26 พฤศจิกายน 2567, 05:38:31
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมคนเราเกิดมาต่างกัน  (อ่าน 43662 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ปุจฉา
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 69

« เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2550, 14:19:34 »

ทำไมคนเกิดมาไม่เท่ากันอะครับ อยู่ดีๆ คนหนึงรวย อีกคนเปงขอทาน

ถ้าตอบว่าชีวิตขึ้นอยู่กับกรรม งั้นเราเกิดมารับกรรมแล้วก้อตาย ไม่สามารถเลือกอะไรในชีวิตได้เลยหรอครับ มีวิธีไหมที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตตัวเองครับ
บันทึกการเข้า

คนที่เข้มแข็งที่สุดก็ยังมีนาทีที่น้ำตาไหลริน
วิสัชนา
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 21

« ตอบ #1 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2550, 17:13:50 »

อ้างจาก: "ปุจฉา"
ทำไมคนเกิดมาไม่เท่ากันอะครับ อยู่ดีๆ คนหนึงรวย อีกคนเปงขอทาน

ถ้าตอบว่าชีวิตขึ้นอยู่กับกรรม งั้นเราเกิดมารับกรรมแล้วก้อตาย ไม่สามารถเลือกอะไรในชีวิตได้เลยหรอครับ มีวิธีไหมที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตตัวเองครับ


วิสัชนา...

ที่คนเราเกิดมาไม่เท่ากันก็เพราะทำกรรมในอดีตมาต่างกัน

มองดูคนรอบข้างเราซิ..แต่ละคนก็มีการกระทำที่แตกต่างกัน บ้างคนดี บ้างคนไม่ดี

สิ่งเหล่านี้ล่ะที่จะส่งผลให้คนแต่ละคนมีความแตกต่างกัน

มันไม่ได้ต่างกันแค่ผล แต่เหตุก็ต่างกันด้วย

ผลคือความรวย..ความจน เหตุคือความเสียสละ..ความเห็นแก่ตัว

คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้กรรมอย่างเดียว  แต่เกิดมาเพื่อสร้างกรรมใหม่ด้วย

คนรวยคนจนก็มีสิทธิ์ที่จะทำความดีความชั่วได้

หลายๆ อย่างในชีวิตที่เราเลือกไม่ได้ ฐานะ ชาติตระกูล การศึกษา เป็นต้น

แต่สิ่งหนึ่งที่เราเลือกได้คือ เลือกที่จะทำความดี เลือกที่จะทำความชั่ว

การเลือกที่จะทำแต่ความดี ไม่ทำความชั่ว นั่นคือการเปลี่ยนชะตาชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น

แต่บางชะตาชีวิตก็ต้องอาศัยระยะเวลาในการเปลี่ยนเเปลงด้วย

ไม่ใช่ทำความดีวันนี้ พรุ่งนี้เย็นๆ จะให้มันเห็นผล

ทำไปเรื่อยๆ เหมือนเราปลูกต้นไม้ ถึงเวลามันจะออกดอกออกผลเอง

เราอย่าไปเร่งมัน ถ้าจะเร่งก็เร่งใส่ปุ๋ย เร่งรดน้ำ เร่งพรวนดิน

เร่งที่จะทำความดีให้มากๆ  ไม่ใช่รอให้ความดีเดินมาชนแล้วจึงจะทำ
บันทึกการเข้า

เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ จิตย่อมใส ใจย่อมสว่าง ณ กลางกมล
ปุจฉา
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 69

« ตอบ #2 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2550, 15:18:15 »

อ้างจาก: "ปุจฉา"
ทำไมคนเกิดมาไม่เท่ากันอะครับ อยู่ดีๆ คนหนึงรวย อีกคนเปงขอทาน

ถ้าตอบว่าชีวิตขึ้นอยู่กับกรรม งั้นเราเกิดมารับกรรมแล้วก้อตาย ไม่สามารถเลือกอะไรในชีวิตได้เลยหรอครับ มีวิธีไหมที


มีข้อมูลเพิ่มเติม ให้ลองพิจารณา และถ้าอยากจะเปลี่ยนชะตาชีวิตตนเองนั้นสบายมาก แต่ต้องมีความพยายามเหมือนเราทำงานเก็บเงินไว้ในธนาคารนั่นแหละ  ทำควบคู่ไปกับการทำงานได้เลย  เรียกว่า ทูอินวัน นะคร้าบ ถ้าเราฉลาดและมีวินัย  มีความเพียร นั้นง่ายมาก ๆ เลย  แล้วเข้าไปอ่านหนังสือ  "มีชีวิตที่คิดไม่ถึง"  ใน www.dungtrin.com  แล้วจะพบคำตอบที่โดน ๆ ง่ะนะ ข้อความที่นำมาจะเยอะหน่อยแต่เป็นเรื่องที่มิควรมองข้ามอย่างยิ่ง  

