26 พฤศจิกายน 2567, 13:06:40
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 [2]  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ขอเชิญร่วมแสดงความยินดี คุณประภาส บุญยินดี  (อ่าน 26192 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #25 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2554, 21:39:00 »

การเมือง : สถานการณ์โลก
วันที่ 15 ธันวาคม 2554
ม.112 พ่นพิษ!เฟซบุ๊กสถานฑูตสหรัฐ โดนเขียนโจมตีหนัก

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 
  ชาวโลกออนไลน์ ถล่มเฟซบุ๊ก สถานฑูตสหรัฐประจำประเทศไทย หลังคริสตี เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐ แสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับ ม.112

คดีที่ศาลตัดสิน "อากง"หรือนายอำพล ตั้งนพคุณ อายุ 61 ปีและคดี"โจ กอร์ดอน" ซึ่งเกิดขึ้นในระยะใกล้เคียงกันนั้น นอกจากนำมาซึ่งการถกเถียงของคนในประเทศ ให้มีการแก้ไข กฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยแล้ว ถึงวันนี้ได้ขยายวงไปถึงสถานฑูตสหรัฐประจำประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อชาวออนไลน์ทั้งหลายได้เขียนข้อความผ่านหน้าเฟซบุ๊กของสถานฑูต ไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐออกมาแสดงความคิดเห็นในดดีดังกล่าว

ตลอดวันที่ 14 ธ.ค.หน้าเฟซบุ๊กของสถานฑูตสหรัฐประจำประเทศไทย ถูกเขียนข้อความส่วนใหญ่โจมตีว่าเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศของไทย อย่างไรก็ตามก็มีบางข้อความที่เขียนสนับสนุน

ทั้งนี้ในเวปไซค์ www.siamintelligence.com ได้ยกมาบางข้อความเช่น ..."อเมริกา คุณคิดว่าคุณเป็นผู้จัดการของโลกนี้หรืออย่างไร คุณเที่ยวไปแทรกแซงกิจการของประเทศโน้นประเทศนี้ มันกงการอะไรของคุณ ประเทศคุณไม่มีวัฒนธรรมเก่าแก่และดีงามเหมือนประเทศไทย เพราะประเทศคุณไม่เคยมีพระมหากษัตริย์ ประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครก็เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ เรามีภาษาพูดภาษาเขียนเป็นของเราเอง เพราะพระมหากษัตริย์ ประเทศคุณเสียอีก ชื่อประเทศอเมริกา แต่ใช้ภาษาของประเทศอังกฤษ คุณแทรกแซงเรื่องอื่นเราทนได้ แต่อย่ามาแทรกแซงเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของเรา"

“If you don’t care about Thai law. Please go out from my country. We love our King.”

“You don’t have the King to understand how love and love.
Take care of your people.
Here is Thsiland and Thai law.
Please respect My Country.”

ผลพวงดังกล่าวน่าจะ เกิดมาจากความไม่พอใจบางส่วน หลังนางคริสตี เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย กล่าวผ่านทวิตเตอร์ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ว่า สหรัฐ กังวลใจต่อการตัดสินคดีของนายโจ กอร์ดอน ชายไทย-อเมริกันที่ถูกตัดสินจำคุกในคดีหมิ่นฯ ซึ่งทางการสหรัฐ ให้ความเคารพต่อสถาบันกษัตริย์ของไทยอย่างสูงสุด แต่รู้สึกเป็นกังวล ต่อการตัดสิน ที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

ขณะที่ นางดาร์โรห์ พาราดิโซ โฆษกด้านเอเชียตะวันออก  ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นไทยในคดีของ"อากง" ในทำนองเดียวกัน โดยระบุว่า  รัฐบาลสหรัฐ เคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยอย่างสูงสุด แต่มีความเห็นว่า การฟ้องร้องและคำพิพากษาของศาล ขัดต่อมาตรฐานเสรีภาพในการแสดงออกในระดับสากล

โดยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมนี้ ที่ผ่านมา ศาลได้พิพากษาคดีนายโจ กอร์ดอน ชาวไทยสัญชาติอเมริกัน ผู้ถูกกล่าวหาว่าในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ  จากการแปลหนังสือเดอะคิง เนเวอร์ สไมล์  หนังสือต้องห้ามภายในราชอาณาจักร ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นภาษาไทย ด้วยการจำคุก 2 ปี 6 เดือน

ขณะที่ล่าสุด นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการด้านเอเชียขององค์กรฮิวแมนไรท์ วอทช์  ได้ประท้วงคำตัดสินของศาลชั้นต้นไทย คดีนายอำพล หรืออากง ผู้ต้องหาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ด้วยการส่งข้อความสั้นทางโทรศัพท์มือถือ พร้อมทั้งจี้ให้ทางการไทยเปิดเผยข้อมูลและจำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตราอาญา 112

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #26 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2554, 21:52:36 »

จำคุก'ดา ตอปิโด'15ปีคดีหมิ่นเบื้องสูง

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ศาลอาญาพิพากษาลงโทษตจำคุก"ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล" คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในความผิด 3 กระทงๆ ละ 5 ปีรวมจำคุก15ปี


ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ผู้พิพากษาได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย.2551 เวลากลางคืน จำเลยขึ้นปราศรัยบนเวทีเสียงประชาชน ณ ท้องสนามหลวง ด้วยการกระจายเสียงทางเครื่องขยายเสียง ท่ามกลางประชาชนที่มาฟังจำนวนหลายคน ซึ่งเป็นบุคคลที่สาม โดยกล่าวคำพูดจาบจ้วง ล่วงเกิน เปรียบเทียบและเปรียบเปรย หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน และสมเด็จพระบรมราชินีนาถองค์ปัจจุบัน ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าทั้งสองพระองค์ทรงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อจะล้มล้างรัฐบาล โดยประการที่น่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง โดยเจตนาจะทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ พระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ฯ พระบรมราชินีนาถ เหตุเกิดที่แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม.

ศาลอาญา ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ส.ค.2552 ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ซึ่งกระทำผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมจำคุก 3 กระทงๆละ 6 ปีรวมจำคุก 18 ปีซึ่งระหว่างพิจารณาคดีจำเลย ไม่ได้รับการประกันตัว

จำเลยยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลส่งเรื่องศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า บทบัญญัติตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 177 ที่ศาลชั้นต้น สั่งพิจารณาคดีลับ ขัดหรือแย้ง สิทธิการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 29 และ 40 หรือไม่ ซึ่งจำเลยเคยยื่นคำร้องให้ศาลชั้นต้นส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วแต่ยกคำร้อง

ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 9 ก.พ.2554 ว่าเมื่อศาลอุทธรณ์ตรวจดูแล้ว พบว่าไม่เคยมีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีดังกล่าวมาก่อน จึงชอบที่จะส่งเรื่องศาลรัฐธรรมนูญ และที่ศาลชั้นต้นไม่รอการพิพากษาคดีไว้ก่อนเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์จึงให้ยกคำพิพากษาที่ศาลชั้นต้นจำคุก 18 ปีแล้วให้ส่งเรื่องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า บทบัญญัติตาม ป.วิ อาญา มาตรา 177 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ปี 2550 หรือไม่ และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้ว ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีใหม่แล้วแต่กรณี

ต่อมาวันที่ 17 ต.ค.2554 ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่า บทบัญญัติตาม ป.วิ อาญา มาตรา 177 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 29 และ 40(2) จากนั้นศาลอาญา จึงได้นัดพิพากษาคดีใหม่ในวันนี้

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้ว มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม 3 นาย เบิกความว่า เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2551 เวลา 21.00 น. และ 24.00 น. จำเลยขึ้นเวทีปราศรัยที่สนามหลวง โดยพยานทั้งสามเป็นสายสืบฟังการปราศรัย และพบว่าจำเลยกล่าวข้อความดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ จึงบันทึกเสียงลงในเครื่องบันทึกเอ็มพี 3 และบันทึกลงในแผ่นซีดี แล้วนำมาถอดเทป และจำเลยยังขึ้นปราศรัยกล่าวดูหมิ่นอีกในวันที่ 7 และ 13 มิถุนายน 2551 ซึ่งได้บันทึกเสียงไว้ แล้วก็แจ้งข้อหาดำเนินคดีจำเลย โดยพยานโจทก์เบิกความด้วยว่า แผ่นซีดีบันทึกเสียงที่เป็นหลักฐาน พบว่าเป็นเสียงคนคนเดียวกัน จึงฟังได้ว่าตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยได้ขึ้นเวทีปราศรัย

  ขณะที่ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวบนเวที ก็พบว่า แม้จะไม่ระบุตัวบุคคลที่ถูกกล่าวถึงอย่างชัดแจ้ง แต่ถ้อยคำที่กล่าวถึง เช่น สัญลักษณ์สีเหลือง สีฟ้า ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร ซึ่งเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทำให้เห็นว่าจำเลยกระทำการจาบจ้วงล่วงเกิน โดยทำให้ประชาชนเข้าใจว่าทั้งสองพระองค์ทรงสนับสนุนการเคลื่อนของกลุ่มพันธมิตร ทำให้ทั้งสองพระองค์ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง รวมทั้งการกล่าวถึงการรัฐประหาร โดยกล่าวถ้อยคำถึงมือที่มองไม่เห็นในสี่เสาเทเศวร์ ซึ่งประชาชนรับรู้อยู่แล้วว่าสี่เสาเทเวศร์คือสถานที่ที่เป็นบ้านพักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โดยการแต่งตั้งองคมนตรีนั้น ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้ง ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สนับสนุน พล.อ.เปรม ยึดอำนาจจากประชาชน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชั้นพิจารณาจำเลยจะเบิกความว่า จดจำถ้อยคำที่กล่าวปราศรัยไม่ได้ว่ามีประเด็นใดบ้าง และจดจำวัน-เวลาไม่ได้ แต่จำเลยก็ไม่ได้นำสืบโต้แย้งว่าไม่ได้กล่าวถ้อยคำที่โจทก์ยื่นฟ้อง ซึ่งแม้ว่าคำพูดของจำเลยไม่บังเกิดผล เพราะไม่มีใครเชื่อ แต่จำเลยก็ไม่อาจพ้นผิด พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังได้ว่าจำเลยกล่าวคำพูดจาบจ้วง ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ

ศาลพิพากษา จำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 15 ปี

หลังฟังคำพิพากษา น.ส.ดารณี กล่าวว่า ตนจะปล่อยให้คดีเด็ดขาด ไม่อุทธรณ์ เพราะขณะนี้ไม่ศรัทธากระบวนการยุติธรรม และยังไม่คิดเรื่องที่จะขออภัยโทษด้วย

ขณะที่นายประเวศ ประภานุกุล ทนายความจำเลย กล่าวว่า เท่าที่ได้พูดคุยเรื่อคดีกับลูกความ ประสงค์ที่จะไม่อุทธรณ์คดีต่อ จะยอมจำคุก โดยเวลานี้ตัวความถูกคุมขังในทัณฑสถานหญิงมาแล้ว 3 ปี เศษ ส่วนจะยื่นอภัยโทษหรือไม่ ต้องหารือกันอีกครั้งซึ่งแล้วแต่ความประสงค์ของลูกความ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #27 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 10:49:03 »

อ้างถึง
ข้อความของ ดร.มนตรี เมื่อ 15 ธันวาคม 2554, 10:57:48
ขอแสดงความยินดีด้วยครับ ...


