|
|
phraisohn
บักสน
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
บักสนแคมโบ้
ออฟไลน์
รุ่น: rcu89 (ปี 2549)
คณะ: วิทยาศาสตร์
กระทู้: 9,557
|
|
« ตอบ #77 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2551, 23:03:00 » |
|
พี่เจี๊ยบนำเรื่องราวดีๆมาฝากเยอะมากครับ ขอบคุณมากครับผม กำลังทยอยอ่านคับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #80 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2551, 20:06:33 » |
|
อ้าว ! คนโพสต์เขียนชื่อ " กวี " เกินมา 1 ตัวอักษรค่ะ ที่จริงคือ " วินทร์ เลียววาริณ " นะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #81 เมื่อ: 04 มกราคม 2552, 23:39:19 » |
|
The Wooden Bowl
รวิวรรณ - ถาปัด 16 ... ส่งมา
I guarantee you will remember the tale of the Wooden Bowl tomorrow, a week from now, a month from now, a year from now. A frail old man went to live with his son, daughter-in-law, and four-year-old grandson. The old man's hands trembled, his eyesight was blurred, and his step faltered.
The family ate together at the table. But the elderly grandfather's shaky hands and failing sight made eating difficult. Peas rolled off his spoon onto the floor. When he grasped the glass, milk spilled on the table cloth. The son and daughter-in-law became irritated with the mess. " We must do something about father," said the son. " I've had enough of his spilled milk, noisy eating, and food on the floor. "
So the husband and wife set a small table in the corner. There, Grandfather ate alone while the rest of the family enjoyed dinner. Since Grandfather had broken a dish or two, his food was served in a wooden bowl. When the family glanced in Grandfather's direction, sometimes he had a tear in his eye as he sat alone. Still, the only words the couple had for him were sharp admonitions when he dropped a fork or spilled food. The four-year-old watched it all in silence.
One evening before supper, the father noticed his son playing with wood scraps on the floor. He asked the child sweetly, " What are you making ? " Just as sweetly, the boy responded, " Oh, I am making a little bowl for you and Mama to eat your food in when I grow up. " The four-year-old smiled and went back to work. The words so struck the parents so that they were speechless. Then tears started to stream down their cheeks. Though no word was spoken, both knew what must be done.
That evening the husband took Grandfather's hand and gently led him back to the family table. For the remainder of his days he ate every meal with the family. And for some reason, neither husband nor wife seemed to care any longer when a fork was dropped, milk spilled, or the tablecloth soiled.
On a positive note, I've learned that, no matter what happens, how bad it seems today, life does go on, and it will be better tomorrow.
I've learned that you can tell a lot about a person by the way he/she handles four things : a rainy day, the elderly, lost luggage, and tangled Christmas tree lights.
I've learned that, regardless of your relationship with your parents, you'll miss them when they're gone from your life.
I've learned that making a " living " is not the same thing as making a " life "
I've learned that life sometimes gives you a second chance.
I've learned that you shouldn't go through life with a catcher's mitt on both hands. You need to be able to throw something back.
I've learned that if you pursue happiness, it will elude you. But, if you focus on your family, your friends, the needs of others, your work and doing the very best you can, happiness will find you.
I've learned that whenever I decide something with an open heart, I usually make the right decision.
I've learned that even when I have pains, I don't have to be one.
I've learned that every day, you should reach out and touch someone. People love that human touch : holding hands, a warm hug, or just a friendly pat on the back.
I've learned that I still have a lot to learn.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #82 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2552, 03:11:16 » |
|
ความสุข ๒ ชั้น ( ธรรมะเดลิเวอรี่ ) พรชัย - นิติ 16 ... ส่งมาโดยพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต
อาตมาอ่านเจอกลอนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่ผู้เขียนระบายไว้ได้สาแก่ใจมากเลย เร็ว ก็หาว่าล้ำหน้า ช้า ก็หาว่าอืดอาด โง่ ก็ถูกตวาด พอฉลาด ก็ถูกระแวง ทำก่อน บอกไม่ได้สั่ง ทำทีหลัง บอกไม่มีหัวคิด เฮ้อ นี่แหละชีวิตคนทำงาน ข้างต้น น่าจะเป็นกลอนที่โดนใจบรรดาคนทำงานหลายๆ คน เพราะสะท้อนความรู้สึกกดดันอย่างชัดเจน ซึ่งจากการได้พูดคุยกับโยมที่เข้ามาปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่ทำงานกันอย่างไม่มีความสุข ก็มีปัจจัยมากมาย เช่น ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด ทำงานที่ไม่ชอบ โดนหัวหน้างานกดขี่ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายนั้นต่ำต้อย ฯลฯ โดยจะว่าไปแล้ว บริษัทก็เหมือนกับบ้านหลังที่สองของเรา บางคนใช้ชีวิตในบริษัทมากกว่าที่บ้านซะอีก เพราะต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กลับถึงบ้านก็ ๒-๓ ทุ่ม วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง หากต้องใช้ชีวิตในการทำงาน (รวมนั่งรถไป-กลับ) วันละ ๑๐ กว่าชั่วโมงแล้ว ถ้าโยมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากๆ
อาตมาชอบใจคุณยามที่บริษัทแห่งหนึ่งมาก เคยถามเขาว่า ไม่เบื่อเหรอ เปิดประตูทั้งวัน เขาตอบกลับอย่างฉะฉานว่า
' ไม่เบื่อหรอกครับท่าน เพราะคนจะเข้าไปที่นี่ได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เปิดประตู ไม่อนุญาตหรือบอกไม่ให้เข้า เขาก็ไม่ได้เข้านะ อย่างพระอาจารย์มาบรรยายที่นี่ ผมไม่ให้เข้าก็ได้ ... แต่ผมให้เข้าครับ' ( แล้วไป )
อาตมาจึงไม่แปลกใจเลย เวลาไปทำธุระที่บริษัทนี้ทีไร มักเห็นเจ้าหมอนี่ ทำหน้าที่ตัวเองอย่างกระตือรือร้น ก็เพราะเขามีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ เห็นความสำคัญของตัวเอง จึงทำให้เขาทำงานได้อย่างมีความสุข ( แถมมีมุขอำกลับอาตมาอีกต่างหาก ) ดังนั้นอาตมาจึงอยากจะหนุนใจญาติโยมที่กำลังรู้สึกย่ำแย่กับงานของตัวเองว่า ถ้าเราทำงานจนเมื่อยมือเหลือเกิน ก็จงดีใจเถอะ ที่มีมือให้เมื่อย ถ้าเราเดินไปเดินมาจนปวดขาเหลือเกิน ก็จงดีใจเถอะ ที่มีขาให้ปวด ถ้าเราเห็นหัวหน้า แล้วเซ็งเหลือเกิน ก็จงดีใจเถอะ ที่มีหัวหน้าให้เซ็ง ถ้าเราเห็นงาน แล้วเราเบื่องานเหลือเกิน ก็จงดีใจเถอะ ที่มีงานให้เบื่อ เพราะหลายคนพอไม่มีงานให้ทำ ก็จะประท้วงกัน อยากทำงาน ! อยากทำงาน ! ดังนั้นเมื่อคุณโยมมีโอกาสทำแล้ว ก็จงทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนทัศนคติต่องานที่ทำก่อน เห็นความสำคัญของหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด เหมือนดั่งคุณยามที่อาตมายกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น
อาตมาเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านพระธรรมปิฎก ( ป.อ.ประยุตฺโต ) ในหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านเขียนชี้แนะไว้ว่า
งานมีผลตอบแทนสองชั้นด้วยกัน ผลตอบแทนชั้นที่ ๑ คือ ตอนเงินเดือนออก นี่คือความสุขชั้นที่หนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนมีความสุขในการทำงานแค่วันนั้นวันเดียว แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับงานได้ มันก็จะก้าวไปสู่อีกระดับ อันนำมาซึ่งผลตอบแทนหรือความสุขชั้นที่ ๒ นั่นเอง
หนึ่งเดือน คุณโยมอยากมีความสุขเพียง ๑ ชั้น หรือ ๒ ชั้น ก็เลือกเอาตามใจชอบเลย
เจริญพร ...
