23 พฤศจิกายน 2567, 07:55:34
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรียนมาเพื่อทราบ ให้สุขภาพแข็งแรง  (อ่าน 269092 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #25 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 00:23:44 »

4 เรื่องสุขภาพ ..... เอามาฝากด้วยความปรารถนาดี
 
พี่วิวิธ  ดวงรัตน์ - วิศวะ 07 ... ส่งมา

1. ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน

คำตอบคือกินสายกลาง  กินสายกลางคือกินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง  งดมื้อเย็น  เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์   ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า  รถจึงจะวิ่งได้   ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด   เติมอีกครั้ง    ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมด ฉะนั้นถ้ากินมื้อเช้า  มื้อเที่ยง  จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน   ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก   เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ   โดยตับเป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก   การเอาไปเก็บในที่ต่างๆก็มาก   ทำให้อ้วน   และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ  จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด   รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน   เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้น้อยลง   อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน   เช่นถ้าตันที่สมอง  จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก   ถ้าอุดตันที่ไต  ต้องล้างไต  เปลี่ยนไต   ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ   ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร    ฉะนั้นการกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย  เป็นมื้อตายผ่อนส่ง   ยิ่งกินมื้อเย็นมาก  ยิ่งผ่อนส่งมาก  ตายเร็ว  ถ้าไม่กินมื้อเย็น  ก็จะแก่ช้า  เสื่อมช้า  อายุยืน การไม่กินอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก  ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส  สุขภาพดี   อายุยืน   และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง  ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ  แต่ท่านต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน    วิธีฝึกมี 4 วิธี
 
1. ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็น  ทีละน้อยๆเช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน  เหลือ1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน  โดยมีข้อแม้ว่าหลังอาหาร เย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน  ต่อไปครึ่งจาน  ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ  ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น

2. ร่นเวลากินอาหารเย็น  เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม  ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น  5 โมงเย็น  4 โมงเย็น  3 โมงเย็น
 
3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น  ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที   ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว
 
4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น  การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ  ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์ พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้  ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม.  กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า  มื้อเที่ยงได้ทัน  ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น  จึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด  ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน
             
 
2. โรค Attention Deficit Trait ดย ผศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์     pasu@acc.chula.ac.th
 
ท่านผู้อ่านเป็นผู้หนึ่งที่ชอบทำงานในลักษณะของ Multitasking หรือไม่ครับ ?  คนกลุ่มนี้จะเป็นพวกที่สามารถหรือชอบที่จะทำงานหลาย ๆ อย่างไปในขณะเดียวกัน เช่นในขณะที่กำลังเช็คอีเมลทางคอมพิวเตอร์ ก็กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานกับลูกน้อง พร้อมทั้งดื่มกาแฟไปพร้อมกัน หรือในขณะที่กำลังนั่งประชุม ก็สั่งงานพร้อมทั้งหาข้อมูล และตัดสินใจผ่านทางเครื่องโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ข้างหน้า  ในอดีตผมก็เคยชื่นชมคนพวกนี้นะครับว่า มีความสามารถมาก สามารถทำงานได้หลายอย่างในขณะเดียวกัน สามารถทำงานได้ออกมาเยอะ และดูยังสงบไม่ตื่นเต้นโวยวายเท่าใด  แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ ว่า การทำงานในลักษณะ Multitasking นั้น กลับเป็นสาเหตุประการหนึ่งของโรคร้ายใหม่ในที่ทำงาน ที่เราเรียก Attention Deficit Trait หรือ ADT โรคนี้เป็นโรคที่เราจะเจอมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะแวดล้อมที่บังคับให้คนทำงานจะต้องทำงานด้วยความรวดเร็วมากขึ้น ทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กัน จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา ไม่มีเวลาหรือโอกาสได้สงบพักท่านผู้อ่านลองพิจารณาตัวท่านเองหรือบุคคลรอบข้างนะครับว่า เป็นโรคนี้หรือไม่?
 
ผมอ่านพบเจอโรคนี้จากวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนมกราคม 2548 ในบทความชื่อ
Why Smart People Underperform เขียนโดย Edward M. Hallowell ซึ่งเป็นจิตแพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรคที่เกี่ยวกับสมองและสมาธิทั้งหลาย คุณหมอท่านนี้ทำการรักษาอาการ Attention Deficit Disorder หรือ ADD มากว่า 25 ปี และ โรค ADD นี้เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน เรามักจะเรียกโรคนี้ว่าเป็นโรคสมาธิสั้น
 
ผู้เขียนบทความนี้เขาพบว่า ในช่วงหลังๆ เริ่มมีผู้ใหญ่เข้ามารับการรักษาในอาการที่คล้ายกับโรคสมาธิสั้นกันมากขึ้น แต่เมื่อวินิจฉัยดูก็ไม่ได้เป็นโรคสมาธิสั้น แต่เป็นโรคอีกชนิดหนึ่งที่มีอาการคล้ายกับโรคสมาธิสั้น คุณหมอท่านนี้เลยตั้งชื่อใหม่ว่าเป็น Attention Deficit Trait หรือ ADT โดยสาเหตุของ ADT จะต่างจากโรคสมาธิสั้น เนื่องจากโรคสมาธิสั้นจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมและสภาวะแวดล้อม แต่ ADT นั้น จะมาจากสภาวะแวดล้อมเป็นหลัก
 
ผู้ที่เป็นโรค ADT นั้น มักจะมีอาการสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นานๆ ก็จะถูกดึงดูดด้วยงานอย่างอื่น มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน (แต่มักจะไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น) ไม่ค่อยอดทน มีปัญหาในการจัดระบบต่างๆ (Unorganized) การจัดลำดับความสำคัญ และการบริหารเวลา
 
โรค ADT นี้ มักจะเริ่มก่อเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ การที่มีความรู้สึกว่ามีงานด่วน หรือสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องทำเข้ามาเรื่อยๆ และท่านพยายามที่จะจัดการกับงานด่วนเหล่านั้นให้สำเร็จ จะเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของโรค ADT เพราะเมื่อเรามีงานที่เร่งด่วน หรือจำเป็นเข้ามาเรื่อยๆ เราก็มักจะรับภาระความรับผิดชอบต่องานเหล่านั้น อีกทั้งไม่บ่นไม่โวยวายต่อภาระงานที่เพิ่มขึ้น เราจะก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้งานสำเร็จ ทั้งๆ ที่กำลังความสามารถ และเวลาของเราไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณของงานที่เข้ามา  ดังนั้น เมื่อเจอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและเร่งด่วนขึ้น เราก็มักจะอยู่ในอาการของความรีบร้อนตลอดเวลา พยายามทำงานให้เสร็จโดยเร็ว
 
การทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน และขาดสมาธิต่อการทำงานๆ หนึ่ง (Unfocused) แต่ในขณะเดียวกัน บุคคลเหล่านี้ก็จะไม่บ่นไม่โวยวาย ดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
 
ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยครับว่าโรค ADT จะก่อให้เกิดปัญหาอะไรขึ้น? ง่ายๆ ก็คือ ทำให้สมองเราสูญเสียความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และทำงานอย่างละเอียดลึกซึ้ง จะส่งผลให้งานที่ออกมาเป็นงานที่เร็วแต่ไม่ลึก จะทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดน้อยลง การที่สมองเราจะต้องรับ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็ลดลง อีกทั้งความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้มากขึ้น
 
โรคนี้ถือเป็นโรคใหม่ในที่ทำงานอย่างหนึ่งครับ เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะแวดล้อมในการทำงาน ที่ต้องการความรวดเร็ว และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สมองเราจะต้องรับและประมวลผลข้อมูลต่างๆ มากขึ้นกว่าเดิม วัฒนธรรมในการทำงานในปัจจุบัน ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของความเร็วในการทำสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันดูเหมือนว่าเราต้องการความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ (เรามักจะคิดว่าในเมื่อคนทุกคนมีเวลาเท่ากัน ดังนั้น ผู้ที่มีความเร็วมากกว่าจะทำงานได้มากกว่า)
 
ท่านผู้อ่านลองสังเกตซิครับเวลาท่านขึ้นลิฟต์ ปุ่มไหนที่ท่านจะกดบ่อยที่สุด ปุ่มนั้นก็คือปุ่ม "ปิดประตู" เนื่องเพราะทุกคนเป็นทาสของความเร็ว ไม่สามารถรอให้ลิฟต์ปิดได้เอง
 
***ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเป็นโรค ADT กันบ้างไหมครับ ผมลองสังเกตตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นเหมือนกันครับ ทั้งสาเหตุและอาการก็เหมือนกับที่คุณหมอเขาเขียนไว้ในบทความของเขาเลยครับ เพียงแต่ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจนะครับ ถ้ารู้สึกว่าตนเองเป็น ADT เนื่องจากคนแต่ละคนจะมีวิธีการในการบริหารและจัดการกับโรค ADT ที่ต่างกัน (เนื่องจากสมองของคนแต่ละคนต่างกัน)***

 
3.  ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายที่คุณคิดไม่ถึง
  
ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์   กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซนต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไป เพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด
 
เลือดเราจะข้นหนืด  ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง
 
จากประสบการณ์ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ๆก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน สังเกตุได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้   และก็ฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน   รอให้เส้นเลือดอุดตันได้เลย
 
ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ตก และไม่ได้รับการผสมพันธุ์ เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติ ร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อยๆกลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด  
 
ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
 
1. ไต   ขับออกมาทางปัสสาวะ
2. ลำไส้ใหญ่   ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด   ขับออกมาทางลมหายใจ
4. ผิวหนัง  ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน   ขับออกมาทางประจำเดือน


4. เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง - เคล็ดลับการวินิจฉัยอาการโรค Apoplexy
 
วิธีวินิจฉัยอาการ  แพทย์แนะว่า  คนข้างเคียงเพียงแค่ทดสอบผู้ป่วยด้วย 3 ข้อ
 
 โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไปนีh

 S:  (smile) ให้ผู้ป่วยยิ้ม
 T:  (talk) ให้ผู้ป่วยพูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์  เช่น  วันนี้อากาศสดใสดีจัง
 R:  (raise) ให้ผู้ป่วยชูแขนสองข้าง
 
อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออก ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง  ใช่แล้ว ส่ออาการอันตราย !!!
 
ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง  ให้รีบติดต่อแพทย์ ส่ง ร.พ.โดยด่วน
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #26 เมื่อ: 08 มกราคม 2551, 11:30:39 »

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็ง ชนิดต่าง ๆ

สุรีย์ เลิศไพชัยยนต์ - ครุ 16 ... ส่งมา

อาการผิดปกติ ที่อาจจะบ่งชี้ถึงการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

1. มะเร็งปากมดลูก

อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวด และมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

2. มะเร็งในมดลูก

อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อ หรือมีอาการบวมในช่องท้อง

3. มะเร็งรังไข่

อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ มีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง

4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย )

อาการ เหนื่อยง่าย และมีร่งกายซีดเซียวกว่าปกติ มักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่าย โดยไม่ทราบสาเหตุ และมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่างๆ ทั่วร่างกาย บางครั้งจะท้องอืด และเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง

5. มะเร็งปอด

อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออก และมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอก และหายใจลำบาก หรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็งตับ

อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตาและผิวเป็นสีออกเหลือง และเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็งสมอง

อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาเจียน หรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหัน อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงาน เช่น มีอาการชา และเป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษ หากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก

อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานาน มีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือก เนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน


10. มะเร็งในลำคอ


อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับ และรู้สึกได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร

อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว อาเจียนออกมาเป็นเลือด ท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้อง หรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งเต้านม

อาการ มีเลือด หรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนม บวม หรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้น มีก้อนบวมจนจับได้ เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่ม หรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานาน ควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คน จะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อน ว่าคืออะไรกันแน่

13. มะเร็งลำไส้

อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดท้องอย่างมาก และระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ

*** ซึ่งมีวิธีสังเกตเปรียบเทียบกับผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้ว คือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้ว เลือดมีสีแดงสด นั่นคืออาการของริดสีดวงทวาร แต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำ นั่นคืออาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

อาการ มีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้ หรือใต้ขาหนีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย

15. มะเร็งผิวหนัง

อาการ  มีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน ตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้น และมีการเปลี่ยนสี หรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma ) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระ จุดด่าง หรือไฝ ถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกาย หรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อน คุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #27 เมื่อ: 09 มกราคม 2551, 00:59:11 »

เราไปหาของอร่อยๆ กินกันดีกว่า !

โดยปกติ  คนเราจะใช้พลังงานวันละ 2,100 กิโลแคลอรี่  ผู้ที่ควบคุมน้ำหนักควรจะรับประทานอาหาร วันละ 1,100 กิโลแคลอรี่ ( ที่มา ... ศูนย์ลดความอ้วน  โรงพยาบาลยันฮี  จรัญสนิทวงศ์ 96 )

โห !  ... แล้วจะเหลืออะไรให้เรากินได้ มั่งล่ะเนี่ย ?














ร่อยจังฮู้ !
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #28 เมื่อ: 14 มกราคม 2551, 13:03:55 »

Mission Banana !

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่วมา



กล้วยหอมมีน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด  คือ  ซูโครส ( sucrose )  ฟรุคโตส ( fructose )  และกลูโคส ( glucose )  รวมทั้งเส้นใยอาหาร  มันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันที  เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบ ให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาที  ไม่ต้องสงสัยเลยว่านักกีฬาระดับโลกมักกินกล้วยหอมกัน ( เคยเห็นในสนามเทนนิส .... พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอมมากัดกินสัก 2-3 คำ )  ยังไม่หมดนะ .... เจ้ากล้วยหอมยังมีคุณอนันต์  ป้องกันโรคภัยและภาวะต่าง ๆ ของร่างกายได้อีกด้วย  อาทิ

โรคเศร้าซึม  จากการสำรวจ  และวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม  พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม  เพราะว่ามี tryptophan   ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง  ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin  ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย   อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

Pms  (  prem enstrual syndrome )   สำหรับสุภาพสตรี   ก่อนที่จะมีประจำเดือน  อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย  ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย ... เช่นปวดท้อง  ปวดหัว ...ฯลฯ  กินกล้วยหอมแล้ว  ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย  มันสามารถป้องกันได้อย่างดี

โรคโลหิตจาง   (Anemia )  ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถกระตุ้นร่างกายให้ผลิต Hemoglobin ในกระแสโลหิต  ช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้

ความดันโลหิต   (Blood Pressure )  กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ  เป็นตัวช่วยความดันเลือด  แม้แต่
US Food and Drug Administration  ยังได้อนุมัติให้กล้วยหอมเป็นยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันได้จริง

เสริมสร้างพลังสมอง  ( Brain Power )   ในแค้วน Middlesex  ประเทศอังกฤษ  มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham school  อ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กินกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า  รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยตอนมื้อเที่ยง   เพื่อทำให้สมองสดชื่น   เขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ

อาการท้องผูก  ( Constipation )  เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกายทำงานได้ดี

เมาค้าง ( Hangovers ) วิธีแก้เมาค้างที่เร็ว และดีอีกวิธีหนึ่ง  ก็คือกินกล้วยหอมปั่น banana milkshake  โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย   ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้ง  และสารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด  และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น ......

