28 พฤศจิกายน 2567, 01:23:14
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 97 98 [99] 100 101 ... 979   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ☼☼☼ ร่วมคุยกันในมุมมองของคุณแม่~แวะพักทักทายเอ๋ 24 ☼☼☼  (อ่าน 2799359 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 48 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
SC (ก้าน 24)
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 981

« ตอบ #2450 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2553, 14:55:46 »

สวัสดีครับดร.เอ๋


 บ่ฮู้บ่หัน

      บันทึกการเข้า

My Website <== คลิกเพื่อชม MV โดยไม่มีโฆษณาคั่น คลิกเล่นแล้ว คลิกขยายให้เต็มจอ อย่าคลิก YouTube
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2451 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2553, 15:00:55 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๙๑  อำนาจในครอบครัว

จากหนังสือการใช้อำนาจเป็นธรรมชาติของมนุษย์  โดย ประมวล รุจนเสรี

ปรัชญาเมธีท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า
   
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมชอบอยู่ร่วมกันอาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกัน  เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยและแสวงหาประโยชน์สุขร่วมกัน การพึ่งพา

อาศัยซึ่งกันและกันนั่นเองเป็นธรรมชาติที่ทำให้เกิดอำนาจและการใช้อำนาจเกิดขึ้น แม้แต่คนคนหนึ่งก็มีธรรมชาติของอำนาจและการ

ใช้อำนาจขึ้นในตัวคนผู้นั้นอย่างมิอาจปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงได้ การที่มนุษย์ตั้งแต่สองคนขึ้นไปมาอยู่ร่วมกันย่อมจะทำให้มนุษย์คนหนึ่งมี

อำนาจและใช้อำนาจเหนือมนุษย์อีกคนหนึ่ง

สัญชาตญาณในการสืบพันธุ์ของมนุษย์  ทำให้เกิดสถาบันครอบครัวขึ้น หญิงก็ได้พึ่งพาชายในการปกป้องคุ้มครองภยันตรายต่างๆ ชาย

ก็ได้พึ่งพาหญิงในการหุงหาอาหาร ต่างฝ่ายต่างพึ่งพากันและยอมยกให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว อีกฝ่ายหนึ่งก็ยอมตนอยู่ในอำ

นาจของอีกฝ่ายหนึ่ง

สถาบันครอบครัวในปัจจุบัน  เกิดการยินยอมพร้อมใจกันของชายหญิง ที่จะอยู่กินร่วมกันจนมีลูก มีหลาน มีญาติพี่น้อง เป็นคู่สามีภริยากัน

ครองชีวิตครองเรือนร่วมกัน ชีวิตคนๆ หนึ่งเมื่อถือกำเนิดมาก็ได้อาศัยพ่อ-แม่เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาอบรม จนมีหน้าที่การงานสา

มารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ เมื่ออายุพอสมควรก็แยกออกไปแต่งงานมีสามี-ภริยาแยกครอบครัวออกไป หรือบางแห่งก็มิได้แยกครอบ

ครัว คงอาศัยรวมกันอยู่เป็นครอบครัวที่ใหญ่อยู่กับพ่อแม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

การปฏิบัติต่อกันและกัน  หรือความมีปฏิสัมพันธ์กันในครอบครัวก็เกิดขึ้น ตามค่านิยมขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ศาสนาและความ

เชื่อรูปแบบของอำนาจและการใช้อำนาจภายในครอบครัวก็เป็นไปตามนั้น

อำนาจในครอบครัว  มิได้หมายความว่าเป็นอำนาจบังคับมีบทลงโทษหรือเป็นอำนาจที่ใช้ความรุนแรงป่าเถื่อน หากแต่เป็นอำนาจที่เกิดจาก

ความยินยอมพร้อมใจมีความรักใคร่ผูกพันหรือความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นฐานรองรับ เช่น ในบางแห่งการแต่งงานมิได้เกิดจากความผูกใจสมัคร

รักใคร่ แต่เป็นความเชื่อในการที่พ่อแม่ ผู้ใหญ่เลือกคู่ให้ แล้วก็ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมาด้วยความสุขความเจริญ

ความยินยอมพร้อมใจ  ในที่นี้คือยินยอมให้ฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่สามีเป็นหัวหน้าครอบครัวทำมาหากินเลี้ยงชีวิต  ฝ่ายชายก็ยินยอมพร้อมใจให้

ฝ่ายหญิงทำหน้าที่ภริยาเป็นแม่บ้าน เป็นผู้อบรมดูแลเลี้ยงดูบุตรในกรณีเช่นนี้ ในบางกรณีหญิงก็ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวแทนฝ่าย

ชายได้  อำนาจจะตกอยู่กับทั้งสองฝ่าย  ตามบทบาทภารกิจหน้าที่ เช่นฝ่ายสามีมีอำนาจตัดสินใจในการทำมาหากิน การติดต่อสัมพันธ์กับ

บุคคลต่างๆ นอกครอบครัว ฝ่ายหญิงมีอำนาจในการดูแลทรัพย์สินของครอบครัว ในการอบรมเลี้ยงดูบุตร และมีอำนาจในการปรึกษาหารือใน

การดำรงชีวิต หลายกรณีที่ฝ่ายชายเป็นผู้ผูกขาดอำนาจและการใช้อำนาจกับภริยาและบุคคลในครอบครัว เป็นผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

แต่เพียงผู้เดียวในครอบครัว ก็เป็นอีกลักษณะหนึ่งของการใช้อำนาจในครอบครัว

พฤติกรรมการใช้อำนาจในครอบครัวมีหลากหลาย  แม้ฝ่ายชายจะได้รับยกย่องให้เป็นใหญ่เป็นหัวหน้าในครอบครัว แต่ก็มีบางกรณีฝ่ายหญิง

ฝ่ายภริยาก็มีอำนาจตัดสินใจ มีอิทธิพลเหนือฝ่ายชาย ซึ่งเรียกกันว่าภริยาธิปไตย ในครอบครัวประเภทนี้ ฝ่ายภริยาจะใช้อำนาจเหนือสามีใน

ทุกๆเรื่อง จนสามีกลัวไม่กล้าถกเถียงกับภริยา ในทางกลับกันก็มีบางครอบครัวที่สามีได้ใช้อำนาจโดยไม่ฟังเสียงจากภริยา

ความสัมพันธ์แห่งการใช้อำนาจระหว่างสามีภริยาเช่นนี้  มีโอกาสแตกแยกร้าวฉานได้ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งทนต่อพฤติกรรมของอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้

เช่นฝ่ายหญิงทนต่อพฤติกรรมความเจ้าชู้ของฝ่ายชายหรือทนต่อการเมา การหลงการพนันของฝ่ายชายไม่ได้ หรือฝ่ายชายทนต่อความจู้จี้

จุกจิกและสามหาวของฝ่ายหญิงไม่ได้ ฯลฯ ก็เกิดการอยู่ร่วมกันไม่ได้ เป็นครอบครัวแตกแยกและล่มสลาย

อำนาจและการใช้อำนาจในครอบครัว  จะส่งผลต่อความมั่นคง ความมั่งคั่งของครอบครัวนั้นๆเป็นอันมาก เราจะพบว่าบางครอบครัวมีความ

เจริญรุ่งเรืองเป็นที่นับหน้าถือตาแก่บุคคลทั่วๆไปเป็นครอบครัวตัวอย่าง บางครอบครัวแร้นแค้น อัตคัดขัดสนและติดอบายมุขอย่างงอมแงม

ทั้งสามี-ภริยา-บุตร-ธิดา บางครอบครัวมีแต่ความสุข บางครอบครัวก็มีแต่ความทุกข์ตลอดไป บางครอบครัวบุตรหลานมีการศึกษา มีความ

ประพฤติดี บางครอบครัวบุตรหลานมีความประพฤติเลวร้าย สร้างปัญหาให้แก่สังคมและประเทศชาติ

ครอบครัวที่เจริญก้าวหน้าส่วนใหญ่จะมาจาก..?  การที่หัวหน้าครอบครัวและบุคคลในครอบครัวรู้จักใช้อำนาจที่มีต่อกันและกันอย่างสร้าง

สรรค์ เป็นพลังอำนาจผลักดันให้ไปสู่ความเจริญ ความก้าวหน้าทั้งในอาชีพ การงานการดำรงตน การประพฤติปฏิบัติต่างๆ เป็นการใช้อำนาจ

ทางคุณธรรมฝ่ายข้างดี นั่นก็เป็นผลลัพธ์ที่ส่งตรงมาจากการมีจิตใจที่ดีงามของพ่อ-แม่ผู้เป็นต้นแบบของบุคคลต่างๆในครอบครัวนี้

ตัวอย่างครอบครัวดี ครอบครัวเลว  มีมากมายให้เห็นในสังคมของไทยปัจจุบัน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าอะไรเป็นเหตุและเป็นปัจจัยให้ครอบครัว

ทั้งหลายมีความแตกต่างกัน ทั้งทางด้านชื่อเสียง เกียรติยศ ความมั่งคั่ง ความล้มเหลวความแตกแยก ซึ่งคำตอบก็คือครอบครัวดี-เลว เหล่า

นั้น ล้วนเป็นผลมาจากการใช้อำนาจระหว่างสมาชิกต่างๆ ภายในครอบครัวที่ขาดความสมดุลพอดีนั่นเอง

การใช้อำนาจของบุคคลภายในครอบครัว  ก็เป็นผลมาจากสภาวะจิตใจระดับคุณธรรมศีลธรรมที่บุคคลในครอบครัวต่างๆ มีอยู่ เป็นตัวบงการ

สั่งและชี้ให้เกิดการประพฤติปฏิบัติต่อสมาชิกในครอบครัว ให้เป็นแบบใดแบบหนึ่งในทางดี-ทางเลว ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวไว้ว่า “ศีลธรรม

ไม่กลับมา โลกาจะวินาศ” ศีลธรรมเป็นเครื่องกำกับการใช้อำนาจในครอบครัว

อำนาจของครอบครัวกับทรัพย์สินเงินทอง  เมื่อทุกครอบครัวจำเป็นจะต้องมีทรัพย์สินเงินทองมาเป็นปัจจัยในการเลี้ยงชีวิต มาอำนวยความ

