27 พฤศจิกายน 2567, 21:20:10
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 93 94 [95] 96 97 ... 979   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ☼☼☼ ร่วมคุยกันในมุมมองของคุณแม่~แวะพักทักทายเอ๋ 24 ☼☼☼  (อ่าน 2798690 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 27 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หนุ่ม2524
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
กระทู้: 1,042

« ตอบ #2350 เมื่อ: 21 มกราคม 2553, 12:11:51 »

แวะเข้ามาอ่านครับ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2351 เมื่อ: 21 มกราคม 2553, 12:36:12 »

(ต่อ)

การกระทำจะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อ

(๑)เด็กนั้นต้องอยู่ในความปกครองดูแลของผู้หนึ่งผู้ใดในขณะที่พราก

(๒)มีการพาไปหรือแยกเด็กไปจากความปกครองดูแลนั้น อันทำให้ความปกครองดูแลถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนทั้งนี้โดยปราศ

จากเหตุอันสมควร

“เพื่อหากำไร”เช่นเอาไปขายให้ทำงานในโรงงาน มีฎีกาที่ ๕๔๐๙/๒๕๓๐ วินิจฉัยว่าพรากเด็กไปเพื่อให้เด็กไปขอทานเงินและให้เด็ก

เก็บหาทรัพย์สินมาให้แก่ผู้พราก เป็นการกระทำไปเพื่อ “หาประโยชน์ในทางทรัพย์สิน” อันเป็นเจตนาพิเศษในการพรากเด็ก จึงเป็นการ

กระทำเพื่อหากำไร เป็นนความคิด ตามมาตรา ๓๑๗ วรรคท้าย  ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีตามมาตรา๓๑๗ วรรคแรก

นั้น แม้เด็กเต็มใจไปด้วยก็มีความผิดและจะพรากด้วยวิธีใดก็ได้ไม่มีข้อจำกัด     หากชายร่วมประเวณีกับหญิง โดยไม่ประสงค์รับหญิง

เป็นภริยาพฤติกรรมของชายเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควรในทางเพศ ตามครรลองธรรมฎีกาที่ ๔๗๓/๒๕๔๓ วินิจฉัยว่าเป็นการกระทำ

“เพื่อการอนาจาร” เมื่อหญิงอายุกว่า ๑๕ ปี แต่ไม่เกิน ๑๘ ปี ชายจึงผิดมาตรา ๓๑๙ วรรคแรก

มาตรา ๓๑๘     “พรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย”

องค์ประกอบภายใน

เจตนาธรรมดา

องค์ประกอบภายนอก (วรรคแรก)

(๑)ผู้ใด     (๒)พรากโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย     (๓)ผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี

องค์ประกอบภายใน

(๑)เจตนาธรรมดา     (๒)เจตนาพิเศษ “โดยทุจริต”

องค์ประกอบภายนอก (วรรคสอง)

(๑)ผู้ใด     (๒)รับตัว ซื้อ จำหน่าย     (๓)ผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก

เหตุฉกรรจ์ตามวรรคสาม

ความผิดตามมาตรานี้ (วรรคแรกหรือวรรคสอง)ได้กระทำโดยมีเจตนาพิเศษ

(ก)เพื่อหากำไร หรือ     (ข)เพื่อการอนาจาร

หากหญิงอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ ทำการสมรสกับชายตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๔๘  หญิงก็บรรลุนิติภาวะตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๐  และเมื่อ

บรรลุนิติภาวะก็ย่อมพ้นภาวะความเป็นผู้เยาว์ บุคคลที่ถูกพรากตามมาตรา ๓๑๘ และมาตรา ๓๑๙ จึงต้องเป็นทั้งผู้เยาว์และทั้งมีอายุสิบ

ห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปี

การพาไปโดยผู้ปกครองดูแล “ยินยอม” ย่อมไม่เป็นการพราก หากเป็นความยินยอมโดยสมัครใจ หากผู้ปกครองดูแลยินยอม แม้ผู้เยาว์ไม่ยิน

ยอมก็ไม่ผิดมาตรา ๓๑๘ ทั้งนี้เพราะไม่เป็นการ “พราก” เสียตั้งแต่ต้นแล้ว ความผิดตามมาตรา ๓๑๘ ต้องเป็นกรณี (๑)พรากและ(๒)ผู้เยาว์

ไม่ยินยอม ทั้งสองกรณีจึงจะเป็นความผิด อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ปกครองดูแลไม่ยินยอม แต่ผู้เยาว์ยินยอมไปด้วย ผู้ที่พาไปก็ไม่ผิดมาตรา ๓๑๘

และจะเป็นความผิดตามมาตรา ๓๑๙ ก็ต่อเมื่อมีการพาผู้เยาว์ที่เต็มใจไปด้วยนั้นไป “เพื่อหากำไร”หรือ “เพื่อการอนาจาร” เท่านั้น

การหลอกลวงผู้เยาว์ เช่น หลอกว่าจะพาไปทำงานในร้านอาหาร แต่กลับพาไปขายให้แก่เจ้าของซ่องโสเภณี จะว่าผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยไม่ได้

เพราะไม่ได้เต็มใจไปค้าประเวณีมาแต่ต้น โดยเต็มใจจะไปทำงานที่ร้านอาหารเท่านั้น ผู้ที่หลอกจึงผิดมาตรา ๒๘๓ วรรคสอง และผิดมาตรา

 ๓๑๘ วรรคสาม (ฎีกาที่  ๒๑๐/๒๕๔๑ และฎีกาที่ ๒๗๒๒/๒๕๒๐)หรือพาผู้เยาว์นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ อ้างว่าจะพาไปส่งบ้าน แต่กลับ

พาไปข่มขืนกระทำชำเรา ถือว่าผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย จึงผิดมาตรา ๓๑๘ วรรคสามและผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามมาตรา ๒๗๖ วรรคแรก



ภาพจาก women.sanook.com




      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2352 เมื่อ: 21 มกราคม 2553, 12:40:57 »

อ้างถึง
ข้อความของ หนุ่ม2524 เมื่อ 21 มกราคม 2553, 12:11:51
แวะเข้ามาอ่านครับ


สวัสดีค่ะหนุ่ม ดีใจที่แวะเข้ามา หวังว่าคงได้รับประโยชน์จากสาระต่างๆบ้างนะคะ






ผลงานของ"บีม"ค่ะ


      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #2353 เมื่อ: 21 มกราคม 2553, 15:59:58 »

สวัสดีค่ะดร.เอ๋ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า
khwan24
Full Member
**


ชีวิตที่อิสระ เป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่หา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2524
คณะ: นิเทศศาสตร์
กระทู้: 978

« ตอบ #2354 เมื่อ: 21 มกราคม 2553, 22:44:25 »

อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 21 มกราคม 2553, 12:40:57
อ้างถึง
ข้อความของ หนุ่ม2524 เมื่อ 21 มกราคม 2553, 12:11:51
แวะเข้ามาอ่านครับ


สวัสดีค่ะหนุ่ม ดีใจที่แวะเข้ามา หวังว่าคงได้รับประโยชน์จากสาระต่างๆบ้างนะคะ






ผลงานของ"บีม"ค่ะ



ดร. เอ๋ ลูกชายเรียนด้านไหนหรอ มีหัวครีเอทดีนะแต่รูปแรกดูน่ากลัวจัง
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #2355 เมื่อ: 22 มกราคม 2553, 05:20:20 »

สวัสดียามเช้าค่ะดร.เอ๋ เข้ารมรอเรื่องเล่าจากดร.เอ๋ค่ะ
 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2356 เมื่อ: 22 มกราคม 2553, 08:30:08 »

สวัสดีค่ะอ้อยและขวัญ ดีใจที่แวะมานะคะ

"บีม"ลูกคนสุดท้องนี่ชอบทางคอมฯ และออกแบบ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีตั้งแต่เล็กๆแล้วค่ะ(คล้าย"น้องสน"ของเรานี่ล่ะค่ะ)

อาจารย์และเพื่อนๆที่อังกฤษจะชอบผลงานของบีมค่ะ มองในแง่เป็นศิลปะนะคะขวัญ

แม่ไม่มีหัวทางศิลปะเลยค่ะแต่ชอบสนับสนุน ส่งเสริม ให้กำลังใจลูกในความคิด จินตนาการของลูกทั้งสามคนตั้งแต่เล็กจนปัจจุบันนี้
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2357 เมื่อ: 22 มกราคม 2553, 09:32:06 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๖๐     คำสอนของท่านพุทธทาส ภิกขุ