จุกเสียดแน่นท้อง  ( Heartburn )  กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่  ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว

Morning Sickness  หญิงตั้งครรภ์มักจะมีอาการวิงเวียนศีรษะในตอนตื่นนอน  และก่อนจะลุกจากเตียง  เนื่องจากการแพ้ท้อง   ถ้าได้กินกล้วยหอมสักคำสองคำ  มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด  และแก้อาการดังกล่าวได้

บรรเทาแผลยุงกัด  ก่อนที่จะใช้ยาทา   ลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด  จะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้

ระบบประสาท  ( Nerves )  วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียดอ่อนล้าได้

อ้วนจากทำงานมากเกินไป  ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า   ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ต  และโปเตโต้ชิปส์มากเกินไป  ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น   ถ้าเปลี่ยนมากินกล้วยหอมสักเล็กๆ น้อยๆ ประมาณทุกๆ 2 ชม.  มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด  และลดการอยากกินของจุกจิกลงได้

แผลในลำไส้  และกระเพาะอาหาร  รวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผล ( Ulcers )  สารอาหาร  และเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เ ล็กดีขึ้น   รวมทั้งกรดต่างๆ ที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ  ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้

ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย ( Temperature Control ) ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อน  ผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกัน  และเชื่อว่ามันเป็นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง   อย่างเช่นในไทยมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงท้องควรกินกล้วยหอมเป็นประจำ  เพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็นเช่นดังป๋าคูล  เป็นต้น....so cool....

ลดความอยากสูบบุหรี่  สำหรับคนที่ต้องการเลิกบุหรี่  กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมีวิตามิน B6, B12  โปแตสเซียมและแม็กนีเซียมที่มีอยู่มาก  จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน  เห็นไหมครับว่ากล้วยหอมนั้นเป็นยอดผลไม้จริงๆ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #29 เมื่อ: 24 มกราคม 2551, 23:57:20 »

ผู้หญิงพึงระวังภัยจากเครื่องสำอางค์

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

เรื่องนี้สำหรับสาวๆ โดยเฉพาะ เพราะนักวิทยาศาสตร์ในประเทศอังกฤษ เตรียมออกโรง เตือนสาวรักสวยรักงามทั้งหลาย ให้ระวังสารเคมีชนิดใหม่ ที่เป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม



ซึ่งสารที่ว่านี้มันเป็นส่วนประกอบที่ปนอยู่ในเครื่องสำอางแวววาว อาทิเช่น ลิปสติก ลิปกรอส และ ยาทาเคลือบเงาเล็บ ซึ่งสารดังกล่าวที่ว่านี้มีชื่อว่า สาร BBP (butyl benzyl phthalate) โดยนักวิจัยได้ทำการค้นคว้าจนรู้ว่า สาร BBP นั้น มีฤทธิ์เข้าไปรบกวนการพัฒนาระบบเนื้อเยื่อของเต้านม มีนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหลายคน ได้ออกมาประท้วงห้ามอุตสาหกรรมเครื่องสำอางทั้งหลายว่าให้หยุดผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้เกิดเงา

ขณะนี้ ได้มีทีมงานนักวิทยาศาสตร์ของทางศูนย์มะเร็งThe Fox Chase Cancer Centre ในเมืองฟีลาเดเฟีย ระบุว่า " สาร BBP เป็นสารที่สะสมอยู่ในเซลล์ไขมันของมนุษย์ทุกคน ถ้าเมื่อใดที่ไขมันเพิ่มขึ้น สาร BBP มันก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อนั้นความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมก็จะเพิ่มขึ้นตามมานั่นเอง "

ทีมงานของ The online journal BMC Genomics ได้เปิดเผยถึงผลการทดลองของนักวิจัยที่ได้ทำการทดลองในหนู โดยการเติมสาร BBP เข้าไปในอาหารของแม่หนู จากนั้นปล่อยให้แม่หนูได้ให้นมลูกหนูตามปกติ ปรากฏว่าระดับของสารเคมี BBP ในลูกหนูได้เพิ่มปริมาณขึ้นเป็นลำดับ จนลูกหนูนั้นมีปริมาณของสาร BBP ในร่างกาย มากกว่าแม่หนูหรือเกือบจะสมดุลกับสาร BBP ที่ร่างกายมนุษย์ได้รับ กล่าวได้ว่า สาร BBP ตัวนี้ สามารถส่งผ่านได้ทางน้ำนม จากแม่หนูสู่ลูกหนูที่มีฤทธิ์ในการดัดแปลงเซลล์พันธุกรรมในต่อมน้ำนมของลูกหนูเพศเมียได้อย่างเป็นอย่างดี

นักวิทยาศาสตร์ ยังกล่าวอีกว่า " ถึงแม้ว่า ในการทดลองผสมสาร BBP ลงไปในอาหารของแม่หนูแต่ละครั้ง จะทำในปริมาณที่น้อยนิด แต่การเปลี่ยนแปลงช้าๆนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตและเซลล์ต่างๆในร่างกาย ของลูกหนูในระยะยาวเลยทีเดียว "

นอกจากนี้ สาร BBP ยังประกอบอยู่ในชั้นบรรยากาศในสภาพแวดล้อมที่คงที่ ถ้าใครได้รับมันผ่านการสูดดมเข้าไปในปริมาณมากๆ หรือได้รับมันผ่านเข้าไปทางระบบย่อยอาหาร สารชนิดนี้จะแผ่ขยายไปยังอวัยวะอื่นๆในร่างกาย ซึ่งรวมไปถึงเต้านมอีกด้วย

ผลการวิจัยนี้ สามารถประมาณการณ์ได้ว่า กลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งเต้านมได้ง่ายที่สุด นั่นคือ กลุ่มเด็กสาว ที่มีพัฒนาการเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นที่เร็วกกว่าคนปกติการพัฒนาของเซลล์พันธุกรรม และเต้านมที่เจริญเติบโตได้ดีกว่าเด็กสาววัยรุ่นธรรมดา หรือที่เรียกว่าเป็นสาวเร็วนั่นเอง.
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #30 เมื่อ: 28 มกราคม 2551, 15:13:55 »

ตะคริว

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

ตะคริวนี้มักเกิดขึ้นในตอนเช้ามืด เป็นระยะเวลาสั้นๆ บางคนจึงใช้วิธีนอนนิ่งๆ ทนปวด ค่อยๆยืดขา ดัดปลายเท้า บีบนวดสักพักใหญ่ๆก็หาย แต่เมื่อเร็วๆ นี้ มีหมอประจำทีมนักกีฬาโอลิมปิกของอเมริกาได้พบตำรับเคล็ดลับแก้อาการเป็นตะคริว ได้ผลชะงัดมาก เพียงแต่ให้เอานิ้วหัวแม่มือ กับนิ้วชี้ หนีบริมฝีปากบนไว้ไม่เกิน 1 นาที ตะคริวจะหายได้อย่างมหัศจรรย์ บอกไม่ได้ว่าทำไมจึงหาย * แต่บอก ได้ว่าได้ผลเกิน 80% เป็นตะคริวคราวหน้า ก็ลองทำดูนะจ๊ะ *
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #31 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2551, 14:08:25 »

สุขภาพดี เริ่มต้นที่ลำไส้

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

เมื่อคืนนี้ดิฉันมีอาการนอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่ปกติเป็นคนที่หัวถึงหมอนก็หลับได้ทันที พลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบว่าวันนี้เราไปทำอะไรมาบ้าง ก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เรามีชีวิตที่รีบเร่งจนลืมทำธุระสำคัญยิ่ง นั่นคือการขจัดเอาของเสียออกจากร่างกาย เพราะรีบออกจากบ้านตั้งแต่ท้องฟ้ายังมืดมิด ไปว่ายน้ำแล้วเจอะเจอเพื่อนที่ไม่ได้พบกันนาน คุยกันตั้งแต่ในสระน้ำจนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ แล้วก็ต้องรีบไปทำธุระทีนัดไว้ กว่าจะเสร็จเอาช่วงบ่ายก็รีบกลับบ้านที่เขาใหญ่ เมื่อมาถึงก็มัวติดพันอยู่กับธุระในครัว จนอาบน้ำเสร็จมารู้ตัวอีกทีก็นอนตาไม่หลับเสียแล้ว เมื่อนึกได้ดังนี้ดิฉันจึงรู้สาเหตุของการนอนไม่หลับ รีบลุกขึ้นมาบริหารท่าโยคะที่ช่วยให้ลำไส้บีบตัว ดื่มน้ำอีกทางหนึ่ง ปรากฏว่าไม่ถึง 10 นาทีก็ต้องรีบเข้าห้องน้ำจัดการกับการถ่วงหนักในลำไส้ไปเสียได้ จึงได้นอนตาหลับเสียที

บางคนอาจจะคิดว่าสุขภาพที่ดีต้องเริ่มต้นที่การกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย หรือออกกำลังการสม่ำเสมอ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับดิฉันแล้วคิดว่าสุขภาพดีเริ่มต้นที่การขจัดเอาขยะในร่างกายเราทิ้งไปเสียก่อน

ประเทศสหรัฐอเมริกาได้หาข้อมูลเมื่อหลายๆ ปีมาแล้วว่า ผู้ชายอเมริกันขนาดมาตรฐานคนหนึ่งๆ นั้นจะมีขยะที่ร่างกายไม่ต้องการตกค้างอยู่ในลำไส้ถึงคนละ 5 กิโลกรัม ( จนถึงปัจจุบันนี้อาจจะมากกว่า 5 กิโลกรัมก็ได้เพราะลองพิจารณาดูหุ่นของคนอเมริกันดูก็แล้วกัน ) ฟังแล้วอาจจะนึกว่าคนเรานี่สามารถเก็บของเสียของเน่าไว้ในร่างกายมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ คนเรากินอาหารเฉลี่ยกันวันละ 3 มื้อ แล้วบางคนยังกินจุกกินจิบระหว่างมื้ออีก ถ้าลองเอาอาหารที่กินใน 1 วันวางกองเข้าไวในถาดคงจะได้กองโตอยู่ อาหารพวกนี้ ถ้าเราค่อยๆ บรรจงเคี้ยวให้ละเอียดเนียนดีก่อนกลืนมัน ก็คงจะซึมไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้มาก ได้ดี และคงจะซึมซับไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้มาก ได้ดี แต่ถ้าเคี้ยวแบบกลัวใครจะมาแย่งกิน ก็คงจะหยาบ ร่างกายย่อยยาก ย่อยไม่ได้ ก็ส่งผลไปถึงลำไส้ใหญ่ที่จะบีบคั้นออกมาเป็นของเสียให้เราขับออกทางทวาร มีใครลองเทียบกันไหมว่าเจ้าของเสียที่ออกมากับอาหารกองโตที่เรากินเข้าไปนั้น มันจะพอๆ กันหรือเปล่า หรือมากน้อยกว่ากันเท่าไร

มีข้อมูลที่ได้จากการวิจัยอันน่าสนใจว่า สำหรับคนที่ชอบกินอาหารที่อุดมด้วยไขมันและเนื้อสัตว์สูงนั้น จะถ่ายอุจจาระประมาณวันละ 3-4 ออนซ์เท่านั้น และใช้เวลาให้อาหารเดินทางนับตั้งแต่ใส่เข้าปาก จนออกมาทางทวารนั้นถึง 2-3 วันทีเดียว ยิ่งในรายผู้สูงอายุหน่อยที่ระบบอะไรต่อมิอะไรมันชักจะด้อยประสิทธิภาพลง ก็อาจใช้เวลามากกว่า 1 อาทิตย์ ( ฟังแล้วน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่กำลังจะสูงอายุเช่นดิฉัน ) ส่วนคนที่ชอบกินผักผลไม้มากๆ คือชอบอาหารประเภทเส้นใย จะถ่ายอุจจาระวันละประมาณ 13-17 ออนซ์ และใช้เวลาให้อาหารเดินทางกว่าจะออกมา เป็นเวลาประมาณ 20-30 ชั่วโมง

นั่นแปลว่า อะไรต่อมิอะไรที่ใส่เข้าไปทางปากทั้งหมดนั้นไม่ได้ออกมาหมดหรอกนะ ต้องมีที่ตกค้างบูดเน่าอยู่ในท้องในไส้เราเป็นแน่ มีนักเรียนที่มาเรียนทำอาหารสุขภาพกับดิฉันท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เธอเป็นโรคท้องผูกแบบคลาสสิกมาก ผูกเป็นปกติ ไม่ไล่ไม่ออก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอปวดท้องมากจนทนไม่ไหว จึงเอาน้ำสบู่ฉีดสวนเข้าไปอย่างแรง และก็พลันมีก้อนแข็งๆ เท่าลูกบอลลูกเล็กลูกหนึ่งหล่นพรวดออกมา ไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร มันอัดกันกลม แข็ง แน่น เหนียว อย่างน่าสยดสยองที่เดียว

อาการเกี่ยวกับการมีของบูดเน่าค้างเป็นขยะอยู่ในร่างกายเรานี้ แสดงออกมาได้หลายอย่าง เป็นต้นว่า ท้องอืดแน่น เรอเหม็นเปรี้ยว มีลมในท้อง ท้องผูก ท้องเสีย หรืออาการถ่ายไม่ปกติ บางทีอาจปวดหัว หรือนอนไม่หลับ อาจผิวพรรณไม่ผุดผ่อง หรือมีผื่นคัน เป็นต้น สิ่งสำคัญก็คือ ขืนเรายังทำตัวเป็นนักอนุรักษ์ของเก่าไว้ในร่างกายเรา นานๆ เข้าร่างกายเราก็ดูดซับเอาของเสียนี้กลับมาเลี้ยงร่างกายต่อไป เป็นบ่อเกิดของโรคภัยต่างๆ ได้

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราก็ควรทำลำไส้ของเราให้สะอาด อย่าให้มีของเน่าตกค้างอยู่มากมาย พยายามกำจัดมันเสีย ก่อนอื่นเรามาดูกันว่าลำไส้ของเรานั้นมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง

อันลำไส้ใหญ่นี้ อยู่ในช่องท้องด้านล่าง ถัดจากทวารขึ้นไปยาวประมาณ 5 ฟุตกว่า มีหน้าที่รับเอาเจ้ากากอาหารที่เหลือขั้นสุดท้าย ที่ร่างกายย่อยไม่ได้แล้ว มาจัดการบีบ รีดเอาน้ำและสารอาหารพวกวิตามิน เกลือแร่ออกมาให้หมดเป็นครั้งสุดท้าย รีดของดีๆ ออกมาได้เท่าไรก็ส่งกลับผ่านตับไปเลี้ยงร่างกายต่อไป ส่วนกากที่เหลือ ลำไส้ก็จะขยับรัดตัวไล่ให้กากนี้เลื่อนเคลื่อนตัวออกไปให้พ้นจากร่างกาย ผ่านทางทวาร ถ้าหากมีอะไรที่ไม่ดี เป็นอันตรายต่อผนังลำไส้ที่มีหน้าที่ดูดซับผ่านมา ลำไส้ก็จะป้องกันตัวเองด้วยการผลิตเมือกปิดกั้นผนังไว้ไม่ระคายเคืองได้ ถ้าขืนเรายังใส่ของไม่ดีให้ร่างกายต่อไป ร่างกายก็จะสร้างเมือกนี้ไปเรื่อยๆ มากขึ้นๆ จนอาจเหลือทางให้กากอาหารเดินผ่านแคบลงๆ และยังอาจทำให้ระคายเคือง ผนังลำไส้ก็จะปูดออกตรงโน้นตรงนี้ เกิดเป็นอาการลำไส้อักเสบได้ และเมื่ออักเสบมากขึ้นก็ย่อมเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้

