25 พฤศจิกายน 2567, 20:09:12
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 [3]  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ภัยรายวัน  (อ่าน 65192 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #50 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553, 17:49:59 »


"Jiab, you are the Best!!!, I just read your postings.
Come to visit me at the Whitehouse any time."



      บันทึกการเข้า

Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #51 เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2553, 12:20:49 »


จ๊าก !  เจี๊ยบถูกพาดพิง ได้ไงเนี่ย ? ... ได้รับคำชม  บวกคำเชิญให้ไปเยี่ยมที่ทำเนียบขาวแบบนี้  กลัวขี้กลากขึ้นน่ะสิ  วณิชย์ต้องซื้อซีม่าโลชั่น หรือผงพิเศษตราร่มชูชีพมาฝาก  ตอนกลับเมืองไทยคราวหน้า ด้วยนะ ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #52 เมื่อ: 16 มีนาคม 2553, 21:15:38 »

ผู้หญิงสู้คน คู่มือสําหรับผู้หญิงยุคใหม่ ในการปกป้องตัวเองจาก ภัยอาชญากรรม

เครดิตจาก http://womansafety.blogspot.com/

PT Bangkok ... ส่งมา

กระเป๋าของฉัน ชีวิตของฉัน

นัก ธุรกิจสาวรายหนึ่งเล่าเรื่องที่เกิดกับเธอไว้เป็นอุทาหรณ์  เรื่องร้ายเกิดขึ้นเมื่อ ... เธอกับลูกสาวมาร่วมงานแต่งงานของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง  งานเลิกราวสามทุ่มเศษ  เธอพาลูกสาวกลับมายังรถที่จอดไว้ข้างถนนใกล้โรงแรม  ขณะที่เดินอยู่  เธอก็ถูกวัยรุ่นชายสองคน  สวมหมวกบังหน้า  ไม่สวมหมวกกันน็อค  ขี่รถจักรยานยนต์ปรี่เข้ามา  แล้วกระชากกระเป๋ากุชชี่ที่เธอถืออยู่  ด้วยความเสียดายกระเป๋าแบรนด์เนม  เธอลงทุนยื้อยึดกับคนร้ายเพื่อปกป้องกระเป๋าสุดหวง  แรงกระชากทำให้นักธุรกิจสาวถึงกับเสียหลักล้มลง  ร่างกายครูดไปตามพื้นถนนจนถลอกปอกเปิก แต่เธอก็ยังไม่ยอมปล่อยกระเป๋า  จนเมื่อลูกสาวร้องไห้จ้าด้วยความตกใจ  เธอตัดสินใจปล่อยมือ  ปล่อยคนร้ายให้ได้กระเป๋าไปอย่างลอยนวล  เพราะนึกถึงความปลอดภัยของสิ่งที่เธอรักมากกว่า  นั่นคือลูกสาว  แม้ว่าจะเสียดายทรัพย์สินที่คนร้ายได้ไป  แต่เงินสด  โทรศัพท์มือถือ  แว่นตาแบรนด์เนม และกระเป๋าใบนั้น  คงไม่มีความหมาย  ถ้าคนร้ายโมโห และใช้มีด หรือปืนทำร้ายเธอ และลูกสาวสุดที่รัก

อย่า พกอะไรที่ต้องเสียใจเมื่อมันถูกฉก  เทกระเป๋าของคุณออกมา  ตรวจสอบว่ามีอะไรที่คุณจะต้องเสียใจไปอีกนาน  ถ้ามันหายไปพร้อมกระเป๋า  หยิบมันออกมา  แล้วเก็บไว้ใน ที่ปลอดภัยเสียเดี๋ยวนี้  กระเป๋าไม่ใช่ตู้นิรภัย  สิ่งที่ควรมีคือ “ ของไม่มีค่า ” แต่ “ จำเป็น ” ต่อชีวิตประจำวันของคุณ  อย่าใส่ของมีค่า  ที่คุณต้องร้องไห้ด้วยความเสียดายไว้ในกระเป๋าเป็นอันขาด  วิธีดีที่สุดที่จะทำให้คุณร้องไห้น้อยที่สุดเมื่อเสียมันไป  คือการทำให้มัน “ น่าเสียดาย ” น้อยที่สุด
 
1) อย่าเลือกใช้กระเป๋าแบรนด์เนม  หากถูกกรีด  หรือกระชาก  จะสร้างความเจ็บใจให้คุณมากขึ้น  และยอมสู้จนได้รับบาดเจ็บเพื่อมัน  เลือกใช้กระเป๋าที่ถ้าจำเป็นจริงๆ คุณจะสามารถตัดใจทิ้งมันได้เพื่อรักษาชีวิต

2) ฝึกนิสัยพกเงินสดแค่จำนวนที่จะใช้ในแต่ละวันเท่านั้น  พกบัตรเงินสด  หรือบัตรเครดิตให้น้อยใบที่สุด

3) ถ้ามีบัตรเอทีเอ็มมากกว่าหนึ่งใบ  ควรพกไว้แค่ใบเดียว  เป็นใบที่มีเงินในบัญชีเล็กน้อย  ส่วนใบอื่นที่มีเงินในบัญชีมากกว่า  ควรเก็บไว้ที่อื่นที่ปลอดภัย เช่น ในบ้าน ในกรณีที่บัตรใบแรกหาย  บัตรสำรองจะลดความกังวลไปได้มาก

4) บัตรสำคัญต่างๆ ในกระเป๋าให้นำมาเรียงกันบนกระดาษ A4 แล้วถ่ายเอกสารเก็บไว้รวมกัน  เมื่อกระเป๋าสตางค์หาย  คุณจะรู้ว่า  มีเอกสารสำคัญอะไรหายไปบ้าง

5) จดเบอร์สำหรับอายัดบัตรสำคัญต่างๆ เก็บไว้ที่ที่ทำงาน  ที่บ้าน  หรือในรถ  หรือเมมโมรี่  ไว้ในโทรศัพท์มือถือ  พร้อมอายัดได้เสมอ

6) ถ้าคุณขับรถ  ควรติดกระเป๋าช้อปปิ้งไว้ในรถหนึ่งใบ  เมื่อจะลงไปซื้อของ  หยิบเฉพาะเงินสดที่จะใช้  บัตรเครดิตหนึ่งใบใส่กระเป๋าช้อปปิ้ง  แค่นั้นพอ

7) อย่าใส่กุญแจบ้าน หรือรถไว้ในกระเป๋าสะพาย  คล้องกุญแจไว้ที่กระเป๋ากางเกงหรือเข็มขัดเสมอ
 
เทคนิคเดินถนนอย่างคนฉลาด

วันไหนที่รู้ตัวว่าต้องสัญจรด้วยการเดิน  วางแผนเส้นทางก่อนเสมอ  เลือกเส้นทางที่โล่ง  มีคนเดินมากๆ  ไม่มีพุ่มไม้หนาทึบ  ยอมเดินไกลในถนนใหญ่ดีกว่าเข้าซอยทางลัดที่ย่นระยะทางแต่เปลี่ยวคน  หัดเปลี่ยนเส้นทาง  อย่าใช้เส้นทางเดิมทุกวัน  อย่าถือข้าวของพะรุงพะรัง  ถ้าทำได้ให้รวบของถือด้วย  หนึ่งมือ  ให้มีอีกมือว่างไว้เสมอ

สามอวัยวะในตัวของคุณที่ต้องทำให้ว่างไว้ รับสถานการณ์ คือ  หู  ตา  และมือ  ถ้าอวัยวะใดไม่ว่าง  ทำมันให้ว่างในบัดดล

อย่ายืนรอรถเมล์ หรือรถไฟฟ้าแบบตามสบาย  ผู้หญิงที่ยืนพิงเสา  เม้าท์มือถือ  เพลินเสียงเพลง  คิดถึงแฟน  ท้าวแขน  ล้วงกระเป๋า  เอาแต่เหม่อ  คนร้ายจะชอบมาก  ให้ยืนตัวตรงทิ้งน้ำหนักลงทั้งสองขา  สังเกตเหตุการณ์รอบตัวเป็นระยะๆ  มั่นใจว่ากระเป๋าปิดเรียบร้อย  รูดซิปปิดทุกช่อง  ความหละหลวมไม่ใส่ใจของ  ผู้หญิงมักสะดุดตาโจร  ฝึกนิสัยจับกระเป๋าสะพายให้กระชับตัวเสมอ  หันด้านปากกระเป๋าเข้าตัว  อย่าเดินแกว่งกระเป๋าตามสบาย ถ้ามีรถยนต์แล่นปราดเข้ามาจอดตรงหน้า  ถอยออกมาให้ห่างทันที  ถ้าเขาจอดเพื่อถามทาง  อย่าเข้าไปบอกจนชิดประตูรถ  จนเขาดึงขึ้นรถไปง่ายๆ  ทิ้งระยะให้ไกล  แต่บอกด้วยเสียงดังขึ้นจะดีกว่า

สอดส่ายสายตาหา “ เซฟเฮ้าส์ ” ระหว่างทางไว้เสมอ  ที่ซึ่งคุณจะสามารถผลุบเข้าไปซ่อนได้  ถ้าเกิดเหตุร้าย  เช่น  ร้านค้า  ร้านกาแฟ  ร้านสะดวกซื้อ  ร้านปากซอย  เซฟเฮ้าส์เหล่านี้มีประโยชน์มากในหลายสถานการณ์  เช่น  ถ้าคุณสงสัยว่าถูกสะกดรอย  แทนที่จะเดินไปเรื่อยๆ ด้วยความหวาดกลัว  คุณสามารถเลี้ยวผลุบเข้าไปยังเซฟเฮ้าส์เหล่านี้  แล้วแอบสังเกตการณ์ว่า  คนที่เดินตามคุณผ่านหน้าร้านไปหรือเปล่า  คุณอาจรีบออกมาแล้ววิ่งสวนกลับไปยังทิศตรงกันข้าม

หมั่นฝึกซ้อมความคิดไว้ตลอดเวลา  สมมุติว่าถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้น  คุณจะแก้ไขอย่างไร  การฝึกซ้อมความคิดจะทำให้คุณรู้ว่า คุณ ต้องการอะไร
ใน ยามคับขัน และ สามารถตระเตรียมรับมือมันได้อย่างรอบคอบ  อย่าให้มันเลือกคุณเป็นเหยื่อ  การวางตัวสร้าง “ ระยะห่าง ” อาจช่วยผลักคนร้ายออกไปจากชีวิตคุณได้ “ อวัจนภาษา ” คือการใช้ภาษาร่างกายสื่อสาร  จงใช้มัน “ ขู่ ” คนร้ายไว้เสมอ  เริ่มตั้งแต่มันยังไม่ประชิดตัวคุณ  เทคนิคการ “ ขู่ ” คนร้ายไม่ให้เลือกคุณเป็นเหยื่อ

1) คุณรู้สึกว่าผู้ชายคนหนึ่งมองคุณอยู่  แทนที่จะบอกมันว่าคุณเป็นเหยื่อด้วยการหลบตาเมินไปทางอื่น  อย่าทำอย่างนั้น  มองตรงไปที่มัน  ไม่ต้องถึงกับจ้องเขม็งอย่างประสงค์ร้าย  แต่อย่าหลบตา  อย่าทำเป็นไม่เห็น  มองหน้ามันไว้ จง “ ขู่ ” มันด้วยสายตาว่า “ ฉันรู้นะว่าแกคิดอะไร อย่าเข้ามาเชียว ”

