22 พฤศจิกายน 2567, 22:39:25
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 ... 29  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม  (อ่าน 582174 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 11 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #575 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2553, 12:49:30 »

Modern Home Utensils‏

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

Mostly new designs and probably useable by younger homemakers while old-timers could shun as gimmicks.
  
Whatever the case ... it's exciting & so cool  !








































ที่มีใช้กันอยู่ตามบ้านแล้ว  ก็เช่น  รังไข่ ( พลาสติก ) / ที่คว้านไส้ผัก-ผลไม้ ( แอ๊ปเปิ้ล , แตงกวา ) / ส้อมพลาสติกแบบพับได้ ( ใน cup noodle ) ... อ่ะนะ

คนช่างคิดประดิษฐ์ของใช้ในครัวเรือนพวกนี้  เค้ากินข้าวกับอะไร ?  ถึงได้ creative ซะจริงๆ เชียว !
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #576 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 01:06:22 »


10 โรงแรม เจ้าของสถิติ " ที่สุด " ในโลก‏

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา
 
สำหรับนักท่องเที่ยวผู้นิยมชมชอบในโรงแรมที่มีสถิติเป็น " ที่สุดของโลก " ในด้านต่างๆ  เว็บไซต์ www.hotels.com ได้จัดอันดับโรงแรมในประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มีสถิติของความเป็นที่สุดใน 10 ด้านไว้  ได้แก่

1. โรงแรมที่สูงที่สุดในโลก  คือ โรงแรม " เบิร์จ อัล อาหรับ " ในรัฐดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์  โดยโรงแรม 7 ดาวแห่งนี้มีความสูงอยู่ที่ 321 เมตร  และสร้างอยู่บนเกาะที่ถมสร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือมนุษย์  ณ ท้องทะเลของรัฐดูไบ
 



2. โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ( พิจารณาจากจำนวนห้องพัก ) คือ " เดอะ พาลาซโซ่ รีสอร์ต โฮเทล แอนด์ คาสิโน " ในเมืองลาสเวกัส มลรัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา โรงแรมนี้มีจำนวนห้องพักเป็นจำนวนมากถึง 8,108 ห้อง




3. โรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก  คือ โรงเตี๊ยม " โฮชิ เรียวกัน " ที่เมืองโคมัตสึ ประเทศญี่ปุ่น  เปิดให้บริการมานานกว่า 1,300 ปี  โรงเตี๊ยมขนาด 100 ห้องแห่งนี้ ดำเนินกิจการโดยคนในครอบครัวเดียวกัน มาถึง 46 ชั่วอายุคนแล้ว ... โห !  Amazing สุดๆ





4. โรงแรมที่มีห้องพักราคาแพงที่สุดในโลก  คือ ห้องพัก " รอยัล วิลล่า " ของ " แกรนด์ รีสอร์ต ลาโกนิสซี " ในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ  โดยผู้เข้าพักในห้องพักจะมองเห็นวิวของทะเลอีเจียนจากสระว่ายน้ำส่วนตัว ที่มีเครื่องมือนวดในระบบพลังน้ำ  ห้องนี้จะต้องจ่ายค่าห้องพักในราคา 50,000 เหรียญสหรัฐ  หรือประมาณ 1,600,000 บาท ต่อหนึ่งคืน
 


อ่ะจ๊าก !  แค่งีบหลับไป 1 คืน ไม่กี่ชั่วโมงเนี่ยนะ ... สู้เอาตังค์มาซื้อคอนโดมิเนียมติด BTS ใจกลางกรุงเทพ อยู่ได้ตลอดชีวิต  จนชั่วลูกชั่วหลาน ดีก่า ... Oh My God !
 
 
5. โรงแรมที่ใช้งบประมาณในการก่อสร้างมากที่สุดในโลก คือ โรงแรม " เอมิเรตส์ พาเลซ " ในกรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์  โรงแรมนี้เปิดให้บริการเมื่อปี ค.ศ. 2005 ( พ.ศ.2548 )  ใช้งบประมาณในการก่อสร้างสูงถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 96,000 ล้านบาท  ใช้เงิน ทอง และหินอ่อน เป็นวัสดุในการก่อสร้าง  และยังติดตั้งโคมไฟระย้าที่ทำจากแก้วคริสตัลของ " สวารอฟสกี้ " เป็นจำนวนมากถึง 1,002 ชิ้น
 







6. โรงแรมที่มีห้องพักขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือ ห้อง " รอยัล สูท " ของ " เดอะ แกรนด์ ฮิลส์ โฮเทล แอนด์ สปา " ในเมืองบรวมมานา ประเทศเลบานอน  ห้องพักที่ว่ามีขนาด 8,000 ตารางเมตร  กินพื้นที่ 6 ชั้น อันประกอบด้วยห้องพัก  สระว่ายน้ำ 2 สระ  สวน  ระเบียง  และกระโจมส่วนตัวของผู้เข้าพัก




7. โรงแรมที่หนาวเย็นที่สุดในโลก  คือ " ไอซ์ โฮเทล " ในเมืองจุคคาสจาร์วิ  ประเทศสวีเดน  ห้องพักทั้งหมดของโรงแรมนี้สร้างจากน้ำแข็ง และหิมะ ... อึ๋ย !  เย็นยะเยือก
 













8. โรงแรมที่อยู่บนสถานที่ที่สูงที่สุดในโลก ( พิจารณาจากความสูงของชั้นตึก ) คือ โรงแรม " พาร์ค ไฮแอตต์ " ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน  โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้น 79-93 ของอาคาร " เซี่ยงไฮ้ เวิลด์ ไฟแนนซ์ " ซึ่งสูง 101 ชั้น






9. โรงแรมที่อยู่บนจุดที่สูงที่สุดในโลก ( พิจารณาจากที่ตั้งเหนือระดับน้ำทะเล )  คือ " โฮเทล เอเวอเรสต์ วิว " ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาเอเวอเรสต์ ประเทศเนปาล  อยู่บนความสูง 3,880 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
 



10. โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในโลก  คือ " เดนทรี อีโค ลอดจ์ แอนด์ สปา " ในรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย  ตั้งอยู่ในเขต " ป่าหนาทึบ เขตร้อน ซึ่งมีฝนตกชุก "  มีอายุเก่าแก่ที่สุด  ได้รับคำชื่นชมที่พยายามสร้างมาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน  มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์  ใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน  และมีไร่นาชีวภาพ ที่ใช้เพาะปลูกผลผลิตทางการเกษตรของตนเอง
 




 


      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #577 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2553, 14:02:23 »

อยากมีลูก ต้องกินกล้วย  ห้ามกินเหล้า สูบบุหรี่ และอาบอบนวด

จาก : http://www.thairath.co.th/content/life/119520



แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคทางเดินปัสสาวะของสิงคโปร์ สั่งให้ผู้ชายที่อยากได้ลูกหากล้วยหอมมากินทุกๆ 3 วัน รวมทั้งกินถั่ว เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ มะเขือเทศ สปาเกตตี และอาหารทะเลเข้าไปมากๆ

หนังสือพิมพ์รายวันของสิงคโปร์ รายงานว่า หมอเจ้าตำรับเรื่องนี้ชี้แจงว่า เพราะกล้วยหอมมีแมกนีเซียมสูง จะช่วยบำรุงเซลล์อสุจิ พร้อมกันนั้นก็ได้สั่งห้ามกินเหล้าเมายา สูบบุหรี่ และลงไปแช่ในน้ำร้อน เพราะสิ่งเหล่านี้จะแสลงกับการสร้างตัวอสุจิของผู้ชาย.

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #578 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 21:01:45 »

ขอบคุณครับ น้องเริง ที่หาเรื่อง มาช่วยกันเล่า ...


วิธีเขียน " หมายเลขโทรศัพท์ " ตามหลักสากล

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

ตั้งแต่นี้ไป ถ้าพิมพ์นามบัตรใหม่ หรือพิมพ์หัวกระดาษจดหมายใหม่  ต้องพิมพ์หมายเลขโทรศัพท์ตามหลักสากลดังข้างล่างนี้ คือ

เบอร์โทรศัพท์บ้าน  0   2123 4567   ถ้าแจ้งชาวต่างชาติ ต้องเพิ่มรหัสประเทศ +66  2123 4567

เบอร์มือถือ           08 1123 4567   ถ้าแจ้งชาวต่างชาติ ต้องเพิ่มรหัสประเทศ +668 1123 4567

เบอร์บ้านเชียงใหม่  0  5312 3456   ถ้าแจ้งชาวต่างชาติ ต้องเพิ่มรหัสประเทศ  +66  5312 3456

คำอธิบายโปรดอ่านข้างล่างนี้

คำแนะนำในการเขียน " เลขหมายโทรศัพท์ " ให้ถูกต้องตามมาตรฐานสากล

อ้างถึง จากคำถามที่ว่า ควรจะเขียนเลขหมายโทรศัพท์บนนามบัตรหรือโบชัวร์อย่างไร ให้ตรงตามมาตรฐาน ซึ่งถ้าคุณยังเขียนเป็น 02-xxx-xxxx หรือ (02) xxx xxxx ก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว

การเพิ่มเลขหมายโทรศัพท์พื้นฐานทั่วประเทศจาก 7 หลักเป็น 8 หลัก ในปี พ.ศ. 2544 นั้น  ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการเขียนเลขหมายโทรศัพท์  เพื่อใช้ในนามบัตร โบรชัวร์ หรือสิ่งพิมพ์ต่างๆ

ทีโอทีได้แนะนำรูปแบบการเขียนเลขหมายโทรศัพท์ ให้เป็นไปตามมาตรฐานของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ( International Telecommunication Union: ITU )  เพื่อให้เป็นที่เข้าใจได้ง่าย ตรงตามมาตรฐานสากล โดยมีแนวทาง ดังต่อไปนี้

แบ่งกลุ่มตัวเลขให้ถูก

เลขหมายโทรศัพท์ในประเทศ  ให้เขียนเลขศูนย์นำหน้า  ตามด้วยเลขหมาย 8 หลัก ซึ่งเป็นไปตามหลักของการเขียน
Trunk prefix + Subscriber numbers เช่น 0 2345 6789 หรือ 0 5345 6789

เลขหมายโทรศัพท์สำหรับติดต่อกับต่างประเทศ  ให้เขียนรหัสประเทศตามด้วยเลขหมายโทรศัพท์  ซึ่งเป็นไปตามหลักของการเขียน Country code + Subscriber numbers เช่น +66 2345 6789 หรือ +66 5345 6789

หลายคนอาจจะมีปัญหากับการเขียนเลขหมายระบบใหม่ เพราะเคยชินกับระบบเดิมอยู่ แต่ก่อนเราเขียน (02) 345 6789
เพื่อแยกรหัสพื้นที่ออกจากเลขหมายโทรศัพท์ ในเมื่อระบบเลขหมาย 8 หลัก ไม่มีรหัสพื้นที่แล้ว การที่เรายังคงเขียนเป็น 02 345 6789 นั้นก็อาจทำให้เข้าใจผิดไปได้บ้าง  แม้ว่าผลลัพธ์ของการโทรนั้นไม่แตกต่างกัน  แต่ในการพูดคุณสามารถที่จะบอกเบอร์โทรของคุณเป็น “ ศูนย์สอง สามสี่ห้า หกเจ็ดแปดเก้า ” ได้เหมือนเดิม  ก็ไม่มีใครว่าอะไร

ที่จริงแล้ว บ้านเราก็ไม่ได้ทำตามคำแนะนำของ ITU เสียทั้งหมด  รูปแบบบางอย่างเราก็ยังคงใช้ตามนิยมที่ทุกคนเข้าใจ  เช่น  การเขียนเบอร์โทรที่ประกอบด้วยหลายเลขหมาย ( Multiple numbers ) นั้น มาตรฐาน ITU-T Recommendation E.123 แนะนำให้ใช้เครื่องหมายทับ ( / ) ระหว่างตัวเลข เช่น

    * เลขหมายที่ไม่ติดกัน 0 2123 4567 / 3456 7890 / 4567 8901
    * เลขหมายที่ติดกัน สามารถย่อเป็น 0 2123 4567 / 8 / 9

แต่เราแทบจะไม่เคยเห็นรูปแบบนี้ในประเทศไทยเลย  ที่นิยมใช้และเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไป

จะใช้เครื่องหมายขีด “ - ” ระหว่าง เลขหมายที่ติดกัน หรือคั่นด้วย “ , ” สำหรับเลขหมายที่ไม่ติดกัน เช่น

    * เลขหมายติดกัน 0 2123 4567-9 หรือ 0 2123 4567-71
    * เลขหมายที่ไม่ติดกัน 0 2134 4567, 0 2345 6789

การเขียนเลขโทรศัพท์ตามแบบใหม่นี้ยังมีข้อดีคือ  เลขหมายของคนกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จะมีรูปแบบเหมือนกันทั้งประเทศ เช่น เลขหมายของชาวกรุงเทพฯ 0 2345 6789 กับเลขหมายของชาวเชียงใหม่ 0 5345 6789  ถือเป็นการลดช่องว่างระหว่างเมืองกรุง กับภูมิภาคได้อีกระดับหนึ่ง