พุทธทาสภิกขุ พระนักคิด นักปฏิบัติของสุราษฎร์ธานี ได้เขียนผลงานธรรมมะไว้มากมายเกิน 100 เล่ม และได้แปลเป็นภาษาต่างประเทศ

หลายภาษา คำสอนของท่านได้แพร่หลายเป็นที่ยอมรับทั้งคนไทยและชาวต่างชาติทั่วโลก

น้ำมนต์แท้นั้นคือเหงื่อ

เหงื่อนั่นแหละ คือน้ำมนต์ ให้ผลเลิศ                              

นำให้เกิด ศุขสวัสดิ์ พิพัฒผล                            

น้ำมนต์รด เท่าใด ไม่ช่วยคน

จนกว่าตน จะมีเหงื่อ เมื่อทำจริงฯ                              

จงรักเหงื่อ เชื่อมั่น บากบั่นเถิด

หน้าที่เกิด สมบูรณ์ดี มีผลยิ่ง

เป็นพระเจ้า มาช่วยเรา อย่าประวิง

จะเป็นมิ่ง ขวัญแท้ แก่ทุกคนฯ

พระพุทธองค์ ทรงเคารพ ซึ่งหน้าที่

ดูให้ดี เหงื่อออกมา มหาผล

ใช้บูชา พระพุทธองค์ มิ่งมงคล

สาธุชน มีสุขเหลือ เพราะเหงื่อเอยฯ

                                                      การพึ่งผู้อื่น

                                                      อันพึ่งท่าน พึ่งได้ แต่บางสิ่ง

                                                      เช่นพึ่งพิง ผ่านเกล้า เจ้าอยู่หัว

                                                      หรือพึ่งแรง คนใช้ จนควายวัว

                                                      ใช่จะพ้น พึ่งตัว ไปเมื่อไหร่

                                                      ต้องทำดี จึงเกิดมี ที่ให้พึ่ง

                                                      ไม่มีดี นิดหนึ่ง พึ่งเขาไฉน?

                                                      ทำดีไป พึ่งตัว ของตัวไป

                                                       แล้วจะได้ ที่พึ่ง ซึ่งถาวร

                                                       พึ่งผู้อื่น  พึ่งได้ แต่ภายนอก

                                                      ท่านเพียงแต่ กล่าวบอก หรือพร่ำสอน

                                                      ต้องทำจริง เพียรจริง ทุกสิ่งตอน

                                                      นี้จึงถอน ตัวได้ ไม่ตกจม

                                                      จะตกจน หรือว่า จะตกนรก

                                                      ตนต้องยก ตนเอง ให้เหมาะสม

                                                      ตนไม่ยก, ให้เขายก นั้นพกลม

                                                      จะตกหล่น ตายเปล่า ไม่เข้าการฯ

ความแก่

ความแก่ หง่อม ย่อมทุกลัก ทุเลมาก

ดั่งคนบอด ข้ามฟาก ฝั่งคลอง,

หาวิธีไต่ ไผ่ลำ คลานคลำมา

กิริยา แสนทุลัก ทุเลแล:

ถ้าไม่อยาก ให้ทุกลัก ทุเลมาก

ต้องข้ามฝาก ให้พ้น ก่อนตนแก่

ก่อนตามืด หูหนวก สะดวกแท้

ตรองให้แน่ แต่เนิ่นๆ รีบเดินเอยฯ


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจากwww.oknation.net

                                              

      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2358 เมื่อ: 22 มกราคม 2553, 10:10:57 »

(ต่อ)

อต ตา หิ อต ตโน นาโถ

มิใยใคร จะพึ่ง ซึ่งพระเจ้า

แต่พวกเรา ชาวพุทธ ศาสนา

ผู้เชื่อฟัง โอวาท พระศาสดา

พึ่ง ธรรมา คือพึ่ง ซึ่งตัวเอง

ประกอบกรรม นำมา ซึ่งโภคผล

ตั้งแต่ต้น จนปลาย ได้เหมาะเหม็ง

ทั้งทางโลก ทางธรรม ก็ยำเกรง

ถือเลบง สร้างตัว อยู่ทั่วกัน

อต ตา หิ อต ตโน นาโถ

แปลว่า “ตัวพึ่ง ตัว” แน่, ถ้าปิดผัน

เป็นอื่นไป  วนเวียน พาเหียรครัน

พึ่งเขานั้น  ไม่ “หนึ่ง” เหมือนพึ่งตัวฯ

                                                 ปิด-ปิด-ปิด

                                                 ปิด ปิด ตา :  อย่าสอดส่าย ให้เกินเหตุ

                                                 บางประเภท แกล้งทำบอด ยอดกุศล

                                                 มันสอดรู้ สอดเห็น จะเป็นคน

                                                 เอาไฟลน ตนไป จนไหม้พอง;

ปิด ปิด หู :  อย่าให้แส่ ไปฟังเรื่อง

ที่เป็นเครื่อง กวนใจ ให้หม่นหมอง

หรือเร้าใจ ให้ฟุ้งซ่าน พาลลำพอง

ผิดทำนอง คนฉลาด,อนาถใจ ;

ปิด ปิด ปาก : อย่าพูดมาก เกินจำเป็น

จะเป็นคน, ปากเหม็น เขาคลื่นใส้

ต้องเกิดเรื่อง เยิ่นเย้อ เสมอไป

ถ้าหุบปาก มากไว้ ได้แท่งทองฯ

เปิด-เปิด-เปิด

เปิด-เปิด-ตา :  ให้รับแสง แห่งพระธรรม

ยิ่งมืดค่ำ ยิ่งเห็นชัด ถนัดถนี่

สมาธิมาก ยิ่งเห็นชัด ถนัดดี

นีวิธี เปิดตาใจ ใช้กันมาฯ

เปิด-เปิด-หู : ให้ยินเสียง สำเนียงธรรม

ทั้งเช้าค่ำ มีก้องไป ในโลกหล้า

ล้านล้านปี ฟังให้ชัด เต็มอัตรา

คือเสียงแห่ง สุญญสตา ค่าสุดใจฯ

เปิด-เปิด-ปาก : สนทนา พูดจาธรรม

วันยังค่ำ, อย่าพูด เรื่องเหลวไหล

พูดแต่เรื่อง ดับทุกข์ได้ โดยสัจจนัย

ไม่เท่าไร เราทั้งโลก พ้นโศกแลฯ

                                                      เผาตัวเอง

                                                      ร้ายอะไร ไม่ร้ายเท่า จะเอาดี

                                                      เป็นธุลี จับจิต เกิดริษยา

                                                      ชิงดีแล้ว อวดเด่น เห็นออกมา

                                                      ตัวกูจ้า บ้าคลั่ง สังเวชใจ

                                                      สร้างนรก เป็นที่อยู่ เพราะเหตุนี้

“ตัวกูดี, ตัวกูเด่น” เห็นหรือไม่

กลัวหมดดี  จุดจี้ ให้เกิดไฟ

“เผาตัวเอง” ต่อไป เศร้าใจเอยฯ

ชั่วในดี

ส่วนที่ชั่ว มีกลั้ว อยู่ในดี

คือดีมี เลศยั่ว ให้มัวหลง

ไม่ค่อยสอน ไม่ค่อยเตือน อาจเฟือนลง

สอนไม่ลึก สอนไม่ตรง จึ่งหลงดี

ยั่วให้หลง ในดี-ดี เป็นผีบ้า

ไม่นานหนอ ต่อมา ก็สิ้นศรี

ดีมันสอน ไม่ค่อยจะ ถูกวิธี

ยึดมั่น “ดี” แล้วยิ่งยาง จะจากวาง

ยิ่งมีดี ก็ยิ่งมี คนรบกวน

หลายกระบวน หลายวิธี ไม่มีสร่าง

พวกริษยา ก็หาช่อง จ้องจิตล้าง

มองดูบ้าง ชั่วในดี มีอยู่เน้อฯ

ดีในชั่ว

ส่วนที่ดี มีซ่อน อยู่ในชั่ว

ซึ่งสอนให้ เต็มตัว ไม่ยั้งท่า

มันสองอย่าง เจ็บช้ำ เป็นธรรมดา

แต่มันสอน ลึกกว่า เมื่อได้ดี

ชั่วมันสอน มากกว่า หรือจริงกว่า

มันสอนได้ ดีกว่า ความสุขศรี

สอนดีกว่า ให้กลับตน จนถูกวิธี

เกลียดกลัวชั่ว กว่าก่อนนี้ ดีอย่างจริง

ให้ศรัทธา วิ่งหา พระศาสนา

เรียนสิกขา ภาวนา เป็นอย่างยิ่ง

สัตว์นรก หมกอยู่ ยังรู้ติง

ตัวของตัว เพราะชั่วสิง สอนรุนแรง


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจากwww.rayongwit.ac.th



      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2359 เมื่อ: 22 มกราคม 2553, 13:59:36 »