2) ถ้ามันเดินเข้ามาใกล้ตัวคุณ  อย่ารอให้มันถึงตัว  ถอยหลังทันทีแล้วปรามมันด้วยคำพูดว่า “ ขอโทษค่ะ ” ผู้ชายที่ดี  จะถอยหลังจากคุณและขอโทษ  แต่ผู้ชายสวะอาจยังหน้าด้าน  ถ้ามันยังล่วงล้ำเข้ามาถึงตัว  เช่น  ทำท่าจะฉวยมือคุณ  จง “ เข้ม ” ใส่มันด้วยการพูดออกมาดังๆ ว่า “ ขอโทษค่ะ คุณจะทำอะไรคะ ”

3) ถ้าเจ้าสวะ “ แบล็คเมล์ ” คุณกลางสาธารณชน  ด้วยการโพล่งว่า “ ยายนี่ประสาทหรือเปล่! า ” หรือ “ อะไรกันวะ  ยังไม่ได้ทำอะไรเลย  โวยวายไปได้ ”  จงอย่าตกหลุมพรางของความอายที่มันขุดล่อ  จง “ เตือน ” มันด้วยการถอยหลัง  ยกมือขึ้นกั้นไว้  แล้วสั่งว่า “ หยุด ! อย่ามาใกล้ฉัน ” หรือ “ ไป ให้พ้น ”  

ประเด็นสำคัญ ! อย่ากลัวที่จะดูเป็น “ ยายประสาท ”  ในสายตาของคนเดินถนนที่ผ่านมา  เชื่อเถอะว่า  เจ้าสวะจำนวนมาก  อาจถึงครึ่งต่อครึ่ง  จะเลือกเลิกล้มแผนชั่วเมื่อ  เจอยายประสาทที่ฉลาดกว่ามัน  

ร้องบอกโลกด้วยนกหวีด

ผู้ชายที่ประทุษร้ายผู้หญิงจนต้องรับกรรมในห้องขังคนหนึ่ง  สารภาพว่าเขาจะไม่ยุ่งกับผู้หญิงที่ถือร่ม  นกหวีด  หรืออะไรก็ตามที่สามารถใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้ได้  ดังนั้น ถ้าคุณต้องเดินคนเดียวในที่เปลี่ยว  อย่าเดินมือเปล่า  ถืออะไรบางอย่างติดมือไว้  ถ้ามีร่ม  จับไว้ให้มั่น  มีนกหวีด  ห้อยคอไว้พร้อมเป่าเสมอ  นกหวีดช่วยชีวิตคนมามากแล้วในหลาย สถานการณ์ เช่น เมื่อหลงทางหรือติดอยู่ในสถานที่ที่ต้องการความช่วยเหลือ  แม้แต่โรสยังรอดตายจากเรือ ไตตานิคล่ม  เพราะนกหวีดบอกให้คนอื่นรู้ว่าเธอยังมีชีวิต  ดังนั้น หยิบสร้อยนกหวีดขึ้นมาคล้องคอไว้แทนทุกครั้ง  เมื่อคุณออกจากที่ทำงาน  ลงจากรถเมล์  ไปช้อปปิ้ง  เดินทาง  หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไปออกกำลังกายในสวนสาธารณะ  เมื่อเกิดเหตุไม่น่าไว้ใจ  เป่านกหวีดไว้ก่อน  เสียงนกหวีดจะทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้ว่าคุณกำลังตกอยู่อันตราย  เสียงนกหวีดจะทำให้ยามหรือ  เจ้าหน้าที่ตำรวจสนใจ  ถ้าต้องวิ่งหนี  วิ่งไปพร้อมกับเป่านกหวีดไปด้วย  เพื่อเรียกร้องความสนใจให้มากที่สุด  คงไม่มีคนร้ายหน้าไหนที่เสียสติถึงกับวิ่งตามผู้หญิงใจกล้า  ที่วิ่งหนีแล้วเป่านกหวีด  เหมือนคนบ้าอย่างแน่นอน
 
ขอให้ทุกคนโชคดีและแคล้วคลาดตลอดไป

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #53 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2553, 09:50:08 »

อย่าเดินริมถนน

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

.... เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวาน ( 11/04/10)  หยุดไม่ได้ทำงาน  ก็นอนตื่นสาย ( ตามปกติ ) ประมาณช่วง 10 โมง
พี่สาวเข้ามาปลุก แล้วบอกให้ไปส่งปากซอยหน่อย  จะไปสวนจตุจักร  ก็ตื่นมาล้างหน้า แล้วก็ขับมอไซต์ไปส่ง
หลังจากนั้นก็อยู่บ้านทั้งวัน

.... ประมาณ 6 โมงเย็น - 1ทุ่ม พี่สาวเค้าก็กลับมา พอกลับมาก็เดินมาหาแล้วก็ถามว่า " มีเพื่อนกลับบ้าน
แล้วออกจากเมืองทองฝั่งนี้บ้างมั้ย " ก็เลยถามกลับไปว่า " ถามไมอ่ะ "  พี่เค้าก็เลยบอกว่า มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง ...

.... ตอนเช้าที่พี่สาวเค้ารอรถเมล์อยู่  พอดีมีรถเมล์สาย 357 นนทบุรี-รังสิต มา ( ลักษณะรถเป็นรถ
คันเล็กรุ่นเดียวกับรถเมืองทอง-ลาดหลุมแก้ว ) เลยตัดสินใจขึ้นคันนี้ แล้วเดี๋ยวไปต่อรถที่ปากเกร็ด
ระหว่างที่รถติดไฟแดงแยกเมืองทองอยู่ ( รถจอดอยู่หน้าศูนย์โตโยต้า )  อยู่ ๆ กระเป๋ารถเมล์ก็ตะโกน
เสียงดัง " เฮ้ย ! ! "

ด้วยความที่รถสาย 357 เป็นรถแอร์คันเล็ก  ทุกคนบนรถต่างตกใจและหันไปมองทางด้านหน้ารถ (
กระเป๋ารถเมล์อยู่หน้ารถ )  สิ่งที่เห็นคือ รถตู้สีขาว ติดฟิล์มสีดำวิ่งอยู่ไกลๆ หลังจากที่กระเป๋าตะโกน
แล้ว ก็หันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าเบาะแรกว่า " พี่เห็นเหมือนกันใช่มั้ย " คำตอบที่ได้คือ " ใช่ " แล้ว
เค้าก็คุยกัน  ซึ่งทำให้รู้เรื่องที่เกิดขึ้น ...

....ระหว่างที่รถติดแยกไฟแดงเมืองทอง  ซึ่งมีการปล่อยไฟเขียวรถในเมืองทองที่เลี้ยวขวาไปแยกสวน
สมเด็จ  ระหว่างนั้นมีรถตู้คันหนึ่งสีขาว ติดฟิล์มสีดำสนิท ขับออกจากเมืองทอง เลี้ยวซ้ายไปทางปากเกร็ด
ซึ่งตอนนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินอยู่ริมถนนแถวที่ดินที่มีการถมตรงปากซอยเมืองทอง ( คาดว่าน่าจะลงรถที่ป้าย
รถเมล์หรือเพิ่งออกจากเมืองทอง แล้วกำลังเดินไปเข้าซอยข้างหน้า  ข้างๆ ที่ดินที่ถมอยู่ ) พอรถตู้วิ่งไป
กำลังจะผ่านผู้หญิงคนนั้น  อยู่ๆ ก็มีของแท่งยาวๆ ( ไม่รู้ว่าเป็นแป๊บเหล็ก หรือท่อนหรือไม้ )  ยื่นออกมาจากตัวรถ
และฟาดเข้าที่ผู้หญิงคนนั้น  ระหว่างที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะล้มหน้าทิ่มลงไปก็ถูกดึงขึ้นรถตู้ไปก่อน
จึงเป็นสาเหตุให้กระเป๋ารถเมล์ตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ  และก็ทำให้ทุกคนในรถได้เห็นรถตู้สีขาว
ติดฟิล์มสีดำสนิทขับมุ่งตรงไปข้างหน้า พอรถเมล์ขับผ่านจุดที่เกิดเหตุ  สิ่งที่เหลืออยู่คือ รองเท้าข้างหนึ่งของผู้หญิงคนนั้น ....

.... พอได้ฟังที่พี่เล่าแล้วก็ถึงกับอึ้ง ! !  เลยถามพี่เค้าไปว่าไม่มีใครแจ้งตำรวจเลยหรอ  พี่เค้าก็เลย
บอกว่าก็มีคนจะแจ้งตำรวจเหมือนกัน แต่ที่ทุกคนรู้มีแค่อย่างเดียวคือ  " รถตู้สีขาวติดฟิล์มสีดำ " ป้าย
ทะเบียนก็มองไม่ทัน  เพราะรถอยู่ไกลและวิ่งเร็วมาก ส่วนรถจะขับไปทางไหน ก็ไม่มีใครรู้  เพราะ
สามารถเลี้ยวซ้ายตรงถนนตัดใหม่ทะลุไปถนนแจ้งวัฒนะหรือตรงไปทางแยกปากเกร็ด ( ซึ่งสามารถลอดอุโมงค์
ทะลุแยกไปได้ )  แล้วระหว่างทางก็สามารถทะลุซอยต่างๆ  เพื่อออกไปซอ ยอื่นหรือถนนแส้นอื่นได้อีก สิ่งที่ทุกคนทำได้
ก็แค่เพียงภาวนาขอให้รถมันเสีย ยางแตก  หรือไม่สามารถวิ่งต่อไปได้ ( ระหว่างที่รถยังอยู่บนถนนไม่ใช่
ในซอยเปลี่ยว )  หรือขอให้รถตู้เจอด่านตรวจ  ตำรวจหรือใครก็ได้ผิดสังเกตุจนช่วยผู้หญิงคนนั้นได้...
เพราทุกคนรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นต้องเจออะไร  หรือไม่ก็ขอให้ผู้หญิงคนนั้นไม่มีอันตรายถึงชีวิต ! ! !