แบ่งกลุ่มตัวเลขด้วยช่องว่าง

มาตรฐาน ITU E.123 แนะนำให้มีการแบ่งกลุ่มตัวเลขของหมายเลขโทรศัพท์  โดยใช้ สัญลักษณ์ช่องว่าง ( Spacing symbols ) เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ และความสะดวกในการบอกกล่าว  สัญลักษณ์ที่ควรใช้ที่สุดก็คือ ช่องว่าง ( space ) หรือการเว้นวรรค  ไม่ควรใช้เครื่องหมายอื่นอย่าง เช่น เครื่องหมายขีด “ - ” โดยเฉพาะเลขหมายระหว่างประเทศ  เพราะอาจสร้างความสับสนได้  โดยเฉพาะเมื่อนำไปใช้รวมกับเลขหมายที่ต่อเนื่องกัน เช่น 0-2123-4567-8 หรือ 0-2123-4567-70

ด้วยเหตุนี้ เราควรใช้ “ ช่องว่าง ” ในการแบ่งกลุ่มตัวเลขเท่านั้น  ใครที่เคยเขียนเบอร์โทรเป็น 02-123-456
นั้นก็ควรเปลี่ยนมาเขียนเป็น 0 2123 4567 ซึ่งถูกต้องกว่า  

เลิกใช้เครื่องหมายวงเล็บ ( ) กับเบอร์โทร

เครื่องหมายวงเล็บ ( ) นั้นใช้แสดงว่า ตัวเลขที่อยู่ในวงเล็บนั้นอาจไม่จำเป็นต้องใช้ในการโทร  ดังเช่น  รหัสพื้นที่ (02) สำหรับกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งแต่ก่อนสามารถโทรถึงกันได้โดยไม่จำเป็นต้องกดรหัส 02 ก่อน  เราจึงสามารถเขียนเลขหมายเป็น (02) 123 4567 หรือ (053) 123 456 ได้  เพื่อแสดงให้ทราบว่าถ้าอยู่ในพื้นที่เดียวกันไม่ต้องกดรหัสพื้นที่  แต่หลังจากการเปลี่ยนระบบเลขหมายโทรศัพท์จาก 7 หลักมาเป็น 8 หลัก ทำให้ในปัจจุบัน  เราต้องกดรหัสพื้นที่ก่อนเสมอ

ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่ควรใช้เครื่องหมายวงเล็บ ( ) ในเลขหมายโทรศัพท์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อีกต่อไป
คำแนะนำในการเขียนเลขหมายโทรศัพท์ ให้ถูกต้องตามมาตรฐานสากล Part 2/6
ใช้ +66 สำหรับเลขหมายระหว่างประเทศ ( International number )

เครื่องหมายบวก “ + ” เป็น International prefix symbol ที่ใช้นำหน้ารหัสประเทศ  และแสดงให้ทราบว่าเลขหมายโทรศัพท์ที่ตามมานั้นเป็นเบอร์โทรระหว่างประเทศ  สำหรับตัวเลข “ 66 ” นั้นก็คือ รหัสประเทศ ( Country code ) ของไทยนั่นเอง  ในการกดเบอร์โทรไปต่างประเทศด้วยเครื่องโทรศัพท์ธรรมดา  เราไม่ต้องกดเครื่องหมายบวก “ + ” แต่ถ้าโทรออกด้วยโทรศัพท์มือถือ  เราถึงจะสามารถกดเครื่องหมายบวก “ + ” ได้จริงๆ

แต่ถ้าเป็นการโทรระหว่างประเทศ  เลข 0 ซึ่งเป็น Trunk prefix นี้จะถูกละเว้นไป  นั่นเป็นเหตุผลที่เราสามารถเขียนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับการโทรระหว่างประเทศ เป็น +66 2345 6789  และไม่ควรใช้เครื่องหมายวงเล็บ ( ) และเครื่องหมายขีด (-) ในเลขหมายโทรศัพท์ระหว่างประเทศ  ซึ่งจะสร้างความสับสนได้ง่าย

หมายเลขต่อ ( ext. )

สำหรับ เบอร์ต่อนั้น  ITU แนะนำให้เขียนโดยใช้คำว่า “ ext. ” ซึ่งย่อมาจาก extension  ตามด้วยเลขหมาย เช่น 0 2345 6789 ext. 1234 แต่ของไทยเรานั้นใช้คำว่า “ ต่อ ” แทน  จึงเขียนได้เป็น 0 2345 6789 ต่อ 1234  บางทีก็เห็นใช้เครื่องหมายชาร์ป (#) แทนอย่าง 0 2345 6789 # 1234 ก็เป็นที่เข้าใจได้เช่นกัน


สรุปแนวทางการเขียนเลขหมายโทรศัพท์

จากหลักการเขียนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับสิ่งพิมพ์ และสื่อต่างๆ  ซึ่งได้แก่  การแบ่งกลุ่มตัวเลขให้ถูกต้อง การใช้ช่องว่างแยกกลุ่มตัวเลข, การเลิกใช้เครื่องหมายวงเล็บ และการใช้ “ +66 ” สำหรับเลขหมายระหว่างประเทศ  เราจึงมีแนวทางการเขียนเบอร์โทรศัพท์ดังนี้

เลขหมายโทรศัพท์ สำหรับโทรในประเทศ

เลิกใช้วงเล็บ                                                            ไม่ควรเขียนว่า (02) 345 6789
เลิกใช้เครื่องหมายขีด (-)                                   ไม่ควรเขียนว่า 02-345-6789
เลิกใช้ช่องว่างรวมกับเครื่องหมายขีด (-)                    ไม่ควรเขียนว่า 02 345-6789              
ใช้ช่องว่างแยกกลุ่มตัวเลข                                  เขียนได้เป็น 02 345 6789
แยกกลุ่มตัวเลขให้ถูกต้อง                                             เขียนได้เป็น 0 2345 6789

การเขียนเลขหมายโทรศัพท์อย่างถูกต้องนั้น  อาจจะดูแปลกในตอนแรก  หากเราลองฝืนใจทำตามคำแนะนำไปสักระยะหนึ่ง
ไม่นานก็จะรู้สึกดีขึ้น  ที่เราเขียนเบอร์โทรได้ตรงตามมาตรฐาน  ไม่ทำให้คนอื่นสับสน

สำหรับเลขหมายโทรศัพท์สำหรับติดต่อกับต่างประเทศ

ไม่ควรเขียน     (662) 3456789             เพราะไม่ควรใช้วงเล็บ และขาดเครื่องหมาย +
ไม่ควรเขียน     +66 23 456789            เพราะแบ่งกลุ่มตัวเลขไม่เหมาะสม
ไม่ควรเขียน     +66(0) 23456789         เพราะไม่จำเป็นต้องมีเลข 0 ให้สับสน
ไม่ควรเขียน     +66 (0) 2 345 6789      เพราะไม่จำเป็นต้องมีเลข 0 และยังแบ่งกลุ่มไม่ถูก  ยิ่งทำให้ดูสับสน
ไม่ควรเขียน     +66-2345-6789            เพราะไม่ควรใช้เครื่องหมายขีด (-) ที่ทำให้ดูสับสนเมื่อมีทั้งเครื่องหมายบวก (+) และลบ (-) อยู่ร่วมกัน

ควรเขียนเป็น +66 2345 6789 ซึ่งเรียบง่าย และเป็นที่เข้าใจในระดับสากล

การเขียนเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่

สำหรับติดต่อในประเทศ

ให้เขียนโดยแยก 08 ไว้ข้างหน้า  เว้นวรรคด้วยช่องว่าง  ตามด้วยเลขอีก 4 ตัว  เว้นวรรคด้วยช่องว่าง  แล้วจึงตามด้วย
เลขที่เหลืออีก 4 ตัว  เช่น  08 1234 5678

ไม่ควรเขียนเป็น (081)-234-5678, (081) 234 5678, (081) 234 5678, 081-234-5678,
081 234 5678, 08-1234-5678, (08) 1234 5678 เพราะไม่ควรใช้เครื่องหมายขีด (-) และวงเล็บ ( ) ในเลขหมาย

เนื่องจากเครื่องหมายขีดนั้นอาจทำให้สับสน  เมื่อใช้กับเลขหมายที่ต่อเนื่องกัน  ส่วนเครื่องหมายวงเล็บนั้น มีความหมายว่า
ตัวเลขที่อยู่ในวงเล็บนั้นไม่จำเป็นต้องกด เมื่อโทรในพื้นที่เดียวกัน

สำหรับติดต่อกับต่างประเทศ

ให้เขียนแบบโดยแยก +668 ไว้ข้างหน้า แล้วตามด้วยเลขอีก 8 ตัว  ซึ่งแบ่งกลุ่มด้วยช่องว่าง เช่น +668 1234 5678
โดยมีเครื่องหมายบวก (+) นำหน้า  ตามด้วยรหัสประเทศไทย  ซึ่งก็คือ 66 พร้อมตัดเลข 0  ซึ่งไม่จำเป็นในการโทรเข้าจากต่างประเทศ ออกไป

ไม่ควรเขียนเป็น +66 (0) 8 1234 5678, +66 (08) 1234 5678, +6608 1234 5678, +66 08 1234 5678, +66-08-1234-5678 เนื่องจากมาตรฐาน ITU ไม่แนะนำให้ใช้เครื่องหมายขีด (-) และวงเล็บ ( ) ในเลขหมายระหว่างประเทศ

ต้องยอมรับว่าการเขียนเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใหม่นั้น  ขัดกับความรู้สึกพอสมควร  จากเดิมที่เคยบอกเบอร์โทรว่า “ ศูนย์หนึ่ง สองสามสี่ ห้าหกเจ็ดแปด ” เมื่อต้องเปลี่ยนมาพูดว่า “ ศูนย์แปด หนึ่งสองสามสี่ ห้าหกเจ็ดแปด ” ก็รู้สึกไม่ถนัด  เพราะคนส่วนใหญ่ยังเคยชินกับเลขหมายเดิม หลายๆ คนจึงยังคงพูดว่า “ ศูนย์แปดหนึ่ง สองสามสี่ ห้าหกเจ็ดแปด ” ที่จำได้ง่ายกว่า

สรุปว่าคุณจะพูดอย่างไรก็คงไม่มีใครมาว่าอะไร  แต่ถ้าเป็นการเขียนลงในนามบัตร หรือสิ่งพิมพ์ต่างๆ  การเขียนเลขหมายในรูปแบบใหม่ก็เป็นสิ่งที่ดี ช่วยให้คนอื่นๆ รวมถึงชาวต่างชาติเข้าใจระบบเลขหมายโทรศัพท์ของเราได้อย่างถูกต้อง  และยังแสดงถึงความเป็นสากลของหน่วยงานคุณอีกด้วย
เพิ่มรายละเอียดให้ทราบว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์  โทรสาร  และโทรศัพท์เคลื่อนที่ อย่างเต็มรูปแบบ

เลขหมายโทรศัพท์ในประเทศ

โทรศัพท์ (Tel.) 0 xxxx xxxx ต่อ xxx
โทรสาร (Fax) 0 xxxx xxxxx
โทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile) 08 xxxx xxxx

เลขหมายโทรศัพท์ระหว่างประเทศ

Tel. +66 xxxx xxxx ext. xxx
Fax +66 xxxx xxxx
Mobile +668 xxxx xxxx



การเขียน Electronic Mail Address & Web Address

จาก มาตรฐาน E.123 ของ ITU ยังได้แนะนำวิธีการเขียนที่อยู่อีเมล ( Electronic Mail Address )  และที่อยู่เว็บ ( Web Address ) ไว้ด้วย  เลยถือโอกาสแนะนำให้ทราบในที่นี้ด้วย  เพื่อที่จะได้เขียนควบคู่ไปกับเลขหมายโทรศัพท์ ได้อย่างถูกต้องเช่นกัน

    * สำหรับอีเมลนั้น  ให้เขียนกำกับด้วยคำว่า “ E-mail ”, “ email ” หรือ “ อีเมล ” ตามด้วยที่อยู่อีเมล เช่น
      E-mail : me@mysite.com
    * ส่วนที่อยู่เว็บนั้น  ให้เขียนกำกับด้วยคำว่า “ Web ” หรือ “ เว็บ ” แล้วตามด้วยที่อยู่เว็บโดยไม่มี http:// นำหน้า เช่น
      Web: www.mysite.com

บทความจากหนังสือ ฉลาดโทร โทรประหยัดทั่วไทย โทรถูกทั่วโลก โดย ธวัชชัย ศรีสุเทพ

      บันทึกการเข้า
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #579 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 21:39:21 »

ขอบคุณครับพี่เจี๊ยบ ... ขออนุญาตเพิ่มเติมนิด นะครับพี่

การโทรทาง ไกลระหว่างประเทศ ... สมัยก่อนเราต้องโทรผ่าน CAT โดยการกด 001 หรือ 009 แล้วตามด้วยรหัสประเทศ แล้วตามด้วยเบอร์โทร (ถ้า 001 จะ Rate ปกติ แต่ 009 จะRate ประหยัด) ซึ่งถ้ากด + บนมือถือจะแปลงค่าเป็น 001 โดยอัตโนมัติ อัตรา่ค่าโทรปกติ ไม่ประหยัด

ปัจจุบันหลังจากเปิดโทรคมนาคมเสรีแล้ว ... นอกจาก CAT แล้ว จะมีผู้ให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นมาอีกหลายราย ....ดังนั้น นอกจาก 001 และ 009 แล้ว จึงมี 006, 007, 008, 102 ฯลฯ ซึ่งเป็นรหัสโทรทางไกลระหว่างประเทศของผู้ให้บริการในแต่ละราย

คราว นี้ค่ายมือถือ หัวใส ... หากกดเครื่องหมาย + นำหน้ารหัสต่างประเทศ แทนที่จะเป็น 001 ของ CAT เหมือนสมัยก่อน  ก็จะ Run หมายเลข ของค่ายมือถือแต่ละค่ายแทน 001 ของ CAT

ดังนั้นการโทรระหว่างประเทศ ด้วยมือถือ ถ้ากดเครื่องหมาย + แล้วตามด้วยรหัสประเทศและเบอร์โทร ก็จะได้ Rate ของค่ายมือถือแต่ละราย โดยอัตโนมัติ

เพราะฉนั้น ... email หรือ นามบัตรของผมจะไม่ใส่เครื่องหมาย + ไว้เพื่อที่ผู้โทรหาจะได้ไม่เผลอกด + ... แต่ให้กดเป็นรหัสแทน ส่วนจะเลือกเป็น รหัสใด ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวก หรือ Rate ที่ประหยัดของแต่ละค่าย ในช่วงขณะนั้นๆ ครับ


----------

Dr. Montri Charoensri
WiMAX Project Director

TT&T Public Company Limited

Mobile:  668 4874 8405
Tel:       66 2693 2100 ext. 3403
Fax:      66 2693 2400 ext. 6214
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #580 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 22:21:09 »


ได้ความรู้ใหม่เพิ่มอีกแล้วครับ น้องมนตรี


ชาติหน้ามีจริงหรือ ? ... วิสัชนาโดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

กิตติกรณ์ - วิศวะ 16 ... ส่งมา  

ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหาท่านอาจารย์ชา ( หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี )  เรื่องชาติหน้าภพหน้า  เขาสงสัยว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่ ?

      ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม ?
      ท่านอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ ?
      ผู้ถาม : เชื่อ
      ท่านอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ .... คุณก็โง่
      ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม?
      ท่านอาจารย์ชา : จะเชื่อไหมล่ะ ?  ถ้าเชื่อ .... คุณโง่ หรือฉลาด ?



แล้วท่านจึงสอนต่อไปว่า

หลายคนมาถามอาตมาเรื่องนี้  อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า  ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม ?  ถ้าเชื่อคุณก็โง่  เพราะอะไร  ก็เพราะมันไม่มีหลักฐาน-พยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้  ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา  คนเขาว่าอย่างไร  คุณก็เชื่ออย่างนั้น  คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง  คุณก็โง่อยู่ร่ำไป  ที่นี้ถ้าอาตมาตอบว่า  คนตายแล้วเกิด หรือว่าชาติหน้ามี  อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า  ถ้ามี  พาผมไปดูหน่อยได้ไหม ?  เรื่องมันเป็นอย่างนี้  มันหาที่จบลงไม่ได้  เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด

ที่นี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม ?  อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม ?  ถ้ามีพาไปดูได้ไหม ?  อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้  ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่  แต่ก็พาไปดูไม่ได้  อย่างนี้เป็นต้น  ถ้าวันนี้มี  พรุ่งนี้ก็ต้องมี  แต่สิ่งนี้เป็นของที่จะหยิบยกเอามาเป็น วัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้



ความจริงแล้ว  พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น  ไม่ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี  ไม่ต้องไปถามว่า  คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด  อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา  มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา

หน้าที่ของเราคือ  เราจะต้องรู้จักเรื่องราวของตัวเองในปัจจุบัน  เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม ?  ถ้าทุกข์  มันทุกข์เพราะอะไร ?  นี้คือสิ่งที่เราจะต้องรู้  และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง  เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต  คือถ้าวันนี้ผ่านไป  วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้  นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้  มันจะมีได้ ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ  ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน  หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป  มันก็กลายเป็นเมื่อวาน นี้เสียแล้ว  นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน  เท่านี้ก็พอแล้ว  ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี  อนาคตมันก็จะดีด้วย  อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป  มันย่อมดีด้วย  และที่สำคัญที่สุดคือ  ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว  อนาคตคือ ชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง



คนหนึ่งพูดว่า : กลัวว่าชาติหน้าจะไม่ได้เกิด

ท่านอาจารย์ชา : นั่นแหละยิ่งดี  กลัวมันจะเกิดเสียด้วยซ้ำไป



ในครั้งพุทธกาล  สมัยที่พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่  มีพราหมณ์คนหนึ่งมีความสงสัยว่า  คนตายแล้วไปไหน ?  คนตายแล้วเกิดหรือไม่ ?  ถ้าพระองค์ตอบได้ก็จะมาบวชด้วย  แต่ถ้าตอบไม่ได้หรือไม่ตอบ  แกก็จะไม่บวช  แกว่าของแกอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า  มันเป็นเรื่องอะไรของฉันเล่า  พราหมณ์จะบวชหรือไม่บวช  นั่นเป็นเรื่องของพราหมณ์  ไม่ใช่เรื่องของฉัน

พระองค์ตรัสว่า  ถ้าตราบใดที่พราหมณ์ยังมีความเห็นว่า  มีคนเกิดหรือมีคนตาย  คนตายแล้วเกิด  หรือคนตายแล้วไม่เกิด  ถ้าพราหม์ยังมีความเห็นอยู่อย่างนี้  พราหมณ์ก็จะเป็นทุกข์ทรมานอยู่อีกหลายกัลป์  ทางที่ถูกนั้น  พราหมณ์จะต้องถอนลูกศรออกเสียบัดนี้

พระพุทธเจ้าท่านว่า  ความจริงแล้วไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย  พราหมณ์คนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง  และจนกว่าแกจะได้เรียนรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เข้าใจถ่องแท้เสียแล้วนั่นแหละ  จึงจะเข้าใจคำพูดของพระองค์ได้

นั่นจึงจะเรียกว่า  การรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา  เป็นการเชื่อด้วยปัญญา

พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้  ไม่ได้สอนว่า ให้เชื่อว่าคนตายแล้วเกิด หรือไม่เกิด  ชาติหน้ามีหรือไม่มี  อย่างนั่นไม่ใช่เรื่องเชื่อหรือไม่เชื่อ  จะถือเอาเป็นประมาณไม่ได้  จะถือเอาเป็นหลักเกณฑ์ไม่ได้
    
ดังนั้น ที่คุณถามว่า  ชาติหน้ามีไหมนั้น  อาตมาจึงถามคุณว่า  ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม ?  ถ้าเชื่อ โง่หรือฉลาด ?  อย่างนี้เข้าใจไหม ?  ให้เอาไปคิดดูเป็นการบ้านนะ
      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #581 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2553, 09:23:40 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 22 ตุลาคม 2553, 22:21:09

ได้ความรู้ใหม่เพิ่มอีกแล้วครับ น้องมนตรี


ชาติหน้ามีจริงหรือ ? ... วิสัชนาโดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

กิตติกรณ์ - วิศวะ 16 ... ส่งมา  

ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหาท่านอาจารย์ชา ( หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี )  เรื่องชาติหน้าภพหน้า  เขาสงสัยว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่ ?

      ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม ?
      ท่านอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ ?
      ผู้ถาม : เชื่อ
      ท่านอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ .... คุณก็โง่
      ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม?
      ท่านอาจารย์ชา : จะเชื่อไหมล่ะ ?  ถ้าเชื่อ .... คุณโง่ หรือฉลาด ?



แล้วท่านจึงสอนต่อไปว่า

หลายคนมาถามอาตมาเรื่องนี้  อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า  ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม ?  ถ้าเชื่อคุณก็โง่  เพราะอะไร  ก็เพราะมันไม่มีหลักฐาน-พยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้  ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา  คนเขาว่าอย่างไร  คุณก็เชื่ออย่างนั้น  คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง  คุณก็โง่อยู่ร่ำไป  ที่นี้ถ้าอาตมาตอบว่า  คนตายแล้วเกิด หรือว่าชาติหน้ามี  อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า  ถ้ามี  พาผมไปดูหน่อยได้ไหม ?  เรื่องมันเป็นอย่างนี้  มันหาที่จบลงไม่ได้  เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด

ที่นี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม ?  อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม ?  ถ้ามีพาไปดูได้ไหม ?  อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้  ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่  แต่ก็พาไปดูไม่ได้  อย่างนี้เป็นต้น  ถ้าวันนี้มี  พรุ่งนี้ก็ต้องมี  แต่สิ่งนี้เป็นของที่จะหยิบยกเอามาเป็น วัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้



ความจริงแล้ว  พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น  ไม่ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี  ไม่ต้องไปถามว่า  คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด  อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา  มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา

หน้าที่ของเราคือ  เราจะต้องรู้จักเรื่องราวของตัวเองในปัจจุบัน  เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม ?  ถ้าทุกข์  มันทุกข์เพราะอะไร ?  นี้คือสิ่งที่เราจะต้องรู้  และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง  เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต  คือถ้าวันนี้ผ่านไป  วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้  นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้  มันจะมีได้ ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ  ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน  หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป  มันก็กลายเป็นเมื่อวาน นี้เสียแล้ว  นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน  เท่านี้ก็พอแล้ว  

ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี  อนาคตมันก็จะดีด้วย  อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป  มันย่อมดีด้วย  

และ ที่สำคัญที่สุดคือ  ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว  

อนาคตคือ ชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง




คนหนึ่งพูดว่า : กลัวว่าชาติหน้าจะไม่ได้เกิด

ท่านอาจารย์ชา : นั่นแหละยิ่งดี  กลัวมันจะเกิดเสียด้วยซ้ำไป



ในครั้งพุทธกาล  สมัยที่พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่  มีพราหมณ์คนหนึ่งมีความสงสัยว่า  คนตายแล้วไปไหน ?  คนตายแล้วเกิดหรือไม่ ?  ถ้าพระองค์ตอบได้ก็จะมาบวชด้วย  แต่ถ้าตอบไม่ได้หรือไม่ตอบ  แกก็จะไม่บวช  แกว่าของแกอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า  มันเป็นเรื่องอะไรของฉันเล่า  พราหมณ์จะบวชหรือไม่บวช  นั่นเป็นเรื่องของพราหมณ์  ไม่ใช่เรื่องของฉัน

พระองค์ตรัสว่า  ถ้าตราบใดที่พราหมณ์ยังมีความเห็นว่า  มีคนเกิดหรือมีคนตาย  คนตายแล้วเกิด  หรือคนตายแล้วไม่เกิด  ถ้าพราหม์ยังมีความเห็นอยู่อย่างนี้  พราหมณ์ก็จะเป็นทุกข์ทรมานอยู่อีกหลายกัลป์  ทางที่ถูกนั้น  พราหมณ์จะต้องถอนลูกศรออกเสียบัดนี้

พระพุทธเจ้าท่านว่า  ความจริงแล้วไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย  พราหมณ์คนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง  และจนกว่าแกจะได้เรียนรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เข้าใจถ่องแท้เสียแล้วนั่นแหละ  จึงจะเข้าใจคำพูดของพระองค์ได้

นั่นจึงจะเรียกว่า  การรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา  เป็นการเชื่อด้วยปัญญา

พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้  ไม่ได้สอนว่า ให้เชื่อว่าคนตายแล้วเกิด หรือไม่เกิด  ชาติหน้ามีหรือไม่มี  อย่างนั่นไม่ใช่เรื่องเชื่อหรือไม่เชื่อ  จะถือเอาเป็นประมาณไม่ได้  จะถือเอาเป็นหลักเกณฑ์ไม่ได้
    
ดังนั้น ที่คุณถามว่า  ชาติหน้ามีไหมนั้น  อาตมาจึงถามคุณว่า  ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม ?  ถ้าเชื่อ โง่หรือฉลาด ?  อย่างนี้เข้าใจไหม ?  ให้เอาไปคิดดูเป็นการบ้านนะ

                 ขออนุญาต เข้ามาจับข้อความที่เป็น หัวใจ ของกระทู้นี้  win  

                

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน  เท่านี้ก็พอแล้ว  

ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี  อนาคตมันก็จะดีด้วย  อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป  มันย่อมดีด้วย  

                                      และ ที่สำคัญที่สุด คือ  

ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว  อนาคต คือ ชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง

                       รักนะ รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #582 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2553, 17:46:59 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 03 ตุลาคม 2553, 22:53:50
ตำลาว … เด้อค่ะเด้อ !