สุข ความสะดวกสบายและสนับสนุนสมาชิกในครอบครัวให้มีการศึกษาดี กินดี อยู่ดี ปัญหาอยู่ที่จะปฏิบัติต่อทรัพย์และอำนาจอย่างไร ที่จะไม่

ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อตนเอง ต่อครอบครัว และต่อเพื่อนร่วมโลก
   
ศรัทธา คือความเชื่อ ความมั่นใจ ในหลักแห่งความดี ศีล คือความประพฤติดีงาม ความเป็นคนสุจริต หิริโอตตัปปะ คือความละอายต่อบาป

การรู้จักเสียสละ มีน้ำใจ ปัญญา คือ ความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถในการจัดทำในสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้องได้ผล รู้วิธีแก้ปัญหา รู้เหตุ รู้ผล

เข้าใจ โลกและ ชีวิตตามความเป็นจริง
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2452 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2553, 15:04:16 »



      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2453 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2553, 15:06:19 »

อ้างถึง
ข้อความของ SC (ก้าน 24) เมื่อ 08 กุมภาพันธ์ 2553, 14:55:46
สวัสดีครับดร.เอ๋


 บ่ฮู้บ่หัน




สวัสดีค่ะก้าน ดีใจที่เพื่อนแวะมาบ้านนี้นะคะ



ภาพจาก play.kapook.com
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2454 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2553, 08:49:32 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๙๒  เด็กไทย ภาษาไทย

จากหนังสือแทนคุณแผ่นดินเกิดเทิดคุณค่าภาษาไทย รวมบทปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับภาษาไทยของ ฯ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
   
“ภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญทีมนุษย์ใช้ในการติดต่อ ทำความเข้าใจ สื่อความคิดของกันและกัน และทำให้สังคมมนุษย์สามารถพัฒนา สร้าง

ความเจริญจนเป็นสังคมที่มีระบบระเบียบมีแบบแผนการดำเนินชีวิตที่เป็นรูปแบบของมนุษย์โดยเฉพาะได้”
   
“ความเป็นมนุษย์อยู่ที่การมีภาษาใช้  ความเป็นคนไทยอยู่ที่การมีภาษาไทยใช้ การมีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติของเราเอง แสดงถึง

ความเป็นเอกราช ส่วนการที่ตัวอักษรและตัวเลขไทยนั้นแสดงถึงความเจริญยิ่งใหญ่ของสังคมไทย”
   
“ชาติที่เจริญแล้วจึงถือการศึกษาของตนเป็นเรื่องสำคัญ ผู้สร้างหรือกำหนดกฎเกณฑ์ในการใช้ภาษาเพื่อให้เป็นเครื่องบันทึกความเจริญ

รุ่งเรืองและประวัติศาสตร์ของชาติตนไว้ได้อย่างมีคุณค่า และกวีผู้ใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องไพเราะ จะได้รับการยกย่องเป็นบุคคลสำคัญ

ของชาติเสมอ”

“การเรียนรู้ภาษาต้องมีการเรียนการฝึกฝนการจดจำ และมีความตั้งใจรักษารูปแบบที่ถูกต้องและไพเราะของภาษาไว้ ในสังคมที่เจริญแล้ว

นั้นมักจะยอมรับนับถือคนที่ได้รับการศึกษาอบรมอย่างดี การใช้ภาษาที่ถูกต้องไพเราะเป็นวิชาที่สำคัญอย่างยิ่งวิชาหนึ่งของการศึกษา”
   
“ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระบบระเบียนที่ต้องศึกษา ต้องทำความเข้าใจ ต้องระมัดระวังดูแลใช้ให้ถูกต้อง คนไทยไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารประ

เทศ นักภาษา นักหนังสือพิมพ์ นักเขียน ครู อาจารย์ นักโฆษณา นักแสดง ซึ่งต้องใช้ภาษาไทยในการประกอบอาชีพโดยตรงและสื่อสาร

กับคนเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ นักธุรกิจ ทีใช้ภาษาไทยสื่อสารเพื่อการดำรงชีวิตและเป็นเครื่องมือในการดำ

เนินอาชีพมากพอควรหรือเป็นกรรมการ  แม่บ้าน คนกวาดถนน คนขนขยะ ซึ่งใช้ภาษาเพียงเพื่อสื่อสารในครอบครัวและในการทำมาหากิน

ไม่มากนัก ต่างก็ต้องใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำรงชีวิตเป็นมนุษย์และเป็นคนไทยอยู่ในประเทศไทยทั้งสิ้น”
   
“การที่จะใช้ภาษาให้ถูกต้องนั้น ผู้ใช้ภาษาต้องคำนึงถึงลักษณะต่างๆ เช่น การออกเสียงให้ถูกต้อง ทั้งเสียงสระ พยัญชนะและวรรณยุกต์

การลงเสียงหนักเบา จังหวะ การลงน้ำหนักพยางค์และคำ การลงเสียงท้ายประโยคหรือทำนองเสียง การใช้คำให้ถูกความหมาย ทั้งความ

หมายตรง ความหมายเปรียบเทียบ ความหมายโดยนัยและความหมายแฝง”
   
“การเลือกคำให้ถูกตามรูปแบบของคำ เช่นคำเดี่ยว คำซ้ำ คำซ้อน คำยืม คำศัพท์เฉพาะคำสุภาพ คำทางการ การใช้และเรียงคำให้ถูกต้อง

ตามหลักไวยากรณ์ ตามหน้าที่ของคำและตามความสัมพันธ์ของคำที่มีต่อกัน การใช้คำให้ถูกแก่กาลเทศะ แก่ฐานะและศักดิ์ของบุคคลและ

แก่สถานการณ์ การใช้คำและสำนวนให้ถูกต้องตามลักษณะของสังคมตามความนิยมที่ถือว่าถูกต้องและตามจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมา”
   
“คนไทยเราโชคดีกว่าคนหลายประเทศมากในเรื่องภาษา เพราะเรามีภาษาของเรามามากกว่า ๗๐๐ ปีแล้วและเป็นภาษาที่ไพเราะมาก”
   
“ภาษาไทยในรายการโทรทัศน์ เป็นผลต่อความมั่นคงของชาติโดยตรง ทั้งในด้านการเมือง การเศรษฐกิจ สังคมและความสัมพันธ์ระหว่าง

ประเทศ การใช้ข้อมูลข่าวสารทางโทรทัศน์เป็นสื่อที่ถ่ายทอดไปสู่ประชาชนทั้งในและระหว่างประเทศ หากการให้ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นไม่

ชัดเจน เนื่องมาจากการใช้ภาษาไทยไม่เหมาะสม จะทำให้เกิดการเข้าใจผิด หลงผิด ตีความผิดและอาจเป็นผลทำให้นำไปสู่ปัญหาต่างๆที่

ไม่ควรจะเกิดให้เกิดขึ้นได้”
   
“ภาษาไทยในรายการโทรทัศน์เป็นสื่อการศึกษาทีมีประโยชน์อย่างยิ่งตลอดชีวิตของคน โดยเฉพาะการศึกษานอกระบบ เป็นครูของครูที

สอนภาษาไทยในสถาบันต่างๆ ได้เรียนรู้ถึงความรู้และความไม่รู้ของการจัดรายการ ได้เรียนรู้ข้อดีข้อเสียของการใช้ภาษาไทยทั้งการอ่าน

และการเขียนว่าควรจะเอาเป็นแบบอย่างหรือไม่ควรอย่างไร ควรจะแนะนำข้อบกพร่องอย่างไร นอกจากนั้นยังเอื้อประโยชน์แก่ประชาชนทุก

สาขาอาชีพ ทุกเพศ ทุกวัย ทั้งในการประกอบอาชีพ การประพฤติปฏิบัติตนในสังคม การรักษาสุขภาพอนามัยเป็นต้น”
   
“ภาษาไทยในรายการโทรทัศน์เป็นเครื่องบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมไทยด้านภาษาอันเป็นภาษาประจำชาติของเรา แสดงความ

เป็นอิสระทางภาษา แสดงภูมิปัญญาของเรา ภาษาไทยเป็นมาตรการสำคัญยิ่งมาตรการหนึ่งในการดำรงวัฒนธรรม อันเป็นสมบัติของคน

ไทยที่บรรพบุรุษของเราได้สั่งสมและสืบสานกันมา”
   
“จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับภาษาไทยในรายการโทรทัศน์ต้องตระหนักสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่า จะต้องดำรงความ

เป็นภาษาไทยที่ดี ถูกต้องและเหมาะสมเช่น จัดให้มีการฝึกอบรมผู้ที่เกี่ยวข้องให้พูดให้ใช้ภาษาไทยที่ชัดเจนถูกต้องเป็นไปตามหลักของภา

ษาไทยและพจนานุกรม จัดให้มีการตรวจบทความ ข้อเขียนฯ ก่อนการออกอากาศ จัดให้มีการศึกษาวิจัยและประเมินผลของภาษาไทยใน

รายการโทรทัศน์โดยต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการดำรงรักษาภาษาไทยตลอดเวลา”
   
“รีบเร่งร่วมมือกันแก้ไขปัญหาความบกพร่องในการใช้ภาษาไทยให้หมดไปโดยเร็ว  วิธีแก้ปัญหาที่ดีและน่าจะได้ผลคือการปลุกความสำนึก

ให้คนไทยทุกคน รักทะนุถนอมดำรงไว้และเทิดทูนภาษาไทย รักเหมือนเรารักแม่ของเรา ทะนุถนอมประหนึ่งของมีค่ายิ่ง ดำรงเหมือนเราดำ

รงวงศ์ตระกูลและเทิดทูนประหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธ์”
   
“นักภาษาประมาณว่าในโลกนี้มีภาษาที่ใช้พูดกันประมาณสามพันภาษา แต่มีไม่ถึงร้อยภาษาทีมีภาษาเขียนของตนเอง ภาษาไทยเป็นหนึ่ง

ในไม่ถึงร้อยภาษานั้น”

ผมรักประเทศไทยครับ



ภาพจาก gotoknow.org

หนูจะพูด อ่าน เขียนภาษาไทยให้ถูกต้องชัดเจนค่ะ



ภาพจาก play.kapook.com



      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2455 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2553, 10:28:33 »

