังสืออ่านเล่นจากร้าน เช่าหนังสือชื่อดังในสมัยนั้นที่เทเวศม์จนหมดร้านแล้ว ก็ไปหอสมุดแห่งชาติ หาหนังสือ

อ่านทุกสัปดาห์ ลูกสาวก็เป็นนักอ่านหนังสือตัวยงตั้งแต่เด็กๆเห็นหนังสืออะไร เป็นจับอ่านนิ่งอยู่ตรงนั้น ในประเทศที่

เจริญทั้งหลาย คนของเขาอ่านหนังสือมากทั้งนั้น แม้ประเทศที่มีภาษาเฉพาะของตนเอง เช่น ญี่ปุ่น เขาจะรู้เรื่องของ

โลกเป็นอย่างดี เพราะหนังสือสำคัญๆในภาษาอื่นๆจะได้รับการแปลมาเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด เด็กไทยเราอ่านหนังสือ

น้อยไป ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีหนังสือดีๆให้อ่าน เด็กอ่านแต่การ์ตูนและหนังสือที่ไร้สาระ เราต้องสร้างตลาดหนังสือให้ได้

ก่อน เพื่อคนไทยจะมีสติปัญญาจากการอ่านมากขึ้น

๑๒. สอนให้รู้จักคนดี-คนชั่ว ต้องอบรมลูกให้รู้จักพิจารณาว่าใครดีใครชั่ว ยกย่องคนดีไม่ยกย่องคนชั่ว ไม่หลงเชื่อข่าว

สารจากสื่อต่างๆ ซึ่งมักจะไม่เที่ยง บ่อยครั้งคนชั่วสารเลว ได้รับการยกย่องจากสื่อเพราะอิทธิพลของอำนาจหรือเงิน

คนดีไม่ได้รับการยกย่อง และบางครั้งกลับถูกใส่ร้ายเพราะไปขัดขวางผลประโยชน์ของคนชั่วหรือสื่อ นับวันความสำคัญ

ของสื่อจะมากยิ่งขึ้น เด็กรุ่นใหม่จะต้องมีวิจารณญาณที่ดี โดยอาศัยการชี้แนะจากพ่อแม่

๑๓. สอนให้ลูกรู้จักและรักษาวัฒนธรรมของเรา ประเทศไทยมีประวัติย้อนหลังอันยาวนานเป็นพันปี มี ศิลปวัฒนธรรม

เป็นของตัวเอง อย่างที่ควรจะภูมิใจและ รักษาไว้ แต่น่าเสียดายที่ขณะนี้เยาวชนไปรับวัฒนธรรมใหม่ ซึ่งหลายอย่างไม่ใช่

ของดีจากประเทศที่เกิดใหม่มีอายุเพียงไม่กี่ร้อยปี  และละเลยวัฒนธรรมของเรา ผู้เขียนชอบคนที่มาจากต่างจังหวัด

เพราะเป็นคนที่ได้รับการหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมชาวบ้าน มักจะเป็นคนดี จิตใจงามน่ารัก ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ มีความสมถะ

ปกครองง่าย เป็นผู้ร่วมงานที่ดีมากกว่าผู้ที่โตในเมืองใหญ่ๆ จึงหวังว่าพ่อแม่จะพยายามให้ลูกได้รู้จัก  และปฏิบัติตามวัฒน

ธรรมพื้นบ้าน การหาโอกาสพาลูกไปในชนบทบ่อยๆ จะทำให้ลูกมีความนุ่มนวลของจิตใจ รักธรรมชาติ อย่าพาลูกไปแต่

ต่างประเทศ ซึ่งได้เห็นแต่ ความเจริญทางวัตถุแต่อย่างเดียวเลย...

๑๔. ท้ายที่สุด พ่อแม่จะต้องชักจูงให้ลูกสนใจและเข้าใจศาสนาของตนเอง และปฏิบัติตามคำสอนหรือ ธรรมะของศาสนา

นั้นๆ ซึ่งในเรื่องนี้ศาสนาพุทธมีจุดอ่อนที่สุด เพราะไม่มีกิจกรรมชักจูงเด็กหรือแม้แต่ผู้ใหญ่เลย มีแต่พิธีกรรมซึ่งต่างจากศา

สนาอื่นๆ ดังนั้นพ่อแม่จึงมีความสำคัญและมีบทบาทมากที่สุด ที่จะต้องชักจูงให้ลูกมีความสนใจและศรัทธาในพุทธศาสนา

ซึ่งอาจกระทำได้โดยให้ลูกไหว้พระสวดมนต์สั้นๆตั้งแต่เด็ก โดยให้ทำประจำทุกคืน พาลูกไปวัดต่างๆ บ่อยๆ ให้หัดทำบุญ

ทำทาน ให้ดูถาวรวัตถุ เล่าประวัติของสถานที่ให้ฟัง ในวาระสำคัญต่างๆก็พาไปทำกิจกรรมที่เด็กจะสนใจ เช่น การเวียน

เทียน การเล่าประวัติ พระพุทธเจ้าให้ฟัง การให้ลูกเข้าใจหลักธรรมสำคัญๆ เช่น การปฏิบัติตามศีลห้า ซึ่งจะทำให้เขาเป็น

คนดีของ สังคม ไม่โกหก ไม่ลักขโมย ซื่อสัตย์ ไม่โกงกินบ้านกินเมือง อย่างที่เห็นกันตำตาอยู่ทุกวันนี้ การอธิบายถึงเรื่อง

ของกรรม ผลของกรรม โดยเอาตัวอย่างเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจริง



การสอนให้นั่งสมาธิโดยพาไปที่วัดที่มีการปฏิบัติ ซึ่งจะช่วยสร้างสมาธิให้แก่เด็ก อันจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาด้วย เมื่อ

โตขึ้นก็ให้ศึกษาลึกซึ้ง ขึ้นถึงสัจธรรมทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด สามารถอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้

แก่คนสมัยใหม่ได้ ถ้าเป็นลูกชายถึงวัยที่บวชพระได้ ถ้ามีโอกาสควรให้บวชโดยเลือกวัดต่างจังหวัดที่สงบและมีการปฏิบัติ

โดยมีพระที่มีปฏิปทาที่ดีเป็นผู้ดูแล ถ้าลูกมีความสนใจและเข้าใจในหลักธรรมของศาสนาแล้ว เป็นที่แน่นอนว่าการดำเนินชี

วิตต่อไปข้างหน้าจะเป็นไปได้ด้วยดี เป็นคนมีคุณธรรม เป็นคนดีของสังคม และควรจะได้ดีตามความต้องการของพ่อแม่

อย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นจะเป็นปัจจัยปัจจุบันที่จะนำไปสู่ผลในอนาคต ทั้งในชาตินี้จนถึงชาติหน้าภพหน้าด้วย

อย่างที่เขียนไว้แต่ต้นแล้วว่าผู้เขียนไม่เคยศึกษาตำราเลี้ยงเด็ก ที่เขียนนี้จากประสบการณ์ชีวิตของตนเอง ซึ่งคิดเข้าข้าง

ตัวเองว่าน่าจะเรียกตนเองได้ว่าเป็นคนดีพอสมควร และยังเป็นคนที่ได้ดีตามเกณฑ์ของสังคมปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นฐานะ

แพทย์ผู้รักษาคนไข้มาถึง ๔๕ ปี จนถึงบัดนี้ก็ยังมีคนไข้อยากให้รักษาอยู่ หรือในฐานะของนักวิชาการที่มีผลงานวิจัย พบ

โรคใหม่ๆในเมืองไทยหลายโรค ได้เป็นครูแพทย์ เคยเป็นนายกสมาคมวิชาชีพทางแพทย์ ๒ สมาคม เป็นกรรมการก่อตั้ง

ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์คนหนึ่ง เขียนตำราแพทย์ภาษาไทยและตำราแพทย์ต่างประเทศที่ใช้ทั่วโลก หรือจะดูในฐานะ

ของผู้บริหารที่ทำให้โรงพยาบาลเล็กๆยืนยงมั่นคงมา ๓๐ ปี และมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ นอกจากนี้ได้ทำงานทางการเมือง

ในฐานะวุฒิสมาชิกติดต่อกัน ๑๐ ปี และไม่ได้ไปนั่งเฉยๆแต่มีผลงานในรัฐสภา เช่น กระทู้ถามรัฐบาล เรื่องภัยจากสารพิษ

ในอาหาร และยับยั้งการสร้างเขื่อนน้ำโจน เป็นต้น หรือถ้าจะวัดด้วยเหรียญตราก็ได้รับพระราชทานสูงเท่าที่คนธรรมดา

พึงได้ ผู้เขียนเชื่อว่าตนเองได้ทำประโยชน์ ให้แก่ผู้อื่น แก่สังคม แก่สถาบันที่เกี่ยวข้องและแก่ประเทศชาติแล้ว

ผู้เขียนได้เขียนเรื่องนี้ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่พ่อแม่ท่านอื่นๆที่จะพิจารณาบัญญัติทั้ง ๑๔ ประการนี้ไปใช้ในการอบรม

ลูกหลาน เพื่อให้เขาเป็นคนดีของสังคม และอาจเป็นคนที่จะได้ดีสมความดีของเขาด้วย แต่ถ้าเขาไม่สามารถเป็นอย่างที่

เราหวังได้ก็อย่าเป็นทุกข์เกินไป ต้องทำใจเพราะต้องเข้าใจว่านอกเหนือจากการอบรม ปัจจัยที่จะทำให้ใครเป็นอย่างไรนั้น

อยู่ที่วิบากกรรมของเขาเอง ซึ่งทางแก้มีเพียงการปฏิบัติตามธรรมะของพุทธศาสนาเท่านั้น

จาก www.trainingbymotiva.com


      บันทึกการเข้า
khwan24
Full Member
**


ชีวิตที่อิสระ เป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่หา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2524
คณะ: นิเทศศาสตร์
กระทู้: 978

« ตอบ #2511 เมื่อ: 04 มีนาคม 2553, 00:02:45 »

หวัดดีจ้ะ เอ๋ สบายดีนะจ๊ะ บ้านนี้เนื้อหาดีและเยอะด้วย เอ๋ขยันจริงๆนะ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2512 เมื่อ: 04 มีนาคม 2553, 00:08:44 »


พี่เอ๋,
หนิงยังอ่านไม่หมด!
 textเยอะๆปวดตาค่ะ
แต่พี่ลงมาเรื่อยๆคะ...กะลังอ่านข้างบนอยู่


nn.
      บันทึกการเข้า


churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2513 เมื่อ: 04 มีนาคม 2553, 10:56:22 »

สวัสดีค่ะขวัญ ชอบอ่านสาระเหล่านี้และนำมาฝากเพื่อนๆด้วยค่ะ

สวัสดีค่ะน้อง อ่านบางเรื่องที่สนใจ ก็ดีใจแล้วค่ะที่ได้รับประโยชน์



ภาพจาก i77.photobucket.com
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2514 เมื่อ: 04 มีนาคม 2553, 13:22:53 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๙๘  วิธีช่วยลูกให้อ่านหนังสือเก่ง

From your parents you learn love and laughter and how to put one foot before the other. But when books are opened,

you discover you have wings. 

จากพ่อแม่... เธอเรียนรู้ถึงความรัก เสียงหัวเราะและการก้าวเดิน แต่เมื่อหนังสือถูกเปิดออกเธอค้นพบว่าเธอมีปีกจะโบยบิน...

Helen Hayes

จากหนังสือปัญหาการเรียนและเทคนิคช่วยให้ลูกเรียนดี โดย ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงอุมาพร ตรังคสมบัติ

จิตแพทย์ดีเด่น ประจำปี ๒๕๔๑ – ๒๕๔๒
   
การอ่านเก่งเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะทำให้เด็กประสบความสำเร็จในการเรียน  และไม่เพียงแต่จะมีผลต่อการเรียนเท่านั้น แต่การอ่านที่ดี

ยังมีผลต่อโอกาสและความก้าวหน้าในการงานอาชีพอีกด้วย
   
การอ่านเก่งจะช่วยให้ลูกสามารถคิดตามข้อมูลข่าวสารได้ทัน และจะช่วยสร้างคุณลักษณะความเป็นคนรอบรู้ให้กับลูก...การอ่านที่ดีจะ

เป็นพื้นฐานทำให้ลูกมีความสามารถในการคิดและการเขียนที่ดีด้วย
   
เมื่อลูกอ่านเก่ง ลูกจะเริ่มต้นอ่านเพื่อเรียนรู้ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเมื่อลูกสนุกกับการเรียนรู้ ลูกก็จะกลายเป็นคนที่อยากเรียน ไม่

ใช่เรียนเพียงเพื่อให้ได้คะแนนหรือเพียงเพราะคุณสั่งเขา  แต่จะเรียนเพราะเขาสนุกและรักที่จะเรียนรู้
   
การเรียนในปัจจุบัน มีเนื้อหาวิชามากมาย และครูไม่มีเวลาพอที่จะฝึกทักษะการอ่านให้เด็กเท่าไรนักเด็กจำนวนมากจึงอ่านไม่คล่อง
   
การอ่านที่มีประสิทธิภาพ จะต้องอ่านได้เร็วพอ เข้าใจเนื้อหาที่อ่านและสามารถคิดวิเคราะห์เนื้อหานั้นด้วย เด็กต้องใช้ความสามารถ

ในการอ่านและความสามารถในการคิด

พ่อแม่ผู้ปกครองจะทำอย่างไรเพื่อให้ลูกอ่านหนังสือคล่อง

๑)  พูดกับลูกบ่อยๆ  ภาษาพูดที่ถูกต้องเป็นพื้นฐานของความสามารถในการอ่าน - เขียน  เด็กเรียนรู้ภาษาโดยเลียนแบบคำพูดของ

พ่อแม่ ดังนั้นจงพูดกับลูกบ่อยๆ เพื่อลูกจะได้มีทักษะทางภาษามากขึ้น พยายามถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของคุณออกมาให้เป็นภาษา

ที่ลึกซึ้งด้วย ไม่ใช่พูดแต่ประโยคง่ายๆ สั้นๆ

๒)  เป็นตัวอย่างในการอ่าน หากคุณรักการอ่านและเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็นตั้งแต่เด็ก  แน่นอนว่าลูกจะซึมซับนิสัยการอ่านนั้นเข้ามา

โดยไม่รู้ตัว และถ้าจะให้ดีเมื่ออ่านแล้วลองมาเล่าให้ลูกฟังแบบง่ายๆ ว่าคุณได้รู้อะไรสนุกๆ จากที่อ่านมา การวิเคราะห์และแสดงความ

เห็นให้ลูกฟังจะช่วยให้ลูกเป็นผู้เรียนรู้อย่างกระตือรือร้น



ภาพจาก www.wangdee.ac.th

๓)  หาหนังสือที่สนุกหรือน่าสนใจให้ลูกอ่าน  สังเกตดูว่าลูกสนใจอะไรแล้วหาหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนั้นให้ลูกอ่าน การเลือกสิ่งที่เด็ก

สนใจจะทำให้เด็กมีสมาธิและสนุกกับการอ่าน

๔)  พยายามเลือกหนังสือให้เหมาะสมกับวัย ในเด็กเล็กพยายามเลือกที่อ่านง่าย มีภาพมากๆ และมีสีสันจะได้อ่านสนุก ส่วนในเด็ก