Poomping Praison ... ส่งมา

พาไปล้วงลึกที่มาของ ' ตำลาว ' อาหารสุดหย่อย  ยิ่งใส่ปลาร้า โอ๊ย !  แซ่บหลาย  นอกจากไปชิมร้านตำลาวขนานแท้แล้ว  ยังพาไปเข้าครัวร้านตำแหลกของดาราสาวที่คุณคิดถึง  พร้อมนางเอก-นางร้ายที่ปรารถนาจะมาเล่าว่าทำไมชอบปลาร้ากันนัก



" แซบอีหลี แซบนัวหลาย " วลีสั้นๆ นี้ได้กลายเป็นวลีฮิตติดปากเหล่านักชิมทั้งหลายไปแล้ว  โดยเฉพาะเมื่อได้ลิ้มรสอาหารอีสานรสจัดอย่าง “ ตำลาว ” ส้มตำลาวของอีสาน ขนานแท้นั้นปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำปลาร้า และปูนาดองเท่านั้น  ไม่ใส่น้ำตาลทรายโดยเด็ดขาด  เพราะยิ่งใส่ก็จะทำให้กลิ่นเหม็นคาวของน้ำปลาร้าโชยออกมาได้  นอกจากนี้ยังเพิ่มรสเปรี้ยว และความกลมกล่อมด้วยผักผลไม้พื้นบ้านนานาชนิด  ทั้งมะกอกป่า มะนาว และมะเขือเหลือง

ตำลาวจะแซบ แสบ นัวขนาดไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับ ' รสมือคนตำ ' เป็นสำคัญ

ร้านน้ำตกสีดา ส้มตำลาวกาฬสินธุ์



“ ขายส้มตำอยู่ที่นี่มาเกือบ 40 ปีแล้ว  แรก ๆขายส้มตำอย่างเดียวจานละไม่กี่บาท  จนปัจจุบันนี้ตำลาวจานละ 25 บาท ” คุณป้าสีดา กำแหงพล อายุ 68 ปี เจ้าของร้านน้ำตกสีดา  บอกเล่าผ่านเมโทรไลฟ์

ส้มตำลาว รวมถึงอาหารประเภทอื่น  ดัดแปลง และปรับปรุงสูตรเพื่อให้ถูกปากคนกรุงเทพฯ  มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร - ตำลาวที่ใส่กุ้งแห้งตัวโตๆ และใช้ ' ปูแสมเค็ม' แทน ปูนา
“ ปูแสมเค็มอร่อย และมีเนื้อมากกว่าปูนา  และที่ใส่กุ้งแห้งตัวโตๆ ด้วยนั้น  ก็เพื่อความน่ากินมากขึ้น ”
“ ปลาร้าของที่นี่จะใช้ปลาร้าภาคกลาง ที่เน้นปลาร้าตัวโตๆ  ไม่เค็มจนเกินไปเหมือนปลาร้าที่นำมาจากอีสาน  แล้วจึงนำมาต้ม และปรุงรสตามสูตรเฉพาะของร้าน ”



อาหารแนะนำอื่น - น้ำตกหมู เนื้อรสจัดจ้านถึงเครื่อง , ไก่ย่าง, ปลาดุกย่าง เนื้อนุ่มๆ , ซุปหน่อไม้ที่ใช้หน่อไม้สด , ต้มแซบหมู เนื้อ , ลาบวุ้นเส้น , น้ำตกปลาดุกฟู



ชื่อร้าน ร้านน้ำตกสีดา
ที่ตั้ง บริเวณตลาดนัด วังหลัง
เปิดบริการ 10.00 - 13.00 น.
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0-2412-7180



ครกไม้ ไทยลาว ... ของผู้คนสองฝั่งโขง



“ ซำได้เมื่อยามเล้า กินข้าวอยู่เฮือน ” หมายความว่า “ ถ้ามาที่นี่แล้วเหมือนกับได้กลับไปกินข้าวที่บ้านเกิด ”
ร้านครกไม้ไทยลาวเน้นบรรยากาศอีสานเมืองอุบลฯ ที่เรียบง่าย  ปลอดโปร่งเย็นสบายด้วยลมธรรมชาติ
“ ส้มตำลาวของทางร้านมีรสชาติที่จัดจ้านเผ็ด เค็มนำ เป็นรสชาติแบบคนอีสานแท้ๆ  ปลาร้าส่งตรงมาจากเมืองอุบลฯ  ปลาร้าที่ร้านนี้จะต้มสุกเพื่อสุขอนามัยของคนกิน  อาหารของที่นี่ไม่ใส่ผงชูรสเลย  แต่จะชูรส และกลิ่นด้วยน้ำปลาร้าที่ปรุงรสแล้ว ตามสูตรเฉพาะของร้าน  และน้ำปลาดี  เส้นมะละกอดิบ  ใช้มีดสับเป็นเส้น  ความสดกรอบของมะละกอ ” สุชาติ ผาธรรม เจ้าของร้านครกไม้ไทยลาวบอกเล่าผ่านเมโทรไลฟ์



อุปกรณ์หลัก ครกไม้

“ ครกไม้เป็นวัฒนธรรมร่วมของการทำกับข้าวของผู้คนสองฝั่งโขง  เพราะชาวอีสาน และชาวลาวฝั่งซ้าย  จะทำกับข้าวอะไรก็ตามจะต้องใช้ครกเป็นอุปกรณ์สำคัญ  ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของชื่อร้านครกไม้ไทยลาวในวันนี้ ”
ร้านครกไม้ไทยลาวเปิดบริการมากว่า 10 ปีแล้ว  มีอาหารอีสานสไตล์เมืองอุบลฯ นานาชนิด  อาทิ  ไก่อบกะละมัง ( หนังกรอบเนื้อนุ่ม ) เข้าได้ดีกับตำลาว , ลาบ น้ำตก หมู เนื้อ , ปลาเนื้ออ่อนนึ่งจิ้ม

ชื่อร้าน ครกไม้ไทยลาว
ที่ตั้ง เลขที่ 6/257 หมู่ 1 ซอยลาดปลาเค้า 24 แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10230
เปิดบริการ เวลา 11.00-23.00 น.
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0-2570-6234-5



ตำแหลก ส้มตำรสแซบ
เปิ้ล วีนัส มีวรรณ์




ร้าน “ ตำแหลก ” เกิดจากความชื่นชอบในรสชาติของส้มตำ  กลิ่นมะนาว กลิ่น กระเทียม น้ำปลา ปูเค็ม ปลาร้า เสียงครกทักทายปลายสากของเจ้าของร้าน...เปิ้ล วีนัส มีวรรณ์  หากดูในมิติของนักชิม และนักทดลอง  วีนัสถือว่าหาตัวจับยากในมิติของผู้ประกอบการ  เธอก็ไม่ได้ขาดหรือพร่องที่จะรับผิดชอบลูกค้าในด้านความสะอาด และใช้วัตถุดิบอย่างดี

ตำส้มตำขายเหมือนกับทำกินเอง  เรียกง่ายๆ ว่าตำแหลกใจป้ำว่างั้นเถอะ  วัตถุดิบที่นี่คุณภาพดี  ซื้อมาแบบวันต่อวัน  ถั่วก็คั่วเอง  ตำปูม้าต้องเผ็ดมากกว่าตำไทย  เอาความเผ็ดกับความเปรี้ยวไปลดกลิ่นปูม้าดอง ( ที่ดองเองกับมือ )  เพราะบางคนอาจจะไม่มั่นใจ  เกรงว่าจะเหม็นคาว



ร้านนี้ครก 5 ใบ - ใบแรก สำหรับยำหอยดอง ปูม้า  ใบที่สองสำหรับปูจืด  ใบที่สามสำหรับตำมั่วมะกอกใส่กะปิ  ใบที่สี่สำหรับตำปลาร้า  และใบที่ห้าสำหรับตำไทย ตำผลไม้
ก่อนลงสาก หนึ่ง. ใช้มะละกอดำเนินฯ  สอง. ตำไทย เส้นขูด , ตำลาวเส้นสับ  สาม.ตำลาวใช้ครกหิน , ตำผลไม้ต้องใช้ครกไม้  สี่. แต่ละครกจะมีวิธีลงสากไม่เหมือนกัน  เพื่อให้เส้นมันกรอบ และไม่แหลกจนเกินไป

เคล็ดลับความอร่อย

มะละกอ - ต้องดำเนินสะดวกเท่านั้น  แช่เย็นธรรมดา “ ถ้าเป็นมะละกอที่อื่นจะตีกลับเลยไม่อร่อย  เส้นเหนียว ”
ปลาร้า - ปลาร้าแดง กับปลาร้าดำผสมกัน  สูตรอยู่ที่การต้ม  ซึ่งจะใส่พวกใบหม่อน และเครื่องเคียงอื่นๆ ลงไปผสมผสาน  ซึ่งรับประกันความอร่อยแซบ และแปลกแน่นอน

ไม่หวงสูตร

“ บางทีลูกค้ามาสั่งตำผลไม้ไปแช่เย็นเพื่อกินตอนเช้า  เปิ้ลบอกว่า พี่ เดี๋ยวเปิ้ลสอนให้  ดูนะว่าเปิ้ลใส่อะไรบ้าง  แต่เขาก็กลับมาอีก  เขาบอกว่า ไม่ได้รสอย่างที่เปิ้ลทำให้กินที่ร้าน  เปิ้ลสอนหมด  เปิ้ลไม่หวง  นิตยสารต่างๆ มาขอสูตรส้มตำ  เปิ้ลก็ให้หมด  แม้แต่วิธีดองปูม้าบอกหมดเลย ”
ส้มตำมากกว่า 20 เมนู  และยังมีอาหารแนะนำอย่างอื่นที่หลากหลาย  อาทิ  ไก่ทอดสมุนไพร , ยำปลาดุกฟู , ตำมะม่วงปลากรอบ , ลาบเป็นคั่วสมุนไพร , แกงหน่อไม้เปรี้ยวไก่บ้าน , ต้มแซบกระดูกหมูอ่อน , ปลาทอดสมุนไพร , ปลาแรดแดดเดียว , ปลากะพงผัดฉ่า ฯลฯ

ชื่อร้าน ร้านตำแหลก
ที่ตั้ง ปากซอยรามคำแหง 120 ถ.สุขาภิบาล 3 กรุงเทพฯ 10240
เปิดบริการเวลา 11.00 น. - 21.30 น. ( หยุดทุกวันพุธที่ 2 และ 4 ของเดือน )
สอบถามรายละเอียด โทร. 0-2728 – 1190 - 1
หมายเหตุ  มื้อเที่ยงและเสาร์ - อาทิตย์  กรุณาโทร. จองโต๊ะก่อนล่วงหน้า


ของแท้ ! ! จับสากมือซ้าย

ไม่เชื่อก็ต้องนิดนึงนะ  เปิ้ล วีนัส มีวรรณ์ เกิดวันพุธ  ราศีกันย์  จึงใช้สีเขียวเป็นสีหลัก  เป็นสีของมะลอกอดิบด้วย  แล้ววงกลมสีแดง  ก็เป็นสีของพริก
จับสากมือซ้าย - เป็นเคล็ดว่า ใช้มือขวาตำจนเมื่อย  เพราะขายดี  จึงต้องเปลี่ยนมาใช้มือซ้ายแทน ! ?
เปรียบตัวเองเป็นส่วนผสมส้มตำ - พริก คือ ความแสบและเผ็ดร้อน

นางเอก VS ปลาร้า
อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ




เมื่อก่อนเธอไม่กินปลาร้า  จนมาเปิดร้านอาหารอีสานก็เลยต้องลองลิ้มความอร่อย  จนติดอกติดใจ  จนถึงวันนี้  เป็นเวลาสักปีกว่าๆ มานี่เอง  “ อั้มกินส้มตำรสจัดมาก  ใส่พริกทีละ10 เม็ด  ชอบกินน้ำปลาร้า  อั้มไม่ได้เลือกร้านไหน  เฉพาะ ร้านรถเข็น  หาบเร่  ตามกองถ่ายกินได้หมด  นี่ก็เพิ่งกินส้มตำปลาร้าที่สยามฯ ไป 3 จานรวด  อั้มก็ตำเป็นนะทำอร่อยด้วย  แต่คนที่ไม่กินเผ็ดจะกินของอั้มไม่ได้  เพราะอั้มตำทีใส่ปลาร้า พร้อมขยุ้มพริกเป็นกำมือ ”

เคล็บลับหลังอาหารกลิ่นแรง  ลูกอมดับกลิ่นปาก และพยายามพูดให้น้อยที่สุด

นางร้าย VS ปลาร้า
เปิ้ล ไอรีณ ศรีแก้ว



 
“ ส้มตำเป็นอาหารบิวตี้สำหรับเปิ้ล  เพราะเวลาจะลดน้ำหนักทีไร  จะนึกถึงและเดือดร้อนส้มตำเป็นอันดับแรกทุกทีเลย  แคลลอรีต่ำ ไม่มีเนื้อสัตว์ และได้แคลเซียมจากปลาร้าสูงที่สุด ( ข้อมูลโภชนาการด้านปลาร้าที่เปิ้ล ไอรีณ บอกนี้  โปรดใช้วิจารณญาณ  ห้ามอ่านเกินวันละ 2 รอบเพราะจะอาจทำให้เข้าใจผิดได้ ) ”
ส้มตำแบบว่าปลาร้าใส่ปู  และใส่น้ำตาลหวานๆ ไม่รับค่ะ
“ ต้องถึงพริกถึงขิงจริงๆ  แบบที่ชาวอีสานเขากิน  ถึงจะได้รู้ถึงรสชาติ  และคำว่า แซบหลาย ใส่พริกสัก 20 เม็ด  ตามด้วยปู และปลาร้าเป็นต่อนโตๆ ด้วย สำคัญที่สุด ”
ร้านประจำของเปิ้ล ไอรีณ  คือ ร้านตำลาวของสามีกิ๊ก-สุวัจนี (ไ ชยมุสิก ) อยู่ตรงซอยลาดพร้าว 35
“ รสชาติที่โดดเด่นของร้านนี้ก็คือ  ส้มตำที่มีรสชาติอีสานดั้งเดิม  ปลาร้าใส่ต่อนโตๆ  กินแกล้มกับสเต๊กปลาบึกร้อนฉ่า และพวกอาหารแปลกๆ  กุ้งเต้นกินทั้งๆ ที่ไม่ตาย  ร้านส้มตำแถวข้างทาง  เปิ้ลก็กินนะ  ร้านประจำอยู่แถวทาวน์อินทาวน์  ซึ่งมันจะปิดดึกมาก ประมาณเที่ยงคืนตีหนึ่ง”

ขั้นตอนตำลาวให้อร่อย



วิธีทำตำลาวให้แซบนัว นั้น

1. มะละกอจะต้องนำมาสับโดยใช้มีดเท่านั้น  ห้ามใช้เครื่องขูดโดยเด็ดขาด  เพราะจะได้เส้นมะละกอที่เล็กบางเกินไป

2. พืชผักรวมถึงเครื่องปรุงทุกอย่าง จะต้องสดใหม่

3. ขั้นตอนของการตำ  เริ่มด้วยการตำพริกขี้หนูสดกับกระเทียมให้แหลกละเอียดในครก  เพื่อให้ได้รสเผ็ดจัดจ้าน

4. เติมพืชผักที่ให้รสเปรี้ยว คือมะเขือเทศ  มะกอกป่าทั้งเปลือก  ที่ให้รสชาติเปรี้ยวอมหวาน  มะนาวทั้งเปลือกที่ช่วยให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน  ทีสำคัญจะลืมไม่ได้เลยในส้มตำลาว  นั่นคือมะเขือเหลือง  รสขื่นของมะเขือจะช่วยลดความเค็มของปลาร้า  ทำให้รสชาติของตำลาวกลมกล่อมขึ้น

5. การปรุงรส  เริ่มด้วยใส่น้ำปลาร้าต้มสุกที่ปรุงรสเรียบร้อยแล้ว  ตามด้วยน้ำปลาดี ตามปริมาณชอบใจ

6. ตำลาวจะให้ถึงเครื่อง  ต้องห้ามใส่น้ำตาลโดยเด็ดขาด  เพราะจะเป็นตัวกระตุ้นให้ปลาร้าเกิดกลิ่นที่รุนแรงยิ่งขึ้น

7. คลุกเคล้าให้เข้ากันชิมรสตามชอบ  ต้องเผ็ด เปรี้ยว และเค็มนำ  จากนั้นจึงใส่เส้นมะละกอ  ถั่วฝักยาวหั่น  และปูนาดองต้มสุก  ตำคลุกเคล้าให้เข้ากัน เป็นอันเสร็จพิธี

หมายเหตุ - รสชาติดั้งเดิมของตำลาวจะเน้นเผ็ด เค็ม ไม่เปรี้ยวมาก  มีน้ำขลุกขลิกจากน้ำปลาร้า และพืชผักต่างๆ

รู้ไหมตำลาว 1 จาน  มีประโยชน์อะไรบ้าง ?