น้องชายคนเดียว คนสุดท้องค่ะ ชื่อรุจน์ (เอ้)..ใช้ชีวิตอยู่อเมริกาเกือบ20ปีแล้ว



      บันทึกการเข้า
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #2360 เมื่อ: 22 มกราคม 2553, 20:43:16 »

สวัสดีค่ะเอ๋เราก็เข้ามาอ่านนะ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2361 เมื่อ: 23 มกราคม 2553, 11:09:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ Lamai เมื่อ 22 มกราคม 2553, 20:43:16
สวัสดีค่ะเอ๋เราก็เข้ามาอ่านนะ ปิ๊งๆ

ดีใจที่แวะมาค่ะไมโกะ สบายดีนะคะเพื่อน
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2362 เมื่อ: 23 มกราคม 2553, 11:51:01 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๖๑     คลายทุกข์ คลายเครียด

จากหนังสือ ชมรมผู้ปฏิบัติธรรมสำนักงานศาลยุติธรรม

ฝึกคิดแต่สิ่งที่ทำให้สบายใจ

โดยปกติจิตใจคนเราย่อมไม่ค่อยอยู่กับตัว ชอบนึกคิดปรุงแต่งไปถึงคนอื่น สิ่งอื่นหรือเรื่องราวต่างๆ ทั้งที่เป็นอดีตบ้าง อนาคตบ้าง จนทำให้

เกิดความทุกข์ใจ เช่นความกังวลใจ ความไม่สบายใจ เป็นต้น ที่จะนึกคิดให้เกิดความสุขใจไม่ค่อยมี ดังนั้น ต้องฝึกฝนให้คิดนึกในเรื่องที่สุข

ใจ สบายใจ โดยการหาวิธีเอาความสุขมาแทนที่ความทุกข์เสียก่อน

ฝึกคิดตัดให้สั้น

เมื่อมีเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจมากระทบใจ จิตใจก็จะไม่ผ่องใส มีความไม่สบายใจ มีความกังวลใจหรือมีความทุกข์ใจ จึงต้องหาวิธีทำให้ความ

ทุกข์ใจนั้นผ่อนคลายหรือปลงใจไปได้บ้าง เช่น คิดว่าช่างมันเถอะเราคงทำกรรมกับเขามาก่อน หรือคิดว่าช่างมัน นึกเสียว่าให้ทานไปก็แล้ว

กัน หรือคิดว่าช่างมันเถอะมันแตกไปแล้ว หรือเสียหายไปแล้วคิดไปก็ไม่มีประโยชน์ หรือคิดว่าช่างเถอะ เขามีความรู้ความสามารถแค่นี้เองหรือ

คิดว่าช่างมันเถอะ เขามีบุญมาแค่นี้เอง หรือคิดว่าช่างเถอะต้องค่อยๆ แก้ไขกันไป เป็นต้น ซึ่งแล้วแต่จะหาอุบายคิดหรืออุบายพูดให้เกิดความ

สบายใจ จะได้ไม่ทุกข์ใจอยู่นาน

หางานอดิเรกทำ

โดยปกติคนเราถ้าอยู่ว่างๆไม่มีอะไรทำก็จะคิดนึกปรุงแต่งฟุ้งซ่านไปในประการต่างๆ นานา มักจะหาเรื่องทุกข์มาใส่ตัวดังนั้น จึงต้องหางานอดิ

เรกในสิ่งที่ชอบใจทำ เช่น เล่นกีฬา เลี้ยงสัตว์ เช่นสุนัข แมว เลี้ยงไม้ประดับ ปักผ้า เป็นต้น แต่งานอดิเรกนี้ จะต้องไม่ก่อทุกข์ใส่ตัว เช่นสะสม

ของที่มีราคาแพงจนหมดเงินหมดทอง  ดูโทรทัศน์หรือฟังเพลง  ดูละครน้ำเน่าหรือตลกเสียบ้าง หรือฟังเพลง ร้องเพลงเสียบ้าง ก็จะทำให้

ผ่อนคลายความตึงเครียดไปได้มาก  ถ้าดูหรืออ่านแต่ข่าวสารบ้านเมืองหรือข่าวอาชญากรรมเพียงอย่างเดียว ก็อาจจะเพิ่มหรือสั่งสมความ

เครียดยิ่งขึ้น

ไม่พูดแต่เรื่องเครียดๆ

ไม่คิดหรือพูดแต่ในแง่ลบของคนอื่นหรือสิ่งอื่น หรือเอาแต่ตำหนิติเตียนผู้อื่นหรือสิ่งอื่น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ สิ่งของหรือแม้แต่ลมฟ้าอากาศ จะทำ

ให้ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย และจะทำให้ตนเองมีแต่ความเครียด ขี้บ่น ขี้จู้จี้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะน้อยลง และต้องไม่ตำหนิตัว

เองจนเกิดเป็นความเครียดหรือขาดความเชื่อมั่นตัวเองด้วย


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจาก www.oknation.net



      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2363 เมื่อ: 23 มกราคม 2553, 11:57:27 »

(ต่อ)

ฝึกเป็นผู้ให้ไม่ใช่เอาแต่ได้

ฝึกปล่อยวางเสียบ้าง หรือฝึกตัดใจสละสิ่งต่างๆ โดยฝึกจากเรื่องง่ายๆ มาก่อน เช่น สละของที่ไม่ใช้แล้วไปให้คนยากจนหรือผู้ที่มีความจำ

เป็นต้องใช้ บริจาคเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่ไม่ใช้แล้วให้แก่ญาติพี่น้องที่ยากจนกว่า ต่อไปฝึกบริจาคให้แก่คนยากจนคนอื่นๆ บริจาคหนังสือเก่าของ

ใช้ที่ไม่ได้ใช้แล้วให้แก่ผู้ที่ต้องการ จะทำให้ใจเป็นสุข ยิ่งเมื่อได้เห็นผู้รับมีความสุขใจยินดีปรีดาอย่างยิ่ง ก็จะทำให้เรามีความสุขใจมาก การ

ให้หรือบริจาคสิ่งของใด ต้องทำกับผู้ที่เขามีความต้องการ มิฉะนั้น เมื่อเห็นผู้รับไม่เต็มใจรับหรือทิ้งขว้างสิ่งของที่เราบริจาค ก็จะทำให้เรา

เกิดความเสียใจได้  ความสุขจากการเป็นผู้ให้ จะดื่มด่ำไปนาน แต่ความสุขจากการเป็นผู้รับหรือเอาแต่ได้ จะสุขไม่นาน แล้วก็อยากจะได้

เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นความทุกข์

ฝึกไม่ตามใจตัวเอง

ฝึกตัดใจจากสิ่งที่ทำได้ง่ายก่อน เช่น อยากจะกินอาหารราคาแพงหรืออยากจะไปเที่ยว หรืออยากจะสะสมของสิ่งใดเพิ่ม หรืออยากจะได้เครื่อง

แต่งตัวใหม่ เช่น เสื้อผ้า รองเท้า น้ำหอม เครื่องประดับ ถ้ามีพอแล้วก็ตัดใจเสียบ้าง

ฝึกแก้นิสัยตัวเอง

นิสัยหรือสันดานของตัวเองจะพาไปหาทุกข์บ่อยๆ เช่น มีนิสัยเป็นคนเจ้าอารมณ์ โกรธง่าย ใจร้อนใจเร็ว ก็จะเกิดความขัดใจ ไม่ได้ดังใจเป็น

ความเครียด เกิดอารมณ์เสียบ่อยๆ หรือมีนิสัยใจน้อย เจ้าคิดเจ้าแค้น ก็เก็บมาคิดให้ขุ่นใจแค้นเคืองใจ บางครั้งถึงขั้นผูกใจเจ็บหรืออาฆาต

พยาบาทขึ้นมา หรือมีนิสัยมักมากในกามคุณ ต้องดิ้นรนทะยานอยากเพื่อให้ได้มาในรูปรส กลิ่นเสียง สัมผัส หรืออารมณ์ที่ชอบใจ แล้วก็ชอบ

