churaipatara
|
|
« ตอบ #1700 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2552, 08:19:29 » |
|
|
|
|
|
super
Full Member
วิดยา'20
ออฟไลน์
กระทู้: 368
|
|
« ตอบ #1701 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2552, 08:49:01 » |
|
ลูกสาวยังเด็กๆอยู่ครับ... ปีนี้ บั๊ม จบ ม.๖ บี จบม.๓ ครับ..
|
|
|
|
churaipatara
|
|
« ตอบ #1702 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2552, 08:55:07 » |
|
สวัสดีค่ะพี่หลิน ดีใจที่แวะมาบ้านนี้แต่เช้า ส่งรูปหลานบั๊มและบีทั้งตอนเล็กๆและปัจจุบัน และรูปครอบครัว มาได้เสมอนะคะ
|
|
|
|
churaipatara
|
|
« ตอบ #1703 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2552, 12:41:22 » |
|
การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นอีกทางเลือกหนึ่งนอกจากการดำเนินคดีทางศาลหรือ
การอนุญาโตตุลาการซึ่งต้องมีบุคคลที่สามเป็นผู้ชี้ขาดตัดสินข้อพิพาท แต่สำ
หรับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท แม้จะใช้บุคคลที่สามช่วยเหลือในการตกลงเจรจา
เพื่อระงับข้อพิพาท ก็เป็นเพียงผู้เสนอแนะแนวทางและหาทางออกให้แก่ผู้พิ
พาทเท่านั้น ไม่มีอำนาจตัดสินชี้ขาดเหมือนศาลหรืออนุญาโตตุลาการ ผลของ
การตกลงเจรจาก็เกิดจากการตัดสินใจของคู่พิพาทเองโดยตรง
จาก คู่มือการระงับข้อพิพาทสำหรับประชาชน
โดย สำนักระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม
|
|
|
|
หนุ่ม2524
Hero Cmadong Member
ออฟไลน์
รุ่น: RCU2524
กระทู้: 1,042
|
|
« ตอบ #1704 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2552, 16:28:21 » |
|
Simple Analogy
An economics professor at a local college made a statement that he had never failed a single student before but had once failed an entire class.
That class had insisted that socialism worked and that no one would be poor and no one would be rich, a great equalizer.
The professor then said, "OK, we will have an experiment in this class on socialism. All grades would be averaged and everyone would receive the same grade so no one would fail and no one would receive an A.
After the first test, the grades were averaged and everyone got a B.
The students who studied hard were upset and the students who studied little were happy.
As the second test rolled around, the students who studied little had studied even less and the ones who studied hard decided they wanted a free ride too so they studied little.
The second test average was a D! No one was happy.
When the 3rd test rolled around, the average was an F.
The scores never increased as bickering, blame and name-calling all resulted in hard feelings and no one would study for the benefit of anyone else.
All failed, to their great surprise, and the professor told them that socialism would also ultimately fail because when the reward is great, the effort to succeed is great but when government takes the reward away, no one will try or want to succeed.
Could not be any simpler than that.
What a profound short little paragraph that says it all
"You cannot legislate the poor into freedom by legislating the wealthy out of freedom. What one person receives without working for, another person must work for without receiving. The government cannot give to anybody anything that the government does not first take from somebody else. When half of the people get the idea that they do not have to work because the other half is going to take care of them, and when the other half gets the idea that it does no good to work because somebody else is going to get what they work for,that my dear friend, is about the end of any nation. You cannot multiply wealth by dividing it."
