Jiab16
|
|
« ตอบ #125 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2553, 20:46:26 » |
|
พี่แก้ว ขา ... พออ่านถึงตอน " ... อย่าทำงานมาก แต่ควรมีงานต้องออกนอกบ้านสัปดาห์ละครั้งก็พอ และควรเป็นงานที่เป็นกรรมการ หรือที่ปรึกษาซึ่งไม่ค่อยมีคนมาปรึกษา " ต้องยิ้มแบบอัตโนมัติเลยค่ะ
เจี๊ยบวางแผนไว้ว่า ถ้าไม่ต้องทำงานแล้ว ก็จะไปหากิจกรรมที่ทำแล้วสนุก ไม่เหงา กับกลุ่มคนที่มีรสนิยมเดียวกัน เช่น เต้นรำ ร้องเพลง ไปหา corse เรียนวาดรูป ปักผ้า cross stitch รูปดอกไม้ รูปเด็ก - ลูกสัตว์ - สาวน้อยน่ารักๆ วิวสวยๆ โรแมนติก ไปพลาง ฟังเพลงไพเราะ หวานๆ แสนโรแมนติคจากเครื่องเสียงดีๆ ... ไม่รู้ว่าพอถึงตอนนั้น สุขภาพร่างกายจะรู้เห็นเป็นใจด้วย รึเปล่า นะคะ ...
|
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #128 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2553, 02:46:49 » |
|
ท่านผู้เฒ่า “ ลี ” สอนวิธี ' ชราอย่างมีคุณภาพ '
มนูญ - วิศวะ16 ... ส่งมา เพราะเคยมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตผิดมานาน เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ลี กวน ยู จึงหยุดพฤติกรรมทำร้ายตัวเองทั้งหมด และหันมาออกกำลังกาย พร้อมกับใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข และสุขภาพดี ปัจจุบันท่านอายุ 87 ปีแล้ว อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ลี กวน ยู ปีนี้อายุ 87 แต่สุขภาพยังฟิตเปรี๊ยะ เพราะดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเคร่งครัด แกเล่าว่าครั้งหนึ่งตอนยังหนุ่มแน่น และเป็นนักการเมืองเต็มตัว ก็เคยใช้ชีวิตที่เป็นโทษกับสุขภาพของตนอย่างยิ่งเช่นกัน กินเหล้า สูบบุหรี่ อย่างหนักหน่วงมาก่อน ลีเล่าว่า ตอนอายุ 34 ต้องหาเสียงอย่างร้อนแรง คืนที่ชนะเลือกตั้ง ทั้งสูบบุหรี่ ทั้งดื่มเบียร์เต็มอัตรา พอจะขึ้นเวทีปราศรัยขอบคุณประชาชน ปรากฏว่าเสียงหาย ได้เสียงมากพอที่จะชนะเลือกตั้ง แต่เสียงจากลำคอแห้งเหือดไปหมด เพราะบุหรี่และเหล้าตัวดี ( แปลว่าตัวร้าย ) นี่แหละ “ ผมหลอกตัวเองด้วยการซื้อบุหรี่ซองละ 10 มวน ... แต่ผมต้องปราศรัย 3 แห่งในคืนเดียวกัน ก็จึงสูบไป 30 มวนอยู่ดี ....” นายลีเล่าให้สมาคมผู้สูงอายุฟังเมื่อไม่นานมานี้ มาถึงจังหวะหนึ่งของชีวิต นายลีบอกว่าสุขภาพของเขาย่ำแย่ถึงขั้นที่เขาต้องตัดสินใจว่า จะเป็นนักการเมือง และทนายความที่ดีต่อไปได้หรือไม่ สองอาชีพนี้ต้องใช้เสียงด้วยกันทั้งนั้น “ ผมบอกตัวเองว่า ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือทนาย ผมก็ต้องรักษาเสียงผมไว้ ผมจึงตัดสินใจเลิกบุหรี่ ...” นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะลีสารภาพว่าเขาติดบุหรี่งอมแงม บางคืนฝันร้ายว่ากลับไปสูบบุหรี่อีก ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึกก็บ่อย ๆ แต่พลังของความเด็ดเดี่ยวที่จะต้องเลิกบุหรี่นั้น มาจากการตอบคำถามตัวเองว่า จะทำอาชีพของตัวเองให้ได้ดีต่อไปหรือไม่ ถ้าจะทำงานให้ดีต้องหยุดบุหรี่ และต้องหยุดอย่างเด็ดขาด ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้ ตอนนั้น ลียังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมะเร็งกับการสูบบุหรี่ จึงยังไม่มีความกลัวตายนัก แต่แปลกมากที่หลังจากนั้น ลี ก็เกิดอาการแพ้ควันบุหรี่อย่างหนักหน่วง เรียกว่าใครสูบบุหรี่ใกล้ๆ ไม่ได้เลย “ ผมต้องขอให้รัฐมนตรีไม่สูบบุหรี่ในห้องประชุม ถ้าจะสูบก็ขอให้ไปสูบนอกห้อง เพราะผมแพ้มันจริง ...” วันหนึ่ง ลี อยู่ที่บ้านของเพื่อนซี้ชื่อราชารัตนัม และกำลังพูดคุยกับนักข่าวต่างประเทศกลุ่มหนึ่งซึ่งรวมถึงนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ ลอนดอนไทมส์ พอถ่ายรูปร่วมกัน ลี เห็นรูปของตัวเองพร้อมกับพุงที่ยื่นออกมาอย่างน่าเกลียด “ ผมบอกตัวเองทันทีที่เห็นรูปนั้นว่า ไม่ไหว เพราะมันเป็นพุงที่ยื่นออกมาด้วยฤทธิ์ที่ดื่มเบียร์มากเกินไป ”