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #83 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2552, 03:39:34 » |
|
|
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #86 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2552, 14:04:24 » |
|
" วิทยาทาน กับ ธรรมทาน แตกต่างกันอย่างไร " By Dungtrin
ถาม - วิทยาทานกับธรรมทานต่างกันอย่างไรครับ ? ขอตัวอย่างที่ทำให้เห็นผลต่างชัดๆในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้าด้วย
ทานคือการให้ การแบ่งปัน การเสียสละส่วนของตนให้เป็นสิทธิ์ของคนอื่น โดยมุ่งหวังประโยชน์สุขหรือประโยชน์ใช้สอยของเขา
เมื่อคุณคิดให้อะไรเป็นทาน ทานก็ได้ชื่อตามชื่อของสิ่งนั้น เช่น ให้ทรัพย์แก่ผู้อื่น ก็เรียกว่าทรัพยทาน บริจาคอวัยวะแก่ผู้อื่น ก็เรียกว่าอวัยวทาน ( แม้ไปลงชื่อไว้เฉยๆว่าหลังคุณตายค่อยเอาไปใช้ ก็จัดเป็นอวัยวทานแล้วด้วยเจตนาที่ตั้งใจจะยกให้ตามนั้นจริงๆ )
การให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้อื่น เพื่อให้เขามีความสามารถประกอบกิจกรรมแบบโลกๆ เช่น สอนคณิตศาสตร์ สอนกฎหมาย สอนเล่นเปียโน ล้วนแล้วแต่เป็น ‘ วิทยาทาน ’ ( วิทยาแปลว่าความรู้ )
แต่ถ้าให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้อื่น เพื่อให้เขาคิดได้ เพื่อให้เขารู้จักบาปบุญคุณโทษ สำนึกผิด ละอายต่อบาป และเกิดแรงบันดาลใจในการทำดี ถางทางให้ตัวเองพ้นทุกข์ระยะสั้น พ้นทุกข์ระยะยาว และพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาดถาวร เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็น ‘ ธรรมทาน ’ ( ธรรมในที่นี้หมายเอาสัจจะความจริง ความดีงาม ความถูกต้อง และความประพฤติชอบ )
เมื่อทราบนิยามของทานทั้งสองชนิดแล้ว ผมก็จะกล่าวแยกให้เห็นถึงความต่างในเชิงอานิสงส์ ดังนี้
๑) วิทยาทาน ให้ผลคับแคบ กล่าวคือจะทำให้เกิดความฉลาดเฉพาะเรื่อง หรือมีความชอบใจเฉพาะด้าน เช่น ในชาตินี้ยิ่งสอนเรื่องเครื่องจักรกลมากขึ้นเท่าไร ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องจักรกลก็ยิ่งแม่นขึ้นเท่านั้น ใครถามอะไรตอบได้หมด จะศึกษาวิทยาการจักรกลชั้นสูงก็รู้สึกเหมือนขนม แต่พอให้เรียนภาษาต่างประเทศกลับอึ้ง ให้พูดกับฝรั่งอาจใบ้กิน ความรู้ความฉลาดที่เคยมีหายไปหมด เหลือแต่ความรู้สึกทึบๆทื่อๆ นั่นเพราะอานิสงส์ของวิทยาทานเฉพาะด้านไม่ได้ประกันว่าจะเกิดแสงสว่างกว้างรอบ วิทยาทานเพียงกำจัดความทึบบางส่วน และจุดแสงปัญญาขึ้นมาบางด้านเท่านั้น
ผู้ที่ให้วิทยาเป็นทานด้วยความกระตือรือร้นอยากสร้างคนไปตลอดชีวิต จะเกิดใหม่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่บีบให้ชอบใจในเรื่องเดิมๆ กับทั้งมีความสามารถพิเศษเหนือคนวัยเดียวกัน ดังที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘พรสวรรค์’ เพราะสำคัญว่าสวรรค์เบื้องบนประทานความสามารถมาฟรีๆกับใครบางคนนั่นเอง
๒) ธรรมทาน จะให้ผลกว้างขวาง กล่าวคือจะทำให้เกิดความฉลาดทั่วไป ไม่จำกัดว่าเป็นไปในทางใดทางหนึ่งโดยเฉพาะ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะธรรมทานมีอำนาจกำจัดหมอกมัวคลุมจิตของผู้อื่น จึงย้อนมากำจัดหมอกมัวคลุมจิตของตนเอง และธรรมทานที่จุดแสงปัญญาให้ผู้อื่น ย่อมย้อนมาเพิ่มความสว่างไสวให้ปัญญาตนเองด้วย พอจิตฉลาด ปราศจากหมอกมัว ก็คิดอ่านได้แจ่มใสทะลุปรุโปร่งไปทุกเรื่องเป็นธรรมดา
ผู้ที่ให้ธรรมะเป็นทานด้วยความปรารถนาจะให้ผู้อื่นบรรเทาทุกข์หรือพ้นทุกข์พ้นร้อน ไม่หลงเข้ารกเข้าพง จะมีความฉลาดในการเอาตนเองออกจากทุกข์ทางใจ และฉลาดในการพัฒนาตนเองทุกๆด้านไปจนกว่าจะเข้าถึงนิพพาน
เท่าที่เห็นกับตามาจริงๆ ความเจริญรุ่งเรืองของผู้ให้ธรรมะเป็นทานจะยิ่งใหญ่พิสดารเหลือเชื่อ จาระไนให้ละเอียดแล้วเหมือนโกหกกัน ฉะนั้นผมขอยกเอาเฉพาะประเด็นสำคัญ ที่ช่วยให้คุณเกิดข้อสังเกตในการทดลองด้วยตนเอง ดังนี้