๒๙ กรกฎาคม วันภาษาไทยแห่งชาติ ภาษาไทย สมบัติของคนไทย

การที่คนไทยเรา พูด อ่าน และเขียนภาษาไทยเป็นประจำทุกวันจนเกิดความเคยชิน อาจจะทำให้หลายๆคนไม่รู้สึกว่า “ ภาษาไทย ” มีความ

สำคัญแค่ไหน และมีคุณค่าเพียงไร หากจะเปรียบก็คงเหมือนกับ “ อากาศ ” ที่เราหายใจเข้าหายใจออกอยู่ตลอดเวลา จนเราแทบไม่รู้ค่า ว่า

หากขาดอากาศเมื่อไร เราก็ตายเมื่อนั้น ถึงแม้ว่า “ ภาษาไทย ” จะไม่เหมือนอากาศที่ทำให้เราถึงกับตาย แต่ถ้าหากชาติไทยเราขาด “ ภาษา

ไทย ” เมื่อไร นั่นก็หมายความว่า “ ความเป็นชาติ ” ส่วนหนึ่งก็สูญสิ้นไปด้วย

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้มีพระราชนิพนธ์ตอนหนึ่งว่า “ ภาษาเป็นเครื่องผูกพันมนุษย์ต่อมนุษย์แน่นแฟ้นยิ่งกว่า

สิ่งอื่น และไม่มีสิ่งไรที่จะทำให้คนรู้สึกเป็นพวกเดียวกันแน่นอนยิ่งไปกว่าพูดภาษาเดียวกัน ” คนไทยเราแม้จะต่างเผ่าพันธุ์ ต่างเชื้อชาติ ต่าง

ท้องถิ่น หรือต่างศาสนา แต่เมื่อใดก็ตามที่เราต่างพูด “ ภาษาไทย ” ทุกคนย่อมรู้สึกได้ทันทีถึงความเป็นพวกเดียวกัน ความเป็นชาติเดียวกัน

ดังนั้น “ ภาษา ” จึงเป็นสิ่งที่จะร้อยรัดและผูกพันคนในชาติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยิ่งหากอาศัยอยู่ในต่างประเทศ หรือแม้แต่ไปเที่ยว ถ้า

ได้ยินใครก็ตามพูด “ ภาษาไทย ” ขึ้นมา เชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะเกิดความรู้สึกยินดีว่าเจอพวกเดียวกันแล้ว เจอคนไทยด้วยกันแล้ว

การที่ “ ภาษา ” เป็นสิ่งสำคัญก็เพราะว่า ภาษาเป็นสื่อเสียงและสื่อสัญลักษณ์ของมนุษยชาติที่เกิดจากการสร้างสรรค์ และสั่งสมของบรรพ

บุรุษสืบทอดมาสู่ลูกหลาน เป็นเครื่องมือที่ทำให้คนในชาตินั้นๆติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันได้ และเป็นเหตุให้วัฒนธรรมในด้านอื่นๆเจริญขึ้น

ด้วย หากไม่มี “ ภาษา ” มนุษย์ก็คงไม่สามารถสืบทอดวิชาการความรู้จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง และไม่อาจพัฒนาหรือรักษา “ ความเป็น

ชาติ ” ของตนไว้ได้ “ ภาษา ” จึงเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่ายิ่งของแต่ละชาติ

อาจารย์จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิตยสถาน ได้เคยเขียนคำนำในหนังสือ “ ภาษาของเรา ” ตอนหนึ่งว่า “ ในฐานะที่คนไทยเรา เป็น

ชาติที่มีวัฒนธรรมของตนเองมานับเป็นเวลาพันๆปี เรามีภาษาพูด ภาษาเขียน และเลขของเราใช้โดยเฉพาะ ซึ่งแม้แต่ชาติที่เจริญหรือเป็น

มหาอำนาจอื่นๆบางชาติก็หามีครบอย่างเราไม่ บางชาติอาจจะมีแต่ภาษาพูด ขาดภาษาเขียน หรือบางชาติมีภาษาเขียน มีตัวหนังสือของตัว

เองแต่ขาดเลข ต้องขอยืมของชาติอื่นเขามาใช้ จึงนับว่าเป็นสิ่งที่เราน่าจะภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เราจึงควรที่จะช่วยกันรักษาและส่ง

เสริมวัฒนธรรมในด้านภาษาของเราให้ยืนยงต่อไปตลอดกาล ชาติที่เป็นมหาอำนาจทางอาวุธ แต่ขาดอำนาจในทางวัฒนธรรมนั้น แม้จะเป็น

ผู้พิชิตทางด้านการทหาร ก็จะถูกพิชิตทางด้านวัฒนธรรม อย่างพวกตาดมองโกลที่พิชิตเมืองจีนแล้วตั้งราชวงศ์หงวนขึ้นมาครองจีน ในที่สุด

ก็ถูกพวกจีนที่มีวัฒนธรรมสูงกว่ากลืนชาติหมด.....วัฒนธรรมจึงนับว่าสำคัญยิ่งในอันที่จะพิชิตใจคน การพิชิตทางกายนั้นอาจกลับถูกพิชิตได้

ง่าย แต่การพิชิตทางด้านวัฒนธรรมนั้นเป็นการพิชิตทางด้านจิตใจ จึงเป็นการพิชิตที่นุ่มนวล เป็นการพิชิตที่ผู้ถูกพิชิตยอมสมัครใจให้พิชิต

วัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งของไทย และเป็นวัฒนธรรมไทยแท้ๆก็คือ ภาษา ซึ่งแม้ต่อมา จะมีภาษาอื่นมาปะปนอยู่บ้าง แต่ก็เป็นภาษาที่ถูกเรากลืน

ให้เป็นไทยหมดแล้วทั้งนั้น จึงนับว่าเป็นภาษาไทยโดยแท้ ”



ภาพจาก www.panithatyai.ac.th

อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าเสียดายว่า ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการพัฒนาประเทศที่ผ่านมา นอกจากจะทำให้วิถีชีวิตของประชาชน

คนไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายแล้ว อิทธิพลของกระแสวัฒนธรรมต่างชาติที่หลั่งไหลเข้าสู่สังคมไทยอย่างรวดเร็ว รวมทั้งเทคนิคการ

สื่อสารสมัยใหม่ ยังมีส่วนทำให้ “ ภาษาไทย ” ที่ใช้ในปัจจุบันทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนอยู่ในสภาวะเสื่อมโทรมลงอย่างน่าเป็นห่วง เนื่อง

จากคนไทยเองได้ละเลยต่อความสำคัญในการใช้ภาษาไทย และมีการใช้ภาษาที่ผิดเพี้ยนในการสื่อสารมากขึ้นทุกที จนเป็นที่น่าวิตกว่าหาก

ไม่รีบช่วยกันแก้ไข นานไปเอกลักษณ์และคุณค่าของภาษาไทยอาจสูญหายไปจนหมดสิ้น

ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการเสนอให้รัฐบาลจัดตั้ง “ วันภาษาไทย ” ขึ้น เพื่อช่วยกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกให้คนไทยได้ตระหนัก และเห็นคุณค่า

ของภาษาไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีก็ได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๒ อันเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเจริญ

พระชนมายุครบ ๖ รอบ กำหนดให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคมของทุกปีเป็น “ วันภาษาไทยแห่งชาติ ” ตามที่ทบวงมหาวิทยาลัยเสนอ เพื่อเฉลิม

พระเกียรติและสนองพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านในด้านภาษาไทย รวมทั้งเพื่อกระตุ้นให้สถาบันการศึกษา องค์กร หน่วยงานต่างทั้ง

ภาครัฐ เอกชนและประชาชนชาวไทย ได้ตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย และร่วมใจกันใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง และรักษาภาษา

ไทยอันเป็นภาษาประจำชาติไว้ให้งดงามยั่งยืนตลอดไป การที่กำหนดเป็นวันนี้ เนื่องจากตรงกับวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล

อดุลยเดชมหาราช ได้ทรงเสด็จฯไปเป็นประธานและทรงร่วมอภิปรายกับผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะ

อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๐๕ เกี่ยวกับปัญหาการใช้คำไทย ซึ่งได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถและ

ความสนพระราชหฤทัยห่วงใยในภาษาไทย จนเป็นที่ประทับใจผู้เข้าร่วมการประชุมครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง และนับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวใน

ประวัติศาสตร์ของวงการภาษาไทย ที่ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว

พระราชดำรัสในครั้งนั้น ตอนหนึ่งความว่า “ เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะใน

ด้านรักษาภาษานี้ก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางออกเสียง คือให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษา

ให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้ หมายความว่าวิธีใช้คำมาประกอบประโยค นับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สามคือความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่ง

พวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้ ...... สำหรับคำใหม่ที่ตั้งขึ้นมีความจำเป็นในทางวิชาการไม่น้อย แต่บางคำที่

ง่ายๆก็ควรจะมี ควรจะใช้คำเก่าๆที่เรามีอยู่แล้ว ไม่ควรจะมาตั้งศัพท์ใหม่ให้ยุ่งยาก ...” นอกจากนี้ยังมีพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทาน

ปริญญาบัตรแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๑๒ ความว่า “ ในปัจจุบันนี้ปรากฏว่า ได้มีการใช้คำออกจะฟุ่มเฟือย

และไม่ตรงกับความหมายอันแท้จริงอยู่เนืองๆ ทั้งออกเสียงก็ไม่ถูกต้องตามอักขรวิธี ถ้าปล่อยให้เป็นไปดังนี้ ภาษาของเราก็มีแต่จะทรุดโทรม

ชาติไทยเรามีภาษาของเราใช้เองเป็นสิ่งอันประเสริฐอยู่แล้ว เป็นมรดกอันมีค่าตกทอดมาถึงเราทุกคน จึงมีหน้าที่จะตัองรักษาไว้ ฉะนั้น จึง

ขอให้บรรดานิสิตและบัณฑิต ตลอดจนครูบาอาจารย์ได้ช่วยกันรักษาและส่งเสริมภาษา ซึ่งเป็นอุปกรณ์และหลักประกันเพื่อความเจริญวัฒนา

ของประเทศชาติ ”

ในหนังสือ “ ภาษาไทยเรานี้มีทำนอง ” ของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้กล่าวว่าชาติไทยเป็นชาติที่มีภาษาเป็นของตน

เองมาตั้งแต่อดีตกาล บ่งบอกถึงความมีเอกลักษณ์และศักดิ์ศรีที่น่าภาคภูมิใจ

“ ภาษาไทย ” เป็นภาษาที่มีการจัดวางระเบียบแบบแผนไว้อย่างประณีตบรรจง มีอลังการแห่งศิลปะของการผสมผสานเรียงร้อยถ้อยคำให้

เป็นท่วงทำนองที่ไพเราะและเหมาะสมอย่างยิ่ง ดังนั้น ในโอกาส “ วันภาษาไทย ” ที่ ๒๙ กรกฎาคม ศกนี้ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงาน

คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนให้ทุกท่านได้น้อมรำลึกและปฏิบัติตามพระบรมราโชวาท ด้วยการช่วย

กันธำรงรักษา “ ภาษาไทย ” ที่น่าภาคภูมิใจของเรา ให้เป็นสมบัติอันล้ำค่าสืบทอดต่อไปยังอนุชนรุ่นหลังอย่างถูกต้องและงดงามตลอดไป

..............................................