คิด ชอบพูด หรือชอบฟัง หรือชอบสัมผัสในสิ่งก่อให้เกิดอารมณ์  เมื่อรู้ตัวว่ามีนิสัยอย่างไร ก็ต้องพยายามหาวิธี หาอุบายหรือเทคนิคของตน

เอง เพื่อจะค่อย ๆ แก้ไขนิสัยของตนให้เบาบางลงไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ฝึกไปโดยไม่ทำตามใจอยาก เช่น อยากคิด อยากพูด อยากดู อยากฟัง

อยากสัมผัส หรืออยากทำ ก็หักห้ามใจ ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำไป ตามใจอยาก

ฝึกให้อภัยไม่ถือสา

ฝึกหัดให้อภัยไม่ถือสาผู้อื่น จนถึงคนใกล้ตัว เช่น สามีหรือภรรยา ซึ่งคนใกล้ตัวกลับให้อภัยหรือไม่ถือสายากที่สุดต้องฝึกให้อภัย ไม่ถือสาตั้ง

แต่เรื่องง่ายๆไปก่อน อย่าเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาเป็นเรื่องใหญ่ไปทุกเรื่อง สามีหรือภรรยาจะเป็นเครื่องมือวัดความก้าวหน้าในการฝึกจิตของ

เราได้เป็นอย่างดี คือ ถ้าทะเลาะเบาะแว้งกันหรือหงุดหงิดรำคาญใจกันน้อยลงไปเรื่อยๆ แสดงว่าการฝึกจิตของเรามีความก้าวหน้าดีขึ้น

ทำบุญทำกุศล

ฝึกใจให้เริ่มใฝ่ในการบุญการกุศล เช่น ทำบุญ ใส่บาตร ฟังธรรม อ่านหนังสือธรรมะเสียบ้าง ฝึกทำความดีขึ้นเรื่อยๆและพยายามละความชั่ว

จิตใจจะเริ่มอ่อนโยนลง  เริ่มสวดมนต์ไหว้พระทำสมาธิบ้าง ใจก็จะเริ่มมีความสงบร่มเย็นขึ้น

สำรวมอินทรีย์

ให้สำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อมิให้จิตต้องดิ้นรนเร่าร้อนทะยานอยาก เป็นไฟราคะ ไฟโทสะพยาบาท หรือเป็นไฟโมหะมา

เผาใจ


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจาก nawanoey.spaces.live.com

      บันทึกการเข้า
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #2364 เมื่อ: 23 มกราคม 2553, 19:40:00 »

อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 23 มกราคม 2553, 11:09:42
อ้างถึง
ข้อความของ Lamai เมื่อ 22 มกราคม 2553, 20:43:16
สวัสดีค่ะเอ๋เราก็เข้ามาอ่านนะ ปิ๊งๆ

ดีใจที่แวะมาค่ะไมโกะ สบายดีนะคะเพื่อน

สบายดีค่ะเอ๋
วันนี้เราได้ต้อนรับน้องยน พากันไปหาจิ้งจกที่ลำพูนค่ะ






      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2365 เมื่อ: 24 มกราคม 2553, 09:26:14 »

สบายดีทุกคนนะคะ คิดถึงเพื่อนๆจังเลยค่ะ จิ้งดูผอมลงรึเปล่าคะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2366 เมื่อ: 24 มกราคม 2553, 09:37:25 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๖๓     อัจฉริยะ

คนเราส่วนใหญ่ได้ใช้อัจฉริยภาพที่มีอยู่ในตัวเพียง๑%เท่านั้น การศึกษาจึงน่าจะมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยอัจฉริยภาพที่แฝงเร้นทั้งมวล

ของมนุษย์ออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด  การศึกษานีโอฮิวแมนนิส (Neo Humanist Education) คือการศึกษาที่มุ่งจะพัฒนาอัจฉริยภาพ

แฝงเร้นในตัวเด็กทุกคนให้ปรากฏออกมาให้ได้มากที่สุด  การศึกษาสำหรับคนรุ่นใหม่นี้ จะพัฒนาเด็กให้เป็นคนที่สมบูรณ์ในทุกๆด้านมิใช่

เป็นเพียงการป้อนเนื้อหาวิชาการและข้อมูลต่างๆ หรือเป็นเพียงการฝึกหัดนักเรียนให้ตอบคำตอบ “ถูก” หรือ “ผิด” ให้ถูกใจครูผู้สอนเพื่อ

ที่จะได้คะแนนดีๆเท่านั้น  ส่วนที่ลึกที่สุดและละเอียดอ่อนที่สุดของชีวิต เรียกว่าจิตเหนือสำนึก (Super conscious mind) ซึ่งเป็น

แหล่งของพลังงานความรอบรู้ความคิดสร้างสรรค์และความปิติสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ ผลจากการวิจัยจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่า

การฝึกความสมดุล จังหวะและการทำงานที่สัมพันธ์กันของอวัยวะต่างๆของการออกกำลังกายมีผลอย่างใหญ่หลวงต่ออารมณ์ ความรู้สึกและ

พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก  มีการค้นพบว่าการเคลื่อนไหวอย่างว่องไวของนิ้วมือ มีความสัมพันธ์อย่างมากกับการพูดจาชัดถ้อยชัด

คำและความคิดอันฉับไวของเด็ก  การบริหารร่างกายที่เรียกว่าโยคะอาสนะ ซึ่งเป็นท่าการบริหารทั้งอวัยวะภายนอกและภายในของคนเรา

ผู้ปฏิบัติจะต้องมีการเคลื่อนตัวด้วยลีลาที่นุ่มนวลช้าๆ ควบคู่ไปกับการหายใจลึกๆ มีการสงบนิ่งไม่ไหวติงสลับเป็นช่วงๆ ซึ่งอาสนะเหล่านี้

นอกจากจะช่วยบริหารต่อมไร้ท่อต่างๆ ให้ขับฮอร์โมนออกมาได้เป็นปกติแล้ว ยังช่วยให้กล้ามเนื้อและประสาทผ่อนคลายได้อย่างดียิ่งอีกด้วย

ท่าอาสนะต่างๆ เช่นทำกระต่ายป่า ท่างูเห่า ท่าปลา ท่าดอกบัวฯเป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งสำหรับการระบายพลังงานที่มีเหลือเฟือสำหรับเด็กที่

อยู่ไม่ค่อยสุขอีกด้วย หลังจากได้ฝึกแล้วมักจะกลายเป็นเด็กทีซนน้อยลงและมีความสำรวมมากขึ้น

ผลการวิจัยพบว่า

-ความไม่สบายใจ ความสะเทือนใจความผิดปกติทางอารมณ์ต่างๆ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ภูมิคุมกันเชื้อโรคต่างๆ ที่เป็นอันตรายแก่ร่าง

กาย เช่น เชื้อไวรัสและแบคทีเรีย มีประสิทธิภาพน้อยลง

-คนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้และมีอารมณ์รุนแรง มีโอกาสมากที่จะเป็นโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น มะเร็ง ความดันโลหิตสูงโรคหัวใจฯ

-คนที่ต้องข่มหรือเก็บความโกรธอยู่เสมอ มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งที่เต้านมสูง

-ความกลัว ความวิตกกังวล เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้บาดแผลใหญ่ๆ หายช้าและทวีความเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น


สาระสำคัญจาก  หนังสือสอนให้เป็นอัจฉริยะตามแนวนีโอฮิวแมนนิส โดยเกียรติวรรณ อมาตยกุล

ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจาก www.chatrisayoga.com


      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2367 เมื่อ: 24 มกราคม 2553, 09:42:47 »

(ต่อ)

คนเราจะมีความสามารถในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ได้ด้วยตัวเองสูง ถ้าเรามีสุขภาพจิตที่ดีมีจิตใจที่ร่าเริง เบิกบาน สดใส มีความ

รัก ความปรารถนาดีให้แก่ตัวเองและผู้อื่น  มาเรีย มองเตสซอรี (Maria Montessori) นักจิตวิทยาการศึกษาเด็กชื่อดัง ได้เคยบันทึกถึง

การมีสมาธิและความสนุกสนานในการใช้ประสาทสัมผัสของเด็กๆ ไว้ว่า “ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นเด็กหญิงอายุประมาณ 3 ขวบคนหนึ่งกำลัง