๑) หากเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจธรรมะอย่างถูกต้องเสียก่อน ธรรมทานของคุณจะถูกฝาถูกตัว คือถูกกาล ถูกบุคคล อานิสงส์ย่อมเป็นผู้สามารถจับจุดถูกได้ทุกเรื่อง เมื่อคุณสามารถจับจุดได้ถูกก็ทำให้ไม่สับสน เมื่อไม่สับสนก็มีสมาธิอยู่กับเรื่องตรงหน้า เมื่อมีสมาธิอยู่กับเรื่องตรงหน้าก็หูตากว้างขวาง เห็นสถานการณ์ตามจริง เห็นทางออกให้กับทุกทางตัน หรือเกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆให้กับวิธีล้าสมัยทั้งหลาย
๒) หากให้ธรรมทานโดยใจไม่เล็งโลภอยากได้สิ่งตอบแทน มีแต่ความปรารถนาประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นอย่างแท้จริง อานิสงส์คือลดความมืดแห่งความตระหนี่และความโลภลง แล้วเพิ่มแสงสว่างแห่งความสละออกและความเอื้อเฟื้อ เมื่อใดคุณเสียสละและเอื้อเฟื้อ เมื่อนั้นใจคุณจะเปิดกว้าง เมื่อใดใจคุณเปิดกว้าง คุณจะไม่หมกมุ่นปิดประตูรับรู้สิ่งใหม่ อะไรเข้ามาก็รับได้หมด ทำความรู้จักคุ้นเคยได้หมด
๓) หากคุณทุ่มแรงกายแรงใจด้วยความแน่วแน่ ในอันที่จะทำให้ผู้อื่นสนใจธรรมะ เข้าใจธรรมะ ตลอดจนยอมรับธรรมะมาเป็นแนวดำเนินชีวิตและแนวแก้ปัญหาชีวิต อานิสงส์คือคุณจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการใช้ปัญญาและความคิดอ่าน เมื่อคุณรู้สึกว่าตนเองมีบุญหนุนให้คิดสำเร็จทำสำเร็จ ก็ย่อมเชื่อมั่นในสติปัญญาว่าจะคลี่คลายเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้เสมอ หรือกำจัดอุปสรรคให้เป็นทางโล่งได้เสมอ หรือสร้างสิ่งใหม่ที่ดีกว่าขึ้นมาแทนสิ่งเก่าที่เสื่อมแล้วได้เสมอ
สำหรับข้อ ๓ นั้น ชัดเจนว่ามีความแตกต่างกับวิทยาทานเป็นพิเศษ เพราะการให้วิทยาทานนั้น บางเรื่องแทนที่จะให้ทางออกกับชีวิตคนอื่น กลับกลายเป็นสร้างปมกับชีวิตเขาก็มี เช่น ถ้าคุณสอนให้เขามีความสามารถยิงปืนได้แม่น ก็คงไม่หวังให้เขาใช้ความรู้นั้นไปเจรจากับสามีหรือภรรยาที่บ้านด้วยสันติวิธีเป็นแน่
เมื่อกล่าวถึงด้านที่ควรชื่นชม ก็ควรกล่าวถึงด้านที่ควรระมัดระวังไว้ให้สมบูรณ์ เพราะตามธรรมชาติแล้ว สิ่งใดมีคุณใหญ่ เมื่อพลิกกลับด้านก็ย่อมให้โทษหนักเช่นกัน
คุณเคยสงสัยไหม ทำไมบางคนทั้งโง่ทั้งฉลาดปนเปราวกับไม่ใช่คนเดียวกัน ? ทำไมบางคนเงียบๆ ดูหน้าตาท่าทางฉลาด แต่พูดประโยคเดียวรู้เลยว่าสมองกลวง ? ทำไมบางคนคิดอย่างอัจฉริยะ แต่กลับลงมือทำเหมือนคนปัญญาอ่อน ? ฯลฯ การมีอยู่จริงของคนเหล่านี้แหละ คือผลของกรรมอันยอกย้อนหรือขัดแย้งกันเป็นตรงข้าม
ขอยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยๆ พอให้เห็นภาพนะครับ
๑) ครูบางคนให้วิทยาทานเต็มกำลัง นักเรียนได้รับความรู้และเกิดความฉลาดคิดฉลาดทำมากมาย แต่ระหว่างสอนอยู่หน้าชั้น ครูคนนั้นก็อาจให้คำแนะนำในทางที่ผิดบ่อยๆ เช่น ส่งเสริมนักเรียนไปมั่วอบายมุข สนับสนุนการมีฟรีเซ็กซ์ตั้งแต่วัยเรียน ซึ่งนักเรียนก็หลงเชื่อ เพราะอาศัยอำนาจเลื่อมใสในครูผู้เก่งกล้า
ครูชนิดนี้นับว่าให้วิทยาทานจนประกันความฉลาดคิด ฉลาดเรียนรู้ในชาติถัดมา แต่ขณะเดียวกันก็ประกันความโง่ในการใช้ชีวิต หรือในการตัดสินใจอันมีผลสำคัญกับความสุขความทุกข์
๒) อาจารย์บางท่านถ่ายทอดได้ดี ฟังเข้าใจง่าย แต่ไม่ค่อยคำนึงว่าเนื้อหาที่ตนสอนไปนั้นตรงหรือไม่ตรง ใช่หรือไม่ใช่กันแน่ บางทีก็เกิดจากความขี้เกียจค้นคว้า บางทีก็เกิดจากการหลงลืมแล้วไม่พยายามตรวจสอบให้แน่ใจ บางทีก็เกิดจากอคติส่วนตัว สรุปคือเอาง่ายหรือเอาแต่ใจตัวเข้าว่า ไม่สนใจว่านักศึกษาจะรับการถ่ายทอดไปผิดๆอย่างไร
อาจารย์แบบนี้นับว่าสร้างอัธยาศัยทางการสอน ผลย่อมเป็นคนพูดเก่ง พูดชัด พูดเข้าใจง่ายด้วยวิธีที่ชาญฉลาด ทว่าเมื่อใช้ความฉลาดในการออกแบบหรือคิดสร้างสรรค์ใดๆ ก็มักเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด อาจหยุมหยิม หรืออาจใหญ่โต ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับที่เคยสอนแบบไม่รอบคอบนั้น มีผลให้เกิดความเข้าใจผิดร้ายแรงแค่ไหน