อมรรัตน์ เทพกำปนาท

กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ



ภาพจาก www.siamstamp.com
 
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2456 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2553, 13:43:20 »





ยอมเปิดเผยความลับเลยว่าแม่คนนี้เคยดูลูกๆเล่นเกม"ยูริ"และพอเล่นเองก็เชี่ยวชาญพอสมควรในบางเทคนิค..

ช่วง2-3ปีนี้ ก็ทดลองเล่น"ซูม่า"ในยามที่ว่างจริงๆ ..จึงพอจะเข้าใจว่าทำไมเด็กจึงติดเกมแบบนี้กันจังเลยค่ะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2457 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2553, 09:33:21 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๙๓  เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนชีวิตได้

จากหนังสือ Change Your Thinking Change Your Life  เขียนโดย Brian Tracy

Bestselling author of Create Your Own Future   แปลและเรียบเรียงโดย นลินพรรณ ไวสืบข่าว

ความจริงเกี่ยวกับตัวคุณ
   
คุณมีทักษะและความสามารถอย่างน่าทึ่ง หากคุณปลดปล่อยมันออกมาและใช้มันอย่างเหมาะสม มันจะนำทุกสิ่งที่คุณต้องการมาสู่คุณ

กฎข้อสำคัญ  คุณจะเป็นในสิ่งที่คุณคิด

ความคิดคือทุกสิ่ง  ความคิดควบคุมและกำหนดเกือบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ มันทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นหรือช้าลง มันช่วย

เสริมสร้างขัดขวางระบบย่อยอาหาร มันเปลี่ยนส่วนประกอบทางเคมีในเลือด ช่วยให้นอนหลับหรือทำให้ตื่นในตอนกลางคืน สามารถทำ

ให้สุขหรือเศร้า ทำให้สดชื่นร่าเริงหรือหดหู่หมกมุ่น ทำให้คุณเป็นที่ชื่นชอบหรือไม่มั่นใจ  หรือหวาดหวั่น มองโลกในแง่ดีหรือร้าย ทำให้

รู้สึกมีอำนาจหรือไร้อำนาจ เป็นผู้แพ้หรือมีชัย เป็นผู้กล้าหาญหรือหวาดกลัว

ตั้งคำถามกับความเชื่อของคุณ
   
กฎแห่งความเชื่อกล่าวว่าสิ่งใดที่คุณเชื่อมั่นด้วยใจ สิ่งนั้นจะกลายเป็นความจริงสำหรับคุณ

คุณเป็นแม่เหล็กที่มีชีวิต
   
ขณะที่คุณคิดในด้านบวก มองโลกในแง่ดี มีความปรารถนาดี และคิดถึงความสำเร็จ คุณได้สร้างสนามแม่เหล็กที่จะดึงดูดสิ่งที่คุณคิดมา

สู่คุณ

เลือกความคิดของคุณ
   
คนที่จะประสบความสำเร็จ คือคนที่คิดอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า เขาจะจัดการกับชีวิต สัมพันธภาพ เป้าหมาย ปัญหาและประสบการณ์

ของเขาต่างจากคนอื่น เขาหว่านเมล็ดพันธุ์ที่ดีกว่าและผลที่ตามมาคือเขาได้เก็บเกี่ยวชีวิตที่ดีกว่า

ผ้าขาว
   
เดวิด ฮูม นักปรัชญาชาวสกอต เป็นคนแรกที่เสนอแนวคิดเรื่อง tabula rasa หรือผ้าขาว ทฤษฎีนี้กล่าวว่ามนุษย์ทุกคนเริ่มมาอยู่ในโลก

โดยปราศจากความคิดความเห็นอย่างสิ้นเชิง สิ่งทีมนุษย์คิดและรู้สึกนั้นล้วนเรียนรู้จากชีวิตตั้งแต่วัยเด็กเป็นต้นมา

ความประทับใจแรกคงอยู่ยาวนาน
   
ถ้าคุณได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่รักคุณให้กำลังใจและส่งเสริม เชื่อมั่นในตัวคุณและบอกเสมอว่าคุณเป็นคนดีไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม คุณ

จะเติบโตขึ้นด้วยความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีและมีคุณค่า เมื่อคุณอายุได้ 3 ขวบ ความเชื่อนี้จะฝังแน่นและกลายเป็นรากฐานสำคัญของวิธี

ที่คุณมองตนเอง  ปัญหาทางบุคลิกภาพของวัยรุ่นและผู้ใหญ่เกือบทั้งหมดมีรากฐานมาจากสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่าการยับยั้งความรัก เด็ก

ย่อมต้องการความรักเช่นเดียวกับที่ดอกกุหลาบต้องการน้ำฝน เมื่อเด็กรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความรักจากผู้อื่นจะทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยและ

มักจะคิดว่า “เราไม่ดีพอ” ดังนั้นจึงต้องหาทางชดเชยสิ่งที่ขาดไป ซึ่งจะแสดงออกมาในรูปของปัญหาทางบุคลิกภาพและพฤติกรรม อารมณ์

ฉุนเฉียว บางครั้งหดหู่สิ้นหวัง ขาดความทะเยอทะยาน และมีปัญหาในความสัมพันธ์กับผู้อื่น

คุณเกิดมาอย่างกล้าหาญ
   
เด็กเกิดมาโดยปราศจากความกลัวใดๆ นอกจากกลัวเสียงดัง ซึ่งเป็นไปโดยสัญชาตญาณส่วนความกลัวอื่นๆ นั้นเด็กจะได้เรียนรู้เมื่อเติบโต

ขึ้น การกลัวความล้มเหลวเป็นสาเหตุเบื้องต้นที่ทำให้ชีวิตคุณล้มเหลว การถูกตำหนิในวัยเด็กอยู่เรื่อยไปทำให้เราไม่กล้าทำในสิ่งใหม่ๆ บาง

ครั้งอาจล้มเลิกก่อนที่จะได้ทดลองทำเสียอีก

ต้องการเป็นที่รัก
   
ความกลัวว่าพ่อแม่จะไม่รักและจะต้องโดดเดี่ยวเป็นสิ่งที่เจ็บปวดมากสำหรับเด็ก จนทำให้เด็กสร้างนิสัยที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อแม่พอใจ

เด็กจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง



ภาพจาก women.sanook.com

รักแบบมีเงื่อนไข
   
สำหรับเด็กที่เติบโตมาพร้อมกับความรักแบบที่เรียกว่า “รักอย่างมีเงื่อนไข” (ซึ่งตรงกันข้ามกับความรักแบบไม่มีเงื่อนไข อันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่

มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถมอบให้อีกคนหนึ่งได้) เด็กนั้นจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่หวั่นไหวต่อความคิดเห็นของคนอื่นได้ง่าย และจะไม่ยอมทำใน

สิ่งที่คนอื่นไม่พอใจแม้เพียงเล็กน้อย เขาจะนำรูปแบบของความสัมพันธ์ในวัยเด็กกับพ่อแม่ มาใช้กับคนที่มีความสำคัญต่อเขา เช่น สามี/ภรร

ยา เจ้านาย ญาติ เพื่อนหรือคนอื่นที่เขาเห็นว่าสำคัญ

เพิ่มความปราชัยเป็นสองเท่า
   
เซอร์โทมัส เจ วัตสันนักธุรกิจอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า “ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว คุณต้องเรียนรู้ที่จะล้มเหลวให้มาก

ขึ้นเป็นสองเท่า เพราะความสำเร็จนั้นวางอยู่บนอีกด้านหนึ่งของความล้มเหลว

ส่วนลึกของจิตใจ
   
สิ่งที่คุณแสดงออกภายนอกเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับตัวภายในของคุณ ดังนั้นหากคุณต้องการปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น ต้องเริ่มจากการปรับปรุง

ตัวตนภายในของคุณก่อน-ความเชื่อเกี่ยวกับตนเอง ประสบการณ์ การตัดสินใจความสำเร็จ ความล้มเหลว ความคิด ความรู้ ความรู้สึกและ

ความคิดเห็นต่างๆ ในชีวิตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ตัวตนสามด้าน
   
บุคคลสำคัญที่เป็นผู้นำและมีชื่อเสียงไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย จะมีความชัดเจนอย่างมากในเรื่องค่านิยม ทัศนะและอุดมการณ์ของตนเอง

บุคคลเหล่านั้นจะรู้ว่าตนเองเป็นใครและอะไรคือสิ่งที่เขายึดมั่น เขาจะตั้งมาตรฐานสำหรับตนเองไว้สูงและไม่มีทางที่จะลดมาตรฐานดัง

กล่าวลง

วิธีที่คุณรู้สึกกับตนเอง
   
ยิ่งคุณเคารพตนเองมากขึ้น คุณจะเป็นคู่ครองหรือเป็นพ่อแม่ที่ดีขึ้น พ่อแม่ที่มีความเคารพตนเองสูงจะเลี้ยงดูลูกให้มีความเคารพตนเองสูง

เช่นกัน ทำให้เด็กเหล่านี้มีความเคารพตนเองสูงจะมีแต่ความรัก เสียงหัวเราะ และความสุขสำหรับทุกคนในครอบครัว

หัวใจของบุคลิกภาพ
   
ในปัจจุบันนักจิตวิทยาเชื่อว่าการเคารพตนเองเป็นหัวใจของบุคลิกภาพของคุณ การปรับปรุงบุคลิกภาพให้ดีขึ้นจะทำให้คุณรักและเคารพ