คราวนี้ในลำไส้ของเราก็จะต้องมีแบคทีเรียอยู่ 2 ชนิด คือ ตัวดี และตัวเลว ลำไส้ที่แข็งแรงมีประสิทธิภาพจะต้องมีแบคทีเรียชนิดดีมากๆ และมีชนิดเลวน้อยๆ บางทีเราอาจจะนึกไม่ถึงว่าเราเองนั้น เป็นผู้สะสมเลี้ยงดูเจ้าแบคทีเรียชนิดเลวไว้อย่างมากมายในลำไส้ของเราเองนี้ แบคทีเรียชนิดเลวอาจเกิดจากการบูดเน่าสะสมของเสียในลำไส้ หรือการกินของที่ทำให้เกิดการบูดเน่า เช่น มีการวิจัยว่าการกินเนื้อสัตว์ก่อให้เกิดจากการบูดเน่าในลำไส้ได้ ส่วนแบคทีเรียชนิดดีนั้น ก็อาจมาจากการกินอาหารที่ดี การไม่สะสมของบูดเน่าไว้ในลำไส้ ของหมักดองบางชนิดที่เกิดจากการหมักดองด้วยวิธีธรรมชาติ จะทำให้เกิดแบคทีเรียที่ดีได้ เช่น โยเกิร์ต หรือเต้าเจียวที่เกิดจากการหมักจากธรรมชาติ เป็นต้น และการกินยาประเภทยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะ ( Antibiotics ) จะเป็นการทำลายแบคทีเรียชนิดดีให้ล้มตายระเนระนาดเลยทีเดียว ข้อนี้ต้องระวังกันให้มากเพราะเห็นคนไทยเรานี้ อึกอักก็กินยาปฏิชีวนะกันเป็นว่าเล่น แม้แต่เด็กเล็กๆ

แบคทีเรียชนิดที่ดีจะทำหน้าที่ควบคุมชนิดเลวไว้ว่าไม่ให้กำเริบโอหัง จงอยู่อย่างสงบ มันจึงทำหน้าที่ควบคุมอาการท้องร่วง ท้องผูก ช่วยลดคลอเรสเตอรอล และช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารได้ดีขึ้นอีกด้วย

คราวนี้มาถึงวิธีที่เราควรจะดูแลลำไส้ใหญ่ของเราให้มีสุขภาพดี ที่ทำได้ด้วยการใส่ใจในเรื่องต่างๆ ดังนี้

• เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน อย่าทำตัวเป็นเด็กวัด หรือเด็กนักเรียนประจำที่กลัวว่าจะอดกิน ให้หัดให้เป็นนิสัยที่จะค่อยๆ เคี้ยว ค่อยๆ กลืน แล้วก็อย่าพูดมากเวลากินอาหาร

• เลือกอาหารที่กิน รู้ว่าอะไรไม่ดีจะไปบูดไปเน่าหรือย่อยยาก ไขมันเยอะ ของทอด ของเสียก็หลีกเลี่ยงเสีย นึกเสียว่านี่เราจะดันทุรังกลืนเอาของเน่าเข้าไปทำไม หัดกินของที่มีเส้นใยมากขึ้น

ดูแลเรื่องขับถ่ายในชีวิตประจำวันให้สม่ำเสมอ หมั่นสังเกตว่าการขับถ่ายของเราเป็นอย่างไร ที่ออกมานั้นสุขภาพดีไหม นุ่มนวล สีสวย ไม่แข็งโป๊กหรือลีบเล็ก กะปริดกะปรอย หรือเป็นเม็ดขนุน เรื่องขับถ่ายนี่เป็นเรื่องที่ปล่อยปละละเลยไม่ได้ที่เดียว หัดสังเกตว่าเรากินอะไรท้องจะผูก วันไหนของเสียยังไม่ออกมา ก็อย่ารื่นเริงไปกินเลี้ยงเอาขยะใส่เพิ่มพูนเข้าไปอีก

• เพื่อให้ระบบของลำไส้ดีขึ้น ก็ต้องหมั่นออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นให้ลำไส้ได้เคลื่อนไหว ทำงานมีประสิทธิภาพ เราจะเห็นว่าคนสมัยใหม่นี้ท้องผูกกันมากขึ้น เพราะกินแต่แป้งขัดขาวกับน้ำตาล และไขมัน มองไปทางไหนก็เห็นแต่ร้านเบเกอรี่เปิดกันทุกหัวมุมถนน แถมยังไม่ทำสวนทำไร่ กวาดบ้านถูเรือน ได้แต่นั่งกินนอนกิน ก็เห็นจะจบลงด้วยโรคภัยนี่เอง

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก นิตยสาร ผู้หญิงวันนี้
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #32 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2551, 16:28:36 »

For your good health

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

ใช่ว่าจะกินแต่แคลเซียม แล้วจะทำให้กระดูกแข็งแกร่ง ไม่เป็นสาวกระดูกเปราะ หลังโก่ง เมื่อเป็นคุณยาย เพราะทุกวันนี้คุณอาจเผลอกินอาหารที่ทำลายกระดูกแบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้

อาหารที่ลดความหนาแน่นของกระดูก

1. ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 2 ถ้วย มีงานวิจัยล่าสุดจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริการะบุว่า กาแฟแค่ 2 ถ้วยก็มากพอที่จะทำให้กระดูกเปราะบางได้ เนื่องจากคาเฟอีนในกาแฟจะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ ว่าแล้วสาวๆ ที่ติดกาแฟ ก็ดื่มน้อย ๆ ลงจะดีกว่านะ

2. น้ำอัดลม มีงานวิจัยล่าสุดพบว่าเครื่องดืมเย็นซ่าชื่นใจชนิดนี้มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะกระดูกหักง่ายค่ะ โดยผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำจะมีโอกาสเกิดกระดูกพรุนมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม 3-4 เท่าทีเดียวล่ะ อยากให้กระดูกแข็งแรง ดื่มให้น้อยลง จะดีกว่านะ

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพของกระดูก ผู้หญิงที่มีอายุเกิน 30 ปีแล้ว ความหนาแน่นของกระดูก นอกจากจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเริ่มลดลงด้วย หากช่วงก่อนหน้านี้ คุณไม่ได้บำรุงกระดูกให้แข็งแรงเต็มที่ ก็อาจทำให้คุณกลายเป็นยายแก่ที่กระดูกเปราะบาง และแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกบริเวณสะโพก ซึ่งจะเจ็บปวดและทรมานมาก นอกจากนี้ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน กระดูกจะบางลงราว ๆ 2 เปอร์เซ็นต์ทุก 1 ปี ในขณะที่การกินแคลเซียมเมื่ออายุมากขึ้น ไม่ได้ช่วยความเพิ่มความหนาแน่นให้กับกระดูกแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยชะลอการสูเสียปริมาตรของกระดูกลง มาเริ่มต้นสร้างความแข็งแรงให้กระดูกตั้งแต่วัยสาว ๆ หน้ายังใสดีกว่า


วิธีเสริมความแข็งแรงให้กระดูก

นอกจากการหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลายความหนาแน่นของกระดูกแล้ว ควรหาวิธีปกป้องและเสริมความแข็งแรงให้กระดูกกันตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า

1. ออกกำลังกาย เป็นวิธีที่ช่วยให้กระดูกแข็งแรงค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง แอโรบิค เล่นเทนนิส ยกเวท กระโดดเชือก ช่วยเสริมความหนาแน่นให้กระดูกได้ ยกเว้นการว่ายน้ำที่กลับไม่ได้ผลดีนัก

2. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม แคลเซียมเป็นสารอาหารที่สำคัที่สุดสำหรับกระดูกและฟัน โดยเฉพาะแคลเซียมในนม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต เนยแข็งเป็นแคลเซียมที่ดูดซึมได้ดี แต่ก็มักได้ไขมันเป็นของแถม หากเลือกเป็นนมพร่องมันเนย ก็น่าจะปลอดภัยกว่า นอกจากนี้อาหารพื้นบ้านเช่นปลากรอบ กุ้งแห้ง กะปิ ผักใบเขียว เต้าหู้แผ่น และถั่วเหลือง ก็เป็นเป็นอาหารที่มีแคลเซียมสูงเช่นกัน โดยเฉพาะถั่วเหลืองนั้น นอกจากช่วยชะลอความเสื่อมของกระดูกแล้ว ยังลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมอีกด้วย

3. ควบคุมน้ำหนักตัว การที่ปล่อยให้น้ำหนักตัวมากเกินไป จะทำให้คุณเสี่ยงกับการเป็นโรคกระดูกผุได้

4. เลิกสูบบุหรี่ สาวๆ ที่ติดบุหรี่ มักมีปัหาโรคกระดูกผุก่อนเวลาได้ เนื่องจากบุหรี่จะขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้

5. วิตามินดี วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ ช่วยเพิ่มปริมาตรของกระดูกได้ โดยเฉพาะนม มีทั้งแคลเซียม และวิตามินดีสูง แต่การซื้อวิตามินดีมารับประทาน จะทำให้เกิดการสะสมในร่างกายมากเกินไป
และเกิดอันตรายได้


********************

พลังมหัศจรรย์ในอาหาร เป็นยาขนานวิเศษที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ไร้โรคภัยมาเบียดเบียน ...

1. เต้าหู้ ... คุณภาพคับก้อน จากเมล็ดถั่วเหลืองซึ่งจัดว่าเป็นยอดขุนพลของพืชตระกูลถั่ว ถูกแปลงโฉมมาเป็นเต้าหู้หลากหลายรูปแบบ มีทั้งชนิดก้อน ชนิดหลอด จะเลือกแบบแข็งหรือแบบนิ่มก็ยังได้ เลือกได้ตามใจชอบกัน ราคาก็ไม่แพง หาซื้อได้ง่าย แต่ให้คุณค่าสูงอุดมด้วยโปรตีน เหล็กและแคลเซียม แต่ปลอดคลอเรสเตอรอล

ดร.แอนเดอร์สันแห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกีระบุว่า การกินเต้าหู้เป็นประจำทุกวัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และยังช่วยป้องกันการผิดปกติของฮอร์โมนที่จะก่อให้เกิดมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำใส้ สำหรับสาวๆ ที่ต้องการมีผิวพรรณที่สดใสผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรรับประทานเต้าหู้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง จัดเมนูอาหารเต้าหู้ไว้บนโต๊ะอาหารทุกวัน นอกจากสุขภาพจะดีแล้ว ผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอีกด้วยเห็นไหมคะ คุณภาพคับก้อนจริงๆค่ะ

2. มะเขือเทศ ..... พระเอกตัวจริงของอาหารอิตาลี ผลไม้สีสันสดใสชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก ต่อมาได้นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในยุโรป แต่กลายมาเป็นพระเอกตัวจริงในอิตาลี ชาวอิตาลีจัดได้ว่าเป็นนักบริโภคมะเขือเทศตัวยง อาหารยอดฮิตของอิตาลีล้วนมีมะเขือเทศเป็นส่วนผสมสำคัญ เคล็ดลับความอร่อยของอาหารอิตาลีจึงอยู่ที่ซอสมะเขือเทศนี่แหล่ะค่ะ

ผลสรุปของสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐระบุว่า การบริโภคมะเขือเทศ และผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศในปริมาณสูง สามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งหลายชนิดได้ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งในช่องท้อง เนื่องจากในมะเขือเทศมีสารไลโคพีน ( Lycopene ) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้วิตามินเอ และซีในมะเขือเทศก็ยังช่วยให้สุขภาพผิวสดใส ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงกันเลยทีเดียว

3. กินกระเทียมให้เป็นยา จะไม่ต้องพึ่งใบสั่งแพทย์ คงจะคุ้นเคยกันดีสำหรับพืชสมุนไพรชนิดนี้ เพราะแทบทุกครัวเรือนต่างมีไว้คู่ครัว ถ้าศึกษาจากผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแล้ว เราอาจจะต้องเก็บกระเทียมไว้เคียงคู่กับตู้ยาก็เป็นได้

ดร.วาร์โรอี. ไทเลอร์ ที่ปรึกษาคณะเภสัชศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเพอดู เวส ลาฟาเยต พบว่า กระเทียมมีสรรพคุณเสมือนยาแอส-ไพริน คือทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น สารอัลลิซินในกระเทียม จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
ช่วยให้ระบบการย่อยอาหาร และการขับถ่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้การกินกระเทียมเป็นประจำทุกวัน โรคหัวใจก็ไม่ถามหากันง่าย ๆ เพราะกระเทียมเป็นตัวช่วยลดปริมาณคลอเรสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้เป็นอย่างดี

ยังไม่หมดนะค่ะ สำหรับสรรพคุณของกระเทียม หากเราย้อนประวัติศาสตร์ไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กระเทียมเป็นผู้ช่วยตัวเอกในการรักษาบาดแผลของทหาร เนื่องจากกระเทียมมีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อโรคสารพัดชนิด ทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ก่อนจะหยิบอาหารเข้าปากในมื้อต่อไป อย่าลืมกระเทียมสดๆสัก 2 ช้อนชา รับประทานคู่กับอาหารมื้ออร่อยของคุณนะคะ คุณจะได้สารอาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณทางยาทีเดียว

4. แก้นิสัยโกรธง่ายด้วยโยเกิร์ต ดร.เม็ทชนิคอฟแห่งสถาบันปาสเตอร์ ในฝรั่งเศส ได้สรุปผลงานของเขาไว้ว่า การกินโยเกิร์ตทุกวัน จะทำให้สุขภาพดีและอายุยืน จุลินทรีย์แลคโตแบคซิลัสในโยเกิร์ต จะช่วยสร้างยาปฎิชีวนะในลำใส้ ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบททีเรียต่างๆ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลำใส้ ป้องกันกระเพาะจากการเป็นแผล ลดไขมันในเส้นเลือด และยังช่วยไม่ให้ฟุ้งซ่านและโกรธง่ายอีกด้วย


*****************

6 อัศวินสำหรับร่างกาย

ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน และหัวใจวายแน่นอน อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดีเยี่ยม 6 อัศวินตัวสำคัญนั้น คือ มะเขือต่างๆ หอมหัวใหญ่ กระเทียม ถั่วเหลือง แอปเปิ้ล และโยเกิร์ต

วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ ก็ควรรับประทานอัศวินตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน เช่น เมื่อรับประทานแกงกะทิที่มันๆ ก็ควรรับประทานมะเขือเปราะ หรือมะเขือพวงมากๆ