๓) ผู้เข้าใจธรรมะมักอยากให้ใครๆเห็นว่าตนมีภูมิรู้ภูมิธรรม มีความรอบรู้ และเป็นผู้อยู่บนทางถูก ทางตรง ทางประเสริฐ พูดง่ายๆว่าอยากเป็นที่ยอมรับนับถือ ไม่เป็นผู้มีความผิดติดตัว คนประเภทนี้จึงอาจอยากแสดงธรรมเอาหน้า สอนคนเพื่อให้ได้หน้า และจะยอมเสียหน้าไม่ได้ด้วยประการใดๆ เช่น สอนผิดแล้วคนอื่นทักท้วงก็โมโหและพยายามโจมตีกลับ หรือพยายามเถียงข้างๆคูๆหน้าดำหน้าแดง ยอมยืนกรานว่าพระพุทธเจ้าพูดผิดดีกว่าตนกล่าวผิด สรุปคือไม่ได้ให้ธรรมะเป็นทานด้วยความปรารถนาประโยชน์ต่อผู้อื่น จะเอาดีเข้าตัวท่าเดียว
บุคคลเยี่ยงนี้นับว่าเป็นผู้ให้ธรรมเป็นทานด้วยจิตที่เจือความโลภและความโกรธ เมื่อน้ำหนักของเหตุเอียงไปในข้างกิเลสแล้ว น้ำหนักของผลก็ย่อมออกไปในทางร้ายมากกว่าทางดีไปด้วย เช่นผิวนอกอาจเหมือนฉลาด ด้วยผลแห่งบุญที่ชอบสอนธรรมะ แต่เอาเข้าจริงพอใครให้แสดงความรู้ความสามารถ ก็กลับไปไม่รอด เข้าตำราท่าดีทีเหลว เผลอๆกลายเป็นตัวตลกอวดขี้เท่อให้คนหัวเราะเยาะกันใหญ่ อันนี้ก็ด้วยผลแห่งบาปที่ปล่อยให้ความโลภและความโกรธล้ำหน้าธรรมะนั่นเอง
๔) นักเทศน์บางท่านมีศิลปะการพูดดีเลิศ คำสอนอาจเหนี่ยวนำให้คนอื่นอยากคิดดี อยากพูดดี และอยากทำดี แต่ตัวของนักเทศน์เองกลับไม่ทำในสิ่งที่ตนสอน เช่น พร่ำบอกว่าการโกหกพกลมเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ท่องตำราให้คนฟังเป็นคุ้งเป็นแควว่าผลของการมุสาจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ปกติตนเองสามารถปั้นน้ำเป็นตัวได้โดยปราศจากความละอาย ทำไปทำมาพวกนี้จะรู้สึกเหมือนหลอกคนอื่นได้สำเร็จ และสำคัญผิดว่าตนยิ่งใหญ่เหนือใครๆ หรือกระทั่งเหนือกรรมวิบาก เพราะไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ตนสั่งให้คนอื่นทำ
นักเทศน์ประเภทนี้นับว่าตีสองหน้า ให้ธรรมทานด้วยวาทะแบบดาราขึ้นเวที หาใช่คิดให้ด้วยใจจริง ในภายหลังใจของเขาจึงเข้าถึงธรรมยาก เห็นตามจริงยาก หรือแม้จะทำความเข้าใจตนเองก็ยังยาก ผลที่เกิดในชาติถัดไปคืออาจเป็นพวกฉลาดล้ำทำงานไม่พลาด โดยมีข้อแม้ว่าผลประโยชน์ต้องตกอยู่กับผู้อื่น แต่เมื่อคิดทำเพื่อเอาประโยชน์เข้าตัวเองแล้วล่ะก็ จะกลับโง่ลงถนัดใจ คิดผิดตัดสินใจพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากนั้นแม้ปราดเปรื่องเรื่องงานปานใด ก็อาจทึบตันเมื่อเผชิญกับปัญหาส่วนตัว ที่สำคัญคือหูเบา โดนต้มตุ๋นง่าย ใครๆเห็นหน้าแล้ว อยากลองว่าจะทันคน หรือหัวอ่อน
กล่าวสรุปก็คือ แค่เป็นครูยืนอยู่หน้าชั้นเรียนไม่พอ ยังมี ‘ รายละเอียดความเป็นครู ’ ของแต่ละคนอีกมากมายที่จะถูกนำมาเป็นตัวชี้ ว่าใครจะได้รับอานิสงส์จากการให้วิทยาทานและธรรมทานเพียงใด
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #87 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2552, 18:58:36 » |
|
ปล่อยสัตว์อย่างไรให้ได้บุญ ... โดย ท่าน ว. วชิรเมธี
Poomping Praison - ส่งมา
การทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ เราจะต้องทำด้วยจิตมุ่งเป็นกุศลจริง ๆ หมายความว่าเราอยากจะช่วยเหลือเกื้อกูลสัตว์จริงๆ แต่ว่าถ้าเราเอาสัตว์มาปล่อย แล้วเราก็อธิษฐานว่า " สาธุ ขอให้การปล่อยนี้นะทำให้ฉันอายุยืนหน่อยเถอะ ขอให้ถูกเลขหน่อยเถอะ ขอให้หายซวยหน่อยเถอะ " ... สิ่งนี้ถือว่าไม่เข้าเกณฑ์ เพราะว่าเจตนาไม่เป็นกุศล
เจตนาเป็นกุศลก็หมายความว่า เราเห็นเขาตกทุกข์ได้ยาก แล้วต้องการจะช่วยเหลือเขาให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก โดยที่ไม่ได้ร้องผลตอบแทนอะไรเลย เมื่อเจตนาเราเป็นกุศลมันจึงจะเป็นบุญ แต่ถ้าเรามีเจตนาเคลือบแฝง เช่น ปล่อยเขาเพื่ออยากให้เราดีขึ้น เพื่ออยากให้เราหายทุกข์หายโศก หายซวย อย่างนี้มันไม่ใช่การทำบุญ แต่เป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เพราะเจตนาของเราจริง ๆ เราไม่ได้ต้องการช่วยเขาหรอกนะ ต้องการช่วยตัวเองต่างหาก แต่ยืมเขามาเป็นเครื่องมือ
ถ้าท่านเมตตาจริง ๆ นะ ปล่อยให้นกอยู่บนฟ้า ปล่อยให้ปลาอยู่ในน้ำ นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ปล่อยให้สัตว์ได้อยู่อย่างสัตว์ นั่นแหละคือการปล่อยนก ปล่อยปลา ที่แท้จริง.