โตควรเลือกหนังสือที่มีเนื้อความมากขึ้นหน่อย เช่น หนังสือวรรณกรรมสำหรับเด็กเป็นต้น

๕)  หัดให้ลูกอ่านหนังสือเอง ให้ลูกมีเวลาเงียบๆ ที่จะนั่งอ่านคนเดียวด้วย ถ้าจะให้ดีแต่ละสัปดาห์ควรจัดเวลา ๑ ชั่วโมงที่ทุกคนใน

บ้านจะอ่านหนังสือที่ตัวเองชอบ

๖)  เมื่อลูกอ่านหนังสือจบ ให้คุยกับลูกวิเคราะห์เรื่องหนังสือ ถามไถ่ว่าเรื่องเป็นอย่างไรสนุกหรือไม่ ลูกชอบตรงไหนบ้าง การคุยเรื่อง

ที่ลูกอ่านจะทำให้ลูกมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น การเปิดโอกาสให้ลูกเล่าเกี่ยวกับความคิดเห็นของเขาเป็นการช่วยให้ลูกเปิดเผยตนเอง

และทำให้เขารู้ว่าคุณสนใจเขา

๗)  อย่าให้ลูกอ่านแต่การ์ตูน การ์ตูนเป็นสิ่งที่จะช่วยการอ่านเพียงขั้นพื้นฐานเท่านั้น ทักษะการอ่านที่เด็กได้จากการ์ตูนไม่ใช่สิ่งที่

จะช่วยให้เด็กมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะการ์ตูนมักมีแต่คำพูดที่เป็นประโยคสั้นๆ จะไม่ได้พัฒนาทักษะการอ่านสิ่งที่เป็นเนื้อ

ความพรรณนาอย่างลึกซึ้ง หรือมีภาษาสละสลวย พบว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กไม่สามารถเขียนรายงานเขียนเรียงความ หรือแม้

แต่การตอบข้อสอบอัตนัย

๘)  อ่านอย่างหลากหลาย สิ่งที่อ่านไม่จำเป็นจะต้องเป็นหนังสือเรียนหรือหนังสือเป็นเล่มๆ เสมอ เด็กสามารถอ่านสิ่งที่น่าสนใจและ

เรียนรู้วิธีการเขียนหลายรูปแบบจากสิ่งพิมพ์อื่นๆ  รอบตัวเรามีหลายอย่างที่เราจะอ่านและเรียนรู้ได้ หนังสือพิมพ์เป็นแหล่งข้อมูลที่ดี

และเด็กๆ ควรหัดอ่านหนังสือพิมพ์ แต่คุณต้องเลือกหนังสือพิมพ์ที่ดี ควรเลือกคอลัมน์ที่ดีและชวนลูกอ่าน พร้อมทั้งฝึกวิธีอ่านข่าว

อย่างรวดเร็ว คำโฆษณาที่มีอยู่ในนิตยสารก็เป็นสิ่งที่น่าอ่านเพราะมักจะเป็นคำที่เขียนกระชับได้ใจความและดึงดูดความสนใจ ลูกจะ

ได้เรียนเทคนิคการเขียนที่น่าสนใจไปด้วย

๙)  ทำตู้หนังสือ หาตู้ที่เปิดง่ายๆ ไว้ใส่หนังสือจิปาถะที่น่าอ่าน ควรมีหนังสือหลากหลายเช่นเรื่องพืช สัตว์ กีฬา การผจญภัย วรรณ

กรรม เรื่องแปลต่างๆ รวมทั้งหนังสือภาษาอังกฤษด้วย

๑๐)  พาลูกไปห้องสมุด ควรหาโอกาสพาลูกไปห้องสมุดหลายแห่งที่น่าสนใจ เช่น หอสมุดแห่งชาติ ห้องสมุดเอ.ยู.เอ ห้องสมุดบริ

ติช เคานซิล เป็นต้น การให้เด็กคุ้นเคยกับห้องสมุดเป็นการเปิดโลกแห่งการเรียนรู้ เมื่อเด็กเล็กๆ เห็นหนังสือเยอะๆ เขาจะรู้สึกตื่น

เต้น การเห็นคนนั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งใจเป็นตัวอย่างพฤติกรรมดีๆ ที่ลูกควรซึมซับเอาไว้และหากเป็นไปได้ ควรหัดให้ลูกยืมหนัง

สือจากห้องสมุดด้วย

๑๑)  พาลูกไปร้านหนังสือบ่อยๆ แทนที่จะไปแต่ศูนย์การค้า เมื่อไปร้านหนังสือ คุณอาจให้ลูกเลือกซื้อหนังสือเองสัก ๑ เล่ม (ให้

เขาเลือกมาสัก ๓ เล่ม เพื่อให้คุณดูว่าควรซื้อเล่มไหน) ให้ของขวัญลูกเป็นหนังสือหรือบอกรับเป็นสมาชิกวารสารดีๆให้ลูกบ้าง

๑๒)  เล่าเรื่องให้ลูกฟัง หากคุณอ่านไม่เก่งหรือไม่ชอบการอ่าน คุณอาจใช้วิธีเล่าเรื่องให้ลูกฟัง เช่น เล่าเรื่องของคุณปู่คุณย่าคุณ

ตาคุณยาย หรือตอนที่คุณเล็กๆก็ได้ เรื่องในวัยเด็กของพ่อแม่เป็นสิ่งที่เด็กๆสนใจ นอกจากจะทำให้ลูกชอบภาษาแล้ว ยังทำให้

เขารู้จักคุณมากขึ้นด้วย

พ่อแม่ผู้ปกครองควรทำอย่างไร

ควรอ่านหนังสือกับลูกทุกวันวันละ ๑๕-๓๐ นาทีเป็นอย่างน้อย

จากการวิจัยพบว่า หากจะให้เด็กอ่านอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว การตั้งคำถามก่อนที่จะอ่านและการรู้เค้าโครงของสิ่งที่อ่านนั้นช่วย

ให้เด็กมีสมาธิและอ่านเข่าใจมากกว่า

การวิจัยพบว่านักอ่านที่ดีนั้นจะคิดก่อนว่าเขารู้อะไรแล้วบ้างและอยากจะรู้อะไรเพิ่มขึ้น

ให้เด็กเล่าเป็นคำพูดของเขาเองว่าเนื้อหาที่อ่านเป็นอย่างไร การที่เด็กสามารถเล่าเป็นพูดของตนเองได้แสดงว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่

อ่านนั้น

หัดให้ลูกสรุปความดังนี้

๑)  อ่านเนื้อหาหนึ่งย่อหน้า  ๒)  ถามลูกว่าใจความสำคัญของย่อหน้านี้คืออะไร  ๓)  วิเคราะห์เนื้อหาที่อ่านกับลูก ให้ทำตามขั้นตอน

นี้สำหรับทุกย่อหน้าที่อ่านจนจบเรื่อง


ด้วยความปรารถนาดีจากคณะผู้พิพากษาสมทบ ศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจาก image.dek-d.com


      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2515 เมื่อ: 05 มีนาคม 2553, 10:17:32 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๙๙  ลูกที่ยังอ่านหนังสือไม่คล่องพ่อแม่ผู้ปกครองควรทำอย่างไร

จากหนังสือปัญหาการเรียนและเทคนิคช่วยให้ลูกเรียนดี         โดย ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงอุมาพร ตรังคสมบัติ

จิตแพทย์ดีเด่น ประจำปี ๒๕๔๑ – ๒๕๔๒

อ่านกับลูกแบบตัวต่อตัวเป็นเวลา ๑๕ นาทีทุกวัน ควรฝึกอย่างน้อยรวม ๑๒-๒๐ ชั่วโมง (ตกประมาณ ๑-๑ เดือนครึ่ง)  นั่งข้างขวา