ตนเองขึ้น

ควบคุมการพูดกับตัวเอง
   
คำพูดที่มีพลังที่สุดเมื่อรู้สึกหวั่นไหวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาคือ “ฉันรักตัวเอง” ความกลัวจะหายไปและความกล้าหาญจะเข้ามา

แทนที่เพราะเป็นคำพูดที่มีพลังมากจนทำให้จิตใต้สำนึกของคุณยอมรับมันในทันที และมันจะส่งผลต่อความคิด ความรู้สึกและทัศนคติของ

คุณทำให้บุคลิกดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

พูดกับตัวเองในทางที่ดี
   
การพูดกับตัวเองมีผลต่ออารมณ์ของคุณถึง 95 เปอร์เซ็นต์ในขณะที่พูดกับตัวเอง จิตใต้สำนึกจะยอมรับคำพูดดังกล่าวเหมือนกับมันเป็นคำ

สั่ง จากนั้นมันจะปรับพฤติกรรมของคุณ ปรับภาพลักษณ์และบุคลิกภาพของคุณให้เป็นไปตามคำพูดเหล่านั้น

การคิดเชิงบวก
   
ทำให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้คุณมีพลังรู้สึกเข้มแข็งและมั่นใจขึ้น ยังมีผลกระทบที่เป็นรูปธรรมต่อบุคลิกภาพ สุขภาพ พลังงานและความ

สร้างสรรค์ของคุณ ยิ่งคิดเชิงบวกมากขึ้นเท่าไร คุณจะยิ่งมีความสุขในชีวิตมากขึ้นเท่านั้น

ให้อภัยผู้อื่น
   
ในขณะที่เริ่มให้อภัยผู้อื่น คุณก็ได้เลิกใช้พลังงานในด้านลบไปด้วย คุณจะรู้สึกสงบและควบคุมจิตใจตนเองได้ หลักการข้อหนึ่งที่สำคัญที่

สุดสำหรับความสุขและความสำเร็จคือ “อย่าโกรธหรือวิตกกังวลในสิ่งที่คุณทำไม่ได้” “อย่าตำหนิคนอื่นในเรื่องที่จะเปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้”

มีคำกล่าวที่ดีว่า “ในเมื่อไม่มีทางแก้ก็ไม่มีปัญหาอะไร”

ปล่อยให้มันผ่านพ้นไป
   
นักจิตบำบัดที่มีประสบการณ์มากกว่า 25 ปี ในการทำงานกับคนที่ไม่มีความสุข กล่าวว่าคนมีความทุกข์ส่วนใหญ่ถูกดึงกลับไปในอดีตโดย

เหตุการณ์บางอย่างที่เขาไม่อาจปล่อยให้มันผ่านพ้นไป เขายังคงโกรธ ไม่พอใจหรือรู้สึกหดหู่กับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น เขาจะโกรธพ่อแม่พี่น้อง

คนรักหรือคู่ครองในอดีต แม้กระทั่งเจ้านายหรือความผิดพลาดทางธุรกิจ


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจาก www.bkkonline.com
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2458 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2553, 09:53:48 »

ช่วยลูกมีความคิดเชิงบวกด้วย L-O-V-E ครอบครัว ปลูกฝังตอนเด็ก เสริมภูมิต้านทานชีวิต

ลักษณะของความเป็นมนุษย์ คือ มีอารมณ์และความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้ง มีความสามารถในการคิดได้หลากหลาย สลับซับซ้อนและคิด

ได้หลายแง่หลายมุม คนเราคิดนั่นคิดนี่อยู่ตลอดเวลา แม้แต่เวลาหลับก็ยังคิด (แสดงออกมาในรูปของความฝัน)

ความคิดกับอารมณ์เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันอย่างมาก ซึ่งหากเราคิดในแง่บวก มองโลกในแง่ดี ก็จะทำให้เรารู้สึกมีความสุข มีความหวังใจและมี

กำลังใจในการดำเนินชีวิตที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จได้ แต่ตรงกันข้าม หากเราคิดในแง่ลบ มองโลกในแง่ร้าย ก็จะทำให้เครียด มีความ

ทุกข์และเกิดความล้มเหลวในชีวิตได้ง่าย  ดังนั้น การมีความคิดเชิงบวกจึงเป็นสิ่งที่ดีที่ควรจะมีอยู่กับมนุษย์ทุกคน ซึ่งความคิดเชิงบวกนี้สา

มารถเริ่มและพัฒนาได้ตั้งแต่ในวัยเด็ก คุณพ่อคุณแม่จึงควรใส่ใจในการปลูกฝังให้ลูกรักของเราเป็นคนที่มีความคิดเชิงบวกได้ด้วยวิธีการดังนี้

1. L = Listen (รับฟัง) เด็กๆ ทุกคนต้องการให้คุณพ่อคุณแม่รับฟังความรู้สึกและความคิดเห็นของเขาอย่างจริงจัง เวลาที่ลูกพูดคุยกับคุณ

พ่อคุณแม่หรือเวลาที่ลูกเล่าเรื่องใด ไม่ว่าเรื่องเกี่ยวกับตัวของลูกเองหรือเรื่องกิจกรรมที่ลูกทำร่วมกับเพื่อนที่โรงเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรรับฟัง

ด้วยความใส่ใจและมีการตอบรับ ซักถามกับสิ่งที่ลูกเล่า โดยที่ไม่แสดงความรำคาญหรือเบื่อหน่าย

ท่าทีเช่นนี้ของคุณพ่อคุณแม่จะช่วยเสริมสร้างให้ลูกมีความมั่นใจในตนเอง กล้าคิด กล้าแสดงความคิดเห็นและเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งจะพัฒ

นาให้ลูกเป็นคนที่มีความคิดเชิงบวกทั้งกับตนเองและกับผู้อื่น โดยเขาจะเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟังที่ดี มีความเข้าใจและเคารพในความคิดเห็น

ของผู้อื่น ซึ่งจะทำให้เขาเป็นที่รักของคนทั่วไป นอกจากนี้ผลดีอีกอย่างก็คือลูกจะไม่เป็นคนที่มีความลับกับพ่อแม่ด้วย

2. O = Opportunity (โอกาส) เด็กช่วงวัยอนุบาลถึงวัยรุ่นมีความอยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติและพร้อมที่จะทดลองเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่

เข้ามาในชีวิต คุณพ่อคุณแม่จึงควรเปิดโอกาสให้ลูกได้สัมผัสและเรียนรู้ในกิจกรรมหลากหลายอย่างมีความสุข เพื่อให้เขาได้พัฒนาศักยภาพ

ของตนเองอย่างเต็มที่ เช่น การเรียนศิลปะ ดนตรี กีฬา  คุณพ่อคุณแม่อย่าบังคับให้ลูกต้องทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบและไม่ถนัด แต่ควรให้ลูกมี

อิสระในการเลือกทำกิจกรรมที่เขาพึงพอใจด้วยตนเอง เพราะเมื่อเขาได้ทำกิจกรรมที่ตนเองชอบและถนัดแล้ว เขาจะทำสิ่งนั้นได้ดี ซึ่งอาจ

พัฒนาจนเกิดความเชี่ยวชาญเลยก็เป็นได้

ดังนั้นการให้โอกาสจึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการพัฒนาความคิดเชิงบวกของลูก ในแง่ของการสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง และในการเรียนรู้

ที่จะเป็นผู้ให้โอกาสแก่ผู้อื่นต่อไปด้วย

3. V = Vision (วิสัยทัศน์) หมายถึง การมองหรือการสร้างภาพในการเดินไปสู่อนาคต คุณพ่อคุณแม่ควรสนับสนุนลูก ไม่ว่าลูกมีความฝัน

หรือความตั้งใจอยากจะเป็นหรืออยากจะทำอะไร ตอนที่ผู้เขียนเป็นเด็ก เคยมีความฝันที่อยากจะเป็นจิตรกรเพราะชอบวาดรูป คุณพ่อคุณแม่ก็

ให้การสนับสนุนโดยพาไปเรียนศิลปะ และหากมีโอกาสในวันหยุดก็พาไปดูงานแสดงภาพเขียน  นอกจากนี้คุณครูที่โรงเรียนก็ให้การสนับ

สนุนด้วย โดยการส่งภาพวาดของผู้เขียนเข้าประกวดอยู่เสมอ แม้จะได้รางวัลบ้างไม่ได้รางวัลบ้าง แต่ก็สร้างความภาคภูมิใจให้กับตนเองใน

ทุกครั้งที่นึกถึง (ถึงแม้ว่าเมื่อโตมาผู้เขียนจะไม่ได้เป็นจิตรกรก็ตาม)

ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องสนับสนุนและช่วยสานความฝันของลูก อย่ามองเป็นเรื่องตลกหรือคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะหากลูกได้รับกำลังใจ

และการเสริมแรงที่เหมาะสมแล้ว สักวันเขาจะไขว่คว้าสิ่งนั้นเอาไว้ได้ และจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน

ดังนั้น วิธีการนี้จึงเป็นการช่วยพัฒนาความคิดเชิงบวกของลูก ในการมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จได้ด้วยตนเองและฝึกให้เขา

เป็นคนที่จะมีความรู้สึกชื่นชมกับความคิด และความฝันของผู้อื่นเช่นกัน

4. E = Emotional Quotient (ความฉลาดทางอารมณ์) คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกได้เข้าสังคมคบหาเพื่อนทั้งในวัยเดียวกันหรือต่าง

วัย ทั้งเพื่อนเพศเดียวกันหรือต่างเพศ ซึ่งถือเป็นการฝึกให้ลูกได้รู้จักการสร้างความสัมพันธ์และการปรับตัวในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น ได้เรียน

รู้ในการแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ ผลัดกันเป็นผู้นำผู้ตาม เห็นอกเห็นใจ ให้อภัย ยอมรับความผิดพลาดของตนเองและผู้อื่น ซึ่งการ

เป็นคนที่มีความฉลาดทางด้านอารมณ์นี้เป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของคนที่มีความคิดเชิงบวกเพราะช่วยให้ลูกเป็นคนมีความคิดและ