เมื่อรับประทานไข่มากๆ ซึ่งเป็นตัวเพิ่มคอเลสเตอรอลที่น่ากลัวนัก คุณก็ควรรับประทานหอมหัวใหญ่ร่วมกับไข่เจียว หรือไข่ดาวด้วย หรือรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 1 ผลทุกๆ วัน หรือโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วยทุกๆ วัน รับประทานกระเทียมสดๆ เล็กน้อยกับอาหารจานยำ จานคาวต่างๆ เพื่อขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย อันเป็นเรื่องที่แสนง่ายดายกว่าการเลิกรับประทานอาหารมันๆ ทุกจานโดยสิ้นเชิง คุณยังสามารถรับประทานเนยแฮม เบคอน ขาหมู ไข่ หรือ อาหารไขมันสูงจานต่างๆได้ในบางมื้อบางวัน หากเพียงคุณรู้จักรับประทานอาหารอัศวินเหล่านี้เข้าไปด้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยลดคอเลสเตอรอลแล้ว อาหาร 6 อย่างนี้ยังมีคุณค่าของสารอาหารและแร่ธาตุสำคัญที่จะนำประโยชน์สู่ร่างกายของคุณอย่างมากมายในด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น แอปเปิล หอมใหญ่ และโยเกิร์ต ช่วยให้คุณขับถ่ายดี ผิวพรรณสวยงาม เป็นต้น


************

เรื่องกล้วยๆ

การกินกล้วยหอมหนึ่งผล ไม่เพียงแต่ทำให้อิ่มท้องเท่ากับข้าวหนึ่งจานเท่านั้น แต่กล้วยยังให้ผลทางยา และสมุนไพรที่ข้าวไม่มี คือสามารถดูแลและรักษากระเพาะอาหารของเราได้ ดร.จีนคาร์เพอร์ นักโภชนาการ แจ้งว่า กล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยในกระเพาะ ( dyspepsia ) ได้เป็นอย่างดี การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะทำให้กระเพาะแข็งแรง ปัญหาจากกรดในกระเพาะจะลดลง ผู้ที่มีปัญหาแผลในกระเพาะจะมีอาการดีขึ้น นอกจากนี้กล้วยยังมีฤทธิ์ทางปฏิชีวนะ สามารถฆ่าเชื้อได้อีกด้วย จากการศึกษาผู้ป่วย 46คน ที่มีอาการปวดในกระเพาะ โดยไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร โดยจัดให้ผู้ป่วยจำนวน 23 รายได้รับกล้วยผงบรรจุแคปซูลทุกวัน ส่วนอีก 23 ราย ให้รับแคปซูลของยาหลอกที่บรรจุแป้งธรรมดา พบว่าผ่านไปได้ 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่ได้รับผงกล้วย ร้อยละ 50 ไม่มีอาการปวดเกิดขึ้นเลย และร้อยละ 25 มีอาการดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกจำนวน ร้อยละ 20 เท่านั้นที่บอกว่ามีอาการค่อยยังชั่วขึ้น แสดงให้เห็นว่าการรับประทานกล้วย แม้ว่าจะอยู่ในรูปของกล้วยผงก็สามารถช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #33 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2551, 22:40:52 »

Take care of your eyes : ตรวจจอประสาทตา

พี่วิวิธ - วิศวะ 07... ส่งมา

ผู้ที่อยู่ในวัยกลางคน เคยไปตรวจประสาทตามั้ยครับ ? ตรวจประสาทตาที่โรงพยาบาล หรือจักษุคลีนิคนะครับ ไม่ใช่ตรวจสายตาที่ร้านขายแว่นตา ถ้าไม่เคย ผมขอแนะนำว่าให้รีบไปทำทันที ผมย้ำคำว่ารีบก็เพราะว่า ถ้าไม่รีบเราก็จะผลัดผ่อนไปเรื่อยๆ แล้วคุณก็อาจจะประสบเคราะห์กรรมเหมือนอย่างที่ผม และน้องชายผมเคยโดนมาแล้ว ผมสายตาสั้นมาก เกือบยี่สิบปีก่อน เมื่อตอนอายุ 40 ต้นๆ ผมไปตรวจประสาทตาเพื่อใส่คอนแทคเลนส์ จักษุแพทย์ผู้ตรวจได้แนะนำว่า อีก 4 เดือน ขอให้ผมมาตรวจประสาทตาอีกครั้งหนึ่ง เพราะประสาทตาที่เป็นจอรับภาพ ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกกันว่า เรตินา (Retina ) ของผมมีความบางมาก อาจฉีกขาดได้ การป้องกันทำได้ง่ายๆ ด้วยการยิงเลเซอร์ปิดผนึกประสาทจอรับภาพ

ความที่คนเราชอบผลัดวะนประกันพรุ่ง ยิ่งถ้าเรากลับมาทำงาน และยุ่งกับงานมากๆ เราก็จะลืมนึกถึงสุขภาพของเรา ผมปล่อยปละละเลยจนถึงเดือนที่ 7 วันนึงกำลังจะอ่าน memo ฉบับหนึ่งที่ค่อนข้างยาว ผมพบว่าข้อความแต่ละบรรทัดมีฝุ่นผงเป็นแผงดำเต็มไปหมด ผมไม่สามารถอ่านข้อความได้เลย นาทีนั้นผมนึกถึงคำพูดของจักษุแพทย์ท่านนั้น ผมรีบตรงไปหาจักษุแพทย์ที่อยู่ใกล้ที่ทำงานที่สุด แล้วสิ่งที่ผมหวั่นก็เกิดขึ้นจริงๆ ประสาทตาของจอรับภาพของผมฉีกขาดอย่างรุนแรง ผมต้องไปนอนรับการผ่าตัด เย็บประสาทตาจอรับภาพ และนอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเดือน นี่คือผลของการปล่อยปละละเลย หรือการผลัดผ่อนสุขภาพของเรา ซึ่งมีราคาแพงมาก

ส่วนน้องชายผม สายตาสั้น และใส่แว่นตาเหมือนผม ไม่เคยไปตรวจประสาทตาเลย แล้ววันนึงน้องชายผมก็พบว่าตัวเองตาบอดไปหนึ่งข้าง โดยไม่มีอาการ หรือสัญญาณบอกเหตุใดๆทั้งสิ้น เขายังคงมองเห็นทุกอย่างเป็นปกติด้วยด้วยตาข้างเดียว เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า คนเราพออายุเริ่มวัยกลางคน อวัยวะทุกอย่างที่เคยเต่งตึงก็จะเริ่มหย่อนยาน ( ยกเว้นหูที่จะตึงมากขึ้น ) ประสาทตาของคนเราก็เช่นกัน มันจะเริ่มเสื่อม และไม่อยากทำงาน ถ้าเราตรวจพบแต่แรกๆ ก็จะมีวิธีรักษา ต้องไปเข้าคลีนิคฝึกประสาทตา หรือกระตุ้นให้ประสาทตาทำงานใหม่ แต่ถ้าเราไม่ไปตรวจประสาทตา หรือพบช้าเกินไป จนประสาทตาไม่ทำงานเป็นเวลานานแล้ว ตาข้างนั้นก็จะบอดสนิท ไม่สามารถเยียวยาได้ แต่เราจะไม่รู้สึกผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้อย่างสดใส ชัดเจนเหมือนเดิมด้วยตาข้างเดียว

แพทย์ยังบอกอีกว่า มีคนในสังคมที่ตาบอดข้างเดียวอยู่เยอะ การป้องกันอาการตาบอดข้างเดียวไม่มีวิธีอื่น นอกจากการไปตรวจประสาทตาทุกๆ 6 เดือน ผู้ที่จะไปตรวจประสาทตา ควรมีใครมาเป็นเพื่อนพากลับบ้าน ประสาทตาจะอยู่ข้างหลังแก้วตา ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเพราะมีม่านตากั้นไว้ ผู้ตรวจจะต้องถูกหยอดยาขยายม่านตา แล้วจักษุแพทย์จะใช้ทั้งแว่นขยาย และกล้องจุลทรรศน์ส่องเข้าไปตรวจดูประสาทตา หลังการตรวจ ผู้ตรวจจะสายตาพร่ามัวไปเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง ชนิดว่าขับรถไม่ได้ เดินข้ามถนนก็ยังอันตราย เพราะจะมองเห็นทัศนวิสัยใกล้เพียงแค่ไม่กี่เมตรข้างหน้า

ถ้าคุณมีจักษุแพทย์ประจำ และเคยตรวจประสาทตามาแล้วก็ดีครับ แต่ควรตรวจเป็นประจำทุก 6 เดือน แต่ถ้าไม่มีหรือไม่รู้จักจักษุแพทย์ที่ไหน ผมขอแนะนำที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ค่าตรวจประสาทตาครั้งละ 800 บาท ถูกมากครับเมื่อเทียบกับดวงตาที่มีค่าของคุณ

คงกฤช อนันต์วิโรจน์
บันทึกการเข้า
webmaster
Administrator
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 852

« ตอบ #34 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2551, 08:31:16 »

ขอบคุณพี่เจี๊ยบค่ะ
เข้ามาห้องนี้ทีไร เหมือนเดินเข้าศูนย์บำบัดหรือศูนย์สุขภาพทุกทีค่ะ
บันทึกการเข้า

ORKS BEHIND THE SCENE
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #35 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2551, 22:24:49 »

George Carlin's Views on Aging

พี่วิภาดา - บัญชี 15 ... ส่งมา



Do you realize that the only time in our lives when we like to get old is when we're kids ?

If you're less than 10 years old, you'r e so excited about aging that you think in fractions.

" How old are you ? " 'I'm four and a half ! " You're never thirty-six and a half. You're four and a half, going on five ! That's the key.

You get into your teens, now they can't hold you back. You jump to the next number, or even a few ahead.

" How old are you ? " " I'm gonna be 16 ! " You could be 13, but hey, you're gonna be 16 ! And then the greatest day of your life ... You become 21. Even the words sound like a ceremony . YOU BECOME 21. YESSSS !!!

But then you turn 30. Oooohh, what happened there ? Makes you sound like bad milk ! He TURNED; we had to throw him out. There's no fun now, you're Just a sour-dumpling.

What's wrong ? What's changed ?

You BECOME 21, you TURN 30, then you're PUSHING 40. Wow ! Put on the brakes, it's all slipping away. Before you know it, you REACH 50 and your dreams are gone.

But wait !!! You MAKE it to 60. You didn't think you would !

So you BECOME 21, TURN 30, PUSH 40, REACH 50 and MAKE it to 60.

You've built up so much speed that you HIT 70 ! After that it's a day-by-daything; you HIT Wednesday !

You get into your 80's and every day is a complete cycle; you HIT lunch; you TURN 4:30 ; you REACH bedtime. And it doesn't end there. Into the 90s, you start going backwards; " I Was JUST 92."

Then a strange thing happens. If you make it over 100, you become a little kid again. " I'm 100 and a half ! " May you all make it to a healthy 100 and a half !!


HOW TO STAY YOUNG

1. Throw out nonessential numbers. This includes age, weight and height. Let the doctors worry about them. That is why you pay " them. "

2. Keep only cheerful friends. The grouches pull you down.

3. Keep learning. Learn more about the computer, crafts, gardening, whatever. Never let the brain idle. " An idle mind is the devil's workshop. " And the devil's name is Alzheimer's.

4. Enjoy the simple things.

5. Laugh often, long and loud. Laugh until you gasp for breath.

6. The tears happen. Endure, grieve, and move on. The only person, who is with us our entire life, is ourselves. Be ALIVE while you are alive.

7. Surround yourself with what you love , whether it's family, pets, keep sakes, music, plants, hobbies, whatever. Your home is your refuge.

8. Cherish your health : If it is good, preserve it. If it is unstable, improveit. If it is beyond what you can improve, get help.

9. Don't take guilt trips. Take a trip to the mall, even to the next county; to a foreign country but NOT to where the guilt is.

10. Tell the people you love that you love them, at every opportunity.


AND ALWAYS REMEMBER :

Life is not measured by the number of breaths we take, but by the moments that take our breath away.
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #36 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2551, 11:41:18 »

คุณเคยบริหารสมอง บ้างมั้ย ?





บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #37 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2551, 12:11:33 »

ผลไม้ 7 ขนิด  พิชิตความชรา

น้องเล็ก-เข็มพร - เศรษฐ 22 ... ส่งมา





บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #38 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2551, 18:26:23 »

TIPS for Long Life

เพลินจันทร์ - อักษร 16 ... ส่งมา

1. ร่างกายประกอบไปด้วยน้ำถึง 60 % ( คิดจากน้ำหนัก ) และจะสูญเสียน้ำวันละประมาณ 2 ลิตร จากเหงื่อ , ปัสสาวะ และการหายใจ ….นี่แค่อยู่เฉยๆ นะ ถ้าต้องออกกำลังด้วย ก็ต้องคิดเพิ่มต่างหาก ดังนั้นควรดื่มน้ำเข้าไปทดแทนอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และถ้าเล่นกีฬา หรือออกกำลังกายก็ควร( ต้อง ) ดื่มเพิ่มขึ้นอีกชั่วโมงละ 1 ลิตร ( 4 แก้ว )

2. ถ้ารู้สึกปวดหัว หรือเวียนหัว ลองดื่มน้ำเข้าไปสักแก้วสองแก้วก่อนจะไปหายาแก้ปวด เพราะเนื้อสมองนั้นประกอบด้วยน้ำถึง 85 % ดังนั้นร่างกายขาดน้ำไปแค่หน่อยเดียว อาการปวดหัวก็จะถามหาเอาง่ายๆั

3. แม้จะรู้ ๆ กันว่าต้องดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่ก็มีแค่ 1 ใน 10 คนเท่านั้นที่จะทำได้ ลองหมั่นสังเกตปัสสาวะที่มีสีเข้มๆ หรือลองดึงหลังมือดู ถ้าเนื้อเด้งกลับอย่างช้าๆ ก็แปลว่าร่างกายขาดน้ำแล้วล่ะ

4. เลี่ยงการดื่มน้ำอัดลมทุกชนิด เพราะฟองก๊าซที่ผสมอยู่นั้นมีสภาพเป็นกรด ซึ่งนอกจากจะไม่ดีต่อกระเพาะแล้ว ยังทำให้เรอออกมาด้วย

5. น้ำแร่สำหรับดื่ม แต่ละยี่ห้อนั้นจะมีส่วนผสมของแร่ธาตุต่างๆ ไม่เท่ากัน แต่ถ้าชอบจริงๆ ก็พยายามเลือกยี่ห้อที่มีโซเดียมผสมอยู่น้อยที่สุด

6. เลือกรับประทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบเยอะๆ เช่น นม มะเขือเทศ แตงกวา ฟัก ฯลฯ

7. เลี่ยงการอาบน้ำอุ่น ( จัด ) ในตอนเช้าำ เพราะการอาบ หรือแช่น้ำที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ( ขึ้นไป ) นานกว่า 5 นาที จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้ … เก็บน้ำอุ่นไว้อาบตอนเย็นหลังเลิกงาน หรือก่อนเข้านอนจะดีกว่ากันเยอะ

8. งดดื่มน้ำก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ไตขับน้ำลงไปอยู่ในกระเพาะปัสสาวะทั้งหมดเสียก่อน จะได้เข้าห้องน้ำทีเดียวก่อนเข้านอน ไม่ต้องลุกขึ้นมากลางดึกให้เสียอารมณ์

9. เดินวันละ 30 นาทีเป็นประจำ จะทำให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

10. แปรงฟันแบบแห้ง ๆ ด้วยแปรงนุ่มๆ จากนั้นก็บ้วนน้ำทิ้งเสียรอบนึง ตามด้วยการแปรงฟันด้วยยาสีฟันตามปกติ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นอีก 60 % แถมลดอาการเลือดออกตามไรฟันได้อีก 50 %

11. ทดสอบประสิทธิภาพของปอดได้ง่ายๆ ด้วยการถือเทียนที่จุดไฟติดแล้วไว้ห่างจากปาก 15 ซม. อ้าปากหายใจเข้าให้เต็มที่แล้วเป่าลม " ฮ่อ " ออกมาจากปากโดยไม่ห่อปาก ถ้าเปลวไฟดับได้ ก็แปลว่าปอดคุณยังแจ๋วอยู่

12. ทดสอบการได้ยินของหู ด้วยการเข้าไปอยู่ในห้องเงียบๆ ยื่นแขนออกไปด้านข้างให้สุด แล้วใช้นิ้วโป้ง กับนิ้วชี้ถูกันไปมา หดแขนเข้ามาหาตัวช้าๆ เมื่อหูสามารถได้ยินเสียงถูนิ้ว ก็ให้วัดระยะจากหูถึงนิ้วไว้ แล้วทดสอบกับหูอีกข้าง ผู้ที่มีความปกติจะได้ยินเสียงถูนิ้วในระยะห่าง 15-20 ซ.ม.