.... พี่เค้าก็เลยบอกว่า ให้ช่วยมาเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง  แล้วก็ให้เตือนทุกคนด้วยว่าอย่าเดินริมถนนคนเดียว
ถ้าจำเป็นต้องเดินอย่าเดินติดริมถนน  ให้เดินชิดริมกำแพง รั้วบ้าน  หรือถ้าเป็นทางที่ไม่ค่อยมีคนหรือรถผ่าน
ทางที่ดีก็ขึ้นรถไปดีกว่า หรือถ้ายืนป้ายรถเมล์ก็ให้ยืนเข้ามาลึกๆ อย่ายืนติดถนน ( ถ้าเป็นป้ายหน้าเมืองทองฝั่งติวานนท์
ถ้าอยู่คนเดียวให้ยืนแถวใกล้ๆ ทางแลี้ยว ตรงวินมอไซต์รับจ้าง ) ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ! ! ! ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #54 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2553, 10:24:16 »

อย่าวางขวดน้ำไว้บนรถ‏

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #55 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2553, 12:40:31 »

สำคัญสำหรับผู้ใช้รถ ล็อคให้เ็ป็นนิสัย

มานิต - รัฐศาสตร์ 16 ... ส่งมา

เหตุการที่ 1

ผมเคยประสบเหตุนี้แล้วกับตัวเอง ที่ถนนมเหศักดิ์ซึ่งเชื่อมถนนสาธร กับถนนสีลม  เป็นเวลากลางวัน ระหว่างที่รถผมหยุดรอไฟเขียว มีชาย 2 คนเดินมาข้างหลัง ทั้งคู่กระตุกประตูหลัง คนละข้าง โชคดีที่ประตูล็อกอยู่ ....1 ใน 2 คนนั้นพยายามดึงแรงขึ้นอีก  แล้วทั้งคู่ก็เดินเร็วผ่านรถผม  แล้วปนไปในฝูงชน  เดี๋ยวนี้เหตุร้ายเกิดได้ตลอด ไม่ว่ามืดหรือสว่าง เราคงต้องระวังอย่าเผลอเชียวละ


เหตุการณ์ที่ 2
 
ภรรยาผมจะมีนิสัยเมื่อขึ้นรถแล้วต้องกดเซนทรัลล็อค ทั้งก่อนสตาร์ทเครื่อง และก่อนดับเครื่อง  มีรถเก๋งคันหนึ่งสีเงิน  มีคนสองคนเดินลงมาจากรถแล้วก็เดินมาที่รถของเราอย่างสุภาพ  ขณะที่ภรรยาผมกำลังเล่นกับลูกอยู่เพลินๆ  ก็ได้ยินเสียง ตึ๊ก จากข้างหลัง  ภรรยาผมก็ตกใจรู้สึกตัวว่ามีคนพยายามเปิดประตูหลังของรถเรา  แต่เพราะรถล๊อคพวกเขาก็เดินกลับไปขึ้นรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ตอนที่ภรรยาผมเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง  ผมคิดว่าเหลือเชื่อจริงๆ  กลางวันแสกๆ แท้ๆ  ถ้าหากบังเอิญรถไม่ได้ล็อค  ผมไม่กล้าคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น  อยากจะให้ทุกคนมีนิสัย ขึ้นรถต้องล็อครถ  พวกผู้ร้ายมักจะลงมือจากเบาะหลัง  เพราะจะ ควบคุมสถานการณ์ได้ง่าย


เหตุการณ์ที่ 3
 
หลังจากที่พ่อกับแม่จ่ายเงินค่าจอดรถเสร็จ  ตอนเลี้ยวรถออกจากโรงพยาบาล  ต้องจอดติดไฟแดง ... ขณะนั้น  ( ยังไม่ ถึง 3 นาที ระบบล๊อคอัตโนมัติคงยังไม่ทำงาน )  ชายหนุ่มสองคนก็เข้ามานั่งที่เบาะหลังของรถ  โชคดีที่พ่อแม่ของผมไหวตัวเร็วมาก  รีบถอดเข็มขัดนิรภัย  ดับเครื่อง  ดึงกุญแจออกแล้วออกมายืนนอกรถโดยเร็ว  คนทั้งสองคนนั้นก็ยังนั่งอยู่ในรถหน้าตาเฉย  จนกระทั่งคุณแม่ของผมตะโกนใส่พวกเขาว่า " พวกเรายังมีเพื่อนฝูงอยู่ในโรงพยาบาลอีกเยอะนะ  จะให้เรียกพวกเขาลงมาคุยกับพวกแกไหม ? "  พวกมันจึงออกมาจากรถแล้วบอกว่า  " ขอโทษ ขึ้นผิดคัน "  ( นี่มันปล้นกันชัดๆ )  จากนั้นรถคันที่จอดต่อท้าย ( มีคนอยู่ในรถสองคน ) ก็ขับมารับพวกมันไป .... น่ากลัวที่สุด


เหตุการณ์ที่ 4
 
ตอนจอดติดไฟแดง  รถของผมอยู่ห่างจากทางแยกประมาณคันที่สามหรือสี่  สักครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มอายุประมาณ 20 กว่าๆ 2 คน ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดอยู่ท้ายรถผม  มีอาการน่าสงสัย คือ พวกเขาพยายามมองสอดส่ายสายตาเข้ามาในรถของผม  ผมจึงจ้องพวกเขา .... ครู่หนึ่ง พอไฟเขียวก็ออกรถพร้อมมัน  ผมบังเอิญได้ยินหนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า " รถมันล็อคหมด "  แล้วก็ขับเลยไป

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #56 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2553, 15:12:30 »

ทุกคนที่ขับรถ : กรุณาอ่าน

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา

วันที่ 14 สิงหาคม  เวลาประมาณ 11.00 น. เป็นวันที่ผมมิอาจลืมได้ในชีวิตนี้ ...

ผมได้ขับรถขึ้นทางด่วนพิเศษจากถนนจันทน์  มุ่งหน้าไปถนนแจ้งวัฒนะ  เพื่อที่จะไปทำบุญบริจาคสิ่งของ ที่บ้านเด็กอ่อนพญาไท  ติด ถ.แจ้งวัฒนะ-  ปากเกร็ด ขณะขับรถไปได้ประมาณ 20 นาที และมองไปที่คันเร่ง เห็นหน้าจอ ที่ 140 กม.  ผมก็ได้ถอนคันเร่งและแตะเบรก  2 ครั้งเพื่อลดความเร็ว  แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  ผมได้ลองใหม่อีก  3 ครั้งคราวนี้กระชากเบรกมือด้วยอีก  2 ครั้ง  เบรกเท้าอีก  ก็เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  ลองเกียร์ว่าง 1 ครั้ง  ความเร็วอยู่ที่  130 ก.ม./ช.ม. ผมได้พยายามกดโทรศัพท์ไปหาเพื่อนสนิทที่นัดแนะไปทำบุญด้วยกัน  เพื่อนแนะให้ลดเกียร์จาก D เป็น 2 และ L  ความเร็วลดจาก 130 ก.ม./ช.ม. เป็น 120- 110  ซึ่งลดลงได้เพียงเท่านี้   ความพยายามในการชะลอรถมากกว่า 10 นาที และลองเกียร์ว่าง 1 ครั้ง  ไม่มีผลเลย  ผมคิดว่าคงอาจจบชีวิตบนการทางพิเศษแล้ว  และคิดว่าถ้าไม่มีอุบัติเหตุใดใดเลย  จะขอทำบุญบวชอีกครั้งในชีวิต ( บวชพราหมณ์หรือพระภายใน  2 ปีนี้ ) และจะเริ่มลดละบาปกรรม

เพื่อนได้แนะอีกครั้ง  และสมาธิเริ่มรวบรวม  ความพยายามประมาณครั้งที่  7 โดยการดับเครื่องคราวนี้รถได้ชะลอความเร็วลงมาก  ผมได้ประคองขับรถต่อไปอีกประมาณ  5 ก.ม. กว่ารถจะหยุดได้  ซึ่งผมก็สามารถหยุดชิดขอบทางได้เหมือนรอดตายพ้นนรก  ผมรีบโทร. บอกที่บ้าน  เพราะตอนแรกนึกว่าคงไม่ได้โทร. สั่งเสีย หรือสั่งลา  ผมได้เดินอีกประมาณ 100 เมตรไปบอกเจ้าหน้าที่เก็บเงิน ที่ด่านเก็บเงิน ใกล้แจ้งวัฒนะเพื่อขอความช่วยเหลือ  รอประมาณ 10 นาที  ก็มาช่วย  ผลปรากฏว่าสาเหตุที่คันเร่งค้าง  เพราะกล่องสัญญาณกันขโมยซึ่งหนักประมาณเกือบครึ่งกิโลไปทับอยู่ที่ก้านของคันเร่งและเกิดการล็อคขึ้น

พี่สุทธิครับ

ได้สอบถามกับอู่รถแล้ว  อู่แจ้งว่ามีโอกาสเป็นไปได้ที่คันเร่งค้างจากสาเหตุดังกล่าว  เนื่องจากกล่องสัญญาณกันขโมยจะติดตั้งอยู่เหนือคันเร่ง  ติดตัวถังรถ  สิ่งที่ควรกระทำคือ  ตั้งสติแล้วโยกเกียร์มาที่ช่อง N  เป็นเกียร์ว่าง  จากนั้นปิดสวิทช์กุญแจงดับเครื่องยนต์ และเปิดไฟฉุกเฉิน  รถก็ยังวิ่งอยู่  แล้วค่อย ๆ เหยียบเบรคเป็นระยะ ๆ  ความเร็วรถจะค่อยลดลงจนสามารถจอดรถได้  การปิดสวิทช์กูญแจงรถยนต์ดับเครื่องเลย  ในขณะที่เกียร์รถไม่อยู่ที่ N  รถก็ยังวิ่งอยู่  เครื่องยนต์ และระบบเกียร์จะเสียหายมากกว่าที่อยู่ช่อง N ครับ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #57 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2553, 22:38:38 »

กลโกงของกลุ่มมิจฉาชีพ ผ่านหน่วยงาน DSI

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา  

        ในวันที่ 4 มิถุนายน 2553  ดิฉันได้รับแจ้งผ่านทางโทรศัพท์มือถือว่า มีหนี้ค้างชำระในบัตรเครดิตกับทางธนาคารกสิกรไทย  แต่ดิฉันได้ปฏิเสธเนื่องจากไม่เคยทำบัตรเครดิตกับทางธนาคาร  ทางกลุ่มมิจฉาชีพบอกว่าอาจมีการลักลอบขโมยข้อมูล  จะแจ้งหน่วยงาน DSI  ให้

        หลังจากนั้นประมาณ ๕ นาที ก็ได้รับโทรศัพท์ว่า เขาคือ พตท.วิชัย  สุวรรณประเสริฐ  เจ้าหน้าที่จากหน่วย DSI  เพื่อให้สบายใจให้ดิฉันทำการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้รับ จากหมายเลข 1133  หลังตรวจสอบก็พบว่าเป็นหมายเลขของ DSI  จริง

        หลังจากนั้นอีกประมาณ ๕ นาที  เขาก็สอบถามว่าดิฉันเคยทำธุรกรรม หรือเคยทำเอกสารหล่นหายหรือไม่  ซึ่งดิฉันอาจจะเผลอบอกว่าได้รูดบัตรของธนาคารกรุงศรีอยุธยาไปเมื่อปลายเดือน พ.ค.  เขาจึงได้แจ้งข้อมูลว่าดิฉันได้เปิดบัญชีของธนาคารกรุงศรีอยุธยา  ที่เชียงใหม่โดยมีเงินเข้า -  ออก วันละ 1 แสน -3  แสนบาท และทาง DSI กำลังจับตาอยู  ซึ่งหมายความว่าดิฉันเข้าข่ายคดีฟอกเงิน  ให้ดิฉันเข้าไปให้ปากคำที่กรุงเทพ  ดิฉันได้ยืนยันความบริสุทธิ์ใจ  ทางกลุ่มมิจฉาชีพจึงขอให้ดิฉันร่วมมือกับทางราชการในการตามจับ  โดยให้แจ้งข้อมูลทางการเงินและข้อมูลการติดต่อทำธุรกิจของดิฉันเพื่อนำไปปรึกษากับคุณกิตติ สำเภาทอง  อ้างว่าเป็นรองผู้การธนาคารชาติ  เพื่อออกรหัสของธนาคารให้ใหม่  หลังจากนั้นไม่นานก็ได้รับโทรศัพท์จาก รตท. สมศักดิ์ ว่ารับเรื่องต่อมา  ให้แจ้งข้อมูล และให้ปฏิบัติตามคำแนะนำ  ซึ่งทุกขั้นตอนขอให้เก็บเป็นความลับ  เพราะข่าวการตามจับอาจจะรั่วไหล และให้เปิดโทรศัพท์ไว้ตลอด  เพราะจะทำการบันทึกเสียงไว้เป็นหลักฐาน  โดยให้ย้ายเงินออกจากธนาคารกรุงศรีให้มากที่สุดแต่ไม่ต้องปิดบัญชี  และให้ย้ายมาเข้าธนาคารกสิกรไทย หรือธนาคารกรุงเทพ  เพื่อที่เงินของดิฉันจะได้ไม่สูญหาย  เพราะผู้ต้องสงสัยอาจจะเป็นคนในธนาคาร ( ดิฉันได้นำฝากที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาพัทลุง )

        ดิฉันเริ่มมาเอะใจในขั้นตอนการทำ ATM   เนื่องจากกลุ่มมิจฉาชีพบอกว่าเป็นขั้นตอนการเปลี่ยนรหัสไปทางธนาคารชาติ และเพื่อบันทึกภาพของดิฉันไว้เปรียบเทียบกับคนร้ายที่เชียงใหม่  โดยให้ใส่หมายเลข 10 หลักในช่องผู้รับโอน  และใส่ password ในช่องจำนวนเงิน  พร้อมทั้งย้ำตลอดว่าเงินไม่ได้ถูกดึงออกไป  ให้เข้าไปสอบถามกับธนาคารได้  จึงได้ทำการกดไป 2-3  ครั้ง  แต่มี slip ออกมา 1 ครั้ง  เขาบอกให้รีบทำลายทิ้ง  แต่ดิฉันได้เก็บไว้ และเริ่มเอะใจ  มาดูภายหลังพบว่าเป็นใบโอนเงิน ไปหมายเลขบัญชี   7362731997 MR JEERASAK TAENGPHONG  โดยที่หน้าจอไม่ได้ขึ้นขั้นตอนเพื่อยืนยันว่าเป็นการโอนเงินให้กับผู้ใด  จึงคิดว่าน่าจะถูกหลอก  จึงกลับไปติดต่อในธนาคาร ( ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที )  ปรากฏว่าเงินได้ถูกถ่ายโอนไปเป็นจำนวน  199,986.55  บาท  เจ้าหน้าที่แจ้งว่าถูกกดจากบริเวณ ม.รามคำแหง

        ดิฉันรู้สึกเสียใจ และเจ็บใจที่โดนฉ้อโกง  จิตสำนึกที่ต้องการจะช่วยเหลือทางหน่วยงานราชการไปมากกว่าจำนวนเงินที่สูญเสียไป  ดิฉันไม่คิดว่าจะได้เงินคืน  แต่ต้องการจะประชาสัมพันธ์ให้คนอย่างเราๆ รับรู้ให้มากที่สุด  และหากท่านมีเครือข่ายหรือมีอำนาจพอที่จะติดตามจับได้ดิฉันยินดีที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติม ( Email-ampa.thean22@gmail.com )  

( หมายเหตุ  ชื่อที่อ้างถึงตรวจสอบแล้วมีอยู่ในหน่วยงานที่กล่าวถึงจริง  และภายในครึ่งวันมีผู้ถูกหลอกลวงโดยอ้าง DSI  ถึง ๓ ราย )

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #58 เมื่อ: 23 สิงหาคม 2553, 14:26:47 »

อยู่เฉยๆ ก็อาจจะกลายเป็นผู้ต้องหาได้

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา  

เพื่อนสนิทของเราเปิดร้าน pet shop อยู่แถวๆ อุดมสุข  ขายสุนัขพันธุ์ชิวาวา  แล้วก็รับอาบน้ำตัดขนและฝากเลี้ยง..เมื่อไม่กี่วันมานี้  ทางบ้านของเพื่อนเราโทร.มาบอกว่าได้รับหมายศาล แจ้งจับกุม ในข้อหาเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฉ้อโกง .... ที่บ้านตกใจมากเลยโทรมาซักถามว่าไปทำอะไรมาถึงโดนตำรวจมาแจ้งจับกุม .... เพื่อนเรางงมาก  เพราะปกติวันๆ ก็ทำแต่งานเปิดร้าน 7 วันไม่มีวันหยุด ... แล้วทางบ้านก็บอกว่าให้ไปมอบตัวกับ สน.ทองหล่อ ( ต้นเรื่องที่ส่งมา ) ... จึงได้ทราบเรื่อง ...

ย้อนกลับไปประมาณเดือนมีนาคม 2553 ที่ผ่านมานี้ ..

มีผู้ชายคนหนึ่ง ( สมมติว่าชื่อนาย ก. ) รถยนต์ของเขาถูกขโมย.. เขาจึงโพสข้อความผ่านทางหน้าเวป และฟอร์เวิร์ดเมลล์ ไปว่าถ้า ใครพบเบาะแสรถยนต์ของเค้า ระบุยี่ห้อ สี รุ่น และลายละเอียดต่างๆ ตามนี้ ให้แจ้งมาที่เขา  เขาจะมีรางวัลให้เป็นเงินประมาณ 15,000 บาท..

เวลาไม่นานหลังจากนั้นก็มีคนติดต่อมาถึงนาย ก. ชื่อว่าเต้ย  เต้ยบอกว่ารถยนต์ที่นาย ก.โพสหานั้นมีคนนำมาขายที่เต้นท์รถของเค้าเอง โดยระบุ ยี่ห้อ สี รุ่น รวมทั้งเลขตัวถังรถ ให้ด้วย แล้วบอกว่าจะนำรถไปส่งคืนให้ แต่ขอให้นาย ก. โอนเงินรางวัลที่บอกเบาะแสของรถที่หายมาให้ก่อน  ซึ่งนาย ก. ก็บอกปว่าจะโอนให้ไปก่อนจำนวนเงิน 7,000 บาท  ขอให้เต้ยบอกเลขที่บัญชีมาให้ .. เต้ยก็บอกไปว่า งั้นรอก่อนนะ เดี๋ยวจะโทร.ไปบอกเลขที่บัญชีอีกรอบหนึ่ง ..

นายเต้ยหายไปประมาณครึ่งชั่วโมง..ระหว่างนั้น... เราเข้าใจว่า นายเต้ย น่าจะ search หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต แล้วพบเวปไซค์โฆษณาของทางร้าน pet shop ที่เพื่อนเราเป็นเจ้าของ.. มีเบอร์ติดต่อระบุไว้ที่หน้าเวปด้วย..

นายเต้ยเลยโทร.เข้ามาหาเพื่อนเราที่ร้าน  แล้วทำทีเป็นว่าจะมาขอซื้อชิวาวาในร้านตัวหนึ่ง ที่เพื่อนเราลงประกาศขายในเวปไซค์ราคา 8,000 บาท โดยจะขอโอนเงินมาให้ก่อนแล้วจะไปรับชิวาวาทีหลัง..

เพื่อนเราก็บอกไปว่าไม่ต้องโอนเงินมาก่อนหรอก  ให้มาดูที่ร้านเลยดีกว่า  เพราะถ้าจะซื้อหมาไปเลี้ยงทั้งทีก็น่าจะเข้ามาดู  มาลองเล่นดูก่อน  ว่านิสัยใจคอมันเป็นยังไง  จริงๆ แล้วการที่เพื่อนเราจะขายชิวาวาให้ใครนั้น  เพื่อนเรามันจะดูนิสัยหมากับคนมาซื้อก่อนว่าเข้ากันได้หรือไม่  บางทีก็ให้เอาไปลองเลี้ยงก่อน 7 วันเลยด้วยซ้ำ

ไม่อย่างงั้นก็ให้มาดูหมาตัวนี้ที่ร้านเลย  ถ้าชอบก็ค่อยจ่ายเงินซื้อ  แต่ชายคนนี้ก็ยังยืนยันว่าจะซื้อหมาชิวาวาตัวนี้ให้ได้  เพราะชอบตั้งแต่เห็นรูปในหน้าเวปแล้ว  เลยบอกกับเพื่อนเราว่างั้น โอนเงินไปให้ก่อนล่ะกัน 7,000 บาท  เพราะเขาไม่อยากพกเงินสดมากๆ เดี๋ยวพอไปถึงร้านจะจ่ายให้อีก 1,000 บาท ตอนรับหมากลับไป

คุยไปคุยมาก็ตกลงกันตามนี้ .. เพื่อนเราก็ไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร  จึงบอกชื่อนามสกุล และเลขที่บัญชีให้เขาไป .. จากนั้นนายเต้ยก็วางสายไป .... แล้วโทรกลับไปบอกกับ นาย ก. ว่า ให้โอนเงินรางวัลที่ชี้เบาะแสรถหายได้ เข้าบัญชีนี้ ( โดยบอกชื่อนามสกุล และเลขที่บัญชีของเพื่อนเราไป )  เมื่อวางสายสักพัก  นาย ก. เจ้าของรถก็จัดการโอนเงินจำนวน 7,000 บาท เข้าเลขที่บัญชีของเพื่อนเรา โดยเข้าใจว่าบัญชีอันนี้เป็นบัญชีของนายเต้ย..

นายเต้ย...โทร.กลับมาหาเพื่อนเราที่ร้าน pet shop แล้วถามว่า เขาโอนเงินมาแล้ว ช่วยเช็คให้หน่อยว่าได้รับเงินเข้าบัญชีหรือยัง .. เพื่อนเราก็ไปเช็คดู ก็พบว่ามีเงินเข้าบัญชีมา 7,000 บาท ตามที่นายเต้ยได้ตกลงกับเพื่อนเราไว้ เพื่อนเราก็บอกเค้าไปว่า ได้รับเงินเรียบร้อยแล้ว ให้เข้ามารับหมาไปได้เลย  หลังจากนั้นประมาณสองชั่วโมง  นายเต้ยก็มาถึงร้านของเพื่อนเรา และอุ้มลูกเข้ามาด้วย  เป็นเด็กอายุประมาณสองขวบ  นายเต้ยแจ้งกับเพื่อนเราว่ามาขอรับหมาตัวที่สั่งซื้อไว้  ซึ่งเพื่อนเราก็พาไปดู พอเห็นหมาชิวาวาตัวนั้นแล้ว  นายเต้ยก็ทำทีเป็นเล่นกับลูกของเขาแล้วทำเป็นถามลูกว่าชอบหรือเปล่า ?  แล้วไปๆ มาๆ ก็เกิดเปลี่ยนใจว่าจะไม่ซื้อหมาตัวนี้แล้ว  เพราะว่าลูกชายของเขายังไม่ถูกใจ ( ทั้งๆที่ลูกเขาเป็นแค่เด็กสองขวบ  ยังพูดอะไรไม่ได้ )

เขาบอกว่าขอโทษด้วย  เขายังไม่เอาได้มั้ย  จะขอเงินที่โอนมาคืน  เพื่อนเราก็ไม่ได้เอะใจอะไรก็บอกไปว่าได้ๆ  แล้วเพื่อนเราก็เลย ไปกดเงินออกมาคืนให้เขาไป 7,000 บาท

ส่วนตัวนายเต้ยหลังจากได้เงินก็หนีหายไปเลย และปิดเบอร์ไม่ติดต่อกลับ  เจ้าของรถก็ติดต่อกลับไปไม่ได้แล้ว  ไม่รู้จะทำยังไงเลยไปแจ้งความ  โดยมีหลักฐานอยู่สองอย่าง  คือเบอร์มือถือของนายเต้ย และ เลขที่บัญชี ที่เป็นชื่อบัญชีของเพื่อนเรา  ตำรวจเลยทำเรื่องแจ้งความเพื่อนเราในข้อหาฉ้อโกง..