วุ่นอยู่กับการใส่และถอดกล่องไม้ออกจากที่เก็บซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยความสนใจอย่างแรงกล้า ข้าพเจ้าค่อยๆ ยกเก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ไปวางบนโต๊ะ

อีกตัวหนึ่งเด็กน้อยยังคงทำกิจกรรมของเธอต่อไปอย่างสนุกสนานเหมือนกับว่าไม่รู้สึกเลยว่ามีใครมารบกวนเธอ”  สำหรับเด็กเล็กๆ แล้วกิจ

กรรมการใช้ประสาทสัมผัสและอวัยวะต่างๆในการรับความรู้สึกเป็นสิ่งที่ให้ความสุขแก่เด็กอยู่ในตัวแล้ว  ในช่วง 5 ปีแรกของชีวิต เซลล์ประ

สาทของคนเราจะมีการพัฒนาสูงสุดและจะพัฒนาได้ต่อเมื่อเด็กได้มีโอกาสใช้ประสาทสัมผัสในการรับรู้ความรู้สึกจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวการ

ที่เด็กได้มีโอกาสปะทะสังสรรค์สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่แปลกใหม่ก็ยิ่งจะทำให้เด็กมีสติปัญญาสูงขึ้น มีความสามารถในการรับรู้สิ่งต่างๆได้ง่าย

ขึ้น  ตัวอย่างการทดลองหนึ่งที่ทำกับแมว “ลูกแมวตัวหนึ่งได้รับการเลี้ยงดูอยู่แต่ในห้องที่ผนังมีแต่ลายริ้วในแนวตั้ง เมื่อโตขึ้นปรากฏว่า แมว

ตัวนี้สามารถเห็นได้เฉพาะสิ่งต่างๆในแนวตั้งคือ แมวสามารถวิ่งหลบขาเก้าอี้ได้ แต่หัวชนกับไม้แนวนอนที่ยึดขาเก้าอี้”  การเลี้ยงดูอย่างถูก

ต้องในสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย อาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กบางคนเติบโตขึ้นเป็นคนทีมีพรสวรรค์ในหลายๆ ด้าน เช่น ดนตรี กีฬา

 ศิลปะฯ

การยัดเยียดความรู้ทางวิชาการที่มักเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นนามธรรมและสัญลักษณ์ต่างๆ แก่เด็กก่อนวัยอันสมควร นอกจากจะทำให้เด็กเกิด

ความเบี่อหน่ายต่อการเรียนในโรงเรียนแล้ว ยังเป็นการจำกัดความสามารถในการรับรู้ทางสมองของเด็กอีกด้วย โรงเรียนนีฮิวแมนนิสทั้งหลาย

จึงจัดสิ่งแวดล้อมที่หลากหลายในทุกๆ สาขาวิชาที่เกี่ยวพันกับชีวิตเช่น ศิลปะ ดนตรี กีฬา ธรรมชาติศึกษา การทำครัว เกม เพื่อสนองต่อการ

พัฒนาความสามารถในการรับรู้ทางสมองของเด็ก เด็กๆ จะมีกิจกรรม เกมง่ายๆ สนุกสนานมากมาย ที่มีโอกาสได้ใช้ประสาทสัมผัสกับสิ่งแวด

ล้อมภายนอก และแน่นอนเด็กส่วนใหญ่ที่เติบโตขึ้นมาในบรรยากาศของการเรียนรู้เช่นนี้ มักจะกลายเป็นคนที่มีสติปัญญาสูงไหวพริบดีมีความ

สามารถในการเรียนรู้สูงในหลายๆด้าน และมีความคิดสร้างสรรค์สูง ได้มีการทดลองทีมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน โดยให้เด็กที่มีสติปัญญาค่อน

ข้างต่ำได้รับการศึกษาแบบใหม่ ในท่ามกลางสิ่งแวดล้อมทีหลากหลาย ปรากฏว่าในเวลา ๑๘ เดือน มีเด็กหลายคนที่มี IQ เพิ่มขึ้นถึง ๔๖ จุด

ซึ่งเกือบเรียกได้ว่าเป็นเด็กทีมีความสามารถพิเศษ



จากหนังสือสอนให้เป็นอัจฉริยะตามแนวนีโอฮิวแมนนิส โดยเกียรติวรรณ อมาตยกุล

ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจาก www.chatrisayoga.com

      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2368 เมื่อ: 24 มกราคม 2553, 10:04:01 »

เคล็ดลับการเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กอัจฉริยะของสังคม

เด็กเก่ง  เด็กฉลาด  เด็กดีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้  พ่อแม่ทุกคนย่อมต้องการให้เกิดขึ้นกับลูก ๆ ทุกคนโดยเฉพาะเด็กที่แสดงความอัจฉริยะออกมา

ได้อย่างแตกต่างย่อมส่งผลดีให้กับเด็กอย่างมากมาย  แต่  "ความเป็นอัจฉริยะ"  นั้นยังเป็นคำจำกัดความที่กว้างซึ่งเด็กหลาย ๆ คนอาจจะมี

ความเป็นอัจฉริยะที่แตกต่างกันไป  บางคนคิดเก่ง  คิดเร็วร้องเพลงเก่ง  ประดิษฐ์เก่ง  จึงขึ้นอยู่กับว่าแววการแสดงออกตั้งแต่วัยเยาว์ที่พ่อ

แม่มีส่วนสร้างนั้นเด็ก ๆ จะแสดงออกในรูปแบบใด

น.พ.บัณฑิต  ศรไพศาล  ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์  กรมสุขภาพจิตกล่าวถึงวิธีการเลี้ยงดูลูกให้เป็นเด็กอัจ

ฉริยะว่าต้องทำให้เต็มที่อย่างเป็นระบบเริ่มตั้งแต่ช่วงที่รู้ว่าพ่อแม่ต้องการมีลูกจึงต้องมีการวางแผนตั้งครรภ์ที่ควรได้รับคำแนะนำของแพทย์

อย่างใกล้ชิด  เมื่อตั้งครรภ์ต้องบำรุงทั้งทางร่างกายและจิตใจทั้งแม่และลูกอย่างสมวัยเพราะความฉลาดอัจฉริยะนั้นขึ้นอยู่กัยแต่ละบุคคลเป็น

หลัก  วัยทารก  อาหาร  ความรัก  ความอบอุ่น  การสัมผัส  การแสดงออก  หนาว  หิว  โกรธ  เด็ก ๆ จะเรียนรู้ได้ทั้งหมดในแต่ละช่วงวัย  พ่อ

แม่จึงควรให้การดูแลลูกด้วยตนเองให้มากที่สุดด้วยการให้อาหารที่ถูกหลักโภชนาการ  ให้ความรักความอบอุ่น  การกอด  อุ้ม  ลูบไล้สัมผัส

เหล่านี้  การแสดงกิริยาท่าทางจะสื่อไปถึงลูกตั้งแต่แบเบาะ  เมื่อหนาวก็มีคนรู้ใจมาห่มผ้า  เมื่อหิวก็มีคนป้อน  ไม่ปล่อยให้นานจนทนไม่ไหว  

ความโกรธ  ความไม่เอาใจใส่ของพ่อและแม่  ตลอดจนการแสดงออกถึงกิริยาต่าง ๆ การพูดจา  ท่าทางหน้าตาที่ถือเป็นภาษากาย  เด็กก็เรียน

รู้จดจำได้ทั้งสิ้นจึงควรพึงระวังให้มากที่สุดเพราะการปฏิบัติต่าง ๆ ของพ่อและแม่  ปู่ย่าตายายหรือพี่เลี้ยงเป็นพื้นฐานให้เด็ก ๆ เรียนรู้ได้ทั้งสิ้น

วัย  3-5  ปี  ช่วงนี้เด็กจะกินเล่น  เต้น  วาด  นั่นคือจะเริ่มหัดให้มีการเคารพกติกา  แต่ไม่ใช่ไปปิดกั้นการแสดงออกของเด็ก ๆ ดูเหมือนเป็น

การจดจำไม่ให้กล้าคิด  กล้าตัดสินใจ  ช่วงนี้จึงควรปล่อยให้เด็กได้แสดงออกถึงศักยภาพทางอารมณ์สุนทรีย์ให้มากที่สุด  ไม่ว่าจะเป็นจินตนา

การทางด้านศิลปะ  ดนตรี  วาดฝันให้เด็กปลดปล่อยความคิดอย่างอิสระ  สร้างวินัยที่เป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคมอันนำไปสู่การอด