ตำลาว 1 จาน  มีพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยามากมาย  โดยเฉพาะ

มะละกอ  ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลัก  มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงน้ำนมสำหรับสตรีหลังคลอด  ขับพยาธิ  แก้บิด  แก้เลือดออกตามไรฟัน  ริดสีดวงทวาร  ทั้งช่วยย่อยอาหาร  ขับน้ำดี และน้ำเหลือง

มะเขือเทศ  ช่วยระบาย  อุดมด้วยวิตามินที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ

มะกอกป่า  แก้ธาตุพิการ  ทำให้ชุ่มคอ  พริกขี้หนูรสเผ็ดร้อนช่วยขับลม และเจริญอาหาร

กระเทียม  ช่วยขับลมในลำไส้  ลดน้ำตาลในเลือด

มะนาว  ช่วยฟอกโลหิต  แก้ไอ

ผักแกล้มทั้งหลาย อาทิ กะหล่ำปลี ผักบุ้ง กระถิน ถั่วฝักยาว  มีคุณสมบัติทางยาที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของกระเพาะอาหาร  ทั้งยังเป็นยาระบายอ่อนๆ

ถ้าปลาที่นำมาทำปลาแดกนั้น  หากมีตัวโตๆ หรือค่อนข้างโต  จะต้องสับให้เป็นชิ้นๆ ก่อน  เพื่อให้ความเค็มแทรกซึมเนื้อปลาได้อย่างทั่วถึง

ระยะเวลาที่เหมาะสมในการหมักปลาแดกนั้น ประมาณ 8 -12 เดือน  จึงจะสามารถนำออกมารับประทานได้  หากเร็วเกินไปปลาแดกจะมีกลิ่นคาว  หากหมักต่ออีกนานๆ  ปลาแดกจะมีสีแดงๆ  เมื่อเปิดไหจะส่งกลิ่นหอม  แต่ถ้าใส่เกลือไม่พอกลิ่นของปลาแดกจะแปลกไปเป็นอีกกลิ่นหนึ่ง  คนที่ไม่คุ้นเคยอาจจะบอกว่าเหม็นคาว  แต่คนอีสานจะเรียกปลาแดกชนิดนี้ว่า “ ปลาแดกต่วง ” จะเหมาะมากกับการนำไปปรุงรสส้มตำ  หรือรับประทานกับเส้นขนมจีน  แต่ไม่เหมาะกับการนำไปรับประทานหรือปรุงอาหารอย่างอื่น

ปลาแดกต่วง ถือว่าเป็นปลาแดกคุณภาพต่ำ  ประโยชน์ใช้สอยน้อย  ไม่นิยมซื้อขายแลกเปลี่ยน หรือเป็นของฝาก  อีกทั้งราคามูลค่าก็ต่ำด้วย  ปลาแดกสามารถเก็บไว้ได้นานตลอดทั้งปี  แต่คนอีสานโดยมากจะนำไปรับประทาน  ปรุงอาหาร หรือนำมาขายจนหมด  เมื่อมีปลาแดกรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่  ปลาแดกที่มีอายุข้ามปีจึงเป็นสิ่งที่มีราคาแพง และหาได้ยาก

“ ปลาแดก ”
 


คำว่า “ แดก ” ในภาษาอีสาน หรือภาษาลาวเป็นคำกิริยาที่แสดงอาการ มีความหมายถึงการดัน  การยัดสิ่งหนึ่งเข้าไปในภาชนะ หรือสิ่งของอีกสิ่งหนึ่ง เมื่อคำว่า “ แดก ” มารวมกับคำว่า “ ปลา ” จึงหมายถึงว่า การดัน หรือยัดปลาเข้าไปในไห

“ แดก ” มาจากคำว่า “ แหลก ” คือปลาที่นำมาทำปลาแดกนี้ จะเป็นปลาเล็ก ปลาน้อย  หรือปลาชิ้นใหญ่ ก็จะนำมาสับหรือตำให้ “ แหลก ” เพื่อให้เกลือซึมซับเข้าเนื้อปลาได้อย่างทั่วถึง

ส่วนประกอบหลักของการทำปลาแดกนั้น  มี 3 อย่างด้วยกันคือ ปลา , รำข้าว หรือข้าวคั่ว และเกลือสินเธาว์

ชนิดของปลาแดก

1.ปลาแดกปลาใหญ่  คือปลาแดกอย่างดี ใช้ปลาตัวใหญ่  หมัก 1 ปีขึ้นไป  สนนราคาจะอยู่ที่ 200-300 บาทต่อ 1 กิโลกรัม  แหล่งผลิตคืออุบลราชธานีกับกาฬสินธุ์

2.ปลาแดกผสม  ทำมาจากปลาหลายๆ ชนิดรวมกัน  หมัก 8 - 12 เดือน  สนนราคาจะรองลงมาหน่อย  ชาวบ้านทั่วไปจะทำไว้เพื่อรับประทานเองในครอบครัว

3.ปลาแดกปลาน้อย  ทำจากปลาตัวเล็กตัวน้อย  รวมทั้งกุ้งฝอย  ใช้เวลาหมักน้อยที่สุดไม่เกิน 1-2 เดือน  รสชาติของปลาร้าชนิดนี้จะออกเปรี้ยว  ชาวอีสานเรียก “ ส้มปลาน้อย ”

4.ปลาแดกต่วง  คือปลาแดกที่ใส่เกลือน้อยๆ ในตอนหมัก  มีกลิ่นแรง  เป็นสิ่งที่โปรดปรานสำหรับบางคน

5.ปลาแดกอึ่ง  ทำมาจากอึ่งอ่าง  เป็นปลาแดกอีกประเภทหนึ่งซึ่งหากินยากที่สุด  พบเฉพาะในท้องถิ่นที่อึ่งอ่างชุกชุมเท่านั้น
พี่เจี๊ยบขราาาาาา  มาดูตอนนี้น้ำลายสอเลยค่ะ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #583 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2553, 12:50:31 »

จ้า  น้องอ้อย ... วันนี้  วัน Halloween นะ ...


Wish you all a scary and horrible Halloween

 บรึ๋ยยย






      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #584 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2553, 21:26:43 »


ย้อนเจาะแผนช่วยคนงานเหมืองชิลี ความมหัศจรรย์ .. สร้างได้

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

ความมหัศจรรย์จากความมุ่งมั่นของปฏิบัติการช่วยคนงานติดในเหมืองถล่มที่ชิลี  ทำให้ผมอยากรู้ว่าเขามีวิธีการวางแผนอย่างไร  ยิ่งรู้ก็ยิ่งทึ่งมากขึ้นครับ

รูปแสดงระดับความลึก และผังเส้นทางหลักลงเหมือง ก่อนเกิดการถล่ม



ลองนึกดูนะครับ  เหมืองมีเส้นทางลงสู่ก้นเหมืองลึกมาก  ถูกดินถล่มปิดทางออกเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม  ติดต่อใครไม่ได้  จนเวลาผ่านไป 17 วัน  หน่วยกู้ภัยพบกระดาษจากท่ออากาศของเหมืองเขียนข้อความว่า " มีคนติดอยู่ข้างในเหมือง 33 คน  อยู่ในพื้นที่หลบภัยฉุกเฉิน ( refuge ) "  ทำให้รู้ว่าคนเหล่านั้นอยู่ลึกจากผิวดินประมาณ 700 เมตร

ความน่าทึ่งคือ คนเหล่านี้อยู่ในอุโมงค์ยาว 1.25 ไมล์ ใต้ดินได้อย่างมีวินัยตลอด 17 วัน  ประมาณว่าแต่ละคนน้ำหนักตัวน่าจะลดลงคนละ 10-20 ปอนด์  อาหารที่แต่ละคนได้กิน ทุก ๆ 48 ชั่วโมง  คือปลากระป๋องคนละสองช้อน  นมครึ่งถ้วย  บิสกิตครึ่งชิ้น

รูปนี้แสดงตำแหน่งที่เจาะรูลงไปหาคนงานในเหมือง




ผมชอบภาพข้างล่างนี้  เห็นชัดเจนว่าการขุดเจาะมุ่งไปยังพื้นที่ที่คนงานติดอยู่
 


มาดูแผนการขุดเจาะภาพรวมก่อน  มีการเจาะ 3 แผน  เริ่มงานต่างเวลากัน  การเจาะที่ทำให้การช่วยชีวิตสำเร็จคือ การเจาะรูขนาดเล็ก 33 ซ.ม.
ลงไปถึงบริเวณคนงานอยู่ ( การเจาะ A )

ขั้นต่อมา  ขยายรูให้กว้างขึ้นเป็น 70 ซ.ม.  การเจาะนี้จะมีเศษดิน และหินร่วงลงไป  บริเวณอุโมงค์เหมือง ( ย้อนไปดูที่รูปแรกสุด )  คนที่ติดอยู่ใต้ดินต้องใช้รถบรรทุก  รถเครน  ตักเศษดิน หิน ออกจากบริเวณปลายรู  น้ำมันเชื้อเพลิงส่งผ่านท่อลงไปให้ตามความจำเป็น

นึกดูนะครับ  ลำพังอากาศหายใจยังอึดอัดเลย  นี่ยังมีรถเพื่อขนย้ายดินปล่อยควันอีกต่างหาก

เมื่อได้รูขนาดใหญ่พอ  ก็จะใส่แคปซูล " ฟีนิกซ์ " ขนาดบรรทุกคนได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น  แคปซูลถูกสร้างขึ้นมาสามตัว โดยวิศกรนาวี ( Navy Engineer )  แคปซูลนี้มีล้อรอบตัวลดแรงกระแทก  ในแคปซูลมีระบบสื่อสารไร้สาย  มีถังอากาศอัดความดันสำรองไว้  และถ้าเกิดอุบัติเหตุแคปซูลผ่านขึ้นมาไม่ได้  ผู้โดยสารข้างในสามารถปล่อยแคปซูลให้ค่อยๆ เลื่อนลงไปยังอุโมงค์ได้อย่างช้าๆ  แคปซูลบรรทุกคนงานขึ้นมาจากระดับ 700 เมตร  ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที



จากข่าวทราบว่า วิศวกรไทยมีบทบาทในการเชื่อมต่อท่อที่วางไปในรูลึกลงไปประมาณ 100 เมตรแรก  มีเรื่องตื่นเต้นคือ  เจ้าแคปซูลฟินิกซ์เกิดมีเหตุประตูติดขัดในช่วงทดสอบก่อนปฏิบัติการ  ต้องเลื่อนการเริ่มขนย้ายคนออกไปเล็กน้อย

การขนย้ายเริ่มด้วยการส่งเจ้าหน้าที่กู้ภัย และเจ้าหน้าที่การแพทย์ลงไป  เมื่อเตรียมตัวคนงาน  จำแนกกลุ่ม  และจัดลำดับก่อนหลังเรียบร้อย  จึงเริ่มขนส่งคนงานขึ้นมา

ช่วงแรก เป็นกลุ่มคนแข็งแรงที่สุดขึ้นมาก่อน  ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการยืนยันให้แน่ใจว่าระบบใช้การได้ดี  หากมีเหตุฉุกเฉินก็จะแก้ไขได้  ต่อมาจะเป็นกลุ่มคนที่ร่างกายอ่อนแอ  หรือเจ็บป่วย  และกลุ่มที่เหลือตามมาในช่วงที่สาม  รวมทั้งหัวหน้ากลุ่มคนงานขึ้นมาเป็นคนสุดท้ายของกลุ่ม   แต่ก็จะมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยขึ้นสู่พื้นดินเป็นคนท้ายที่สุด


ขอบคุณรูปและข้อมูลของสำนักข่าว บี_บี_ซี
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #585 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2553, 11:46:43 »

เปิดตัว เก้าอี้ยืน บนเครื่องบิน‏

มนูญ- วิศวะ 16 ... ส่งมา



บริษัทอิตาเลียน โชว์ " เก้าอี้ตั๋วยืน " สำหรับชั้นประหยัด

รายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศ เปิดเผยภาพ เก้าอี้ยืน ในโครงการตั๋วยืนบนเครื่องบินของบริษัท Aviointeriors ที่นำมาจัดแสดงในงาน Aircraft Interiors Expo ที่ ลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ เก้าอี้ดังกล่าวมีพื้นที่กว้างประมาณ 30 นิ้ว จะเป็นที่นั่งแบบล็อคตัวในแนวตั้ง แต่อยู่ในท่าทางการยืน  ซึ่งคาดว่าจะถูกนำมาใช้กับตั๋วผู้โดยสารชั้นประหยัด ของสายการบินต้นทุนตํ่า

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้คงต้องผ่านการพิจาราณาของของหลายฝ่าย  ในเรื่องประสิทธิภาพความปลอดภัยของผู้โดยสาร ที่ต้องยืนตลอดการเดินทาง

ถ้าให้ยืนไม่เกิน 2 ชั่วโมง  แต่ค่าโดยสารถูกม้าก เหมือนไป ฟรี ... ก็ไม่เลว นะ


โลก หนอ โลก ... ทำไม๊ จะต้องประหยัด " ที่ " กันซะขนาดนี้ ?