13. งีบกลางวันสัก 20 นาที ทุกๆ วัน จะช่วยคลายเครียด และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น แต่อย่างีบนานกว่านั้น เพราะจะทำให้ง่วงตลอดบ่ายแทน และเวลาเหมาะสมคือ ถ้าคุณตื่นนอนตอนเช้าเวลา 6 โมง ก็ควรงีบตอนบ่ายสอง

14. การออกกำลังกาย ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ เพราะอาหาร และออกซิเจนสามารถไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น แถมยังทำให้อารมณ์แจ่มใสด้วย

15. ผู้สูงอายุทั้งหลายอย่าอยู่โดดเดี่ยว การวิจัยจากทั่วโลกยืนยันตรงกันว่าการเข้าสังคม หรือมีเพื่อนฝูงตลอดเวลาสามารถยืดอายุคนไปได้อีกไม่ต่ำกว่า 5 ปีเชียวนะ

16. ชีวิตสมรสที่ไม่ราบรื่น จะเพิ่มอัตราการเจ็บป่วย ( ด้วยโรคภัย ) ขึ้นมากถึง 35 % และทำให้อายุสั้นลงอีกถึง 4 ปี นี่เป็นตัวเลขโดยเฉลี่ยนะจ๊ะ เพราะถ้ารวมตัวเลขโหดๆ ประเภทอัตราบาดเจ็บจากการทำร้ายร่างกายกันและกันเข้าไปด้วย เดี๋ยวจะอยู่เป็นโสดกันทั้งเมือง

17. เพศชายเป็นนักสร้างสรรค์ ดังนั้นถ้าอยากมีสุขภาพจิตดี ต้องหมั่นตั้งเป้าหมาย หรือสร้างฝันอยู่ตลอดเวลา แล้วก็พยายามสร้าง หรือไขว่คว้ามาให้ได้ด้วย แต่ก็อย่าจริงจังจนกลายเป็นโรคเครียดแทนล่ะ

18. การนอนหลับวันละ 7-9 ชั่วโมง เป็นสิ่งสำคัญตลอดชีวิตของมนุษย์ ดังนั้นเพื่อให้นอนหลับอย่างมประสิทธิภาพ ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน ( กาแฟ ) และนิโคติน ( บุหรี่ ) ตลอดช่วงบ่ายยาวจนถึงเข้านอน เข้านอนให้เป็นเวลาทุกคืน อย่าดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หรือทานของกินบนที่นอน เพราะที่นอนนั้นเอาไว้นอนหลับ กับทำอะไรนอนๆ เท่านั้น และถ้านอนไม่หลับภายในครึ่งชั่วโมง ก็จงลุกออกไปหาอะไรที่ผ่อนคลายทำไปก่อน ( เช่น อ่านหนังสือ ) จนกว่าจะรู้สึกง่วง ค่อยกลับขึ้นเตียงอีกครั้ง

19. อาการนอนกรนเกิดขึ้นเฉพาะเวลานอนหงายเท่านั้น ดังนั้นการแก้ไขง่ายๆ คือหาวิธีไม่ให้นอนหงาย ด้วยการสวมเสื้อยืดที่มีกระเป๋าเสื้ออยู่ด้านหลังหลัง แล้วเอาลูกกอล์ฟใส่ไว้ในกระเป๋านั้น ให้เป็นเครื่องปลุกเวลาพลิกตัวนอนหงาย ก่อนที่จะโดนคนข้างๆ ตัวปลุกแบบไม่สุนทรี

20. หยุดอาการสะอึกได้ง่ายๆ ด้วยการใช้ก้อนน้ำแข็งโป๊ะบริเวณลูกกระเดือก เพราะความเย็นจะไปชะลอสัญญาณกระตุ้นจากสมอง ที่จะไปยังกระบังลมให้ช้าลง

21. อาการปวดหลังเมื่อขับรถนานๆ เกิดจากการนั่งหลังโก่ง แก้ไขง่ายๆ ด้วยการปรับกระจกมองหลังให้เงยขึ้น ซึ่งจะช่วยบังคับให้ต้องนั่งตัวตรงโดยธรรมชาติ

22. ลดความเครียดด้วยการทานกล้วยหอมวันละใบ เพราะสารโปรแตสเซียมในกล้วย ช่วยลดความดันโลหิตได้

23. น้ำส้มคั้นสามารถแก้อาการเมาค้างได้เป็นอย่างดี เพราะปริมาณฟรุคโตสมากๆ จะเร่งให้ร่างกายเผาผลาญแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นอีก 25 %

24. มีมะเร็งร้ายที่ถ่ายทอดโดยพันธุ์กรรมเพียง 10 % เท่านั้น ที่เหลือเป็นผลจากสิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ดี การทานผักผลไม้ให้มากๆ ในแต่ละวัน จะลดอัตราการเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในทางเดินอาหารได้มากถึง 70 %

25. สารเมลาโทนินที่มีมากในผลเชอรี่ ช่วยทำให้นอนหลับง่ายขึ้น

26. จากการวิจัยพบว่า แค่ทานซอสมะเขือเทศบ่อยๆ เป็นประจำ ก็สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในอัณฑะได้ถึง 34 % และจะได้ผลมากขึ้นถ้าทานมะเขือเทศสดๆ เป็นประจำ แต่ถ้าไม่ชอบรสชาดก็ให้หันไปทานแตงโมแทน ก็จะได้ผลเหมือนกัน

27. ทานปลาแซลมอนแค่สัปดาห์ละมื้อ เป็นประจำ ก็ลดอัตราการเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ถึง 50 % เพราะปลาแซลมอนมีกรดไขมันที่เรียกว่า โอเมก้าทรี ( Omega-3 ) อย่างมาก กว่าปลาชนิดอื่น ซึ่งนอกจากมีประโยชน์ต่อหัวใจแล้ว ยังช่วยลดอาการไขข้ออักเสบต่างๆ ได้อีกด้วย แต่รายงานไม่ได้บอกว่ากิน " ปลาทู " แทนจะได้หรือป่าว ?

28. ผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด มันฮ่อ ฯลฯ มีวิตามิน E อยู่เยอะ ซึ่งช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้เป็นอย่างดี และจากการวิจัยยังพบว่าผู้ที่ทานผลไม้เปลือกแข็งเหล่านี้ ยังมีอัตราการเป็นโรคหัวใจต่ำมาก

29. กระเทียมมีสารต้านไวรัสอยู่เยอะแยะ และยังกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกายได้อย่างดี จึงเป็นอาหารต้านหวัดหมายเลขหนึ่ง ที่ยังไม่มีใครแย่งตำแหน่งไปได้

30. แก้ปัญหาขอบตาคล้ำ ด้วยการทานสัปปะรด กับมะละกอเยอะๆ เพราะเอนไซม์ที่มีมากในผลไม้ทั้งสองอย่างนี้ ช่วยทำให้เนื้อเยื่อดูดซับเลือดที่จับตั วแข็งเป็นก้อนๆ ทั้งหลายได้ดี

31. ลดน้ำหนักง่ายๆ โดยไม่ต้องอดอาหาร ด้วยการเหลืออาหารไว้ 1 ใน 5 ของปริมาณที่คุณทานตามปกติ รอสัก 20 นาทีก็จะรู้สึกอิ่มได้เองเหมือนๆ กับการโซ้ยจนหมดจาน ทั้งนี้เพราะกว่าร่างกายจะย่อยอาหาร และซึมซับสารต่างๆ เข้าสู่กระแสเลือดนั้น ต้องใช้เวลาพอสมควร ก็ราวๆ 20 นาที ที่ให้รอนั่นแหละ


หมายเหตุ คัดลอกมาจากนิตยาสาร MBT ประจำเดือน ตุลาคม 2546 ฉบับที่ 63
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #39 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2551, 22:24:10 »

น้ำแข็ง ช่วยแก้ปวดได้สารพัดอย่าง

อาริสา - ครุ 16 ... ส่งมา



ปวดแบบนี้ น้ำแข็งช่วยได้ ใช้บรรเทาอาการปวดต่างๆ ได้ ทั้งใช้ง่าย ปลอดภัย ประหยัด เพราะหาได้จากช่องแช่แข็งในตู้เย็นของบ้านคุณเอง คุณสมบัติพื้นฐานของน้ำแข็งก็คือ ความเย็น ที่ช่วยลดความปวดบวมอักเสบได้ ซึ่งหัวใจหลักของการบำบัดแบบนี้คือ การประคบบริเวณที่ปวดบวมหรือบาดเจ็บทันที เพื่อช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการลดการทำลายของเนื้อเยื่อก่อนที่อาการเจ็บปวดจะรุนแรงขึ้น โดยนำผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งประคบตรงบริเวณที่มีอาการต่างๆ ดังนี้

ปวดหลัง

อาการนี้เป็นปัญหาส่วนใหญ่ของผู้หญิง จากการทำงานบ้าน หรือทำสวน ความเย็นช่วยลดความปวดได้ โดยให้ประคบน้ำแข็งทันที หลังจากทำงานที่ต้องก้มๆ เงยๆ หรือยกของหนักๆ มา


ปวดไมเกรน

คุณผู้หญิงเกือบทุกคนมักจะประสบกับการปวดหัวตุบๆ โดยเฉพาะช่วงมีรอบเดือน ซึ่งผู้ที่เคยใช้วิธีนี้รับรองว่าสามารถลดอาการปวดได้จริง โดยนอนราบบนพื้นประมาณ 5-10 นาที แล้วประคบผ้าห่อน้ำแข็งบริเวณด้านหลังลำคอ หน้าผาก หรือขมับ ความเย็นจะช่วยลดอาการบวม และอาการมึนลงได้ ทั้งยังลดผลข้างเคียงอื่นๆ จากไมเกรน โดยที่ไม่ต้องกินยาอีกด้วย


ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ เคล็ด ตึง

นักกรีฑาจำนวนไม่น้อยเลือกใช้น้ำแข็งป้องกันอาการที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ หลังจากออกกำลัง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าน้ำแข็งทำให้รู้สึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ตึงเครียด เพราะช่วยลดการขยายตัวของหลอดเลือด


มีของดีใกล้ตัวแบบนี้ ... ก็เบาใจได้แล้วค่ะว่า คุณจะสามารถรับมือกับอาการปวดต่างๆ เหล่านี้ได้ในเบื้องต้น
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #40 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2551, 11:52:51 »

อาหารที่ทำลายกระดูก

วันนี้เกร็ดความรู้ มีอาหารที่ทำลายกระดูกมาฝากกัน ...

1. ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 2 ถ้วย จากงานวิจัยจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริการะบุว่า กาแฟแค่ 2 ถ้วย ก็มากพอที่จะทำให้กระดูกเปราะบางได้ เนื่องจากคาเฟอีนในกาแฟจะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ

2. น้ำอัดลม ทำให้เกิดภาวะกระดูกหักง่าย โดยผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำจะมีโอกาสเกิดกระดูกพรุนมากกว่า ผู้ที่ไม่ดื่ม 3-4 เท่า

ผู้หญิงที่มีอายุเกิน 30 ปีแล้ว ความหนาแน่นของกระดูก นอกจากจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเริ่มลดลงด้วย หากช่วงก่อนหน้านี้ไม่ได้บำรุงกระดูกให้แข็งแรงเต็มที่ ก็อาจทำให้กระดูกเปราะบางและแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกบริเวณสะโพก ซึ่งจะเจ็บปวด และทรมานมาก

ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน กระดูกจะบางลงราว ๆ 2 เปอร์เซ็นต์ ทุก 1 ปี ในขณะที่การกินแคลเซียมเมื่ออายุมากขึ้น ไม่ได้ช่วยความเพิ่มความหนาแน่นให้กับกระดูกแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยชะลอการสูญเสียปริมาตรของกระดูกลง

รู้อย่างนี้แล้ว มาดูแลกระดูกกันดีกว่า เพราะจะได้มีกระดูกที่แข็งแรง และไม่เปราะง่าย

www.dailynews.co.th
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #41 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2551, 01:38:12 »

ล้างพิษใน 1 วัน...ที่คุณทำเองได้

พี่วิวิธ - วิศวะ 07... ส่งมา

คงจะรู้กันมาบ้างแล้วว่า การล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก ถ้าทำเป็นประจำก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพ และรักษาโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมทั้งลดความอ้วนได้ด้วย

หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 กิโลกรัม เพื่อให้ระบบย่อย และตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้ และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้น จะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้ว ต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า

1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ลส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่างคือ ทุเรียน และสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรีสูงเกินไป และย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวัน ท้องก็จะอืดได้

2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละสุก หรือส้มตำ ( มะละกอดิบ ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด

3. พอมาถึงมื้อกลางวัน ก็ทานมะละกออีกแต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้

4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อย เพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป

5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป


วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว

อุปกรณ์
ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด
มะนาว 4 ลูก
เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน

วิธีทำ
ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวด จากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก และเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน

มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนัก เพื่อขับอุจจาระ หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่นคือาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มทานอาหารได้


กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 สัปดาห์ ต่อหนึ่งครั้ง

ที่มาจาก http://www.pooyingnaka.com
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #42 เมื่อ: 27 กุมภาพันธ์ 2551, 01:29:51 »

บอกต่อ ... วิธีง่ายๆ ต่อสู้กับมะเร็ง

เพลินจันทร์ - อักษร 16 ... ส่งมา

พ่อเลี้ยงวรรณฯ เจ้าของ " รวมเกษตรฟาร์ม " มาบรรยายวิธีรักษามะเร็งเมื่อเดือนที่แล้ว ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงนำมาถ่ายทอดให้เพื่อนๆ ฟัง ดังนี้

พ่อเลี้ยงวรรณฯ อายุ 60 ปี เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายที่กระดูกสันหลัง คุณหมอทั้งไทยและเยอรมัน ไม่รับรองว่าจะรักษาหาย จึงไปทำการรักษาที่เกาหลีเหนือเป็นเวลา 1 เดือน ก็หายจากโรค กลับมาเมืองไทย จึงตั้งเป็น " มูลนิธิวรรณ " รับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งฟรี ! ปัจจุบันมีผู้มารับการรักษา 100 กว่าคน อยู่ที่ อ.แม่สอด ห่างจาก จ.ตาก 100 กม.