พอได้หมายแจ้งขอจับกุมจากทางบ้านซึ่งส่งไปที่อยู่ที่ต่างจังหวัด  เพื่อนเราก็เครียดมาก  เพราะทางบ้านก็บอกให้ไปทำเรื่องขอมอบตัว และดำเนินการสู้คดี  เพื่อนเราจึงไปมอบตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ที่ สน. ทองหล่อ  พร้อมทั้งพาคนรู้จักที่เป็นทนายไปด้วย  และเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่ร้าน pet shop ให้ตำรวจฟัง

แต่ตำรวจไม่ฟังอะไรเลย พยายามจะให้เพื่อนเรารับทราบข้อกล่าวหาอย่างเดียว เพื่อนเราก็พยายามจะอธิบายให้ฟังว่าตัวเองก็ไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นโจร  และก็เข้าใจว่าเขามาซื้อหมาแต่ไมได้ซื้อไป  ก็เลยโอนเงินคืนให้ก็แค่นั้น  แต่ตำรวจบอกว่าหลักฐานมันมีชัดเจนว่าเงินมันเข้ามาที่บัญชีของคุณ  คุณก็ต้องรับผิด และพยายามจะขอบัตรประชาชน  และให้พิมพ์ลายนิ้วมือ  และเซ็นยอมรับเป็นผู้ต้องหา  เพื่อที่จะได้ปิดคดีไวๆ เท่านั้น

เพื่อนเราแทบจะร้องไห้  เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีเรื่องต้องมาขึ้นโรงพัก  ไม่เคยทำอะไรผิด  ทำมาหากินโดยสุจริตตลอด  ยังโชคดีว่ามีทนายไปด้วย  ทนายจึงขอติดต่อกับเจ้าทุกข์ที่เป็นเจ้าของรถโดยตรง  เพื่อทำเรื่องยอมความกัน  เมื่อได้คุยกับเจ้าทุกข์แล้วเจ้าทุกข์ก็เชื่อว่าเพื่อนเราไม่ได้เป็นคนทำ  เพราะเสียงที่โทร.มาไม่ใช่เสียงนี้แต่เขาเพียงต้องการเงินคืน จำนวน 7,000 บาท ที่เสียไป  เพราะเขาเสียรถแล้วยังต้องมาเสียเงินอีก  ถ้าหากเพื่อนเราคืนเงินให้ 7,000  ก็จะยอมความให้ไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล  และหลังจากนั้นก็ให้ทำเรื่องแจ้งความเป็นผู้เสียหายร่วมกันเพื่อจับกุมนายเต้ย

เพื่อนเราก็เลยตกลง  เพราะถ้าสู้คดีไปถึงแม้ว่าจะมีโอกาสชนะก็ยังต้องจ่ายเงิน 7,000 คืนให้เจ้าทุกข์อยู่ดี  เพราะมันมีหลักฐานชัดเจนว่าเงินมันผ่านมาที่บัญชี  เพื่อนเราเลยซวยไปอย่างแรง  อยู่เฉยๆ ก็ต้องมาเสียเงิน 7,000 บาท  เพื่อให้เรื่องมันจบ และจะได้ไม่เสียประวัติด้วย

เราเลยอยากเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟัง  เพราะเอาเข้าจริง  พอมีเหตุการณ์แบบนี้ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้  แจ้งจับกุมนายเต้ยไป  จะไปจับที่ไหนได้เหรอ เพราะเหตุการณ์มันผ่านไปนานแล้ว  เช็คกับกล้องวงจรปิดย้อนหลัง  ก็ไม่มีถึงเดือนมีนาคม และเหตุการณ์ผ่านไปนานแล้วใครจะจำหน้าคนร้ายได้ชัดเจน  ยิ่งตัวเจ้าทุกข์ไม่ต้องพูดถึงได้ยินแต่เสียง  ไม่เคยเห็นหน้าเลยด้วยซ้ำ  ส่วนเบอร์โทรศัพท์ที่เคยโทร.มาหาก็ปิดไปแล้ว  มันจะตามหาได้จากที่ไหน ... หรือหากตามมาจับกุมตัวได้จริง  แล้วเงินที่เสียไป จะได้คืนหรือเปล่า ?

สังคมแบบนี้ต้องระวังตัวจริงๆ

- ระวังเลขที่บัญชีธนาคาร เลขที่บัตรประชาชน และ เลขที่บัตรเครดิตของตัวเองให้ดีๆ เพราะอยู่เฉยๆ ก็อาจจะซวยตกเป็นแพะรับบาป กลายเป็นผู้ร้ายทำผิดกฎหมายได้โดยไม่รู้ตัว

- ตำรวจบางคนวางอำนาจ ข่มขู่ และไม่ได้ช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนเลย คิดตื้นๆแค่ขอให้ได้ปิดคดี แต่ไม่ได้นึกถึงเลยว่าต้นต่อเหตุการณ์มาจากไหน จับแพะมาหรือเปล่า

- อย่าโอนเงินให้กับคนที่คุณไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า อย่าไปหลงเชื่อ

- หากมีการติดต่อเกี่ยวกับธุรกรรมใดๆก็ตามควรมีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ขอหลักฐานอ้างอิงตัวบุคคลนั้นๆด้วย

      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #59 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2553, 00:05:05 »

 สวัสดีค่ะพี่เจี๊ยบ ตามอ่านค่ะ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #60 เมื่อ: 11 กันยายน 2553, 01:34:04 »

จ้า ... น้องอ้อย

พวงมาลัยที่แพงที่สุดในชีวิต

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

++++อยากเตือนเพื่อนๆ ที่อยากไปสักการะพระพรหม ที่แยกราชประสงค์ ( พวงมาลัยที่แพงที่สุดในชีวิต ) ++++
        
คือจริงแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย  และหลายๆคนคงโดนมากันเยอะ  จนเราคิดว่าคนคงรู้กันหมดล่ะ  แต่มันไม่ใช่นะสิ  ยังมีอีกหลายๆ คนที่ยังไม่เคยรับรู้เรื่องแบบนี้  แต่เมื่อเพื่อนสนิทเรามาโดนเอง  เราถึงเข้าใจว่ามันไม่ใช่ล่ะ  ยังมีหลายคนที่ยังไม่รู้  และเราก็อยากจะเล่าแบ่งปันให้ทุกๆ คน  เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อแบบนี้ค่ะ

ถ้าใครเคยผ่าน หรือไปสักการะพระพรหม ตรง สี่แยกราชประสงค์แล้ว  ทุกทุกคน คงสังเกต เห็นว่าจะมีร้านค้าขายพวงมาลัยอยู่ข้างหน้ามากมาย มีหลากหลายแบบให้เลือก  ราคาก็จะไม่แตกต่างกันมากนะ  โดยจัดว่าแพง เช่น ปกติพวงมาลัยดาวเรืองพวงเล็กธรรมด๊า ธรรมดา บริเวณร้านข้างรอบนอกจะราคาอยู่ที่ 35++  บาท  ขณะที่ทั่วไปขายที่ 20-25 บาท  อ่า ทุกคนคงคิดว่า ก็แพงกว่ากันนิดหน่อยเอง ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรนิ  มันไม่ใช่แค่นั้น

เพื่อนเราสองคน  คนนึงไปเพื่อแก้บน เรื่องเรียน  อีกคนไปเป็นเพื่อน  เพื่อนทั้งสองคนก็ไม่รู้เรื่อง  เพราะคนที่จะไปแก้บน  ที่ไปรอบแรกก็ซื้อแค่พวงมาลัย ธูปเทียน  เสียเงินไปไม่มากนะแค่ไม่กี่ร้อยบาท ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก  ส่วนเพื่อนอีกคนก็ไม่เคยไป  ที่นี้เรื่องมันเกิดตรงนี้  เพื่อนเราก็ชวนกันไปแก้บน  ด้วยความที่ไม่เคยแก้บน  ตอนบนก็ถามๆ แม่ค้าเอา  พอมาแก้บน  ก็กลับไปร้านเดิมนั้นล่ะ  แม่ค้าก็จัดแจงทุกอย่างให้เสร็จสรรพ  ได้แก่  
พวง มาลัย 7 สี 7 ศอก  จำนวน 28 พวง ( ถ้าใครเคยไป จะรู้ว่าเป็นที่แถวนั้นขาย จะเป็นพวงมาลัยร้อยด้วยดอกพุด ยาว 7ศอก และมีดอกไม้ต่างๆ 7 สี แซมๆ )  ช้างจำนวน 16 ตัว ( ตัวเล็ก )  ยาสูบ 4 แพค   ธูป  เทียน
 
ส่วนเพือนอีกคนที่ไปไหว้เป็นเพื่อน  ก็มีแค่พวงมาลัยดาวเรืองพวงเล็ก 4 พวง  ช้างตัวเล็ก 4 ตัว   ธูปเทียน  เพื่อนเราก็พยายามถามว่าราคาเท่าไหร่ แม่ค้าก็บอกว่า เอาไปก่อนเดี๋ยวค่อยมาจ่าย  เพื่อนเราก็ถามย้ำแล้วย้ำอีก  แม่ค้าก็ไม่ยอมบอก  บอกแต่ว่าไปไหว้ก่อน เดี๋ยวพาไปไหว้ ช่วยถือของ นั่นโน่นนี้  แหม ! ! ช่างประทับใจจริง  เพื่อนเราก็คิดว่าของคงไม่เท่าไหร่หรอก  แล้วคราวที่แล้วก็ซื้อกับร้านนี้  แม่ค้าก็พูดดี  ก็เลยไม่ทันคิดว่าได้เสียท่าไปซะแล้ว  พอไหว้เสร็จเรียบร้อย  ก็ถามราคากับแม่ค้าว่าเท่าไหร่  ต้องถึงกับช๊อค  แทบเป็นลม  เพื่อนเราคนที่ไปแก้บน แม่ค้าบอกว่า 8,000 บาท ( โอ้แม่เจ้า )
 
ส่วนเพื่อนอีกคน ราคา 800 บาท  ถึงกับอึ้ง  พูดอะไรไม่ออก  เพื่อนเราก็พยายามบอกว่าทำไมแพงอย่างงี้  พอพูดปุ๊บ  แม่ค้าร้านข้างๆ ต่างพากันมารุมล้อมม  โอ๊ย  นี้มันมาเฟียหรือไงเนี่ย  เราก็ถามเพื่อนว่าแล้วทำไง  ก็ท้ายสุดก็ต้องไปกดเงินมาจ่าย  แม่ค้าก็เดินตามไปด้วย  บอกว่าจะได้ไม่ต้องเหนือยเดินมาให้ ( โห เหมือนจะเป็นคนดีนะเนี่ย  )  

หลังจากเรื่องวันนั้นจบไป เพื่อนก็มาเล่าให้เราฟัง ตามประสาคนไทย ... ช่างมันเถอะ คิดว่าทำบุญ ... แต่แล้วความอดทนเราก็หมด  เมื่อก็มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดอีก .....