ของลูก ให้ลูกได้ยินเสียงคุณชัดๆ

อ่านไปด้วยกันกับลูก  หากลูกยังอ่านไม่คล่องคุณอาจอ่านให้ฟังก่อนแล้วต่อมาก็ให้เขาอ่านพร้อมกับคุณ เมื่อคล่องแล้วอาจอ่าน

สลับกันคนละย่อหน้าก็ได้

คุณต้องอ่านออกเสียงให้ชัดเจน เพื่อลูกจะได้จับการเปล่งเสียงที่ถูกต้องของคุณได้

อย่าไปสนใจเวลาลูกอ่านผิด การพยายามแก้คำผิดทุกครั้ง จะทำให้การอ่านไม่สนุกและเด็กจะขาดความมั่นใจ

เอานิ้วชี้ไล่ไปใต้คำที่กำลังอ่าน เคลื่อนมือไปเรื่อยๆและให้เร็วพร้อมๆ กับคำที่อ่าน วิธีนี้จะทำให้ตาของเด็กมองตรงที่อ่านแทนที่

จะไถลไปมองที่อื่น และเมื่ออ่านคล่องแล้วอาจจะให้ลูกชี้นิ้วเอง

อย่าเพิ่งกังวลว่าลูกยังสะกดคำไม่ได้ วัตถุประสงค์ในครั้งนี้มีเพียงเพื่อให้ลูกได้เห็นคำมากขึ้น และอ่านเร็วขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อ

มั่นและความรู้สึกอยากอ่าน

อย่าหยุดเพื่อถามคำถามหรือสรุปเนื้อหา

เร่งความเร็วในการอ่านเป็นช่วงๆ แต่ทำให้เนื้อเรื่องสนุก

ให้ลูกพยายามไปให้ทันกับคุณให้ได้ อาจจะเร่งความเร็วสัก ๒-๓ นาที แล้วอ่านธรรมดาสัก ๕ นาทีสลับกันไปเพื่อให้ลูกจะได้ชินกับ

การอ่านเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเริ่มต้นการฝึกนี้ให้ใช้หนังสือที่อ่านง่ายๆก่อน เช่น เด็กประถมปีที่๓  อาจอ่านของประถมปีที่๑ หรือประถมปีที่๒  และเมื่อลูกคล่อง

ขึ้นก็ค่อยอ่านของที่ยากขึ้น

อย่าอ่านสิ่งที่ยากมากเกินไปหรือที่เกินระดับของเด็ก  เช่นเด็กที่มีสติปัญญาช้าและอยู่แค่ประถมปีที่๓  ก็ไม่ควรเอาหนังสือของประถม

ปีที่๔ หรือ ๕ มาให้อ่าน



ภาพจาก www.oknation.net

พยายามทำให้การอ่านเป็นเรื่องสนุก บอกลูกว่า “มาลูก เรามาอ่านหนังสือสนุกๆ กัน ๑๕ นาที”

เตรียมหนังสือและขยับเก้าอี้ให้ลูก อย่าไปสนใจว่าลูกจะอิดออดหรือไม่พอใจ  ยืนยันอย่างหนักแน่นให้มาอ่าน เมื่อคุณเอาจริง ลูกก็จะ

ยอมเองและเมื่อลูกรู้ตัวว่าเขาดีขึ้น เขาจะร่วมมือมากขึ้น

จงฝึกอย่างสม่ำเสมอในเวลาเดิมและสถานที่เดิมทุกครั้งเพื่อสร้างระเบียบวินัย เมื่อลูกเห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับการอ่าน ลูกก็จะคิด

ว่ามันสำคัญเช่นกัน

อย่าให้อะไรมารบกวนเวลาของคุณในช่วง ๑๕ นาทีนี้ อย่าพูดโทรศัพท์หรือคุยกับคนอื่น ให้ตั้งใจอ่านกับลูกอย่างเดียวและสื่อให้ลูกรู้

ว่าเวลานี้สำคัญมาก  ชมลูก เมื่อลูกอ่านได้ดี

การอ่านเชิงวิเคราะห์

การอ่านเชิงวิเคราะห์หรือ critical reading เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการศึกษาขั้นสูง คุณอาจเริ่มฝึกลูกตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้โดยทำตามขั้น

ตอนง่ายๆดังนี้

๑.  กำหนดวัตถุประสงค์ว่าจะอ่านเรื่องอะไรและเพื่ออะไร

๒.  อ่านให้เข้าใจความคิดที่มีอยู่ในบทความ

๓.  วิเคราะห์ความคิดดังกล่าว
   
ตัวอย่างเช่น เมื่อจะอ่านเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เริ่มต้นอ่านหัวเรื่องก่อน และคุยกับลูกว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวกับอะไร ชื่อเรื่องนั้นบอกอะไรเรา

บ้าง และเมื่อคุยกันเสร็จก็ให้ลูกลงมืออ่าน เมื่ออ่านไปได้สักตอนหนึ่งก็ตั้งคำถามลูกเพื่อช่วยกระตุ้นให้ลูกวิเคราะห์ เช่น

-  ที่ลูกเดาเกี่ยวกับเนื้อหาในตอนแรกนั้นถูกต้องหรือไม่

-  ลูกคิดอย่างไรกับเนื้อเรื่องที่อ่านไปเมื่อครู่

-  ลูกคิดว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปหรือในตอนจบ

หลังจากนั้นก็เริ่มอ่านย่อหน้าใหม่ต่อไป และตั้งคำถามแบบเดียวกันจนจบเรื่อง  เมื่อคุณฝึกลูกบ่อยๆ การอ่านของลูกจะเป็นการอ่านแบบ

วิเคราะห์ และลูกจะเกิดความเข้าใจลึกชึ้งและความรู้แตกฉานในสิ่งที่อ่านนั้น

การฝึกทักษะการอ่าน เป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งอ่านมากก็จะยิ่งอ่านคล่อง ยิ่งรู้มากและเข้าใจมาก ด้วยการฝึกให้ลูกรักการอ่าน และอ่านอย่างมี

ประสิทธิภาพตั้งแต่เล็ก ลูกของคุณจะกลายเป็นคนรอบรู้ และเรียนดีอย่างแน่นอน


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจาก women.kapook.com

      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2516 เมื่อ: 05 มีนาคม 2553, 10:45:30 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๑๐๐  การสอนเด็กเล็กให้เป็นอัจฉริยะ

We are what we repeatedly do

จากหนังสือคิด-ทำ ด้านบวก โดย เกียรติวรรณ อมาตยกุล

ต้องทำในสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำ

-  อุปนิสัยที่สำคัญที่สุดของผู้ที่จะประสบความสำเร็จและมีความสุขในชีวิตได้แก่ การมีระเบียบวินัยหรือต้องทำในสิ่งที่จำเป็นจะ

ต้องทำ

-  เมื่อคนเราถูกฝึกให้เป็นคนที่ต้องทำในสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำแล้ว การเรียนรู้สิ่งที่ดีต่างๆ ในชีวิตจะเป็นเรื่องง่ายมาก

-  การฝึกให้เด็กมีนิสัยต้องทำในสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำตั้งแต่อายุน้อยๆ แล้วความสำเร็จต่างๆก็จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก
   
ตัวอย่าง ถ้าลูกชอบทำหน้าบึ้งอยู่ตลอดเวลา ไม่ชอบทักทายใครๆ ชอบมีโลกส่วนตัว มีความสุขกับการมาโรงเรียนน้อย ไม่ค่อยอยาก

เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ กับเพื่อนๆ

ทางแก้ไข คุณแม่จะต้องหาทางเปิดโลกส่วนตัวของลูกให้กว้างขึ้น วิธีที่ง่ายที่สุด  ควรพาลูกมาร่วมกิจกรรมวิ่งตอนเย็นที่โรงเรียนทุก