~~~~ Dr. Adrian Rogers, 1931
|
|
|
|
Kaimook
|
|
« ตอบ #1705 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2552, 20:10:33 » |
|
|
|
|
|
churaipatara
|
|
« ตอบ #1706 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2552, 08:32:21 » |
|
สวัสดีค่ะหนุ่ม ขอบคุณมากสำหรับเรื่องดีๆที่ส่งมา ชอบอ่านค่ะ ส่งมาเรื่อยๆนะคะ สวัสดีค่ะอ้อย สบายดีนะคะ ดีใจที่แวะมาบ้านนี้ค่ะ สวัสดีค่ะท่านทู ขอบคุณที่แจ้งข่าวต่างๆนะคะ
|
|
|
|
churaipatara
|
|
« ตอบ #1707 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2552, 10:33:23 » |
|
ฝีมือถ่ายภาพของแจงค่ะ
|
|
|
|
churaipatara
|
|
« ตอบ #1708 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2552, 10:49:50 » |
|
การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทคืออะไร
การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ ให้ความหมายคำว่า "ไกล่เกลี่ย" ไว้ว่า "พูดจาให้
ปรองดองกัน พูดจาให้ตกลงกัน ทำให้เรียบร้อย ทำให้เสมอกัน" แสดงให้เห็นว่า บทบาทของผู้ไกล่เกลี่ยหรือคนกลางนั้น ไม่ได้
เป็นผู้ชี้ขาดตัดสินให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายแพ้หรือฝ่ายชนะ แต่ผู้ไกล่เกลี่ยหรือคนกลางเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือให้คู่พิพาทตกลงระ
งับข้อพิพาทด้วยตัวของคู่พิพาทเอง ดังนั้น การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หมายถึงวิธีการระงับข้อพิพาทโดยบุคคลที่สามที่เรียกว่า "ผู้
ไกล่เกลี่ย" ในการทำหน้าที่ช่วยเหลือ เสนอแนะแนวทาง และหาทางออกให้กับคู่พิพาท เพื่อตกลงประนีประนอมยอมความกัน
นั่นเอง
จาก คู่มือการระงับข้อพิพาทสำหรับประชาชน
โดย สำนักระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม
|
|
|
|
super
Full Member
วิดยา'20
ออฟไลน์
กระทู้: 368
|
|
« ตอบ #1709 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2552, 08:54:11 » |
|
รูปตอนเล็กๆมีเยอะ..ครับ..
|
|
|
|
churaipatara
|
|
« ตอบ #1710 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2552, 09:12:13 » |
|
สวัสดีค่ะพี่หลิน หลานทั้งคู่น่ารักดีค่ะ เล่าประสบการณ์การดูแลเลี้ยงดูตั้งแต่เล็กจนโตมาบ้างสิคะพี่
|
|
|
|
super
Full Member
วิดยา'20
ออฟไลน์
กระทู้: 368
|
|
« ตอบ #1711 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2552, 09:37:23 » |
|
ได้ครับ..ขอเวลาหน่อย.. จะทยอยเล่าไปเรื่อยๆ..ครับ..อาจารย์
|
|
|
|
churaipatara
|
|
« ตอบ #1712 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2552, 09:46:11 » |
|
|
|
|
|
churaipatara
|
|
« ตอบ #1713 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2552, 10:01:00 » |
|
|
|
|
|
churaipatara
|
|
« ตอบ #1714 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2552, 14:49:20 » |
|
ได้รับแจ้งว่า วัดบ้านจานรวบรวมผู้มีจิตศรัทธาได้ราว 2 แสนกว่าบาทนะคะ
|
|
|
|
churaipatara
|
|
« ตอบ #1715 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2552, 15:23:05 » |
|
พี่สาวส่งมาให้ค่ะ
มายาการแห่งหลอดด้าย โดยท่าน ว.วชิรเมธี
เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผู้เขียนจาริกปฏิบัติศาสนกิจในฐานะพระธรรมทูตอยู่ที่มหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งหลังจบการเสวนาธรรม
สตรีสูงอายุคนหนึ่งขอโอกาสเข้ามานั่งคุยกับผู้เขียน ระหว่างการสนทนา ผู้เขียนสังเกตเห็นว่า น้ำตาเธอคลอหน่วย เมื่อสอบถามถึงสาเหตุ
เธอจึงตอบว่า ที่น้ำตาคลอหน่วย เพราะรู้สึกดีใจที่ได้มาฟังธรรม แต่พร้อมกันนั้นก็เสียใจจนสะเทือนใจ ที่สะเทือนใจก็เพราะเธอรู้สึกว่า ตน
เองได้พบกับธรรมะเมื่ออายุมากแล้ว จึงรู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา เธอเล่าว่า
"ชีวิตของคนเราก็เหมือนกับเส้นด้าย ที่ถูกดึงออกมาจากหลอดด้ายทีละนิดๆ ขณะที่ดึงด้ายออกมาจากหลอดด้ายนั้น บางทีเราก็รู้สึกกระหยิ่ม
ว่ายังมีด้ายเหลืออยู่อีกมากมาย จึงชะล่าใจดึงด้ายออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย เพื่อที่จะพบว่าแท้ที่จริงแล้ว มีด้ายอยู่เพียงนิดเดียว เย็บผ้าได้เพียง
นิดหน่อยก็หมด หากแต่ที่เราเห็นว่า ยังคงมีด้ายเหลืออยู่เยอะแยะนั่นเป็นเพราะว่า แกนด้ายมันใหญ่ต่างหาก...แกนด้ายมันหลอกตาให้เรา
พลอยชะล่าใจ..."