ลี กวน ยู ตัดสินใจปฏิบัติการ “ลดพุง ” ด้วยการหันไปเล่นกอล์ฟ ... เริ่มด้วยการหวดลูกกอล์ฟเป็นร้อย ๆ ครั้งต่อวัน แต่พุงก็หาได้ลดลงไม่ แกจึงบอกตัวเองอีกรอบว่า ถ้าจะให้หุ่นดี ต้องลดการบริโภค และต้องเผาผลาญจากร่างกายให้มากกว่านี้ วันหนึ่งหลังการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1976 ลี บอกว่ารู้สึกเหนื่อย จึงไปยืนที่สนามของทำเนียบนายกฯ พยายามหายใจลึกๆ ยาวๆ ลูกสาวลีคนหนึ่งที่เพิ่งจบวิชาแพทย์มาเห็นเข้าก็ถามว่า “ พ่อทำอะไรอยู่ ” แกตอบว่า “ พ่อพยายามจะสูดออกซิเจนเข้าไป ” ลูกสาวตอบสวนกลับมาทันทีว่า “ถ้างั้น พ่อต้องไม่เล่นกอล์ฟ ต้องหันไปวิ่ง ต้องออกกำลังกายแบบแอโรบิก...” ตอนแรก ลี ใช้วิธีเดินเร็ว ๆ ระหว่างหลุมกอล์ฟ ต่อมาก็วิ่งระหว่างหลุม รู้สึกร่างกายจะตอบสนองดี หลังจากนั้นไม่นาน ลี ก็ตัดสินใจออกกำลังกายด้วยการวิ่งหลังการตีกอล์ฟ อีกไม่กี่ปีต่อมา ลี ก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า การตีกอล์ฟกินเวลายาวนานเกินไป ออกกำลังกายด้วยการวิ่งกินเวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น แกจึงเลิกตีกอล์ฟ หันมาวิ่งอย่างเดียว ลีบอกว่า ตัวเองไม่เคยคิดว่าจะมีอายุถึง 84 หรือ 85 คุณแม่เสียตอนอายุ 74 แต่คุณพ่อจากไปตอน 94 เพราะคุณพ่อว่ายน้ำทุกวันและหาเรื่องทำตลอดเวลา “ดังนั้น ผมจึงคำนวณเอาเองว่า ผมควรจะมีอายุยาวนานถึงตรงกลางระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ “ ตอนอายุ 73 ขณะที่ขี่จักรยาน ลี รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นไปถึงคอ วันรุ่งขึ้น ถีบจักรยานอีก อาการหนักขึ้นหลังจากเริ่มต้นได้ 5 นาที แกให้หมอตรวจก็พบว่า เส้นโลหิตบางเส้นตีบ ต้องใส่บอลลูนหัวใจ “ถ้าผมไม่รีบไปให้หมอหัวใจตรวจ สงสัยอาจจะม่องเท่งตอน 74 แล้วก็ได้ เหมือนแม่ ผม...” เส้นตายเส้นต่อไปคืออายุ 84 ซึ่งเป็นปีที่คุณพ่อหกล้มจนต้องนั่งรถเข็น “ผมต้องระวัง เพราะบางทีถ้าผมหมุนตัวเร็วไปหน่อย จะเกิดอาการเวียนหัว หน้ามืด จึงต้องทำอะไรช้าลง เพราะประสาทของคนวัยทองเริ่มจะเสื่อมถอยลง” ลี กวน ยู แนะนำคนชราแห่งสิงคโปร์ว่า จะต้องไม่แยกตัวเองไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องการมีอะไรมากระตุ้นตลอดเวลา และต้องพบปะผู้คน ต้องคอยติดตามเรื่องราวของสังคมและโลก “ผมไม่ค่อยชอบเดินทางเท่าไร แต่ผมก็บังคับตัวเองให้ไปโน่นมานี่ในตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของหลายบริษัท เช่น ธนาคารและบริษัทน้ำมัน ผมไปจีน ไปอินเดีย...ได้พบปะ ได้ประชุม ได้ฟังคำบรรยายสรุป จะได้รู้ว่าโลกไปถึงไหนแล้ว...มิฉะนั้น ผมว่าเราจะเหี่ยวเฉาแน่หากนั่งนอนอยู่กับบ้านและไม่คบหาผู้คน...” ลีบอกว่า ที่สำคัญสำหรับคนอายุมากขึ้นคือ ต้องมีความสนใจอะไรเป็นพิเศษ “ถ้าคุณอายุ 55 และบอกตัวเองว่าจะเกษียณเพื่ออ่านหนังสือ เล่นกอล์ฟ และดื่มไวน์ ผมว่าคุณเสร็จแน่ ๆ เพราะหลังจากสองสามเดือน คุณจะเริ่มเบื่อ ไม่มีอะไรทำ ไม่มีเป้าหมายในชีวิต คุณจะเริ่มเหี่ยวทั้งร่างกายและหัวใจ...” ดังนั้น คำแนะนำจากท่านผู้อาวุโสของสิงคโปร์ก็คือ ต้องหาเรื่องที่ตนเองสนใจมาทำ และต้องหาอะไรท้าทายตัวเองตลอดเวลา “ทุกวันนี้ พอใครมาบอกผมว่า อายุ 60 แล้ว กำลังจะเกษียณ จะไม่ทำอะไรแล้ว ผมถามเขาว่า คุณอยากตายเร็วหรือไง” แกฝากบอก สว. หรือคนสูงวัยทั้งหลายว่า “ถ้าคุณต้องการเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ คุณต้องหาเหตุผล ต้องมีอะไรมากระตุ้นให้คุณต้องการจะใช้ชีวิตที่สนุกสนานต่อไปเรื่อย ...ไม่ใช่พักผ่อนนอนหลับอย่างเดียว... อย่างนี้เท่ากับรอวันตายเท่านั้น ( โดย สุทธิชัย หยุ่น " ชีพจรสุขภาพ " นิตยสาร ชีวจิตรายปักษ์ 1 ธันวาคม 2553 )
|
|
|
|
eyesurg
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #129 เมื่อ: 27 กุมภาพันธ์ 2554, 19:25:10 » |
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #130 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 02:44:15 » |
|
งีบกลางวัน ... ลดความเสี่ยงโรคหัวใจเสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมาPosted by สุทธิชัย หยุ่น คนสเปนเรียกมันว่า “ ซีเอสต้า ” และคนจีนบอกว่ามันคือ “ อู่เจี้ยว ” ส่วนคนไทยอาจจะเรียกมันว่า “ งีบกลางวัน ”
จะเรียกมันว่าอย่างไร, ผมว่านี่คือวัฒนธรรมที่น่าชื่นชม และส่งเสริมยิ่งนัก ( แม้หัวหน้างานคุณจะไม่ค่อยเห็นพ้องด้วยก็ตาม ... ฮา )
การ “ งีบกลางวัน ” นั้นเขาทำกันมาช้านานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศจีน หรืออิตาลี หรือฝรั่งเศส ซึ่งต้องถือว่ามีอารยธรรมมายาวนาน ได้รับรู้ว่าการได้หลบไปนอนสั้นๆ ในช่วงกลางวันนั้น คือยาวิเศษที่ทำให้ร่างกาย และจิตใจสามารถกลับไปทำงานตอนบ่ายได้อีก อย่างสดชื่น และคึกคัก ( ไม่เกี่ยวกับการ “ กินข้าวต้มกลางวัน ” ซึ่งไม่ควรจะส่งเสริมนะครับ )