วัน เพื่อที่จะได้มีระเบียบวินัยในตัวเองมากขึ้น ได้เจอะเจอเพื่อนๆมากขึ้น
   
ผลคือ ลูกอิดออดในระยะแรก  แต่เมื่อเห็นคุณแม่มาเป็นเพื่อนและเอาจริง ลูกเริ่มจากวิ่งวันละไม่กี่รอบไปจนถึงบางวันวิ่งได้ถึง ๒๐ รอบ

ลูกแอบภูมิใจอยู่เงียบๆกลายเป็นคนใหม่ที่สดใสร่าเริง สบตา เข้ากับเพื่อนๆ ได้ดีมีความสุข

-  การที่จะฝึกให้เด็กเป็นคนมีระเบียบวินัยหรือต้องทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ จะต้องอาศัยผู้ใหญ่ที่ใจดี เสียสละ มั่นคง มีระเบียบวินัย

และพร้อมที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กๆ

ตัวอย่าง ถ้าลูกไม่ทานผักทุกชนิด ชอบทานเฉพาะเป็ดย่าง ไก่ทอด และกุ้งทอด (ซึ่งเป็นอาหารที่คุณพ่อคุณแม่ฝึกให้ทานมาตั้งแต่เด็ก

ทางแก้ไข

วิธีที่ ๑  คุณแม่จัดเตรียมอาหารพิเศษมาให้ลูกทานที่โรงเรียน

วิธีที่ ๒  บังคับให้ทานอาหารโรงเรียนให้ได้

วิธีที่ ๓  เริ่มฝึกลูกให้ทานผักและหัดทานอาหารชนิดอื่นๆด้วย



ภาพจาก kru.in.th/home
   
วิธีที่ ๑ ลูกจะเรียนรู้อะไร?

-  ลูกได้เรียนรู้ว่า  คนเราสามารถทานอาหารเป็นเพียงไม่กี่อย่างก็พอแล้ว  และคนเราคงจะมีสิทธิ์เลือกทานเฉพาะอาหารที่เราทานเป็น

คนที่เตรียมอาหารให้เราต่างหากควรรู้ว่าเราทานอะไรเป็น
   
วิธีที่ ๒ ลูกจะเรียนรู้อะไร?

-  ลูกได้เรียนรู้ว่า  การทานอาหารเป็นเรื่องที่ทรมานจิตใจและขมขื่น เรียนรู้เทคนิคการแอบตักอาหารให้เพื่อน การแอบเอาผักที่ไม่ต้อง

การทานใส่กระเป๋ามีเด็กจำนวนมากที่ถูกบังคับถูกลงโทษให้ทานผักแล้วเกลียดการทานผักไปอีกนานแสนนาน
   
วิธีที่ ๓ ลูกจะเรียนรู้อะไร?

-  เมื่อคุณแม่ทราบปัญหา ก็เริ่มสอบถามรายการอาหารกลางวันของโรงเรียนค่อยๆ ทำอาหารที่บ้านให้หลากหลาย  และใกล้เคียงอาหาร

ของโรงเรียนมากขึ้น คอยพูดจูงใจและตัวคุณแม่เองก็ทานให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่นานลูกก็ทานอาหารได้หลายชนิดขึ้น ลูกได้เรียนรู้ว่าการ

หัดทานอาหารก็เหมือนกับการเรียนรู้หรือการหัดทำสิ่งอื่นๆ ซึ่งอาจจะดูยากลำบากในระยะแรก แต่เมื่อฝึกฝนไปเรื่อยๆก็จะเก่งและชำนาญ

อริสโตเติลนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้เคยกล่าวไว้ว่า  We are what we repeatedly do = เราเป็นอย่างที่เราทำอยู่เสมอๆการปฏิบัติตัวหรือ

การกระทำต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเรา  จึงเป็นดรรชนีที่สำคัญที่สุดที่จะบ่งบอกถึงความเป็นตัวเรา   การที่เราจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดี

การที่เราจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว   การที่เราจะเป็นคนที่มีความสุขหรือไม่มีความสุข   การที่เราจะเป็นคนที่แข็งแรง

หรืออ่อนแอฯ   จึงขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวหรือการกระทำที่สม่ำเสมอในชีวิตประจำวันนั่นเอง

การมีระเบียบวินัย (Self-discipline) เป็นเหมือนกับการติดปีกให้กับชีวิตที่กำลังจะรุ่งเรือง
   
คนที่ถูกติดปีกหรือคนที่ถูกฝึกมาให้เป็นคนที่มีระเบียบวินัยเหล่านี้  จะดึงดูดความสำเร็จและความสุขต่างๆ เข้าหาชีวิตได้อย่างง่ายดาย

แม้ว่าในระยะแรกๆ ของการติดปีกให้กับชีวิต  อาจจะต้องมีการฝืนใจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำในบางเรื่องก็ตาม  และบ่อยครั้งที่การฝืน

ใจให้ตัวเองมีระเบียบวินัยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กลับนำพาความสำเร็จและความสุขที่ยิ่งใหญ่มาสู่ชีวิต  เช่น ฝืนใจที่จะลดการทานเนื้อสัตว์

โดยทานข้าวกล้อง  ผัก และผลไม้ให้มากขึ้นในแต่ละมื้อ ทำให้ไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดที่เคยสูงลดลง  เช่น ฝืนใจเล็กๆ น้อยๆ ที่จะ

ท่องหนังสือแทนที่จะดูทีวี ทำให้เราได้คะแนนสอบดีขึ้น  เช่น ฝืนใจไปออกกำลังกายในโรงยิม ๓-๔  ครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้ร่างกายแข็ง

แรงขึ้น รูปร่างสวยงามจนเพื่อนต้องออกปากชม


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจาก women.sanook.com
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2517 เมื่อ: 05 มีนาคม 2553, 11:19:20 »

” 9เทคนิค ฝึกสมองไบรท์ ” โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด

ชิตพงษ์ วุทธานันท์ | 2007.08.08 | สุขภาพ |

ผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอาหารการกิน  แต่ไม่

เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมอง

ให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้

1. จิบน้ำบ่อย ๆ

สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมอง

เหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี

คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมัน

ปลา  สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์

ชุ่มน้ำ  ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที

หลังจากตื่นนอนแล้ว  ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลาย

สุด ๆ  ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อน

นอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ

การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่า  นี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำ

ให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ

ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะจะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อ

คนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน

สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่  คุยกับเพื่อน

ร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสาร

แห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน

ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal

ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี  ขอบคุณที่มีอา

ชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา  ช่วยให้หลับฝันดี

ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึก ๆ

สมองใช้ออกชิเจน 20- 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง  ควรนั่ง

หลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่

สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %

การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี

คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม



ภาพจาก content.mthai.com

      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2518 เมื่อ: 05 มีนาคม 2553, 12:24:53 »

วนิษา เรซ หรือ หนูดี หญิงเก่งของไทย (อเมริกัน) วัย 30 ปี

จบปริญญาตรีเกียรตินิยมด้าน ครอบครัวศึกษา Family Studies มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ คอลเลจพาร์ค สหรัฐอเมริกา

ปริญญาโทเกียรตินิยมด้านวิทยาการทางสมอง (Neuroscience) ในโปรแกรม Mind, Brain and Education มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

สหรัฐอเมริกา

ปัจจุบัน - เป็นผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านอัจฉริยภาพ (เพียงคนเดียวในไทย)    

ผู้ชนะล้านที่ 15 รายการ "อัจฉริยะข้ามคืน"