ทนสู้งาน  รู้จักประหยัดอดออมไม่ฟุ่มเฟือย  ตั้งแต่ของเล่น  กระดาษ  ดินสอ  ยางลบ  สอนให้รู้จักความพอเพียง  สุขใจที่ใช้น้อยไม่สิ้นเปลือง  

ฉลาดที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์

วัยเรียน  สอนหรือฝึกให้เด็กใผ่เรียนรู้ไม่ต้องรอให้บอก  นักประดิษฐ์หลาย ๆ คน  ก่อเกิดความอัจฉริยะด้วยการฝึกจากของเล่นเด็ก  "ผู้ใหญ่ควร

ให้คำแนะนำมากกว่าการชี้แนะ"  ดังคำกล่าวในทำนองที่ว่า  "สอนวิธีจับปล่ากับการทำปลาให้กิน"  จะส่งผลให้เด็กได้เกิดพัฒนาการที่แตก

ต่างกันไป ส่วนช่วง "วัยรุ่น" ควรเปิดโดกาสให้ฉลาดคิดฉลาดทำ คิดให้เป็น เพราะทุกปัญหาล้วนมีทางออกทั้งสิ้น ได้หลายช่องทาง จึงคิดตรึก

ตรองให้รอบคอบ ทำแล้วอย่าเบื่อหน่าย แต่ก็ไม่คุยโม้โอ้อวดตนเอง สอนให้เข้าใจรูปธรรมการปฎิบัติตนให้สอดคล้องกับสังคมว่าทุกอย่างทุกกิจ

กรรมการปฎิบัติล้วนเกิดปัญหาให้ทดสอบแก้ไขอันนำไปสู่สติปัญญาประสบการณ์ ความชำนาญได้ทั้งสิ้น

"ฉลาดสัมพันธ์  ฉลาดใจ  สุขใจ  เก่ง  ดีมีสุข"  นั่นคือให้เด็กได้เรียนรู้สังคมอย่างมีความสุขภายใต้คำแนะนำที่ใกล้ชิดของพ่อแม่เริ่มตั้งแต่ความ

สัมพันธ์ในครอบครัวญาติมิตรก่อนที่จะขยายวงกว้างออกไปเพื่อสอนให้เด็กรู้ว่าทุกคนย่อมอยากอยู่ในสังคม  เก่งอัจฉริยะเพียงใดแต่อยู่ในสังคม

ไม่ได้ก็ไร้ซึ่งความสำเร็จ  จนส่งผลกระทบต่อทางด้านจิตใจ  ใจไม่เปิดกว้างไม่ยอมรับ  เกิดอคติ  เห็นผู้อื่นเป็นผู้ที่ด้อยกว่าตนเอง  ความดูถูกก็

จะเกิดขึ้นในจิตใจ  สอนให้มีความเมตตา  มีจริยธรรม  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ตั้งแต่เด็กได้เริ่มเรียนรู้จะเป็นการดีอย่างยิ่ง

แพทย์หญิงจริยา  ศาสตรสาธิต  กุมารแพทย์  โรงพยาบาลสุขุมวิท  แนะนำถึงวิธีปฏิบัติในการเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กอัจฉริยะไว้อย่างน่าสนใจว่า  

ควรเริ่มปฏิบัติตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ให้แม่และลูกอารมณ์ดี  เพราะหากพ่อแม่เป็นคนอารมณ์ดีก็จะเป็นพื้นฐานให้ลูกที่เกิดมามีความเป็นคนเก่งเป็น

อัจฉริยะได้มากกว่า  ส่วนพื้นฐานการเลี้ยงลูกก็ให้ปฏิบัติเหมือนทั่ว ๆ ไปนั่นคื่อให้ถูกหลักอนามัย  อาหารครบ  5  หมู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมแต่

ละช่วงวัย  พ่อแม่ควรดูแลโดยตรงให้มากที่สุดเพราะลูกจะเกิดความอบอุ่นได้มากกว่าที่จะอยู่กับผู้อื่นเป็นการปลูกฝังหลาย ๆ ด้านให้กับลูกได้

อย่างน่าเชื่อ  แต่ปัจจุบันพ่อแม่กลับไม่มีเวลาให้ลูก  ปล่อยให้อยู่กับปู่ย่าตายายหรือพี่เลี้ยงเพื่อนบ้านจึงควรแนะนำวิธีการเลี้ยงการดูแลเช่น

เดียวกับที่อยู่กับพ่อแม่ให้มากที่สุด

สิ่งสำคัญพ่อแม่ควรเรียนรู้เรื่องพัฒนาการของเด็กก่อนที่วางแผนตั้งครรภ์  อาศัยการสังเกตถึงความสามารถพิเศษเพราะเด็กแต่ละวัยจะมีพัฒ

นาการที่แตกต่างกันไป  พ่อแม่จึงควรปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับการพัฒนาของเด็ก ๆ ด้วย  เช่น  ของเล่นจะกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้มากใน

ช่วงนี้อีกทั้งเด็กยังต้องการความอบอุ่น  ต้องการเรียนรู้  การสัมผัสการโอบกอด  วิธีการปฏิบัติด้วยการเล่นกับลูก ๆ จึงเป็นวิธีการที่ดี  การถาม

ในสิ่งที่เด็ก ๆ สงสัย  คำตอบว่า  "ไม่รู้  ไม่มีเวลา"  จากพ่อแม่ไม่ควรนำไปปฏิบัติกับลูก ๆ แต่ควรเปลี่ยนเป็นคำแนะนำให้ค้นหาคำตอบจากที่

ใดหรือจะช่วยหาคำตอบให้โดยจะไปสอบถามกับผู้รอบรู้แล้วจึงค่อยมาบอกในภายหลังน่าจะเป็นข้อปฏิบัติที่ดีกว่า

เด็กบางราย  "อัจฉริยะด้านความชอบ"  การได้สัมผัส  การได้ฟังเสียงดนตรี  เครื่องดนตรี  การร้องเพลง  การได้เห็น  ได้ประดิษฐ์คิดค้นเมื่อ

ทำได้ดีก็จะเป็นการสร้างความมั่นใจ  ภูมิใจ  การสร้างรอยยิ้มอย่างมีความสุข  การให้รางวัล  เสียงชมเชย  เสียงปรบมือจะดีมากกว่าหากเด็ก

ปฏิบัติได้สำเร็จ  แต่ควรหลีกเลี่ยงอารมณ์การทำท่าโกรธ  โมโห  รำคาญ  เมินเฉย  ดุด่า  เพราะเด็กอาจจะดูขาดความมั่นใจจนแยกแยะไม่

ออกว่าจะปฏิบัติตนเพื่อตอบสนองได้อย่างไร  อีกทั้งควรสร้างโอกาสเป็นแรงผลักดันด้วยการพาไปดู  ไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ที่แปลก

หูแปลกตาจากการให้อยู่แต่ภายในบ้านในพื้นที่ชุมชนนั้น ๆ เพราะจะเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้รวดเร็วขึ้น  สร้างความรู้ใหม่ ๆ หากพบ

ว่าเด็ก ๆ ฉายแววที่เฉลียวฉลาด  ความชอบด้านใดก็ควรเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้มากที่สุด  เช่น  คิดเลข  บวกเลขจะเป็นการเสริมทักษะและ

ยังสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ได้ดีกว่า

จากการเก็บสถิติของสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น  ราชนครินทร์  ที่บ่งบอกถึงปัจจัยการพัฒนาการความฉลาดของเด็กนั้นพบว่าพันธุกรรมมี

ผล  48%  และอีก  52%  เป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อม  โดยเฉพาะสมองเป็นส่วนสำญที่สร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กได้เป็นคนเก่ง  ดี  มีสุขอย่าง

มีความเป็นอัจฉริยะที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา  อีกทั้งความเป็น  "อัจฉริยะ"  นั้นไม่ใช่จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องการเรียน  

การคิด  การประดิษฐ์  การแสดงออกในกิริยาท่าทางหลากหลายรูปแบบเท่านั้น  การเข้ากับสังคมที่ดีการส่งเสริมให้เด็กเติบโตอย่างมีจริยธรรม

รู้ผิดรู้ชอบโดยการสังเกตจากสังคมรอบข้างควบคู่กันไปด้วย  พ่อแม่ผู้ปกครองจึงไม่ควรลืมที่จะปลูกฝังเรื่องเหล่านี้ควบคู่กันไปด้วย  เพราะลูก ๆ