ที่ผมต้องยืนยันความดีงามของการ “ งีบกลางวัน ” เพราะเพิ่งมีการศึกษาวิจัยที่ประเทศกรีซ ที่ยืนยันว่าการได้งีบกลางวันเป็นประจำสม่ำเสมอนั้น อาจจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในหมู่ผู้ชายวัยหนุ่มที่มีสุขภาพแข็งแรงดีอยู่แล้ว
เขาไม่ได้สรุปกับเล่นๆ ง่ายๆ เพราะเห็นว่าเรื่องแอบไปนอนพักกลางวันหลังอาหารเที่ยงนั้น ใครๆ ก็ชอบนะครับ ... แต่นี่เป็นผลการวิจัยยาวนานถึง ๖ ปี และวัดจากพฤติกรรมของชาย และหญิงวัยระหว่าง ๒๐ ถึง ๘๖ ทั้งหมด ๒๓,๖๘๑ คน
คนที่เข้ารับการวิจัยในโครงการนี้ล้วนแล้วแต่ตรวจสอบกันแล้วว่าไม่มีประวัติโรคหัวใจ หรือโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงอื่นๆ ใด
ผลการศึกษาครั้งนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสรุปอย่างน่าทึ่งว่า คนที่ได้งีบ ( siesta ) ครั้งละประมาณ ๓๐ นาที อย่างน้อย ๓ ครั้งต่อสัปดาห์ จะสามารถลดความเสี่ยงของการตายจากโรคหัวใจถึงร้อยละ ๓๗ ทีเดียว
เหตุผลก็เป็นอย่างที่เรารู้กันว่า การได้งีบตอนกลางวันทำให้ผ่อนคลาย และลดความเครียดไดอย่างดี ... และพอคนเราลดความเครียดแล้ว, โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายก็ย่อมจะลดลงตามไปด้วย
ความจริง, วงการแพทย์รู้กันมาก่อนหน้านี้แล้วว่าประเทศที่ประชาชนมีนิสัย “ ซีเอสต้า ” นั้น มักจะมีสถิติของการเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าประเทศอื่น
คนที่เข้าทำการทดลองครั้งนี้ถูกตรวจสอบว่า “ งีบหลังเที่ยง ” เป็นประจำหรือไม่ และบ่อยแค่ไหน อีกทั้งยังจะต้องถูกถามรายละเอียดเรื่องอาหารการกิน และกิจกรรมของการออกกำลังกายด้วยว่า ทำบ่อยแค่ไหน หรือไม่อย่างไร
นักวิจัยบอกว่าผลการวิเคราะห์อย่างละเอียดพบว่า คนที่งีบตอนบ่าย ( ไม่ว่าจะบ่อยแค่ไหน และแต่ละครั้งยาวเพียงใด) มีความเสี่ยงที่จะตายด้วยโรคหัวใจลดลงร้อยละ ๓๔ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่นอนกลางวันเลย
ถ้างีบกลางวันมากกว่า ๓๐ นาทีต่อครั้ง และประมาณสัปดาห์ละ ๓ ถึง ๔ ครั้ง ก็จะมีความเสี่ยงที่จะตายด้วยโรคหัวใจน้อยลงไปถึง ๓๗ เปอร์เซ็นต์
ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายทำงานด้วย, หากได้งีบกลางวันเป็นประจำ, ก็ยิ่งได้ประโยชน์ต่อร่างกายของตัวเอง เพราะการวิจัยเดียวกันนี้พบว่าอัตราการเสียชีวิตประเภทนี้ มีอัตราตายน้อยกว่าผู้ชายที่ไม่ทำงานสูงถึงร้อยละ ๖๔ ด้วยซ้ำไป
คณะนักวิจัยนี้บอกว่า ผู้หญิงที่เข้าร่วมโครงการ ไม่มีจำนวนเสียชีวิตมากพอที่จะนำมาเปรียบเทียบเป็นสถิติให้เห็นภาพของความแตกต่างได้
หัวหน้าทีมวิจัยคณะนี้เป็นนายแพทย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชื่อดอกเตอร์ ดิมิทริอัส ตริโคพัวลัส ซึ่งยืนยันว่าประเทศที่มีอัตราคนตายจากโรคหัวใจต่ำนั้นส่วนใหญ่ผู้คนจะมีนิสัยการงีบกลางวัน ซึ่งเท่ากับเป็นการยืนยันผลการวิจัยครั้งนี้ด้วยอีกทางหนึ่ง
เมื่อผลออกมาอย่างนี้, หัวหน้าคณะศึกษาบอกว่าควรจะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมต่อไป เพราะถ้าหากเอาไปศึกษาร่วมกับการทดลองอื่น ๆ, ก็อาจจะทำให้มีข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นอีกว่า “ ซีเอสต้า ” เป็นวิธีการที่น่าสนใจมาก ในการลดปัญหาโรคหัวใจ
เพราะวิธีนี้ไม่ต้องกินยา, ไม่ต้องเสียสตางค์, และไม่มีผลข้างเคียง
“ แต่ปัจจัยที่สำคัญคือ คนทั้งหลายต้องไม่ลดการเคลื่อนไหวร่างกาย หรือออกกำลังกายในแต่ละวันด้วย ...” คือคำเตือนของหมอใหญ่คนนี้
เพราะถ้าใครตีความผลการวิจัยครั้งนี้เข้าข้างตัวเอง, ก็จะด่วนสรุปเองว่าต่อไปนี้งีบตอนกลางวันแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรอีก, เช่นเลิกออกกำลังกายเสียเลย ... ซึ่งก็จะเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์, และโรคหัวใจก็อาจจะมาถามหาอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดเอาไว้ก็ได้
เพราะเพียงแค่งีบกลางวันอย่างเดียว ไม่ได้รับรองว่าความเสี่ยงของโรคหัวใจจะลดลงอย่างที่ออกมาเป็นสถิติ
การจะให้ได้ผลอย่างจริงจังต่อสุขภาพนั้น, การออกกำลังกาย, การดูแลอาหารการกิน, และการลดความเครียดด้วย “ ซีเอสต้า ” เป็นประจำจะต้องทำควบคู่กันไปเสมอ, ไม่อาจจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งได้
คนเรานั้นพอเครียดเข้า, ก็อาจจะหันไปหาพฤติกรรมที่ไม่เอื้อต่อสุขภาพของตัวเอง เช่น สูบบุหรี่, กินอาหารที่ไม่ควรกิน, กินเหล้าเมายา, และลดการออกกำลังกายอย่างที่ควรจะทำ ...