ประธานกรรมการ บริษัท อัจฉริยะสร้างได้ จำกัด www.geniuscreator.com

ผู้อำนวยการโรงเรียนวนิษา www.vanessa.ac.th

เป็นผู้นำเสนอแนวคิด - คนทั่วไปก็สร้างและฝึกฝนให้เป็นอัจฉริยะได้เช่นกัน - เขียนหนังสือ "อัจฉริยะสร้างได้"



ภาพจาก www.student.chula.ac.th

พื้นฐานที่คุณแม่สร้างให้ โรงเรียนวนิษา ตั้งขึ้นโดยมี คุณชุมศรี รักษ์วนิชพงศ์ เป็นผู้ก่อตั้งภายใต้แนวความคิดซึ่ง คุณชุมศรีได้ให้

สัมภาษณ์ ไว้ในเอกสารชื่อว่า “ ปฏิรูปการเรียนรู้ ผู้เรียนสำคัญที่สุด ” ของ คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ

พ.ศ.2543 ว่า ...ดิฉันไม่เชื่อวิธีที่โรงเรียนส่วนใหญ่ทำอยู่ จับเด็กมาขังในคอก ไม่อยากจะใช้คำนี้ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ บังคับ

เด็กมานั่งนิ่ง ๆ จำกัดศักยภาพการเติบโตของสมอง ”

"โชคดีที่คุณแม่วางพื้นฐานทางความคิดมาให้ตั้งแต่เด็กๆ โดยริเริ่มเปิดโรงเรียนสอนหนูดีคนเดียวก่อน ชื่อโรงเรียนวนิษา เป็นโรง

เรียนที่ไม่ให้เด็กต้องมานั่งท่อง ก.ไก่ ข.ไข่ แต่ใช้วิธีการสอนแบบใหม่ คือให้เด็กคิดแบบอิสระ กล้าที่จะถาม ซึ่งตอนแรกคิดว่าไม่มี

ใครสนใจ แต่พอคนเริ่มเห็นกิจกรรมต่างๆ ที่ทางรร.สอนเด็ก อย่างวิชาวิทยาศาสตร์ก็จะมีการพาเด็กไปดูสวน ธรรมชาติ ก็เลยสนใจ

ส่งลูกๆ มาเรียนกัน"

"แต่พอขึ้นมัธยมหนูดีก็ย้ายมาเรียนรร.สตรีล้วน ปรากฏว่าเราเข้ากับระบบการศึกษาไม่ได้ พอจบมัธยมหนูดีก็เลยตัดสินใจขอคุณแม่

ไปเรียนต่อป.ตรีที่มหาวิทยาลัยแมริแลนด์ อเมริกา พอจะต่อโทก็ประจวบเหมาะได้ศึกษาแนวความคิดขอโปรเฟสเซอร์โฮเวิร์ด การ์ด

เนอร์ที่ว่าคนเรามีความอัจฉริยะที่แตกต่างกันไป ไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง"

"พอทราบว่าเขากำลังเปิดสอนปริญญาโทหลักสูตรเกี่ยวกับสมองเป็นหลักสูตรแรกที่ฮาร์วาร์ด หนูดีก็เลยสมัครเข้าไปเรียนเพื่อนำ

ความรู้มาพัฒนาระบบความคิดของคนไทยใหม่ ซึ่งตอนนี้รร.วนิษาก็เริ่มใช้ระบบนี้แล้ว อีกทั้งหนูดียังเปิดบริษัทอัจฉริยะสร้างได้ ให้คำ

ปรึกษา 3 ส่วน คือ ดูแลเรื่องหลักสูตรโรงเรียน เทรนนิ่งครูและผู้บริหาร"

"เป็นที่ปรึกษาการพัฒนาศักยภาพองค์กรต่างๆ และหลักสูตรครอบครัวอัจฉริยะ เปิดสัมนาสำหรับบุคคลทั่วไป เพราะหนูดีคิดว่าครอบ

ครัวเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างอัจฉริยะภาพที่ดีที่สุดค่ะ"

ในช่วงปริญญาตรี  ชีวิตแต่ละวันผ่านไปด้วยความหนักและเหนื่อย ท่องหนังสือเยอะมาก เวลาที่จะออกกำลังกาย ออกไปเที่ยวกับเพื่อน

ก็น้อย เมื่อมารวมกับวัฒนธรรมของเพื่อนอเมริกัน ที่ชอบไปค้างอ้างแรมในป่า ไปปีนเขา พายเรือ เข้าถ้ำช่วงสุดสัปดาห์ ทำให้หนูดีต้อง

แพ็คกระเป๋าตามไปด้วย

แต่ไม่ว่าจะไปป่าลึกแค่ไหน หรือ พายเรือไปค้างบนเกาะที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ สิ่งหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ในกระเป๋าแบ็คแพ็ค คือ “หนังสือเรียน”

หยิบออกมาทีไร โดนเพื่อนฝรั่งหัวเราะใส่ตลอด ว่ามาเที่ยวนะ อีกอย่าง วันจันทร์ก็ไม่ได้มีสอบด้วย แต่หนูดีก็กลัวสอบได้คะแนนไม่ดีจน

ต้องท่องหนังสือแทบทุกเวลาที่ว่าง   ประกอบกับเป็น นิสัยดั้งเดิมที่ติดไปตั้งแต่เมืองไทยด้วย คือ กลัวสอบตก กลัวทำให้พ่อแม่ผิดหวัง

แถมเราเป็นเด็กสองภาษา ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษภาษาเดียวเหมือนเพื่อนฝรั่ง หนูดีจึงต้องพยายามเป็นสองเท่า เวลาต้องเรียนหนักและ

ไม่ได้ทำอะไรที่อยากทำ หรือ ไม่มีชีวิตสบายๆแบบคนอื่น หนูดีก็จะปลอบใจตัวเองว่า “เดี๋ยวก็จบตรีแล้ว” แล้วก็ก้มหน้าท่องหนังสือต่อไป

โดยไม่เคยได้รู้ว่าชีวิตมีตัวเลือกอื่น ที่ทำให้เราเรียนได้ดีขนาดนี้เหมือนกัน

เวลาผ่านไปจนหนูดีเรียนเกือบจบปริญญาตรี ใบรางวัลเรียนดีที่เพิ่มขึ้นทุกปี จนจำชื่อไม่ได้ว่าได้ใบประกาศเกียรติคุณด้านไหนบ้าง รู้แต่

ว่าจะได้เกรดสลับกันไป บางเทอมได้ 4.00 บางเทอมได้ 3.9 รวมถึงจดหมายชมเชยจากอธิการบดี ที่จะส่งตรงมาถึงบ้านคุณแม่ที่เมือง

ไทยทุกครั้ง  แต่ทั้งหมดนี้ ก็มาพร้อมความเครียดที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ของหนูดี รวมถึงความรู้สึกว่า สมัยนี้แค่ปริญญาตรีคงไม่

พอ โอ้โห ถ้าหนูดีต้องเรียนปริญญาโทด้วยความรู้สึกแบบนี้ คงต้องตายก่อนเรียนจบแน่ๆ

คือ หนูดีอยากรู้ว่า ทำอย่างไรคนเราถึงจะฉลาด เป็นอัจฉริยะกันได้ โดยยังใช้ชีวิตดำเนินทางสายกลางอย่างมีความสุข ไม่ต้องหักโหม

ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนที่หนูดีเคยทำมา และเหมือนเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยคนอื่นๆที่ได้เกียรตินิยมเหมือนกัน  เช็คแล้ว ปรากฏว่าที่เดียว

ในโลกที่สอนด้านสมอง แต่ไม่ใช่ให้เราไปผ่าตัดนะคะ แต่เรียนให้รู้ว่า สมองคืออะไร ทำงานอย่างไร และรู้ว่า ทำตัวอย่างไร ถึงจะใช้สมอง

ให้คุ้มค่า มีศักยภาพที่สุด ก็มีอยู่ที่เดียวในโลกเท่านั้น คือ ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่บอสตัน สหรัฐ อเมริกา

เห็นชื่อมหาวิทยาลัยแล้ว ก็ตกใจถอยมาหนึ่งก้าว เพราะถึงจะเป็นนักเรียนระดับเกียรตินิยมมา แต่ก็ไม่ใช่ว่า เด็กคะแนนดีทุกคนจะเข้าเรียน

ที่นี่ได้ เพราะเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก ใครๆก็เรียนเก่งมาทั้งนั้นตัวหนูดีเอง เรียนที่แมรี่แลนด์ ซึ่งก็จัดว่าอยู่ในระดับดีแต่ก็ได้

แค่ประมาณอันดับที่ยี่สิบ อันดับที่ยี่สิบห้าของประเทศอยู่เท่านั้น....

