พี่หนิงเคยถาม มาแล้วคุณใหญ่ตอบ ป้อมเสริม
การใช้สื่อของวิกรมนั้น ผมไม่ได้พูดถึงประเด็นสำคัญ นั่นคือหนังสือประวัติชีวิตเล่มแรกของเขา หนังสือเล่มนั้นคือ “ผมจะเป็นคนดี”
ครั้งแรกที่ผมได้สัมภาษณ์วิกรมเมื่อประมาณกลางปี 2547 นั้น ผมไม่ได้เคยพบเขามาก่อน ความรู้เกี่ยวกับตัวเขาค่อนข้างน้อย ตอนนั้นเขายังไม่โด่งดังเป็นพลุแตกเฉกเช่นทุกวันนี้
เขาเพิ่งสึกไม่นาน หลังจากบวชอยู่กี่เดือนผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน
ก่อนวันที่สัมภาษณ์ ผมได้อ่านหนังสืออัตชีวประวัติฉบับแรกของเขาที่ชื่อ “ผมจะเป็นคนดี”
หนังสือเล่มนี้เป็น autobiography ที่แปลกที่สุดตั้งแต่เคยอ่านมา เพราะเปิดฉากมาก็เป็นบทที่ว่าด้ายเขาบึ่งรถกลับบ้านที่เมืองกาญจน์เพื่อเปิดศึกกับพ่อ ถึงขนาดเอาเป็นเอาตายทีเดียว
เรื่องราวแบบนี้ ฝรั่งเรียกว่า “โครงกระดูกในตู้” หมายความว่าเป็นเรื่องลับในครอบครัวที่เก็บเอาไว้ไม่เล่าให้ฟัง
ผมใช้คำว่า “เล่า” หมายถึงการพูดโดยผ่านปากให้บุคคลที่ 3 ฟัง ซึ่งขนาดเล่าก็ไม่ทำกันแล้ว อย่าว่าจะเขียนให้คนทั้งประเทศอ่าน
หนังสือเล่มนี้เกือบครึ่งเล่ม เขียนถึงความขัดแย้งและปมในใจที่เขามีต่อพ่อ ซึ่งผมคิดว่าน้อยคนจะกล้าเขียนออกมาแบบถึงกึ๋นขนาดนี้ เพราะในสังคมไทยจะถือกัน ทำให้ผมแปลกใจมากๆ เพราะวิกรม ในสายตาของผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์เอามากๆ ข่าวไม่ดีของเขาไม่ค่อยหลุดออกมา แล้วทำไม จู่ๆถึงได้เขียนหนังสือออกมาได้ เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้หลายคนเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนพีอาร์ทั้งหลายที่เอาคงร้องเสียงหลง
“ผมจะเป็นคนดี” สร้างปรากฏการณ์การเขียนประวัติชีวิตตนเอง ที่เอาความจริงมาตีแผ่ ไม่ใช่เขียนเอง เออเอง มีแต่ความดีทุกกระเบียดนิ้ว เพราะมนุษย์ทุกผู้นาม ไม่ดีใครดีหมดและชั่วหมดอยู่แล้ว
“ผมจะเป็นคนดี” ได้ Branding วิกรมว่าเขาเป็นผู้ประกอบการที่กล้าพูดความจริง เพราะขนาดเรื่องที่คนทั่วๆไปไม่กล้าพูดถึงมากที่สุด เขายังนำมาเปิดฉากหนังสือหน้าแรกของเขานั้น ทำให้ผู้อ่านต้องคิดว่าเขาเป็นคนเปิดเผย มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ คนที่เคยคุยกับเขา “นอกรอบ” จะรู้ดีว่าเขาเป็นคน “ตรงมาก”
ประวัติชีวิตเล่มแรกของเขาเรียบเรียงโดย ประภัสสร เสวิกุล นักเขียนรางวัลซีไรท์ ซึ่งคุ้นเคยกับชีวิตเจ้าสัวไทยเป็นอย่างดี เพราะเขาคือผู้เขียนนิยายเรื่อง “ลอดลายมังกร” ซึ่งว่ากันว่าเป็นการนำเอาชีวิตของนายห้างเทียมกับนายห้างชินมาผสมกัน
ดังนั้นต้องถือว่าวิกรมพิถีพิถันและเลือกถูกคน
“ผมจะเป็นคนดี” เล่มแรกทำเป็นพ็อกเก็ตบุ้กส์ขนาดมาตรฐาน ขาย 200 กว่าบาท ขายดีมาก วิกรมกันไว้แจกหลายพันเล่ม แจกให้คนหนุ่มๆที่ผิดพลาดในชีวิตจนต้องติดคุกติดตะราง
“ผมอยากจะสร้างลายแทงชีวิตให้กับคนที่กำลังเดินอยู่ พวกหนุ่มๆ ทั้งหลาย อยากให้เซฟเวลา ในการที่พวกเขาต้องเดินให้มันเซฟ ลดต้นทุนชีวิต เมื่อลดต้นทุนชีวิตได้ สังคมก็จะเข้มแข็ง เพราะว่าไม่ไปเสียโดยใช่เหตุ
อันที่สอง ผมอยากให้ความผิดพลาดของเขาน้อย เพราะการที่เขาผิดพลาดยิ่งน้อย ปัญหาของสังคมก็ยิ่งต่ำ อันนั้นคือประเด็นที่ผมนั้นตอนเด็กๆ เราอยากจะได้ในสิ่งที่เรากำลังจะให้ เพราะตอนนั้นเราไม่มี ตอนที่ไม่มีเราโหยหา เราต้องการ เรารู้คุณค่าของมัน แต่เมื่อเรามี เราต้องมาผลิต เราต้องมาถ่ายทอด เราต้องมาส่งต่อ เพราะเราถือว่านี่คือหน้าที่”
“ผมจะเป็นคนดี” ฉบับสมบูรณ์ยังไม่พิมพ์ แต่ทยอยตีพิมพ์ตามหนังสือพิมพ์และนิตยสารบางเล่ม
วิกรมวางแผนจะออกหนังสือปีละ 3 เล่ม ตอนนี้ออกได้ 4-5 เล่มได้แล้ว
เล่มสุดท้ายของเขาวางพล็อตเอาไว้แล้ว
“ ผมก็ตั้งชื่อเรื่องไว้แล้ว “เมื่อวันนั้นมาถึง” ผมจะเขียนต่อเมื่อผมนั่งอยู่บนเตียงแล้ว ผมจะหยิบปากกาเขียน ปากกาเล่มนั้นจะเขียนหมึกหยดสุดท้ายจะไปหยดจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย
ผมอยากจะบอกคนในโลกนี้ที่ยังหายใจอยู่ให้รู้ว่านี่คือวันของมัน และก่อนที่จะไปถึงวันของมันในช่วงนั้น ตาแก่คนหนึ่งจะเจออะไร มีความนึกคิดอะไรที่กำลังจะเดินไปข้างหน้า ผมรู้สึกอะไรตอนนั้น ผมมองเห็นอะไรตอนนั้น และคิดอะไรตอนนั้น
และอยากจะบอกอะไรตอนนั้น ผมจะบอกออกมาเป็นหนังสือเล่มนั้นให้หมดเลย เล่มสุดท้าย”
คัดลอกจาก FM 96.5
หาอ่านเพิ่มได้ใน
http://thaicoon.wordpress.com/ป้อม