จิตใจที่ดีงาม

5. L - O - V - E (ความรัก) คุณพ่อคุณแม่ควรแสดงความรักกับลูกในทุกทาง ทั้งคำพูดและการกระทำ เช่น โอบกอด รวมถึงการแสดง


ความเมตตากับลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งจะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น มั่นคงและปลอดภัย ความรักเหมือนยาวิเศษที่สามารถเปลี่ยนสิ่งร้ายให้กลาย

เป็นดีได้ เปลี่ยนเด็กดื้อให้กลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เปลี่ยนเด็กเกเรให้กลายเป็นเด็กอ่อนโยน เปลี่ยนเด็กอ่อนแอให้กลายเป็นเด็กเข้ม

แข็ง การแสดงให้ลูกรู้ว่าตนเองมีค่าและเป็นที่ยอมรับของคุณพ่อคุณแม่ เป็นวิธีการสร้างความคิดเชิงบวกให้กับลูกได้ดีที่สุด ซึ่งนอกจากจะ

ทำให้เขาจะเป็นคนที่เต็มอิ่มด้วยความรักแล้ว เขาจะเรียนรู้ที่จะเป็นคนที่มอบความรักให้แก่ผู้อื่นด้วยใจจริงเช่นกัน

การที่ลูกมีความคิดในเชิงบวก ทำให้เขามีมุมมองที่ดีทั้งกับตนเองและผู้อื่น การที่คุณพ่อคุณแม่รับฟัง (L) ให้โอกาส (O) สนับสนุนความคิด

ฝัน (V) ฝึกให้ลูกมีความฉลาดทางอารมณ์ (E) และมอบความรัก (L - O - V - E) ให้กับลูก ถือเป็นบทบาทสำคัญที่จะช่วยให้ลูกของเรา

เป็นคนมองโลกในแง่ดี มีความคิดที่ดีงาม ซึ่งเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ไม่ว่าในวันนี้หรือในวันข้างหน้าที่เขาจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาจะ

เป็นคนหนึ่งที่มีพลังใจในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามเพื่อสังคมได้ต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ  Update 17-06-52  อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก

จาก www.thaihealth.or.th



ภาพจาก thailandfuture.org

 
      บันทึกการเข้า
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #2459 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2553, 10:28:10 »

พี่เอ๋คะ...

ให้อภัยผู้อื่น
ในขณะที่เริ่มให้อภัยผู้อื่น คุณก็ได้เลิกใช้พลังงานในด้านลบไปด้วย คุณจะรู้สึกสงบและควบคุมจิตใจตนเองได้ หลักการข้อหนึ่งที่สำคัญที่

สุดสำหรับความสุขและความสำเร็จคือ “อย่าโกรธหรือวิตกกังวลในสิ่งที่คุณทำไม่ได้” “อย่าตำหนิคนอื่นในเรื่องที่จะเปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้”

มีคำกล่าวที่ดีว่า “ในเมื่อไม่มีทางแก้ก็ไม่มีปัญหาอะไร”

ปล่อยให้มันผ่านพ้นไป
นักจิตบำบัดที่มีประสบการณ์มากกว่า 25 ปี ในการทำงานกับคนที่ไม่มีความสุข กล่าวว่าคนมีความทุกข์ส่วนใหญ่ถูกดึงกลับไปในอดีตโดย

เหตุการณ์ บางอย่างที่เขาไม่อาจปล่อยให้มันผ่านพ้นไป เขายังคงโกรธ ไม่พอใจหรือรู้สึกหดหู่กับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น เขาจะโกรธพ่อแม่พี่น้องคนรักหรือคู่ครองในอดีต แม้กระทั่งเจ้านายหรือความผิดพลาดทางธุรกิจ

------------------------------------------------------------------------------------------------

เข้ามาอ่านบทความดีๆ ให้ความรู้และนำบางส่วนมาปรับความคิดตัวเองในตอนนี้อยู่ค่ะ  ฮี่ๆ
      บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2460 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2553, 10:51:26 »

สวัสดีค่ะน้อง ดีใจที่แวะมาอ่านและได้ประโยชน์ แผ่นพับแต่ละเรื่องก็ได้จากการอ่านหนังสือที่น่าสนใจและเลือกสาระ

สำคัญออกมาเป็นแผ่นพับเรื่องนึงค่ะ นำออกเผยแพร่สู่เด็กเยาวชนและประชาชนทั่วไปในจังหวัดค่ะ

      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #2461 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2553, 21:56:03 »

ย่องมาอ่านค่ะดร.เอ๋ สบายดีนะคะ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2462 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2553, 07:42:47 »

อ้างถึง
ข้อความของ Kaimook เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2553, 21:56:03
ย่องมาอ่านค่ะดร.เอ๋ สบายดีนะคะ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ


สวัสดีค่ะ  ดีใจที่แวะมาค่ะอ้อย  อ้อยและครอบครัวสบายดีนะคะ



ภาพจาก play.kapook.com
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #2463 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2553, 08:34:19 »

อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2553, 07:42:47
อ้างถึง
ข้อความของ Kaimook เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2553, 21:56:03
ย่องมาอ่านค่ะดร.เอ๋ สบายดีนะคะ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

สบายดีบ้าง บ่สบายบ้างค่ะช่วงนี้รู้สึกว่่าแก่ขึ้นหรือไรมักปวดๆขาเหมือนคนแก่เลยอิอิอิต้องเจียมตัวค่ะ


สวัสดีค่ะ  ดีใจที่แวะมาค่ะอ้อย  อ้อยและครอบครัวสบายดีนะคะ



ภาพจาก play.kapook.com
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2464 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2553, 10:12:21 »

สาวรุ่น24ควรลืมคำว่า"แก่"ไปเลยเชียว พยายามสดใสสดชื่นนะคะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2465 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2553, 10:39:47 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๙๔  เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนชีวิตได้

จากหนังสือ Change Your Thinking Change Your Life  เขียนโดย Brian Tracy

Bestselling author of Create Your Own Future   แปลและเรียบเรียงโดย นลินพรรณ ไวสืบข่าว

ตีความเรื่องเก่าแบบใหม่
   
มองหาสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในประสบการณ์ไม่ดีในอดีต ควรคิดว่าความทุกข์ในอดีตทำให้คุณเป็นคนดีขึ้นและฉลาดขึ้น เข้มแข็งขึ้น

อย่าใช้อารมณ์
   
วิลเลียม เจมส์ นักปราชญ์และนักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า “จุดเริ่มต้นที่จะจัดการกับปัญหาและอุปสรรค์ต่างๆ คือการ

ตั้งใจเผชิญกับมัน” ...บังคับตนเองให้จัดการกับปัญหาด้วยสมอง ไม่ใช่อารมณ์

กำหนดเส้นทางของตนเอง
   
จากการศึกษาของอับราฮัม มาสโลว์พบว่ามีเพียง 1 หรือ 2 เปอร์เซ็นต์ของความที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วที่ซื่อสัตย์กับตนเองอย่างแท้จริง

รู้ข้อดีข้อเสียของตนเอง และไม่ได้คาดหวังหรือแกล้งทำเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งที่ทำให้เขาเคารพและภูมิใจในตนเอง

การชื่นชมจากคนอื่น
   
มีอิทธิพลอย่างมากต่อการเคารพตนเองของคุณ เพราะมันมีความใกล้เคียงกับอุดมคติและภาพลักษณ์ของคุณมาก คนที่ประสบความสำเร็จ

ก็จะชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จ และเห็นเป็นแบบอย่างที่ดีทำให้เขาต่อสู้ฝ่าฟันเพื่อที่จะได้เป็นอย่างบุคคลในอุดมคติของเขา

ตั้งมาตรฐานให้สูงไว้
   
จากการวิจัยพบว่า ในวัยเด็กของคนที่ประสบความสำเร็จ เขาจะชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับอัตชีวประวัติ การอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลที่มีชื่อ

เสียงทำให้เขาจินตนาการให้ตนเองมีคุณสมบัติเหมือนกับคนที่เขาอ่าน  เมื่อเติบโตจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของความคิดและเป็นเครื่องนำ

ทางการตัดสินใจของเขาต่อไปในชีวิต

เลือกต้นแบบด้วยความระมัดระวัง
   
ตัดสินใจเลือกคนที่คุณชื่อชมที่สุดและเลือกคุณสมบัติที่คุณต้องการจะเลียนแบบมากที่สุด ต้นแบบจะกำหนดแนวทางภายในจิตใจที่จะพา

คุณไปสู่เส้นทางที่ดีที่สุด

สิ่งเลวร้ายที่สุดที่มีอิทธิพลต่อคุณ
   
การโทษคนอื่นทำให้เกิดความโกรธซึ่งเป็นความรู้สึกเชิงลบที่เลวร้ายที่สุดและเป็นสิ่งที่ทำลายล้างมากกว่าสิ่งใดในโลก หากควบคุณความ

โกรธไม่ได้ มันจะทำลายสุขภาพสัมพันธ์ไมตรี ครอบครัว ธุรกิจ และสังคม

ไม่มีใครผิด
   
มีข้อเท็จจริงทางจิตวิทยาว่าคนส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าตนเองทำถูกต้องเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม แต่ทันทีที่คนหนึ่งเริ่มโทษอีกคนหนึ่งและ

ต้องการให้เขายอมรับผิด การต่อสู้ทางอารมณ์และกฎหมายจะเริ่มเกิดขึ้นและสิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือการต่อสู้เช่นนี้มักจะจบลงด้วยการกลับไป

เริ่มต้นใหม่ ซึ่งไม่มีใครได้รับประโยชน์อะไรเลย

ทัศนะทางบวกกับทัศนะทางลบ
   
การที่คุณรับผิดชอบตนเองและรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น จะทำให้คุณมีทัศนะทางบวกคุณจะกลายเป็นคนมองโลกในแง่ดี จะมีความสุขและ

ประสบความสำเร็จมากขึ้น

ความแตกต่างที่ปรากฏ
   
การที่คนเรามีทักษะ ความสามารถและความต้องการที่แตกต่างกัน อาจเกิดจากคนบางคนทำงานหนักกว่า มีพื้นฐานที่ดีกว่าเกิดมาเฉลียว

ฉลาดกว่า หรือแม้แต่มีจังหวะทางธุรกิจที่ดีกว่า การยอมรับความไม่ลงรอยกันในด้านต่างๆได้