ขนาดแค่นี้ ยังเรียนหนักจะตาย แล้วอย่างที่ฮาร์วาร์ด หนูดีมิต้องตายคาหนังสือหรือนั่น แถมเพื่อนๆ ก็คงเก่งระดับอัจฉริยะกันทุกคน...นึกๆ

ไปว่า คงไม่มีใครคุยกันหรอก คงแข่งกันเรียนแข่งกันทำงาน ไม่มีใครมีเวลาเสวนากับใครแน่ๆ.....แถมสมัครไปก็ไม่รู้ว่าเขาจะรับเราหรือ

เปล่า เพราะนอกจากเรียนเก่งแล้ว ก็ต้องประวัติดี มีความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร มีจดหมายรับรองชั้นดี สารพัด

แต่ก็เอาค่ะ ฮึดสุดชีวิต ตั้งหน้าตั้งตาสอบวัดมาตรฐาน เขียนจดหมายแนะนำตัวอย่างใช้ความคิดทุกหยด เตรียมตัวเป็นเดือน สมัครไป รอ

คำตอบอีกครึ่งปี......

ในที่สุด ฟ้าก็ส่งคำตอบมาในรูปจดหมายว่า “ยินดีด้วย คุณได้รับเลือกเป็นนักเรียนฮาร์วาร์ด สำหรับปีการศึกษาหน้า”  โอ้โห ตกใจอีกรอบ

น้ำตาไหลด้วยความดีใจ แล้วก็แอบมาเครียดเล็กๆว่า เอาอีกแล้ว ถึงเวลาจมอยู่กับกองหนังสือเรียนอีกแล้ว คราวนี้คงยิ่งหนักเป็นสองเท่า

เฮ้อ คิดแล้ว ภูมิใจปนกลุ้ม

แต่วันเดินทางก็มาถึง แล้วหนูดีก็ไปโผล่ที่ ฮาร์วาร์ดสแควร์ ในฐานะนักศึกษาใหม่ หน้าตาตื่นเต้น ในต้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศสดใสที่บอส

ตัน แต่ในใจก็ยังกังวลและเครียดไม่วาย จนได้มานั่งอยู่ในห้องปฐมนิเทศ มีรุ่นพี่ของปีที่แล้วมาให้คำแนะนำว่า จะเรียนอย่างไร ให้ประสบ

ความสำเร็จที่ฮาร์วาร์ด โดยมีเหตุผลว่าพวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้ ถือว่าเป็นผู้ชนะของสังเวียนที่ยากที่สุด คือการฝ่าด่านสิบแปดอร

หันต์เข้ามาเป็นนักเรียนใหม่ที่นี่ได้ แต่หลายคนคงเรียนมาด้วยวิธีผิดๆ คือ เรียนหนักเข้าว่า โดยไม่ได้ “เรียนอย่างฉลาด”

วันนั้น หนูดีได้เกร็ดจากรุ่นพี่มาเยอะมาก ซึ่งก็รวมอยู่ใน “เทคนิคเรียนเก่งอย่างอัจฉริยะ” ที่หนูดีตัดสินใจเปิดเพื่อให้ความรู้ดีๆ ส่งต่อไป

ถึงน้องนักเรียนรุ่นหลังๆ เหมือนที่หนูดีได้รับมาจากรุ่นพี่ระดับอัจฉริยะทุกคน  แล้วตลอดเวลาที่เข้าเรียนที่ฮาร์วาร์ด หนูดีก็ได้เรียนรู้เทค

นิคดีๆ ที่มหาวิทยาลัยชั้นหนึ่งแห่งนี้ ได้คิดและทำวิจัยมาใช้กับเด็กของเขาโดยเฉพาะ เพราะคนกลุ่มนี้ ถือว่าเป็นกลุ่มคนที่เรียนหนักมาก

เรียนยากมาก และการค้นพบใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงโลก ก็มักถูกค้นพบที่นี่หรือโดยนักศึกษา และคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ทั้งนั้น

หนูดีได้เรียนรู้เทคนิคการจัดหมวดความคิด การสรุปย่อให้ตรงประเด็น การอ่านเร็วและจับใจความโดยไม่ตกหล่น การเขียนบทความวิชา

การระดับโลก การเขียนรายการชนิดเอาไปนำเสนอกับคองเกรสได้เลย หรือการอภิปรายแสดงความคิดแบบผู้นำระดับโลก คือทุกอย่างที่

เราถูกสอน จะถูกสอนประหนึ่งว่าพรุ่งนี้เราต้องไปรับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี หรือประธานาธิบดีนั่นเชียว



ภาพจาก www.tpa.or.th/society

เพราะมหาวิทยาลัยนี้ ผลิตผู้นำในทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำประเทศ ผู้นำองค์กร ผู้นำทางการแพทย์ ผู้นำวงการการศึกษา ประธานาธิบดี

อเมริกาหลายคนก็เป็นศิษย์เก่าที่นี่ รวมถึงว่าที่กษัตริย์ที่เป็นเป็นขวัญใจชาวไทย อย่างองค์มกุฎราชกุมารจิกมี แห่งภูฐาน ซึ่งมาเรียนเรื่อง

การปกครองที่โรงเรียนเคนเนดี้ ฝั่งข้ามแม่น้ำชาร์ลส์ของหนูดีนี่เอง ดังนั้น อาจารย์จะฝึกเราไว้เตรียมรับทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้น

แต่เมื่อการเรียนโดยเนื้อหา ถือว่ายากมากแล้ว กระบวนการเรียนก็เลยถูกคิดค้นให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และใช้เวลาน้อยที่สุด เพราะไม่

เช่นนั้น ทั้งมหาวิทยาลัยคงไม่มีใครได้นอนกันแน่ เพราะงานเยอะมาก แม้แต่วิธีการอ่านก็ต้องย่นย่อให้อ่านได้มากที่สุด ในเวลาที่ประหยัด

ที่สุด เพราะเราอ่านกันในปริมาณมหาศาลเป็นตั้งๆทุกคืน แถมต้องตีความและอภิปรายอย่างฉลาดด้วย ทั้งๆที่แค่อ่านให้จบนับว่าแทบจะ

เป็นไปไม่ได้ ถ้าใช้วิธีการอ่านอย่างปรกติที่หนูดีใช้สมัยเรียนปริญญาตรี คงไม่ได้ทำอะไรอื่นๆในชีวิตอีกเลย

พอมาเรียนรู้กระบวนการเรียนใหม่ที่ใช้ข้อมูลทางสมองเป็นพื้นฐาน ทำให้หนูดีเรียนได้อย่างมีความสุขอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในชีวิตและ

นอกจากเรียนได้ดี โดยเทอมแรกก็คว้าเกรดเฉลี่ย 4.00 มาครองเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่โดนขู่ไว้ตลอดว่า เรียนที่นี่ใครจะเก่งมาจากไหน ยาก