พ้มจาไปห้องน้ำครับ


แล้วอิชั้น จะโดยสารได้เหรอยะเนี่ย ?






ขอบคุณภาพข่าว จากสำนักข่าวรอยเตอร์


      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #586 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2553, 14:31:41 »

พี่เจี๊ยบขา,
วันก่อนดูสารคดีภาคค่ำ
เค้าพูดถึงตึกในกรุงเทพ
ที่สร้างโดยสถาปนิกชาวสิงคโปร์
เกี่ยวกับแนวคิดใหม่ที่ว่าตึกที่พักอาศัย
ไม่ควรดูทึบ-แท่ง-เป็นบล็อก เหมือนกันหมด
เค้าจึงออกแบบมีช่องลอดของลม
โปร่ง และ เหมือนอาศัยบนดิน!
คือปลูก วางต้นไม้ได้

ในหนังตึกเสร็จแล้วคะ
สวยทีเดียว!
จำได้แน่ๆว่าเคยผ่านตามาจากกระทู้พี่
ไม่รู้หน้าไหนคะ
ฟังชื่ออาคารไม่ทันค่ะเพราะเปลี่ยนช่องทีวีไปเจอะพอดี
ว่าอะไรBangkok Bangkokให้สะดุดหู
เลยนึกถึงพี่ขึ้นมา


nn.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #587 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2553, 22:34:46 »

ยังหา Sendungที่เป็นฟิล์มไม่เจอคะ
แต่เจอข่าว!

ตึกนี้ชื่อ The Met สูง 230 ม.
โอ,ได้รับรางวัล  Der 4.Internationalen Hochhauspreis
ออกแบบก่อสร้างโดยสถาปนิกชาวสิงคโปร์ชื่อ Wong Mun Summ
วันนี้คะ...ที่ Frankfurt เค้าจะได้รับรางวัล
global trend setting เพราะทั้งอาคารในสภาพอากาศร้อน
แต่ไม่ต้องใช้แอร์...เพราะทั้ง 4 ด้านของ 370 อพาร์ตเม้นต์
เปิดรับลม ผ่านโกรก...สบาย!

รางวัลชนะเลิศนี้...เป็นเงินรางวัล 50,000 €
Wong Mun Summกล่าวว่าสำนักงานของเค้า
อำลาแนวคิดที่จะสร้างตึกสูงเลียนแบบต่างประเทศ
แต่จะสร้างเข้ากับสภาพแวดล้อม ภูมิอากาศ
กรรมการผู้ตัดสิน Spencer de Grey ว่า The Met
เป็นอาคารที่"หายใจ"ได้.

รางวัลนี้มีขึ้นครั้งแรก ปี 2004
และจัดต่อเนื่องทุก 2 ปี,อาคารที่ส่งเข้าประกวด
ต้องสูงไม่ต่ำกว่า 100 ม.และแบบสวย
เร้าใจ ใช้ประโยช์ได้จริง
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #588 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2553, 22:39:59 »



The Met...เติบโตสร้างสีเขียว...ขึ้นข้างบน!


Quelle: http://www.kleinezeitung.at/allgemein/bauenwohnen/2554079/hochhauspreis-innovativster-wolkenkratzer-welt-steht-bangkok.story
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #589 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2553, 22:45:46 »

International Highrise 2010 คะชื่อรางวัล



http://www.international-highrise-award.com/de/index2.html
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #590 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2553, 22:54:20 »

เจอฟิล์มแล้ว!
ยิ้ปปี้!!
แฮพก่อนคะ
รอแผล็บคะพี่น้อง


ชมรูป The Met (Metropolitan)ไปพลางๆคะ





      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #591 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2553, 23:05:21 »

แฮพไม่ได้คะ

http://www.zdf.de/ZDFmediathek/beitrag/video/1182934/Der-Gewinner-des-intern.-Hochhauspreises#/beitrag/video/1182934/Der-Gewinner-des-intern.-Hochhauspreises
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #592 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2553, 23:11:35 »

ก็ดูกันชัดๆอีกที
นานๆจะได้รับรางวัล









Quelle: http://www.international-highrise-award.com/the_met_slides.htm
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #593 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2553, 23:24:49 »

รางวัลนี้ประกาศตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกาแล้วคะ
เจ้าของรางวัล บริษัท WOHA สิงคโปร์
Mun Summ Wong วันแถลงข่าวที่ Frankfurt
งั้นก็ศุกร์ที่แล้วคะ ไม่ไช่ศุกร์นี้





กะคู่สถาปนิก เจ้าของWOHAทั้งคู่



Quelle: http://www.art-magazin.de/architektur/35151/hochhauspreis_2010_auszeichnung?bid=35148&cp=8
      บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #594 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2553, 01:02:29 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2553, 14:31:41
พี่เจี๊ยบขา,
วันก่อนดูสารคดีภาคค่ำ
เค้าพูดถึงตึกในกรุงเทพ
ที่สร้างโดยสถาปนิกชาวสิงคโปร์
เกี่ยวกับแนวคิดใหม่ที่ว่าตึกที่พักอาศัย
ไม่ควรดูทึบ-แท่ง-เป็นบล็อก เหมือนกันหมด
เค้าจึงออกแบบมีช่องลอดของลม
โปร่ง และ เหมือนอาศัยบนดิน!
คือปลูก วางต้นไม้ได้

ในหนังตึกเสร็จแล้วคะ
สวยทีเดียว!
จำได้แน่ๆว่าเคยผ่านตามาจากกระทู้พี่
ไม่รู้หน้าไหนคะ
ฟังชื่ออาคารไม่ทันค่ะเพราะเปลี่ยนช่องทีวีไปเจอะพอดี
ว่าอะไรBangkok Bangkokให้สะดุดหู
เลยนึกถึงพี่ขึ้นมา


nn.

NN ... อาคารที่หนิงบอกว่าเคยผ่านตามาก่อนน่ะ ชื่อ " อาคารมหานคร "  เรื่อง และรูปอยู่ที่หน้านี้ ของกระทู้นี้แหละ

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,1408.400.html

ขอบคุณหลายๆ ที่เล่าเรื่องตึก The Met สู่กันฟัง  ได้ความรู้ทางด้านสถาปัตยกรรมทันสมัย และประหยัดพลังงานเยอะเลยค่ะ

แต่ผู้อ่านเป็นฮ้วง เป็นห่วงว่า  อาคารที่ไม่ติดเรื่องปรับอากาศ และเปิดโล่ง  สร้างแล้วจะอยู่อาศัยได้จริงๆ เร้อ ?  ผู้อยู่อาศัยเค้าจะมีปัญหาเรื่องฝุ่นมาจับข้าวของจนหนาเตอะมั้ย ? ( แม่บ้านทำความสะอาดกันสลบพอดี )  พวกกระดาษ และทรัพย์สมบัติต่างๆ มิปลิวว่อน หายหมดรึ  เพราะยิ่งสูง ลมยิ่งแรง  นกบินเข้ามาอึ  ยุงบินมารบกวนทั้งวัน ทั้งคืน  และอีกสารพัดปัญหา  เค้าวางแผนป้องกันไว้ล่วงหน้า รึเปล่า ?  อ๊ะ  อ้าว !  แล้วเราจะต้องไปห่วงเค้าทำไมล่ะนี่ ?
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #595 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2553, 19:30:08 »

เอ,พี่เจี๊ยบ
ยิ่งสูงลมยิ่งเย็น
ยิ่งสูงยิ่งไม่มียุง
ยิ่งสูงฝุ่นยิ่งน้อย
ยิ่งสูงยิ่งเงียบนี่คะ?

เลยค้นกันอีกรอบคะ สำหรับ... The Met

ติดหูตรงที่สถาปนิกบอกว่า...
อาคารลักษณะนี้ไม่ไช่จะสร้างเพื่อ
คนมีเงินจ่าย (อาคารมหานคร 30-300ล้าน/unit
โห,พี่ คนชั้นกลางทำยังไงล่ะเนี่ย??มิต้องแหงน
เป็นตูบมองเครื่องบินเหรอคะนี่?)
แต่ควรเป็นconceptสำหรับอาคารที่อยู่อาศัย
ที่คนทั่วไปมีกำลังซื้อหาได้ในชั่วชีวิตนี้........

Bravo!










หาราคาไม่เจอคะว่า unitละเท่าไหร่
clickหากันมือเป็นระวิงแล้วเนี่ย....




Quelle: http://www.archdaily.com/40378/the-met-woha/
      บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #596 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2553, 23:25:30 »


ท่านรองนายกรัฐมนโท แห่งสภาโจ๊ก  ฝากข่าว " พี่บวร " ให้เจี๊ยบมาบอก มาเล่า ค่ะ



Date: Tue, 16 Nov 2010 21:23:22 +0700
Subject: ฝากข่าวพี่บวร ให้ชาวหอทราบ
From: tavonchote@gmail.com
To: r_nantika@hotmail.com

เจี๊ยบ

       คงพอว่างจากการเตรียมงานจุฬาฯ รุ่น16 นะ   ขอช่วยแจ้งข่าวให้ชาวหอทราบ
 
รายการ Money Talk  สัมภาษณ์ " ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTAR "

จะออกอากาศ 22.00 - 23.00 วันอาทิตย์ที่ 21 พ.ย. 2553  ช่อง 178  ทรูวิชั่น

และออกอากาศซ้ำอีก วันอังคาร และวันศุกร์
 
      ขอบคุณมาก

            ถาวร


จ้า ... จะคอยจ้องอยู่หน้าจอ แบบหูตั้ง ตาไม่กระพริบ แน่น้อน !
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #597 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2553, 14:22:47 »

9 อาหารชวนหนุ่มหลับฝันดี  http://health.kapook.com/view16857.html
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #598 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2553, 10:14:23 »

ขอบคุณครับ น้องเริง ที่นำข่าวดีเรื่องอาหารที่มีประโยชน์มาฝากหนุ่มๆ ... พออ่าน comment ต่างๆ ที่ตามมาจากข่าวความรู้นี้ ก็ให้หงุดหงิดกับหลายๆ ความเห็นที่ " กวน กวน " นะ


เกิดวันที่เท่าไหร่ เหมาะกับงานแบบไหน ... ดู ขำ ขำ นะจ๊ะ  อ่านซิว่า แม่นมั้ย ?