หากเป็นเช่นนี้, แม้จะนอนเท่าไหร่ก็คงจะไม่ช่วยให้ห่างจากโรคหัวใจหรือโรคร้ายอื่นๆ ... เพราะงานวิจัยอีกหลายชิ้นยืนยันตรงกันว่าคนนอนไม่พอนั้นจะมีปัญหาต่อสุขภาพกาย และใจมากเช่น จะทำให้อ้วนขึ้น, เครียดง่าย ... เพราะเมื่อนอนไม่พอ, การสร้างเซลล์ในสมองก็จะน้อยลงไปด้วย, เป็นผลให้เกิดปัญหากับสุขภาพหลายๆ ด้านพร้อมๆ กัน
ฉะนั้น, “ งีบกลางวัน ” เสร็จแล้วอย่าลืมออกกำลังกายด้วย ... ทำได้อย่างนี้, ก็มีสิทธิ์ที่จะปึ๋งปั๋งแน่นอนครับ
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #131 เมื่อ: 14 มีนาคม 2554, 19:26:02 » |
|
น้ำผึ้ง ยาอายุวัฒนะ หรือยาพิษโดย ดร. พรชัย ปรีชาปัญญาเสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา ปัจจุบันหลายคนมองน้ำผึ้งเป็นยาพิษ ทั้งนี้เพราะว่าสังคมบ้านเรากลัวน้ำตาล ไม่ว่าจะอ่านเอกสารเล่มไหน ก็บอกว่าน้ำผึ้งทำให้เป็นเบาหวาน ความดัน และมะเร็ง เพราะมีน้ำตาล แสดงว่าน้ำผึ้งเป็นยาพิษที่ทำลายสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะว่าท่านซื้อน้ำผึ้งที่ผสมน้ำตาล น้ำผึ้งที่ถูกอบด้วยความร้อนสูง หรือน้ำตาลที่ทำเป็นน้ำผึ้ง
น้ำตาลที่มากเกินที่เป็นน้ำตาลเชิงซ้อน ทำลายสุขภาพ เพราะว่าไปเพิ่มน้ำหนัก ไขมัน และสะสมในตับ ทำให้ตับเสื่อม ซึ่งเป็นโทษมากจริงๆ แต่น้ำตาลก็ยังขายได้ดี มีแนวโน้มจะขาดตลาดด้วยบางครั้ง นี่คือ ‘ น้ำผึ้งอาบยาพิษ ’ โดยเฉพาะน้ำตาลที่ขัดสีจนขาว ซึ่งต้องใช้สารไดออกซินฟอกขาว เป็นสารประกอบคลอไรค์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง น้ำผึ้งที่บริสุทธิ์คุณภาพสูง ให้ผลตรงข้ามกับน้ำผึ้งอาบยาพิษ แต่เป็น ‘ ยาอายุวัฒนะ ’ แล้วจะเชื่อได้อย่างไร รายละเอียดต่อจากนี้ไปจะเป็นข้อมูลให้พิจารณา ... ลองอ่านดูซิ
ตำราจีนเรื่องสุขภาพ 100 ปี บอกว่าควรรับประทานน้ำผึ้งที่ดีช่วงท้องว่าง ช่วยรักษาอวัยวะทั้ง 5 ประกอบด้วย หัวใจ ปอด ม้าน ตับ และไต ให้ทำงานปกติ ระงับความเจ็บปวด และแก้พิษ ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว และช่วยให้อายุยืน
น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลหลายชนิด โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด สีน้ำผึ้งยิ่งเข้ม แร่ธาตุยิ่งมีมาก ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้น ป้องกันโรคโลหิตจาง โรคประสาทที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางอารมณ์ ตับ หัวใจ กระเพาะ และลำไส้ ไม่ควรรับประทานน้ำผึ้งกับน้ำที่ร้อนเกิน 60 องศา จะทำให้ไปโอแอคทีฟเอนไซม์ถูกทำลาย น้ำผึ้งมีธาตุอาหารมากกว่า 60 ชนิด มีความหลากหลาย และสมดุล แต่ละชนิดมีปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่เมื่ออยู่ร่วมกัน จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายเป็นทวีคูณมหาศาล เช่น สังกะสี และซีลีเนียม หากทำงานร่วมกัน จะให้ประโยชน์เป็นมากเพิ่มเป็น 10 เท่า และปลอดภัยต่อร่างกาย ต่างจากอาหารเม็ด วิตามินเม็ด หรืออาหารเสริม ที่แยกส่วนมาเป็นอาหารเดียวๆ ที่รับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ร่างกายเสียสมดุล ตัวอย่างหากรับประทานวิตามินซีมาก ทำให้ธาตุเหล็กในเลือดเพิ่มมากเกิน ในระดับที่เป็นพิษ ทำให้เป็นโรคหัวใจ และมะเร็ง บี 2 มากเกินทำให้เป็นต้อกระจก หรือซีลีเนียมมากเกินทำให้ผมแห้งเปราะ ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ... เห็นหรือยังทุกอย่างต้องสมดุล และผสมผสานมากกว่าอย่างใดๆ อย่างหนึ่งมากเกิน และเดินสายกลางตามหลักพระพุทธองค์ พระวรกาย และดวงจิตของพระองค์เข็มแข็ง เพราะว่าส่วนหนึ่งทรงบริโภคทุกวัน
น้ำผึ้งมีวิตามินบีเกือบทุกชนิดอาจกล่าวได้ว่าเป็นวิตามินบีรวมเลยที่เดียว ไม่จำเป็นต้องใช้วิตามินบีรวมเม็ดอีกต่อไป วิตามินบีรวมจากน้ำผึ้งช่วยบำรุงร่างกาย เช่น
* บี1 ลดการอยากน้ำตาล ป้องกันอัลไซเมอร์ ปลอกประสาทเสื่อม ประสาทอักเสบ อัมพาต และร่วมกับกลูโคสช่วยทำให้สมาธิ และความจำดี
* บี 2 ลดเชื้อราแคดิดาที่เป็นสาเหตุของเริม ต้อกระจก ตะคริวขณะตั้งครรภ์ รวมกับธาตุเหล็กทำให้โลหิตไม่จาง
* บี 3 ช่วยลดการอักเสบของสิว การอยากสุรา ก้อนเหนียวที่ขวางทางเดินโลหิต และอาการหืด
* บี 5 ลดการเหนื่อยล้า อารมภ์ขุ่นมัว และนอนไม่หลับ การติดเชื้อทางเดินหายใจ การอักเสบของรูมาทอยด์ และร่วมกับวิตามินซี ช่วยทำให้ผิวหนังแข็งแรง และแผลหายเร็ว
* บี 6 ลดอาการไม่สบายก่อนมีประจำเดือน การซึมเศร้า และอ่อนเพลีย
* บี 12 ชลอปัญหาอาการประสาทส่วนปลายเสื่อมของคนเป็นเบาหวาน ทำให้ตามองเห็นภาพชัดขึ้น และทำให้นอนหลับดี วิตามินซีในน้ำผึ้งมีประโยชน์มาก ช่วยสร้างคอนลาเจน ลดฝ้า ทำให้ผิวพรรณดี กระดูกแข็งแรง แผลที่เกิดจากเริม สมานแผล และการติดเชื้อ และโฟเลตที่พบในน้ำผึ้งช่วยลดกระดูกพรุน มะเร็งคอมดลูก โลหิตจาง และซึมเศร้า
น้ำผึ้งประกอบไปด้วยเกลือแร่หลากชนิด อาทิ
* แคลเซียม แน่นอนลดกระดูกพรุน ฟันผุ เพิ่มมวลกระดูก และตะคริวขา
* สังกะสี ป้องกันต่อมลูกหมากโต เพิ่มอสุจิ ลดผื่น และทำให้แผลหายเร็ว
* ซีลีเนียม ลดมะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ป้องสารอนุมูลอิสระทำลายผนังหลอดเลือด และการสร้างก้อนไขมัน
* ทองแดง ลดภาวะกระดูกพรุน และข้ออักเสบ
* เหล็ก ลดโลหิตจาง เพิ่มสมาธิ ลดการปวดประจำเดือน และอ่อนเพลีย
* ไอโอดีน ลดมะเร็งเต้านม และลดน้ำหนัก