มากที่เทอมแรกจะได้ เอ ทุกตัว แต่หนูดีก็ทำได้มาแล้ว ด้วยสุขภาพจิตที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เรียนไปยิ้มไป เรียนที่นี่ เรียนด้วยความมั่น

ใจ เพราะเรา “เรียนเป็น” แล้ว และที่น่าทึ่งคือหนูดีได้นอนหลับประมาณแปดชั่วโมงทุกคืน และได้ออกกำลังกายสัปดาห์ละสามครั้งเป็นประ

จำ จิตใจแจ่มใส สมองก็ปลอดโปร่ง เรียนได้ดีจนไปติวเพื่อนได้เป็นกลุ่มๆ ทุกคนน่ารักและเป็นมิตร จนเราได้เพื่อนกลุ่มใหญ่ติดมือกลับมา

เมืองไทย

และในที่สุดวันรับปริญญาโทก็มาถึง ซึ่งหนูดีก็ได้ร่วมกับงานรับปริญญาที่ขลังและเก่าแก่ที่สุดในโลก ด้วยคะแนนระดับเกียรตินิยมอีกแล้ว

(แต่การจะจบจากมหาวิทยาลัยฮาว์วาร์ดได้ต้องใช้ทุนในการศึกษาและค่าใช้จ่ายต่อปีไม่น้อยกว่า ๑๐ ล้านบาท ซึ่ง "หนูดี" ยอมรับการ

เป็นคนเรียนดี และรู้จักใช้สมองอย่างถูกวิธีทำให้สามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนี้โดยได้รับทุนการศึกษาตลอดจนจบการศึกษา)แต่

คราวนี้ที่ต่างไปคือความสุข ความมั่นใจของหนูดี ที่รู้แล้วว่าเรียนเก่งระดับอัจฉริยะแบบนี้ ไม่ต้องเครียดก็ทำได้ แถมมีเวลาใช้ชีวิตอย่างมี

คุณภาพมากมาย แล้วก็กลายเป็นความตั้งใจว่าหนูดีจะต้องนำความรู้ที่ดีๆ ที่คนไทยน้อยคนจะมีโอกาสได้ไปรับรู้ มาให้เด็กไทย คนไทย

ได้นำไปใช้  เพราะประเทศของเราก็เรียนกันหนัก แข่งกันเรียน แข่งกันสอบ...ถ้าเรา “คิดเป็น” เราก็จะ “เรียนเป็น” และเมื่อทำงานก็จะ

“ทำงานเป็น” แบบที่พวกอัจฉริยะเขาเป็นกัน

ครูหนูดีตั้งใจว่า ก่อนจะบินกลับไปเก็บตัวในห้องวิจัยเพื่อเรียนต่อปริญญาเอกเธอจะใช้เวลา 2 ปี "ติวเข้ม" ให้คนอีก 4 กลุ่มเรียนรู้ในการ

พัฒนาตัวเอง นั่นคือกลุ่มนักเรียนม.ปลาย ที่กำลังเตรียมตัวเอนทรานซ์อย่างหน้าดำคร่ำเครียด นักศึกษาเรียนหนัก กลุ่มพ่อแม่ฝึกลูกให้

เป็นอัจฉริยะ และกลุ่มยังก์โปร หรือคนทำงานรุ่นใหม่ผ่านงานเขียนหนังสือ และการฝึกอบรม ภายใต้บริษัทจัดอบรม "อัจฉริยะสร้างได้"

เริ่มจากการปั้นเด็กๆ ในโรงเรียนวนิษาที่เธอนั่งบริหารอยู่ให้เป็นเด็กน้อยแสนอัจฉริยะ และมีความสุข


      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #2519 เมื่อ: 06 มีนาคม 2553, 23:27:42 »

เข้ามาอ่านเรื่องน่า่รู้ค่ะดร.เอ๋ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2520 เมื่อ: 08 มีนาคม 2553, 09:03:33 »

อ้างถึง
ข้อความของ Kaimook เมื่อ 06 มีนาคม 2553, 23:27:42
เข้ามาอ่านเรื่องน่า่รู้ค่ะดร.เอ๋ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ


สวัสดีค่ะอ้อย ดีใจที่แวะมา อ้อยและครอบครัวสบายดีนะคะ

เช้านี้ได้ร่วมทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อจัดสร้างศาลาการเปรียญ    ถวายสำนักสงฆ์บ้านนาเจริญ อ.ศรีรัตนะ จ.ศรีสะเกษ

ร่วมทำบุญกับศาลจังหวัดกันทรลักษ์  ในนามจุไรภัทร์และรุ่น24ด้วยนะคะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2521 เมื่อ: 08 มีนาคม 2553, 11:11:42 »

Kim Ung-Yong: เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมี IQ สูงที่สุดในโลก

Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962 และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records

ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210 คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนวันเกิดครบ

 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส (differential and integral calculus) ที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกราย

การทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้น

เรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 – 6 ขวบ พออายุ 7 ขวบ NASA ได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิท

ยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำ

งานวิจัยที่ NASA ด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978 และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรม

โยธาและได้ศึกษาจนได้รับปริญญาเอกอีกเช่นกัน



ภาพและข้อความจาก www.toptenthailand.com
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2522 เมื่อ: 08 มีนาคม 2553, 14:12:28 »

Gregory Smith: ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่ออายุ เพียง 12 ปี

Gregory เกิดในปี 1990 อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบ ความเป็นอัจฉริยะของเขา

นั้นยังไม่ได้ครึ่งของเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิ เด็ก

Gregory Smith เป็นผู้ก่อตั้ง International Youth Advocates ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพและความ

เข้าอกเข้าใจในระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Clinton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปาฐก

ถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย จากการทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4

ครั้ง แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับคือ…มีใบขับขี่เป็นของตัวเองได้ซะทีนั่นเอง



ภาพจาก www.toptenthailand.com 
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2523 เมื่อ: 08 มีนาคม 2553, 14:16:56 »

Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ

 Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า “เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก”

เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรนับพันล้าน

คน Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000 เมื่อเขาได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7

ขวบ คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอได้ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน

Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์อย่างเป็นทางการและยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่าตัดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้ว

มือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีกครั้ง ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่วิทยาลัย Chan

digarh และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน



ภาพจาก www.toptenthailand.com


      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2524 เมื่อ: 08 มีนาคม 2553, 14:22:13 »

 Cleopatra Stratan : นักร้องเด็กอายุเพียง 3 ขวบ มีรายได้ 1,000 ยูโรต่อเพลง (47,000-48,000 บาท)

 Cleopatra Stratan : นักร้องเด็กอายุเพียง 3 ขวบ มีรายได้ 1,000 ยูโรต่อเพลง (47,000-48,000 บาท) Clepotra เกิดเมื่อ 6 ตุลาคม

 2002 ที่เมืองคีชีเนา ประเทศมอลโดวา เป็นลูกสาวของนักร้องเชื้อสายมอลโดวา-โรมาเนีย เธอเป็นนักร้องอายุน้อยที่สุดที่ประสบ

ความสำเร็จด้วยอัลบั้มในปี 2006 ของเธอที่ชื่อว่า”At the age of 3″ และยังเป็นเจ้าของสถิติศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เปิดการแสดงสด

ตลอด 2 ชั่วโมงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก เป็นศิลปินเด็กที่ค่าตัวสูงสุด เป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่จะได้รับรางวัล MTV และเป็นศิลปินที่

อายุน้อยที่สุดที่มีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งในประเทศโรมาเนีย http://www.youtube.com/watch?v=GDq-E708lHU



ภาพจาก www.toptenthailand.com
 
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 99 100 [101] 102 103 ... 979   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><