บัญชีที่ไม่มีใบเสร็จ

คุณจะรู้สึกอย่างไร ถ้าหากฝากเงินแล้วไม่มีสมุดบัญชีจากธนาคารให้ดู ถอนเงินก็ไม่มีใบบันทึกรายการให้เห็น พูดง่ายๆคือคุณไม่รู้เลยว่ายอดเงินในบัญชีตัวเองเหลืออยู่เท่าไหร่ จะใช้ไปได้อีกนานแค่ไหน

นี่คงเป็นเรื่องยอมไม่ได้ในโลกที่มนุษย์อาศัยกันและกันทำธุรกรรม ธนาคารไหนไม่มีเอกสารแสดงรายการให้ดูว่าฝากเท่าไหร่ ถอนไปมากน้อยเพียงใด ก็คงแปลว่าธนาคารบริหารโดยคนสติไม่ดีเท่านั้น

แต่ในโลกของนามธรรม ของแบบนี้มีอยู่จริงๆครับ แถมเป็นธนาคารสำคัญอันดับหนึ่งในจักรวาลเสียด้วย นั่นคือธนาคารกรรม ธนาคารนี้ไม่มีสมุดบันทึกกรรมให้ดู คุณทำกำไรเท่าไหร่ ใช้จ่ายไปแค่ไหน ไม่มีใบเสร็จสักใบ แถมตัวคุณเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าค่าของกรรมเขาวัดกันเป็นหน่วยอย่างไร กำไรและขาดทุนจึงเสมือนไม่อาจปรากฏให้รับรู้ได้ด้วยวิธีใดๆ

คนส่วนใหญ่พอไม่มีใบเสร็จให้ดูก็ไม่มีกำลังใจ เห็นแต่ว่าทำแล้วหาย ทำแล้วหาย… ตรวจสอบอะไรไม่ได้เลย แตกต่างจากการลงเงินไปในการทำธุรกิจซึ่งเป็นรูปธรรม ถึงแม้ลงทุนแบบเตรียมใจว่าจะเป็นเงินจม ไม่โผล่ให้เห็นสัก ๕ ปี แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าทุนนั้นยังอยู่ ไม่หายไปไหน ตรวจสอบได้ด้วยวิธีที่แน่นอนในทางใดทางหนึ่ง

แม้แต่ความทรงจำอันเป็นสิ่งเดียวที่พอจะบันทึกกรรมได้ ก็มีความไม่เที่ยงเสียอีก เคยไหมครับที่เพื่อนคุณมาทวนเรื่องราวบางอย่างในอดีตให้ฟัง แต่คุณต้องทำหน้างง นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก อาจเถียงคอเป็นเอ็นด้วยซ้ำว่าไม่เคยคิด ไม่เคยพูด ไม่เคยทำ ไม่อยู่ในความจำแม้แค่เงารางเลือน

พอพูดถึงกรรมวิบาก ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนเรามักนึกเป็นเรื่องๆ เช่นเคยชกกับศัตรูหัวหูเปิด เคยด่าว่าก้าวร้าวพ่อแม่จนร้องห่มร้องไห้ หรือเคยลักขโมยคดโกงชาวบ้านให้เขาเดือดร้อน แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเท่าไหร่ คนเราอยากเห็นกรรมวิบากชนิดทันตาเห็นใน ๓ วัน ๗ วัน แต่ธรรมชาติกรรมวิบากไม่บริการให้ทันใจ เพราะมัวบริการคิวที่เป็นกุศลก่อนเสียเนิ่นนาน อย่างนี้ใครที่ไหนจะไปเชื่อว่ากรรมวิบากมีจริง หรือถ้าเห็นกรรมทันตาแบบนานทีปีหนก็ไร้ความหมาย เพราะคนต้องนึกว่าฟลุกอีกอยู่ดี

พอบวกๆกัน สรุปแล้วลงเอยคือคนทั่วไปคงต้องนึกเหมือนๆกันว่ากรรมที่ทำไปแล้วเป็นของสูญ แม้ใจไม่คิด แม้ปากไม่พูด แต่ความรู้สึกลึกๆภายในก็คงเป็นเช่นนั้น จึงกลายเป็นหนึ่งในพวกที่ขาดศรัทธาในศาสนา ขอมีชีวิตอยู่ไปวันๆ เอาตัวรอดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบฉากชีวิต ยากนักที่มีชีวิตปกติอยู่ดีๆแล้วให้นั่งทบทวนว่าชีวิตนี้เตรียมอะไรเป็นเสบียงสำหรับเดินทางไกลต่อไว้บ้างแล้ว