พลังแห่งการให้อภัย
   
คุณลองนึกภาพถึงความรู้สึกที่ไม่โกรธใครทั้งสิ้นในโลกนี้ นึกภาพว่าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีและมีความสุข มีความเชื่อมั่นและเคารพตน

เอง นึกภาพว่าคุณเป็นคนอบอุ่น เป็นมิตรและมีแต่ความสงบสุขภายใน ทุกสิ่งที่กล่าวมานี้สามารถเป็นไปได้ถ้าคุณรู้จักให้อภัย



ภาพจาก www.dhammadelivery.com

คนที่คุณต้องให้อภัย
   
กลุ่มแรกคือพ่อแม่ของคุณ ไม่ว่าท่านจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม คุณต้องให้อภัยท่านอย่างหมดสิ้นสำหรับความผิดพลาดในการเลี้ยงดูคุณ

อย่างน้อยที่สุดควรขอบคุณท่านที่ให้ชีวิตแก่คุณท่านทำให้คุณมีวันนี้ ถ้าคุณยังมีความสุขที่จะมีชีวิตอยู่ ควรให้อภัยท่านได้ทุกเรื่อง และจง

อย่าตำหนิท่านอีก

คนใกล้ชิด
   
คนกลุ่มที่สองที่ต้องให้อภัยคือคนใกล้ชิดของคุณที่ความสัมพันธ์ต้องสิ้นสุดลง การแต่งงานและความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นความรู้สึกที่รุนแรง

ซึ่งอาจทำลายความเคารพตนเองได้มากจนกระทั่งคุณอาจโกรธและไม่ให้อภัยคนเหล่านั่นเป็นเวลาหลายปี

เขียนจดหมาย
   
จากการศึกษาพบว่า “การเขียนจดหมาย” เป็นวิธีกำจัดความรู้สึกไม่ดีให้หมดไปและเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่สามารถปลดปล่อยคุณจากความ

โกรธได้

ซักผ้าของคุณให้ขาว
   
คนกลุ่มที่สามที่คุณต้องให้อภัย ใครก็ได้ในชีวิตที่เคยทำให้คุณเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย หุ้นส่วนทางธุรกิจ เพื่อนคนที่โกงหรือทรยศต่อคุณ

จงซักผ้าที่เปื้อนสีของคุณให้ขาว จงปล่อยเขาไปให้อภัย

ปลดปล่อยตนเอง
   
คนสุดท้ายที่คุณต้องให้อภัยคือตัวคุณเองสำหรับการกระทำหรือคำพูดที่โง่เขลาเบาปัญญา ไม่มีเหตุผล ร้ายกาจสิ้นคิดหรือหยาบคาย ขอให้

คิดว่าในเวลานั้นคุณยังเด็กขาดประสบการณ์และยังไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้

คุณคือผลงานชิ้นเอก
   
ในการแสดงศักยภาพอันเต็มเปี่ยมของคุณนั้น สิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดคือต้องหลุดออกมาจากความคิดที่จำกัด โดยการฝันให้ไกลและจิน

ตนาการถึงความสามารถที่ไม่มีขีดจำกัด คุณจำเป็นต้องขจัดความเชื่อเชิงลบออกไปให้ได้ เพราะมันไปขัดขวางไม่ให้คุณก้าวไปสู่จุดที่คุณ

สามารถเป็นได้

ฝันให้ไกล
   
คนที่ประสบความสำเร็จต่างก็ฝันกันทุกคน เรามักเรียกคนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดว่า “นักวาดฝันบนฟ้าใส” เขาจะปล่อยความคิดของเขา

ให้ล่องลอยไปอย่างอิสระเมื่อเขาคิดถึงสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับเขา

วิธีที่จะบรรลุเป้าหมาย

1)  กำหนดให้ชัดเจนว่าคุณต้องการอะไร   2)  เขียนเป้าหมายของคุณ

3)  เต็มใจที่จะเสียบ้าง        4)   วางแผนในรายละเอียด

5)  ปฏิบัติให้เป็นไปตามแผน  6)     ทำทุกวัน         7)   อย่ายอมแพ้

ความลับของเศรษฐีที่สร้างตนเอง
   
ถ้าเงินคือเป้าหมายของคุณ จงอย่าลืมว่าคนส่วนใหญ่ที่ร่ำรวยในวันนี้เริ่มต้นจากการไม่มีเงินเลยหรือแม้กระทั่งเป็นหนี้ เกือบทุกคนที่อยู่ใน

จุดสูงสุดในวันนี้ครั้งหนึ่งเขาเคยอยู่ในจุดต่ำสุดมาก่อน เกือบทุกคนที่อยู่ในแถวหน้า ครั้งหนึ่งก็เคยอยู่แถวหลังมาแล้ว เกือบทุกคนที่ร่ำรวย

ในวันนี้ครั้งหนึ่งเขาเคยยากจน

เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
   
ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จด้านใด คุณต้องศึกษาจากผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านนั้นก่อนหน้าคุณแล้วเมื่อพบว่าเขาทำอย่างไร จงทำ

อย่างเดียวกับเขาหลายครั้งหลายหนจนกระทั่งคุณได้รับผล อย่างที่เขาได้รับ

คุณสมบัติร่วมกัน
   
เศรษฐีที่สร้างตนเองจะทำงานหนักกว่าคนทั่วไปมากเริ่มทำงานเช้ากว่า เลิกงานช้ากว่า อดทนและมุ่งมั่นทำงานอย่างรวดเร็ว ไม่ผัดวันประ

กันพรุ่ง ตื่นนอนแต่เช้า วางแผนล่วงหน้า การตรงต่อเวลา เริ่มงานก่อนที่คนอื่นจะเริ่ม ความสามารถในการสร้างคุณค่าให้กับงาน

เรียนในสิ่งที่คุณต้องรู้
   
ทุกครั้งที่เปลี่ยนงานใหม่ เรียนรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับงานนั้นเท่าที่สามารถทำได้และใช้มันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้อุทิศตนให้กับการศึกษา

เหตุผลสำหรับทุกสิ่ง
   
นักจิตวิทยาและนักวิชาการศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาของความสำเร็จและความล้มเหลว พบว่ามีการปิดกั้นทางใจที่สำคัญที่ขัดขวางความสำ

เร็จ เรียกว่า “ความสิ้นหวังจนเป็นนิสัย” สภาพเช่นนี้เป็นความหนักใจของคนถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ที่เรียนจบปริญญาในบางสาขาและเป็นอุป

สรรคสำคัญต่อความสำเร็จของคนอีกหลายคน

ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด
   
คือความกลัวและความไม่รู้ ความกลัวเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางความฝันและเป้าหมายของคุณมากกว่าอุปสรรคอื่นใด ความไม่รู้ทำให้คุณไม่

กล้าแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจาก www.watkoh.com

      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2466 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2553, 14:49:23 »

ความรัก คือความสุข ใช่ทุกข์โศก

คนทั้งโลก รักกัน ปันสงสาร

รักจากใจ ผูกพัน ฝันชื่นบาน

รักเปรียบปาน น้ำผึ้ง หวานตรึงทรวง

ขอขอบคุณ กลอนวันวาเลนไทน์ Thaipoem.com โดยคุณ อนงค์นาง



ภาพจาก www.showded.com

"What is Romance?"

Romance?

What is romance?

Is it when I give you flowers?

When I give you a gorgeous dinner?

Or is it when I simply say,

I love you.

ขอขอบคุณ กลอนวันวาเลนไทน์ โดยคุณ Gary R. Hess จาก poemofquotes.com



ภาพจาก www.showded.com

 



      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2467 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2553, 15:04:17 »

ความรักเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องการ แม้แต่เด็กจะเจริญเติบโตได้ ก็ต้องการความรักความเอาใจใส่จากพ่อแม่ เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีทั้งร่าง

กายจิตใจ  การให้ความรักความเอาใจใส่แก่ลูก จะช่วยให้ลูกมีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกาย และจิตใจ มีอารมณ์ร่าเริง ปรับตัวได้ดี มีความฉลาด

ทางอารมณ์ และมีความมั่นใจในความรัก มีเกราะป้องกันตนเองจากภัยสังคม

การให้ความรักแก่ลูก พ่อแม่สามารถทำได้ โดยคอยดูแลโอบกอดลูกด้วยความนุ่มนวล อ่อนโยน ให้ความสนใจ ใส่ใจในตัวลูก หาเวลาใกล้

ชิดกับลูก พูดคุย สังเกตพัฒนาการ ความรู้สึกนึกคิดของลูก เพื่อพ่อแม่จะได้รู้จักลูกดียิ่งขึ้น ปลอบโยนยามลูกตกใจ หรือเกิดหวาดกลัว ให้กำ

ลังใจเมื่อลูกต้องการ เช่นในเวลาที่ลูกต้องการความเชื่อมั่น เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต ยามลูกผิดหวังเศร้าเสียใจ

การให้ความรักแก่ลูกเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับลูกในทุกช่วงวัย แตกต่างกันที่เทคนิคการแสดงออกของพ่อแม่ แล้วความรักของพ่อแม่จะช่วยให้

ลูกเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คอลัมน์ : สดจากจิตวิทยา  โดย : นฤภัค ฤธาทิพย์/กรมสุขภาพจิต   Tags: แม่และเด็ก



ภาพจาก learners.in.th


      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2468 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2553, 15:24:57 »

ประเภทของความรัก

ที่มา : กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข.
 