ต่อค่ะ  เรื่องมันยังไม่หมด

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา  เราเองก็เคยไปบนกับท่านไว้เหมือนกัน  ก็เลยถือโอกาสไปแก้บนดีกว่า  โดยปกติเราก็จะซื้อดอกไม้บริเวณท้าวมหาพรหมนั้นล่ะ  ถ้าคนไปบ่อยๆ จะรู้ว่านอกจากแผงข้างนอก  ในบริเวณพระพรหมเอง  ก็จะมีดอกไม้ธูปเทียนจำหน่ายเหมือนกัน  เพียงแต่ดอกไม้อาจจะไม่สดใหม่เอานั้นเอง  ราคาก็มีตั้งแต่ 20 บาท 50 บาท 100 บาท  มีหลากหลายแบบให้เลือก  แต่ถ้าเราไปแก้บน  เราก็จะซื้อของข้างนอกไปเอง เพราะเราพอจะรู้กิตติศัพท์มาบ้างอยู่แล้ว

เราก็จัดแจงเตรียมของไปเอง  แบบรุงรังไปกับเพื่อนอีกคน  ด้วยความที่ของเยอะ  เราก็ให้เพื่อนนั่งเฝ้าของก่อน  เราขอไหว้ก่อน  ระหว่างที่เรากำลังไหว้อยู่  ก็มีนักท่องเที่ยวเดินมาหาเพื่อนเราที่นั่งรออยู่  ถามว่าซื้อพวงมาลัยมาเท่าไหร่  เพื่อนเราก็บอกว่า ซื้อมาเองไม่ได้ซื้อแถวนี้  เราซื้อพวงมาลัย 7 ศอก มา 4 พวง  มีช้างตัวเล็ก 4 ตัว หมดไปประมาณ 900 บาท
  
นักท่องเที่ยว สองคนนั้นก็แสดงท่าทีตกใจมาก  แล้วเค้าก็เล่าให้เรากับเพื่อนฟังว่า  เค้าไปซื้อพวงมาลัยดาวเรืองพวงขนาดกลางหน่อย  เค้าชี้ให้เราดูอ่ะนะ  แล้วก็ได้ธูปเทียน  หมดเงินไปคนละ 3,000 บาท  แล้วตอนนี้เค้าสองคนไม่เหลือเงินเลย  เรากับเพื่อนนั่งฟังแล้วก็คิดทำไงดีหว่า  จะให้เงินเราก็ไม่มี  เราก็เลยถามเค้าว่าจะให้เราช่วยยังไง  เค้าก็ตอบเรามาว่าอยากให้ไปช่วยคุยกับแม่ค้าให้หน่อย  เรากับเพื่อนก็มองหน้ากัน  เออ เราไปสองคนมีหวังโดนตบแน่เลยแก
  
เลยเรียกเจ้าหน้าทีแถวนั้น  แต่ไม่ใช่ ตำรวจนะ แล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือ  เจ้าหน้าที่ฟังแล้วก็ยิ้มๆ  แล้วก็เรียกเพื่อนอีกคน  บอกว่า เฮ้ย เค้าโดนค่าพวงมาลัยไป สองคน 6.000 ว่ะ  เพื่อนอีกคนก็ อืม ทำหน้าเหมือนว่า  ก็โดนกันอย่างงี้ประจำล่ะ  เรากับเพื่อนก็นั่งคิดต่อ  เอาไงดีวะ  จะเดินไปแจ้งความก็คิดว่า  ตำรวจพวกเดี๋ยวกันไหมเนี่ย  จะไม่ช่วยก็ไม่ได้  ถ้าเราไปที่อื่นแล้วโดนแบบนี้บ้าง  ไม่มีใครช่วยจะทำไง  เพื่อนก็เลยโทร.หาคนรู้จักที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ  เพื่ออยากให้ส่งตำรวจมาหน่อย  อย่างน้อยถ้าเป็นคนรู้จักส่งมาน่าจะสบายใจกว่า  บอกเสร็จปุ๊ป  ก็ โอเค อีกสิบนาทีเดี๋ยวมา  เรากับเพื่อนก็นั่งอยู่กับนักท่องเที่ยว  ก็เลยถามไถ่รายละเอียดได้ความว่า  เค้าไปถามแม่ค้าว่าราคาเท่าไหร่  ไหว้ยังไง  แม่ค้าก็ทำเหมือนตอนเพื่อนเรา เป๊ะ หยิบพวงมาลัยมาให้  พาเดินมาไหว้  บอกราคาเดี๋ยวค่อยคุยกัน  เค้าก็คิดว่าคนไทยมีน้ำใจจัง  แต่พอไหว้เสร็จ แม่ค้าเก็บเงิน คนละ 3,000  บาท  เค้าสองคนถึงกับอึ้ง  ทำตัวไม่ถูก  ก็ต้องจ่ายยด้วยความเป็นนักท่องเที่ยว  ก็กลัวเป็นเรื่องธรรมดา
 
ระหว่างที่เรานั่งคุย  นั่งรออยู่  คงมีคนคาบข่าวไปบอกแม่ค้า  แม่ค้าคนนั้นก็มายืนเกาะลูกกรง บอกว่า  มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า  เดือดร้อนอะไรหรอ  คุยกันได้นะ  ออกมาคุยกันข้างนอกสิ  เรากับเพื่อนมองหน้ากัน  ไม่เอา  ไม่ออกนะแก  เดี๋ยวโดนรุม  ก็เลย นั่งเฉยๆ  นิ่งไว้ๆ  จนกระทั่งตำรวจมา  เราก็เล่าให้ตำรวจฟังว่า  นักท่องเที่ยวเกิดเหตุการณ์แบบนี้  คุณตำรวจก็เรียกเรากับเพือนไปด้วย  เรากับเพื่อน และนักท่องเที่ยวก็เดินตามคุณตำรวจไป  พอไปถึงร้าน  ยังไม่ทันจะพูดไรเลย  คุณแม่ค้าบอกว่าเนี่ย  ฉันให้โน่น ให้นี้ ให้นั้น เต็มไปหมด  นักท่องเที่ยว ก็บอก  ไม่  ไม่  ไม่  ฉันได้แค่นี้  คุณตำรวจก็ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรหรอกค่ะ  มากันไม่ให้มีเรื่องมากกว่า  คุณตำรวจพูดสั้นๆ กับแม่ค้าว่า “ นักท่องเที่ยวเค้าว่าราคามันแพงเกินไป ”  ( แค่เนี่ย !!!!  ช่วยได้มากเลยค่ะ  ชื่อเสียงประเทศไทยป่นปี้ )  แม่ค้าเลยทำหน้าบึ้งๆ แล้วก็พูดว่า “ อ่ะ คืนให้คนละพัน ” ( เออ แพงไปไหมอ่ะ )  เพื่อนเราก็เลยพูดสวนไปว่า “ พวงมาลัยแค่เนี่ย  แค่คนละพันก็แพงไปแล้วว  นี้คนละสองพันเลยหรอ ”
  
แม่ค้าหันไปพูดกับคุณตำรวจว่า “ โอ๊ย  งั้นก็ไม่ได้กำไรพอดี  งั้นคืนให้อีกคนละ 500 ก็ได้ ”  สรุปได้คืนมา 3,000 บาท  จาก 6,000 บาท  เราก็เลยถามนักท่องเที่ยวว่าโอเคไหม  คือนักท่องเที่ยวเค้าก็ไม่อยากมีปัญหา  เค้าก็โอเค  แล้วก็บอกขอบคุณเรากับเพื่อน  พอเสร็จ เรากับเพื่อนขอบคุณ คุณตำรวจ  แล้วก็รีบเดินออกมาอย่างทันที  ระหว่างที่เดิน  แม่ค้าร้านอื่นๆ มองกันตาเขม็ง  พร้อมกับตะโกนถามว่า เพื่อนกันหรอ ?  ( แล้วทำไมล่ะ  ไม่ใช่เพื่อน  แล้วช่วยไม่ได้หรือไงนะ  แอบคิดอยู่แต่ไม่ได้พูดหรอก )

ต่อจากนั้นเรากับเพื่อนก็เดินไปไหว้พระพิฆเนศ ต่อ  ผิดกับเหตุการณ์เมือกี้  ถ้าใครเคยไปไหว้พระตรีมูรติ หรือ พระพิฆเนศ บริเวณหน้า CTW  จะทราบดีกว่า  ธูปเทียนมีบริการให้ฟรี  หรือจะหยอดเงินใส่ตู้ก็ได้  เรากับเพื่อนก็เตรียมของมา ถือมาเยอะแยะ  แต่ขาดเทียนไม่ครบค่ะ  เพื่อนเราก็เดินดูทีบริเวณจัดบริการธูปเทียนให้ว่ามีไหม  ปรากฏว่าหมด  เพื่อนเราก็จะเดินไปซื้อ  เจ้าหน้าที่เห็นถือของเยอะ  เดินมาบอกว่า “ หนูๆ ตรงนั้นมีถาดไปหยิบมาใส่ของสิ ”
เรากับเพื่อนก็บอกว่า “ เดี๋ยวไปซื้อเทียนก่อนค่ะ ”
เจ้าหน้าที่ “ เอาในกล่องสิ ”   เพื่อนบอกว่า “ มันหมดค่ะ”  
เจ้าหน้าที่ “ เดี๋ยวไปเบิกมาให้ ”
เรากับเพื่อนรู้สึกดีมากๆ  ผิดกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อกี้  ลิบลับ

เราเลยอยากจะเตือนเพื่อนๆ ทุกคนที่คิดจะไปสักการะท้าวมหาพรหมนะว่า  กรุณาตรวจสอบราคาให้แน่ใจก่อน  อย่าไว้ใจใคร  เพราะยุคนี้  ใครใครก็หาผลประโยชน์ใส่ตัว  ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม  ไม่อยากให้เพื่อนๆ เจอเหตุการณ์แบบนี้  คนไทยกันเองยังทำร้ายกันเอง  คนต่างชาติจะเหลืออะไร  อยากให้ทุกคนช่วยกันดูแล  ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวถ้าเจอปัญหา  ในฐานะที่เราเป็นคนไทย นะคะ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #61 เมื่อ: 16 กันยายน 2553, 12:00:18 »

SCB EasyNet แจ้งเตือนระวังเว็บไซต์ และอีเมลปลอม

จาก  scbeasynet@scb.co.th












      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #62 เมื่อ: 26 กันยายน 2553, 22:57:55 »

When You are trapped in a lift … เมื่อคุณติดอยูในลิฟต์

เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว เกิดเหตุการณ์ลิฟท์ร่วง ที่โรงแรมในพัทยา  มาติดตามข่าวกันค่ะ ... จาก :

http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:FfsbWD-hVpkJ:www.pattayadailynews.com/th/2010/07/26/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1/+%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9F%E0%B8%97%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87+%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2&cd=6&hl=th&ct=clnk&gl=th