สำหรับปุถุชนทั่วไปที่ไม่มีสมาธิผ่องแผ้วพอจะดูเข้าไปให้เห็นระดับชั้นหรือ ‘ภูมิจิต’ ของตนว่ามีที่ไปสูงหรือต่ำกว่าความเป็นมนุษย์ ความจริงก็พอจะมีใบเสร็จอยู่ แต่เป็นใบเสร็จใบโตที่บอกคุณสั้นๆเพียงว่าชาตินี้ ‘กำไร’ หรือ ‘ขาดทุน’

ตามหลักการค้าขายพื้นฐาน เรามีต้นทุนอยู่ ๑๐๐ ค้าขายแล้วได้เงินคืนมา ๑๒๐ ก็แปลว่ากำไร ๒๐ แต่ถ้าต้นทุนมีอยู่ ๑๐๐ ค้าขายแล้วได้เงินคืนมาเพียง ๘๐ บาท อย่างนี้ก็แปลว่าขาดทุน ๒๐

เช่นกัน ถ้าจะดูว่าชาตินี้คุณกำไรหรือขาดทุน ก็ต้องดูว่า ‘ทุนเก่า’ มีอยู่แค่ไหน แล้วดูว่าคุณใช้ทุนนั้นทำความงอกเงยขึ้นมาหรือว่าหดหายลงไปเพียงใด คือเทียบกับผลที่จะเกิดขึ้นชาติต่อไปว่าดีขึ้นหรือแย่ลงกว่าที่กำลังเป็นอยู่

คุณอาจกังขาว่าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าชาติหน้าดีขึ้นหรือแย่ลงแค่ไหน? เป็นไปไม่ได้ เพราะคุณไม่ได้มีกำลังจิต แล้วก็ไม่ได้ฝึกนั่งทางในดูตัวเอง

ความจริงคือเป็นไปได้ครับ โดยอาศัย ‘ขณะใกล้กับชาติหน้ามากที่สุด’ ซึ่งก็คือปัจจุบันขณะนี่เอง! ขอให้ดูเถิดว่าสิ่งต่างๆต่อไปนี้ปรากฏชัดกับใจเพียงใด แล้วใช้เป็นเครื่องชี้บอกเถิด
 

๑) ระดับความอุ่นใจ

คุณอาจไม่เคยคิดถึงสิ่งนี้มาก่อน แต่ขอให้ทราบเถิดครับว่าคนเรามีความอุ่นใจไม่เท่ากัน นับแต่เริ่มจำความได้มาเลยทีเดียว เด็กบางคนมีความเชื่อมั่นในส่วนลึกว่าตนจะมีความสุขไปเรื่อยๆ ในขณะที่เด็กบางคนมีแต่ความหดหู่และหวาดกลัว

คุณอาจคิดว่าใช่สิ ถ้าอยู่ในครอบครัวหรือสภาพแวดล้อมที่ทำให้เป็นสุข ก็ย่อมมีความอุ่นใจ ถ้าอยู่ในครอบครัวหรือสภาพแวดล้อมที่ทำให้เป็นทุกข์ ก็ย่อมมีความหดหู่และหวาดกลัวเป็นธรรมดา

นั่นแหละครับ ตัวนั้นเลย ตอนเป็นเด็กนี่กรรมเก่าจะแสดงฤทธิ์เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นอย่างเดียว คำถามคือทำไมเด็กแต่ละคนมาอยู่ในความคุ้มครองดูแลของพ่อแม่ที่แตกต่างกัน? คำตอบก็คือกรรมเก่านั่นเองส่งมาอยู่กับครอบครัวแบบหนึ่ง สภาพแวดล้อมแบบหนึ่งๆ ความรู้สึกยามเด็กของคนๆหนึ่งจะชี้ได้ค่อนข้างชัดว่ากำลังเสวยวิบากด้านที่เป็นกุศลหรือว่าอกุศล หากหนักไปข้างกุศลจะรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย หากหนักไปข้างอกุศลจะรู้สึกห่อเหี่ยวเหมือนตกอยู่ในอันตราย

ทุนเริ่มต้นเป็นผู้มีความอุ่นใจระดับใดก็ตาม เมื่อใช้ชีวิตไประยะหนึ่งจนโตเต็มตัว ให้ดูว่าความอุ่นใจเพิ่มขึ้นหรือลดลง ถ้ารู้สึกอุ่นใจเท่าเดิมแปลว่าเสมอตัว ถ้าอุ่นใจมากยิ่งๆขึ้นแปลว่าคุณกำลังอยู่ในเส้นทางกุศล แต่ถ้าอุ่นใจน้อยลงก็แปลว่าคุณกำลังอยู่ในเส้นทางลงเหว ความจริงนี้เป็นสัจจะเสมอ ผู้สั่งสมบุญย่อมเกิดสุขทางใจ ผู้สั่งสมบาปย่อมเป็นทุกข์ทางใจ