พลันที่เธอเล่าจบ ผู้เขียนก็รู้สึกสว่างโพลงขึ้นมาในใจ ผู้หญิงคนนี้ เธอไม่ได้มาฟังเทศน์เสียแล้ว แต่เธอมาเทศน์ต่างหาก
เธอกำลังเทศน์เรื่อง "ความสำคัญของเวลา" และ "คุณค่าของชีวิต"
เคยได้ยินคำพูดในทำนองนี้บ่อยๆ ว่า เรามีเวลา ๒๔ ชั่วโมงต่อหนึ่งวันเท่ากัน ทว่าเราได้ประโยชน์จากเวลาไม่เคยเท่ากัน
สำหรับบางคนเวลา ๒๔ ชั่วโมงช่างแสนสั้น แต่สำหรับบางคน ๒๔ ชั่วโมง ช่างเป็นเวลายาวนานเหลือแสน
ผู้หญิงคนนี้เธอบอกว่า เธอเสียดายที่มีเวลาเหลืออีกไม่มาก อยากจะปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุดก็เกรงว่าเวลาจะมีไม่พอ
ผู้เขียนจึงบอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้นไม่สำคัญที่เวลา แต่สำคัญที่ "ปัญญา" สำหรับคนมีปัญญากล้าแข็ง อย่าว่าเป็นวันเลย บางที นาที
เดียวก็บรรลุธรรมได้ สำหรับคนเขลา ต่อให้ภาวนาทั้งชีวิต บางทีก็ยังไม่เห็นผล คนที่อยู่ในวัยสนธยา จึงไม่ควรน้อยใจว่า เรามีเวลาไม่พอ
แต่ควรจะบอกตัวเองว่า เรายัง "พอมีเวลา" ต่างหาก
แต่คนที่คิดว่าเรายัง "พอมีเวลา" ก็ต้องระวังด้วยเหมือนกัน เพราะบางทีการคิดด้วยท่าทีที่เป็นบวกอย่างนี้ ก็ทำให้ประมาท และเป็นเหตุ
ให้พลาดโอกาสที่จะเร่งรัดทำสิ่งดีๆ
ดังนั้น นอกจากจะคิดว่ายังพอมีเวลาแล้ว ก็ควรจะคิดเพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า "วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต" ด้วย เพราะหากเราคิดว่า วันนี้
เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เราจะเริ่มคิดถึงสิ่งที่ต้องทำแข่งกับเวลา และนั่นจะทำให้เวลา กลายเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดของชีวิตได้ในทุกๆ วัน
เราเคยได้ยินพระท่านสอนอยู่บ่อยๆ ว่าการฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่ผู้เขียนอยากบอกว่า การฆ่าเวลาต่างหากที่เป็นบาปมหันต์ยิ่งกว่า เพราะ
เมื่อคุณฆ่าสัตว์ หากสำนึกได้คุณก็อาจจะไปหาสัตว์มาปล่อยเอาบุญ แต่หากคุณฆ่าเวลาด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงแม้คุณจะสำนึกผิด กลับมา
เห็นคุณค่าของเวลา ทว่าก็ไม่สามารถย้อนเวลาที่ผ่านไปแล้วให้หวนคืนกลับมาได้อีก เราทุกคนต่างก็มีเวลาที่ไม่อาจรีไซเคิล ไม่ว่าคุณ
จะมีเงินมหาศาลสักกี่ล้านล้านดอลล่าร์ก็ตามที สำหรับเวลานั้น ผ่านแล้ว ผ่านเลยนิรันดร์
ครั้งหนึ่งลีโอ ตอลสตอย เคยเขียนปริศนาธรรมไว้ว่า
"ใคร คือ คนสำคัญที่สุด
งานใด คือ งานที่สำคัญที่สุด
เวลาใด คือ เวลาที่ดีที่สุด"