* โพแทสเซียม ลดปัญหาหัวใจล้มเหลว ก้อนเนื้อในไต และลดความดัน
* แมกนีเซียม ลดการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ และปัญหาปวดหัวก่อนมีประจำเดือน
* แมงกานีส ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลมชัก เสริมระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มความแข็งแรงของกระดูก
* ฟอสฟอรัส เพิ่มมวลกระดูก ลดอาการติดสุราเรื้อรัง ระดับแคลเซียมในปัสสาวะ และประสานเนื้อกระดูก
* ซิลิกอน ลดการเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และทำให้ผิวเนียน
* กำมะถัน บรรเทาอาการปวดข้อ ฟอกพิษสุรา เล็บ และผมแข็งแรง และบรรเทาอาการภูมิแพ้
* โครเมียม ลดระดับคอเลสเตอรอล น้ำตาลในเลือด ต้อหิน และการอยากอาหาร
ในน้ำผึ้งมีกรดกลูโลนิคมากเพียงพอที่จะช่วยล้าง หรือทำลายสารพิษในตับ เนื่องจากการกินยา การสะสมของสารเคมี ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักถูกสั่งให้รับประทานยาจำนวนมาก ผมพบผู้ป่วยท่านหนึ่ง เอายาให้ผมดูตั้ง 14 ชนิด น่ากลัวมาก กินมานานแล้ว บางรายเชื่อว่าต้องกินตลอดไป ไม่รู้เมื่อไรจะเลิก เหมือนไม่มีความหวัง หรือแสงที่ปลายอุโมงค์เลย ซึ่งในที่สุดตับก็เสื่อม ตับอักเสบ และเป็นมะเร็งตับในเวลาต่อมา จำเป็นอย่างยิ่งต้องล้างตับบ้าง หรือคนที่กินเหล้า หรืออาหารที่ปนเปื้อนจากสารเคมีมานาน ก็ควรล้างตับเป็นประจำ เช่นกัน
น้ำผึ้งมีกรดอะมิโน โปรลีนสูงมาก ( 210 มก.ต่อ 100 กรัม ซึ่งสูงกว่าน้ำคอลลาเจนมากถึง 20 เท่า ) ซึ่งช่วยวิตามินซีในการสร้างคอลลาเจน ที่สร้างกล้ามเนื้อเรียบให้กับผิวหนัง มวลกระดูก ฟัน ข้อเข่าแข็งแรง เอ็น ความยืดหยุ่นของผิวหนัง และหลอดเลือดที่แข็งแรง และอวัยวะภายใน เช่น พังผืด กระดูกอ่อน เส้นเอ็น ข้อต่อ กระดูก เยื่อกระจกตา และเลนส์ตา สาร และแร่ธาตุหลายชนิดในน้ำผึ้ง เช่น ฟลาโวนอยด์ วิตามินบีรวม วิตามินซี ซีลีเนียม และสังกะสี ผสมผสานกันอย่างสมดุลในน้ำผึ้ง มีบทบาทคล้ายสารสเตปโตไมซิล ที่ช่วยต้านทานการอักเสบ และสารดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดการดื้อยา เมื่อเปรียบเทียบกับยาแก้อักเสบทั่วไป
ในน้ำผึ้งมีสารมิวซินจากกระเพาะผึ้ง เดกทริก และมอลโตสจากพืช ช่วยหล่อลื่นผิวกระเพาะและลำไส้ ถ้ากินก่อนนอนจะถ่ายท้องได้ดี จำเป็นมากสำหรับผู้เป็นริดสีดวงทวาร และช่วยลดอาการปวดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ น้ำผึ้งมีเอ็นไซค์หลายชนิดจากกระเพาะผึ้ง โดยเฉพาะอินเวอร์เทส ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนซูโครสเป็นกลูโคส และฟรุตโตส และไดแอสเทส หรืออะไมเลส เปลี่ยนเป็นโมเลกุลที่สั้น ซึ่งช่วยลดท้องอืด เฟ้อ และเรอเปรี้ยว ในทางตรงกันข้ามน้ำผึ้งช่วยฆ่าเชื้อท้องเดินได้เป็นอย่างดี
ในน้ำผึ้งมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิด เช่น Quercetin, Luteotin, Chrysin, Myricetin, Kaempterol, Apigenin, Coumaric acid คาทาเลส และอัคคาลอยด์ สารเหล่านี้ช่วยลดน้ำตาลในเลือด มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเม็ดเลือด และลดความดันโลหิตสูง นอกจากนั้นยังมีฮอร์โมนไฟโตเอสโตรเจน และเทสโตรเทอโรสที่ช่วยลดมะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก และกระดูกพรุน จากข้อมูลที่มากมายที่ไม่สามารถอธิบายได้หมด ผมอยากจะบอกว่าน้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะจริงๆ ไม่จำเป็นต้องเสาะหายาอายุวัฒนะที่ไหนอีกแล้ว เจ้าผึ้งน้อยทั้งหลายนี่แหละ เป็นยอดนักปรุงอาหาร และยาที่ดีที่สุด เพียงแต่หาซื้อน้ำผึ้งดีๆ มารับประทานก็เพียงพอ แต่ขอบอกเสียก่อนว่า หากเชื่อแล้วว่าเป็นอย่างนั้นจริง ต้องยกย่องให้เป็นพระเอก หรือนางเอกของคุณ คิดถึงกันตลอดไป อย่างปล่อยให้เป็นน้ำขมอีกต่อไป กล่าวคือต้องรับประทานให้ถูกต้องสม่ำเสมอ ไม่เอาไปผสมกับน้ำร้อนให้เสีย ต้องไม่ผสมกับน้ำเย็นให้ละลายยาก ไม่ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นจนเป็นไข แล้วออกมาโวยวายว่าน้ำผึ้งปลอม เก็บไว้ข้างนอกดีกว่า ไม่เอาไปผสมกับกาแฟแทนน้ำตาล หรือนม กับมะนาว จนทำให้สมดุลของวิตามินซี และซิลีเนียมเสียไป จนสารอาหารไม่มีประโยชน์เท่าที่ควร
ถ้ารักกันจริงต้องรู้ใจกันซิ
* เก็บน้ำผึ้งในตู้กับข้าวดีที่สุด
* ซื้อน้ำผึ้งขวดเล็กดีกว่าขวดใหญ่ เพราะว่าน้ำผึ้งดูดกลิ่น และความชื้นทำให้เสียง่าย ขวดเล็กจะหมดเร็วไม่ทันเสีย
* เมื่อดื่มก็ดื่มกับน้ำธรรมดาก็พอ ไม่ทำให้คุณภาพอาหาร และยาสูญเสีย
* ไม่ซื้อน้ำผึ้งที่ข้นเกิน แสดงว่าผ่านการอบความร้อนมาให้ดูสวยงาม เพราะว่าคนไทยเชื่อว่าน้ำผึ้งข้นดี เหมือนน้ำผึ้งเดือนห้า
* ไม่ซื้อน้ำผึ้งที่ไม่ฟอง เพราะว่ามีการใช้สารเคมีกำจัดฟอง
* ไม่ซื้อน้ำผึ้งที่เก็บในขวดพลาสติก เนื่องจากมีสารก่อมะเร็ง
* ไม่ซื้อน้ำผึ้งป่า เพราะว่ามีตัวอ่อน และไข่ผึ้งผสมปนเปื้อนจนเน่าในที่สุด * น้ำผึ้งที่บริสุทธิ์จริงที่ไม่ต้องการผสมอะไร มีความเป็นธรรมชาติ หรือที่ชอบเรียกกันว่า ‘ Natural Honey ’
หากคุณมีความละเอียดลออในการซื้อน้ำผึ้ง แล้วในที่สุดน้ำผึ้งของคุณก็จะเป็นน้ำผึ้งพระจันทร์ตลอดไป คราวหน้าผมจะเล่าให้ฟังถึงรายละเอียดผลงานวิจัยที่ทำร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และที่อื่น ถึงบทบาทของน้ำผึ้งที่ช่วยรักษาเบาหวาน และประสบการณ์ของผมที่ได้เห็นคนที่เป็นเบาหวานตัดสินใจรักษาตัวเองกด้วยนำผึ้ง ...