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #88 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2552, 23:47:19 » |
|
หากหัวใจคล้ายห้องว่าง โดย ท่าน ว. วชิรเมธี
Poomping Praison - ส่งมา
คำว่า “ ชีวิต ” ประกอบขึ้นมาจาก “ กาย ” กับ “ ใจ ” เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ รูป ” กับ “ นาม ” องค์ประกอบทั้งสองของชีวิตนี้ “ ใจ ” มีความสำคัญมากกว่า “ กาย ” เพราะ “ ใจ ” เป็นอย่างไร “ กาย ” จะเป็นอย่างนั้น
ความสำคัญของใจที่มีผลเหนือกายนั้นมีตัวอย่างมากมาย อภิปรายกันไม่รู้จบ เช่น วันหนึ่งเมื่อมีนักข่าวสัมภาษณ์ว่า ไทเกอร์ วู้ด มีเคล็ดลับในการตีกอล์ฟอย่างไร ? จึงตีได้แม่นเหมือนจับวางทุกครั้ง เขาตอบสั้นๆ ว่า “ ผมจินตนาการเห็นลูกกอล์ฟ ลอยละลิ่วลงหลุม ก่อนที่ผมจะเริ่มตีมันเสียอีก ” ... คำตอบของนักกอล์ฟอัจฉริยะสะท้อนว่า ใจของเขานั้นไม่ได้สั่งได้เฉพาะกายคือมือของเขาเท่านั้น แม้แต้ไม้ตีกอล์ฟเอง ก็หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา เข้าทำนอง “ กระบี่อยู่ที่ใจ ใจอยู่ในกระบี่ ” โดยแท้
ครั้งหนึ่งมีการทดลองกันในทางจิตวิทยาว่า ใจสำคัญต่อกายจริงหรือไม่ นักจิตวิทยาร่วมมือกับนายแพทย์ท่านหนึ่ง ไปตรวจร่างกายของนักกีฬายกน้ำหนักถึงโรงยิม เมื่อไปถึงนายแพทย์ก็ตรวจวัดร่างกายของนักกีฬายกน้ำหนักคนหนึ่ง ซึ่งมีร่างกายที่แข็งแรงมาก เขากำลังฝึกยกน้ำหนักอยู่พอดี เมื่อไปถึงนายแพทย์ใช้ปรอทวัดไข้อยู่สักพักหนึ่ง รอไม่กี่นาที ท่านก็รายงานด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า นักกีฬาคนนี้กำลังมีปัญหาใหญ่ เพราะตรวจพบ “ บางอย่าง ” ในร่างกาย ขอให้งดการฝึกซ้อมเอาไว้ก่อน พอนายแพทย์พูดจบ นักกีฬาร่างล่ำบึ้ก มีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที เขายกน้ำหนักต่อไปไม่ไหว ยกอย่างไรก็เป็นที่พอใจ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด เขาจึงขออนุญาตลากลับไปพักหลายวัน ต่อมานายแพทย์และนักจิตวิทยา จึงขอโทษนักกีฬาคนนั้นพร้อมทั้งบอกความจริงว่า ผลการตรวจสุขภาพไม่เป็นอันตรายอย่างที่เป็นกังวลสักนิด ที่แจ้งผลไปก่อนหน้านั้น เป็นเพียงการทดลองอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งทั้งครูฝึกนักจิตวิทยา และนายแพทย์ร่วมมือกันและรู้กันมาแต่ต้นอยู่แล้ว ทันทีที่ทราบผลว่า ตนไม่เป็นอะไร วันรุ่งขึ้นนักกีฬาคนนั้นก็มาฝึกซ้อมต่อ และคราวนี้เขาสดชื่นรื่นเริงอย่างเห็นได้ชัด
การทดลองคราวนี้ ก็สะท้อนหลักการที่ว่า “ ใจเป็นอย่างไร ร่างกายเป็นอย่างนั้น ” จริงๆ
ความจริง ในชีวิตของคนเรานั้น หากสังเกตให้ดีเราจะพบว่า พฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงผลออกมาทางกายนั้น ล้วนได้รับอิทธิพลของใจทั้งสิ้น
คนที่มีสีหน้าสดชื่น ผ่องใส ใจเย็นโดยธรรมชาติ ( ไม่ใช่ใสเพราะฝีมือหมอ ) ก็เพราะลึกๆ แล้ว เขาไม่มีความเครียดเจือปนอยู่ในใจ คนที่หงุดหงิดงุ่นง่าน ก็เพราะในใจเขา เต็มไปด้วยความกังวล คนที่มีพฤติกรรมฉ้อฉล คอรัปชั่น ก็เพราะใจเขามี “ ไถยจิต ” ซึ่งแปลว่า “ จิตที่มีธาตุแห่งความเป็นหัวขโมย ” แฝงอยู่ คนที่สู้ชีวิต ก็เพราะใจเขาเปี่ยมด้วย “ ปรักกมธาตุ ” ซึ่งแปลว่า “ ใจนักสู้ ” อยู่ข้างใน ส่วนคนที่เต็มไปด้วยความอิจฉาตาร้อน ก็เพราะข้างในของเขา หมักหมมอยู่ด้วยไฟริษยานั่นเอง
นอกเป็นอย่างไร ก็สะท้อนว่าใจเป็นอย่างนั้น
กาย จึงเป็นเหมือน เงาสะท้อนของใจ
ใจของเรานั้น ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้นสถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที เป็นต้นว่า เรามีห้องว่างเปล่าอยู่ห้องหนึ่ง เมื่อ - -
เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ
เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ
เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว
เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องนอน
เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก
เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี
ห้องแห่งหัวใจของเรา ก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปในใจ ใจของเราก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน
เราใส่ความเมตตาเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจดี
เราใส่ธรรมะเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ
เราใส่ความโกรธเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน
เราใส่ความเลวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจทราม
เราใส่ความกลัวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ
เราใส่ความเป็นนักสู้เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจสู้
เราใส่ความขาดสติเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจลอย
เห็นด้วยกับผู้เขียนหรือไม่ว่า ใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้
พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า “ ใจเป็นนาย ใจเป็นผู้นำ ใจเป็นผู้สร้างสรรค์.. .” หรือ บางทีก็ตรัสว่า “จิตฺเตน นียติ โลโก ” แปลว่า “ โลกหมุนไปตามใจสั่งการ ” โลกในที่นี้ หมายถึง ชีวิตของเรานั่นเอง โลกคือชีวิตจะหมุนซ้าย หมุนขวา หมุนตรงหรือหมุนเอียง หมุนไปข้างหน้า หรือว่าหมุนไปข้างหลัง ทั้งหลายทั้งปวงนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของใจทั้งหมดทั้งสิ้น
ใจของเราไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เราบรรจุอะไรลงไป ชีวิตของเราก็เป็นไปตามสิ่งที่บรรจุนั้น ทุกวันนี้ เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เราบรรจุอะไรลงไปในห้องแห่งหัวใจของเราบ้าง ความรู้ ความงมงาย ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความดี ความชั่ว ความริษยา ความหน้าด้าน ความสะอาด สว่าง สงบ หรือความตื่นรู้
ชีวิตจะเป็นอย่างไร รุ่งโรจน์หรือร่วงโรย ขึ้นสูงหรือลงต่ำ สำคัญที่เราบรรจุอะไรลงไปในใจของเราเอง !