วิธีการรักษามะเร็ง แบบธรรมชาติง่ายๆ 4 ข้อ มีดังนี้

1.จิตใจ ต้องสู้

2.อาหาร งดเว้นเนื้อสัตว์ ( รับประทานปลาได้ ) แล้วหันมารับประทานอาหารที่ไม่ส่งเสริมการเติบโตของเซลมะเร็ง ซึ่งมี 15 ชนิด ดังนี้

2.1 ธัญพืช 5 ชนิด คือ ข้าวกล้อง, ข้าวม้ง, ข้าวบาเล่ย์, ข้าวสาลี, และลูกเดือย นำมาหุงด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้า

2.2 ผักผลไม้ 10 ชนิด ได้แก่ หอมหัวใหญ่, มันฝรั่ง หรือมันเทศ, กล้วยน้ำว้าสุก 8 ผล / วัน, ฟักทอง, ข้าวโพดหวาน, ยอดแค, ถั่วพู ( 2 ชนิดนี้ห้ามขาด ), บลอคโคลี่ หรือดอกกะหล่ำ, ถั่วหวาน และคะน้าฮ่องกง ( ผักผลไม้ 5 ชนิด แรกให้ปรุงโดยวิธีนึ่ง ) นำทั้ง 10 ชนิด หั่นเป็นชิ้นๆ นำมาเข้าเครื่องปั่นแบบไม่ต้องละเอียดมาก เพื่อให้กระเพาะอาหารทำหน้าที่ย่อย จากนั้นนำมารับประทานหนัก 1 กก. / วัน กับธัญพืช


3. อาบน้ำร้อนสลับน้ำเย็น หรือน้ำเย็นสลับน้ำร้อนอย่างละ 2 นาที รวมเวลา 10 นาที 1 ครั้ง / วัน เตรียมน้ำร้อน โดยใช้เครื่องทำน้ำร้อน เตรียมน้ำเย็นโดยหาถังน้ำใส่น้ำแข็ง แล้วอาบร้อนจัด และเย็นจัด เท่าที่ร่างกายทนได้ ภูมิต้านทานโรคทั้ง 2 จำพวก จะถูกกระตุ้นขึ้นมาทำหน้าที่อย่างแข็งขัน

4.การออกกำลังกาย เดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ ประมาณ 45 นาที / วัน

ง่ายไหมครับ ... ถ้าเพื่อนสนใจ สามารถเขียนจดหมายติดต่อขอรับธัญพืช ปลอดสารพิษจากไร่ที่ อ.แม่สอด ได้ฟรี ! ตามที่อยู่นี้ :

“ มูลนิธิวรรณ ” เลขที่ 3 / 681 ประชานิเวศน์ ถ.เทศบาลนิมิตเหนือ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. โทรศัพท์มือถือ พ่อเลี้ยงวรรณ 086-788-6222
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #43 เมื่อ: 07 มีนาคม 2551, 20:08:17 »

อันตรายจากก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก และเส้นหมี่

เพลินจันทร์ - อักษร 16 ... ส่งมา

ถ้ารับประทานมากๆ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตับ และโรคไตสูง ผลวิจัยชี้เส้นก๋วยเตี๋ยวมหาภัยเติมสารกันบูดเกินมาตรฐานอื้อ โดยเฉพาะเส้นเล็ก และเส้นหมีี่ เสีี่ยงตับไตพัง เผยบะหมีี่เหลือง-วุ้นเส้นปลอดภัยกว่า่ แนะผู้ประกอบการอย่าโลภผลิตขายข้ามจังหวัด จนต้องใส่สารกันบูดจำนวนมาก

ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่คนไทยนิยมบริโภค และเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด ทำให้มีการแข่งขันทางการตลาดสูง เส้นก๋วยเตี๋ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นเส้นสดที่ค้างหลายวันไม่ได้ ผู้ประกอบการมีการเติมสารกับูด หรือสารกันเสียเพื่อยืดอายุเส้นก๋วยเตี๋ยว ทำให้ยืดระยะเวลาการจำหน่าย ซึ่งสารกันบูดที่นิยมใช้คือ กรดเบนโซอิก และกรดซอร์บิก ถ้าร่างกายได้รับปริมาณสูง เป็นเวลานาน จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตลดลง

ดังนั้นคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานอาหารสากล ( Codex ) ได้กำหนดให้ใช้กรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ผลการตรวจวิเคราะห์พบปริมาณกรดเบนโซอิกตั้งแต่ 1,079-17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และเมื่อเทียบกับปริมาณที่กำหนดกรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวตามมาตรฐานสากลโดย :

ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
เส้นหมี่ 7,825 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ก๋วยจั๊บเส้นใหญ่ 7,358 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ก๋วยจั๊บเส้นเล็ก 6,305 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
บะหมี่โซบะ 4,593 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 4,230 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานีกล่าวว่า จากผลวิจัยดังกล่าวทำให้ความเชื่อเดิมที่คิดว่าเส้นหมี่ซึ่งมีลักษณะแห้ง จะมีวัตถุกันเสียน้อย แต่จะพบมากในเส้นใหญ่ที่มีความชื้นสูงนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่ากลับมีการใส่วัตถุกันเสียมากเป็นอันดับ 2 รองจากเส้นเล็ก ส่วนเส้นที่ไม่พบสารเลยคือ เส้นบะหมี่เหลือง เพราะผลิตจากแป้งสาลี ส่วนเส้นอื่นๆ จะผลิตจากแป้งข้าวเจ้าที่มีความชื้นสูง ทำให้ราขึ้นง่าย จึงมีการใส่วัตถุกันเสีย ขณะที่วุ้นเส้นไม่มีปัญหาเช่นกัน


ที่มา : นสพ. คมชัดลึก 28 สิงหาคม 2550
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #44 เมื่อ: 15 มีนาคม 2551, 06:26:14 »

วิ ธี ก า ร กำ จั ด แ ม ล ง ส า บ แ บ บ บ้ า น ๆ ... ( เน้นประหยัด และง่าย )

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

สืบเนื่องจากที่ผมเพิ่งล้างป่าช้าแมลงสาบไปเมื่อวันก่อน วิธีการง่ายมากๆ เลยอยากเอามาแชร์ไห้เพื่อนๆ ได้ทราบวิธีการกันครับ เผื่อใครจะอยากลองนำวิธีนี้ไปใช้บ้าง

อุปกรณ์ที่ต้องใช้
1. ขวดเฮลส์บลูบอยที่หมดแล้ว 1 - 2 ขวด
2. น้ำมันหมู

วิธีทำ
1. เทน้ำมันหมูลงในขวดเฮลส์บลูบอย แล้วเอียงขวดไปมา ให้น้ำมันหมูเกาะทั่วขวด
2. เอาน้ำมันหมูป้ายขอบในคอขวด กะให้กำลังลื่นพองาม
3. เอาไปตั้งไว้กลางห้องครัว หรือ แหล่งชุมนุมแมงสาบ ( เฉพาะจุดที่พบบ่อยๆ )
4. ทิ้งเอาไว้ประมาณ 8 ชม. แนะนำให้ตั้งไว้ก่อนนอน
5. ตื่นมาตอนเช้า อย่าตกใจนะ แมลงสาบจะยั่วเยี๊ยไปทั้งขวด แต่ออกมาไม่ได้ เด็กและสตรีที่กลัวแมลงสาบไม่ควรทำ เพราะอาจจะตกใจตายได้
6. เอาฝาเฮลส์บลูบอยปิดไว้ แล้วฝากให้รถขยะพาแมงสาบไปเที่ยว

1 - 2 สัปดาห์ต่อครั้ง ผมล้างป่าช้าได้ทีละเกือบ 30 ตัว ม่ายรู้จะโหดไปป่าวนะ ... แต่ได้ผลกว่าพวกยาอันตรายทั่วไปอ่ะครับ

หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับคนที่ไม่อยากเลี้ยงแมงสาบแล้ว แต่จะเอาไปปล่อยวัดก็ไม่ได้ ( ไล่จับไม่ทัน )


CREDIT : คุณ ircthai จาก www.maplehack
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #45 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2551, 15:02:27 »

เคล็ดลับความงาม ทำให้ดูสาว และสวยตลอดไป

จิ๋ม-จงรักษ์ - อักษร 16 ... ส่งมา

เมื่อเร็วๆ นี้มีคุณยายท่านหนึ่ง ถ้าดูตามอายุต้องเรียกท่านว่า " คุณยาย " เพราะอายุท่านเกิน 70 ปีแล้ว แต่ถ้าดูหน้าตา ผิวพรรณ อยากเรียกท่านว่า " คุณพี่ " มากกว่า เพราะดูยังไงก็ไม่เกิน 50 ปีค่ะ ท่านมาทำฟันที่คลินิกทันตกรรมพาณิชย์ธน ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 13

หลังจากทำฟันเสร็จแล้ว ได้สนทนากับท่านเพราะหมอสงสัยมากว่า ทำไมอายุท่านมากแล้ว แต่ดูไม่แก่ตามวัย ท่านบอกหมอว่า ให้นอนเอาศีรษะห้อยลงเล็กน้อยวันละ 10 นาทีทุกวัน เพื่อให้เลือดมาหล่อเลี้ยงศีรษะ และใบหน้า วิธีการ ( ไม่ได้นอนเอาหัวห้อยแบบค้างคาวนะคะ ) แต่นอนราบบนเตียง ไม่หนุนหมอน แล้วยื่นศีรษะให้เลยขอบเตียง ให้ห้อยจากขอบเตียงเล็กน้อย ทำทุกวันอย่าให้เกิน 10 นาที

หมอฟังคำแนะนำจากท่านแล้ว เห็นว่ามีเหตุมีผล เพราะถ้าเรานอนห้อยศีรษะนิดๆ จะทำให้เลือดมาเลี้ยงใบหน้า ทำให้ผิวพรรณที่ใบหน้าเต่งตึง ไม่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น และสมองก็ได้เลือดมาเลี้ยงด้วย โอกาสเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาติ ก็ไม่มีค่ะ

คุณยาย ( อยากเรียก คุณพี่ มากกว่า ) ยังแนะนำต่อว่า ให้ทานผัก และ ผลไม้เป็นประจำด้วย ตอนนี้หมอได้นำเคล็ดลับของคุณยายมาปฎิบัติแล้วค่ะ ก่อนนอนทุกคืน หมอจะทำอย่างที่คุณยายแนะนำ คือนอนราบไม่หนุนหมอน และห้อยศีรษะเล็กน้อยไม่เกิน10 นาที เท่าที่ปฎิบัติมาเกือบเดือน รู้สีกว่าหน้าตา ผิวพรรณดีขึ้นมากค่ะ เจอเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันยังทักว่า ทำไมหมอดูสวยจัง
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #46 เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2551, 00:25:02 »

น้ำมันพืช

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา



น้ำมันพืช คือ ผลิตภัณฑ์น้ำมันที่สกัดได้จากพืช ส่วนใหญ่นำมาใช้ประกอบอาหาร มี 2 ประเภทหลัก ๆ

1. น้ำมันพืช ทุกชนิดไม่มีคลอเลสเตอรอล
2. น้ำมันจากไขมันสัตว์ มีคลอเลสเตอรอล

น้ำมันที่ดี : ได้แก่น้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัว ( unsaturated fatty acid ) สูง หรือมีไขมันอิ่มตัว ( saturated fatty acid ) ต่ำ เช่น น้ำมันข้าวโพด คาโนลา มะกอก ถั่วเหลือง ทานตะวัน ฯลฯ

น้ำมันกลุ่มดีพิเศษ : น้ำมันพืชที่มีไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว ( monounsaturated fatty acid / MUFA ) สูงจัดเป็นน้ำมันชนิด " ดีพิเศษ ( especially good ) " เช่น น้ำมันคาโนลา น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่ว ( peanut oil ) ฯลฯ น้ำมันเหล่านี้ช่วยลดโคเลสเตอรอลชนิดร้าย ( LDL ) ซึ่งนำขยะ ( คราบไขมัน ) ไปทิ้งไว้ตามผนังเส้นเลือด และเพิ่มโคเลสเตอรอลชนิดดี ( HDL ) ซึ่งช่วยทำความสะอาด หรือเก็บขยะ ( คราบไขมัน ) จากผนังเส้นเลือด

น้ำมันกลุ่มดีปานกลาง : น้ำมันพืชที่มีไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ( polyunsaturated fatty acid / PUFA ) สูงจัดเป็นน้ำมันชนิด " ดีปานกลาง ( generally healthful ) " เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง ฯลฯ ถ้าใช้น้ำมันกลุ่มนี้แต่น้อยละลดโคเลสเตอรอลชนิดร้าย ( LDL ) แต่ถ้าใช้มากจะลดโคเลสเตอรอลทั้งชนิดดี ( HDL ) และชนิดร้าย ( LDL ) จึงควรใช้แต่น้อย

น้ำมันกลุ่มร้าย : " กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง ( oil to avoid ) " ได้แก่ น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัว ( saturated fatty acid / SFA ) หรือไขมันทรานส์ ( transfatty acid / TFA ) สูง เนื่องจากทำให้โคเลสเตอรอลชนิดร้าย ( LDL ) เพิ่มขึ้น และทำให้โคเลสเตอรอลชนิดดี ( HDL ) ลดลง ตัวอย่างเช่น น้ำมันจากสัตว์ที่ไม่ใช่ปลา น้ำมันปาล์ม กะทิ ไขมันนม เนยแข็ง ช็อทเทนนิ่ง ( shortening ) หรือเนยเทียมที่ใช้ผสมในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่หรือขนมปัง ครีมเทียม ( เช่น คอฟฟี่เมต ฯลฯ )

สรุป น้ำมันพืชที่ดีส่วนใหญ่เป็นน้ำมันพืชที่ไม่ใช่น้ำมันปาล์ม และกะทิ ควรกินปลาทะเลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ได้น้ำมันปลาซึ่งเป็นน้ำมันที่ดีมากเป็นพิเศษ แนะนำให้กินนม โยเกิร์ต และนมเปรี้ยวชนิดไม่มีไขมัน ( nonfat ) หรือไขมันต่ำ ( low fat ) แทนชนิดไขมันเต็มส่วน ( full cream milk ) เนื่องจากนมชนิดไขมันเต็มส่วนหรือนมจืดมีไขมันอิ่มตัวสูงมาก การใช้น้ำมันให้ได้ผลดีควรเลือกชนิดที่มี่ไขมันอิ่มตัวต่ำ และควรใช้แต่น้อย


ปัจจุบันน้ำมันพืชมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันมาก เนื่องจากคุณแม่บ้านส่วนใหญ่เลือกใช้น้ำมันพืชเป็นหลักในการประกอบอาหาร เนื่องจากหาซื้อได้สะดวกกว่าน้ำมันหมู ที่เคยใช้รับประทานมาแต่เก่าก่อน และยังมีคุณค่ามากกว่า ท่านผู้อ่านอาจจะเคยทราบว่าน้ำมันพืชมีประโยชน์กว่าน้ำมันหมู แต่ท่านจะทราบหรือไม่ว่า น้ำมันพืชนั้นมีอยู่หลายชนิด แต่ละชนิด มีข้อดี ข้อเสียต่างกัน หากเราเลือกใช้อย่างเหมาะสม ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง คือได้ทั้งอาหารที่อร่อย ปลอดภัย และป้องกันโรคได้ด้วย