ความคืบหน้าลิฟท์ร่วง ! โรงแรมดัง เจ็บระนาว

จากเหตุการณ์ลิฟท์ของโรงแรมเวลคัมจอมเทียน ร่วงลงมากระแทกยังชั้น G ของโรงแรม  ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 16 คน โดยอาการคนเจ็บที่หนักสุดแค่ขาหักจำนวน 1 คน ส่วนคนอื่นๆ แค่เจ็บเคล็ดขัดยอกตามร่างกาย เมื่อเวลาประมาณ 18.30 น.วันที่ 24 ก.ค.53 ที่ผ่านมา

พัทยา - วานนี้ ( 25 ก.ค. 53 ) ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อเวลา 15.30 น.ตัวแทนบริษัทดูแลลิฟท์เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ธราเทพ ตูพานิช รอง ผกก. ( สส. ) สภ.เมืองพัทยา เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดเหตุ แต่ยังไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดของบริษัทให้กับทางผู้สื่อข่าว บอกเพียงว่าเป็นบริษัทของชาวอเมริกาที่ร่วมลงทุนกับคนไทย โดยได้สร้างลิฟท์และดูแลโรงแรมที่เกิดเหตุมากว่า 10 ปี และไม่เคยเกิดเหตุการณ์อะไร

 

 

ส่วนสาเหตุในครั้งนี้นั้นยังสรุปไม่ได้ ต้องใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ เพราะยังไม่สามารถยกตัวลิฟท์ให้อยู่ในสภาพปกติได้ เนื่องจากสายสลิงเกิดหลุดออกจากตัวรอก ซึ่งโดยปกติลิฟท์จะรับน้ำหนักได้ประมาณ 1,000 กม. หรือถ้าเป็นคนไทยจะไม่เกิน 15 คน ซึ่งในเบื้องต้นทางบริษัทได้พูดคุยกับทางโรงแรมแล้ว ในการออกค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลให้กับผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด

ด้าน พ.ต.ท.ธราเทพ ตูพานิช รอง ผกก. ( สส. ) กล่าวว่า ในเบื้องต้นได้เรียกคนเจ็บทั้งหมดมาให้ปากคำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเกิดเหตุ ซึ่งกรณีนี้ต้องมีคนรับผิดชอบว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ในเบื้องต้นสาเหตุที่เซ็นเซอร์ไม่ทำงานเป็นเพราะอะไร ซึ่งในช่วงบ่ายในวันพรุ่งนี้ ( 26 ก.ค. 53 ) เจ้าหน้าที่วิทยาการเวรจังหวัดชลบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่ช่างผู้ชำนาญของบริษัทดูแลลิฟท์จะร่วมกันตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริง

ส่วนด้าน นายวัชระ พลศรีลา อายุ 29 ปี พนักงานขายที่เข้าร่วมสัมมนา เล่าเหตุการณ์ว่า พวกตนเป็นพนักงานขายของบริษัทมิตรบุรีรัมย์ เทรดดิ้ง ในเครือบุญรอด เดินทางมาสัมมนากว่า 400 คน ในขณะเข้าลิฟท์เพื่อจะลงมายังชั้นที่ 7 โดยเข้าไปจำนวน 20 คนแต่ไม่มีสัญญาณเตือน พอลงมาถึงบริเวณที่หมายชั้นที่ 7 ไฟเกิดดับลิฟท์ก็เลยลงไปกระแทกที่ชั้นจีอย่างแรง ส่วนตนเองนั้นไม่ได้เป็นอะไรมากเพียงแค่ขาเคล็ดเท่านั้น

ทางด้านความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ ( 26 ก.ค. 53 ) เมื่อเวลา 13.00 น. พ.ต.ท.ธราเทพ ตูพานิช รอง ผกก.สส.สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี พร้อมด้วย พ.ต.ท.อรรณพ ตปานนท์ รอง ผกก.กองวิทยาการเขต 13 ชลบุรี และกำลังตำรวจจำนวนหนึ่ง เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุภายในโรงแรมเวลคัมจอมเทียน โดยมีเจ้าหน้าที่ช่างเทคนิคจากบริษัท โอติส จำกัด ซึ่งเป็นผู้ติดตั้งลิฟท์ดังกล่าว พาไป

ตรวจสอบที่ห้องควบคุมระบบบนชั้น 16 ของโรงแรม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการบันทึกภาพไว้อย่างละเอียดเพื่อนำไปตรวจสอบอีกครั้งโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชม. จึงแล้วเสร็จ

พ.ต.ท.ธราเทพ ตูพานิช รอง ผกก.สส.สภ.เมืองพัทยา เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำผู้ได้รับบาดเจ็บทราบว่า ก่อนเกิดเหตุขณะโดยสารอยู่ในลิฟท์ประมาณ 20 คน จากชั้น 16 ลงมาชั้นล่าง เมื่อมาถึงชั้น 7 ลิฟท์เกิดกระตุกจนหยุด แต่ภายหลังก็ยังเลื่อนลงมาเรื่อย ๆ กระทั่งมาถึงชั้น 4 ลิฟท์ได้หยุดอีกครั้งและไฟฟ้าดับ ก่อนที่ลิฟท์จะร่วงลงมากระแทกพื้น

นอกจากนี้ยังได้สอบปากคำเจ้าหน้าที่เทคนิคของบริษัท โอติส จำกัด ทราบว่า ลิฟท์ดังกล่าวสามารถรับน้ำหนักได้ไม่เกิน 1,000 กก. และได้มาทำการตรวจเช็คลิฟท์ครั้งล่าสุดเมื่อประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปถึงสาเหตุที่ทำให้ลิฟท์ขาดได้ คงต้องรอกระบวนการทดสอบจากช่างเทคนิคอีกประมาณ 1 สัปดาห์จึงจะรู้ผล อย่างไรก็ตามสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าน่าลิฟท์น่าจะรับน้ำหนักเกิน และคงเกิดความผิดพลาดจากตู้ควบคุมระบบที่ไม่ส่งสัญญาณเตือน ซึ่งจะได้ทำการสอบสวนเพื่อหาข้อสรุปของคดีนี้ต่อไป

เมื่อติดอยู่ในลิฟท์ และกำลังร่วงลงกระแทกพื้น เราจะทำยังไงดี ?

ยุพยงค์ - อักษร 18 ... ส่งมา

MUST read and remember ! ! ! !  What to do when you are trapped in a lift ? ! !
ขอให้อ่าน และจำไว้  คุณต้องทำอะไรบ้าง ? เมื่อคุณติดอยู่ในลิฟต์  

We never know when and where accidents will happen to us OR people around us. Read on and hope this piece of information may help any of us when things do happen !  For ourselves, our friends and our loved ones.
เราไม่รู้ว่าเมื่อไร และที่ไหนจะเกิดอุบัติเหตุกับเรา หรือกับคนใกล้ตัว  ขอให้อ่าน และหวังว่าข้อมูลนี้จะช่วยเรา และคนที่เรารักได้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ

One day, while in a lift, it suddenly breakdown and it was falling from level 13 in a fast speed. Fortunately, I remembered watching a TV program that has taught that you must quickly press all the buttons for all the levels. Finally, the lift stopped at the 5 level. While you are facing life and death situations, whatever decisions or actions you make decides your survival.
วันหนึ่ง ขณะที่อยู่ในลิฟต์  มันเกิดหยุดกระทันหัน และร่วงลงจากชั้น 13 ด้วยความเร็วสูง  โชคดีที่ผมจำได้จากทีวีที่สอนว่า คุณจะต้องกดทุกปุ่มสำหรับทุกชั้นอย่างรวดเร็ว  ในที่สุดลิฟต์ก็หยุดที่ชั้น 5  ขณะที่คุณกำลังเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย  การตัดสินใจ หรือการกระทำใดๆ จะตัดสินความอยู่รอดของคุณ

If you are caught in a lift breakdown, first thought in mind may be ' waiting to die '.... But after reading the below, things will definitely be different the next time you are caught in a lift.
ถ้าคุณติดอยู่ในลิฟต์ที่หยุดทำงาน  สิ่งแรกที่นึกถึงมักจะเป็น ' รอความตาย '  แต่หลังจากอ่านคำแนะนำนี้แล้ว  คุณจะแก้สถานการณ์ได้  เมื่อคุณต้องติดอยู่ในลิฟต์

First - Quickly press all the different levels of buttons in the lift.
สิ่งแรก - ให้กดปุ่มให้ลิฟต์จอดทุกชั้น อย่างเร็วที่สุด

Second - Hold on tight to the handle ( if there is any ).
สอง - ยึดมือจับให้แน่น  ถ้ามี
 
Third - Lean your back and head against the wall forming a straight line.
สาม - พิงหลัง และศีรษะเข้ากับผนัง ให้เป็นเส้นตรง
 
Fourth - Bend your knees. Reason - When the lift falls, you will not know when it will hit the ground, and it may result in whole body bone fracture.
สี่ - งอเข่า  เหตุผลก็คือเมื่อลิฟต์ตก  คุณจะไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะกระแทกกับพื้น  และอาจจะส่งผลให้กระดูกทั้งตัวแตกละเอียด  เนื่องจาก :

Point 1 - When the emergency electricity supply is being activated it will stop the lift from falling further.
ข้อแรก - เมื่อไฟฟ้าสำรองทำงาน  ลิฟต์จะหยุดร่วง

Point 2 - It is to support your position and prevent you from falling or getting hurt when you lost your balance.
ข้อสอง - ถ้าคุณเสียการทรงตัว  การงอเข่าจะช่วยพยุง และป้องกันคุณไม่ให้ล้ม หรือบาดเจ็บ

Point 3 - Leaning against the wall is to use it as a support for your back spine as protection.
ข้อสาม - การพิงผนังจะช่วยป้องกันกระดูกสันหลังของคุณ

Point 4 - Ligament is a flexible, connective tissue. It can be attached to the bone part of the activities, but limit the scope of their activities in order to avoid injury. Thus, the impact of fractured bones will be minimized fromt the severe pressure during fall.
ข้อสี่ - เส้นเอ็นมีความยืดหยุ่น  จะช่วยลดการบาดเจ็บ เนื่องจากกระดูกหัก  เพราะแรงกระแทกในขณะลิฟต์ร่วง
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #63 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 13:11:15 »

ระมัดระวังตัว กันหน่อยเด้อ !