จะได้เป็นอัจฉริยะบุคคลที่สังคมต้องการได้อย่างมั่นใจนั่นเอง


จาก www.ccsueksa.igetweb.com




"เด็กที่มีความสามารถพิเศษ" ระดับอัจฉริยะนับได้ว่าเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่าของชาติที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก หากได้รับการ

ส่งเสริมอย่างถูกวิธี เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะสามารถสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติได้อย่างอเนกอนันต์ แต่หากไม่ได้รับการสนับสนุนช่วย

เหลือที่เหมาะสม และส่งเสริมอย่างถูกวิธี อาจสูญเสียศักยภาพได้ " เด็กกลุ่มนี้จึงควรได้รับการพัฒนาให้มีคุณภาพ ทั้งทางด้านร่างกายและจิต

ใจ โดยได้รับการดูแลอย่างถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อจะได้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพทั้งทางร่างกาย และจิตใจไปพร้อมๆ กันเด็กที่มีความสา

มารถพิเศษและเด็กอัจฉริยะจึงเปรียบดังกล้าไม้พันธุ์ดี เมื่อเติบโตเป็นต้นไม้ที่สมบูรณ์ ให้ร่มเงาและสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติ


จาก thaigifted.org



ภาพจาก www.broadcastthai.com

      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2369 เมื่อ: 24 มกราคม 2553, 14:04:20 »

เด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษ(Gifted and Talented Children)

ความแตกต่างในศักยภาพของมนุษย์เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทุกๆ ประเทศจึงมีกลุ่มบุคคลที่มีศักยภาพสูงโดดเด่นเหนือ

กว่าบุคคลในวัยเดียวกันอยู่จำนวนหนึ่ง ประสบการณ์และผลการวิจัยของประเทศต่างๆ ให้ข้อค้นพบตรงกันว่า หากบุคคลเหล่านี้ได้รับการ

เอาใจใส่ดูแล พัฒนาความสามารถอย่างถูกต้องเหมาะสมตั้งแต่วัยเยาว์ ความสามารถที่โดดเด่นในหลากหลายสาขาที่เกิดขึ้นในแต่ละบุคคล

จะนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณประโยชน์อย่างอนันต์ต่อสังคม ด้วยคุณค่าของบุคคลเหล่านี้ หลายประเทศจึงกำหนดเป็นนโยบายเร่ง

ด่วนและระดมทรัพยากรจากทุกส่วนของสังคมในการจัดการศึกษาอย่างต่อเนื่องทุกระดับ เพื่อให้เด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษได้รับ

การพัฒนาจนบรรลุศักยภาพสูงสุดของแต่ละบุคคล และจูงใจให้ก้าวสู่เส้นทางอาชีพอันเป็นภารกิจที่รัฐบาลได้วางเป้าหมายในการพัฒนา

ประเทศไว้อย่างครบวงจร

สำหรับประเทศไทยได้เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของกลุ่มบุคคลดังกล่าว ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา โดยมีการกำหนดนโยบายและทิศทางการ

ดำเนินงานไว้ในแผนพัฒนาการศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษซึ่งคณะรัฐมนตรีในคราวประชุม เมื่อวันที่ 27 มกราคม

2541 ได้อนุมัติในหลักการของแผนพัฒนาดังกล่าวตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัด

ทำแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ ดังกล่าว โดยให้มีมาตรการที่จะทำให้เกิดการกระจายโอกาส ครอบคลุมกลุ่มเด็กและเยาวชน

ที่เป็นเป้าหมายซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ รวมถึงให้มีมาตรการที่จะทำให้การปฏิบัติตามนโยบายและแผนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเกิดผลอย่าง

เป็นรูปธรรมชัดเจน โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ เป็นหน่วยประสานการจัดทำแผนปฏิบัติการ เพื่อให้เป็นไป

ตามมติคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ในคราวประชุม ครั้งที่ 10/2541 วันที่ 7 ตุลาคม 2541 จึงได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุ

กรรมการขึ้นรับผิดชอบ 6 คณะ คือคณะอนุกรรมการแห่งชาติเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษ ทำหน้าที่ดำเนินการให้มีการ

นำแผนสู่การปฏิบัติ ให้ข้อคิดเห็นในการจัดทำแผนปฏิบัติการ ประสานการดำเนินงานเพื่อให้เกิดเครือข่ายอย่างกว้างขวาง ส่งเสริม สนับสนุน

ให้มีการศึกษาวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ รวมทั้งรวบรวมข้อมูลข่าวสารสนเทศต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนผู้มีความสา

มารถพิเศษ และคณะอนุกรรมการพัฒนาเด็กและเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษอีก 5 คณะ คือ คณะอนุกรรมการพัฒนาเด็กและเยาวชนผู้มี

ความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ด้านภาษาไทย ด้านกีฬา ด้านดนตรี และด้านทัศนศิลป์และศิลปะการแสดง ทำหน้า

ที่จัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาในแต่ละด้าน เพื่อเป็นกรอบในการจัดทำแผนปฏิบัติการและการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

20 สิงหาคม พ.ศ. 2542 ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้กฎหมายการศึกษาแห่งชาติฉบับแรกคือ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.

 2542 ซึ่งออกตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 81 กฎหมายดังกล่าวได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษ

โดยได้ระบุถึงสิทธิของบุคคลดังกล่าวว่าจะต้องได้รับการศึกษาในรูปแบบที่เหมาะสม ในมาตรา 10 วรรคสี่ และปรากฏสาระอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ในมาตราต่างๆ โดยเฉพาะในหมวดแนวการจัดการศึกษา

เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติตามนโยบายที่กำหนดไว้ กระทรวงศึกษาธิการได้มีการแต่งตั้งองค์คณะบุคคลเพื่อรับผิดชอบการจัดการศึกษาสำ

หรับผู้มีความสามารถพิเศษ โดยในระยะเริ่มต้น ได้แต่งตั้งเป็นคณะอนุกรรมการที่รวมกลุ่มผู้ที่มีความต้องการการศึกษาพิเศษทั้ง 3 ประเภทคือ

คณะอนุกรรมการปฏิรูปการจัดการศึกษาเพื่อคนพิการ ผู้ด้อยโอกาส และผู้มีความสามารถพิเศษ และเพื่อให้การดำเนินงานในเรื่องการจัดการ

ศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างจริงจังต่อเนื่อง กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริม

การจัดการศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษขึ้นเป็นการเฉพาะ เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2544

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติเห็นว่า แม้ว่าประเทศไทยจะได้มีการดำเนินการในเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องนับตั้ง

แต่ระดับนโยบาย ระดับปฏิบัติ รวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครองและบุคคลทั่วไปยังขาดความรู้ความเข้าใจและแนวปฏิบัติที่ถูกต้อง รวมถึงการขาดปัจ

จัยส่งเสริมสนับสนุนอย่างเพียงพอ ที่จะช่วยให้การพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ จึงเห็นควร

สรุปสถานภาพและปัญหา รวมถึงยุทธศาสตร์ของเรื่องนี้ให้มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบและจริงจังต่อไป


จาก thaigifted.com



ภาพจาก gotoknow.org   
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2370 เมื่อ: 25 มกราคม 2553, 09:50:04 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๖๔   เด็ก / ภาษาอังกฤษ

คุณแม่จะช่วยลูกให้เรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างไร?

ทักษะในภาษาแรกของชีวิตจะเชื่อมต่อการเรียนรู้ภาษาที่สอง  

ถ้าเด็กอ่านภาษาไทยได้ดีเขาก็สามารถประยุกต์กับการอ่านภาษาอังกฤษได้ดีด้วย  

ความสามารถคาดเดาความหมายของคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย หรือการเปิดหาความหมายในดิคชั่นนารี

คุณแม่สามารถกระตุ้นให้ลูกรักการอ่านหนังสือดีๆประเภทต่างๆในภาษาไทยแล้วจึงพัฒนาไปอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ

How does the mother tongue help the learning of  English? Research has shown that many skills acquired in

the first language can be transferred to the second language. So, for example, if your child has developed

good reading skills in Thai, he is likely to be able to apply these skills when reading English. (One useful

reading skill is the ability to guess the meaning of unfamiliar words from context. Another one is the ability to

decide which new words in a text are important to look up in the dictionary and which words can safely be

ignored.) For this reason it helps if you can encourage your child to read good fiction and non-fiction in her

own language. Similarly, the skills of being able to plan out a piece of writing or develop an argument in a per

suasive essay can be applied in the second language once they have been learned in the first.

