22 พฤศจิกายน 2567, 22:39:17
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 29  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม  (อ่าน 582171 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 11 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #300 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2551, 21:03:17 »

ยังบ่ฮู้  บ่หันเจ๊า ! ...

ตาต้ามอเตอร์ ... เลิก ใช้ น้ำมัน โดย เด็ดขาด ของแท้ ....

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา





สุดยอด ... คิดได้ไง เนี่ย !!!! เลิก ใช้ น้ำมัน โดย เด็ดขาด ของแท้ ... แค่ 400,000 บาทเอง ...

ตาต้ามอเตอร์ บริษัทรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินเดีย ประกาศผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานลมในการขับเคลื่อน โดยจะทยอยนำส่งเข้าสู่โชว์รูมในปี พ.ศ. 2552 รถยนต์พลังลม หรือ Air Car นี้ใช้การปล่อยอากาศจากระบบบีบอัดอากาศด้วยความดันสูง โดยอากาศที่ปล่อยออกมาจะทำหน้าที่หมุนเพลา ทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ โดยการเติมอากาศ สามารถเติมได้ตามสถานีอัดอากาศด้วยราคาไม่แพง โดยความเร็วสูงสุดที่ทำได้อยู่ที่ประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถวิ่งได้ประมาณ 200 กิโลเมตร ต่อการเติมอากาศหนึ่งครั้ง บริษัทผู้ออกแบบรถยนต์พลังลมคันนี้ คือ บริษัท MDI จากประเทศลักเซมเบิร์ก ซึ่งให้สิทธิบัตรแก่ตาต้าในการผลิตรถยนต์พลังลมในประเทศอินเดีย โมเดลแรกของตาต้า Mini CAT ตั้งราคาไว้ประมาณ 400,000 บาท โดยตาต้าหวังไว้ว่าจุดเด่นของ Mini CAT ที่ไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศ และราคาไม่แพง จะท ำให้รถพลังลมรุ่นแรกนี้ทำยอดขายได้ดีในตลาดอินเดีย
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #301 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2551, 21:38:06 »

Clever people, the Japanese

สุขวสา - บัญชี 16 ... ส่งมา

You will not be able to know what's ahead of you, until you have seen at least 4 pictures and read the explanation of what they are, our future is here, incredible !! .. what an age we live in. ? ? ?

Amazing technology from Japan ...




Look closely and guess what they could be...



Are they pens with cameras ?



Any wild guesses ? No clue yet ?

Ladies and gentlemen ... congratulations ! You've just looked into the future ... yep, that's right !

You've just seen something that will replace your PC in the near future.

Here is how it works :



In the revolution of miniature computers, scientists have made great developments with bluetooth technology ...

This is the forthcoming computers you can carry within your pockets.




This " pen sort of instrument " produces both the monitor as well as the keyboard on any flat surfaces from where you can carry out functions you would normally do on your desktop computer.




Can anyone say, " Good-bye laptops ! " ... Looks like our computers are out of date ... again !!!
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #302 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2551, 22:04:53 »

คุ้นๆอีกแร๊ะ ว่าเคยดูในทีวี--
ยังงี้"Q"เรื่อง James Bondคงตกงานค่าาา

nn.
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #303 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2551, 00:00:16 »

10 อันดับบุคคลที่เงินเดือนสูงที่สุดในประเทศไทย

พี่ชรินทร์ - รัฐ 07 ... ส่งมา

จุ๊  จุ๊  เรื่องนี้เป็นความลับครับ  เราจึงรู้เพียงรายได้ที่เป็นเงินเดือน+โบนัสต่อปีของแต่ละท่านที่ยื่นเสียภาษี  แล้วนำมาเฉลี่ยต่อเดือน ... และนี้คือ 10 อันดับบุคคลที่มีรายได้ต่อเดือน  ที่เรียกว่าเงินเดือนสูงที่สุดในประเทศ

อันดับ 10  คุณบัณฑูร  ล่ำซ่ำ



นายธนาคาร กสิกรไทย  รั้งอันดับ 10 ด้วยรายได้ 14,300,000 ต่อ ปี หรือราวๆ 1,191,777 บาทต่อเดือนครับ

อันดับ 9  คุณมาเชลลีนัส ไซมอน เฮนดริกัส



ท่านนี้เป็นผู้บริหารของปูนซิเมนต์นครหลวง  หรือปูนอินทรีย์  มีรายได้ต่อเดือนมากกว่าคุณ บัณฑูร  ล่ำซ่ำ เล็กน้อย คือ 1,194,167 บาทต่อเดือน  มากกว่าอันดับ 10 เพียง 4,000 บาทครับ

อันดับ 8 คุณลินดา  ลีสหะปัญญา



ผู้บริหารโรงพยาบาลบำรุงราษฎษ์ครับ  หากคุณเคยไปเยือนที่โรงพยาบาลแห่งนี้  คุณคงเข้าใจได้ดีว่าอันดับหนึ่งด้านการบริการทางการแพทย์แห่งเอเซีย  ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริง  และเธอซึ่งเป็นผู้บริหารมีรายได้ปีละ 15,200,000 บาทต่อปี  หรือเดือนละ 1,268,241 บาท

อันดับที่ 7  คุณแอริค มาร์ค เลอวีน



ผู้บริหาร " แคลิฟอร์เนีย ว้าว ฟิตเน็ต "  ความต้องการการมีสุขภาพที่ดีทำให้ธุรกิจนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว  และแน่นอนหมายถึงผลตอบแทนผู้บริหารที่ได้รับถึง 1,283,380 บาทต่อเดือน

อันดับ 6 คุณปลิว  มังกรกนก



ผู้บริหารธนาคารทิสโก้  ท่านผู้นี้ได้อันดับ 6 ไปด้วยรายได้ 1,334,287 บาท ต่อเดือนครับ

อันดับ 5 คุณชาติศิริ  โสภณพนิช



หากพูดถึงนามสกุล โสภณพนิช  เราคงเดาถึงกิจการที่ท่านดูแลได้ไม่ยาก   นั่นคือธนาคารกรุงเทพฯ  ซึ่งทางธนาคารจ่ายเงินค่าตอบแทนต่อเดือนเป็นจำนวน 1,363,106 บาทครับ

อันดับ 4  ดร.วิชิต  สุรพงษ์ชัย



ท่านผู้นี้ก็เป็นผู้บริหารธนาคาร  และเป็นธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ ... ใช่แล้วครับ ธนาคารไทยพานิชย์   และแน่นอนครับนายธนาคารมักจะร่ำรวยเสมอ  โดยท่านมีรายได้ต่อเดือน 1,369,167 บาทครับ

มาถึง 3 อันดับสุดท้าย  สังเกตนะครับไม่มีใครต่ำกว่าล้านเลย

อันดับ 3 คุณมนตรี ศรไพศาล



ผู้บริหารของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ กิมเฮง ( ประเทศไทย)   คุณสงสัยไหมท่านได้เท่าไหร่จึงมาถึงอันดับ 3 ... ท่านได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 1,424,722 บาทครับ  

อันดับ 2  คุณบุญคลี  ปลั่งศิริ



ผู้บริหารจากชินคอร์ปรายนี้  มีรายได้สูงพร้อมๆ กับความสามารถที่สูงมากพอๆ กัน  ในยุคของการแข่งขันที่รุนแรงด้านการสื่อสาร  ท่านผู้นี้ยังทำให้ชินคอร์ปยังครองตำแหน่งแนวหน้าของประเทศได้ ... และรายได้ของท่านต่อเดือนคือ  1,498,571 บาทครับ

อันดับ 1 ...............