น้ำมันพืชที่มีขายในท้องตลาด มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่เป็นไข เมื่อนำไปแช่ตู้เย็น หรือ เมื่ออากาศเย็น ชนิดที่ไม่เป็นไขในที่เย็น ทั้ง 2 ชนิดนี้มีข้อดี ข้อเสียต่างกัน และควรจะเลือกใช้ต่างกันดังนี้

น้ำมันพืชชนิดที่เป็นไข จะประกอบไปด้วยไขมันชนิดอิ่มตัว อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งไขมันชนิดอิ่มตัว เป็นไขมันที่อยู่ในไขมันสัตว์, ไขมันจากมะพร้าว และน้ำมันปาลม์ มีคุณสมบัติที่เป็นไขได้ง่าย ย่อยยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กทารก จะย่อยได้ไม่ดีนัก นอกจากนี้ยังทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูง แต่ก็มีข้อดี คือ น้ำมันชนิดนี้จะทนต่อความร้อน ความชื้นและออกซิเจน ไม่เหม็นหืน และเวลาที่ใช้ทอดอาหาร จะทำให้อาหารกรอบอร่อย น่ารับประทาน สามารถทอดอาหารได้นานๆ เพราะน้ำมันจะไม่ค่อยเสีย

น้ำมันชนิดที่ไม่เป็นไข ประกอบด้วย ไขมันชนิดไม่อิ่มตัวอยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่สูง ไขมันชนิดนี้ ย่อยง่าย ร่างกายนำไปใช้สร้างเซลต่างๆ จึงเหมาะสมกับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต และยังช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด ผู้ที่มีปัญหาโคเลสเตอรอลในเลือดสูงจึงควรเลือกใช้น้ำมันชนิดนี้ แต่ข้อเสียของน้ำมันชนิดนี้คือ เมื่อถูกทำลายจะกลายเป็นสารโพลาร์ ซึ่งทำให้น้ำมันเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และมีกลิ่นเหม็นหืน ซึ่งสารโพลาร์เหล่านี้ อาจทำให้เกิดโรคหัวใจจากเส้นเลือดหัวใจตีบตัน อาจจะทำให้เป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร ทำให้ตับเสื่อมได้ อย่างไรก็ตามผลที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เป็นเพียงผลที่เกิดในสัตว์ทดลอง ส่วนในคนยังไม่มีหลักฐานใดๆ ว่าสารโพลาร์จากไขมันไม่อิ่มตัวที่ถูกความร้อนสูง จะทำให้เกิดโรคเหมือนในสัตว์ทดลองเลย

ดังนั้นการเลือกใช้น้ำมันจึงขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร ซึ่งถ้าเป็นอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูงอยู่นานๆ เช่นการทอดปลาทั้งตัว, ไก่, หมู หรือเนื้อชิ้นใหญ่ๆ ที่ต้องใช้เวลานาน ควรเลือกน้ำมันชนิดเป็นไข เพื่อให้ได้อาหารที่รสชาติดี กรอบอร่อย ส่วนการผัด หรือทอดเนื้อชนิดบางๆ เช่นหมูแฮม ควรใช้น้ำมันชนิดไม่เป็นไข เพราะร่างกายจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ดี นอกจากนี้น้ำมันที่ใช้ทอดอาหารไม่ควรใช้ซ้ำบ่อยๆ เพราะน้ำมันที่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลมักจะมีสารโพลาร์อยู่มาก อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ สำหรับทารก และเด็กในวัยที่กำลังเจริญเติบโต ควรประกอบอาหารโดยใช้น้ำมันชนิดไม่เป็นไข ซึ่งช่วยทำให้เด็กเจริญเติบโตได้ดี

การเก็บน้ำมันชนิดที่ไม่เป็นไขให้ใช้ได้นานๆ โดยไม่เหม็นหืนนั้น ควรเก็บในที่มืด และเย็น หากตั้งไว้ในที่ๆ ถูกแสงแดดน้ำมันจะเสียเร็ว


สรุป : การเลือกใช้น้ำมันขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร และผู้รับประทาน ถ้าชนิดของอาหารเป็นชนิดที่ต้องใช้เวลาทอดนาน ควรเลือกน้ำมันที่เป็นไข แต่ถ้าเป็นอาหารที่ใช้เวลาทอดไม่นาน ควรใช้น้ำมันชนิดไม่เป็นไข สำหรับผู้รับประทาน ถ้าเป็นเด็ก ควรใช้น้ำมันที่ไม่เป็นไขเพื่อช่วยการเจริญเติบโต ส่วนผู้ใหญ่ที่ไม่มีปัญหาไขมันในเลือดสูง เลือกใช้น้ำมันชนิดใดก็ได้ ส่วนผู้ใหญ่ที่มีปัญหาไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูง ควรใช้น้ำมันชนิดที่ไม่เป็นไข หากต้องการรับประทานอาหารที่ทอดด้วยน้ำมันที่เป็นไข ต้องรับประทานในปริมาณที่น้อยๆ จึงจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ข้อมูลจาก : โรงพยาบาลรามคำแหง


ประเภทน้ำมัน

ความแตกต่างของน้ำมันแต่ละประเภท ควรเลือกซื้อเพื่อนำไปใช้ให้ได้ประโยชน์ และถูกต้องตามความต้องการ

น้ำมันมะกอก ( Olive Oil ) เป็นน้ำมันที่อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว วิตามินเอ เบตา-แคโรทีน และสารต้านอนุมูลอิสระที่ให้ผลดีต่อร่างกายหลายประการ เช่น ช่วยป้องกันการเกิดของหลอดเลือดแดงแข็งตัว ช่วยให้การหมุนเวียนของโลหืตดีขึ้น อีกทั้งยังป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย เส้นเลือดในสมองแตก นอกจากนี้ยังช่วยมห้ระบบการทำงานของส่วนต่างๆ ในร่างกายดีขึ้น ทั้งกระเพาะอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ ตับ และถุงน้ำดี ส่วนวิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกจะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ป้องกันโรคผิวหนัง และลดริ้วรอยเหี่ยวย่น สำหรับผู้สูงอายุที่มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก หากรับประทานน้ำมันมะกอกเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน และช่วยให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุ และแคงเซียมได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีกรดไขมันที่ช่วยต่อต้านการก่อตัวของติ่งเนื้อในอวัยวะต่างๆ ที่เรียกว่ามะเร็งได้อีกด้วย แต่ในเรื่องของราคานั้น น้ำมันมะกอกจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าน้ำมันทั่วๆ ไป ซึ่งจะขายกันอยู่ที่ 150-400 บาท ต่อ 1,000 มิลลิลิตร

น้ำมันงา ( Sesame Oil ) เป็นน้ำมันพืชที่หลายเป็นเทศนิยมนำมาใช้ในการปรุงอาหาร โดยเฉพาะชาวจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี จะใช้น้ำมันงาเป็นส่วนผสมของอาหาร น้ำมันงาบริสุทธิ์จะมีรสฝาดร้อนแต่ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน เนื่องจากมีสาร " เซซามอล " ( Sesamol ) ซึ่งเป็นสารกันหืนอยู่ในตัวมันเอง ในทางการแพทย์จึงใช้สารชนิดนี้ไปเป็นส่วนประกอบของยาเพื่อลดความดันโลหิต ชะลอความแก่ และลดการแพร่กระจายของเซลมะเร็ง นอกจากสารเซซามอลแล้ว ยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงเมื่อเทียบกับน้ำมันชนิดอื่นๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัวอันเป็ยเหตุของโรคหัวใจขาดเลือดแล้ว ยังมีกรดไขมันไลโนเลอิกที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต ช่วยควบคุม และลดคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันการเป็นโรคหัวใจ โรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดบาชนิด ทั้งยังให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ส่วนเรื่องราคานั้นน้ำมันงาจะขายอยู่ที่ราคาประมาณ 50-250 บาท ต่อ 1,000 มิลลิกรัม

น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน ( Sunflower Oil ) ในเมล็ดดอกทานตะวันนั้นอุดมไปด้วยน้ำมัน และวิตามินอี น้ำมันที่ได้จากเมล็ดทานตะวันจะมีกรดไลโนเลอิกสูงถึง 44-75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีความจำเป็นต่อร่างกาย สามารถป้องกันการแข็งตัวของเลือดในหลอดเลือด ป้องกันโรคฆลอดเลือดหัวใจ ส่วนวิตามินอีจะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คอยดักจับ และทำลายของเสียที่จะมาทำลายเซลล์ต่างๆ ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง ลดไขมันในเส้นเลือ ป้องกันการเกิดมะเร็ง บำรุงสายตา ป้องกันการเป็นหมัน การแท้ง และป้องกันเนื้อเยื่อปอดถูกทำลายจากอากาศ นอกจากนี้ยังมีกรดไขมัน CLA ( Conjugated Acid ) คือกรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ มีประโยชน์ในการเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเพิ่มโฮโมนที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่ข่วยในการเผาผลาญไขมันสะสมมาใข้เป็นพลังงานอย่างเต็มที่ พร้องทั้งลดปริมาณการเกิดไขมันสะสมที่จะเกิดใหม่ด้วย ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 40-50 บาท ต่อ 1,000 มิลลิกรัม

น้ำมันรำข้าว ( Ricec Bran Oil ) มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี๋ยวสูงถึง 44 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณกรดไขมันทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี และเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี และด้วยปริมาณกรดไขมันที่สมดุลนี้เอง องค์การอนามัยโลก สมาคมโดรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา และองค์การอาหารและเกษตรแห่สหประชาชาติจึงแนะนำว่า เป็นน้ำมันที่เหมาะต่อการบริโภค นอกจากกรดไขมันแลวยังมีวิตามิน และสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายอีกหลายชนิด ทั้งวิตามินอี โอรีซานอล โทโคไตรอีนอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกายอีกด้วย น้ำมันรำข้าวนั้นสามารถหาซื้อได้ทั่วไป ราคาอยู่ที่ 30-40 บาท ต่อขวด ( 1,000 มิลลิลิตร )

น้ำมันดอกคำฝอย ( Safflower Oil ) ประกอบด้วยเบตา-แคโทรีน กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหลายชนิดในปริมาณสูง ( ประมาณร้อยละ 74 ) เช่น กรดไลโนเลอิก กรดไลโนลิก ( Linolic Acid ) และกรดโอเลอิก เป็นต้น จึงทำให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำลง จากผลการวิจัยพบว่า น้ำมันดอกคำฝอยช่วยให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดลดลงได้จริง ทั้งนี้เป็นเพราะกรดไลโนเลอิกทำปฏิกิริยากับคอเลสเตอรอลในเลือด กลายเป็นคอเลสเตอรอลไลโนเลเอท ( Linoleate Choloesterol ) และยังทำให้ฤทธิ์ของเอนไซม์ที่ใช้ในการสังเคราะห์กราดไขมันลดลงอีกด้วย และบางผลการวิจัยยังพบว่าน้ำมันดอกคำฝอยช่วยลดการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด และป้องกันการอุดตันในเลือดได้ นำมันดอกคำฝอยหาซื้อได้ตามซูเปอร์มาเก็ต ราคาขวดละ 250-300 บาท ต่อ 1,000 มิลลิลิตร

น้ำมันถั่วเหลือง ( Soybean Oil ) น้ำมันถั่วเหลืองนับว่ามีความสำคัญ เพราะเป็นน้ำมันที่คุณภาพดี มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งช่วยลดคอเสเตอรอลไม่ดีได้ ยิ่งกว่านั้นในเมล็ดถั่วเหลืองยังมีโปรตีนสูง นิยมใช้ในการปรุงอาหาร ทำน้ำมันสกัด และเนยเทียม หาซื้อได้ทั่วไปราคาถูก ขวดละ 35-40 บาท

น้ำมันปาล์ม ( Palm Oil ) สกัดจากเปลือกเมล็ดปาล์ม จากนั้นนำมาผ่านกระบวนการการแยกกรดไขมันอิ่มตัวออกบางส่วน น้ำมันที่ได้จึงมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีประโยชน์สูง กรดไขมันอิ่มตัว 48 เปอร์เซ็นต์ กรดไขมันไม่อิ่มตัว 38 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันชนิดนี้เหมาะกับการทอดอาหารสำเร็จรูป ปรุงอาหาร และผลิตมาการีน ราคาขวดละ 25-30 บาท

น้ำมันถั่วลิสง ( Peanut Oil ) มีกลิ่นถั่ว ( Nutty Flavour ) กรดโอเลอิก และไลโนเลอิกสูงถึงร้อยละ 50-55 ของกรดไขมันทั้งหมด ในบ้านเราหาซื้อยาก เพราะไม่เป็นที่นิยมนำมาใช้ในการประกอบอาหารเนื่องจากมีกลิ่น แต่มักใช้ในการปรุงอาหารจีน อาหารอินเดีย เรื่องราคานั้นค่อนข้างสูง เพราะต้องนำเข้าจากประเทศผู้ผลิตโดยตรง

การเลือกน้ำมันมาใช้ปรุงอาหารให้เหมาะสม มีหลักการง่ายๆ ถ้าเป็นน้ำมันมะกอกชนิดรสอ่อน ( Mild ) เหมาะที่จะใช้รับประทานสดๆ หรือใช้ทำสลัด ทอดไข่ ทำมายองเนส และอบอาหารต่างๆ ส่วนน้ำมันมะกอกรสกลางๆ ( Medium Fruity-Flavoured ) จะช่วยเพิ่มรสชาติของสลัดให้น่ากินยิ่งขึ้น ส่วนน้ำมันมะกอกรสเข้ม ( Strong Fruity-Flavoured ) เหมาะสำหรับทอด ผัด เคี่ยว ตุ๋น และน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ( Extra Virgin Olive Oil ) เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปรุงสลัด และทาขนมปัง

หากจะใช้น้ำมันเป็นส่วนผสมของน้ำสลัดต้องเลือกน้ำมันที่ไม่แข็งตัวในอุณหภูมิต่ำ ( ประมาณ5-10 องศาเซลเซียส ) โดยเลือกน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่นน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด หากต้องการทอดอาหารโดยใช้น้ำมันน้อยๆ ให้ใช้น้ำมันพืชชนิดใดก็ได้ แต่ถ้าต้องการทอดอาหารที่ต้องใช้น้ำมันปริมาณมากๆ ใช้ความร้อนสูง ( Deep Frying ) เช่น การทอดไก่ กล้วยแขก โดนัท ไม่ควรใช้น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงนัก แต่ควรใช้น้ำมันปาล์ม เพราะให้ความร้อนเร็วกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ และที่สำคัญในการทอดอาหารนั้น ไม่ควรนำน้ำมันที่ผ่านการทอดมาแล้วกลับมาใช้ใหม่ เพราะน้ำมันที่ผ่านการทอดแล้วนั้นจะมีกรดไขมันอิสระเพิ่มขึ้น และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงเกินไป ทำให้มีควันมาก เหม็นหืน มีความหนืดมากขึ้น และทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพในภายหลังได้


การเลือกน้ำมันเพื่อนำมาใช้ในการปรุงอาหารให้ถูกประเภทนั้น นอกจากจะทำให้รสชาติของอาหารอร่อยแล้ว แถมสุขภาพยังดีในเวลาเดียวกันอีกด้วย
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #47 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2551, 04:05:39 »