แนวคิดและทัศนคติ ของท่าน เป็นแบบอย่างที่น่าศึกษาสำหรับรุ่นน้องๆ ...
   รักนะ

---------------------------------------------


คอลัมน์ “เปิดจวนชวนคุย”
SODA

สิงห์บุรี : ครัวของประเทศและครัวของโลก
 
    ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นที่พึ่งทางใจของชาวไทยมานาน บางคนใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ การแก้ไขปัญหาบางอย่าง หรือบางครั้งก็ถูกใช้ให้เป็นกุศโลบายให้เข้าถึงธรรม เพราะหากผู้คนมั่นคงในคำสอนของศาสนาแล้ว ย่อมปฏิบัติดีทั้งกาย วาจา ใจ นอกจากนี้ความเชื่อบางอย่างยังมีความเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นกุศโลบายให้คนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีอีกด้วย

   ข้อดีของความเชื่ออีกประการคือการรวมจิตใจของชนชาวไทย และด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้ท่านประภาส บุญยินดี ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี ได้ดำเนินการสร้าง “พระอินทร์” ไว้ที่บริเวณที่เรียกว่า “หัวเมืองอินทร์” เดิม หรือที่อำเภออินทร์บุรีซึ่งดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านไปมาบนเส้นทางกรุงเทพฯ-นครสวรรค์ แวะสักการบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลกันไม่ขาดสาย ลำดับต่อไปท่านกำลังดำเนินการสร้าง “พระพรหม” ไว้ที่หัวเมืองพรหม

   “สิงห์บุรีมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานมาก เป็นหัวเมืองชั้นโท เมืองลูกเธอหลานเธอมาครองเมือง เมื่อโบราณนั้นมีอยู่สามหัวเมืองเท่านั้นเอง คือ หัวเมืองพรหม หัวเมืองอินทร์ และหัวเมืองสิงห์ เพิ่งมารวมเป็นจังหวัดสิงห์บุรีมี ๖ อำเภอในสมัยรัชกาลที่ ๕ นี้เอง หัวเมืองพรหมปีนี้ครบ ๙๐๑ ปี หัวเมืองอินทร์ปีนี้ ๖๘๗ ปี ยาวนานมาก และเจ้าผู้ครองนครอินทร์เคยไปตีกรุงศรีอยุธยาแล้วไปครองกรุงศรีอยุธยาใช้พระนามว่า พระอินทราชาที่ ๑

   ผมมาดูแล้วประวัติความเป็นมายาวนาน ชื่อเป็นสิริมงคล ผมก็เลยสร้างพระอินทร์ใหญ่ที่สุดในโลกไว้ที่อำเภออินทร์บุรี มีเอกชนเขาให้ที่ดิน ๑๐ ไร่ เพราะว่าอินทร์บุรี ถ้าแปลแล้วก็จะได้ความว่า เมืองพระอินทร์อยู่ และตอนนี้ผมกำลังสร้างพระพรหมใหญ่ที่สุดในโลกไว้ที่หัวเมืองพรหม เททองไปแล้วเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม มีคนมาร่วมงานเททองนับหมื่นคน ตอนนี้กำลังสร้างเทวลัย สูง ๒๔ เมตร ผมไปเรียนหลวงพ่อจรัญว่าจะสร้างพระพรหมตามที่สัญญาไว้กับชาวบ้าน และขออนุญาตท่านทำเหรียญ ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อจรัญ ด้านหลังเป็นพระพรหม และพอดีปีนี้หลวงพ่อจรัญอายุครบ ๘๐ ปีพอดี ผมก็สร้างเหรียญนี้จำหน่ายเพื่อนำเงินมาสร้างพระพรหม ให้หลวงพ่อจรัญปลุกเสกให้”

   ท่านประภาส มารับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรีเมื่อขณะที่สิงห์บุรีกำลังทุกข์หนักเพราะน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี ๒๕๔๙ เมื่อมาถึงก็ลุยน้ำช่วยเหลือชาวบ้าน และเป็นจังหวัดแรกที่สามารถจ่ายเงินบรรเทาความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน

   “ผมมาวันแรกไม่ได้ประชุมข้าราชการแต่ออกไปหาชาวบ้าน ไปถามความเห็นเขา ไปดูว่าเขาเดือดร้อนอย่างไร มีใครมาช่วยเหลืออะไรบ้างหรือยัง ผมเป็นจังหวัดแรกใน ๔๐ กว่าจังหวัดที่น้ำท่วมเหมือนกัน จ่ายเงินบรรเทาความเดือดให้แก่ชาวบ้านจนกระทรวงมหาดไทยให้เอาไปเป็นตัวอย่าง ผมทำเร็วโดยไม่รอให้น้ำลด น้ำท่วมอยู่ก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ออกไปสำรวจความเดือดร้อนของชาวบ้าน พอได้ข้อมูลมาหมดแล้วก็สั่งจ่ายเงิน มีกรรมการจ่ายเงิน ให้ชาวบ้านนับเงินต่อหน้ากรรมการ

   ที่นี่ผมสร้างชื่อเสียงไว้หลายเรื่อง เรื่องแรกก็เรื่องน้ำท่วม เรื่องที่สองเป็นเรื่องยาเสพติด เมื่อก่อนมีศูนย์ต่อสู้เอาชนะยาเสพติดระดับจังหวัดและอำเภอ ผมเรียกประชุมแล้วตั้งศูนย์เอาชนะยาเสพติดระดับหมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้านเป็นประธาน มีเจ้าอาวาสวัดที่สำคัญเป็นประธานที่ปรึกษา ผมตั้งครบทุกหมู่บ้านแล้วก็ของบประมาณจากท้องถิ่นได้มาล้านกว่าบาทเพื่อนำไปสนับสนุนให้กับศูนย์ฯ  ใช้ในการประชุมทุกเดือนเป็นกำลังใจให้กับเขาจะได้เห็นว่าเราไม่ได้ทอดทิ้งเขา ตรงนี้เป็นที่มาที่ ปปส.นำไปทำตั้งศูนย์ต่อสู้เอาชนะยาเสพติดระดับ อบต. เทศบาล เขามาที่สิงห์บุรีแล้วผมก็ชี้แจงโมเดลนี้ไปทางผู้แทน ปปส.ก็นำไปเป็นต้นแบบในระดับตำบล แต่ไม่ได้ลงถึงระดับหมู่บ้าน

   เรื่องที่สามเป็นเรื่องของการเลือกตั้ง สิงห์บุรีมีสถิติการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ๖๐ กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ผมได้วางแผนใหม่ ให้หัวหน้าส่วนทุกส่วนถือเป็นหน้าที่ในเรื่องนี้ เพราะว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรู้หน้าที่ของความเป็นพลเมืองดี ต้องวางมาตรฐานตรงนี้ไว้ให้ได้ พอเลือกตั้งเสร็จปรากฏว่าเราได้ที่ ๑ ของภาคกลาง และเป็นที่ ๒ ของประเทศทั้งการเลือกตั้ง ส.ส.และส.ว. ตอนเลือกตั้ง ส.ส.มีคนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งสูงถึง ๘๕.๔๕%  ส.ว.ได้ ๗๗.๗๙% ตรงนี้ทำให้ผมมีความรู้สึกว่าขณะนี้ชาวบ้านเข้าใจแล้ว เพราะว่าผมออกไปชี้แจงเองกับทุกจุดว่าเรื่องนี้เราต้องทำไว้เป็นบรรทัดฐานเพื่อให้ลูกหลานเราได้เข้าใจ ได้รู้บทบาทตัวเองและเลียนแบบในสิ่งที่ดี”

   ท่านผู้ว่าฯ ประภาส อยากให้สิงห์บุรีเป็นครัวของประเทศและครัวของโลก

    “ส่วนใหญ่คนที่นี่ทำนา ๙๐% มีพื้นที่ทำนาเกือบสี่แสนไร่ เพราะว่าเป็นพื้นที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์ ผมลงไปคุยกับชาวบ้าน เรียกประชุมทุกตำบลตอนนี้ครบหมดทุกตำบลแล้ว ไปนั่งจับเข่าคุยกับชาวบ้าน ปีกว่ามาแล้ว เอาข้าราชการกระทรวงเกษตรทั้งหมดออกไปพร้อมกัน ผมมองดูแล้วจังหวัดสิงห์บุรีต้องพัฒนาการเกษตรให้เป็นครัวของประเทศและเป็นครัวของโลก เกษตรไม่ใช่แค่เพิ่มผลผลิตจะต้องเป็นเกษตรปลอดสารพิษด้วย ขณะนี้ชาวบ้านตื่นตัวมากในเรื่องของการใช้น้ำชีวภาพ และปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งจังหวัดสิงห์บุรีเป็นจังหวัดตัวอย่างขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ ส่งคนมาดูว่าทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ แล้วแหล่งน้ำผมขุดลอกดูแลความสะอาดทั้งหมด ที่นี่มีแหล่งน้ำสำคัญ ๆ อยู่ ๔-๕ แห่ง มีทั้งแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อย แม่น้ำลพบุรี และลำแม่ลาการ้อง ซึ่งลำแม่ลาการ้องนี้เองที่สร้างชื่อเสียงให้สิงห์บุรีมาก เพราะว่าเป็นแหล่งผลิตปลาช่อนแม่ลาที่มีชื่อเสียงมาก ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าที่ลำแม่ลาฯ มีหอยฝาเดียวชนิดหนึ่งซึ่งเป็นอาหารของปลาช่อน และใต้ผืนดินของลำแม่ลาฯ เป็นดินเหนียวชนิดที่ไม่เหมือนที่อื่นคือจะมีสีดำมันก็เข้าใจว่าจะมีแร่ธาตุบางอย่าง ซึ่งปลาช่อนมีนิสัยชอบมุดดินทำให้เนื้อปลาอร่อย เนื้อปลาช่อนลำแม่ลาฯ จะออกเป็นสีชมพู เวลานำมาแผ่เพื่อทำปลาแดดเดียวเนื้อจะหุ้มหนัง แต่ถ้าเป็นปลาช่อนที่อื่นหนังจะหุ้มเนื้อ

   ตอนนี้ผมขุดลอกลำแม่ลาการ้องแล้วก็รณรงค์ให้ชาวนาทำนาโดยไม่ใช้สารเคมี เพราะที่ปลาช่อนลำแม่ลาการ้องลดน้อยลงไปเพราะสารเคมี พอชาวนาปล่อยน้ำทิ้งทำให้สารเคมีลงไปในลำแม่ลาการ้อง ทำให้ปลาช่อนไม่โต และหอยฝาเดียวตาย ลำน้ำสกปรก มีสารพิษตกค้าง ตอนนี้พอชาวนาเริ่มเชื่อเราแล้วสารเคมีก็จะน้อยลงการปล่อยน้ำลงลำแม่ลาการ้องก็จะไม่มีพิษมีภัยอีกต่อไป ผมก็เลยจะพัฒนาเอาปลาช่อนมาปล่อย และจะส่งเสริมการเลี้ยงปลาช่อน ผมเชื่อว่าชาวบ้านที่อยู่บริเวณสองฝั่งของลำแม่ลาการ้องถ้าหากขุดบอเลี้ยงปลาช่อนจะเป็นปลาช่อนที่มีคุณภาพเพราะพื้นใต้คลองจะมีดินลักษณะเดียวกัน”

   ท่านผู้ว่าฯ ประภาสได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวนาจากการ “ทำนาทางโทรศัพท์” มาเป็นการ “ทำนาดำ” และให้ชาวนาลงนากันมากขึ้น

   “ตอนนี้เราเปลี่ยนวิถีตรงนี้หมด เรียกมาทำความเข้าใจกันให้ทำนาพร้อมกันและทำปีละ ๒ ครั้งก็พอ โดยทำนาดำ ใช้ปุ๋ยชีวภาพ ที่ผ่านมาสิงห์บุรีมีผลผลิตต่อไร่ต่ำมาก ประมาณ ๘๐ ถัง/ไร่ เป็นเพราะว่าใช้นาหว่านแล้วไม่ลงนา วัชพืชขึ้นเต็มไปหมด บางคนไม่เคยเห็นนาตัวเองเลยใช้โทรศัพท์โทรสั่งเอา พอจะไถนาก็โทรหารถไถนา หว่านข้าว รถดำนา ฉีดยาก็จ้างเขาฉีด พอถึงเวลาเก็บเกี่ยวก็จ้างรถมาเกี่ยว ปีหนึ่งไม่เคยเห็นนา ผมเรียกทำนาทางโทรศัพท์ แล้วพอถึงเวลาเงินก็ไม่เหลือเป็นหนี้เป็นสิน ตอนนี้ก็พยายามเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่”

   การเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวนาท่านผู้ว่าฯ ไม่ได้พูดลอย ๆ แต่นำมาผูกกับโครงการอยู่ดีมีสุขของจังหวัด คือ ให้ชาวบ้านรวมกลุ่มกันแล้วทำนาโดยไม่เผาตอซังข้าว ไม่ใช้สารเคมี และหากมีประชาคมมาว่ากลุ่มอยากได้เครื่องมือทางการเกษตรอะไรเพื่อช่วยทุ่นแรงในการทำนา ท่านผู้ว่าฯ ก็ให้ทำโครงการขอขึ้นไป เช่น ถังอัดแรงดันน้ำ เครื่องแยกเมล็ดพันธุ์ข้าว เป็นต้น ตอนนี้เครื่องมือเหล่านี้ได้ถูกส่งลงไปช่วยชาวนาเต็มพื้นที่แล้ว

   นอกจากนี้ท่านผู้ว่าฯ ยังดำเนินการปล่อยกุ้งแม่น้ำขนาด ๕ ซม.ลงแม่น้ำลำคลอง เพื่อให้เป็นแหล่งอาหารของชาวบ้าน ซึ่งนอกจากชาวบ้านจะมีกุ้งกินแล้วผลพลอยได้จากการปล่อยกุ้งที่ถือว่าดีเกินคาดนั่นคือ ช่วยลดปัญหาเด็กวัยรุ่นด้วย เพราะการตกกุ้งกลายเป็นกีฬายอดฮิตที่สนุกสนานของวัยรุ่นชาวสิงห์บุรีไปแล้ว แทนที่จะไปเที่ยวเล่นมั่วสุมกัน ตอนนี้วัยรุ่นสิงห์บุรีพากันไปตกกุ้งแม่น้ำของผู้ว่าฯ ได้ทั้งความสนุกและสตางค์อีกด้วย

