ได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งจากเวปธรรมะ
http://larndham.org/index.php?/topic/32488-%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4/page__st__5เพื่อนคนนั้นป่วยเป็นโรคร้ายระยะสุดท้าย เค้าก็ปฏิบัติธรรม
การปฏิบัติก็ก้าวหน้าด้วยดี และได้อภิญญาบางอย่างเป็นของแถม
แต่ว่า ตัวเค้าเองนั้นถือศีลเพียงแค่ 4 ข้อมาตลอด
แต่ในอนาคตไม่แน่ว่าเค้าอาจรักษาได้ครบ 5 ข้อ
มีผู้ปฏิบัติธรรมอาวุโสท่านหนึ่ง ซึ่งท่านก็ได้อภิญญาเหมือนกัน
บอกกับเพื่อนคนนี้ว่า เพื่อนจะหาย จะไม่เป็นอะไร
และอีกไม่เกิน 4 ปี จะได้ดีแน่ในทางปฏิบัติ
เลยอยากถามว่าผู้ที่ถือศีลเพียง 4 ข้ออย่างนี้
จะสามารถบรรลุธรรมในขั้นต้น(โสดาบัน)ได้มั้ย
หรือว่าต้องมี 5 ข้อเป็นอย่างน้อย
รบกวนผู้รู้ช่วยตอบด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ตอบ
การอยู่ในระเบียบวินัย คือ ศีล นั้น เป็นมงคลอันสูงสุด เหมือนกับคนที่ปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมือง ชีวิตผู้นั้นก็จะอยู่อย่างสงบ ไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะถูกตำรวจจับ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถทำมาหากินได้อย่างสะดวก ไม่เป็นศัตรูกับใคร
ศีลก็เหมือนกันหากผู้ปฏิบัติอยู่ในกรอบแห่งศีล แม้นจะผิดพลาดบ้างเล็กน้อยก็ค่อยแก้ไขกันไป หมายความว่าไม่ได้มีเจตนา หรือมีสันดารชั่วในการที่จะละเมิดศีล หรือปฏิเสธศีลโดยเป็นประเภทปะทะปรมัตถ์ คือ ดื้อด้าน ยโสโอหัง ไร้จิตสำนึก การที่มีศีลบ้างบางข้อ ก็ถือว่าได้ยอมรับในเรื่องของศีลโดยรวมแล้ว เมื่อยอมรับแล้วก็เป็นเบื้องต้นในการปลูกศรัทธาอันดีงามหรือมีความเห็นอันชอบไว้ในเบื้องต้นแล้ว ต่อไปก็ให้ค่อยปลูกศีลลงไปในจิตตนเองตามสัจจะที่ได้ตั้งไว้มากขึ้น จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ หรือจะปฏิบัติแบบเต็มเหนี่ยวเลยก็ได้แล้วแต่จริตของแต่ละท่าน อันนี้เป็นสิทธิส่วนตนที่เกิดจากกำลังศรัทธา ความเพียร สติ สมาธิ ปัญญา
คนที่มีศีล ก็เปรียบเหมือนบ้านที่ได้ลงรากฐานไว้ หรือบ้านที่ได้มีรั้วรอบขอบชิด ทำให้อบอุ่นใจ มั่นใจในระดับหนึ่ง สมมติว่า เรามีศีล 4 ข้อ ไม่มีศีลข้อ 5 คือ สุราเมรัย เราก็ต้องเหนื่อยที่จะต้องมานั่งลบอยู่กับเจ้าตัวสุราเมรัย แทนที่จะมีเวลาไปปฏิบัติจิตภาวนาได้เต็มร้อย ก็ต้องมารำลึกถึงสุราเมรัยว่าได้เวลาดื่มแล้ว ยิ่งถ้าติดสุราด้วย ร่างกายก็จะแสดงอาการที่ต้องการดื่ม จิตใจก็หงุดหงิด เหมือนคนหิวข้าวแล้วไม่ได้กินข้าวมาหลายวันก็จะฟุ้งซ่าน
ลำพังการหิวข้าว หิวน้ำเราก็ยุ่งจะแย่แล้วที่จะต้องหารับประทาน นี้เป็นวิสัยของสิ่งมีชีวิตที่เป็นปกติ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานของมนุษย์ นอกนั้นเป็นสิ่งเกินความจำเป็นทั้งนั้น หากเผลอไปรับเข้ามาแล้วติดอยู่ ก็เดือดร้อน เพราะจะกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และต่อ ๆ ไป ก็จะรู้สึกว่าอึดอัด ขัดข้องขึ้นมาลึก ๆ ในจิตใจ แต่ไม่ได้เฉลียวใจ เพราะมัวไปหลงเพลิดเพลิน คะนองไปกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น จนกระทั่งเมื่อไม่ได้ดังใจกับสิ่งนั้นก็จะทำให้รู้สึกชัดเจนถึงความอึดอัดขัดข้อง เป็นที่หนักอกหนักใจขึ้นมา และเป็นความเดือดร้อน เป็นฟืนเป็นไฟแก่ตนเอง และแถมบางครั้งยังต้องเดือดร้อนแก่ผู้อื่นด้วย