ผมให้ข้อมูลก่อนให้ซื่อดีกว่า  ... ท่านผู้นี้อยู่ในธุรกิจปิโตรเคมีครับ   ท่านเป็นนักการเมืองด้วย  แต่ทำอาชีพการเมืองได้ไม่รุ่งนัก  ครับผมว่าทุกคนทราบแล้ว  ท่านผู้นี้คือ  คุณประชัย  เลี่ยวไพรัช



ท่านมีรายได้จากทีพีไอ เดือนละ 2,666,580 บาท ครับ  สูงที่สุดในประเทศไทย  เป็นท่านเดียวที่มีรายได้เกิน 2 ล้านครับ
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #304 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2551, 00:12:32 »

ไม่รู้ว่าเอาเวลาที่ไหนไปใช้เงินนะคะ
คงเป็นหน้าที่ภรรยา..อาซ้อที่บ้าน...ทำหน้าที่จับจ่าย!
โอ้ววว.....paradise on earth!!!

nn.
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #305 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2551, 23:26:09 »

เรื่องสนุกๆ ของคณิตศาสตร์

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

1. คีย์ตัวเลข 3 ตัวแรกของเบอร์มือถือคุณในเครื่องคิดเลข ( เฉพาะเบอร์โทร.นะ ไม่รวมรหัสนำ เช่น 081, 086, 089 )

2. คูณด้วย 80

3. บวก 1

4. คูณด้วย 250

5. บวกด้วยตัวเลข 4 ตัวที่เหลือของเบอร์มือถือ

6. บวกด้วยตัวเลข 4 ตัวที่เหลือของเบอร์มือถือ อีกครั้ง

7. ลบ 250

8. สุดท้ายหารด้วย 2


ใช่เบอร์มือถือของคุณรึเปล่าเอ่ย ?
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #306 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2551, 23:39:08 »

จำเบอร์มือถือไม่ได้ บวก ลบ คูณ หารถอยหลัง กลับไปหาเบอร์ตัวเองได้ป่าวคะ??
เริ่มที่ไหน??

nn.(วอน!)
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #307 เมื่อ: 05 สิงหาคม 2551, 00:41:15 »

NN ... คำว่า " วอน " ตัวเล็กจิ๋วหลิวที่อยู่ในวงเล็บน่ะ  " พูดอีก ก็ถูกอิฐ "  sure ! ... แต่ศาลก็เห็นใจนะ  เพราะหนิงไม่เคยพกพาโทรศัพท์แบบพกพาเล้ย  ใครจะไปจำเบอร์โทร.ได้ล่ะ

น้ำอะก็ได้

พี่วิวิธ - วิศวะ 07 ... ส่งมา

 

บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #308 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2551, 22:19:16 »

เจี๊ยบพิมพ์ชื่อเรื่องที่แล้วตกไปคำนึง ... ได้ไง ? ... ชื่อเรื่อง " น้ำอะไรก็ได้ " จ้า

คนก่อนจะตาย ... ต้องเห็นนิมิตก่อน

พี่วิวิธ - วิศวะ 07 ... ส่งมา

ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ " คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต " สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้ ท่านบอกว่าลอกมาจากตำรับตำรา ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ

๑ ) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่าคนนั้นตายแล้วตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักพระยายมราช

๒ ) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

๓ ) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน

๔ ) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เช่นของที่เราเคยให้ทาน หรือวัดที่เราเคยทำบุญ พระที่เราเคยไหว้จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่าสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลอย่างนี้ ก็จะไปเกิดบนสวรรค์คือไปสู่สุคติ


ตามที่หลวงพ่อปานเขียนมาอย่างนี้ อาตมาไม่ใช่ต้องการพิสูจน์แต่ได้ไปประสบเข้าโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อ " จวน " นามสกุลจำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลานั้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกณฑ์คนไปทำงานที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น คุณจวนก็ไปทำงานที่นี่ด้วย เมื่อเลิกสงครามก็เลิกทำงาน กลับมาก็ปรากฏว่าเป็นโรคไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรคคือเป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด

วันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี พอดีกลับมามีคนเขาบอกว่า " จวนป่วยหนัก " ประมาณ ๔ โมงเย็น อาตมานิมนต์พระไปเป็นเพื่อนอีก ๔ องค์ ที่นำพระไปด้วยก็คิดว่าคนป่วยหนักถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นกุศลคนนั้นจะไปสวรรค์

พอไปถึงคุณจวนก็อาการหนักจริงๆ หายใจช้าๆ แล้วก็เบาลงๆ อาตมาไปนั่งข้างๆ เรียกชื่อ
" จวน จำฉันได้ไหม " ท่านเหลียวหน้ามาพยักหน้าตอบว่า
" จำได้ " เสียงเบามาก จึงถามเธอว่า
" เวลานี้เห็นอะไรไหม ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง " ท่านก็ตอบว่า
" เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า " ท่านก็แสดงอาการหวาดกลัวไฟมาก เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่าท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตอย่างนี้ถ้าเห็นตายแล้วไปนรกทันที ก็คิดอะไรไม่ถูกจึงถามว่า
" จวน ภาวนาว่าพุทโธได้ไหม " เธอส่ายหน้าบอกว่า
" คิดไม่ออก " อาตมาจึงหันไปถามภรรยาท่านว่า
" มีสตางค์ไหม " เธอก็ตอบว่า
" มี " ก็เลยบอกว่า
" ถ้ามีละก็ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม " เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาทมาให้ อาตมาก็นำไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือแล้วบอกว่า
" จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตาย หรือไม่ตายนั้นไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกับพระ ๔ องค์ ขอจวนตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ ให้คิดว่าของต่างๆ ในวัดทั้งหลายที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ก็ดี เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท " ท่านก็พูดเบาๆ ตามแล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย ก็เลยบอกพระ ๔ องค์ว่า
" คุณทั้งหลายถ้าเห็นชอบให้ สาธุ พร้อมกันนะ " พระทั้งหลายก็
" สาธุ " พร้อมกัน พอพระสงฆ์สาธุพร้อมกัน รู้สึกว่าจิตใจของท่านสดชื่นขึ้นมามาก ถามว่า
" จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง " ท่านก็ตอบ
" ไฟหายไปแล้ว " ถามว่า
" เห็นภาพอะไร " ท่านบอก
" เห็นภาพพระประธานในพระอุโบสถวัดบางนมโค " เพราะว่าท่านเคยบวชที่วัดบางนมโคและก็ไปทำวัตรเป็นประจำ ถามว่า
" เห็นชัดไหม " ท่านก็บอก
" เห็นชัด อยู่ใกล้มาก " เลยบอกว่า
" จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ " แทนที่ท่านจะนึกในใจกลับออกเสียงว่า
" พุทโธ ๆ ๆ ๆ " เบาๆ ว่าไปสัก ๓ - ๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลงแต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย ถามว่า
" จวน เวลานี้เห็นพระไหม " ท่านตอบว่า
" เห็นพระ " ถามว่า
" ชัดขึ้นไหม " ท่านก็ตอบว่า
" ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างใหญ่กว่าเดิมมาก " เลยบอกว่า
" ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงว่าเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็นคือภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์ " ท่านยิ้มนิดหนึ่งแล้วบอกว่า
" พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระท่านก็ชี้บอกว่า วิมานนี้เป็นของเธอ " จึงถามว่า
" เวลานี้ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน " ท่านก็ตอบเบาๆ ว่า
" ต้องการวิมานครับ " ก็ไม่ต้องรบกวนให้เหนื่อยต่อไปจึงบอกว่า
" ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่าพุทโธ " ท่านก็ภาวนาเบาๆ ว่า
" พุทโธ ๆ ๆ ๆ "

ในที่สุดก็เงียบไปพร้อมกับคำภาวนาและลมหายใจเข้าออก ... รวมความว่าท่านตายคู่กับพุทโธ เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายมีจริง อาตมาพบมาเองหลายสิบราย และวิธีแก้ก็มีวิธีเดียวคือ วิธีนี้ เพราะว่าเวลานั้นอย่างอื่นมันแก้กันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญเขาไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทาน และวิหารทาน รวมความว่าเป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ


เป็นอันว่ามนุษย์เราที่ตาย ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน แต่ว่านิมิตที่ดี และถูกตัดรอนเพราะกฎของกรรมก็มี ..."
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #309 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2551, 22:53:10 »

คุ ณ คื อ ด อ ก ไ ม้ อ ะ ไ ร

อารียา - ครุ 16 ... ส่งมา






บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #310 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2551, 23:44:25 »

เสียงหัวเราะ บอกนิสัย

พี่พิกุล - วิทยา 14 ... ส่งมา

คุณเคยรู้ไหมคะว่า เราสามารถบอกนิสัยของเจ้าของเสียงหัวเราะได้ อย่าช้ารีบมาแกะรอยนิสัยจากเสียงหัวเราะกันดีกว่าค่ะ

หัวเราะเสียงดังลั่น : คนที่หัวเราะเสียงดังลั่น ชนิดที่เรียกว่าได้ยินไปสิบบ้านแปดบ้านนั้น ผลจากการวิจัยบอกว่าเป็นคนที่จริงใจ มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว จะเรียกว่ากล้าได้กล้าเสียก็ไม่ผิดนัก เมื่อมีเรื่องคอขาดบาดตายมาให้ตัดสินใจ ก็จะทำได้อย่างรวดเร็ว สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง และเป็นคนที่กระตือรือร้นสูง มักมีงานนั่นงานนี่มาให้ทำอยู่เสมอ เสียแต่ว่าไม่มีความรอบคอบเท่าที่ควร