   “ตอนที่ผมปล่อยกุ้งก็นึกไม่ถึงว่าจะมีผลพลอยได้ที่ดีเป็นอย่างยิ่งคือ พอกุ้งโตแล้ว วัยรุ่นแทนที่จะเอาเวลาไปเที่ยวก็พากันไปซื้อเบ็ดมาตกกุ้งกัน เป็นกีฬาที่สนุกสนานและได้เงินด้วย ผมก็ดีใจเพราะว่าจากการสำรวจและมีนายกฯ อบต.โทรศัพท์มาบอกว่าวัยรุ่นพากันมาตกกุ้งเต็มไปหมด ตอนนี้ทุก อบต.ตื่นตัวเรื่องนี้และเห็นแล้วว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จมาก ซึ่งจริง ๆ โครงการปล่อยกุ้ง ๕ ซม. ผมทำเป็นคนแรกของประเทศไทย ผมทำโครงการแรกทำไว้ที่สมุทรสงคราม ตอนที่เป็นรองผู้ว่าฯ ปล่อยไว้ที่แม่น้ำแม่กลอง เมื่อก่อนที่สมุทรสงครามีเรือตกกุ้งอยู่ ๒๐๐ กว่าลำ ผมเรียกมาถามเขาบอกว่าบางวันตกไม่ได้เลย กุ้งแม่น้ำก็มีน้อย ผมก็เลยทำโครงการนี้ขึ้นมา คุยกับผู้ว่าฯ ขอเงินมาปล่อยกุ้ง ปล่อยไป ๘ ล้านตัว ที่แม่น้ำแม่กลอง ขณะนี้มีเรือตกกุ้งอยู่ประมาณ ๑,๕๐๐ กว่าลำ ผมถามกับเจ้าของเรือเขาก็บอกว่าวันไหนที่ไม่ค่อยได้เลยก็จะได้ประมาณ ๔๐๐ บาท ใน ๑,๕๐๐ ลำทุกลำมีรายได้ทุกวัน หลังจากนั้นมาทางจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี มาขอโครงการผมไปทำ ผมคิดว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดีผมก็เลยนำมาทำที่สิงห์บุรี เดี๋ยวนี้กุ้งเต็มไปหมด ผมว่าเรื่องพวกนี้ต้องทำ ถ้าไม่ทำคนไทยอยู่ไม่ได้ เพราะเรามีความสามารถเรื่องการเกษตรกับการประมง”

   ท่านผู้ว่าฯ ประภาสบอกว่าสิงห์บุรีควรเป็นจังหวัดสำหรับทำการเกษตรไม่ควรมีโรงงานมาตั้ง

   “ผมไม่สนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรม ที่มีอยู่แล้วก็ให้การดูแลแต่ถ้าจะมาตั้งใหม่ผมจะไม่สนับสนุนให้มาตั้ง และในระดับภาพรวมของประเทศควรจะกำหนดโซนทำ ไม่ใช่โซนในจังหวัดแต่เป็นโซนประเทศเพราะบางจังหวัดไม่ควรตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเช่นจังหวัดที่เป็นที่ลาบลุ่มเหมาะแก่การเพาะปลูกอย่าไปทำโรงงานอุตสาหกรรมเลย ควรจะไปทำในจังหวัดที่แห้งแล้งพัฒนาอะไรไม่ได้เอาโรงงานไปตั้งดีกว่าเพราะเสียดายพื้นที่ ผมพูดเรื่องนี้มานานว่า เมืองไทยอนาคตจะดีมากถ้าเก็บผืนแผ่นดินไว้ นับวันพลเมืองของโลกก็เพิ่มมากขึ้น อีกไม่กี่ปีโลกนี้ก็จะมีเจ็ดพันล้านคน เมืองไทย ๗๐ ล้านคน นับวันคนเพิ่มมากขึ้นแต่ผืนแผ่นดินกลับน้อยลง ธารน้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายเร็วขึ้นก็มาท่วมผืนแผ่นดิน ฉะนั้นที่ดินที่มีอยู่จะต้องสร้างศักยภาพให้ได้ เพราะว่าทุกคนต้องกิน ผมพูดกับชาวบ้านเสมอให้เก็บผืนแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานให้ได้แล้วต่อไปลูกหลานก็จะรวยเอง มีทรัพย์ในดินสินในน้ำกินได้ทั้งปี เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องดูแลและผมคิดว่าประเทศเราต้องมาดูเรื่องนี้ เรื่องเกษตร เรื่องน้ำ แล้วรักษาผืนแผ่นดินแห่งนี้ไว้”

    สุดท้ายท่านฝากข้อคิดไว้ให้ข้าราชการฝ่ายปกครองอย่างน่าคิดว่า 

   “ผมอยากจะฝากข้าราชการฝ่ายปกครองว่าท่านทำงานหนักในวันนี้เท่ากับท่านได้สร้างคุณประโยชน์ไว้ให้กับกระทรวงมหาดไทยมหาศาล สร้างบุญใหม่เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่ได้ใช้บ้าง ผมบอกกับพวกเรามาตลอดว่าขณะนี้พวกเรากินบุญเก่าที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ท่านสร้างไว้  เรากินจนกระทั่งบุญนั้นจะหมดอยู่แล้ว ผมฝากไว้ว่าพวกเราต้องสร้างบุญกันใหม่ เพื่อให้เด็กรุ่นหลัง ๆ ไว้ได้ใช้บ้าง ลงไปในพื้นที่ ลงไปหาชาวบ้าน ผมว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำ”   



...สวัสดีค่ะ...น้อง ดร.มนตรี...

...พี่ตู่ได้มีโอกาสไปกราบพระอินทร์ที่ อ.อินทร์บุรีมาแล้วค่ะ...

...ตอนขากลับจากเชียงใหม่เมื่อไม่นานมานี้ค่ะ...

...หลานชายหมอได้ขับรถพาแวะไป...เพราะเราข้องใจเรื่องชื่อของอำเภอ...

...เพิ่งจะทราบว่าท่านผู้ว่าประภาส  บุญยินดี...เป็นผู้ดำเนินการสร้างค่ะ...

...อนุโมทนาบุญกับท่านด้วยค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #28 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 12:10:32 »


เรื่องที่ชาวจุฬา ควรใส่ใจ

สหรัฐฯ กับ UN มายุ่งเรื่อง ม.๑๑๒ ทำไม โง่ถูกคนไทยหลอกหรือซื่อบริสุทธิ์
และข้อเท็จจริงที่ควรรู้จริงๆ ของ ม.๑๑๒ รวมถึงเรื่องย่อ "อากง"

Posted by พล.ท.นันทเดช ,

กรณีที่มีเจ้าหน้าที่บางคนในหน่วยงานเล็กๆ ของสหประชาชาติและประเทศสหรัฐอเมริกาออกมาพูดถึง ป.อาญา ม.๑๑๒ ว่า  “ไม่ควรมี” นั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างรบกวนจิตใจคนไทยทั้งประเทศพอสมควร ผมพยายามสงบจิตใจ ไปเที่ยว ไปดูหนังฟังเพลง ก็พบก็เจอแต่คนพูดเรื่องนี้มาตลอด เมื่อเอามารวมกับเรื่อง “อากง” ที่กลุ่มบุคคลมีปมด้อยตั้งฉายาให้คนแก่กะโหลกกะลาคนหนึ่ง คนไทยกลุ่มนี้อยู่สบายจนไม่รู้จักว่า “สิ้นชาติแล้วจะเป็นอย่างไร” หรือบางคนก็ “ถ่ายภาพโป๊” เลี้ยงชีวิตไปเรื่อยๆ บางคนก็ใช้อินเตอร์เน็ตหลอกผู้หญิงมาปล้ำ, บางคนก็เอาลูกศิษย์มาเป็นเมีย, บางคนมาหาเงินโดยวิธีขอสปอนเซอร์, บางคนอาศัยบารมีพ่อแม่มาตลอด ไม่รู้ว่าโลกจริงๆ มันเป็นอย่างไร ถูกเขาหลอกมาเป็นเครื่องมือฯลฯ วันนี้ความสงบในจิตใจของผมก็หายไปครับ อุตส่าห์ไม่เขียนเรื่องการเมืองแล้ว ยังต้องมาเขียนเรื่อง ม.๑๑๒ แทนอีก เพราะอดใจไม่ได้ ถ้าไม่เขียนแล้วต้องอึดอัดใจตายแน่ๆ

       ตามที่ผมเขียนไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สถาบันฯ อยู่เฉยๆ พวกนี้ก็ไปตอแย ตอดเล็กติดน้อย ส่วนใหญ่เป็นคนมีปมด้อย อยากจะแสดงตัวเองว่ากูเก่ง กูกล้า ซึ่งถ้าทำในทางวิชาการแล้วก็ไม่เป็นไร ไม่เช่นนั้น อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล หรือ อ.ธงชัย วินิจกุล ต้องโดน ม.๑๑๒ ไปแล้ว แต่การด่าสถาบันฯ ซึ่งๆ หน้าด้วยคำหยาบคาย, พูดเท็จ, การตัดต่อ VDO หรือรูปภาพ แบบนี้มันเจตนาหาเรื่องโดยตรง เมื่อถูกจับๆ ได้ก็มาบ่นโน่นบ่นนี่ คนบ่นก็ไม่ได้มาจากคนทำหรอกครับ มาจากพวกยุแหย่ให้เขาติดคุกนั่นเอง

       ปัจจุบันมีกฎหมายคุ้มครองสถาบันฯ อยู่รวม ๖ ฉบับด้วยกัน แตกตัวมาจากรัฐธรรมนูญ ม.๘ ที่ระบุว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้” และ ป.อาญา ม.๑๑๒ ที่ระบุว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น  หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๓-๑๕ ปี” นอกจากนั้นที่เหลืออีก ๔ ฉบับเป็นกฎหมายส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติทั้งนั้น

       กฎหมายของไทยทุกฉบับมีลักษณะเป็นกฎหมาย “สากล” ทุกประการโดยอยู่ในหลักการ (๑) การคุ้มครองประมุขของประเทศ, (๒) การคุ้มครองประมุขหรือตัวแทนประมุขของประเทศอื่นๆ (ม.๑๓๓ และ ๑๓๔ กฎหมายอาญา) และ (๓) หลัก Reciprocity หรือ หลักการอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยอย่างเท่าเทียมกัน ในการคุ้มครองตัวแทนของแต่ละประเทศ ตามป.อาญา ม.๑๓๐-๑๓๒ ซึ่งกฎหมายในหลักสากลของประเทศไทยนี้ จะสอดคล้องกับกฎหมายของประเทศที่เจริญแล้วทุกประเทศ บางประเทศกฎหมายยังตีความในทางกว้าง คุ้มครองไปถึงศาล หรือรัฐสภาฯ อีกด้วย

       ในส่วนของพระมหากษัตริย์ นอกจากการเป็นประมุขรัฐซึ่งอยู่ในลักษณะของสถาบัน (Institution) แล้ว การรับรองสถานะอันศักดิ์สิทธิ์ (Sacred) เป็นที่เคารพ สักการะ หรือละเมิดมิได้ (Inviolable) ในฐานะพระมหากษัตริย์ตามจารีตประเพณียังมีเพิ่มเติมขึ้นมาอีกสถานภาพหนึ่งด้วย

        สรุปแล้ว พระมหากษัตริย์ของทุกประเทศมีลักษณะเป็นสถาบัน (ไม่ใช่ตัวบุคคล) และเป็นประมุขของประเทศ (Head of State) อีกฐานะหนึ่งด้วย การคุ้มครองพระมหากษัตริย์จึงอยู่ในกฎหมายว่าด้วยความผิดทางด้านความมั่นคงแห่งชาติ เป็นกฎหมายอาญา ดังนั้นใครละเมิดสถาบัน ถือว่ารัฐเป็นผู้เสียหาย ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ร้องทุกข์ กล่าวโทษได้ เพราะมีส่วนได้ส่วนเสียที่ “ความมั่นคงแห่งชาติ” ถูกทำลายลง ซึ่งอาจจะทำให้ชีวิตและทรัพย์สินของตนอาจสูญเสียไปได้ หรือมีชีวิตอยู่อย่างปราศจากความสุขที่ควรได้รับ ซึ่งตรงข้ามกับการละเมิดบุคคลธรรมดา ตาม ม.๓๒๖ ถือว่าเป็นความผิดเฉพาะตัว (เจ้าตัวหรือผู้เสียหายต้องฟ้องร้องเอง) เพราะผลไม่กระทบต่อความมั่นคง ในขณะที่บุคคลธรรมดาสามารถฟ้องร้องกันเองได้ จึงสามารถตกลงยอมความกันได้