การปฏิบัติในกรอบของศีลเพียง 5 ข้อใหญ่นี้ เป็นพื้นฐาน เป็นปกติของจิตใจ และครอบคลุมได้หมด แต่หากรู้จักวิเคราะห์วิจัยในศีล 5 ข้อใหญ่ หรือ 5 ข้อหลักนี้ ให้ละเอียดลึกลงไปจะมีรายละเอียดอยู่ในนั้นมากมายจนกลายเป็นศีล 227 ข้อ แบบพระสงฆ์ไปเลย ใครปฏิบัติได้ถึงขนาดนั้นก็ได้ชื่อว่า มีระเบียบวินัยของสงฆ์อยู่ในจิตใจแล้ว
สติสัมปชัญญะ เป็นสิ่งจำเป็น การระลึกรู้ให้เท่าทันในเหตุของธรรมอันเป็นเหตุปัจจัยภายในบ้างภายนอกบ้างแล้วรู้จักยับยั้งชั่งใจ แล้วใช้ปัญญาวิเคราะห์เจาะลึกเข้าไป ก็จะทำให้เกิดความรู้ เกิดการยอมรับในสิ่งอันดีงาม อันชอบธรรม และเกิดภาษาธรรมของตนเองขึ้นมา จะคิด พูด ทำ ก็จะอยู่ในกรอบนั้น ก็เป็นอันว่ามั่นใจได้ว่าได้แสดงออก ด้วยกาย วาจา ใจด้วยความสุจริตใจ
สุจริตใจนี้แหละ เป็นสิ่งที่ต้องเน้น เพราะว่าศีลนี้ทำให้เราเป็นผู้สุจริตใจ คือ ไม่มีเล่ห์กระเท่ห์ ไม่เล่นลิ้น ไม่โหยหาจนผิดธรรม เป็นผู้เปิดเผยตรงไปตรงมา อันนี้บอกว่า ฆ่าไม่ได้ก็บอกว่าฆ่าไม่ได้ เช่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฆ่าไม่ได้ แต่หากเป็นฆ่าเวลา อันนี้ก็ฆ่าได้ เพราะเวลาไม่มีชีวิตแม้นนาฬิกามันจะเดินได้ก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต หรือ การทำร้ายกันจองเวรเบียดเบียนกัน กระทำต่อกันโดยอีกฝ่ายไม่ได้ยินยอม ไปลักขโมยเขา ขโมยตั้งแต่สิ่งของ ไปจนถึงสัตว์สิ่งมีชีวิต และจนไปถึงขโมยพรหมจรรย์ของเขา ใช้เล่ห์ โกหก หลอกลวงสารพัดต่าง ๆ นา ๆ จนถึงการเบียดเบียนตนเองด้วยการดื่มสุราเมรัย ไม่สนใจว่าดื่มแล้วจะทำให้ร่างกายนั้นเสื่อมโทรม ทำให้กระบวนการทำงานของร่างกายอันเป็นเหตุปัจจัยภายในนั้นผิดปกติ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รวนไปหมด สัมผัสสิ่งต่างตามอำเภอใจไปหมด ดื่มสุราจนรู้สึกว่าสุราหอมหวาน ทั้งที่มันขมจะแย่อยู่แล้ว นั่งหลังขดหลังแข็งเป็นเวลานานก็บอกว่าเป็นความสุข ทั้งที่มันทุกข์จะแย่อยู่แล้ว กินกับแก้มจนท้องโต กินน้ำโซดา น้ำขวด จนมีแต่แก๊สเต็มพุง ก็ยังบอกว่าสบายตัว ทั้งที่มันอึดอัดขัดข้องจะแย่อยู่แล้ว พอเมาขึ้นมาก็หัวซุกหัวซุนเที่ยวซุกซนไปเรื่อย แล้วก็อ้วกเลอะเทอะ อ้วกทั้งที่ปาก และที่อวัยวะเพศ แถมกลิ่นตัวก็เหม็น ก็ยังหลอกตัวเองว่าดื่มสุราแล้วดี เข้าสังคมดี เพื่อนดี อาหารดี เพศศึกษาดี ชกต่อยตีกันดี ชั่งสามารถกลบเกลื่อนความอ่อนแอตนเองได้แบบไม่ละอายเกรงกลัวบาปเลยจริง ๆ แล้วอย่างนี้จะเอาสติ ปัญญาที่ไหนไปปฏิบัติธรรม คงต้องรอชาติหน้าตอนบ่าย ๆ
เริ่มต้นให้เสียสละเป็นสิ่งดี ลดตระหนี่ใจแคบลงเสียบ้าง
ใช้ประหยัดมีวินัยแบบปล่อยวาง ไม่เลือนล้างน้อมนำสิ่งดีงาม
ให้มีศีลซื่อสัตย์แก่กายใจ ทำสิ่งใดใคร่ครวญคอยติดตาม
แม้นลำบากยากเข็ญต้องแบกหาม ทุกโมงยามจะเพียรหามเพื่อสิ่งดี
ภาวนาจิตใจให้คล่องแคล่ว จะไม่แห้วเกิดดีปัญญามี
รู้วิเคราะห์วิจัยธรรมให้ดี ทุกชีวีก่อเกิดความดีเอย
อ่านแล้วน่าคิดเลยเอามาฝาก ลุงปิ้ดจะได้ไม่เหงา