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #90 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2552, 00:41:46 » |
|
ชีวิตจะเป็นสุข ...เมื่อมองทุกข์อย่างเข้าใจPoomping Praison - ส่งมา" หากใจคิดว่าทำไม่ได้ แค่เอื้อมมือไปเด็ดใบไม้สักใบก็ยังยาก หากแต่ใจคิดว่าทำได้ แม้งานขุดเขาถมทะเลที่แสนยาก ก็จะทำให้สำเร็จให้จงได้ " ... มล.จิตติ นพวงศ์
ภาระที่ดูเหมือนหนัก-เหนื่อย หากคำนึงถึงคุณค่าที่ได้ทำ กำลังใจย่อมเต็มเปี่ยม แม้กายล้า ยังสู้ไม่ถอย
ที่ใครว่าทุกข์ … เราไม่ทุกข์ ที่ใครเห็นว่าท้ อ… เราไม่ถอยถอนใจ
กำลังใจสู้ไม่ถอย ล้วนได้มาจากมุมมองของใจ ( ทัศนคติ ) ทั้งสิ้น
มีโอกาสทำดี อย่าให้เสียโอกาส มีโอกาสเรียน ทำให้เต็มที่ และทำให้ดีในทุกโอกาส
บางคนรอโอกาสมาทั้งชีวิต แต่ก็ไม่มีโอกาสเช่นเรา ๆ ท่าน ๆ ประโยชน์อะไรที่จะล้า
มองชีวิต มองทุกข์อย่างเข้าใจ กำลังใจก็หาได้ไม่ยากหรอก …จริงไหม …*********************************** การที่เราจะมีความสุขในชีวิตหรือไม่นั้น สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่จิตใจ และความคิดของตนเอง หากคิดแต่เรื่องดีๆ ชีวิตก็มีความสุขและมีความทุกข์อย่างเข้าใจ ... ถ้าหากกำลังมีทุกข์ ขออย่าคิดว่าทุกข์ของตนเองมากมายกว่าผู้อื่น ให้เพียรพยายามคิดว่าผู้อื่นก็มีทุกข์ไม่น้อยไปกว่า หรืออาจจะหนักหนาสาหัสกว่าเสียอีก หากนำความทุกข์ไปเปรียบกับผู้ที่แย่กว่า จะช่วยให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้น และรู้สึกว่ายังโชคดีกว่าอีกหลายๆ คน
ดังเช่นที่นักปราชญ์เคยกล่าวเอาไว้ว่า " ในขณะที่ท่านกำลังร้องห่มร้องไห้เพราะไม่มีรองเท้าใส่ ท่านควรคิดถึงคนที่เขาไม่มีแม้กระทั่งเท้า หรือหากท่านเสียใจที่ไม่มีเท้า แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่มีทั้งเท้าและทั้งแขน "
หรือหากทำงาน และธุรกิจล้มเหลวก็ขอให้คิดว่า ความผิดพลาดและล้มเหลว คือบทเรียนเริ่มต้นของความสำเร็จ เหมือนคำกล่าวที่ว่า
" บทเรียนชีวิตที่ดีที่สุด ล้วนได้มาจากความผิดพลาดล้มเหลวของตนเอง ความโง่เขลาเบาปัญญาและความผิดพลาดในอดีต จะกลายเป็นสติปัญญา และความสำเร็จในอนาคต "
|
|
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #94 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2552, 17:27:05 » |
|
Today before you complain about life ....
เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา
There was a blind girl who hated herself because she was blind. She hated everyone, except her loving boyfriend. He was always there for her. She told her boyfriend, " If I could only see the world, I will marry you."
One day, someone donated a pair of eyes to her. When the bandages came off, she was able to see everything, including her boyfriend. He asked her, " Now that you can see the world, will you marry me ? " The girl looked at her boyfriend and saw that he was blind. The sight of his closed eyelids shocked her. She hadn't expected that. The thought of looking at them the rest of her life led her to refuse to marry him.
Her boyfriend left in tears and days later wrote a note to her saying : " Take good care of your eyes, my dear, for before they were yours, they were mine. "
This is how the human brain often works when our status changes. Only a very few remember what life was like before, and who was always by their side in the most painful situations.
Life Is a Gift
Today, before you say an unkind word - Think of someone who can't speak.
Before you complain about the taste of your food - Think of someone who has nothing to eat.
Before you complain about your husband or wife - Think of someone who's crying out to GOD for a companion.
Today, before you complain about life - Think of someone who died too early on this earth.
Before you complain about your children - Think of someone who desires children but they're barren.
Before you argue about your dirty house someone didn't clean or sweep - Think of the people who are living in the streets.
Before whining about the distance you drive Think of someone who walks the same distance with their feet.
And when you are tired and complain about your job - Think of the unemployed, the disabled, and those who wish they had your job.
But before you think of pointing the finger or condemning another - Remember that not one of us is without sin.
And when depressing thoughts seem to get you down - Put a smile on your face and think: you're alive and still around.