ตอลสตอยตั้งคำถามนี้ผ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง และในที่สุดก็เฉลยว่า
"คนสำคัญที่สุด ก็คือ คนที่อยู่เบื้องหน้าเรา
งานสำคัญที่สุด ก็คือ งานที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้
เวลาที่ดีที่สุด ก็คือ เวลาปัจจุบันขณะ"
ทำไมคนที่อยู่เบื้องหน้าเราจึงสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ อาจเป็นไปได้ว่า ในชั่วชีวิตอันแสนสั้นนี้ เรากับเขาอาจมีโอกาสพบกันได้เพียงครั้ง
เดียว ดังนั้น เราจึงควรทำให้การพบกันทุกครั้ง เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองอันแสนวิเศษที่ต่างฝ่ายต่างควรสร้างความทรงจำแสนงามไว้ให้
แก่กันและกันตลอดไป
เราต้องไม่ลืมว่า มนุษย์นั้น รู้เกลียดยาวนานกว่ารู้รัก
หากการพบกันครั้งแรกนำมาซึ่งความรัก และหากเป็นการพบกันเพียงครั้งเดียวของชีวิตในอนันตจักรวาล นั่นก็นับว่า เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด
แล้วสำหรับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน
ทำไมงานที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้ จึงเป็นงานสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ เพราะทันทีที่คุณปล่อยให้งานหลุดจากมือคุณไป งานก็จะกลายเป็น
ของสาธารณะ หากคุณทำงานดี มันก็คือ อนุสาวรีย์แห่งชีวิต และหากคุณทำงานไม่ดี มันก็คือ ความอัปรีย์แห่งชีวิต
ตอนแรกคุณเป็นผู้สร้างงาน แต่เมื่อปล่อยงานหลุดจากมือไปแล้ว งานมันจะเป็นผู้ย้อนกลับมาสร้างคุณ
ทำไมเวลาที่ดีที่สุด จึงควรเป็นปัจจุบันขณะ คำตอบก็คือ เพราะเวลาทุกวินาทีจะไหลผ่านชีวิตเราเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าคุณจะหวงแหนเวลา
ขนาดไหน มีเงินมากเพียงไร ก็ไม่มีใครสามารถรื้อฟื้นเวลาที่ล่วงไปแล้วให้คืนกลับมาได้
ทุกครั้งที่เวลาไหลผ่านเราไป หากเราไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชีวิตของคุณก็พร่องไปแล้วจากปวงประโยชน์มากมายที่คุณควรได้
จากห้วงเวลา
เวลาไม่มีตัวตน แต่หากเรามีปัญญา ก็สามารถสร้างคุณค่าที่เป็นรูปธรรมจากเวลาได้อเนกอนันต์ คน - - แม้มีตัวตนเห็นกันอยู่ชัดๆ แต่หาก
ปฏิบัติไม่ถูกต่อเวลา ถึงมีตัวตนเป็นคนอยู่แท้ๆ แต่ชีวิตก็อาจว่างเปล่ายิ่งกว่าเวลา
ทุกวันนี้ เราทุกคนกำลังสาวด้ายแห่งเวลาในชีวิตออกมาใช้กันอยู่ทุกขณะจิต เคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่า เส้นดายแห่งเวลาในชีวิตของเรา
เหลือกันอยู่สักกี่มากน้อย เราถนัดแต่สาวด้ายออกมาใช้ หรือว่าเราใช้เส้นดายแห่งเวลาอย่างมีคุณค่าที่สุดแล้ว?