         ในหลักการดังกล่าวนี้ ถ้ามีการยกเลิก ม.๑๑๒ จะเกิดอะไรขึ้นต่อประเทศไทย
          ๑. การที่บุคคลในสถาบันฯ ถูกละเมิด ในฐานะที่เป็นประมุขของรัฐ การจะไปฟ้องประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองของตัวเอง เป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง ดังนั้นการยกเลิก ม.๑๑๒ จึงเป็นการกำจัดสิทธิของบุคคลในสถาบันฯ ในการปกป้องสิทธิของตนเองไปโดยปริยาย ทำให้มีสิทธิส่วนบุคคลต่ำกว่าราษฎรธรรมดาๆ
         ๒. ในจารีตประเพณี สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ มีความใกล้ชิดกับประชาชนตลอดมา มีกำเนิดมาจากความสัมพันธ์แบบพ่อปกครองลูก เป็นทุกข์ร้อนแทนราษฎร ปกป้องราษฎร ด้วยการสู้รบในแนวหน้ามาตลอด จึงไม่เหมือนสถาบันกษัตริย์ในต่างประเทศ ที่มาจากการเป็นเจ้าของที่ดิน, มาจากอิทธิพลทางศาสนา ฯลฯ ดังนั้นสถาบันกษัตริย์จึงถือว่าเป็นความมั่นคงของชาติทั้งในรูปแบบของกฎหมายและความเป็นจริง ถ้าเรายกเลิกก็เท่ากับยอมให้มีคนมาทำลายความมั่นคงของประเทศไทยได้ง่ายๆ
         ๓. การยกเลิก ม.๑๑๒ ก็เท่ากับประเทศไทยไม่ให้ความคุ้มครองประมุขของประเทศตนเอง จะส่งผลทำให้ประเทศไทยเสียศักดิ์ศรีในการดำรงตนอยู่ในกลุ่มประเทศที่เจริญแล้วทั้งด้านกฎหมายและประเพณีนิยม จะเหมือนกับประเทศกัมพูชา ที่แม้แต่สหประชาชาติเองยังไม่ไว้ใจต่อสถานภาพทางกฎหมายเลย
          ๔. การยกเลิก ม.๑๑๒ ที่ไม่ให้การคุ้มครองประมุขของประเทศ เท่ากับต้องยกเลิกกฎหมายที่คุ้มครองประมุข หรือตัวแทนประมุขของประเทศอื่นที่อยู่ในไทย (เอกอัครราชฑูตและสิทธิทางการฑูตของ จนท.UN) ตามไปด้วย เพราะเป็นกฎหมายที่เกิดจากการเคารพซึ่งกันและกันระหว่างประเทศต่างๆ ลองคิดดูว่าประเทศไทยจะสับสนวุ่นวายขนาดไหน
            ๕. ประมุขของประเทศที่มีเกียรติ ย่อมทำให้ประชาชนมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีตามไปด้วย ถ้าประมุขของประเทศไม่ได้รับความคุ้มครอง ก็จะทำให้ประชาชนคนไทยไร้เกียรติ มีสภาพคล้ายคนป่าเถื่อน คนไทยจะถูกดูถูกตามไปด้วยในสังคมโลก

    นานนมแล้วที่กฎหมายนี้คงอยู่คู่กับประเทศไทย ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เมื่อคุณทักษิณฯ หมดอำนาจไป การเคลื่อนไหวกระทบต่อสถาบันฯ เพิ่มขึ้นมากมาย มีลักษณะเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงทั้งในและนอกประเทศ ผิดจากเหตุการณ์ปกติครับ คนที่ถูกลงโทษด้วยกฎหมาย ม.๑๑๒ นั้น มักจะมีส่วนเกี่ยวข้องทางใดทางหนึ่งกับกลุ่มที่สนับสนุนคุณทักษิณฯ เกือบ ๙๐% ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น พอใครทำผิดก็มีทนายมาดูแลทันที แปลกไหมครับ บางทีก็จ่ายเงินให้ผู้ต้องหาด้วย ไม่รู้ว่าคุณทักษิณฯ รู้เรื่องแบบนี้หรือเปล่า ถ้ารู้ ก็ควรบอกให้เลิกๆ ซะที ไม่เช่นนั้นคุณทักษิณฯ จะเป็นคนเสียหายเอง เพราะคนไทยไม่ยอมใครหรอกครับเรื่องในหลวง

          ม.๑๑๒ จึงเป็นกฎหมายที่ถูกต้องตามหลักการสากลทุกประเทศและสมบูรณ์ด้วยแบบธรรมเนียมจารีตประเพณี จึงไม่ควรยกเลิกอย่างเด็ดขาด จุดอ่อนของกฎหมายมีอยู่จุดเดียว คือ การพิจารณาว่า “อะไรคือการหมิ่นสถาบันฯ อะไรคือการไม่หมิ่นสถาบันฯ” ปัจจุบันตำรวจมีคณะกรรมการตรวจสอบว่า เรื่องไหนหมิ่นสถาบันฯ บ้าง การจับผิดจับถูกจึงมาจากคณะกรรมการชุดนี้ของตำรวจครับ ดังนั้นจึงควรแก้ไขให้ชัดเจน ให้มีกรรมการจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องพอสมควร มาเป็นผู้พิจารณา ลงมติแบบลูกขุน เรื่องก็จะยุติไปเอง


         ส่วนเรื่อง “อากง” นั้นผมสรุปสั้นๆ ว่า มีผู้ใช้โทรศัพท์ของอากงส่งข้อความหมิ่นสถาบันฯ ถึง ๔ ครั้ง หลังจากส่งแล้วก็ถอดซิม DTAC ออกแล้ว เปลี่ยนซิม TRUE เข้าไปแทน ใช้พูดคุยกันตามปกติ พอวันรุ่งขึ้นหรืออีก ๒-๓ วันต่อมาก็เปลี่ยนซิม DTAC ส่งข้อความหมิ่นสถาบันฯ อีก แล้วก็ถอดซิม DTACออก ใส่ซิม TRUE เข้าไปใช้พูดคุยอีก ทำแบบนี้ทั้งหมด ๔ ครั้ง (ส่อให้เห็นว่าเจตนาทำแน่นอน)   

         การที่มีการส่งข้อความและพูดคุยจากโทรศัพท์เครื่องเดียวกัน แม้จะเปลี่ยนซิมการ์ดก็มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนว่า มาจากโทรศัพท์เครื่องไหน เป็นผลทำให้ตำรวจทราบว่ามาจากบ้านพักหลังไหน จึงเข้าจับกุม การตรวจค้นโทรศัพท์ซ่อนในตู้เสื้อผ้ารวม ๓ เครื่อง (ทำไมต้องไปซ่อน) “อากง”สารภาพว่าเป็นเจ้าของโทรศัพท์จริง แต่ส่งข้อความไม่เป็น (ตอนนี้อากงเป็นทั้งเจ้าของโทรศัพท์และทั้งเจ้าของบ้านที่ใช้โทรศัพท์)

         มีการต่อสู้ว่า หมายเลขประจำโทรศัพท์ (อีมี่) หลักที่ ๑๕ ไม่ถูกต้องกับในเอกสารของ TRUE และ DTAC แต่การพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญทำต่อหน้าศาลและจำเลย ชี้ให้เห็นว่าถูกต้อง สู้ต่อว่า หมายเลขอีมี่แก้ได้ ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าแก้ไม่ได้ ให้ไปหาคนแก้ได้มา ก็หาไม่ได้อีก บอกว่าโทรศัพท์เอาไปซ่อม ให้ไปชี้ร้านที่ซ่อม ก็บอกว่าจำร้านไม่ได้ และยังมีอีกหลายเรื่องที่เป็นข้อมูลพยานแวดล้อม เช่น ไปตรวจสอบกับบุคคลปลายทางโทรศัพท์เครื่องที่ “อากง” เป็นเจ้าของในเวลาใกล้เคียงกับการส่งข้อความกระทบสถาบันฯ บุคคลนั้นก็ยอมรับว่า “อากง” เป็นคนโทรมาจริง ฯลฯ ศาลก็ต้องตัดสินตามรูปคดี ๔กระทง (๔กรรม ๔วาระ) ด้วยความเมตตาที่สุด ในฐานะที่ไม่รับสารภาพ กระทงละ ๕ ปี รวม ๒๐ ปี มาถึงตรงนี้เห็นได้ชัดเจนว่า “อากง” ตกเป็นเครื่องมือของขบวนการที่เข้ามายุยงไม่ให้สารภาพ ทั้งๆ ที่จำนนด้วยหลักฐานแล้ว

         อ่านแล้วช่วยกันคิด ช่วยกันทำครับ ทำอย่างไรจะให้ความจริงเหล่านี้ส่งต่อออกไปให้โลกรู้ เมื่อกระทรวงต่างประเทศพึ่งพาไม่ได้ ช่วยกันส่งข้อความไปคอมเมนต์ที่เฟสบุ๊คของโอบามาให้ยับเยินเลยครับ ได้ทุกภาษาเขามีคนแปลให้เสร็จอยู่แล้ว
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #29 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 12:13:35 »

เรื่องที่ชาวจุฬา ที่มีจิตสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณควรใส่ใจ


Thai Red Shirt Demonstration 16 [Order to burn Bangkok]
   


จารึกอักษรบันทึกว่า พม่าเผากรุงศรีอยุธยา
      วิดีโอภาพและเสียงบันทึกว่า ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อและอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง บอกให้คนไทยเผา
สถานที่ในกรุงเทพมหานครและประเทศไทย



ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
http://www.youtube.com/watch?v=oRILcws6yBY

อริสมันต์ พงศ์เรื่องรอง
http://www.youtube.com/watch?v=dyIwWbkltFk&feature=related
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #30 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 12:17:51 »

เรื่องที่ชาวจุฬา ควรสนใจ


ปี'55ดุเดือด มีคนตายอื้อ ระวัง'สงครามประชาชน' 'ดวงปู'จอด ให้รอนารีขี่ม้าขาวตัวจริง‏

หมอนิด
ราวเดือนพ.ค. 2554 ที่ผ่านมา “ไทยอินไซเดอร์” เสนอคำสัมภาษณ์ของ “หมอดูการเมืองคนหนึ่ง” ที่ทำนายดวงการเมืองไว้น่าสนใจ โดยระบุไว้ว่า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะไม่ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่ “เนวิน ชิดชอบ” ก็ดวงไม่ดี
ทั้ง “อภิสิทธิ์-เนวิน” จะเป็นฝ่ายค้าน...ขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” จะได้เป็นรัฐบาล แต่ก็จะเกิด “หายนะ”...เช่นกัน
มาวันนี้ “หลายสิ่ง” ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ “อีกหลายสิ่ง” ก็ยังไม่เกิด “เรา” จึงขอนำไปสนทนากับ “เขา” อีกครั้ง...กับ “หมอนิด-กิจจา ทวีกุลกิจ” เพื่อให้เขาได้ทำนายถึง “ดวงเมือง-ดวงผู้นำ” ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป โดยเฉพาะในปี 2555 ที่ว่ากันว่า “จะร้อนแรง...”
เพราะรอบนี้มีการทำนายถึง “ดวงชะตา” ของ “ใครหลายคน” ที่น่าสนใจ
ถือเป็น “ฐานข้อมูล” เบื้องต้น...สำหรับการเตรียมพร้อม...เพราะ “เรื่องแบบนี้...ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”