หัวเราะเสียงเบา : สำหรับคนที่หัวเราะเสียงเบา ๆ นุ่ม ๆ ทั้งหลาย บอกถึงนิสัยที่เป็นคนที่มีความระมัดระวังตัวเองสูง ค่อนข้างมีความคิดซับซ้อนอยู่ในใจลึก ๆ และมีความต้องการที่จะให้คนรอบข้างสนใจ และรู้สึกนิยมชอบพอในตนเอง นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ละเอียดถี่ถ้วนอยู่เสมอ ในขณะเดียวกันก็เป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ และน้ำใจดี พึ่งพาได้ในยามที่ต้องการความช่วยเหลือ

หัวเราะเสียงสูง : คนที่มีเสียงหัวเราะสูง ๆ นั้น บ่งบอกว่าเป็นคนมีจิตใจกระตือรือร้นอยู่เสมอ เรียกว่ามีไฟอยู่ตลอดเวลา สนใจเรียนรู้เรื่องแปลก ๆ ใหม่ ๆ ทุกประการ โดยเฉพาะเมื่อได้รวมกลุ่มกับคนหนุ่มคนสาว จะมีพลังในการสร้างสรรค์สูง มักทำในเรื่องสร้างความประหลาดใจต่อผู้อื่นอยู่เสมอ ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนจิตใจดี ไว้เนื้อเชื่อใจคนทุกคน และยังเป็นคนที่มีคุณธรรมในจิตใจสูงส่งอีกด้วย จะไม่ยอมทำในเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมโดยเด็ดขาด

หัวเราะเสียงหนักแน่นสม่ำเสมอ : มักเป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบอยู่เสมอ คาดหวังเพียงสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องการทำงาน ที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจสูงเพื่อผลของงานที่ดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีจินตนาการแปลก ๆ ใหม่ ๆ เสมอ ซึ่งสร้างความสนใจให้กับคนอื่นได้มากทีเดียว ทั้งยังเป็นคนมีอารมณ์ขัน ที่ช่วยผ่อนคลายความเป็นคนเอาจริงเอาจังกับทุกเรื่อง ไม่ให้กลายเป็นคนซีเรียสจนใคร ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ทำให้ดูน่ารักขึ้นอีกมาก

หัวเราะเสียงต่ำ : ผู้ที่เสียงหัวเราะเป็นเสียงในโทนต่ำนั้น อุปนิสัยค่อนข้างเป็นคนเจ้าชู้เอาเรื่องทีเดียว ทั้งยังเป็นคนที่ให้ความสำคัญในเรื่องความรักมากอีกด้วย ชีวิตมักวนเวียนอยู่กับเรื่องเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่พูดจาหว่านล้อมคนได้เก่ง เข้ากับผู้คนได้ง่าย มีแนวคิดที่ลึกซึ้งน่าเลื่อมใสศรัทธา และมักเผยแพร่อิทธิพลความคิดของตนได้เสมอ ซึ่งสิ่งนี้เองที่จะทำให้คนมารุมล้อมอยู่บ่อย ๆ ด้วยความนิยมรักใคร่

หัวเราะเสียงแห้ง : สำหรับคนที่เสียงหัวเราะแห้ง ๆ ไม่มีชีวิตชีวานั้น บ่งบอกถึงนิสัยการเป็นคนชอบต่อสู้ และมีชีวิตอยู่ในโลกของความจริง ไม่มีอารมณ์เพ้อฝันในจิตใจเอาเสียเลย แต่ว่าในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ละเอียดลึกซึ้งทีเดียว มองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ใครที่คิดจะมาหลอกลวงอะไรไม่มีทางได้ผล แต่ว่าเป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือ และเรียกร้องสิทธิเพื่อคนที่ตกทุกข์ได้ยาก มักมีชีวิตง่าย ๆ สมถะ คบหาคนด้วยเรื่องของจิตใจมากกว่าฐานะ หรือชื่อเสียงของคน ๆ นั้น

หัวเราะแล้วน้ำตาไหล : ส่วนคนที่เวลาหัวเราะแล้วจะมีน้ำตาไหลนั้น บ่งบอกถึงนิสัยของการเป็นคนที่มีอุดมคติ หรืออุดมการณ์นั่นเอง มักมีจิตใจที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นอย่างมาก เป็นคนเปิดเผย ร่าเริง ชื่นชมชีวิต รักทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่ว่าจะดีหรือเลว เรียกว่าเป็นที่ศรัทธาต่อการดำรงชีวิตที่ไม่ผิดเลยทีเดียว แต่ว่าถ้าต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนสูง ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาให้ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่มีโลกส่วนตัว และยังหวงแหนโลกส่วนตัวของตนเอามาก ๆ

หัวเราะหลายเสียง : ข้อนี้หมายถึงคนที่มีเสียงหัวเราะหลายแบบอยู่ในตัวเอง คือ สามารถหัวเราะเป็นเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ได้อย่างน่าแปลกใจ ซึ่งบ่งบอกถึงการเป็นคนที่มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี เอาใจคนรอบข้างเก่งอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นบุคลิกที่สามารถเข้ากับใครได้ง่าย ๆ ไม่ถือตัว หรือมีฟอร์มใด ๆ ทั้งสิ้น จะทำงานในหน้าที่บริหาร หรือจัดการประสานงานได้ดี
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #311 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2551, 21:14:22 »

หัวเราะ ... ทำไม ?

พี่พิกุล - วิทยา 14 ... ส่งมา

คุณเคยสงสัยเรื่องเสียงหัวเราะบ้างหรือเปล่า ? ทำไมคนเราถึงเปล่งเสียงแปลกๆ เหล่านั้นออกมา เสียงเหล่านั้นมีความหมายว่าอะไร เสียงหัวเราะหึๆ นั้นมาจากไหน นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และน่าสนใจมากทีเดียว

เรามักคิดกันเอาเองว่า การหัวเราะเป็นพัฒนาการขั้นสูงของมนุษย์ สมองของเราทำให้เรารู้สึกสนุกเมื่อมีการเล่น หรือผวนคำแบบต่างๆ แม้ว่าการคิด มุขตลกจะคิดได้เฉพาะมนุษย์เท่านั้น แต่การหัวเราะหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รวมทั้งลิงชิมแปนซี กอริลลา หรือแม้แต่หนูก็หัวเราะได้ ถึงแม้ว่าสัตว์เหล่านี้จะไม่ขำกับมุขตลกของโฮเมอร์ ซิมสัน ( การ์ตูนตลกเสียดสีของคนอเมริกัน-ผู้แปล ) แต่พวกมันก็หัวเราะกันมาช้านานกว่ามนุษย์เสียอีก สิ่งนี้ชี้ให้เห็นจุดกำเนิดของการหัวเราะว่า มีอะไรมากกว่าที่คุณคาดคิด

เราอาจจะรู้ว่าอะไรทำให้เราขำจนท้องคัดท้องแข็ง แต่การที่จะรู้ว่าเพราะอะไรคนเราจึงหัวเราะนั้น กลับเป็นปัญหาที่ยากจะหาคำตอบ แทบจะไม่ต้องสงสัยเลยว่า การหัวเราะเป็นกิจกรรมทางสังคม “ เสียงหัวเราะเป็นเสมือนสัญญาณส่งผ่านไปยังผู้อื่น และถ้าคนเราอยู่เพียงลำพัง เสียงหัวเราะนั้นก็มลายหายไป ” โรเบิร์ต โพรวีน นักประสาทวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ผู้แต่งหนังสือ Laughter : A scientific investigation กล่าว และเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังงานวิจัยชิ้นแรกที่ทำการศึกษาอย่างจริงจังในการค้นหาว่า อะไรทำให้มนุษย์เราหัวเราะ โพรวีนพบว่าโดยทั่วไปแล้วเสียงหัวเราะเกิดจากการตอบสนองอย่างสุภาพต่อเรื่องที่คนเราพูดคุยกันทั่วไป อย่างเช่น “ มันต้อง เกิดขึ้นแน่ ” มากกว่าเรื่องตลกอื่นๆ จากการสังเกตของคณะศึกษาอีกกลุ่มก็พบว่า เสียงหัวเราะทำหน้าที่เสมือนเป็นกาวสมานทางสังคม อย่างเด็กทารกจะเริ่มขำเมื่อมีอายุได้ประมาณ 3-4 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กเริ่มจะแยกแยะและจดจำใบหน้าของแต่ละคนได้ และวิธีที่คนเราหัวเราะก็ขึ้นอยู่กับกลุ่ม เพื่อนที่เราอยู่ด้วย อย่างพวกผู้ชายมักจะหัวเราะยาวๆ ดังๆ เมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนผู้ชายด้วยกัน บางทีการหัวเราะแบบนี้เป็นการสร้างความสัมพันธ์ต่อกัน ส่วนผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะหัวเราะเสียงแหลม และหัวเราะบ่อยขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเพศตรงข้าม ซึ่งอาจแสดงถึงความสนใจต่อเพศตรงข้าม หรือแสดงการยอมรับในอำนาจของอีกฝ่าย