น้องสืบศักดิ์ - บัญชี xx ... ส่งมา

คนเกิดวันที่ 1
คนที่เกิดวันนี้จะเป็นคนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชอบความท้าทายตลอดเวลา
 
สไตล์การทำงาน :
เป็นที่ชอบคิดในสิ่งต่างๆ แปลกใหม่ตลอดเวลา สามารถแก้ไขปัญหาให้กับคนอื่นได้ดี ด้วยเหตุผลที่ว่า " สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ จะมีทางเป็นไปได้ " ในการทำงานคุณชอบเป็นคนวางแผนอนาคตไว้ด้วยตัวเอง
 
อาชีพที่เหมาะสม :
คุณเหมาะกับอาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ใช้ความคิดของตนเองในการนำเสนอออกมา อาจจะเป็น ดีไซน์เนอร์ ครีเอทีฟ หรือศิลปิน
 
คนเกิดวันที่ 2
เป็นคนที่มีความประนีประนอม มีเหตุผลในด้านความคิด
 
สไตล์การทำงาน :
คุณเป็นคนรู้จักในการวางตัว และวาจาในการพูดคุยกับคนอื่นเป็นเยี่ยม แต่ลักษณะงานของคุณนั้นจะเป็นลักษณะที่ร่วมมือกับผู้อื่นมากกว่าที่จะทำคนเดียว
 
อาชีพที่เหมาะสม :
ที่ปรึกษา นักสังคมสงเคราะห์ หรือเป็นเจ้าของกิจการต่างๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านหนังสือ นักกฎหมาย สถาปนิก ผู้รับเหมาก่อสร้าง พยาบาล แพทย์
 
คนเกิดวันที่ 3
เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ และมีความเป็นตัวของตัวเองมาก จะไม่ค่อยสนใจและแคร์ใคร
 
สไตล์การทำงาน :
ชอบทำงานประเภทพบปะกับผู้คนมากๆเหมาะกับทำงานเป็นทีม คือ ในเรื่องติดต่อประสานงานกับบุคคลภายในและภายนอกองค์กร และคุณยังเป็นคนที่จุดประกายความคิดที่ดีเสมอ ทำให้เพื่อนร่วมงานของคุณพอใจ
 
อาชีพที่เหมาะสม :
งานประชาสัมพันธ์ งานบริการดูแลลูกค้า หรืองานที่เกี่ยวข้องกับการประสานงาน เช่น งานออร์แกไนเซอร์ พนักงานต้อนรับโอเปอเรเตอร์
 
คนเกิดวันที่ 4
เป็นผู้ที่มีความฉลาด ไหวพริบ เบิกบาน ไม่ยอมใคร แต่ก็ไม่โกงใครด้วย เอาง่ายๆว่าเป็นคนที่เปิดเผย ตรงไปตรงมา
 
สไตล์การทำงาน :
คุณเป็นคนใจกว้างมากเลยทีเดียว ทำให้เพื่อนร่วมงานของคุณหาคนมาช่วยเหลือคุณ อาจจะหาได้ไม่เหมาะสมก็ได้ ทำให้การทำงานของคุณต้องพึ่งตัวเองป็นส่วนใหญ่
 
อาชีพที่เหมาะสม :
งานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โปรดิวเซอร์ ที่ปรึกษาด้านการเงินทนายความ สถาปนิก ผู้รับเหมา วิศวกร ศิลปินแขนงต่าง ๆ
 
คนเกิดวันที่ 5
คุณเป็นคนที่ฝักใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ รักการค้นหาและศึกษา เป็นคนที่ช่างสังเกต สามารถเป็นผู้นำได้
 
สไตล์การทำงาน :
เป็นคนที่มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เมื่อได้รับงานที่มอบหมายมาใหม่ แต่ถ้าคุณทำงานในแบบเดิมๆคุณจะเบื่อหน่ายเร็ว และยังมีความสามารถในการสื่อสารที่ดีด้วย
 
อาชีพที่เหมาะสม :
วงการโทรทัศน์ หรืองานประชาสัมพันธ์ เช่น นักเขียน นักบรรยาย อาจารย์มหาวิทยาลัย นักการศึกษา นักโฆษณา
 
คนเกิดวันที่ 6
คุณเป็นคนคิดว่าตัวเองโดดเดี่ยว ไม่กล้าขัดใคร เป็นคนที่ชอบอยู่แวดวงสังคม
 
สไตล์การทำงาน :
คุณเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก ชีวิตของคุณจะก้าวหน้ามากกว่าคนอื่น  แต่เมื่อคุณได้ทำอะไรบ้างอย่างแล้วนั้น และเป็นสิ่งที่ตนเองถนัด คุณก็จะทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว และในทางกลับกันถ้างานไหนคุณไม่ชอบ  คุณก็จะไม่ฝืนที่จะทำมัน
 
อาชีพที่เหมาะสม :
งานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ อาชีพเพื่อสังคม งานบริการต่างๆ  งานที่ต้องใช้อารมณ์ และความสุนทรีภาพสูง ๆ
 
คนเกิดวันที่ 7
คุณเป็นคนที่ทะเยอทะยานเกินกว่าที่จะเป็น และยังเป็นคนที่ช่างแสวงหาอีกด้วย
 
สไตล์การทำงาน :
เป็นคนมีหลักการมาก คิดใคร่ครวญ ไตร่ตรองรอบคอบมากๆ เป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียว มีความเป็นส่วนตัวสูง ชอบความสันโดษ
 
อาชีพที่เหมาะสม :
นักบำบัด นักเขียน นักกฎหมาย ช่างถ่ายรูป นักวิจัย นักวิเคราะห์ ครูบาอาจารย์
 
คนเกิดวันที่ 8
เป็นผู้นำ ประเภทที่ว่ากล้าได้กล้าเสีย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย หากแพ้หรือมีข้อผิดพลาด จะขอแก้ตัวอยู่เสมอ
 
สไตล์การทำงาน :
คุณเป็นคนที่ทำงานได้ดี และไม่ชอบที่จะอยู่นิ่งๆ นานๆ มักจะย้ายๆไปโน้นไปนี่บ่อยๆ เพื่อได้เป้าหมายที่ท้าทายกว่าเดิม คุณเป็นคนที่ทำอะไรรวดเร็ว จนคนรอบข้างคุณปรับตัวไม่ทัน  แต่คุณก็ดูมีความสุขกับการทำงานไม่เครียด และยังคงอยู่ในสภาพการทำงานได้นานโดยไม่เหนื่อยกับงานมากเกินไป
 
อาชีพที่เหมาะสม :
งานทางด้านการเงิน ฝ่ายติดต่อประสานงานต่าง ๆ ผู้นำทางการเมือง ผู้นำทางศาสนา นักกฎหมาย นักบุญ และธุรกิจบันเทิง
 
คนเกิดวันที่ 9
คุณจะปราดเปรื่องเรื่องจิตวิทยา เพราะจะเข้าใจในคนใกล้ตัวด้วยการสังเกตการณ์
 
สไตล์การทำงาน :
การประสบความสำเร็จของคุณ ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไร  แต่ว่าคุณจะมองเห็นอะไรต่างได้เด่นชัดกว่าผู้อื่น จึงทำให้คุณก้าวก่อนคนอื่นเสมอ แต่คุณยังเป็นคนที่ทำตามใจตัวเองอยู่
 
อาชีพที่เหมาะสม :
ครูบาอาจารย์ นักปราชญ์ นักเขียน ช่างภาพ ศิลปิน นักบำบัด นักวางกลยุทธ์ นักแต่งหนังสือ นักขาย นักบริหาร
 
คนเกิดวันที่ 10
คุณเป็นคนที่ดิ้นรนด้วยตัวคุณเอง จนสำเร็จได้  นับถือตัวเองมากกว่าใคร
 
สไตล์การทำงาน :
มีความเชื่อมั่นสูง และศรัทธาในตัวเองอยู่ด้วย จึงทำให้คนรอบข้างของคุณอุ่นใจเมื่อมีคุนอยู่ใกล้ๆ
 
อาชีพที่เหมาะสม :
นักวิทยาศาสตร์ นักบิน นักการศึกษา นักสื่อสารมวลชน ศิลปิน เทรนเนอร์ นักสิ่งแวดล้อม
 
คนเกิดวันที่ 11
ผู้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง จะดิ้นรนเพราะไม่พอใจกับสถานภาพที่เป็นอยู่ของตนเอง  แต่เป็นนักคิดสร้างสรรค์ จะริเริ่มในสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตเสมอ
 
สไตล์การทำงาน :
คุณจะทำทุกอย่างในสิ่งที่คุณชื่นชอบ เพราะคุณจะสนุกสนานกับการทำงาน โดยคุณจะมีเอกลักษณ์การทำงานไม่เหมือนใคร เพราะคุณจะก้าวหน้ากว่าใครก็ด้วยในสิ่งนี่แหล่ะจะบ่งบอกความเป็นตัวคุณ
 
อาชีพที่เหมาะสม :
นักเขียน นักแสดง ศิลปิน นักปรัชญา นักศาสนา นักธุรกิจ นักประพันธ์ ที่ปรึกษาทางธุรกิจ หรือด้านต่าง ๆ
 
คนเกิดวันที่ 12
เป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดในตัวของคนเอง เพื่อให้ไปสู่ความประสบความสำร็จ
 
สไตล์การทำงาน :
เรื่องที่เค้าว่ายากกัน แต่คุณสามารถสรุปมันให้ง่ายต่อการคิดและการปฏิบัติได้ อย่างกระชับ ชัดเจน สามารถนำไปทำได้ทันที ทำให้คุณทำงานได้รวดเร็วและถูกต้องอยู่เสมอๆ
 
อาชีพที่เหมาะสม :
งานที่เกี่ยวข้องกับติดต่อกับคนที่มากๆ
 
คนเกิดวันที่ 13
เป็นคนที่คิดรอบคอบในการแก้ไขปัญหา เพื่อความยุติธรรม มั่นคง และแน่นอน และเอกลักษณ์ของคนที่เกิดวันนี้คือเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์มากคนหนึ่ง
 
สไตล์การทำงาน :
บอกได้คำเดียวว่า " ช้าแต่ชัวร์ "
 
อาชีพที่เหมาะสม :
งานทางด้านเงิน นักสังคมสงเคราะห์ งานก่อสร้าง งานประชาสัมพันธ์ ผู้กำกับ
 
คนเกิดวันที่ 14
คุณเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน มุ่งมั่นอย่างมาก แต่จะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจมากกว่าเหตุผล
 
สไตล์การทำงาน :
เรื่องการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคุณ เพราะคนเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นสูง คุณเป็นคนที่มีความเข้าใจและการเรียนรู้ที่รวดเร็ว สามารถรู้ความเป็นไปของสถานการณ์ได้ดีเยี่ยม
 
อาชีพที่เหมาะสม :
นักเจรจาต่อรอง นักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดี นักสังคมวิทยา นักประมูลผู้จัดการฝ่ายขาย โค้ชกีฬา เทรนเนอร์ นักข่าว นักพาณิชยศิลป์
 
คนเกิดวันที่ 15
มีความพยายาม ความเพียร เพื่อให้เกิดความสำเร็จ คุณจึงคิดว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคุณ แต่ก็มีความคิดแบบเห็นแก่ตัวบ้าง
 
สไตล์การทำงาน :
ความเด็ดเดี่ยวของคุณ ทำให้คุณคุณวางเป้าหมายอย่างแน่ชัดเพื่อความสำเร็จ คุณยังกระหายการเรียนรู้เสมอ เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ใหม่ๆ คุณเป็นคนที่มีความสามารถมาก
 
อาชีพที่เหมาะสม :
สถาปนิก ครูอาจารย์ นักวิชาการ มัณฑนศิลป์ บรรณารักษ์ นักวิจัยนักบำบัด นักออกแบบ
 
คนเกิดวันที่ 16
น่าสงสารคนเกิดวันนี้ที่ยากลำบากในชีวิตต้องสะสมประสบการณ์ด้วยตนเองมากมาย ถึงจะประสบความสมเร็จ แต่ความพิเศษก็มีเช่นกัน เพราะเป็นคนที่มีไหวพริบ และมนุษยสัมพันธ์ดีมาก
 
สไตล์การทำงาน :
การทำงานของคุณจะนำไปสู่เป้าหมายให้เร็วที่สุด เพราะสิ่งที่วกวนอ้อมไปอ้อมมาคุณจะไม่ถนัดเลย และยิ่งทำให้คุณเสียเวลา คุณจึงตรงไปตรงมารวมถึงวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่คุณคิด
 
อาชีพที่เหมาะสม :
นักประพันธ์เอก วิศวกร นักกฎหมาย นักวิจัย นักสืบ
 
คนเกิดวันที่ 17
เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ดีมาก และยังมีความเป็นผู้นำ ไม่ชอบเดินตามใครหรือให้ใครบงการ
 
สไตล์การทำงาน :
สิ่งที่คุณถนัดคือเรื่องการเมืองในบริษัท และยังถนัดเรื่องการประสานงานไม่ว่าเรื่องความคิดเห็น คุณจะทำได้ดีมาก
 
อาชีพที่เหมาะสม :
นักแสดง นักการเมือง ทนาย นักเอนเตอร์เทน นักบริหาร นักการเงิน การธนาคาร ผู้นำทางศาสนา นายหน้า
 
คนเกิดวันที่ 18
คุณเป็นคนเด็ดขาดและชอบงานอิสระ คุณยังสามารถควบคุมบรรดาลูกน้องของคุณได้ เพื่อคุณเป็นผู้นำที่มีอำนาจ
 
สไตล์การทำงาน :
ชอบการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วอีกด้วย คุณยังสามารถจัดการหรือฝ่าวิกฤตที่เกิดขึ้นให้ลุล่วงไปด้วยดี เพราะความเป็นนักสู้ของคุณนั้นเอง
 
อาชีพที่เหมาะสม :
การจัดการ นักกฎหมาย อัยการศาล นักปรัชญา หรือปรากฏการณ์ บรรณาธิการ นักสื่อสารมวลชนหัวก้าวหน้า นักกีฬานักกรีฑา
 
คนเกิดวันที่ 19
คุณเป็นคนชังสังเกต และมีความเป็นผู้นำสูง จึงเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป
 
สไตล์การทำงาน :
คนเป็นคนที่ชอบการร่วมมือกับคนอื่น ไม่ว่าเป็นเรื่องเวลา การลงทุน ลงแรง คุณจะพร้อม และมีความมั่นใจยิ่งขึ้น และคุณยังเป็นคนที่ไม่ค่อยมีศัตรูอีกด้วย
 
อาชีพที่เหมาะสม :
ผู้กำกับฯ นักดนตรี นักเขียน ที่ปรึกษา ผู้กำกับศิลป์ แดนเซอร์ นักเคมี เภสัชกร
 
คนเกิดวันที่ 20
เป็นคนที่ตรงไปตรงมาจริงใจ ไม่คดโกงใคร ไม่เอาเปรียบใคร ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณก็ไม่อยากให้ใครเอาเปรียบคุณเช่นกัน
 