Q : ดวงเมืองประเทศไทยกับสถานการณ์น้ำท่วมเป็นอย่างไร
A : การที่เมืองไทยเจออุทกภัยใหญ่ครั้งนี้ทำให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่มาก ผมคิดว่า...ถ้าผู้นำที่ดวงดีจะไม่เจอ ยังโชคดีของอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) ที่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าเป็นก็คงโดนเล่นงานกันถ้วนหน้า ตอนนี้เสื้อแดงเงียบไป เพราะน้ำท่วมปากอยู่
Q : เรื่องของปัญหาอุทกภัย มีความเกี่ยวโยงถึงดวงของผู้นำประเทศอย่างไร
A : ในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ 30 กว่าคน มี 20 กว่าคนที่ดวงไม่ดีเลย  ทั้ง “รัฐมนตรี” ทั้ง “รัฐมนตรีช่วย” ผมตรวจดูแล้ว...ไม่ดีเลย เพราะฉะนั้นไม่มีทางเลยที่จะสร้างให้เห็นได้ ไม่มีทางที่จะสร้างผลงานให้สำเร็จได้...ยาก
Q : ที่บอกรัฐมนตรีดวงไม่ดี เกี่ยวข้องกับการที่ “บารมีไม่ถึง” หรือไม่
A : ดวงไม่ดี....เรื่องดวงไม่ดีจะมาใช้กับนักการเมืองไม่ได้ เพราะอะไร เพราะนักการเมืองอาศัยเส้นสาย บางตำแหน่งก็ซื้อกัน เห็นเขาว่าบางตำแหน่งก็ซื้อกันหลายร้อยล้านบาท จริงหรือเปล่า...ผมไม่รู้ เพราะคนดวงไม่ดีเข้ามา มันถึงทำให้บ้านเมืองมีปัญหา มีอุปสรรคต่างๆ คือ แม้ว่าปลายปีนี้ ธ.ค.หรือม.ค. อาจจะมีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี แต่จะเปลี่ยนมายังไงก็แล้วแต่ ผมว่าก็เหมือนกับการเอา “บ๋อย” ขึ้นมาเป็น “กุ๊ก” มาปรุงอาหาร เอาบ๋อยขึ้นมาเป็นกุ๊กปรุงอาหารให้คนไทยกินทั้งประเทศ ผมว่าดูไม่จืด เรียกว่า “หมาไม่แดก”
Q : ถ้ามีการปรับครม.จริง สามารถช่วยเรื่องใดได้บ้าง หรือไม่สามารถช่วยได้เลย
A : ช่วยได้มั๊ย...ถ้าสมมติปรับแล้วมีรัฐมนตรีที่ดวงดีๆเข้ามาเยอะ หรือตำแหน่งสำคัญๆ...ช่วยได้นะ อันนี้ช่วยได้ครับ แต่ดวงผู้นำเอง...ไม่ต้องไปหวังอะไรกับดวงผู้นำนะ
Q : ดวงคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นอย่างไร
A : “ดวงนายกฯปู”...ดีอยู่ในช่วงเลือกตั้ง พอตั้งแต่เดือนต.ค.มา มีธาตุน้ำเข้ามาเล่นงานธาตุไฟของนายกฯปู มาเล่นงานหนักขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งปี 2555 ยิ่งหนักครับ ผมว่านายกฯปู...คงไปไม่รอด ไม่ตลอด จอดไม่ต้องแจว อย่างที่มีคนบอกว่าจะอยู่ 8 ปีบ้าง 12 ปีบ้าง ผมว่าเอา 8 เดือนจากนี้ไปให้พ้นก่อนเถอะ ผมว่าจะไม่พ้นด้วย
Q : อายุของรัฐบาลที่อาจไปไม่รอด เกิดจากน้ำท่วมหรือการไปช่วยคุณทักษิณ (ชินวัตร พี่ชาย)
A : มีสาเหตุเป็นไปได้ทั้ง 1.คนไม่พอใจออกมารวมกลุ่มขับไล่รัฐบาล แต่มีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่...ผมไม่รู้ 2.ถ้ายังดื้อดึงที่จะคิดแก้ไขพระราชบัญญัติเพื่อคนๆเดียว หรือการแก้ไขมาตรา 112 จะเจอแรงกดดันจากประชาชนทั้งประเทศเลย แล้วมันจะเกิด “สงครามประชาชน” ขึ้นมาทันที เป็นสงครามครั้งใหญ่
Q : “สงครามประชาชน” มีสาเหตุหรือต้นตอมาจากรัฐบาลเป็นผู้สร้างขึ้น
A : “รัฐบาล”...จะเป็นตัวก่อเหตุ แต่มีจุดหนึ่ง...ถ้ารัฐบาลยังฝืนที่จะแก้กฎหมายเพื่อ “เขาคนนั้น” หรือมาตรา 112 อันนี้ “ประชาชนไม่ยอม” หรืออาจมีการจุดชนวนขึ้นมาจากบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ต้องการอำนาจรัฐแล้วโค่นล้มรัฐบาลนี้ แล้วเสื้อแดงออกมาต่อต้าน...เป็นไปได้
Q : โอกาสที่คุณทักษิณได้กลับประเทศไทยมีมาก-น้อยเพียงใด
A : ปิดประตูตายเลยครับ นอนกอดตอกฝาโลง ไม่มีทางเลยถ้าไม่มาติดคุก ไม่มีทาง เพราะว่าคุณทักษิณเกิดปีฉลู ส่วนนายกฯปูเกิดปีมะแม ปีมันก็ชงกัน เป็นอริกัน ไม่มีทางที่จะหวังว่าจะช่วยพี่ชายได้สำเร็จ ไม่ต้องมาแกล้งโง่...ก็โง่จริงๆอยู่แล้ว มันไม่มีทางช่วยได้หรอก
Q : การออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม แล้วช่วยให้ได้กลับประเทศภายในปี 2555 ไม่มีความเป็นไปได้แล้ว
A : ไม่มีทางครับ ถ้ากลับมา...ผมจะไปต้อนรับที่สนามบินเลย ไม่มีทาง หวังไปเถอะ
Q : ปัจจัยที่คุณทักษิณจะไม่ได้กลับประเทศคืออะไร
A : ถ้าสงครามประชาชนเกิดปั๊บ...ทหารต้องออกมา ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองวุ่นตายห่า แต่ผมไม่สนับสนุนให้ทหารมาเป็นนายกฯ ไม่สนับสนุนให้ประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล เพราะว่าถ้า “รูปหล่อ” ขึ้นมาเป็น เสื้อแดงก็ไม่ยอมอีก ต้องหาคนกลางขึ้นมา ต้องพระราชทานมา ถ้าเกิดสงครามประชาชนเที่ยวนี้...ดุเดือดเลือดพล่านเลยครับ เพราะฝ่ายโน้นเตรียมกำลังเอาไว้พร้อมหมดแล้ว เขามีกองกำลังฝึกอาวุธมาจากประเทศข้างเคียง มีนักรบรับจ้างมาจากประเทศข้างเคียง โอวว...งานนี้สนุกเลยครับ การก่อวินาศกรรม การโจมตีอะไรต่างๆจะมาเลย
Q : โอกาสที่จะเกิดสงครามประชาชนมีความเป็นไปได้ในช่วงไหน
A : ถ้าประเมินอันนี้...กลัวว่าจะไม่ใกล้เคียง คือต้องดูในเดือนม.ค. -ก.พ. กลุ่มคนหลากสีจะก่อม็อบขึ้นมาหรือเปล่า ถ้าประมาณม.ค.-ก.พ. เสื้อหลากสีไม่ก่อม็อบขึ้นมาขับไล่รัฐบาล แล้วรัฐบาลเกิดไปแก้ไขนิรโทษกรรมในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. ทำให้โอกาสเกิดสงครามประชาชนได้ในปีหน้า
Q : ที่บอกรัฐบาลอาจอยู่ไม่ถึง 8 เดือน จะเป็นในช่วงไหนที่จะไม่มีรัฐบาลนี้แล้ว
A : ช่วงที่อันตรายที่สุด...จากก.พ.เป็นต้นไปถึงพ.ค. เพราะประเทศไทยปี 2555 จะเป็นปีที่ดุเดือดมาก จะเป็นปีที่มีคนตายมาก สาเหตุที่มีคนตายมาก ผมมองว่าจะมีภัยธรรมชาติรุนแรงเกิดขึ้นกับประเทศไทย ผมมองว่าจะมีการเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรงเกิดขึ้นในประเทศไทย ถ้าหากว่าไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยโดยตรง ประเทศเพื่อนบ้าน ที่เกิดแถวพม่า ก็ต้องระวัง ประเทศไทยจะมีผลกระทบอย่างรุนแรง ถ้าเกิดทางภาคเหนือก็ต้องระวังเขื่อนต่างๆ อาจจะแตก หรือถ้าเกิดทางฝั่งภาคใต้ ก็ต้องระวังคลื่นยักษ์ใหญ่จะเกิดเข้ามา เพราะฉะนั้นในปีหน้า...ผมกำลังมองว่า ภัยอะไรจะเกิดขึ้นก่อน ภัยการเมืองจะเกิดขึ้นก่อนหรือภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นก่อน อันนี้น่าเป็นห่วงมากๆ และผมคิดว่าแผ่นดินไหวต้องเกิดซะด้วย
Q : ปีหน้ามีโอกาสเปลี่ยนแปลงทางการเมืองถึงขั้นเปลี่ยนรัฐบาลหรือไม่
A : มี 80-90% จะบอกว่า 99.99% ด้วยซ้ำ เหลือเอาไว้ 10% แล้วกัน ผมว่าถ้าสงครามประชาชนเกิดขึ้นอย่างที่ว่าจริงๆ การเลือกตั้งจะหยุดไปพักหนึ่ง จะไม่มีการเลือกตั้งหลายปี
Q : ถ้ามีการเปลี่ยนรัฐบาล ใครจะมาเป็นผู้นำคนใหม่
A : มันต้องเอา “คนกลาง” ที่ไม่ได้มาจากพรรคการเมือง ถ้าเอาคนจากพรรคประชาธิปัตย์ เอา “รูปหล่อบ่มิไก๊” ขึ้นมาก็พังอีก ความฉิบหายภาคสองจะเกิดขึ้นมาอีก ตอนนั้นผมให้เขาเลือกแล้วว่า จะเอาความฉิบหายหรือหายนะ เขาก็เลือกเอาหายนะกัน ตอนนี้ก็หายนะกันทั่วประเทศแล้ว
Q : ถ้าเกิดภัยการเมือง มีการชุมนุมของมวลชนทั้ง 2 ฝ่ายโอกาสการปฏิวัติย่อมเกิดขึ้นสูงในปีหน้า
A : ใช่ครับ ถ้าสมมติว่าฝ่ายเสื้อหลากสีออกมาขับไล่รัฐบาล เสื้อแดงต้องออกมาปกป้อง หนีไม่พ้นที่จะต้องปะทะ...ปะทะก็ต้องเกิดเหตุรุนแรง คนต้องตายกันเยอะ ทหารก็ต้องออกมาอีก
Q : ประเทศไทยตอนนี้อะไรคุ้มครองอยู่
A : ผมว่ามีพระอริยสงฆ์หลายองค์ที่ช่วยกันอยู่นะ แต่ต้องบอกว่า ดวงบุคคลสำคัญของประเทศหลายคนที่เป็นใหญ่...ไม่ดีเลย ไม่ดีมากๆเลย น่าเป็นห่วง
Q : อย่าง “ป๋าเปรม” (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ) ที่หายเงียบไปเกี่ยวกับดวงไม่ดีหรือไม่
A : เขาทำอย่างนี้ถูกต้องแล้วครับ เพราะว่า...ไม่อย่างนั้นตกเป็นเป้าเขาตลอด เก็บตัวอย่างนี้ดีแล้ว ผมว่าดีแล้ว ดีที่สุดเลย
Q : ประชาธิปัตย์ไม่มีโอกาสมาเป็นรัฐบาลแล้วใช่หรือไม่
A : จะว่าไม่มีโอกาสเลย...ไม่ได้ เดี๋ยวคนเข้าใจผิด แต่ไม่ใช่ช่วงนี้ครับ ต้องบอกว่า...ต้องรออีกหน่อย ถ้าถามว่าปีหน้ามีโอกาสมั๊ย...ไม่มีทางครับ แต่โอกาสต่อไป “มี”
Q : โอกาสเปลี่ยนขั้วจัดตั้งรัฐบาล โดยมีประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจึงไม่มีทางเป็นไปได้
A : ยากครับ...เที่ยวนี้ถ้าประชาธิปัตย์นั่งอ้าปากรอ...(จะมี)ทุเรียนหล่นใส่ ไม่ใช่ส้ม...ผมให้จับตามอง “ภัยการเมือง” และ “ภัยธรรมชาติ” ให้ดี...อะไรจะเกิดก่อน แต่โอกาสที่ภัยการเมืองจะเกิดก่อน...มันมี อย่าเจอ 2 เด้งแล้วกัน เจอทั้งการเมืองเจอทั้งธรรมชาติ...โอ้โห “เละ”...ไม่รู้จะพูดยังไงเลย ผมว่าต้องดูอีกว่า สมมติมีการกวาดล้างถอนรากถอนโคน ถ้าหากมีการกวาดล้างจริงๆ เที่ยวนี้ต้องถอนรากถอนโคนเลย แล้วจะดูอีกว่าคนที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ วัน-เดือน-ปี เป็นยังไง คณะรัฐมนตรีเป็นยังไง ต้องขอดูตรงนี้ถึงจะบอกได้ว่าเป็นยังไง
Q : คุณอภิสิทธิ์จะกลับมาเป็นผู้นำได้เมื่อไหร่
A : มีโอกาส...แต่ไม่ใช่ช่วงนี้ ไม่ใช่เร็วๆนี้ ไม่ใช่ปีนี้ ไม่ใช่ปี 2555
Q : ดวงประเทศไทยจะดีขึ้นในปีไหน
A : ผมว่า ปี 2555 มาติดต่อ ปี 2556 ก็ยังเสี่ยงอยู่ ปี 2556 ก็ยังชั่วกว่าปี 2555 แต่ปี 2557 ขึ้นไป...ผมว่าไปได้นะ แล้วคุณจับตามมองให้ดี “ตลาดหุ้น” จะผันผวนแรงมากเลย มีโอกาสจะได้ 800 หรือ 800 กว่าจุด แล้ว “ทองคำ” ยังลงรูด ขึ้นมานิดหน่อยก็ลงต่ออีก
Q : โอกาสการเปลี่ยนตัวผู้นำประเทศก่อนการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมีหรือไม่
A : มีโอกาส ในคำทำนายดวงเมือง....ผมเขียนไว้ ตั้งแต่เดือนธ.ค.ปี 2554 ถึง ก.พ. 2555 อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำ
Q : ดูจากดวงคุณปูไปไม่รอดแล้ว
A : เออ...ผมคิดว่า “เขา” คิดผิดที่เอาน้องสาวมาเป็น “แพะบูชายัญทางการเมือง” เขาวางหมากผิด  เขาไม่ไว้ใจคนอื่นมากจนเกินไป แต่ไว้ใจคนที่ประจบสอพลอมากจนเกินไป
Q : แปลว่าปีหน้าคนไทยเตรียมตัวรับรัฐบาลใหม่
A : ไม่ได้บอกว่าเตรียมรับรัฐบาลใหม่ ผมว่าไม่ใช่มาจากพรรคการเมือง จะให้มีการปรองดองกันจริงๆ มันต้องมาจาก “คนกลาง” ก่อน แล้วความปรองดองถึงจะเกิดขึ้น แล้ว “นารีขี่ม้าขาว” จริงๆจะปรากฏขึ้นมาอีกไม่นาน ไอ้ที่ “นารีขี่ควายแดง” มา...อันนี้ไม่ใช่ นารีขี่ม้าขาวจริงๆอีกไม่นานจะปรากฎให้ทุกคนเห็น ที่เห็นอยู่นี่ “ขี่ควายแดง-ไม่ได้ขี่ม้าขาว”
Q : “นารีขี่ม้าขาว” อีกนานหรือไม่ถึงจะปรากฏตัว
A : คงไม่นานเกินรอ แต่ได้เห็นแน่ๆ ล้านเปอร์เซ็นต์
Q : พอแย้มได้หรือไม่ว่าเป็นใคร เป็นนักการเมืองใช่หรือไม่
A : ไม่ใช่นักการเมือง...(ทิ้งช่วงพูด) “ผู้สูงศักดิ์”
Q : “นารีขี่ม้าขาว” จะมาทำปรองดอง และไม่ได้เป็นผู้นำประเทศ
A : มาเป็นที่ยึดเหนี่ยวใจคนไทยทั้งประเทศครับ
Q : ตอนนี้มีดวงคนที่โดดเด่น เข้ามาเป็นผู้นำเป็นที่พึ่งได้หรือไม่
A : ผมเปรียบไม่ถูกเลยครับ เพราะมัน...อันนี้ยังพูดไม่ได้ ยังพูดไม่ได้เลย เพราะมันมี 2-3 คนที่นั่น...แต่มันพูดไม่ได้ ให้เหตุการณ์มันเกิดก่อน แล้วค่อยมาชี้เป้าดีกว่า
Q : ถ้าไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์จะมีใครมาทำหน้าที่นายกฯ
A : ต้องเป็นคนกลาง ไม่ใช่พรรคการเมืองก่อน แต่ผมย้ำอีกทีว่า ผมไม่ต้องการทหารมาเป็นผู้นำ เตือนไปถึงท่านผบ.ทบ.ด้วยนะ ว่าดวงท่านให้ระวังด้วยนะครับ อย่าหลงคำ อย่าหลงคนที่มาเยินยออยู่ข้างกายแล้วกัน ให้ระวังนะ อาจหลงผิดทำอะไรผิดได้ ผมเชื่อว่าท่านมีความจงรักภักดีอยู่เต็มร้อย แต่คนรอบข้างต้องกลั่นกรองให้ดี ไม่ใช่เยินยอ ยกยออย่างเดียวแล้วเขาคิดว่าคนนี้ใช่ เพราะปี 2555 ดวงเขาไม่ดีมากๆ จะแต่งตั้งใครก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะให้ใครในตำแหน่งสำคัญอะไรต้องดูให้ดีๆ ไม่ใช่เอาคนที่ยกย่อง เยินยอท่านอย่างเดียว อย่าไปเอาจุดนั้น เอาความสามารถจริงๆของแต่ละคน
Q : รัฐมนตรีที่ดวงไม่ดี รวมถึงผู้ที่แสดงบทบาทนายกรัฐมนตรีกลายๆ อย่าง “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ด้วยหรือไม่
A : อ๋อ...คุณเฉลิม ถ้าหากไม่ตายด้วยโรคร้ายเร็วๆนี้ ก็เตรียมไปสักหมาเผ่นไว้ได้เลย แน่จริงอย่าหนีไปไหนนะ ให้คงอยู่ไว้ พูดเก่งแต่ขอให้อยู่เถอะ
Q : ดวงคุณอภิสิทธิ์และคุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ) มีโอกาสจะถูกดำเนินคดีสลายการชุมนุมหรือไม่
A : มีโอกาส “อภิสิทธิ์” จะมีโอกาสจะโดนคดี แต่มันผ่านพ้นได้ ผมคิดว่ามันยังไม่ทันเกิด มันจะเกิดเหตุกับรัฐบาลก่อน
Q : เปลี่ยนรัฐบาล คดีความก็หลุด
A : ใช่...(หัวเราะ) คิดเอาสิ ตอนที่เสื้อแดงยังไม่เป็นรัฐบาล เรื่องคดี 13 ศพ ยังหาอะไรไม่ได้ พอเปลี่ยนรัฐบาลปุ๊บ พยานต่างๆ เริ่มพลิก เดี๋ยวก็พลิกอีก
Q : เสื้อแดงจะยังมีอยู่อีกนานหรือไม่
A : มันอยู่ที่การจัดการ ถ้าไม่เด็ดขาด มันก็ปวดหัวอย่างนี้ตลอดไป ไม่ใช่ผมยุนะ แต่ผมคิดว่าผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง เขาคงจะรู้อะไรควร-ไม่ควร ไม่ใช่ว่าเสื้อแดงทุกคนไม่ดีหมด
Q : ที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “นายพลป.ปลา” จะมาเป็นนายกฯ ตอนนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว
A : ไม่มีแล้ว ถ้าป.ปลา ที่มีตำแหน่งนะ ที่เป็นอดีตนายทหาร...ถ้าทหารออกมา ผมไม่รับปาก เพราะผมไม่ต้องการให้ทหารเป็น ให้เชิญคนกลางเข้ามา ถวายคืนพระราชอำนาจให้ “ในหลวง” ทรงแต่งตั้ง “คนกลาง” ขึ้นมา ที่คนทั่วโลกยอมรับ
Q : ฝ่ายเสื้อแดงตอนนี้กลัวใคร
A : เสื้อแดงเขาไม่กลัวทหารนะ เขาต้องการให้เกิดสงครามประชาชนเหมือนลิเบีย-ตูนีเซีย-อียิปต์ เขามีกำลังคนและอาวุธพร้อมทุกอย่างแล้วนะ ผมเชื่อว่าอย่างนั้น...จริงหรือไม่ไปดูเอาเอง แต่เขาก็ต้องระแวงทหารอยู่ดี แล้วดวงของพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา (รมว.กลาโหม) ปีหน้าก็ดวงไม่ดี ตกยาวเลย ถ้าหากว่าท่านฉลาดนะ ก็ควรลาออก หรือไม่ก็ลู่ตามลมซะ ถ้าไปต้านลม...พัง
Q : ดวงต่างประเทศเป็นอย่างไรในปีหน้า
A : ประเทศกรีซไม่มีทางแก้หนี้สินได้ แต่ยังมีหลายประเทศในปี 2555 ที่จะเจอวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงและมีภัยธรรมชาติรุนแรง หลายๆประเทศดี-ไม่ดี...อเมริกาเองก็จะง่อนแง่น เหมือนโดมิโน่ จะล้มแหล่มิแหล่ เป็นตุ๊กตาล้มลุกอยู่ ตัวอเมริกาเองปัญหาจะหนักมากด้วย การส่งออกต่างๆไม่ค่อยดี
………………………….
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #31 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 12:21:27 »