 
โดยทั่วไปสิ่งที่ทำให้คนเราหัวเราะก็คือ การเล่นคำ แต่หากต้องการค้นหาต้นกำเนิดของการหัวเราะจริงๆ เราคงต้องค้นให้ลึกกว่านี้อีก โพรวีนพบว่า กุญแจสำคัญของการหัวเราะอยู่ที่การเล่น เขาคิดว่าผู้ที่เป็นเจ้าแห่งเสียงหัวเราะก็คือเด็กๆ และจะเห็นเด็กๆ หัวเราะได้อย่างชัดเจนก็ตอนที่พวกเขากำลังเล่นโหวกเหวกเสียงดังอย่างไม่มีกติกาใดๆ เขากล่าวว่า “ จุดเริ่มต้นของการหัวเราะคือการจี้ ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ที่การเล่น ” การหัวเราะประกอบกับการเล่นนี้ช่วยย้อนเวลากลับไปหาบรรพบุรุษของเรา โพรวีน กล่าวอีกว่า “ เมื่อจี้ลิงชิมแปนซี มันจะมีใบหน้าที่อารมณ์ดี และเปล่งเสียงออกมา ” เสียงหัวเราะของมันจะมีลักษณะเหมือน เสียงลมหายใจหอบทางปาก

ผู้สังเกตสิ่งมีชีวิตพวกไพรเมตที่มีชื่อเสียงอย่าง ไดแอน ฟอสซี และ เจน กูดออล ได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า ลิงชิมแปนซีหัวเราะขณะที่มีการเล่น และลิงชิมแปนซีก็มีจุดขำเช่นเดียวกับคนเรา แต่ลักษณะของเสียงหัวเราะระหว่างคนกับลิงก็ยังเปรียบเทียบกันไม่ได้ โพรวีนเคยทดสอบโดยให้นักศึกษา 119 คนของเขาฟังเสียงหัวเราะแบบพ่นลมทางปากจากเทปบันทึก มีนักศึกษาเพียงสองคนเท่านั้นที่ตอบถูกว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงสัตว์อะไร ส่วนนักศึกษาที่เหลือตอบว่าเป็นเสียงหายใจทางปาก บ้างก็ตอบว่าเป็นเสียงเลื่อยกำลังเลื่อย



ความแตกต่างหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนระหว่างการหัวเราะของคนกับลิงชิมแปนซีก็คือ เวลาที่คนหัวเราะ เสียงหัวเราะจะเกิดจากการแบ่งลมหายใจหนึ่งครั้งออกเป็นช่วงๆ เป็นเสียงฮะ ฮะ ฮ่า ในขณะที่ลิงชิมแปนซีไม่สามารถควบคุมจังหวะการหายใจได้ เสียงหัวเราะของมันแต่ละครั้งจะเป็นเสียงที่เกิดจากการหายใจเข้าหรือออกแต่ละครั้ง สิ่งที่น่าสงสัยก็คือ การหัวเราะหอบทางปากของสัตว์กับการหัวเราะของคนนั้นมีจุดกำเนิดเดียวกันหรือไม่

งานวิจัยชิ้นใหม่ๆ มีแนวโน้มที่สนับสนุนว่าสิ่งที่ทำให้คน และสัตว์หัวเราะนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน การค้นพบนี้เป็นผลงานของ เอลค์ ซิมเมอร์แมน หัวหน้าสถาบันสัตววิทยาแห่งคณะสัตวแพทยศาสตร์ฮานโนเวอร์ ในประเทศเยอรมนี เขาได้เปรียบเทียบเสียงที่เกิดจากการตอบสนองต่อการจั๊กกะจี้ของเด็กทารก และโบโนโบ ( bonobo เป็นลิงชิมแปนซีชนิดหนึ่ง มีขนาดเล็กกว่า ขนสีดำ เรียกอีกอย่างว่า ชิมแปนซี ปิ๊กมี่ - กองบ.ก. ) ในช่วงเวลาขวบปีแรก โดยใช้เครื่องสเปกโตรกราฟวัดระดับความสูงของเสียง เธอพบว่าทั้งโบโนโบและเด็กทารกมีรูปแบบการหัวเราะที่เหมือนกัน แต่มีระดับเสียงที่แตกต่างกัน โดยโบโนโบมีระดับเสียงที่สูงกว่า

ซิมเมอร์แมนเชื่อว่าความคล้ายคลึงกันระหว่างเสียงหัวเราะของโบโนโบและเด็กทารกสนับสนุนความคิดที่ว่า การหัวเราะถือกำเนิดขึ้นมายาวนานกว่าที่มนุษย์เราจะอุบัติขึ้นมาบนโลกนี้เสียอีก โพรวีนยังยืนยันอีกว่า “ เสียงหัวเราะฟืดฟาดของลิงชิมแปนซีได้กลายมาเป็นเสียงหัวเราะฮะฮ่าของคน ” และจุดเริ่มต้นในการปรับจังหวะผ่อนลมหายใจเกี่ยวข้องกับการมีปฏิสัมพันธ์ที่สนุกสนาน และบ่งบอกถึงความพึงพอใจ เขาสรุปว่า “ เสียงหัวเราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเล่น และมันอาจเป็นตัวอย่างที่ดีว่า เสียงหัวเราะของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดนั้นมีวิวัฒนาการมาได้อย่างไร ”

การค้นหาว่าการหัวเราะเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้นเป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ คนและลิงชิมแปนซีมีบรรพบุรุษร่วมกันมาไม่ต่ำกว่า 8 ล้านปี แต่สัตว์ชนิดอื่นๆ อาจจะหัวเราะเสียงดังมาก่อนหน้านั้นก็เป็นได้ สัตว์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกไพรเมต รวมทั้งลิงกอริลลานั้นก็หัวเราะ มีหลักฐานบางอย่างที่แสดงว่าพวก แคนิดส์ ( canids สัตว์กินเนื้อวงศ์ สุนัข-กองบ.ก. ) และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่กันเป็นกลุ่มก็หัวเราะเป็นด้วย

ซิมเมอร์แมนกับเพื่อนร่วมงานของเธอได้ทดสอบในเรื่องนี้ โดยการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบว่า การหัวเราะในหมู่ฝูงสัตว์เกิดขึ้นได้อย่างไร จวบจนทุกวันนี้หลักฐานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการหัวเราะของสัตว์ นอกเหนือจากกลุ่มไพรเมต มาจากการศึกษาของ เจก แพงค์เซปป์ จากมหาวิทยาลัยโบว์ลิง- กรีนสเตต ในรัฐโอไฮโอ เขาได้ศึกษาเสียงร้องสูงแหลม และสั้นซึ่งมีความถี่เหนือเสียงของหนู ซึ่งหนูจะเปล่งเสียงนี้ขณะที่มันเล่น หรือถูกจี้ หากจะพิจารณาถึงบรรพบุรุษของหนู และคนก็จะพบว่า บรรพบุรุษร่วมระหว่างหนูและคนนั้นต่างมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 75 ล้านปีที่แล้ว



อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาที่มีอยู่ในตอนนี้ก็ยังมิได้ตอบคำถามที่ว่า เพราะอะไรคนเราจึงหัวเราะ ความจริงนักคิดผู้ยิ่งใหญ่อย่างเพลโต กาลิเลโอ และดาร์วิน ต่างก็เคยได้ขบคิดเรื่องนี้มาอย่างน้อยเมื่อสองพันปีที่แล้ว มีความคิดหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เสียงหัวเราะ และการจั๊กกะจี้มีจุดกำเนิดมาจากการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก ส่วนความคิดอื่นๆ ในเรื่องนี้ก็เชื่อว่า เสียงหัวเราะเป็นปฏิกิริยาการตอบสนองแบบอัตโนมัติ ( รีเฟลกซ์ ) ต่อการจั๊กกะจี้ ซึ่งเป็นการป้องกันตัว กระตุ้นให้คนเราเกิดความระมัดระวังต่อสัตว์ที่กำลังคลานอยู่ตรงหน้า ที่อาจทำอันตรายต่อเราได้ หรือเป็นการบังคับให้เราปกป้องอวัยวะบางส่วน เช่น ท้อง อันเป็นอวัยวะที่บอบบาง และถูกทำอันตรายได้ง่าย เมื่อมีการต่อสู้กันด้วยมือเปล่า แต่ความคิดที่ได้รับการยอมรับในไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในหมู่นักชีววิทยาด้านวิวัฒนาการก็คือ การหัวเราะเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อการจั๊กกะจี้ระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงถึงความไว้วางใจในกันและกัน