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #96 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2552, 18:52:23 » |
|
เดินจังหวะลูก
อารียา - ครุ 16 ... ส่งมา รายงานโดย : ธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น : วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ผมมีลูกสาวตัวเล็กๆ น่ารักสองคน คนโตชื่อ โมเนต์ อายุห้าขวบกว่าๆ คนเล็กชื่อ เมนิ อายุสี่ขวบ กำลังอยู่ในวัยอ้อนพ่ออ้อนแม่ ไม่รู้ว่าใครติดใครกันแน่ รู้แต่ว่าผมต้องพยายามกลับบ้านให้ทัน ก่อนสองสาวนอนหลับเกือบทุกวัน เสาร์อาทิตย์ก็ตัวติดกันตลอด คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็มักจะนึกถึงแต่ว่าจะสอนลูกให้เป็นคนยังไง ให้มีน้ำใจ ไหว้สวย ไม่งอแง นึกอะไรออกก็พยายามสอน ก็ไม่ค่อยได้นึกว่าจะเรียนรู้อะไรจากลูกได้ เพราะลูกยังเด็กยังเล็กอยู่ แต่ด้วยความที่อยู่ด้วยกันตลอด มีบ่อยครั้งที่ลูกผมพูด หรือแสดงท่าทีอะไรที่ทำให้ผมต้องหยุดคิด และทบทวนตัวเองเป็นประจำ เมื่อไม่นานมานี้ ผมพาเด็กๆ กับภรรยาไปเที่ยวอเมริกา ไปอยู่หลายเมือง สองอาทิตย์ที่ไปเที่ยว เป็นสองอาทิตย์ที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตผม ได้มีโอกาสตะลอนๆ ไปทั้งครอบครัว ได้ผจญภัยเล็กๆ ตามที่ต่างๆ มีอุปสรรคบ้างนิดหน่อยพอเป็นน้ำจิ้ม ได้เห็นตัวเล็กทั้งสองสนุกสนานกับของเล่นบ้าง ทิวทัศน์รอบทางบ้าง เป็นความสุขเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ระหว่างทางในหลายๆ ครั้ง ผมกับภรรยาก็จะเดินดูโน่นดูนี่เป็นปกติ ในจังหวะก้าวย่างของเราก็จะได้ยินเสียงเมนิ ลูกสาวคนเล็กบ่นปวดขา เดินไม่ทัน เหนื่อย เวลาไปเดินในที่ที่คนเยอะ ก็มีเผลอไปจับมือคนอื่น คิดว่าเป็นพ่อแม่บ้าง เราก็ได้แต่ขำๆ ในตอนแรก แต่พอใช้ชีวิตด้วยกันตลอดเวลา มีจังหวะหนึ่งที่ลูกผมบ่นว่า เดินไม่ทันซึ่งปกติผมก็คงไม่ได้สนใจอะไร แต่จังหวะนั้นผมบอกลูกว่า เดี๋ยวจะลองเดินก้าวช้าๆ เท่าลูกดู ผมก็เลยลองเดินช้าๆ ช้ามาก เพราะลูกผมยังเล็ก ก้าวได้สั้นๆ และไม่ไกล ผมพยายามเดินในจังหวะของลูก ช่วงแรกๆ ก็อึดอัดนิดหน่อย ต้องก้าวเท้าถี่ๆ สั้นๆ แต่พอลองบ่อยๆ เข้า ผมก็เริ่มมองเห็นมุมของเขาว่า ทำไมเขาถึงเดินไม่ทัน ปวดขา หรือเหนื่อย เวลาเดินจังหวะผู้ใหญ่ พอเริ่มเห็นมุมแปลกๆ ของเด็ก ผมก็เลยลองพยายามย่อตัวลงให้เท่าลูก ในมุมที่เรามองเงยหน้าขึ้นไป ทำให้รู้สึกว่าผู้ใหญ่ในสายตาเขาเหมือนยักษ์ที่อยู่สูง มองไม่ค่อยถนัด ถึงเข้าใจว่าทำไมเขาถึงจับมือคนผิดอยู่เรื่อยเวลาคนเยอะๆ หลังจากนั้น ผมก็พยายามเดินช้าลงให้ได้จังหวะของเขา พยายามย่อตัวเวลาคุยกับลูก ลูกผมก็ดูจะสนุกขึ้น อารมณ์ดีขึ้น และชอบมากเวลาพ่อย่อตัวคุยด้วย ลูกผมสอนให้ผมรู้จักสนใจจังหวะของคนอื่น ลองใช้จังหวะของคนอื่นในการดำเนินชีวิตบ้าง ชีวิตของคนทำงาน หลายๆ ครั้งก็พยายามบงการให้คนอื่นเดินจังหวะเรา ไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเรา
พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไร ก็จะพยายามลองสังเกตจังหวะคนอื่นดูทุกที ที่ดิสนีย์แลนด์ ช่วงเที่ยงๆ ผมกับโมเนต์ ลูกสาวคนโตไปต่อคิวยาวเหยียดเพื่อซื้ออาหารกลางวัน รอตั้งสิบกว่านาที อยู่ดีๆ ก็มีแม่ลูกตัวอ้วนๆ คู่นึงทำเนียนมาแซงคิวเอาโค้งสุดท้ายข้างหน้าผม คงเห็นว่าเราหน้าเอเชียดูใจดี ก็เลยเบียดซะอย่างนั้น ผมก็เลือดขึ้นหน้า โมโหสุดๆ กำลังจะโวยวายด้วยความฉุน ก่อนจะโวย ก็บอกโมเนต์ เพื่อให้ลูกเข้าใจว่าพ่อจะต้องโกรธเพราะอะไร โมเนต์สะกิดแขนผม แล้วทำหน้าชิลล์มากๆ บอกผมว่า " พ่อขา เขาอาจจะรีบก็ได้นะพ่อนะ " ผมอึ้งไปพักใหญ่ ในหัวหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง ดีใจที่ลูกมองโลกในแง่ดีแบบนี้ แถมรู้สึกตัวเองแย่มากๆ ที่ต้องให้ลูกสอนการมองโลก การให้อภัยระหว่างรอแถว ผมนึกถึงเพลงอื่นๆ อีกมากมายของวงเฉลียงอยู่ในหัว เด็กหนีไม่ยอมเรียน โดดเรียนเพราะเหตุใด ใครตอบได้ไหม เด็กไปเพราะใจเบ่ง แม่ให้ไปขายของ ครูสอนไม่ดีเอง เด็กรักเป็นนักเลง อื่นๆ อีกมากมาย เมื่อวานก่อน ผมพาเด็กหญิงสองคนไปทำฟัน คุณหมอตรวจเจอว่าโมเนต์ฟันผุ ต้องอุดฟันน้ำนม คุณหมอก็เลยทำการอุดให้ เราก็คอยบอกโมเนต์ว่าถ้าเจ็บให้ยกมือขึ้น เพราะอุดฟันเด็กห้าขวบ โดนเหงือก โดนปาก เด็กคงต้องเจ็บน่าดู ตลอดการอุดฟัน ผมก็ถามเป็นระยะว่าเจ็บรึเปล่า โมเนต์ไม่ยกมือว่าเจ็บเลยซักครั้ง ผมก็นึกว่าคงไม่เป็นไร อุดเสร็จเรียบร้อยก็กลับบ้าน ระหว่างทางกลับบ้าน ผมก็ถามลูกว่า อุดฟันเจ็บมั้ย โมเนต์บอกว่า เจ็บมากเพราะโดนเหงือก ผมก็ถามต่อด้วย ความสงสัยว่าทำไมไม่ยกมือ หรือร้องล่ะ โมเนต์บอกสั้นๆ ยิ้มอายๆ " หนูอดทน อยากให้พ่อดีใจ " หนูสอนพ่อเยอะเหลือเกิน ...