เรื่องที่ชาวจุฬาที่จงรักภักดีควรใส่ใจ

นักข่าวเอพีเขียนถึงในหลวง

สำนักข่าวเอพี “ประเทศไทย - สงครามแห่งสายน้ำสงครามแห่งพระมหากษัตริย์” 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
 แปลโดย Noppanan Arunvongse Na Ayudhaya จาก “In Thailand, a battle royal with water”, Associated Press,  November 2, 2011
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ 


 ขณะที่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระประชวร ทรงกำลังสำรวจภาพแห่งความหายนะจาก หน้าต่างโรงพยาบาลชั้น 16 ของพระองค์ พระมหากษัตริย์พระชนม์มายุ 83 พรรษาทรงพบกับบางสิ่งที่ท้าทายพระองค์ อย่างฝังรากลึกมานานแทบตลอดพระชนม์ชีพนั่นคือ “น้ำ” ระดับน้ำได้เพิ่มขึ้น รอบๆ พระองค์ กระแสน้ำไหลท่วมท้นกรุงเทพมหานครและเอ่อล้นตลิ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา 
"แม่น้ำของกษัตริย์” ไหลเชี่ยวผ่านโรงพยาบาลศิริราชที่ซึ่งพระองค์ประทับอยู่ในรถเข็นพระที่นั่งมานาน ตลอดระยะเวลา 2 ปีเหตุการณ์น้ำท่วมที่ร้ายแรงที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ คือ สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเพียรพยายามอย่างอุตสาหะมานะ และอาจมากกว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่เคยพยายามป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
พระองค์ได้ทรงส่งสัญญาณเตือนภัยแม้ว่าอาจไม่มีใครใส่ใจในทุกครั้งก็ตามพระองค์ทรงคัดค้านการพัฒนาที่เกินพอดีและทรงเสนอแนวคิดที่จะทุเลาความเสียหาย อย่างใหญ่หลวงจากการขึ้นลงของน้ำประจำปี  ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของน้ำจากพายุมรสุม
ความทุกข์ของประเทศด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตเกือบ 400 คน และอีก 110,000  คนไม่มีที่อยู่ คือภาพที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงการเพิกเฉยต่อคำเตือนของพระองค์ รวมถึงข้อจำกัดในความสามารถของมนุษย์ที่พยายามควบคุมธรรมชาติ ซึ่งในบางครั้งนั้นมีความรุนแรงเกินกำลัง นักวิเคราะห์กล่าวไว้เช่นกันว่าในการรับมือกับปัญหาที่ซับซ้อนดังกล่าวนั้น  ไม่มีคนหนึ่งคนใดเพียงคนเดียวสามารถทดแทนแผนงาน ที่ผ่านการประสานงานอย่างรัดกุมและดำเนินการโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่มีหน้าที่ แต่ในบางครั้งนั่นก็คือสิ่งที่นักวิจารณ์มองว่าประเทศไทยกำลังขาดแคลนเช่นกัน
แม้กระทั่งปัจจุบัน  ขณะที่เมืองหลวงของประเทศไทยและบริเวณโดยรอบกำลังต่อสู้กับความเชี่ยวกราก พระมหากษัตริย์ผู้ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกก็ทรงกำลังเสนอข้อแนะนำถึงวิธีที่ดีที่สุด ในการหาเส้นทางระบายน้ำจากที่ราบทางตอนเหนือเพื่อลงสู่ทะเล แต่ไม่เหมือนกับในอดีต  พระมหาษัตริย์ผู้ทรงมีพระบารมีภายใต้รัฐธรรมนูญไม่สามารถทรงทำหน้าที่ตรวจสอบ,ชักจูงหรือในบางครั้งไม่อาจทรงตำหนิติเตียนเหล่าข้าราชการที่ทำงานอย่างไร้ประสิทธิภาพได้ ในฐานะผู้ทรงสืบเชื้อสายจากบรรดาพระมหากษัตริย์ทั้งปวงของไทยในอดีต ซึ่งต่างล้วนทรงถือว่าการควบคุมน้ำคือพระราชกรณียกิจในพระองค์
เริ่มจากหนึ่งในโครงการพัฒนาตามพระราชดำริโครงการแรกคืออ่างเก็บน้ำในปี 1963 เพื่อกักเก็บน้ำและป้องกันน้ำทะเลเข้าท่วมพื้นที่ตากอากาศชายทะเลหัวหิน จนกระทั่งปัจจุบัน โครงการพระราชดำริมีจำนวนมากกว่า 4,300 โครงการ และกว่า  40% ของจำนวนโครงการทั้งหมดนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำ 

“พระราชดำริและข้อเสนอแนะของพระองค์นั้นมีปรากฏอยู่อย่างแจ้งชัดโดยปราศจากข้อสงสัย ตลอดในนโยบายและการจัดการแหล่งน้ำต่าง ๆ ของประเทศไทยมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 40 ปี” 

เดวิด เบลค  ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำจากมหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลียแห่งอังกฤษซึ่งทำการศึกษา เรื่องนี้ในประเทศไทยกล่าว แม้ว่าจะไม่ทรงผ่านการศึกษาในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ  แต่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระราชสมภพในสหรัฐอเมริกา  พระองค์นี้ได้ทรงแสดงให้เห็นพระอัฉริยภาพด้านวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ โดยในช่วงทศวรรษ 1990 นั้น  พระองค์ได้ทรงใส่พระราชหฤทัยกับเมืองหลวงอันแสนเปราะบางของประเทศไทย  “ ในลักษณะที่ดูเหมือนประหนึ่งผู้ทำลายบรรยากาศแห่งความสุขกับช่วงเวลา แห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเตือนประชาชน เรื่องน้ำท่วม การจราจรที่เลวร้ายและความทุกข์ยากแร้นแค้นต่าง ๆ  นานาที่กำลังจะเกิดขึ้น ”

โดมินิค ฟาวเดอร์  บรรณาธิการอาวุโสของหนังสือเกี่ยวกับพระองค์ที่ใกล้วางจำหน่าย ชื่อ “การมองโลกในแง่ร้ายและคำเตือนต่าง ๆ คือสิ่งที่คนไทยไม่อยากได้ยิน” ฟาวเดอร์กล่าวเพิ่มเติมว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเพียรพยายามที่จะแก้ปัญหา ดังเห็นได้จากการที่พระองค์ทรงไม่ยอมรับ “ข้าราชการ (บางกลุ่ม)ที่โต้แย้งและไม่เห็นด้วย กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงในขณะนี้” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระองค์ว่า “แก้มลิง”โดยมีที่มาจากลิงทรงเลี้ยงเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ซึ่งมักเก็บกล้วยไว้ข้างแก้มจำนวนมาก จากนั้นจึงทยอยนำออกมากลืนกินในภายหลัง  กระแสน้ำประจำปีที่ไหลผ่านจากเหนือลงใต้ ตามเส้นทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพมหานครนั้น ถูกหันเหให้ลงสู่ “แก้ม” หลังจากนั้นจึงถูกผันลงสู่ทะเลหรือถูกส่งเข้าสู่ระบบชลประทานต่อไป 

มีการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำที่เกี่ยวข้องซึ่งประกอบไปด้วยทำนบ  คลองและประตูระบายน้ำ ตลอดจนพัฒนาระบบระบายน้ำในเมืองหลวง  ซึ่งทำให้เกิดผลงานในการบรรเทาปัญหาน้ำท่วม ตลอดช่วงทศวรรษ 1990 จนถึงทศวรรษที่ผ่านมา

 “เราต้องถือเอาความกราดเกรี้ยวของสายน้ำไว้เป็นครู  ถ้าเราสามารถหาหนทางเก็บน้ำที่ไหลท่วม ไว้ในแหล่งกักเก็บน้ำก่อน จากนั้นจึงนำออกมาใช้เมื่อเราต้องการได้ ก็จะเป็นประโยชน์ 2 ชั้น ” กระแสพระราชดำรัสในปี 1990

อย่างไรก็ตาม เบลคกล่าวว่า  แผนการณ์ดังกล่าวนั้นมีผลทำให้ชุมชนโดยรอบกรุงเทพมหานคร ต้องเสียสละเพื่อรักษาใจกลางเมืองหลวงไว้และนั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ ซึ่งรวมถึงกลุ่มข้าราชการที่รู้ดีเกินควรและทำการผันน้ำลงสู่ทุ่งนาแทนที่จะเป็นแหล่งกักเก็บน้ำ ตามที่วางแผนไว้ นับแต่นั้นแหล่งกักเก็บน้ำหลักถูกย้ายไปสู่ฝั่งตะวันตก พื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันออกถูกแทนที่ด้วยนิคมอุตสาหกรรม บ้านจัดสรร สนามกอล์ฟและสนามบินนานาชาติ

 “ สาเหตุสำคัญของน้ำท่วมคือข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเราสร้างบ้านเรือนอยู่บนหนองน้ำ ประเด็นของข้าพเจ้าคือว่า มนุษย์ทำการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติมากเกินไปจากสิ่งที่เคยเป็น ” กระแสพระราชดำรัส ในช่วงแรกเมื่อปี 1971 นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเตือน ถึงการตัดไม้ทำลายป่าอย่างมโหฬารในภาคเหนือว่าจะนำมาสู่การเกิดอุทกภัย 

การตัดไม้ทำลายป่าจะลดความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน และนั่นได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญของอุทกภัยในปัจจุบัน ตลอดระยะเวลา 2 ทศวรรษครึ่งที่ผ่านมา  ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินไปทั่วทุกหัวระแหงของประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ภาคใต้ ตลอดจนสร้างระบบชลประทานบนเทือกเขาสูงสำหรับชาวเขาในภาคเหนือพระองค์ทรงให้การสนับสนุนการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ในประเทศไทย  ซึ่งแต่ละแห่งมีชื่อตามพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์  รวมถึงพระนามของพระองค์เอง แม้ว่าหลังจากนั้นพระองค์จะทรงตระหนักถึงภยันตรายและทรงโปรดการสร้างเขื่อนขนาดเล็ก และทำนบกั้นน้ำแทนก็ตาม

พระองค์ทรงแก้ปัญหาความแห้งแล้งด้วยการเลี้ยงเมฆให้เกิดฝนด้วยวิธีโปรยสารเคมีจากเครื่องบิน  ซึ่งเป็นวิธีที่ต้องใช้ทั้งความพยายามและโชคช่วยด้วยเช่นกัน 

“ไม่ใช่ทุกโครงการพระราชดำริล้วนประสบความสำเร็จ มีหลาย ๆ กรณีที่การคิดค้นหรือหลักการ ของพระองค์ถูกนำไปปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมเช่นกัน” เบลคกล่าว

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า พระองค์ทรงเป็นเพียงแค่ผู้เสนอ  “แนวคิดที่อาจเป็นไปได้ แต่การนำไปใช้นั้นขึ้นอยู่กับผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ  ถ้าพวกเขาแปลความผิดหรือจัดการในทางที่ผิด แนวคิดเหล่านั้นก็ไม่เป็นผล”

สุเมธ ตันติเวชกุล  ผู้ดูแลมูลนิธิชัยพัฒนาซึ่งทำหน้าที่สนองงานตามโครงการพระราชดำริ กล่าวว่า ในบรรดาสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำเพื่อส่วนรวมนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตั้งพระราชหฤทัยในการพัฒนาแหล่งน้ำอย่างยั่งยืน พระองค์ได้ทรงใช้พระราชฐานะของพระองค์เพื่อผลักดันเรื่องนี้ให้เดินหน้าเป็นวาระแห่งชาติ สิ่งที่พระองค์ทรงคิดค้นบางอย่างนั้นนำมาซึ่งความประหลาดใจเช่นกัน เพื่อช่วยขจัดน้ำเน่าเสียอย่างรุนแรงในใจกลางกรุงเทพมหานคร

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์เครื่องกรองน้ำอย่างง่ายด้วยผักตบชวาซึ่งเป็นพืช ที่มีคุณสมบัติดูดซับสารพิษ  หลังจากนั้นจึงทำการสลายพิษในพืชชนิดนี้และนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง รวมถึงใช้ถักทอในงานหัตถกรรม 

พระองค์ได้ทรงอธิบายถึงเมืองหลวงที่แผ่ขยายอาณาบริเวณ ออกไปใหญ่โตและเต็มไปด้วยน้ำเน่าเสีย  ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยคูคลองมากมายว่า “กรุงเทพมหานครเปรียบเสมือนห้องสุขาที่ไม่มีระบบชักโครก”

พระองค์ได้ทรงประดิษฐ์กังหันน้ำต้นทุนต่ำซึ่งประกอบด้วยวงล้อใบพายอย่างในเรือกลไฟสมัยก่อน และทรงได้รับสิทธิบัตรนานาชาติ  ซึ่งถือเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกและพระองค์เดียว ในบรรดาพระมหากษัตริย์ทั้งหลายทั้งปวงของโลกใบนี้


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #32 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 12:24:20 »

เรื่องที่ชาวจุฬา ควรใส่ใจ

โฆษกศาลฯ แจง 5 ประเด็น “อากง” ติดคุก ชี้ ยังมีสิทธิ์สู้คดี-วอนคำนึงความรู้สึกประชาชนก่อนแก้ ม.112‏

โฆษกศาลยุติธรรม ชี้แจงคดี “อากง” หลังถูกปั่นกระแสเรียกร้องแก้ไข-ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เผย ศาลชั้นต้นชั่งน้ำหนักแล้วผิดจริง แต่ใช้สิทธิ์อุทธรณ์-ฎีกา ได้ตามกฎหมาย ชี้ บทลงโทษไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ แต่ขึ้นอยู่กับข้อหาและพฤติการณ์ โต้พวกโจมตีศาลไม่เข้าใจประวัติศาสตร์-ธรรมเนียมประเพณี แจง มาตรา 112 แก้ไขได้ถ้าล้าสมัย แต่ต้องมองความรู้สึกประชาชน-อย่าใช้อารมณ์ชักจูงในทางเสียหาย ติชมด้วยใจเป็นกลาง
       

       วันนี้ (14 ธ.ค.) เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ตีพิมพ์บทความหัวข้อ “อากงปลงไม่ตก” ของ นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม ซึ่งกล่าวถึงกรณีที่ นายอำพล ตั้งนพคุณ อายุ 61 ปี ซึ่งถูกตั้งฉายาว่า “อากง” ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งศาลอาญามีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 20 ปี เมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ากระแสสังคมให้ความสนใจรวมทั้งต่างชาติที่วิพากษ์วิจารณ์ศาล ยุติธรรมไทยในทางไม่สร้างสรรค์
       
       นายสิทธิศักดิ์ กล่าวว่า ศาลและกระบวนการยุติธรรม ไม่เคยขัดขวางการแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดๆ ขอเพียงการแสดงออกตั้งอยู่บนฐานคติที่ปราศจากอคติ ภายใต้หลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักนิติธรรม หลักเหตุผล หรือหลักความเชื่อส่วนตนที่สุจริตมีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ดูเหมือนหลายคนที่วิจารณ์ผลคดีข้างต้นในทางลบยังมิได้รู้เห็นพยานหลักฐาน หรือข้อเท็จจริงในสำนวนความอย่างถ่องแท้ จึงขอตนำความจริงบางประการของสำนวนคดีนี้ ประกอบกับประเด็นที่สังคมตั้งข้อสงสัยมานำเสนอเพื่อเป็นข้อมูลแลกเปลี่ยน
       
       โดยประเด็นอากงไม่ได้กระทำความผิด เหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุก นายสิทธิศักดิ์ ชี้แจงว่า หากเป็นการตัดสินกันเองโดยบุคคลกลุ่มคนนอกศาลและกระบวนการยุติธรรม คงจะหาเหตุผลรองรับความชอบธรรมยาก เพราะเป็นความเชื่อส่วนตนที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่มีการกระทำ ความผิดเกิดขึ้น เป็นอัตวิสัยที่อาจปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุน ในขณะที่คดีนี้ผ่านกระบวนการสอบสวน การกลั่นกรองจากอัยการ แล้วเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่ อันเป็นหลักการสากลและหลักกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อสู้ คดีอย่างเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นธรรม
       
       “ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า อากง หรือจำเลยมีความผิด เพราะศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้ว เชื่อว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องของอัยการโจทก์จริง แต่ถ้าจำเลยไม่เห็นด้วยไม่พอใจในผลคำพิพากษา ก็ยังสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้ตามกฎหมาย ซึ่งในอดีตมีคดีที่ศาลสูงเห็นต่างจากศาลชั้นต้นพิพากษากลับหรือแก้คำพิพากษา ศาลล่าง ก็ไม่น้อย ดังนั้นเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด การจะด่วนสรุปว่าอากงเป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำผิดโดย เสร็จเด็ดขาดนั้น ก็ยังมิใช่เป็นเรื่องที่แน่แท้เสมอไปดังที่บางคนมีความเชื่อและเข้าใจใน ทำนองนั้น แท้จริงแล้ว อากงยังถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด” นายสิทธิศักดิ์ กล่าว
       
       • ชี้ถ้อยคำหยาบคาย-อาฆาตกษัตริย์ต่างกรรมต่างวาระเข้าข่ายท้าทาย-ไม่สำนึกผิดชอบชั่วดี
       
       ประเด็นต่อมา เหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษถึงจำคุก ซึ่งการที่ศาลลงโทษจำคุก 20 ปี เป็นโทษที่หนักเกินไป นายสิทธิศักดิ์ เห็นว่า ปกติการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นบุคคลธรรมดาที่เป็นการดูหมิ่นใส่ ความทำให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงเกียรติคุณอย่างร้ายแรง กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดมีโทษถึงจำคุก ศาลยุติธรรมก็เคยลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษมาแล้ว สำหรับคดีนี้ มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายแสดงความอาฆาตมาดร้าย จาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์และพระราชินีด้วยถ้อยคำภาษาที่ป่าเถื่อน และต่ำทรามอย่างยิ่ง เกินกว่าวิญญูชนคนทั่วไปจะพึงพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามกัน
       
       โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กระทำต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์พระประมุขของประเทศ อันเป็นที่เคารพยกย่องเทิดทูนของปวงชนชาวไทยและทั่วโลก ในหลวงทรงครองสิริราชย์มาเป็นเวลากว่า 65 ปี ทรงครองแผ่นดินด้วยหลักทศพิธราชธรรม ห่วงใยทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎร์ตลอดเวลา แม้ในยามทรงพระประชวร พระองค์ก็ยังทรงงานเพื่อแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชนเช่นอุกทุกภัยน้ำท่วมใน ครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทุ่มเทพระวรกายตลอดพระชนม์ชีพ ทรงงานเพื่อความผาสุกของประเทศชาติและประชาชนทุกหมู่เหล่า ในกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ก็บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมิใช่คู่กรณีที่มีความขัดแย้งสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่จำเลยแม้แต่ น้อยนิด รวมทั้งพระองค์ท่านทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองจากมวลชนทุกหมู่เหล่า จึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยหรือบางคนจะพยายามบิดเบือนว่า คดีนี้มาจากมูลฐานทางการเมือง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นธรรมและห่างไกลจากความเป็นจริง
       
       “คดีนี้มีข้อเท็จจริงบางประการที่ผู้วิจารณ์อาจยังรู้ไม่ครบถ้วนและ เข้าใจคลาดเคลื่อน คือ นอกเหนือจากพฤติการณ์แห่งคดีหรือข้อความหมิ่นประมาทที่มีความรุนแรงและร้าย แรงอย่างมากแล้ว ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า ผู้กระทำไม่ได้กระทำความผิดแค่ครั้งเดียว แต่มีการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ ด้วยถ้อยคำดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายถึง 4 ครั้ง มีถ้อยคำที่แตกต่างกันทุกครั้ง แสดงถึงเจตนาที่จงใจกระทำผิดกฎหมายอย่างท้าทายไม่ยำเกรงอาญาแผ่นดิน ไม่มีจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธมาตลอดจนถึงในชั้นศาลจึงไม่มีเหตุลดโทษ บรรเทาโทษตามกฎหมาย ซึ่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กฎหมายระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี” นายสิทธิศักดิ์กล่าว
       
       โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวในบทความว่า การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยในความผิดแต่ละครั้งจำคุกกระทงละ 5 ปี ตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นโทษบทหนักนั้น เป็นการลงโทษสูงกว่าโทษขั้นต่ำของกฎหมายเพียง 2 ปี ยังเหลืออัตราโทษอีก 10 ปี ที่ศาลมิได้นำมาใช้ เมื่อนำโทษทั้ง 4 กระทงมารวมกันเป็น 20 ปี คนทั่วไปที่ไม่รู้จึงเข้าใจผิดคิดว่าศาลลงโทษครั้งเดียว 20 ปี เห็นว่าโทษหนักไป แต่ถ้าเทียบกับพฤติการณ์ความร้ายแรงแห่งคดีแล้ว หลายคนที่รู้จริงเห็นตรงข้ามว่าโทษเบาไปหรือเหมาะสมแล้วก็มี
       
       • โทษขึ้นอยู่กับความผิด-พฤติการณ์มิใช่อายุ-เจตนาทำร้ายสถาบันไม่มีใครอยากปล่อยลอยนวล
       
       สำหรับประเด็นอากงอายุมากแล้วควรได้รับการลดโทษ ปล่อยตัวไป หรือได้รับการประกันตัว นายสิทธิศักดิ์ ชี้แจงว่า แม้สังคมทั่วไปจะเรียกจำเลยว่า “อากง” ฟังดูประหนึ่งว่าจำเลยชราภาพมากแล้ว แต่ตามฟ้องจำเลยอายุ 61 ปี มิได้แก่ชราจนต้องอยู่ในความอนุบาลดูแลของผู้ใดสามารถเข้าใจและใช้เทคโนโลยี สมัยใหม่ได้ แสดงว่า เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และมิได้แก่เฒ่าคราวปู่ทวด สำหรับบุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคมสถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความหลงผิดก่อให้เกิดความเสีย หายอย่างใหญ่หลวง
       
       “ไม่มีใครอยากให้คนเช่นนี้ลอยนวลอยู่ในสังคมเพื่อสร้างความเสียหาย ต่อเนื่องหรือแก่ผู้อื่นอีก เพราะสักวันคนใกล้ตัวของคนเหล่านี้อาจตกเป็นเหยื่อด้วยก็ได้ มาตรการที่เหมาะสมจึงควรตัดโอกาสในการกระทำผิด ลงโทษให้หลาบจำสาสมไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่กระทำความผิดคิดวางแผนไตร่ตรองในการกระทำความผิด อย่างแยบยลแนบเนียนด้วยแล้ว ก็ยิ่งสมควรใช้วิธีการที่เหมาะสม ในการคุ้มครองรักษาความสงบสุขของประเทศชาติและประชาชนด้วย” โฆษกศาลยุติธรรม กล่าว
       
       นายสิทธิศักดิ์ กล่าวต่อว่า ไม่แน่แท้เสมอไปว่าชราชน ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับการลดโทษ ลงโทษน้อย หรือปล่อยตัวไปเสมอไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อหาความผิด ความเสียหายและพฤติการณ์การกระทำแต่ละคดีที่ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป ส่วนการจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็นเรื่องๆ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108, มาตรา 108/1
       
       • โต้กลับพวกโจมตีศาล “ไม่เข้าใจประวัติศาสตร์-ธรรมเนียมประเพณี” ชี้มีข้อจำกัดเพื่อความมั่นคง
       
       ส่วนประเด็นที่ว่า ศาลไทยไม่มีมาตรฐานสากล ควรรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคล นายสิทธิศักดิ์ชี้แจงว่า ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเกี่ยวกับ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (International Covenant on Civil and Political Rights) ICCPR ได้บัญญัติรับรองในข้อ 19 ว่า 1) บุคคลมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากแทรกแซง 2) บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา ได้รับและสื่อสารข้อมูลและความคิดทุกชนิด โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ไม่ว่าด้วยวาจา เป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยการพิมพ์ ในรูปแบบของศิลปะหรือโดยสื่อประการอื่นใดที่บุคคลดังกล่าวเลือก 3) การใช้สิทธิตามวรรคสองของข้อนี้ต้องประกอบด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบอัน เป็นพิเศษ ดังนั้น สิทธิดังกล่าวจึงอาจอยู่ภายใต้ข้อจำกัด บางประการ แต่ข้อจำกัดนั้นต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติและเท่าที่จำเป็น คือ เพื่อเคารพต่อสิทธิหรือชื่อเสียงของบุคคลอื่น และ เพื่อคุ้มครองความมั่นคงแห่งชาติ ความสงบเรียบร้อยของประชาชนสาธารณสุขหรือศีลธรรมอันดี
       
       นอกจากนั้น กติการะหว่างประเทศฯ ยังได้ให้ความคุ้มครองสิทธิของบุคคลในการที่จะไม่ถูกล่วงละเมิดทำให้เสื่อม เสียชื่อเสียงหรือเกียรติภูมิไว้ด้วยตามข้อ 17 ซึ่งกำหนดว่า 1.ไม่มีบุคคลใดที่จะต้องตกอยู่ภายใต้การแทรกแซงตามอำเภอใจหรือโดยมิชอบด้วย กฎหมายต่อความเป็นส่วนตัว ครอบครัว หรือการติดต่อสื่อสาร หรือการโจมตีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อเกียรติภูมิและชื่อเสียง 2.บุคคลมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายจากการแทรกแซงหรือการโจมตี เช่นว่านั้น ฉะนั้นแม้การแสดงความคิดเห็นถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่กติการะหว่าง ประเทศฯ ให้การยอมรับ แต่ในขณะเดียวกัน กติการะหว่างประเทศฯ ก็ได้กำหนดไว้ด้วยว่าการใช้สิทธิดังกล่าวต้องทำด้วยความสำนึกรับผิดชอบและ ไม่ล่วงละเมิดสิทธิของบุคคล เนื่องจากบุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิ ในการรักษาชื่อเสียงและเกียรติภูมิของตนและต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ด้วยเช่นกัน
       
       ทั้งนี้ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR เป็นสนธิสัญญาพหุภาคี ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ได้ให้การรับรองเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2509 และมีผลใช้บังคับเมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ.2519 สนธิสัญญานี้ให้คำมั่นสัญญาว่าภาคีจะเคารพสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ของบุคคล ซึ่งรวมถึงสิทธิในชีวิต เสรีภาพในศาสนา เสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการรวมตัว สิทธิเลือกตั้ง และสิทธิในการได้รับการพิจารณาความอย่างยุติธรรม จนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ.2552 กติการะหว่างประเทศนี้มีประเทศลงนาม 72 ประเทศ และภาคี 167 ประเทศ
       
       ประเทศไทย เข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญานี้โดยการภาคยานุวัติ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2539 และมีผลบังคับใช้กับไทย เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2540 อันสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 45 ที่ว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การพิมพ์และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น แต่เสรีภาพดังกล่าวก็ยังถูกจำกัดได้โดยกฎหมายหากเป็นไปเพื่อรักษาความมั่นคง ของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิ หรือความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอัน ดีของประชาชน”
       
       นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 5 บัญญัติว่า ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต และมาตรา 421 ก็บัญญัติว่า การใช้สิทธิ ซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีมาตรฐานเช่นเดียวกับหลักการสากลข้างต้น อันแสดงว่าประเทศไทยให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน มีกฎหมาย ที่ความก้าวหน้าทันสมัยทัดเทียมอารยประเทศ เพียงแต่ภายใต้ระบอบการปกครองบ้านเมืองที่แตกต่างกัน ทุกประเทศจึงควรที่จะต้องให้เกียรติเคารพในความต่างที่เป็นจุดแข็งทาง วัฒนธรรมและสังคมของแต่ละประเทศ
       
       “หากผู้วิจารณ์คนใดยังศึกษาภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ไม่ลึกซึ้งถึง แก่นแท้หรือมีข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วนเพียงพอ ไม่เข้าใจในขนบธรรมเนียม ประเพณี สังคมประเทศใดแล้ว การแสดงความเห็นว่าศาลหรือกระบวนการยุติธรรมของประเทศอื่นในทำนองห่วงใยว่า จะไม่มีมาตรฐานสากลนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง และหมิ่นเหม่ต่อการกล่าวหากันอย่างไม่เป็นธรรม อาจทำให้คิดไปว่าผู้วิพากษ์เจือปนด้วยอคติที่ผิดหลงมีวาระซ่อนเร้น ประเทศไทยมีเอกราชทางการปกครองและการศาลมาช้านาน และประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” โฆษกศาลยุติธรรม ระบุ
       
       • ม.112 ฝ่ายนิติบัญญัติแก้ไขได้ แต่ต้องมองความรู้สึกประชาชน-วอนอย่าใช้อารมณ์ชักจูงในทางเสียหาย
       
       สำหรับข้อเรียกร้องควรยกเลิกความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายคอมพิวเตอร์นั้น โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวว่า กฎหมายทุกฉบับออกหรือตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นผู้แทนมาจากปวงชนชาว ไทย สามารถแก้ไขปรับปรุงและยกเลิกได้ ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าล้าสมัยไม่เหมาะสม ศาลเป็นเพียงผู้ใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์ที่สภานิติบัญญัติตราขึ้น มีกฎหมายหลายฉบับเขียนให้ศาลแทบใช้ดุลพินิจไม่ได้หรือ ต้องลงโทษสถานหนักในบางข้อหา เช่น ผลิตนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภท 1 แม้เพียง 1 เม็ด หรือข้อหาฆ่าบุพการี ต้องประหารชีวิตสถานเดียว เป็นต้น แม้การแก้ไขยกเลิกกฎหมายจะกระทำได้ก็ตาม แต่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ความสงบเรียบร้อยของสังคมและผลกระทบข้างเคียงอื่นที่อาจตามมาด้วย อย่าให้อารมณ์หรือกระแสแห่งการปลุกปั่นยั่วยุชักจูงไปในทางที่เสียหายได้
       
       “คดีอากง เป็นแค่ปฐมบทในการพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลย ตามครรลองแห่งเสรีภาพที่กฎหมายเปิดช่องไว้ตราบใดที่คดียังไม่ถึงที่สุด การด่วนรวบรัดตัดความกล่าวโทษบุคคลหรือองค์กรที่ทำหน้าที่รักษากติกาสังคม อาจยังไม่เป็นธรรมนัก อย่างไรก็ตาม คนทุกชาติ ทุกภาษา ต่างหวงแหนรักในแผ่นดินเกิดของตนเองเคารพและศรัทธาในศาสดาที่เป็นผู้นำทาง ศาสนาของตนเอง ความแตกต่างทางความคิดเชื้อชาติศาสนาการปกครองบ้านเมืองศิลปวัฒนธรรม ประเพณี มิใช่สิ่งผิดปกติในสังคมโลก แต่การกล่าวร้ายใส่ความ แสดงความอาฆาตมาดร้ายศาสดาของศาสนาอื่น เป็นพฤติการณ์ที่ผู้เจริญมิสมควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะน้ำผึ้งหยดเดียวอาจกลายเป็นความหายนะของชาติได้ ดังนั้น หากอยากรู้ปัจจุบันและอนาคตของชาติใด ขอจงศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศนั้น” นายสิทธิศักดิ์ กล่าว
       
       โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับชาติไทยดำรงคงเอกราชมีเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย เป็นที่ชื่นชมยกย่องของคนทุกชาติทุกภาษา เพราะผู้คนในสังคมไทยยังมีความรักสามัคคี มีน้ำใจ เอื้ออาทรผ่อนปรนเข้าหากัน ไม่ก้าวร้าวรุนแรงโดยขาดสติไร้เหตุผลรักหวงแหน เทิดทูนในชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์จากรุ่นสู่รุ่น และปลูกฝังถ่ายทอดเป็นมรดกสู่ลูกหลานจนถึงปัจจุบัน หากคนไทยยังรักและภูมิใจในแผ่นดินเกิด ขอได้โปรดช่วยกันรักษาสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ การจะติชมวิพากษ์เป็นเสรีภาพที่กระทำได้ ขอเพียงมีจิตเป็นกลาง ไม่มีอคติ และบนฐานคติที่สร้างสรรค์ พึงอย่าได้ใช้สิทธิส่วนตนเกินส่วนจนเกินขอบเขตก้าวล้ำสิทธิเสรีภาพผู้อื่น
       
       “อย่าได้แสดงความพยาบาทอาฆาตมาดร้าย ประหัตประหารด้วยอาวุธลมปากและความเท็จต่อผู้อื่น โดยอ้างเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุอื่นมาสร้างความชอบธรรมแก่ตนเอง อย่าให้ลูกหลานในอนาคตเหลือแค่ความทรงจำแห่งความภาคภูมิในอดีตบนซากปรักหัก พังของชาติไทย ที่ผองชนรุ่นปัจจุบันได้ทำลายล้างไปอย่างตั้งใจและมิได้ตั้งใจ” นายสิทธิศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 [2]  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><