สไตล์การทำงาน :
การทำงานของคุณ เป็นคนที่ฉกฉวยโอกาศจากช่องว่างต่างๆ ได้ดีเยี่ยม
 
อาชีพที่เหมาะสม :
งานทุกอย่างที่ต้องทำกันเป็นทีม เพราะคุณจะถนัดงานทางด้านนี้  ที่ปรึกษาสุขภาพ ที่ปรึกษาทางด้านบุคลิกภาพ ครูบาอาจารย์ นักการทูต นักบริหาร
 
คนเกิดวันที่ 21
คุณเป็นคนที่ลังเล  โลเล จนทำให้เสียโอกาสทองไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังเป็นคนที่ช่างฝันอยู่ เพื่อสู้ที่จะทำจริง ความสำเร็จเลยไม่ยากเกินความต้องการของคุณ
 
สไตล์การทำงาน :
คุณมักจะเลือกงานที่ใช้ความคิด และจินตนาการอย่างเต็มที่ เพราะงานทุกชิ้นของคุณออกมาจากใจจริง นับว่าคุณเป็นศิลปินด้วยจิตวิญญาณ
 
อาชีพที่เหมาะสม :
งานที่เกี่ยวข้องกับทางสื่อโทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ ถ้าคุณทำงานทางด้านสายนี้จะดีเอามากๆเลย เช่น วงการดารา นักร้อง นางแบบ นักสื่อสารมวลชน วงการโฆษณา
 
คนเกิดวันที่ 22
เป็นคนที่แสวงหาความสุขให้ตัวเองพร้อมกับเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันได้ และยังเป็นคนที่วางแผนชีวิตอย่างซีเรียสเสมอ
 
สไตล์การทำงาน :
คุณพยายามที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ให้หมด เพื่อจะได้ฉกฉวยมาได้ก่อนคนอื่น จริงๆ คุณไม่ได้เป็นคนที่โลภะหรอกนะ  เพียงแต่ว่าคุณไม่อยากที่จะเสียเวลาในการทำอย่างอื่น เป็นเพียงเพราะคุณเป็นคนที่กระหายความสำเร็จเท่านั้น
 
อาชีพที่เหมาะสม :
สถาปนิก ครูบาอาจารย์ นักบริหาร ที่ปรึกษาทางธุรกิจ ทนาย หรือทำงานทางด้านการเงิน
 
คนเกิดวันที่ 23
คนเกิดวันนี้เป็นคนที่คล่องแคล่วในตัดสินปัญหาทุกๆ อย่าง และยังสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้ามีเหตุการณ์บางอย่างทำให้คุณถึงจุดสุดขีดขึ้นมา คุณก็สามารถระเบิดสิ่งนั้นออกมาได้ทันที
 
สไตล์การทำงาน :
คุณเป็นคนชั่งสังเกต และมีความรู้สึกพิเศษที่ว่า ใครที่ดีกับคุณ หรือช่วยเหลือคุณได้
 
อาชีพที่เหมาะสม :
นักสังคมสงเคราะห์ นักอนุรักษ์ธรรมชาติ นักเขียน ศิลปิน
 
คนเกิดวันที่ 24
เป็นคนที่ชอบความชัดเจน ตรงไปตรงมา มีความอดทน และยังเป็นนักปกครองที่ดีอีกด้วย
 
สไตล์การทำงาน :
คุณเป็นคนที่ทำงานไม่รวดเร็ว แต่ว่าผลลัพธ์ที่ออกมานั้น จะเหนือความคาดหมายที่วางไว้ตอนแรกเสมอ
 
อาชีพที่เหมาะสม :
งานที่ต้องเขียนออกมา หรืองานนักดนตรี ผูนำทางด้านศาสนา
 
คนเกิดวันที่ 25
เป็นคนที่มีความมั่นใจสูงมากเกินไป คุณเป็นคนที่ใจร้อนในการทำงาน เพื่อให้ผลงานออกมาอย่างรวดเร็ว

สไตล์การทำงาน :
คุณต้องทำงานที่เริ่มต้น หรืองานประเภทบุกเบิกตั้งแต่แรก เพื่อคุณชอบที่จะพยายาม ใช้ความสามารถในการวางแผนหรือคิดค้นอะไรๆ
 
อาชีพที่เหมาะสม :
งานทางด้านการเงิน หรืองานที่จะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์
 
คนเกิดวันที่ 26
คนเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเอง เอาแต่ใจตัวเองบ้าง สมองไหวพริบดี ชอบทำงานที่ท้าทายกับตัวเอง เพื่อความประสบความสำเร็จ
 
สไตล์การทำงาน :
เรียนรู้อะไรได้ถูกต้อง เพื่อให้บรรลุความสำเร็จได้เร็ว และก่อนใครคนอื่น แต่งานของคุณต้องเป็นงานที่ทำคนเดียว เพราะคุณชอบที่ทำตั้งแต่เริ่มวางแผนยันลงมือทำงานหมดเลย
 
อาชีพที่เหมาะสม :
ครูบาอาจารย์ นักเจรจา นักไกล่เกลี่ย นักสืบ นักตกแต่ง งานการตลาด วานทางด้านการตัดต่อ
 
คนเกิดวันที่ 27
เป็นคนที่วางแผน คิดรอบคอบ รู้ทันเกม เจรจาเป็นเลิศ แต่ก็ตรงไปตรงมา
 
สไตล์การทำงาน :
คุณก็เป็นคนที่คิดรอบคอบ คือ คิดแล้วคิดอีก ก่อนที่จะลงมือทำ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ มิให้เกิดความผิดพลาดในอนาคต แถมคุณยังเป็นคนที่รักงานเอามากๆ  ไม่ชอบให้ใครทำงานที่ชุ่ยๆ
 
อาชีพที่เหมาะสม :
นักอบรม นักจัดงานสัมมนา นักบริหาร นักแสดง นักดนตรี นักวาดรูป วาทยกร
 
คนเกิดวันที่ 28
จัดว่าคนเป็นเจ้าระเบียบจัดเลยก็ว่าได้ ชอบที่จะคิดปฏิวัติแก้ไขแนวคิดด้วย
 
สไตล์การทำงาน :
เอาง่ายๆ เลยว่า งานที่ยากๆ เป็นสิ่งที่คุณชื่นชอบ
 
อาชีพที่เหมาะสม :
ศิลปิน นักแสดง นักออกแบบเสื้อผ้า งานที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ นักพัฒนาพื้นที่ นักพัฒนาองค์กร
 
คนเกิดวันที่ 29
เป็นคนที่มีความเชื่อมั่น ขยันหมั่นเพียรสูง พยายามที่จะสร้าความคิดใหม่ๆออกมา ชอบคิดวางแผนเสมอ เหมาะที่จะเป็นผู้นำ หัวหน้าคน เพราะเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น และยังมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีอีกด้วย
 
สไตล์การทำงาน :
คุณชอบที่จะทำงานหลายๆอย่างในคราวเดียวกัน ประมาณว่าทำงานหลายอย่างพร้อมกัน บางทีคุณก็มีความสับสนอยู่บ้าง แต่คุณก็มีทักษะที่สามารถที่ทำหลายอย่างพร้อมกันได้
 
อาชีพที่เหมาะสม :
งานทางด้านการทำหนังสือ หรืองานช่วยเหลือสังคม ทางด้านการเงิน
 
คนเกิดวันที่ 30
จะเป็นคนที่มั่นใจในสิ่งที่ตนเองทำ เพราะตนเองได้วางแผนในการทำงานไว้อย่างรอบคอบแล้ว และเป็นคนที่มีอารมณ์ศิลปินสูงด้วย
 
สไตล์การทำงาน :
การทำงานที่คุณควรทำคือ มีความอดทน เข้าใจกับผู้อื่น เพราะคุณมีความสามารถทางด้านจิตวิทยาสูงทำให้เข้าใจอื่นได้ดี แต่ไม่ค่อยเข้าใจกับตัวเองเท่าไหร่
 
อาชีพที่เหมาะสม :
งานทางด้านการทำหนังสือ อาชีพการบริการ งานเกี่ยวข้องกับการสื่อสาร
 
คนเกิดวันที่ 31
เป็นคนที่แสวงหาทุกอย่าง พยายามที่จะทะเยอทะเยานให้ไปได้ไกลๆ แถมยังใฝ่สูงอีกด้วย
 
สไตล์การทำงาน :
เป็นคนที่ตัดสินใจแล้ว ต้องทำให้ได้
 
อาชีพที่เหมาะสม :
นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นักระดมทุน นักกายภาพบำบัด นักกฎหมาย งานที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ หรือที่เกี่ยวข้องทางด้านสื่อสารมวลชน
 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #599 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2553, 10:59:19 »

เมืองที่ " ของแพง " ที่สุดในโลก

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา

" ออสโล ” ครองแชมป์เมือง ( ของ ) แพงที่สุดในโลก ... “ มุมไบ ” ครองแชมป์เมือง ( ของ ) ถูกที่สุดในโลก "

“ ออสโล ” ขึ้นแท่น “ เมือง ( ของ ) แพงที่สุดในโลก ”  จากผลการสำรวจและเปรียบเทียบราคาสินค้าในประเทศต่างๆ ของเว็บไซต์ชื่อดังเมืองผู้ดี “ ไพรซ์รันเนอร์ ”

“ ไพรซ์รัน เนอร์ ” เว็บไซต์เปรียบเทียบราคาสินค้าชนิดต่างๆ สำหรับนักช้อปปิ้ง ( อัพเดทรายวัน ) ได้ทำการสำรวจและเปรียบเทียบราคาสินค้าชนิดต่างๆ ใน 32 ประเทศอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน เป็นปีที่ 8  โดยสินค้าที่นำมาเปรียบเทียบราคา มีตั้งแต่สินค้าอุปโภค-บริโภคในชีวิตประจำวัน เช่น นม น้ำมัน ผ้าอ้อม ไปจนถึงสินค้าหรูหราราคาแพง เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าประเภทไอที เป็นต้น

ในปีนี้ เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์อย่าง “ ออสโล ” ยังคงครองแชมป์เมือง ( ของ ) แพงที่สุดติดต่อกันเป็นปีที่ 4  โดยราคาเฉลี่ยของสินค้าที่วางจำหน่ายในเมืองนี้ มีราคาแพงกว่าเมืองอื่นๆ มากกว่าหนึ่งในสาม  ตัวอย่างเช่น เครื่องดื่มโค้ก จำหน่ายในราคากระป๋องละ 86 บาท ( £1.80), นมสดขนาด 1 ลิตรจำหน่ายในราคา 74 บาท ( £1.56 )  ขณะที่บิ๊กแมค จำหน่ายในราคาชิ้นละ 223 บาท ( £4.70 )



10 อันดับเมืองที่สินค้ามีราคา “ แพงกว่าราคาเฉลี่ยทั่วโลก ” มากที่สุด

อันดับที่ 1  เมืองออสโล  ประเทศนอร์เวย์ ( 35.3% )
อันดับที่ 2  เมืองเซาเปาโล  ประเทศบราซิล ( 27.1% )
อันดับที่ 3  เมืองซิดนีย์  ประเทศออสเตรเลีย ( 20.5% )
อันดับที่ 4  เมืองสตอกโฮล์ม  ประเทศสวีเดน ( 15.5% )
อันดับที่ 5 เมืองเรคยาวิก  ประเทศไอซ์แลนด์ ( 14.9% )
อันดับที่ 6  เมืองเฮลซิงกิ  ประเทศฟินแลนด์ ( 11.5% )
อันดับที่ 7  เมืองโคเปนเฮเกน  ประเทศเดนมาร์ก ( 10.6% )
อันดับที่ 8  กรุงโตเกียว  ประเทศญี่ปุ่น ( 9.8% )
อันดับที่ 9  กรุงปารีส  ประเทศฝรั่งเศส ( 8.3% )
อันดับที่ 10 กรุงโรม  ประเทศอิตาลี ( 4.4% )


10 อันดับเมืองที่สินค้ามีราคา “ ถูกกว่าราคาเฉลี่ยทั่วโลก ” มากที่สุด

อันดับที่ 1  เมืองมุมไบ  ประเทศอินเดีย ( -26.9% )
อันดับที่ 2  กรุงเทพฯ  ประเทศไทย ( -19.8% )
อันดับที่ 3  ดูไบ  สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ( - 16.2% )
อันดับที่ 4  เมืองซานฟรานซิสโก  สหรัฐอเมริกา ( - 16.2% )
อันดับที่ 5  เมืองเซี่ยงไฮ้  ประเทศจีน ( -14.8% )
อันดับที่ 6  กรุงนิวยอร์ก  สหรัฐอเมริกา ( - 14.5% )
อันดับที่ 7  เมืองวิลนีอุส  ประเทศลิทัวเนีย ( - 13.3% )
อันดับที่ 8  กรุงปราก  สาธารณรัฐเช็ก ( - 8.1% )
อันดับที่ 9  กรุงวอร์ซอ  ประเทศโปแลนด์ ( - 7.8% )
อันดับที่ 10 กรุงเบอร์ลิน  ประเทศเยอรมนี ( - 6.7% )

เว็บ ไซต์ “ ไพรซ์รันเนอร์ ” ระบุว่า ถ้าอยากได้ มาสคาร่า หรือกระเป๋าถือ ( ของดีมียี่ห้อ) ราคาถูกที่สุด  ก็ต้องมุ่งหน้าไปยังกรุงนิวยอร์ก  แต่ถ้าอยากได้รองเท้าอาดิดาส ( แท้ ) ราคาถูกๆ สักคู่  ให้ลองมองหาดูที่เมืองมุมไบ  ส่วนใครชื่นชอบนาฬิกาสวอตช์  เมืองดูไบมีให้เลือกในราคาถูกที่สุด
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 ... 29  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><