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

(1) ถ้ามีใครขอให้ช่วยกด เอทีเอ็ม จงปฎิเสธ .... จงบอกให้เขาไปขอความช่วยเหลือ จาก พนง.ธนาคารดีกว่า ... เหตุผลคือ " มีกล้อง วงจรปิด ที่หน้าตู้ " .... ถ้าบัตรนั้นถูกขโมยมา ภาพของคุณจะปรากฎ แทนหน้าโจร ( งานเข้า กันล่ะคุณเอ๊ย ! )

(2) ถ้าบ้านคุณเกิดไฟดับ แต่เมื่อมองไป ไฟข้างๆ บ้านยังสว่างอยู่ ..จงอย่าผลีผลาม เปิดประตูบ้านออกไป เพื่อตรวจดูมิเตอร์ไฟเพราะคุณอาจเจอ คนถือมีด ยืนรอปล้นคุณอยู่ที่หน้าประตู

(3) คุณอาจเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน ... เห็นเด็กน้อยยืนร้องไห้ อยู่ข้างทาง บอกว่าหลงทางและขอให้พาไปส่งบ้าน ตามที่อยู่ในกระดาษเมื่อไปถึงบ้านเด็กที่หลงทาง ... คุณจะถูกไฟฟ้าดูด จนหมดสติ  เมื่อเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูเมื่อได้สติ จะพบว่าตนเองอยู่ในสภาพเปลือย ในห้องที่ว่างเปล่า
** การเป็นคนใจดี ในสมัยนี้ ต้องใช้ความระมัดระวังด้วย**

(4) วันหนึ่ง มีหญิงแก่มายืนที่หน้าบ้าน ถือถุงขนมมาด้วย 2 ถุง .. ตอนแรกคิดว่าเป็นคนในละแวกบ้านเอาขนมมาให้แต่พอเธอเอ่ยปากพูดจึงรู้ว่า  เธอเป็นชาวต่างชาติ เพราะพูดภาษากันไม่รู้เรื่อง  เลยปิดประตู เพราะคิดว่ามาขอเงิน**ภายหลัง จึงได้รู้ว่า หญิงแก่คนนี้ ได้ปล้นคนบางคน ในระแวกถนนนั้นได้สำเร็จ

(5) ขณะที่กำลังจะถอนเงินทีตู้เอทีเอ็ม  ก็มีหญิงแกขอร้องให้ช่วยกดเงินให้เธอ เพราะเธอทำไม่เป็น ... เวลาเดียวกัน ... จะมีเด็กตัวเล็กมายืนข้างๆ เตรียมจะเอามือไปเตรียมหยิบเงิน" ของคุณ " --- ขณะที่หญิงแก่ พยายามดึงความสนใจของคุณไปจากหน้าตู้
* จงระวังและตื่นตัว ขณะกดเงิน*** และ ระวังคนที่ไม่น่าไว้ใจด้วย

(6) มีคุณแม่ผู้เกษียณแล้วอยู่บ้านเฉยๆ ได้เล่าให้ฟังว่า .. วันหนึ่งมีวัยรุ่นมาที่บ้านบอกว่าน้ำมันหมด  แล้วขอกระป๋องโค๊ก เปล่าๆ ใบหนึ่ง  เพื่อเอาไปซื้อน้ำมันที่ปั๊ม โดยจะจ่ายให้ 2 ริงกิต ( เงินมาเลย์ ) = 9.7 x2 บาทแล้วล้วงกระเป๋าเอาธนบัตร 100 ริงกิต ออกมาให้ .... แล้วให้ท่านทอนเงิน  แต่โชคดีที่ท่านบอกว่า ไม่เอาเงินค่ากระป๋องเปล่า ให้ฟรีๆ โชคดีมากๆ เพราะ * เงินนั้นเป็นเงินปลอม *  ถ้าทอนจะเสียเงินไป 98 ริงกิต

(7) เรื่องนี้เกิดที่บาหลี เมื่อสามีพาภรรยาไปเที่ยว แล้วภรรยาเกิดหายตัวไป ....
ตอนแรกนึกว่า เล่นกัน แต่หายไปหลายชั่วโมง จนต้องแจ้งให้ตำรวจช่วยตามหา ... แต่ก็ไร้ผล
หลายปีต่อมา ... สามีกลับมา บาหลีอีกครั้ง และได้ไปดูโชว์ " ของแปลก " ในบ้านเก่าๆ หลังหนึ่ง....
เขาไปเห็น มีหีบเหล็กที่สกปรกและขึ้นสนิม.... ในนั้นมี หญิงสาวผู้ ไร้แขนขา ... ทั่วใบหน้า และทั่วร่างเต็มไปด้วยแผลเป็นเมื่อเขาได้มองใกล้ๆ ก็ต้องตกใจ เพราะนั่นคือภรรยาที่หายไปของเขา ทีถูกจับขังเพื่อเป็นขอทาน

(Cool ระวัง เสียงเด็กร้องไห้  เพราะคนร้ายจะอัดเทปเสียง  เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดประตูออกมา ...

(9) มีคนหายไปจากแหล่งชอปปิ้งที่เซี่ยงไฮ้  หาไม่เจอ  เวลาผ่านไปหลายปี  ก็มีคนพบว่าเธอกลายเป็นขอทานข้างถนนในกรุงเทพ  ในสภาพพิการไร้แขนขา และถูกล่ามโซ่

(10) ระวังเวลาไปเข้าห้องน้ำ คนเดียว  คุณอาจจะถูกแก๊งค์ขายชิ้นส่วนมนุษย์จับไป  โดยยัดไว้ใต้รถเข็นอุปกรณ์ทำความสะอาด

(11) แก๊งค์จะทำเป็นเอาธนบัตรหล่นไว้ล้อหลังของรถคุณ แล้วมาเคาะหน้าต่าง  เรียกคุณลงไป " เก็บ " เงินทีคุณทำตกไว้เมื่อคุณลงไป  คุณจะถูกปล้น ! ! !

อ่ะจ๊าก !  สยองทุกข้อเลยอ่ะ ... สมัยนี้  ต้องชั่งใจอย่างมาก  ระหว่าง " การระมัดระวังตัวเอง " กับ " แล้งน้ำใจเกินไป รึเปล่า ? "
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #64 เมื่อ: 29 กันยายน 2553, 00:14:08 »

 

          ขอบคุณพี่เจี๊ยบค่ะ ที่นำเรื่องดีๆ มาเล่า ให้ได้ระมัดระวังตัวค่ะ ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #65 เมื่อ: 16 ตุลาคม 2553, 21:09:00 »


        จ้า  น้องอ้อย  มาช่วยกันเล่าด้วยนะคะ ...

ระวัง วิธีหาเงินแบบใหม่

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

         อยากเล่าประสบการณ์ที่เพิ่งเจอมาเมื่อคืนนี้เอง  ตอนประมาณ 1 ทุ่ม ขับรถกลับบ้านคนเดียวตามปกติ พอดีน้ำมันใกล้หมด เลยเลี้ยวเข้าปั้มน้ำมัน  จอดยังไม่ทันเติมเลย ก็มีชายคนหนึ่งเดินมาพูดกับเด็กของปั้ม  เด็กมาบอกเราว่า ' พี่ครับ ตะกี้พี่เลี้ยวเข้ามา หินกระเด็นโดนตาของพี่ผู้ชายคนนั้นครับ '
 
       เราตกใจเปิดกระจกรถลงสุด แล้วมองไปที่ชายคนนั้น ดูที่ลูกตา มีเลือดไหลออกมาด้วย ชายคนนั้นพูดว่า ' ผมนั่งสูบบุหรี่อยู่ตรงทางเข้า รถคุณขับเข้าปั้ม ไม่รู้ว่า หินหรือแก้ว กระเด็นมาโดนตาผมครับ '  เรารีบบอกเค้าว่า ' โดนตาหรือค่ะ ขอโทษค่ะ ไม่ต้องห่วง เรามีประกัน เดี๋ยวเราเรียกประกันเรามา ' ในใจคิดว่าจะเอาเงินให้เค้าไปหาหมอก่อนดีมั้ย  แต่คิดอีกทีแจ้งประกันก่อนดีกว่า  เรารีบไปโทร.แจ้งประกัน ขณะที่กำลังคุยกันอยู่  ชายคนนั้นก็เดินมาพร้อมทิชชูที่ซับตาอยู่  แล้วบอกเราว่า ' ผมจะไปหาหมอก่อนนะครับ ' เรารีบถามพี่ประกัน ( ในสาย)  ว่า ' คนเจ็บจะไปหาหมอให้เค้าไปก่อนเลยได้ใช่มั้ย ' พี่ประกันก็บอกว่า ' ได้ครับ  แต่พี่ไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งนั้นนะ รอเจ้าหน้าที่ผมก่อน '

      จากนั้นเราก็นั่งรอ และเข้าไปในร้านมินิมาร์ท กินน้ำ และ ยืนรอ ยังคุยให้คนขายฟังเลย  คนขายบอกว่า ตะกี้ชายคนนั้นก็มาขอทิชชูไปซับเลือดเลย  เรารู้สึกไม่ค่อยดี ไม่รู้เค้าจะเป็นอะไรหรือเปล่า  พี่ประกันโทร.กลับมาบอกเราว่า เจ้าหน้าที่ Survey เค้าออกมาแล้ว รอแป๊ปหนึง เราบอกว่าเนี่ยคนเจ็บไปหาหมอยังไม่มาเลย  พี่ประกันบอกว่า ' คงไม่มาแล้วล่ะครับพี่  เราพอจะมีข้อมูลอยู่  ทำไมเค้าต้องมานั่งสูบบุหรี่บริเวณนั้น  แล้วทำไมรถผ่านไปมาตั้งมาก  ทำไมต้องพอดีมาเป็นหินกระเด็นจากรถพี่ด้วย Case แบบนี้เราเจอมามากครับ  เค้าทำงานกันเป็นแก๊งค์  แต่พี่ไม่ต้องห่วงถ้าเป็นเรื่องจริงทางบริษัทฯ ยินดีดูแลรักษาให้เต็มที่  รอเจ้าหน้าที่ผมก็นะครับ ' เราก็รอต่ออีกแป๊ปเดียว พี่ประกันอีกคนก็ขี่รถมาจอด สอบถามเรื่องราวกันเสร็จ ยืนรอ นั่งรอ  จนเป็นชั่วโมงชายคนนั้นก็ยังไม่มา  พี่ประกันก็เลยบอกให้เราไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานไว้ ( ไม่งั้นวันหลังอาจมีหมายมาตามว่าชนคนแล้วหนี ) เราให้เบอร์ติดต่อไว้  บอกท่านสารวัตร ( ใจดี ) ว่าเรายินดีรับผิดชอบทุกอย่าง แต่คนเจ็บไม่กลับมาซะที

      กลับไปที่ปั๊มน้ำมันอีก เผื่อว่าคนเจ็บจะกลับมา ถามเด็กของปั๊ม ก็ยังไม่มีใครกลับมา รวมๆ ทั้งหมด 2 ชั่วโมงแล้ว  เลยฝากบอกเด็กไว้ว่า ถ้าชายคนนั้น ( ซึ่งเด็กเห็นกันหมดทุกคน ) กลับมาให้ติดต่อสถานีตำรวจได้เลย  เพราะได้แจ้งความ และให้เบอร์ติดต่อกลับไว้ที่ตำรวจแล้ว  เรายังฝากเรื่องไว้ที่พี่ร้านมินิมาร์ทอีกด้วย

      พี่ประกันบอกว่า ถ้ามองในแง่ร้าย พวกนี้เค้าทำงานกันเป็นทีม และ เลือกเฉพาะรถที่ผู้หญิงขับคนเดียว ซึ่งเมื่อตกใจส่วนใหญ่ก็จะรีบให้เงินคนเจ็บไปหาหมอก่อน หรือ หากใจดีมากก็จะเอาคนเจ็บขึ้นรถไปหาหมอเองเลย  ทีนี้ก็จะเข้าแผนพวกมัน  สามารถจี้ตัวไปปล้นหรือทำอะไรได้มากมาย

      เพราะฉะนั้น เพื่อความปลอดภัยควรจะระวังตัว  คิดในแง่ร้ายไว้ก่อน  แล้วรอเจ้าหน้าที่มาจะดีที่สุด
 
      เราเลยอยากแชร์เรื่องราวที่เจอเองเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่รักของเราทุกคนรู้จ้า  จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพ  ช่วยส่งต่อๆ กัน เพื่อจะได้ระวังตัวนะค่ะ   

      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 2 [3]  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><