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #133 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 22:42:56 » |
|
บริหารตา ... คลายเมื่อยล้าจาก http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7431 ดวงตาเป็นหน้าต่างของจิตใจ การมีสายตาที่ดีย่อมส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ในยุคโลกาภิวัตน์ทำให้ผู้คนต้องใช้สายตากันมากขึ้น เช่น ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ เล่นเกม ส่ง SMS ล้วนส่งผลให้กล้ามเนื้อตาเมื่อยล้าปวดเมื่อยตา Lisa จึงมีท่าบริหารตามาฝากคุณผู้อ่านกันค่ะ
นั่งสบาย ๆ บนเก้าอี้ ตามองที่ปลายจมูกโดยไม่เหลือบไปที่ใดและไม่กะพริบตา นับหนึ่งถึงสิบ จากนั้นปิดตาเพื่อผ่อนคลาย ทำซ้ำ 5 ครั้ง
ศีรษะตั้งตรง มอง ตรงไปข้างหน้าสองตาเหลือบมองไปที่ไหล่ขวาโดยไม่ขยับศีรษะตาม นับหนึ่งถึงสิบ จากนั้น ปิดตาเพื่อผ่อนคลาย ทำข้างซ้ายเหมือนข้างขวา ทำซ้ำข้างละ 5 ครั้ง
จินตนาการว่าคุณกำลังมองนาฬิกาเรือนใหญ่ โฟกัสตาไปที่ศูนย์กลางของนาฬิกา ศีรษะไม่ขยับ ตาไล่มองตามเข็มนาฬิกา นับหนึ่งถึงสิบ ผ่อนคลายแล้วมองไปที่ศูนย์กลางของนาฬิกาใหม่ตามองไล่ตามเลขนาฬิกาอีกครั้ง นับหนึ่งถึงสิบ ทำซ้ำ 10 ครั้ง
นั่งห่างจากหน้าต่างประมาณ 200 มิลลิเมตร หรือ 6 นิ้ว โดยการทำเครื่องหมายที่กระจกหน้าต่างไว้ในระดับสายตา อาจใช้สติกเกอร์สีแดงหรือสีดำก็ได้ และให้คุณมองเหนือเครื่องหมายที่ทำไว้ ตาโฟกัสไปที่ใดที่หนึ่งแล้วนับ 1 ถึง 15 จากนั้น ละสายตามองไปที่เครื่องหมายทำซ้ำ 5 ครั้ง
ถือปากกาไว้ในมือ ยื่นแขนที่ถือปากกาไปข้างหน้าจนสุดแขน แล้วค่อยๆ ถือปากกาเข้ามาจ่อที่จมูกช้าๆ ตาโฟกัสที่ปากกาเท่านั้น จากนั้น ยื่นแขนที่ถือปากกาไปจนสุดแขนอีกครั้ง ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง
นั่งสบาย ๆ แล้วกลอกลูกตาตามเข็มนาฬิกา 5 ครั้ง จากนั้น ทวนเข็มนาฬิกาอีก 5 ครั้ง
ปิดตาแน่น ๆ นับ 1-5 จากนั้น เบิ่งตาให้กว้างที่สุด นับ 1-5 ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง
ปิดตาสบาย ๆ จากนั้น ใช้ปลายนิ้ว 3 นิ้วนวดตาเบาๆ เป็นวงกลมอย่างระมัดระวังประมาณ 1-2 นาที
เปิดตาและมองไปข้างหน้าเรื่อย ๆอย่างไม่มีจุดหมายประมาณ 2-3 นาที ซึ่งทำได้ทุกวันโดยเฉพาะเมื่อคุณต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์
ที่มา : สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย http://www.nutritionthailand.or.th
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #134 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 22:55:29 » |
|
อายุเท่าไหร่ ถึงจะ ' แก่ ' เกินไปสำหรับการขับรถ จาก http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=74302 ใน 3 ของคนอเมริกันที่ตอบแบบสอบถามของ Marist Poll บอกว่าผู้ขับขี่ที่อายุครบ 65 ควรจะเข้าสอบใบขับขี่อีกครั้ง
Marist poll ทำการสำรวจกับผู้ใหญ่จำนวน 1,018 คนทางโทรศัพท์ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา จากผลสำรวจพบว่าคนอเมริกันที่มีอายุน้อยก็เห็นด้วยกับมาตรการนี้ โดยผู้ตอบแบบสำรวจที่อายุต่ำกว่า 30 ปี มีจำนวน 84% ที่เห็นด้วย และกลุ่มอายุระหว่าง 30-44 ปี เห็นด้วยกับมาตรการนี้ 76%
ในขณะที่กลุ่มอายุระหว่าง 45-59 ปีเห็นด้วย 62% และแม้กระทั่งกลุ่มคนที่อายุเกิน 60 ปีเองกว่าครึ่งที่ตอบแบบสำรวจนี้ ก็ยังเห็นว่าเป็นแนวคิดที่ดีถ้าจะต้องสอบใบขับขี่อีกครั้ง
ด้านผู้เชี่ยวชาญมองว่า ผู้ขับขี่สูงอายุก็มีความกังวลเช่นกัน เพราะเมื่ออายุมากขึ้นสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความสามารถในการมองเห็นอาจจะไม่ดีเท่ากับตอนยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ผู้สูงอายุบางคนยังต้องทานยา ซึ่งอาจจะมีผลต่อความสามารถในการการขับรถด้วย
อย่างไรก็ดี ขณะนี้มี 2 รัฐของสหรัฐเมริกาคือ Illinois และ New Hampshire ที่มีกฎหมายระบุว่า ผู้สูงอายุต้องมาสอบใบขับขี่ใหม่ตอนอายุ 75 ปี
จาก ข้อมูลของ Federal Highway Administration ยังพบว่า ในปี 2008 มีผู้ขับขี่ที่อายุมากกว่า 70 ปี จำนวนถึง 21.6 ล้านคน หรือ 10% ของผู้ขับขี่อเมริกันทั้งหมด
ข้อมูล : Reuters แปลและเรียบเรียง : ธันย์ชนก จงยศยิ่ง และ สุรัติ บรมสุข ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย : " ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง " MCOT.net
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #135 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 23:06:55 » |
|