การจั๊กกะจี้เพียงเล็กน้อยจะทำให้เกิดความสนุกสนาน แต่ถ้าจั๊กกะจี้นานเกินไปก็ทำให้รู้สึกทรมานได้ ความจริงแล้วในยุคกลางจะใช้วิธีจั๊กกะจี้เป็นเครื่องมือในการทรมานนักโทษ สมมติฐานนี้เริ่มจากการสังเกตว่า การจั๊กกะจี้เพียงเล็กน้อยจะทำให้เกิดความสนุกสนาน แต่ถ้าจั๊กกะจี้นานเกินไปก็ทำให้รู้สึกทรมานได้ ความจริงแล้วในยุคกลางจะใช้วิธีจั๊กกะจี้เป็นเครื่องมือในการทรมานนักโทษ ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าการจั๊กกะจี้จะทำให้เราไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แต่เรากลับตอบสนองด้วยการหัวเราะ และแสดงสีหน้าที่บอกว่า “ ช่วยจี้ต่อไป ฉันกำลังมีความสุข ” การหัวเราะจึงเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเรารู้ว่า การจั๊กกะจี้นั้นมิใช่การทำร้ายกันแต่อย่างใด การหัวเราะโดยธรรมชาติเป็นสัญลักษณ์ของความไว้วางใจ ทอม แฟล็มสัน นักวิจัยเรื่องการหัวเราะแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เมืองลอสแองเจลิส กล่าวว่า “ การหัวเราะเป็นการแสดงโดยอัตโนมัติ และยากต่อการเสแสร้ง เป็นสัญลักษณ์แสดงความซื่อสัตย์ ”

มีข้อสงสัยที่ว่าการจั๊กกะจี้สร้างความไว้วางใจระหว่างผู้จี้กับผู้ถูกจี้จริงหรือ แฟล็มสันกล่าวว่า “ การยอมรับจะเกิดขึ้นตามมาทีหลัง ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก เพราะมีผลการศึกษาในสัตว์ที่ไม่ใช่พวกไพรเมตในทำนองนี้ด้วยเช่นกัน ” แม้แต่ในพวกหนู การหัวเราะ การจั๊กกะจี้ การเล่น และความไว้วางใจถือเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ แพงค์เซปป์ บอกว่า “ หนูจะส่งเสียงแหลมสูงและสั้นแทบจะตลอดการเล่น และเสียงแหลมสูงและสั้นนี้สามารถกระตุ้นได้โดยการจั๊กกะจี้ หลังจากนั้นพวกหนูก็จะเริ่มคุ้นเคยและไว้วางใจคน ”



เราไม่มีวันรู้ว่าสัตว์ชนิดใดที่หัวเราะเป็นชนิดแรก และหัวเราะด้วยเหตุอันใด แต่เราก็มั่นใจว่าเสียงหัวเราะนั้นไม่ได้เกิดจากการตอบสนองต่อมุขตลก สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ มันเป็นเรื่องน่าขันที่ว่า จุดเริ่มต้นของการหัวเราะอาจเป็นเรื่องจริงจัง แต่เราก็เป็นหนี้บุญคุณต่อเรื่องตลก หรือการเล่นคำซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะตัวของมนุษย์เรา ในขณะที่สัตว์ประเภทอื่น หัวเราะแบบฟืดฟาด มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวที่สามารถควบคุมลมหายใจได้ดีพอที่จะทำเสียง ฮะ ฮะ ฮ่า ได้ แล้วการหัวเราะครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะหากไม่มีการควบคุมการหัวเราะ หรือมัวแต่หัวเราะอยู่ คนเราก็คงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันอย่างแน่นอน

โดย ... มัชฌิมา แปลจาก What are you laughing at, NewScientist, 20/27 December 2004
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #312 เมื่อ: 12 กันยายน 2551, 22:14:28 »

พี่เจี๊ยบ,
ช่วงอยู่เมืองไทย หนิงเอาหนังสือพิมพ์เยอรมันไปอ่านด้วย
เจอcolumnนึงน่าสนใจ ตั้งใจไว้ว่ากลับไป จาclickเข้าไปใน
homepageเพื่อตัดรูปประกอบพร้อมแปล...
ขอเวลาเล็กน้อยคะ..เดี๋ยวจะมาแชร์!
nn.27
บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #313 เมื่อ: 12 กันยายน 2551, 22:31:44 »

ฟังเพลงไปก่อนช่วงรอคะ!
<a href="http://www.youtube.com/v/I4TnxOfHinI&amp;hl=en&amp;fs=1.swf" target="_blank">http://www.youtube.com/v/I4TnxOfHinI&amp;hl=en&amp;fs=1.swf</a>
nn.
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #314 เมื่อ: 12 กันยายน 2551, 22:54:55 »

จ้า ... รออ่านอยู่นะเนีย ! ... ว่าแต่ว่า " หนังสือพิมพ์ภาษาเยอรมัน " น่ะ  อ่านเข้าไปได้ยังไง  แทบสลบ  เพราะเกิดอาการ blur อย่างหนัก  ถึงจะมีบางคำที่ใช้เหมือนภาษาอังกฤษก็เถอะ  เช่น  musiK  salat ... แต่พี่ขอยกธงขาว

พี่ว่าสำเนียงภาษาเยอรมัน  ฟังดูเบากว่า  นุ่มนวลกว่า  แต่พูดเร็วกว่าภาษาอังกฤษนะ  เต็มไปด้วย  อุ่น  อุ๊น  หน่อย  น้อย  ... โอ่ย  โอ๊ย !  ปวดหมอง

ยิ่งภาษาฝรั่งเศสนะ  พอเห็นป้ายบอกถนนหนทางในเมืองล่ะก็  พี่เกิดอาการ " ใบ้กิน " ทันที  ไม่กล้าออกเสียง  แล้วก็หมดความพยายามที่จะอ่านในเวลาอันรวดเร็ว  ha  ha  ha !  ... ก็อารายว้า ?  เห็น Center แท้  เราออกเสียงว่า เซ็นเทอร์  เขาอ่านว่า ซองแทร์ ... เลิกกันเลย !

เอ้อ !  ภาษาอิตาเลียน ค่อยยังชั่วหน่อย  เต็มไปด้วยสระเสียงเดี่ยว  ออกเสียงตรงตามรูปสระที่เห็น  หลักการเดียวกับภาษาญี่ปุ่น  เสียอย่างเดียว  ภาษาอิตาเลียนเนี่ย  ใช้สระเปลืองชมัด  คำๆ นึงต้องมีสระตั้ง 4-5 ตัว  พูดลิ้นรัวเป็นภาษาอินตระเดียเลย

สรุปว่าภาษาอังกฤษ เจ้าเก่า  พูดสนุก  ฟังมันส์ ที่ซู้ด แหละ !  อิ อิ 
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #315 เมื่อ: 12 กันยายน 2551, 23:20:53 »

Inflation and Zimbabwe Money

สุขวสา - บัญชี ... ส่งมา

Just to release your mind and your stress.
In this world, Most people are stress ; rushing and chasing for the money ....
Some ends up fighting and killing others just because of money ...

In Zimbabwe, all the peoples having a lot of money but they're poor ....
WHY ? ?


500 million note, just printed in May 2008 ..... everybody have it .... maybe just nice for 1 breakfast / lunch ( equal to about USD 2 )


Everybody are billionaire .........


To buy food in plastic packet ...... you have to spend at least 10 million.


To buy vegetables ..... 5 million


To buy eggs ........ 6000 million


To buy chicken ..... how many million ?


If you want to eat in restaurant, please prepare the money .........


After eat, have to drinks ........


After getting montly salary ...... you need to rent a taxi or lorry to bring back the money .....


Young kid .... already become millionaire


Nobody want to count the money, just weight it ......


Otherwise, this what you should do everytime you go to shop, market, bus station etc .....


บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #316 เมื่อ: 12 กันยายน 2551, 23:31:28 »

ไม่ใช่เพราะไอคิว ... สงครามระหว่างเพศ เหตุจากสมอง

จงรักษ์ - อักษร 16 ... ส่งมา

ทำไมผู้ชายคุยไป-ดูทีวีไป ไม่ได้

ผู้หญิงถนัดนักเรื่องการทำหลายๆ อย่างพร้อมกัน อาทิ เขียนรายการของที่จะซื้อ พร้อมกับทำกับข้าว และบอกสามีให้ดูลูกทำการบ้าน การสแกนสมองบ่งบอกว่า สมองผู้หญิงไม่เคยว่างเปล่าแม้ยามหลับ ในทางตรงข้าม ผู้ชายมักพบว่าเวลาถูกขอให้โทรศัพท์ระหว่างดูทีวีเป็นภารกิจที่ท้าทายอย่างยิ่ง

นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า สมองซีกซ้าย และขวาของคนเราเชื่อมโยง และแลกเปลี่ยนข้อมูลกันด้วยกลุ่มเส้นประสาทที่เรียกว่า corpus callosum โรเจอร์ กอร์สกี้ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในแอลเอ ยืนยันว่าสมองของผู้หญิงมี corpus callosum หนากว่าผู้ชาย 10% และมีการเชื่อมต่อระหว่างสมองสองซีกมากกว่าผู้ชาย 30% ทั้งยังพิสูจน์ได้ว่าหญิง-ชายใช้สมองคนละส่วนกันเวลาทำงานอย่างเดียวกัน สมองของผู้ชายพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้มุ่งเน้นกับงานเพียงงานเดียว ขณะที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิงกระตุ้นเซลล์สมองให้ทำการเชื่อมต่อสมองซีกซ้ายและขวามากขึ้น

ผลศึกษาหลายชิ้นระบุว่า ยิ่งสมองสองด้านเชื่อมต่อกันมากแค่ไหน คนๆ นั้นยิ่งมีความเป็นเลิศด้านภาษามากขึ้น และยังอธิบายได้ว่าเหตุใดผู้หญิงจึงสามารถปฏิบัติภารกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยหลายๆ อย่างพร้อมกันได้ ด้วยเหตุนี้ เวลาที่ผู้หญิงจะขอให้สามีทำอะไรให้ ควรเลือกจังหวะให้ดี และมอบหมายภารกิจให้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

 
ทำไมผู้ชายโกหกไม่สำเร็จ

การศึกษาภาษากายพบว่า ในการสื่อสารแบบเผชิญหน้า สัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ของสาส์นถึง 60% อีก 30% เป็นหน้าที่ของน้ำเสียง และ 10% ที่เหลือถึงเป็นถ้อยคำ ผู้หญิงมีทักษะในการเลือกสรร และวิเคราะห์ข้อมูลนี้มากกว่าผู้ชาย โดยสมองสองซีกจะส่งผ่านข้อมูลระหว่างกันอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถรวบรวม และถอดรหัสถ้อยคำ ภาพที่เห็น และสัญญาณอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ และนี่คือคำอธิบายว่า เหตุใดผู้ชายจึงโกหกผู้หญิงซึ่งๆ หน้าไม่สำเร็จ แต่ผู้หญิงกลับทำพฤติกรรมแบบเดียวกันนี้ได้ง่ายดาย และเนียนเหลือเกิน

ข้อแนะนำสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ถ้าคิดจะตุกติก หนุ่มควรใช้วิธีโทรศัพท์ ส่งจดหมาย ปิดไฟ หรือคลุมโปงคุยกับแฟนมากกว่า


ทำไมผู้หญิงมีปัญหาเวลาจอดรถขนานฟุตบาธ

งานวิจัยที่มีบริษัทสอนขับรถเป็นสปอนเซอร์แสดงให้เห็นว่า ผู้ชายอังกฤษมีความแม่นยำ 82% ในการถอยรถเข้าจอดขนานกับขอบถนน และ 71% ทำได้ตั้งแต่ครั้งแรก ขณะที่ผู้หญิงได้คะแนนเพียง 22% และ 23% ตามลำดับ ทั้งที่เวลาสอบใบขับขี่ผู้หญิงจะได้คะแนนในส่วนนี้ดีกว่าผู้ชาย สาเหตุเป็นเพราะผู้หญิงเก่งกว่าผู้ชายในการเรียนรู้ภารกิจ และทำซ้ำภายใต้สภาพแวดล้อม และเงื่อนไขที่เหมือนเดิม ทว่าในสถานการณ์จริงที่การจราจรหมายถึงชุดข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ประสิทธิภาพของผู้หญิงจึงด้อยลง ขณะที่ผู้ชายมีทักษะด้านมิติสัมพันธ์สูงกว่าซึ่งเหมาะสมต่อภารกิจนี้ รวมถึงการจดจำแผนที่ในหัว และรู้ว่าต้องเลือกเส้นทางไหน

ถ้าต้องกลับไปที่เดิม ผู้ชายไม่จำเป็นต้องพึ่งแผนที่ เพราะพื้นที่สมองส่วนมิติสัมพันธ์จะบันทึกข้อมูลไว้ครบถ้วน ด้วยเหตุนี้ผู้ชายจึงลุกจากที่นั่งบนอัฒจรรย์เพื่อลงไปซื้อเครื่องดื่ม และกลับมาโดยไม่หลง ขณะที่เรามักคุ้นตากับภาพนักท่องเที่ยวหญิงยืนทำหน้างงใส่แผนที่ตามสี่แยก


ทำไมผู้หญิงใส่ใจความรู้สึก - ผู้ชายหมกมุ่นกับงาน

ผู้ชายมักตีค่าตัวเองจากหน้าที่การงาน และความสำเร็จ ขณะที่ผู้หญิงมองตัวเองมีค่าโดยพิจารณาจากความสัมพันธ์กับคู่ครอง

ในอดีตกาล ผู้ชายเป็นผู้หาอาหาร และแก้ปัญหา ซึ่งหมายถึงภารกิจสูงสุดอยู่ที่ความอยู่รอดเฉพาะหน้า ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่ดูแลบ้าน และสร้างหลักประกันการอยู่รอดของลูกๆ แม้แต่ในยุคนี้ ผลศึกษาหลายชิ้นระบุว่าผู้ชาย 70-80% ยังบอกว่าส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตคืองาน และผู้หญิงในจำนวนเท่าๆ กันยกให้ครอบครัวมีความสำคัญที่สุด ผลลัพธ์คือ ถ้าผู้หญิงไม่มีความสุขกับชีวิตคู่ ก็จะไม่มีสมาธิกับงาน แต่ถ้าผู้ชายไม่มีความสุขกับงาน จะปล่อยปละละเลยชีวิตคู่

เมื่อเครียด หรือรู้สึกกดดัน ผู้หญิงจะมองว่าการได้พูดคุยกับสามีเป็นรางวัลอันมีค่า แต่ผู้ชายกลับรู้สึกว่าการกระทำแบบเดียวกันรบกวนกระบวนการแก้ปัญหา ผู้หญิงอยากคุย และให้สามีกอด แต่สิ่งที่ผู้ชายอยากทำมากที่สุดคือนอนดูฟุตบอล สำหรับผู้หญิง สามีดูจะไม่ใส่ใจเลยสักนิด แต่สำหรับผู้ชาย ภรรยาช่างเซ้าซี้กวนใจ หรือบางครั้งอวดรู้มากไปหน่อย

เมื่อรู้แบบนี้ สามี-ภรรยาควรหาทางสายกลางเพื่อประคับประคองชีวิตคู่ให้ราบรื่น

 
ทำไมผู้หญิงมีสัมผัสที่ 6

เมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ผู้หญิงเคยถูกเผาทั้งเป็นเพราะมีอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการทำนายแนวโน้มความสัมพันธ์ และความจริงที่ซ่อนเร้น

ในการทดลองหนึ่งพบว่า ภายในห้องที่มีสามี-ภรรยาอยู่ 50 คู่ ผู้หญิงใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของแต่ละคู่ โดยความสามารถนี้วิวัฒนาการมาจากหน้าที่การดูแลบ้านในอดีตกาล ทำให้ผู้หญิงสามารถฟันธงได้ว่าคู่ไหนรักกันดี คู่ไหนมีปัญหา และผู้หญิงคนไหนน่าคบ หรือว่าต้องระวัง

ขณะที่ผู้ชายกลับกวาดสายตาทั่วห้องเพื่อหาทางเข้า-ทางออก ซึ่งมาจากสัญชาติญาณในอดีตในการประเมินแนวโน้มการถูกโจมตี และทางหนีทีไล่ หลังจากนั้น จึงค่อยมองหาคนรู้จัก หรือคนที่อาจเป็นศัตรู แล้วค่อยพินิจพิเคราะห์โครงสร้างห้องเพื่อหาจุดที่มีปัญหา และต้องการการซ่อมแซม