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #97 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2552, 19:05:25 » |
|
สิ่งที่พระพยอม เสียใจ ที่สุดในชีวิต
มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา
โยมพ่อของอาตมาเป็นคนขี้เหล้า ... หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็กินเหล้าหมด พอเมาก็ดุด่าโยมแม่กับอาตมา อาตมาไม่ชอบพ่อมาก ....
วันหนึ่ง โยมพ่อเมากลับบ้านไม่ได้ มีคนให้อาตมาพายเรือไปรับ ตอนนั้นอาตมายังเป็นวัยรุ่น ทำงานมาทั้งวันก็อยากจะนอน .... อยากพักผ่อน ....
อาตมารู้สึกโมโหมาก พอพายเรือกลับบ้าน ก็ทิ้งโยมพ่อไว้ในเรือ แต่พ่อเมามากลุกไม่ไหว ตะโกนเรียก ....
“ ไอ้ยอม ... ไอ้ยอม ... มาอุ้มกรูขึ้นบ้านหน่อย ... กรูขึ้นไม่ไหว ”
ไอ้เราก็ทนรำคาญไม่ไหว เดินกระทืบเท้า ตึง.. ตึง.. ตึง.. กระชากร่างพ่ออุ้ม ในขณะที่อุ้ม .. ความรู้สึกเจ็บแค้นที่พ่อทำให้เราลำบาก ชอบด่าว่าเราเจ็บๆ พออุ้มพ่อขึ้นมาจากเรือ ... ถึงหัวสะพาน จับร่างพ่อกระแทกกับหัวสะพาน ก้นพ่อกระแทกกับ พื้นไม้อย่างแรง เสียงดังโครม....
พ่อแกร้องไห้ .... แล้วพูดว่า
“ ไอ้ยอมน ะ... ไอ้ยอม .. กรูอุ้มมรึงมาแต่เล็กแต่น้อย .... กรูนอนหลับ .. แต่มรึงไม่ยอมนอน ... ร้องไห้กวน .. กรูต้องลุกมาอุ้มมรึง ... ร้องเพลงกล่อมให้มรึงนอน จะไปไหนมรึงไม่ไหว ... มรึงเหนื่อย ... กูก็ต้องอุ้มมรึง ... ทั้งที่กรูก็เหนื่อย กรูอุ้มมรึง.. มรึงทั้งขี้..ทั้งเยี่ยว.. ใส่กรู แต่กรูไม่เคยทุ่มมรึงลงกับพื้นเลย ... เพราะกรูรักมรึง ...วันนี้ ... มรึงอุ้มกรู เหล้ากรูไม่ได้หกโดนมรึงสักนิด มรึงทุ่มกรูลงพื้นทำไม ...”
พอพ่อพูดจบ น้ำตาไม่รู้มาจากไหน มันไหลพรูลงมาอาบสองแก้ม อาตมาเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน ก้มลงกราบพ่อ แล้วพูดว่า
“ พ่อครับ ต่อจากนี้ไป ... ผมจะอุ้มพ่อตลอดชีวิต โดยไม่บ่นและทุ่มพ่อ ลงพื้นอีกแล้วละครับ ”
หลังจากนั้น อาตมาทำงานอย่างหนักเพื่อมาให้พ่อ หวังให้พ่อสบายขึ้น แต่เมื่อถึงวันนั้น มันก็สายไปแล้ว โยมพ่อได้จากอาตมาไปแล้ว คิดแล้วมันทรมานใจเหลือเกิน อาตมาทำผิดพลาดไปแล้ว และแก้ไขไม่ได้ จึงอยากเตือนทุกคนเอาไว้ ไม่อยากให้เสียใจไปตลอดชีวิต
แล้วคุณล่ะ เคยทำอะไรให้พ่อเสียใจบ้างหรือเปล่า บางครั้งเราอาจเข้าใจท่านผิด บางครั้งท่านเฉย เราก็คิดว่าท่านไม่สนใจ แต่พอเราโตเราก็จะรู้เองว่า สิ่งที่ท่านทํากับเรามันเป็นสิ่งที่ท่านหวังดีกับเราเสมอ
ขอให้รู้จักค้นหาหัวใจตัวเองให้ทันเวลา ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป ....
---------------------------------------------
สำหรับบางคน ......
บางสิ่งบางอย่าง ลำบ๊าก ลำบาก แต่เราสามารถ มุมานะทำเพื่อแฟนหรือคนรักของเรา
แต่บางสิ่งง่ายๆ สำหรับพ่อแม่ของเรา เรากลับไม่ค่อยอยากทำให้ท่าน
ทั้งๆ ที่ท่านลำบากเลี้ยงเรามา มาคิดได้เมื่อสายไปแล้ว
เคยได้ยินมาว่า....
ข้าวร้อนๆกับปลาเค็ม 1 ชิ้น ตอนพ่อมีชีวิตอยู่
มีค่ามากกว่า "เนื้อมังกร...หน้าศพ" ตอนพ่อตาย...
|
|
|
|
suriya2513
|
|
« ตอบ #98 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2552, 19:06:29 » |
|
... ไม่ต้องอ่านปรัชญาในรูปข้างบนก็ได้ครับ ผมเล่าเลยก็ได้...เป็นคำคมจิตวิทยา เรื่องน้ำครึ่งแก้วที่เราเห็นกันบ่อยๆ ผมพบในหนังสือธรรมะ DIY เล่มเล็กๆเล่มหนึ่ง แต่ที่น่าสนใจคือชื่อเจ้าของพารากราฟข้างบนนี้ ลงชื่อไว้ว่า Natalie Glebova....ไอ้ผมก็สงสัย Natalie Glebova นี่มันใคร? เป็นแชมป์ยิมนาสติคโอลิมปิคเมื่อปีไหน? หรือแชมป์เทนนิส grand slam รายการไหนหว่า? คิดอยู่นานกว่าจะนึกได้? ใครโชคร้ายผ่านมาอ่าน ก็งงกันเองนะครับ !!! สะใจได้แกล้งคน...
|
[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี คลิ๊ก->
|
|
|
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์
รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915
|
|
« ตอบ #99 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2552, 20:49:02 » |
|
สวัสดีครับ พี่่ป๋อง
ไปถามลุงกูเกิ้ล ลุงให้ภาพนี้มา ดูแล้ว คงรู้ว่าเป็นใคร
|
3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
|
|
|
|