" ได้ออกกำลังกาย "... ข้อดีของคนมีสัตว์เลี้ยง จาก http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7429เมื่อเอ่ยถึงการออกกำลังกาย หลายคนยอมรับว่าเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพ แต่เมื่อถามว่ามีเวลาไปออกกำลังกายกันบ้างหรือไม่ กลับมีน้อยคนนักที่จะเจียดเวลาไปทำกิจกรรมดังกล่าว
แต่สำหรับผู้ที่เลี้ยงสุนัขอาจเป็นข้อยกเว้น เมื่อมีงานวิจัยระบุว่า ผู้ที่เลี้ยงสุนัขนั้นมีโอกาส " ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว " มากกว่าคนที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเอง หรือคนที่มีสุนัข แต่ไม่เคยพามันออกไปเดินเล่นเลยถึง 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
งานวิจัยชิ้นนี้มาจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน เมื่อ Mathew Reeves นักวิจัยกล่าวว่า ผู้เลี้ยงสุนัข และพามันไปเดินเล่นเป็นประจำนั้น จะมีโอกาสได้เคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าคนอื่นๆ ขณะที่เกณฑ์ปกตินั้น มนุษย์เราควรออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
" การกระตุ้นให้มนุษย์ออกกำลังกายให้ได้ตามเกณฑ์ เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยปาฏิหาริย์ แต่การเลี้ยงสุนัข และพามันไปเดินเล่น ก็อาจทำให้คุณบรรลุเป้าหมายนี้ได้ " นักวิจัยเจ้าของโครงการกล่าว
นอกจากนั้น การเลี้ยงสุนัขยังช่วยในด้านจิตใจด้วย ดังที่มนุษย์เราเปรียบสุนัขในฐานะเพื่อนที่ดีที่สุด เนื่องจากมันพร้อมที่จะปกป้องผู้เป็นเจ้าของในทุกสถานการณ์ ไม่เคยต่อว่า ไม่เคยโกรธ ไม่เคยน้อยใจหนีออกจากบ้าน แถมการได้เล่นกับเจ้าของดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของมันเลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ดี ข้อมูลนี้จะเป็นจริงได้ คงต้องอาศัยจิตใจที่โอบอ้อมอารีของมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของสุนัขด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นความจริงที่ว่า สุนัขบางตัว ต้องอาศัยอยู่ในกรงแคบๆ หรืออยู่ในบ้านเงียบ เพียงลำพัง เพราะเจ้าของต้องออกไปทำงาน หากเจ้าของเหนื่อยจนไม่สามารถพามันออกไปเดินเล่นข้างนอก คงกลายเป็นว่า ทั้งคนทั้งสุนัข จะยิ่งเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุด
ที่มา : ThaiHealth
|
|
|
|
|
Kaimook
|
|
« ตอบ #137 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 23:46:44 » |
|
สวัสดีค่ะพี่เจี๊ยบ...มาอ่านเรื่องดีๆมีประโยชน์ค่ะ...
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #138 เมื่อ: 20 มีนาคม 2554, 00:44:00 » |
|
ยินดีจ้า น้องอ้อยกินแตงโม ... ลดความดันโลหิต จาก http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7393 ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัส ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐบอกว่า ในแตงโมมีโพแตสเซียม และเกลือแร่สูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการรักษาไต และการทำงานของหัวใจได้ดี
แตงโมโพแตสเซียมสูง
กรมวิชาการเกษตรของสหรัฐอเมริกาได้แนะนำว่า ผู้ใหญ่ควรได้รับโพแตสเซียมประมาณ 4,044 มิลลิกรัม จากอาหารและเครื่องดื่มในแต่ละวัน และสมาคมอเมริกันเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร Lona Sandon ยังบอกอีกว่า แตงแคนตาลูป และแตงโมมีโพแตสเซียมสูงมาก แคนตาลูป 1 ลูก มีโพแตสเซียมอยู่มากถึง 800-900 มิลลิกรัม หรือเกือบร้อยละ 20 ของโพแตสเซียมที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน ส่วนแตงโม 2 ลูกมีปริมาณโพแตสเซียมที่แนะนำต่อวันเกือบร้อยละ 10 เลย
จริงๆ แล้วความดันลหิตสูงเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะทำให้หัวใจทำงานหนักเกินไป และการไหลเวียนของเลือดที่ผิดปกติ สามารถทำลายเส้นเลือดและอวัยวะต่าง ๆ เช่น หัวใจ ไต สมอง และตาได้
จากผลสำรวจพบว่า ชาวอเมริกันประมาณ 65 ล้านคน โดยเฉพาะวัยผู้ใหญ่เป็นโรคความดันโลหิตมากขึ้น ซึ่งก็หมายความว่าคนเหล่านี้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต และตาบอดได้
ออกกำลังกาย = กุญแจสำคัญ
นักวิจัยศูนย์หัวใจ ปอด และเลือดแห่งชาติ ( NHLBI ) พบว่า การกินอาหารที่อุดมไปด้วยโพแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม รวมทั้งอาหารที่มีคอเลสเตอรอล และไขมันต่ำ จะช่วยลดความดันเลือดสูงได้ในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ ซึ่งประเภทอาหารที่ควรเลือกรับประทานก็คือ ผักผลไม้ นมไขมันต่ำ ผลิตภัณฑ์จากธัญพืช ปลา เนื้อสัตว์ปีก และถั่ว