ทำไมผู้หญิงชอบสับสนซ้าย-ขวา

ความที่ใช้สมองทั้งสองด้านไปพร้อมกัน ผู้หญิงหลายคนจึงมีปัญหาเรื่องมือขวา-มือซ้าย ในการศึกษาพบว่า ผู้หญิงราว 50% นึกไม่ออกว่ามือซ้าย หรือมือขวา ถ้าไม่ได้เหลือบตาลงมอง ทว่าผู้ชายที่ใช้สมองทีละซีกตอบโจทย์นี้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงทั่วโลกจึงมักถูกเพศตรงข้ามบ่น เพราะชอบบอกให้เลี้ยวขวา ทั้งที่จริงๆ แล้วหมายถึงเลี้ยวซ้าย

ทำไมผู้ชายไม่ชอบถามทาง

เรื่องนี้เกี่ยวกับทัศนคติที่ฝังรากมาแต่ดึกดำบรรพ์ ที่ผู้ชายต้องออกสำรวจภูมิประเทศรอบๆ ถ้ำ เพื่อจะได้กลับบ้านถูกเวลาออกไปล่าสัตว์หาอาหารมาเลี้ยงครอบครัว ลูกเมียต่างหิวโหย แต่เชื่อมั่นว่าพ่อบ้านจะปฏิบัติภารกิจสำเร็จเหมือนเช่นทุกครั้ง ดังนั้นผู้ชายจึงไม่สามารถแสดงอาการกลัวออกมาให้ครอบครัวเห็น และมองว่าการขอความช่วยเหลือหมายความว่าการปฏิบัติภารกิจล้มเหลว

ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่าเวลาผู้ชายขับรถออกไปนอกบ้านคนเดียว เขาอาจจอดถามทาง แต่การทำแบบนี้ต่อหน้าผู้หญิง จะทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงจึงต้องระวังไม่ทำให้ผู้ชายรู้สึกผิดเวลาคุยปัญหากัน ขณะเดียวกันผู้ชายก็จะต้องเข้าใจว่าผู้หญิงไม่ได้มีเจตนากล่าวโทษ แต่ต้องการช่วยแบ่งเบา จึงไม่ควรเก็บปัญหาไว้หนักอกคนเดียว
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #317 เมื่อ: 13 กันยายน 2551, 16:38:47 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 12 กันยายน 2551, 22:54:55
จ้า ... รออ่านอยู่นะเนีย ! ... ว่าแต่ว่า " หนังสือพิมพ์ภาษาเยอรมัน " น่ะ  อ่านเข้าไปได้ยังไง  แทบสลบ  เพราะเกิดอาการ blur อย่างหนัก  ถึงจะมีบางคำที่ใช้เหมือนภาษาอังกฤษก็เถอะ  เช่น  musiK  salat ... แต่พี่ขอยกธงขาว

พี่ว่าสำเนียงภาษาเยอรมัน  ฟังดูเบากว่า  นุ่มนวลกว่า  แต่พูดเร็วกว่าภาษาอังกฤษนะ  เต็มไปด้วย  อุ่น  อุ๊น  หน่อย  น้อย  ... โอ่ย  โอ๊ย !  ปวดหมอง

ยิ่งภาษาฝรั่งเศสนะ  พอเห็นป้ายบอกถนนหนทางในเมืองล่ะก็  พี่เกิดอาการ " ใบ้กิน " ทันที  ไม่กล้าออกเสียง  แล้วก็หมดความพยายามที่จะอ่านในเวลาอันรวดเร็ว  ha  ha  ha !  ... ก็อารายว้า ?  เห็น Center แท้  เราออกเสียงว่า เซ็นเทอร์  เขาอ่านว่า ซองแทร์ ... เลิกกันเลย !

เอ้อ !  ภาษาอิตาเลียน ค่อยยังชั่วหน่อย  เต็มไปด้วยสระเสียงเดี่ยว  ออกเสียงตรงตามรูปสระที่เห็น  หลักการเดียวกับภาษาญี่ปุ่น  เสียอย่างเดียว  ภาษาอิตาเลียนเนี่ย  ใช้สระเปลืองชมัด  คำๆ นึงต้องมีสระตั้ง 4-5 ตัว  พูดลิ้นรัวเป็นภาษาอินตระเดียเลย

สรุปว่าภาษาอังกฤษ เจ้าเก่า  พูดสนุก  ฟังมันส์ ที่ซู้ด แหละ !  อิ อิ 


จริงคะพี่!
แต่ภาษาดองกันเหมือนญาติพี่น้อง...
ยิ่งอังกฤษ-ฝรั่งเศส-เยอรมัน-อิตาเลี่ยน...
อุตลุตไปหมด!
nn.27
บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #318 เมื่อ: 16 กันยายน 2551, 00:48:35 »

จะขอแปะโป้งรอบสองคะ!
เมื่อครู่ clickเข้าไปแล้ว...
เหวออยู่ตั้งนาน หาไม่เจอ!
แต่หนิงฉีกตัวหนังสือพิมพ์ไว้คะ...ยังไงก็ตามต้นตอได้!
nn.27
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #319 เมื่อ: 16 กันยายน 2551, 01:33:53 »

น้ำดื่มที่แพงที่สุดในโลก

พี่ชรินทร์ - รัฐ 07 ... ส่งมา
 
น้ำดื่ม  จะว่าไปก็น้ำเปล่าเราดีๆ นี่ละครับ  ที่ผมจะนำเสนอ  ต้องแจ้งก่อนว่า น้ำ เป็นเครื่องดื่มที่มาแรงมากๆ ตามกระแสนิยมเรื่องสุขภาพ  น้ำเปล่าเลยกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ  บรรจุขวดในแบบต่างๆ  มีหลายราคา  วันนี้เรามารู้จักน้ำเปล่าในกลุ่มที่แพงที่สุดในโลกกัน  บอกก่อนนะครับว่าบางขวดแพงพอๆ กับเงินเดือนของคนบางคนทีเดียว  เริ่มจากราคาเล็กๆ ไล่ขึ้นไปนะครับ
 
Iskilde ลิตรละ 567 บาท

 
น้ำดื่มขวดนี้มาจากดินแดนโคนมเดนมาร์คครับ  เป็นน้ำแร่ที่เพิ่งค้นพบใหม่ที่เขตสงวน Messo ซึ่งแน่ละมันสะอาดและบริสุทธิ์มาก  วิธีการได้น้ำขวดนี้มาต้องเจาะลงไปใต้ดิน 50 เมตร  คล้ายน้ำแร่ยี่ห้อหนึ่งของไทย  น้ำแร่ชนิดนี้เหมาะที่จะใช้ดื่มร่วมกับสเต็กครับ  บรรจุในขวดขนาด 1 ลิตร

Finic ลิตรละ 1,312.29 บาท

 
ว่ากันว่าขวดนี้เหมาะสำหรับอาหารประเภทซูชิ  ลือกันว่ารสชาติออกหวานนิดๆ  น้ำดื่มขวดนี้สูบมาจากใต้ภูเขาไฟฟูจิ 600 เมตร โดยแหล่งน้ำนี้จะมีบางส่วนเป็นน้ำพุร้อนอีกด้วย  เชื่อกันว่าในน้ำขวดนี้อุดมไปด้วยซิลิกา ซึ่งช่วยเรื่องความงามของ ผม เล็บ และช่วยร่างกายสร้างคลอลาเจน  ชลอความแก่ชราด้วย

OGO ลิตรละ 1,512 บาท

 
เจ้าขวดกลมขวดนี้ละครับ  มันมาจากเนเธอแลนด์-ดินแดนแห่งดอกทิวลิป และกัญชาในร้านกาแฟ ที่นี่ยังมีแหล่งน้ำพุ Prise d'eau น้ำดื่มนี้ได้รับการรับรองว่ามีปริมาณออกซิเจนตามธรรมชาติสูงมากกว่าน้ำดื่มทั่วไป ดื่มแล้วให้ความสดซื่นครับ  OGO มาจากคำว่า Oxigen To Go

Mahalo Deep Sea Water ลิตรละ 1,764 บาท

 
หลายคนอาจพอรู้แหล่งกำเนิดจากชื่อแล้ว  ครับขวดนี้มาจากฮาวาย USA ครับ  ความเด่นของน้ำนี้เป็นน้ำจืดจากใต้ทะเล  ย้ำนะครับว่าใต้ทะเลไม่ใช่ใต้ดิน  น้ำชนิดนี้เกิดจากภูเขาน้ำแข็งที่ละลายตัวลงไปในทะเล  ด้วยความหนาแน่นที่ต่างกันมาก  น้ำจืดชนิดนี้ไม่ปนกับน้ำทะเลแต่นอนก้นอยู่ใต้ทะเลแทน  นั่นละครับที่มาของมัน  ซับซ้อนสุดๆ