|
|
|
|
churaipatara
|
|
« ตอบ #1716 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2552, 15:32:09 » |
|
|
|
|
|
Dr.parrot
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 18
|
|
« ตอบ #1717 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2552, 16:21:43 » |
|
สวัสดีค่ะ
|
|
|
|
ดร.มนตรี
|
|
« ตอบ #1718 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2552, 18:09:58 » |
|
มาชมรูปหลานๆ ... ปล. ผมก็มีลูกชายเป็นของตัวเอง เหมือนกันครับ
|
|
|
|
SC (ก้าน 24)
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 981
|
|
« ตอบ #1719 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2552, 18:53:46 » |
|
สวัสดีครับดร.เอ๋
|
My Website <== คลิกเพื่อชม MV โดยไม่มีโฆษณาคั่น คลิกเล่นแล้ว คลิกขยายให้เต็มจอ อย่าคลิก YouTube
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #1720 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2552, 19:20:35 » |
|
พี่เอ๋, ตอนนี้ลูกพี่อายุเท่าไหร่แล้วคะ?
nn.24+3
|
|
|
|
Kaimook
|
|
« ตอบ #1721 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2552, 19:45:59 » |
|
|
|
|
|
super
Full Member
วิดยา'20
ออฟไลน์
กระทู้: 368
|
|
« ตอบ #1722 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2552, 08:53:07 » |
|
แขกเยอะดีนะครับอาจารย์..เอ๋ ....ช่วงแรกๆยังอุ้ม ลูกไม่เป็นเลย ได้ย่า ยาย มาช่วยจึงทําได้คล่องขึ้น.. ..บี กินเก่งกว่า บั๊ม.. ครั้งหน้าจะเล่าเวลาเด็กท้องผูก.. ครับ
|
|
|
|
Dr.parrot
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 18
|
|
« ตอบ #1723 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2552, 12:03:16 » |
|
สวัสดีค่ะ
|
|
|
|
churaipatara
|
|
« ตอบ #1724 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2552, 12:10:18 » |
|
โอว วันนี้แขกมาเยี่ยมบ้านเยอะเลย มีทั้งคุ้นเคยกันบ้างแล้วและยินดีที่จะทำความรู้จักคุ้นเคยกันต่อไปค่ะ สวัสดีค่ะDR. PARROT เปิดเผยชื่อจริงได้(ในpmก็ได้ค่ะ)จะขอบคุณมากค่ะ ดีใจที่แวะมานะคะ สวัสดีค่ะ ดร.มนตรี ลูกชายหล่อเหลาเอาการเลยค่ะ อายุเท่าไรเรียนที่ไหนคะ สวัสดีค่ะก้าน ดีใจที่เพื่อนแวะมาบ้านนี้นะคะ ก้านสบายดีนะคะ สวัสดีค่ะน้องหนิง โบว์อายุ22 บุ๊ค19 บีม16ค่ะ ส่งรูปครอบครัวน้องมาบ้างนะคะ สวัสดีค่ะอ้อย ดีใจที่ติดตามอ่านนะคะ แต่อยากได้ประสบการณ์จริงในการดูแลลูกของแต่ละคน หรือเรื่องของครอบครัวมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันมากกว่าค่ะ อ้อยเขียนมาอีกสิคะ จะรอนะคะ สวัสดีค่ะพี่หลิน จะรอเรื่องเล่าดีๆจากประสบการณ์จริงในการดูแลลูกๆของพี่ชายคนนี้ นะคะ คงอยู่ทักทายทุกคนได้แค่นี้ก่อน ต้องขอตัวไปสอนหนังสือเด็กๆก่อนนะคะ
|
|
|
|
|