ที่สำคัญต้องไม่ลืมดูแลสุขภาพ และควบคุมน้ำหนักเป็นประจำ ดื่มแอลกอฮอล์แต่พอประมาณ และทานยาตามกำหนดอย่างต่อเนื่องนะคะ
ที่มา : หนังสือรักลูก
|
|
|
|
อ้อย 14
|
|
« ตอบ #139 เมื่อ: 26 มีนาคม 2554, 09:04:21 » |
|
มีอะไรดีๆในห้องนี้ ขอชมน้องเจี๊ยบทีเผยแพร่ความรู้ที่ควรจะรู้และปฎิบัติ อยากจะขอความรู้เรื่องยาย้อมผม ที่ปลอดภัยหน่อยนะ ขอบใจล่วงหน้าจ๊ะ
|
|
|
|
|
Mai25
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 525
|
|
« ตอบ #141 เมื่อ: 09 เมษายน 2554, 19:57:06 » |
|
พี่เจี๊ยบสวัสดีค่ะ (ใหม่ขอรายงานตัวค่ะ) ตรงจุดจริงๆ ปวดคอ บ่าไหล่ทุกวัน
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #142 เมื่อ: 13 เมษายน 2554, 12:41:42 » |
|
สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ น้องใหม่ และสมาชิกชาวเวป cmadong.com ทุกท่าน
|
|
|
|
nosesurg
|
|
« ตอบ #143 เมื่อ: 13 เมษายน 2554, 19:10:43 » |
|
มีประโยชน์ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ :)
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #144 เมื่อ: 26 เมษายน 2554, 12:34:18 » |
|
|
|
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #148 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2554, 02:04:16 » |
|
ผักจิงจูฉ่าย แก้มะเร็ง ได้จริงหรือ ?พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา ผม .. นิกกี้ อิทธิเกษม KU37 อดีตนายกสมาคม ม.เกษตรฯ แห่งอเมริกา จะขอเล่าประสบการณ์ที่เคยสัมผัสมากับตัวเองเมื่อปี 2007 เพื่อเป็นcaseตัวอย่าง และเป็นทางออกให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งทั้งหลาย
ผมมีร้านอาหารอยู่ในเขต N.Hooywood วันหนึ่งกลางปี2007 ผมได้มีโอกาสเจอลูกศิษย์เก่าที่เคยมาเรียนแจกไพ่ที่ร้าน ถามทุกข์สุขกันไปมา ถึงได้รู้ว่าเขาเคยเป็นมะเร็งที่คอ 1 ครั้ง, มะเร็งที่ต่อมลูกหมาก 1 ครั้ง ปัจจุบันหายเป็นปลิดทิ้ง รวมทั้งพี่น้องญาติอีก 8 คนที่เป็นมะเร็งภายในเวลา5ปี ทุกคนหายหมด ผมจึงเกิดความกระตือรือร้นที่จะถามว่า มีวิธีรักษากันอย่างไร ?
วันนั้นคุณแม่เขามาด้วยจึงอธิบายให้ฟังว่า " ฉันมีต้นจิงจูฉ่ายอยู่ในสวนหลังบ้านเยอะ ปกติก็จะใส่ในแกงจืดให้ลูก ๆกินเป็นประจำ เพราะคนจีนบอกต่อๆ กันมาถึงสรรพคุณช่วยฟอกเลือด และขับสารพิษออกจากร่างกายทำให้ลูกๆ ไม่ค่อยเป็นอะไร วันหนึ่งลูกฉันไปตรวจหมอกลับมา บอกว่าเป็นมะเร็ง อีก2เดือนต้องไปฉายแสง ฉันจึงลองเอาจิงจูฉ่าย 1 กำมือมาตำ จะได้น้ำออกมาแก้ว ( เล็ก ) หนึ่ง ให้เขากินตอนเช้าทุกวัน 2เดือนถัดมาไปตรวจหมอ หมอถามไปทำอะไรมา ทุกอย่างปกติหมด มะเร็งได้หายไปแล้ว "
หลังจากคุยกันพักหนึ่ง ผมก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า คน 8 คนเป็นมะเร็งในที่ต่างกัน กินน้ำจิงจูฮวยฉ่าย 2-3 เดือน ทุกคนหายหมด ( ไม่มีใครต้องทำคีโมเลย ) ผมจึงเกิดความเชื่อถือขึ้นมาระดับหนึ่ง
ก่อนหน้านั้น พี่สะใภ้ผม 2 คน ( ปี 2006 ) เป็นมะเร็งที่เต้านม, มดลูก คนหนึ่งต้องทำคีโม ใช้วิธี " นั่งสมาธิ " ทุกวัน 8 เดือน หายเป็นปกติ
ต่อมาผมได้ต้นจิงจูฉ่ายมา1ต้น จากคุณแม่ของลูกศิษย์ จึงรีบนำมาเพาะขยาย ปลายปี2008 ผมได้รู้ว่าแม่ค้าที่เช่าที่ในร้านผมคนหนึ่งเป็นมะเร็งเต้านมขั้นที่ 3 หน้าดำคล้ำ เดินตัวแข็งแล้ว ผมรีบเชิญมานั่งคุยเล่าเรื่องจิงจูฉ่ายให้ฟัง และเรื่องพี่สะใภ้นั่งสมาธิ ก็เลยแนะนำให้ทำ 2 อย่างควบคู่กันไป เชื่อไหมว่า 3 เดือนถัดไป หายเป็นปลิดทิ้ง ( ผมให้เขาไปเพียง 1 ต้นไปปลูก และเด็ดใบทานเลยวันละ 1 ใบ เพราะมีน้อย ก็ยังได้ผล )
ปี2009 ผมมีต้นจิงจูฉ่ายมากขึ้น และแจกจ่ายให้กับคนรู้จักหลายคน ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่าง 3 เดือน ทุกคนอาการดีขึ้นหมด ถ้าเราอยากช่วยผู้ที่เรารักและห่วงใยซึ่งกำลังเผชิญกับโรคร้ายนี้ ผมแนะนำวิธีนี้ ถ้าคุณต้องทำคีโมก็ทำไป กินใบจิงจูฉ่าย และนั่งสมาธิผมว่าคุณมีโอกาสหาย
ผมพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าผักชนิดนี้ แพมย์จีนโบราณเรียกว่า " ยาเย็น " เป็น " หยิน " ช่วยฟอกเลือด, ขับสารพิษ .. ฆ่าเชื้อไวรัสทุกชนิด .. เพื่อน ku37 คนหนึ่งลองให้ลูกกิน เนื้องอกที่คอก็ยุบลง
เนื่องจากที่ LA. เรามีน้อยมาก ถ้าเกิดใครต้องการมากๆ ( จริงๆ ต้องทานวันละ1กำ ) ลองคุยกับคุณน้อยที่สวนคุณน้อย จ.เชียงใหม่ ดูนะครับ ที่www.nadagarden.com เขาขาย ก.ก.ละ 35 บาท
ใครเป็นมะเร็งลองดูซิครับ ทานแล้วยังไงก็ไม่มีผลข้างเคียง แต่คุณมีโอกาสหายครับ
|
|
|
|
|
|