ร้านเพลินวาน ซึ่งเพิ่งเปิดในปี 2552 ที่ผ่านมานี้เอง อยู่ตรงข้ามกับวังไกลกังวล ก่อนถึงหรือถึงร้านจะมีซอยเลี้ยวเข้าไป
หาที่จอด ถ้าจอดในที่เอกชน จะเสียค่าจอดเหมากัน 50 บาท, ส่วนที่เลี้ยวและจอดใต้ถุนของร้าน ไม่ทราบราคา และจอด
ริมถนนเลยก็ได้ หากไม่ใช่วันหยุดที่มีคนและรถพลุกพล่าน
ลักษณะร้านเหมือนนำไม้เก่า สังกะสีเก่า มาตี มาปะแบบอนุรักษ์เป็นโกดังแบบโบราณ เสมือนเป็นบ้านห้องแถวเก่าริมแม่น้ำ
ทั้งสองฝั่งคลอง แต่หากไปจับเนื้อไม้ สังกะสีที่ตีเข้าไว้เป็นตัวบ้าน ร้านค้าแล้ว จะรู้ว่า ไม้เชอร่าใหม่กิ๊ก สังกะสีก็เป็นของใหม่
เพียงแต่ถูกทาสีอำพรางให้เก่าไว้ ส่วนอุปกรณ์หลายๆ อย่างเป็นของเก่าเก็บ และทำเทียมเรียนแบบของเก่าขึ้นมา ซึ่งน่าจะ
สร้างเรียนแบบตลาดร้อยปีสามชุก, ตลาดร้อยปีตำบลบางหลวง หรือตลาดร้อยปีคลองสวน ฉะเชิงเทรา นั่นเอง แสดงถึงความ
ต้องการชมสิ่งของเก่าๆ ที่สวยงามและอยู่ในบรรยากาศเก่าๆ ย้อนยุค 50 ปีขึ้นไปของคนไทยเพิ่มมากขึ้น แทนการไปเดินห้าง
สรรพสินค้า ที่ตั้งขึ้นแบบดาษดื่นในปัจจุบัน รวมทั้งจำลองสถานที่ท่องเที่ยวในหัวหิน ให้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
ร้านค้าที่ตั้งอยู่ในร้านเพลินวาน มีทั้งร้านขายกาแฟโบราณ, ร้ายถ่ายรูป, ร้านขายผ้า, ร้านขายแผ่นเสียงและเพลงเก่าๆ, ร้านขาย
ขนมกาลอจี้, ร้านขายขนมถังแตก, ร้านขายอาหารแบบตั้งกลางแจ้ง, ร้านขายไอติม และยังมีส่วนที่ยังไม่เปิดคือ โรงหนังและ
ชิงช้าสวรรค์ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังสุดของร้าน ขนมกาลอจี่ในร้านเพลินวานขายชิ้นละ 20 บาท ในขณะที่ซื้อได้ทั่วไปชิ้นละ 5 บาท
แต่ผู้คนยืนอุดหนุนซื้อกันอย่างหนาแน่น เช่นเดียวกับร้านขายขนมถังแตกมีถึง 9 รส คนรอแน่นมากจนต้องจับคิวทีละ 20 เบอร์
สิ่งดีอย่างหนึ่งของร้านเพลินวานคือ การอนุรักษ์รูปแบบของบ้านไม้ที่สร้างมากว่า 50-100 ปี พร้อมประตูบ้านแบบไม้เปิด-ปิด ซึ่ง
หากเปลี่ยนประตูบ้านไปเป็นประตูเหล็กเลื่อน ดังที่เราเห็นกันอยู่ บ้าน 100 ปีก็หมดความหมายไปเลยครับ และประการสำคัญคือ
เครื่องใช้ไม้สอยแบบเก่า ที่คงไว้ เช่น เตาต้มน้ำเพื่อชงกาแฟ เตาเคี่ยวน้ำตาลเพื่อปั้นน้ำตาลเป็นตุ๊กตาขายให้เด็กๆ เตาขนมครก
เตาปิ้งขนมถังแตก ก็ยากที่จะอนุรักษ์ไว้ได้ มีผลให้ทุกบ้านที่เคยมีสิ่งของเหล่านี้ ทำการขายทิ้งเป็นเศษเหล็ก เศษทองเหลืองไป
ให้ร้านขายของเก่าเป็นของไร้ค่าไป
แม้ราคาอาหาร ขนม เครื่องดื่ม จะแพงกว่าภายนอกไปสักจานละ 20 บาท แต่เพื่อกินบรรยากาศและอุดหนุนผู้สร้างสรรงานให้เราชม
ประกอบกับนานที-ปีไปครั้งหนึ่ง ก็จ่ายเขาไปเถอะครับ เพียงแต่อย่า"กระแดะ" ไปซื้อกลับมาทานที่ห้องพักท่านั้น แพงเกินจำเป็นครับ
อย่างไรก็ตาม ภาคค่ำมีการเปิดไฟราว สร้างความสว่างไสวเหมือนงานวัดทีเดียว แต่กล้องจับภาพไม่ได้ครับ เพราะเป็น Digital รุ่นแรก
ภาพเบลอแสงไฟไปหมด แต่หากมีเวลาพอ เที่ยวชมทั้งภาคกลางวันและภาคกลางคืนด้วยก็ดีไปอย่างหนึ่ง เพราะได้ 2 บรรยากาศ
และหากมีโอกาสไปชะอำหรือหัวหินอีก ก็ยินดีไปเที่ยวชมอีกครับ เผื่อจะมีของเก่าบางชิ้นที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนแสดงให้เราชมอีก