การอ่านสำคัญมากเพราะเพิ่มพูนความรอบรู้คำศัพท์โครงสร้างประโยค ซึ่งจะทำให้การเขียนดีตามไปด้วย

ผลการวิจัยพบว่าเด็กนักเรียนที่อ่านหนังสือมากจะประสบความสำเร็จในการสอบและอื่นๆในโรงเรียนมากกว่าเด็กนักเรียนที่ไม่ชอบอ่านหนัง

สือ  วิธีที่จะเรียนภาษาอังกฤษให้ดีที่สุดขึ้นอยู่กับว่าทำไมผู้เรียนจึงต้องการเรียน?  บางคนชอบแสดงออกก็จะชอบการเรียนการสอนแบบมี

ส่วนร่วม  บางคนไม่ชอบแสดงออกก็จะชอบการเรียนการสอนที่ให้เขียนมากๆ หรือทำแบบทดสอบหลากหลาย  บางคนต้องการเรียนแค่ให้

ติดต่อสื่อสารได้เท่านั้นเมื่อเวลาไปเที่ยว  แต่บางคนต้องการไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ  ดังนั้นแนวทางที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้

ทุกวิธีของการเรียนการสอน  ถ้ามีเหตุผลที่ดีพอสำหรับการเรียนรู้จึงจะทำให้ประสบความสำเร็จ

The importance of reading Educational researchers have found that there is a strong correlation between

reading and  Academic success. In other words, a student who is a good reader is more likely to do well in

school and pass exams than a student who is a weak reader. So if you want your child to be successful at

school encourage him or her to read. Reading non-fiction in English is probably the most important, but

English fiction and any reading in the mother tongue-if done extensively-will help your child develop the

reading competence that is essential for academic achievement.

What is the best way to learn English? The fact that there are dozens of different language learning methods,

each with its own supporters, makes it clear that there is no simple answer to this question. It depends very

much on the learner and why he wants to learn. An extrovert will be probably learn better with a method that

involves lots of role plays and participation  in unstructured discussions ,  whereas a quieter, more reflective

person may prefer written exercises with plenty of grammatical explanations. Someone who is only interested

in being able to communicate well enough on holiday in the foreign country will require a different method of

learning than another person who wants to study at a foreign university. For the general language learner an

eclectic mix of several different methods is often the best approach.

In fact, however, method is usually not the most important factor in whether someone will learn a foreign

language or not. The key issue is motivation. If you have a good enough reason for learning and if you want

or need to learn it badly enough, you will probably be successful.



ข้อมูลจาก British International School, Phuket

ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจาก campus.sanook.com
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2371 เมื่อ: 25 มกราคม 2553, 10:16:34 »

น้องๆที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากแข่งขันภาษาอังกฤษ ของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรังสิต

ด.ช. พีรวิชญ์ ศรียารัตน์ หรือ น้องแมพ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2A เจ้าของ รางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันตอบปัญหาภาษาอังกฤษ

แนะว่า เคล็ดลับในการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งคือ ต้องไม่อายที่จะพูด และดูหนังต่างประเทศเยอะ ๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยทั้งในเรื่องของ

คำศัพท์ สำนวน และสำเนียง เพราะบางอย่างไม่มีสอนในตำรา ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง และต้องอาศัยความต่อเนื่องในการเรียนรู้ทุกๆ วัน รวม

ถึงต้องสร้างวินัยให้กับตัวเองด้วย

ด้านสาวน้อยอารมณ์ดี เจ้าของเหรียญทองการแข่งขันตอบปัญหาภาษาอังกฤษ ด.ญ. นาตาเลีย ธรรมนิยาย หรือ น้องมุข นักเรียนชั้นมัธยม

ศึกษาปีที่ 2A ก็ร่วมแนะเคล็ดลับแสนง่ายในแบบฉบับของเธอว่า ส่วนใหญ่แล้วชอบเรียนรู้ด้วยตัวเองโดยการอ่านหนังสือพิมพ์ และดูทีวี
      
“มุขจะไม่เครียดกับมัน พยายามทำให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องสนุกสนาน เช่น การดูภาพยนตร์พากย์ภาษาอังกฤษ หรือการฟังเพลง

สากล ซึ่งเป็นสิ่งที่เราชอบ ส่วนไหนที่เราไม่ทราบก็ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม หรือสอบถามอาจารย์ที่โรงเรียน ซึ่งมุขคิดว่าการจะเรียนรู้ในสิ่ง

ใดต้องเริ่มต้นจากตัวเองก่อน ไม่ต้องมีใครมาบังคับ เพราะถ้าเรารู้สึกสนุกแล้วก็จะสามารถทำสิ่งที่ตั้งใจได้ดีตามไปด้วยค่ะ”

ส่วนหนุ่มหล่อมาดเข้ม ด.ช. การันต์ ปิเลย์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2B แชมป์ เหรียญทองแดง จากการแข่งขันพูดสุนทรพจน์ภาษาอัง

กฤษ เสริมว่า การพูดภาษาอังกฤษได้ดีนั้นจะต้องมีทักษะในการสื่อสารที่ดี พูดตรงประเด็น สามารถทำให้ผู้ฟังเข้าใจและมีอารมณ์ร่วมไปกับ

เราด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถมาก

ปิดท้ายกันด้วยที่ ด.ญ. ศุภนุช จริยาบูรณ์ หรือ น้องฮอต นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4B เจ้าของเหรียญทองแดง จากการแข่งขันพูดสุนทร

พจน์ภาษาอังกฤษ  “ก่อนแข่งฮอตจะฝึกซ้อมอย่างหนัก โดยการอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ฝึกแปลไทยเป็นอังกฤษ และอังกฤษเป็นไทย เพื่อความ

เข้าใจมากขึ้น ในเรื่องของการออกเสียงและสำเนียงต่างๆ อาจารย์ก็จะช่วยฝึกด้วย ซึ่งการแข่งครั้งนี้ทำให้ฮอตรู้ว่าความรู้รอบตัวเป็นเรื่องที่สำ

คัญ การเรียนรู้ในห้องเรียนและจากตำราอย่างเดียวอาจยังไม่พอ ต้องขยันที่จะหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอค่ะ”

 
สาระจาก dek-d.com



ภาพจาก www.wearehappy.in.th
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2372 เมื่อ: 25 มกราคม 2553, 15:49:17 »

ไปชมความสวยงาม สบายตาสบายใจ กับลูกๆและเพื่อนๆลูกค่ะ(ต่อ)


















      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2373 เมื่อ: 25 มกราคม 2553, 16:11:16 »

ภาพพจน์พาเพื่อนๆทานข้าว ฯ(ต่อ) ..อารมณ์ดียิ้มตลอดเวลาที่เห็นเพื่อนอิ่มอร่อยและมีความสุข

พจน์นอกจากเป็นคนที่ดูแลครอบครัวอย่างดีมากๆแล้ว(พึ่งพาครอบครัวเที่ยวเมืองจีน)..ยังนัดเพื่อนๆและดูแลทุกคนอย่างดีอีกค่ะ 





ชายก็เช่นกันค่ะ ห่วงใยเพื่อนทุกคนเสมอ เห็นชายที่ไหนก็จะเห็นพจน์ที่นั่น(โปรกอลฟ์ทั้งคู่)



พริมา..ไปสั่งอาหารโปรดของเพื่อนๆไว้ให้ พริมา..ถูกจัดลำดับเป็นสาวที่ใสซื่อที่สุดในกลุ่ม"สาวชั้นสี่"ค่ะ

ตอนเรียนและตอนนี้..ไม่เปลี่ยนเลย



นอกจากนี้พจน์ยังแนะนำเพื่อนๆให้ไปชมละครเวทีอีกด้วยค่ะ..(พริมาส่งรูปมาด้วยนะคะ)

      บันทึกการเข้า
SC (ก้าน 24)
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 981

« ตอบ #2374 เมื่อ: 25 มกราคม 2553, 19:19:05 »

สวัสดีครับดร.เอ๋

ขยันนำรูปเพื่อน รูปหลานมาลงให้ชม เลยได้เห็นเพื่อนที่ผ่านมาไม่คิดเลยว่าบางคนจะอวบได้


 บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

My Website <== คลิกเพื่อชม MV โดยไม่มีโฆษณาคั่น คลิกเล่นแล้ว คลิกขยายให้เต็มจอ อย่าคลิก YouTube
  หน้า: 1 ... 93 94 [95] 96 97 ... 979   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><