Berg ลิตรละ 1,890 บาท

 
น้ำขวดนี้มาจากแคนาดา  มาจากธารน้ำแข็งโบราณที่กรีนแลนด์แตกตัว แล้วลอยข้ามมหาสมุทรมาให้ทางแคนาดาละลายใส่ขวดครับ  ธารน้ำแข็งแห่งนี้อายุถึง 15,000 ปี และต้องไปสกัดตอนยังไม่เกยฝั่งซึ่งยากมากครับ

ยังครับ พวกนี้น้ำจิ้มเท่านั้น  เมื่อเทียบกับ 2 ขวดสุดท้าย  เริ่มจากขวดนี้
 
420 Volcanic

 
มาฟังคุณสมบัติก่อนราคาดีกว่าครับ  น้ำขวดนี้มาจากนิวซีแลนด์-ดินแดนแห่งธรรมชาติงดงาม ฉากหลังเรื่อง ลอร์ด ออฟ เดอะริง ทั้ง 3 ภาค  น้ำขวดนี้มาจากภูเขาไฟ Tai Tapu โดยเป็นน้ำใต้ดินที่ผ่านการกรองจากหินภูเขาไฟ  แล้วฝังตัวลึกลงไป 200 เมตรครับ  ราคาเบาะๆ 3,150 บาทต่อลิตร

อย่า ........... อย่าเพิ่งอ้าปากค้างล่ะ  มาถึงอันที่แพงที่สุดครับ


Bling H2O

 
น้ำดื่มขวดนี้ได้รับการยอมรับว่าแพงที่สุดในโลก  น้ำดื่มขวดนี้ไม่มีความพิเศษด้านที่มาเหมือนขวดที่ผ่านๆ มาหรอกครับ  ความพิเศษมันอยู่ที่ตัวขวดประดับด้วยคริสตอลชวารอฟสกี้ และจุกไม้ก๊อกแท้  พร้อมด้วยสโลแกนว่า " ขวดน้ำที่คุณถือแล้วแสดงความเป็นตัวคุณเอง "


 
ตัวขวดก็ทำด้วยทรายชนิดพิเศษ  เจ้าของเป็นคนเขียนบทระดับรางวัลเอ็มมี่ที่เดียว  และแน่ๆ


 
ขวดนี้ไม่ถึงลิตร  บรรจุเพียง 750 มิลลิลิตรเท่านั้น  ราคาที่แสดงความเป็นคุณคือ 4,280 บาทครับ
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #320 เมื่อ: 16 กันยายน 2551, 15:08:49 »

โอ,แมน...นํ้าแร่ขวดละมากกว่า20€!!!
สงสารคนปลูกไวน์จริง...เพราะกว่าองุ่นจะสุก
ตัด คั้น กลั่น กรอง บ่มได้เป็นไวนซักขวด...
ที่ให้ได้ราคาเท่าข้างบน...เป็นprocessที่ยาวววววนาน!
nn.27
บันทึกการเข้า


แจง-24
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 10,028

« ตอบ #321 เมื่อ: 20 กันยายน 2551, 12:58:20 »

พี่เจี๊ยบขา...
ตามอ่านกระทู้นี้อยู่หลายครั้ง ชอบมากค่ะ
เหมือน "สรรสาระ" ฉบับซีมะโด่ง

ถ้าแจงจะขออนุญาต copy บางเรื่อง ไปแปะที่ห้อง 24 ตามโอกาสอันควร
ไม่ทราบว่าพี่เจ๊ยบจะอนุญาตไหมคะ

รูปพี่เจี๊ยบที่งานเลี้ยงส่งน้องหนิงสวยมากเลยค่ะ
พี่เจี๊ยบใส่สีฟ้าขึ้นจังค่ะ
บันทึกการเข้า

   อยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูง
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #322 เมื่อ: 20 กันยายน 2551, 20:36:02 »

น้องแจง ขา ... พี่เจี๊ยบอนุญาตแน่นอนค่ะ ( คำว่า อนุญาต ไม่ต้องแถมสระ อิ นะ ... แจงไม่ชม  พี่ก็อนุญาตอยู่แล้วล่ะน่า )  แต่ถ้าแจงจะไปช่วยประชาสัมพันธ์ที่ห้อง 2524  โดยทำ link ชวนเพื่อนๆ ให้เข้ามาอ่านกระทู้นี้  ก็น่าจะ work กว่านะคะ  เพราะแจงจะได้ไม่ต้อง copy เรื่องกะรูปไป  เป็นการทำงานซ้ำซ้อนกันสองรอบ  แถม server ของเวบหอก็ไม่ต้องเก็บรูปหลายๆ รูปเบิ้ลกัน ให้เปลืองหน่วยความจำไปเปล่าๆ  ว่ามั้ยคะ ?

พี่ทายว่าแจงคงจะชอบสีฟ้าล่ะมั้ง  ดูซิ ! แจงพิมพ์ตัวอักษรเสร็จ  ก็ยังเลือกกำหนดให้เป็นสีฟ้าเลยนี่  ขอบคุณนะคะที่ชมว่าพี่ใส่สีฟ้าแล้วขึ้น  สงสัยจะ " ขึ้นอืด " มากกว่า  อิ๊  อิ๊
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #323 เมื่อ: 20 กันยายน 2551, 21:55:11 »

Google Office

วณิชย์ - วิศวะ 16 ... ส่งมาจาก USA

สำนักงาน Google เน้นให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน แบบสุดฤทธิ์สุดเดช ... เราๆ ทุกคนพอจะทราบอยู่แล้วว่า การทำงานที่Google นั้นสุดยอดขนาดไหน แต่เชื่อผมสิ ยักษ์ใหญ่วงการอินเตอร์เน็ตรายนี้เน้นให้พนักงานมีความสุขกับการทำงานจริงๆ ดูได้จากภาพแคปซูลผ่อนคลายความเครียด ที่เสียง และแสงไม่สามารถผ่านเข้าไปได้


Slider สำหรับพนักงานที่ไม่อยากลงบันได หรือ ลงลิฟท์ เพื่อติดต่องานระหว่างชั้น


อาหารที่พนักงานอยากจะทาน อะไรก็ได้ เมื่อไรก็ได้ ซึ่งมีมากมายมหาศาล


โต๊ะทำงานของพนักงาน จะมีอย่างน้อย 2 จอ wide screen ใหญ่ๆ


white board ขนาดใหญ่ และยาว จะมีอยู่ทุกหนทุกแห่งในสำนักงาน เพราะ Google เชื่อว่า ไอเดียดีๆ ไม่ได้มาจากการนั่งอยู่กับโต๊ะทำงาน


ห้องพักผ่อนหย่อนใจ จะมีโต๊ะพูล วีดีโอเกมส์ และ อื่นๆ มองมุมไกลๆ ตรงโน้น จะเห็นว่ามีบาร์เครื่องดื่มด้วย


การติดต่อสื่อสาร ในสำนักงานทุกๆ ชั้น จะมีตู้ส่วนตัวให้พนักงานเข้ามาคุยโทรศัพท์เรื่องส่วนตัว เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่น


ถ้าคุณมีปัญหากับคอมพิวเตอร์ของคุณ ก็นำมาที่แผนกนี้ คุณสามารถนั่งดื่มเครื่องดื่มต่างๆ ระหว่างการรอซ่อม


ถ้าคุณปวดเมื่อย Google ก็จะมีพนักงานนวดเตรียมไว้ให้คุณ


ถ้าคุณต้องการพักผ่อน คุณสามารถเข้าไปห้องพักผ่อนที่มีเก้าอี้นวดไฟฟ้า พร้อมกับดูตู้ปลาที่สวยงาม เพื่อความผ่อนคลาย


มีห้องสมุดให้คุณนั่งอ่านหนังสือ พร้อมกับหนังสือที่เตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพ สำหรับการค้นคว้าเรื่องต่างๆ


เป็นอย่างไรบ้างครับ สำนักงานของ Google เห็นแล้วอยากทำงานด้วยจริงๆ เลย


... จ้า ! Boss ที่ชื่อเจี๊ยบก็อยากให้คุณถามตัวเองนี๊ดนึงว่า " คุณมี idea อะไรที่จะไปขายให้ Google เค้าเห็นว่าคุ้มมาก ที่จะจ้างคุณไว้ทำงาน มั่งล่ะจ๊า ? "
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #324 เมื่อ: 20 กันยายน 2551, 22:16:59 »

ศาลพระภูมิ สไตล์รีสอร์ท

จงรักษ์ - อักษร 16 ... ส่งมา




บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 29  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><