ประเภทของความรัก มีอยู่ 2 แบบ

แบบแรกเรียกว่า ความรักที่ไม่อิงอารมณ์ใคร่ หรือ Unromantic love เช่น ความรักระหว่างเพื่อน ความรักระหว่างพี่น้อง พ่อแม่ลูก ญาติสนิท

ธรรมชาติของความรักประเภทนี้จะมั่นคง ยืนยาว และเป็นความรักที่ต่างจากรักของคู่รักหรือสามีภรรยา

•  ความรักระหว่างพ่อแม่ลูก อยู่บนรากฐานของความผูกพันทางใจและสายเลือด ที่ก่อรากขึ้นตั้งแต่ลูกยังเป็นก้อนเลือดในครรภ์ ส่วนลูกก็

ต้องการความเอาใจใส่ดูแล ผูกพัน มาแต่อ้อนแต่ออก ในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกนี้ เป็นไปได้ว่าบางครั้งพ่อแม่อาจรู้สึกผิดหวังในตัวลูก

และก็มีบางครั้งที่ลูกแสดงอาการท้าทาย ต่อต้านพ่อแม่ แต่กระนั้นความรักระหว่างกันก็ยังคงอยู่เสมอ แม้ว่าความสัมพันธ์อาจเปลี่ยนไปตาม

กาลเวลา

•  ความรักระหว่างพี่น้อง เป็นความรักที่เกิดจากความผูกพันเช่นเดียวกัน แต่บางครั้ง ก็มีการอิจฉาหรือแข่งขันกันเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะมักจะ

เกิดรุนแรงในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น ซึ่งสามารถทำให้ความรู้สึกดังกล่าวบรรเทาเบาบางลงด้วย การกระชับความสนิทสนม การสร้างความอบอุ่น

และการมีส่วนร่วมในครอบครัว

•  ความรักระหว่างเพื่อน ในวัยรุ่นความรักระหว่างเพื่อนดูจะเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ เพราะวัยรุ่นต้องการการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน เป็นวัยที่ใฝ่

ฝัน อยากมีเพื่อนแท้ที่คาดหวังไว้ว่าจะเป็นเพื่อนแท้กันตลอดไป เพื่อนคือผู้ที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดต่อกันได้โดยไม่มีเงื่อนไข

ไม่หัวเราะเยาะ หรือมีปฏิกิริยาทางลบต่อความคิดของเรา แต่บางครั้งความรักระหว่างเพื่อนต่างเพศก็อาจจะงอกงามเป็นความรักแบบคู่รักได้

แบบที่สอง ความรักฉันท์คู่รัก หรือรักด้วยใจพิศวาสปรารถนาที่เรียกว่า Romantic Love เป็นความรักที่ผสมผสานระหว่างอารมณ์รักใคร่

และความดึงดูดทางด้านสรีระ หรือความเย้ายวนทางร่างกาย ความรักแบบนี้จะทำให้คนรู้สึกอ่อนไหว เปราะบาง และบางครั้งก็สับสน สามารถ

สร้างความรู้สึกตื่นเต้น แต่บางครั้งก็เจ็บปวดรวดร้าว



ภาพจาก www.dollsthailand.com

ความรัก VS ความหลงใหล

ความหลงใหล เป็นความรู้สึกชื่นชอบ สนใจและดึงดูดใจอย่างรุนแรง เมื่อแรกพบประสบเห็น เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเต็มไป

ด้วยความเร่าร้อนกระวนกระวาย เกิดความกระตือรือร้นที่จะเข้าใกล้ อยากเห็นหน้า อยากผูกพันและสาเหตุที่คนบางคนเปลี่ยนคู่รักบ่อย หรือ

ตกหลุมรักบ่อยๆ ก็เนื่องมาจากความต้องการรักษาความรู้สึกตื่นเต้น เร้าใจให้คงอยู่เรื่อยไปนั่นเอง

การตรวจสอบว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความหลงใหลลุ่มหลงหรือเปล่า ก็ด้วยการพิจารณาและถามตัวเองว่าชอบเขาตรงไหน ถ้าเป็น

การชอบแค่คุณลักษณะบางส่วน บางประการ เช่น ประทับใจในบุคลิก ชอบความมีอารมณ์ขัน หรือชื่นชมในความสามารถบางอย่าง ก็ตอบ

ได้เลยว่านั่นเป็นเพียงความหลงใหลเท่านั้น ซึ่งเป็นเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น มิใช่ตัวตนของเขาทั้งหมด คือตระหนักถึงส่วนเสียและ

ข้อบกพร่องทั้งหมดของเขา และสามารถยอมรับได้ สิ่งนี้จะเป็นตัวการทำให้ความรักยืนนานและมั่นคง ในขณะที่ความหลงใหลจะมีขอบขีด

จำกัด เกิดรวดเร็วด้วยเช่นกัน ความหลงใหลทำให้คนขาดเหตุผล และตาบอดกับความเป็นจริง จึงไม่แปลกเลยที่มักจะยุติลงด้วยความผิด

หวังและทุกข์ระทม

ความรักและความริษยาหึงหวง   เป็นความรักที่แฝงด้วยความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ มุ่งหวังและเรียกร้องความรัก ความสัตย์ซื่อจากอีก

ฝ่ายอยู่ตลอดเวลา บุคคลทีมีความรักแบบนี้ส่วนใหญ่เป็นเพราะ ขาดความมั่นใจในตัวเอง ขาดความมั่นคงทางจิตใจ และมีความเป็นเด็กอยู่

ในตัวมาก ทำให้เกิดความรู้สึกหวั่นไหวและหวาดระแวงทุกครั้งที่คนรักอยู่ไกลหูไกลตา ให้เวลากับเพื่อนฝูง ออกไปสังสรรค์กับมิตรสหาย


ข้อความจาก www.teenrama.com
 
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2469 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2553, 15:38:31 »

ความรักเพื่อนมนุษย์

เมื่อเราเห็นคุณค่าของการรักษาความรู้ตื่นและเบิกบานในใจของเรา ด้วยวิธีการรดน้ำพรวนดินเมล็ดพันธุ์แห่งความเบิกบานนี้อย่างสม่ำเสมอ

เราจะเห็นว่าชีวิตของเราจะเป็นอิสระจากความหวาดระแวง จากความลังเลสงสัยและความไม่แน่ใจ เวลาที่เราเห็นใครคนใดคนหนึ่งมานั่งอยู่

ต่อหน้าเรา เราจะรู้ว่าเราจะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะทำให้คนคนนั้นพ้นทุกข์ด้วยการปฏิบัติของเรา เราจะยินดีที่เราจะรับฟังเขา

ด้วยความเข้าใจ เขาจะเป็นบุคคลที่จะรู้ว่าเราจะเป็นเพื่อนกับเขา ไม่ว่าเขาจะกำลังทุกข์หรือกำลังสุขอยู่ก็ตาม การปฏิบัติการอย่างนี้ต้องมา

จากแหล่งแห่งความเข้าใจ ที่เห็นว่าความรักในเพื่อนมนุษย์นั้น เป็นความรักที่สูงสุดในชีวิตของพวกเรา เวลาที่เรารักคนหนึ่งคน เราจะเห็นว่า

ความรักคนหนึ่งคนนั้น จะแผ่ซ่านออกไปอย่างกว้างขวางได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องรักเขาอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น ให้เขาปฏิบัติการอย่างไร เราจะเห็น

ว่าการเปิดใจของเราให้กว้างและว่างพอในการเรียนรู้ที่จะมีความรักอย่างกว้างขวางอย่างนี้ เราจะมีโอกาที่จะใช้ชีวิตของเราอย่างมีคุณค่าด้วย

การเริ่มต้นที่ตัวเราจะไม่ทำให้คนอื่นปวดร้าว เพราะการกระทำของเรา และระดับที่สอง ก็คือเราจะทำให้คนหนึ่งพ้นทุกข์ได้เพราะการปฏิบัติ

การของเรา มาช่วยกันทำให้สังคมมีศานติสุข โดยการปฏิบัติการอย่างคนที่จะรู้จักรักและให้อภัยกับตัวเราเองและคนอื่น นั่นหมายถึงการให้โอ

กาสต่อสังคมของเราด้วย ธรรมสวัสดี  ลงวันที่: Wednesday September 28, 2005 

ข้อความจาก  www.sathira-dhammasathan.org



ภาพจาก new.goosiam.com

      บันทึกการเข้า
vibrato24
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 42

« ตอบ #2470 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2553, 07:18:23 »

สวัสดีวันแห่งความรักและสวัสดีปีใหม่จีนครับ ขอให้เอ๋ มีความรักที่อบอุ่นตลอดไปและขอให้มีสุขภาพแข็งแรงครับ
[/size]น้องพิมวันนี้ไปสอบ pretest ที่สาธิตประทุมวัน แม่บ้านรายงานว่า คนล้นหลามมากๆๆๆ น้องพิมเครียดนิดหน่อยแต่สู้ครับ  จึงรายงายมาเพื่อทราบจ้า
      บันทึกการเข้า
Uncle Na
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2524-2201
คณะ: นิเทศ
กระทู้: 4,957

« ตอบ #2471 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2553, 07:52:51 »

- สวัสดีครับ ดร.เอ๋ สบายดี โครงการลงตัวดีนะครับ
      บันทึกการเข้า

จิตใจที่จุดประกายแล้ว คือทรัพยากรที่ทรงพลังที่สุดบนพิภพ เหนือพิภพ และใต้พิภพ/จิตวิญญาณมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้/ โดย เอพีเจ อับดุล กาลัม/สุวิทย์ วิบูลเศรษฐ์  แปล
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #2472 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2553, 20:28:47 »

อ้างถึง
ข้อความของ vibrato24 เมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2553, 07:18:23
สวัสดีวันแห่งความรักและสวัสดีปีใหม่จีนครับ ขอให้เอ๋ มีความรักที่อบอุ่นตลอดไปและขอให้มีสุขภาพแข็งแรงครับ
[/size]น้องพิมวันนี้ไปสอบ pretest ที่สาธิตประทุมวัน แม่บ้านรายงานว่า คนล้นหลามมากๆๆๆ น้องพิมเครียดนิดหน่อยแต่สู้ครับ  จึงรายงายมาเพื่อทราบจ้า

ป้าไมเชียร์น้องพิมนะจ้ะ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #2473 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2553, 20:32:45 »

ตรุษจีนไปเที่ยวที่ไหนคะเอ๋ บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2474 เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2553, 08:28:09 »

สวัสดีค่ะครูตี๋  เชื่อมั่นว่าหลานพิมต้องทำได้แน่ๆค่ะ

สวัสดีค่ะลุงณะ  รอดูผลตอบรับอยู่ค่ะ พยายามปรับคำถามให้ไม่ง่ายไม่ยากจนเกินไป

สวัสดีค่ะไมโกะ  เรียนหนังสือ สอนหนังสือ ทำงาน ฯ ไม่ได้ไปไหนค่ะ แต่ก็มีความสุขดีนะคะไม่ต้องห่วง



ภาพจาก www.iaddidea.com



 
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 97 98 [99] 100 101 ... 979   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><