ทุเรียน พันธุ์หมอนทอง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระดีกว่า

นายสัตวแพทย์ สากล  16... ส่งมา

ทุเรียน พันธุ์หมอนทอง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระดีกว่า ชะนี และ ก้านยาว

ขณะนี้มีเรื่องที่น่ายินดีที่จะทำให้คนที่บริโภคทุเรียนได้สบายใจขึ้น เพราะทุเรียนไม่ได้มีแต่เพียงความอร่อยอย่างเดียว รศ.ดร.ระติพร หาเรือนกิจ , รศ.ดร.สุมิตรา ภู่วโรดม จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกับ Professor Dr.Shela Gorinstein จากมหาวิทยาลัยฮิบบรู และคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยการเกษตรวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ได้ทำการศึกษาเชิงลึกของประโยชน์จากทุเรียน พบว่ามีส่วนในการลดไขมันในเส้นเลือดในห้องปฏิบัติการ และเมื่อทดลองกับหนูพบว่าทุเรียนมีสารโพลีฟีนอล และสารฟลาโวนอยด์ ในปริมาณสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น โดยสารทั้ง 2 ชนิดนี้มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ จากงานทดลองพบว่า ทุเรียนที่มีความสุกพอดีจะมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าทุเรียนดิบ หรือทุเรียนที่สุกเกินไป ( ที่เรียกกันทั่วไปว่าทุเรียนปลาร้า ) และยังพบว่าทุเรียน พันธุ์หมอนทอง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระดีกว่า พันธุ์ชะนี และ พันธุ์ก้านยาว นอกจากนั้นเมื่อมีการตรวจวิเคราะห์ แร่ธาตุอาหารที่มีอยู่ในเนื้อทุเรียน อ.สุมิตรา บอกว่า ทุเรียนมีปริมาณเส้นใยอาหาร และธาตุเหล็กสูงมาก ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เมื่อมีการเปรียบเทียบทุเรียนพันธุ์หมอนทองกับผลไม้เมืองร้อนชนิดอื่น พบว่ามีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าสละ , มังคุด , ลิ้นจี่ , ฝรั่ง และมะม่วงสุก ตามลำดับ

คณะผู้วิจัยยังได้นำทุเรียนไปเลี้ยงหนูทดลอง ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่พิสูจน์ว่าทุเรียนมีดีจริงไม่ใช่ เพียงข้อมูลในห้องปฏิบัติการเท่านั้น จากการเลี้ยงหนูทดลองด้วยอาหารที่ผสมทุเรียนกับคอเลสเตอรอล พบว่าหนูทดลองที่ได้รับทุเรียนหมอนทองในอาหาร สามารถลดสารคอเลสเตอรอลทั้งหมดได้ 16% และลด LDL คอเรสเตอรอลได้ถึง 31.3% เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับอาหารที่มีคอเลสเตอรอลผสมอย่างเดียว จากการทดลองในครั้งนี้ทำให้พบว่า ถึงแม้ว่าในเนื้อทุเรียนจะมีปริมาณไขมันมากแต่ส่วนใหญ่เป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

งานทดลองในครั้งนี้ทำให้เห็นว่าทุเรียนจัดเป็นผลไม้ไทยอีกชนิดหนึ่งทีสามารถบริโภคเป็นอาหาร และยา จัดเป็นผลไม้สุขภาพอีกชนิดหนึ่งของไทยแต่ควรจะบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ


ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่น

ถ้ากินตามเทคนิคของปู่ย่าตายายที่ตกทอดกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาล่ะก็รับรองผอมแน่ค่ะ ! นั่นคือให้กินทุเรียนแบบถือว่าเป็นยาถ่ายพยาธิ ไม่ใช่กินเอาอร่อยอย่างที่เรากินๆ กัน ตื่นนอนให้เช้าๆ หน่อย สักประมาณตี 5 ( เป็นเวลาที่ธาตุของเราเริ่มทำงาน ) หลังจากแปรงฟันล้างหน้าแล้วก็ทานทุเรียนได้เลย จะเลือกพันธุ์ไหนก็ได้ตามรสนิยม ให้ทานได้ประมาณครึ่งลูก คนอ้วนจะทานได้มากกว่านี้นิดหน่อย หลังจากทานแล้วดื่มน้ำอุ่นๆ ตามลง ไปด้วย หลังจากทานทุเรียนแล้ว ควรงดอาหารเช้าของวันนั้น ทานติดต่อกัน 2 วัน เส้นใย และความร้อนจากสารกำมะถันในทุเรียนจะไปชะล้างพยาธิ และสิ่งสกปรกต่างๆ ในลำไส้ออกมาจนหมด ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่นด้วย


ทุเรียนมีดีรอบด้าน ถึงกินแล้วจะร้อนในไปหน่อย แต่ความดีอย่างอื่นของทุเรียยนก็ยังมี แถมมีตั่งแต่ต้นจรดรากซะด้วยสิ ! ...

เนื้อ : เนื้อทุเรียนมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร้อน แต่ความร้อนนี้ล่ะจะช่วยแก้โรคผิวหนังได้ ทำให้ฝีหนองแห้งเร็ว และมีฤทธิ์ขับพยาธิได้ด้วย

เปลือก : ถ้าเอาเปลือกแหลมๆ ไปสับแช่ในน้ำปูนใส แล้วเอามาล้างแผลพุพอง แผลน้ำเหลืองเสีย แผลจะหายเร็ว หรือถ้าหากมีเด็กในบ้านเป็นคางทูม คนสมัยก่อนเขาก็จะเอาเปลือกทุเรียนไปเผาแล้วบดเป็นผง เอามาผสมกับน้ำมันงา หรือน้ำมันมะพร้าว แล้วเอามาพองที่คาง คางทูมก็จะยุบ

ใบทุเรียน : เอาใบทุเรียนไปต้มกับน้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาอาบ ความร้อนจะช่วย ให้หายไข้และโรคดีซ่านได้

ราก :ตัดเป็นข้อๆ ใส่หม้อต้มให้เดือด นำมาดื่มบรรเทาอาการไข้ และรักษาอาการท้องร่วงได้ดี

แต่ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามแล้วละก็ คุณอาจจะไม่เคยคิดเลยว่า ทุเรียนจะสามารถทำให้คุณสวยได้ .... วิธีการไม่ยากเลยเพียงแค่ .... นำเนื้อทุเรียนสุกพอห่ามๆ ไม่ต้องสุกมาก มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สักกำมือหนึ่ง ปั่นรวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อข้นๆ ทาไปเลยทั่วผิว เว้นรอบดวงตาและปาก หรือบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออก ธาตุกำมะถันในทุเรียนจะทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น

สรรพคุณมากมายอย่างนี้ คนที่ไม่ชอบทุเรียนอาจจะต้องหันกลับมาสนใจทุเรียนมากขึ้นแล้วล่ะ เพราะทุเรียนมีดีกว่าที่คิด จริงไหม !!! ....
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #48 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2551, 22:07:08 »

โรควุ้นในลูกตาเสื่อม ... คนเล่นคอมพ์ต้องอ่าน

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

คนที่เล่นคอมพ์เกือบทุกคน เป็นโรค " วุ้นในลูกตาเสื่อม " ตอนนี้ในประเทศไทยมีคนเป็นโรคนี้ถึง 14 ล้านคนแล้ว จากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์ ( นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้ คนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นจะมากขนาดไหน ? )



อาการก็คือ คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนหยากไย่ ลอยไปลอยมาเหมือนคราบที่ติดกระจก จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา ถ้าอาการมากกว่านั้นก็คือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา ( น่ากลัวมากๆ ) และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่ ?

สาเหตุของโรคนี้คือ " การใช้สายตามากเกินไป " ( เล่นคอมิวเตอร์ ) แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือคนที่มีอาชีพใช้ที่สายตามากๆ เช่น ช่างเจียระไนเพชรพลอย ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมาก เพราะเล่นเนต หรือ เล่นคอมพ์ ( คุณฟังไม่ผิดหรอก เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมาก เพราะเล่นคอมพ์นี่แหละ )

ถามว่าทำไมคนเล่นเนต เล่นคอมพ์ ถึงเป็นกันมาก ? ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต, เล่นเกมส์, อ่านไดอารี่, อ่านบทความ, อ่านหนังสือหรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนแต่ทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น เพราะว่าถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ " ระยะห่างระหว่างลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่ แน่นอน เพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอนกว่า กล้ามเนื้อ และประสาทตาจึงทำงานค่อนข้างคงที่ แต่ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่คมชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส ( เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป จอ LCD เราก็ต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือไม่ได้ติดอยู่ที่ผิวบนเหมือน อยู่บนแผ่นกระดาษ ) การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน

บวกกับ ลักษณะการอ่านหนังสือในคอมพ์นั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อที่จะอ่านบรรทัดด้านล่างได้ หรือไม่ก็ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ แต่การเลื่อนบรรทัดนี้ ไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษ ที่แขนกับคอเราจะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง หรือลูกกลิ้งบนม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ ( คุณสังเกตุดูได้ ) มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะจะต้องลากลูกตาเลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด บวกกับการพิมพ์ตัวหนังสือนั้น บางทีคุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้นพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จ คุณจะปวดตามากๆ ตัวอย่างเช่นกรณีเด็กนักศึกษาเร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ติดต่อกันข้ามคืน สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ

รวมทั้งเวลาการเปิดใช้โปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือ มักจะมีสีพื้นที่เป็นสีขาวสว่าง ( ที่นิยมก็คือ ตัวหนังสือสีดำบนพื้นสีขาว ) สีพื้นที่สว่างจ้านี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสง ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป หรือไม่ก็คนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อย ๆ มักจะมีการปรับแสงสว่าง เพราะเวลาเล่นเกมส์ ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ




ภาพแสดงจอประสาทตาที่หลุดลอกออกมา แยกชั้นออกจากส่วนหลังของลูกตา

สรุปก็คือ

1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก ทำให้สายตาเสีย

2. การเลื่อนตัวหนังสือ และแถบบรรทัดในจอคอมพ์ มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย

3. การก้มๆ เงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอมพ์ กลับไปกลับมา ทำให้สายตาเสีย

4. การปรับจอภาพที่มีแสงสว่างจ้ามากเกินไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้สายตาเสีย ( คล้ายๆ กับการเปิดดูทีวี ในห้องมืดๆ เป็นประจำ แล้วทำให้สายตาเสียนั่นเอง )

5. การใช้จอคอมพ์ที่มีความกว้างมากเกินไป จอคอมพ์กว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพ ดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ เพราะสายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต ( 12นิ้ว ) แต่จอคอมสมัยใหม่กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งมันกว้างเกิน
ระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่อีกขอบหนึ่ง ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา

ถามกลับไปว่า ทำไมกระดาษเอกสารที่ใช้ในการอ่านการเขียนทั่วไปจึงมีขนาด A4 ? คำตอบ ก็คือ ความกว้างของกระดาษ A4 ไม่กว้างเกินไป กำลังพอดีกับการกวาดสายตามอง และเป็นคำตอบเดียวกับที่ว่า ทำไมขนาดของจอคอมพ์ที่คุณใช้ จึงไม่ควรเกิน 15 นิ้ว นั่นเอง

ส่วนมากคนทั่วไปมักจะคิดไม่ถึงว่า การเล่นคอมพ์ทุกวันนั้น จะเป็นสาเหตุใหญ่ที่สามารถทำให้ตาบอดได้ ถ้าเกิดอาการรุนแรง เพราะกว่าจะรู้ตัวแล้วไปหาหมอ หมอก็อาจจะบอกว่าคุณไม่สามารถรักษาหายได้แล้ว และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น


******************
อ้างอิงจาก
http://www.fwdder.com/topic/9673

จัดทำโดย กลุ่มเผยแพร่และพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยี สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สพฐ.
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #49 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2551, 00:15:14 »

อันตรายถึงชีวิต ถ้าคิดบดยากิน

พี่วิวิธ - วิศวะ 07 ... ส่งมา

วันนี้มาว่ากันด้วยเรื่องการกินยาอีกครั้ง หลายคนคงเคยเจอปัญหาว่ายาเม็ดโตเกินไป จะเคี้ยวจะกลืนแต่ละทีก็แสนลำบาก อย่ากระนั้นเลย บดเสียก่อนกินน่าจะสะดวก แต่หารู้ไม่ว่าความสะดวกนั้นอาจทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เพราะมันมีผลต่อฤทธิ์ในการปล่อยยาสู่ร่างกาย

รายละเอียดของเรื่องนี้มาจากข่าวต่างประเทศที่ผู้เชี่ยวชาญในอังกฤษกล่าวเตือนว่า การบดยาเม็ดเพื่อให้ทานง่ายขึ้นอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายถึงชีวิต เพราะไปทำลายสารเคลือบเม็ดยาที่มีผลต่อการปล่อยยาในร่างกาย เภสัชกร และทนายความที่โน่นเปิดเผยว่า คนชราร้อยละ 60 มีปัญหาในการกลืนยา และมีงานวิจัยพบว่า พยาบาลตามสถานพยาบาลถึงร้อยละ 80 ใช้วิธีบดเม็ดยาเพื่อช่วยให้คนชรากลืนยาง่ายขึ้น

แต่ละปีมียาที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ และเกิดผลข้างเคียงทางลบประมาณ 75 ล้านชุด ยาที่ไม่ควรบด ได้แก่ ทาม็อกซิเฟน ที่ใช้รักษามะเร็งเต้านม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีมีครรภ์ ในขณะที่มอร์ฟีนไม่ควรบด เพราะอาจทำให้ยาถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเร็วถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต ส่วนไนเฟดิพีน ที่ใช้รักษา
ความดันโลหิตสูง หากบดจะทำให้มึนงง ปวดศีรษะ เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ หรือหลอดเลือดสมองได้

นอกจากนี้ ยาเม็ดยังมีสารเคลือบพิเศษที่ช่วยให้ยาถูกดูดซึมในเวลาที่นานขึ้น ผู้ป่วยจึงกินยาเพียงวันละ 1 เม็ด ไม่ต้องกินวันละหลายครั้ง หากยาถูกบดก็จะถูกดูดซึมเร็วกว่าที่ต้องการ ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนด้วยว่า แพทย์และพยาบาลจะถูกดำเนินคดี และตั้งข้อหาประมาทเลินเล่อ หากแนะนำให้ผู้ป่วยบดเม็ดยา หรือแกะแคปซูลที่หุ้มยาไว้ พร้อมแนะนำว่าแพทย์ควรสอบถามผู้ป่วยก่อนสั่งจ่ายยาว่า มีปัญหาในการกินยาเม็ดหรือไม่ เพื่อสั่งจ่ายยาในรูปแบบอื่นแทน เช่น ยาน้ำ แผ่นแปะ หรือยาที่ใช้สูดดม

สำหรับในเมืองไทย แม้ยังไม่มีข้อกำหนดเรื่องการดำเนินคดีเกี่ยวกับการบดเม็ดยาอย่างเมืองนอก ทางที่ดีผู้ป่วยควรใช้ความระมัดระวัง อย่าเสี่ยงบดยากินเอง เป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุดต่อชีวิตเราเอง
บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><