คนสั่งสมบุญมากๆนั้น แม้ว่าฐานะยากจนก็อุ่นใจยิ่งกว่าเศรษฐีหมื่นล้าน ตรงข้ามกับคนสั่งสมบาปไว้เยอะๆ แม้ฐานะร่ำรวยก็ประหวั่นหวาดได้ยิ่งกว่านักโทษผู้หลบหนีอาญาเสียอีก ขอให้ดูดีๆว่าความอุ่นใจนั้นไม่ขึ้นอยู่กับทรัพย์สินหรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมใดๆทั้งสิ้น

นอกจากนั้นขอให้แยกให้ออกด้วย ว่าความสุขอันเกิดจากการเสพเครื่องบำรุงกามคุณ ๕ นั้น เป็นคนละเรื่องกับความอุ่นใจ ลองดูตอนอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรมากระทบกระทั่งให้ยินดียินร้าย มองใจตัวเองว่าภาพรวมใหญ่ๆ อันนั้นแหละ ถ้าอุ่นใจขึ้นมาเองก็ใช่ที่ผมพูดถึงในข้อนี้ครับ

 

๒) ความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ

ถ้าเดิมทีคุณถูกคนรอบข้าง รวมทั้งตัวคุณเอง ตัดสินว่าเกิดมารูปไม่งาม เสียงไม่ไพเราะ กลิ่นตัวเหม็นน่ารังเกียจผิดปกติ ผิวพรรณหยาบกระด้าง แล้วต่อมาคุณไม่ได้ไปตกแต่งด้วยวิทยาการหรือเครื่องมือแพทย์สมัยใหม่ใดๆ ปรากฏว่าคนรอบข้างรวมทั้งตัวคุณเอง เห็นไปใหม่ว่ารูปร่างหน้าตาดูดีขึ้น เสียงฟังดีขึ้น กลิ่นตัวไม่เหม็นชนิดน่ารังเกียจ ผิวพรรณละมุนหรือผ่องใสขึ้น อันนั้นพอใช้เป็นเครื่องตัดสินได้เหมือนกัน ว่ากำลังอยู่บนเส้นทางทำกำไรมหาศาล

ที่ตัดสินเช่นนี้เพราะผลที่ปรากฏทันตาทางกายภาพนั้น ไม่ใช่เห็นกันง่ายๆ คุณต้องพลิกเปลี่ยนนิสัย หรือวิธีปฏิบัติจากอกุศลเป็นมหากุศลอย่างต่อเนื่องจริงๆ ความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพจึงปรากฏชัด คนส่วนใหญ่กำลังใจไม่ค่อยมากพอจะคิด พูด ทำในทางที่เป็นบุญเป็นกุศลกันต่อเนื่องเท่าใดหรอกครับ

แต่หากเดิมทีคุณถูกคนรอบข้าง รวมทั้งตัวคุณเอง ตัดสินว่าโชคดี เกิดมารูปงาม เสียงเพราะ กลิ่นกายหอม ผิวพรรณละเอียดดูเป็นผู้ดี แล้วต่อมาคุณดูหมองๆ เสียงกระด้าง กลิ่นกายชักแย่ ผิวพรรณหยาบลง อย่างนี้เป็นสัญญาเตือนให้ระวังได้แล้ว ชักขาดทุนหนักแล้ว ต่อให้เป็นนักแสดงที่เล่นได้หลายบทบาทเพียงใด ก็ไม่อาจกลบเกลื่อนร่องรอยความเปลี่ยนแปลงทางวิญญาณ ที่ส่งผลกระทบมาถึงรูปกายภายนอกได้เลย

น้ำเสียงของคนหมั่นทำบุญกับคนหมั่นทำบาปจะผิดแผกแตกต่างกันเห็นได้ชัด คนมีศรัทธาในบุญจะมีแก้วเสียงใสไพเราะ ฟังแล้วสบายใจ มีความชื่นบานตามไปด้วย แม้ว่าเดิมทีเสียงงั้นๆ หรือกระเดียดไปในทางไม่น่าพิสมัยนัก

ส่วนคนมีแก่ใจทำบาปบ่อยๆ สุ้มเสียงจะออกโหดๆ ฟังแล้วระคายใจ รู้สึกอึดอัด แม้เดิมจะเป็นผู้มีคุณภาพเสียงชั้นเลิศ คุณก็จะรุ่มร้อนเมื่อฟังไปนานๆ ต่อให้เคยติดหลงน้ำเสียงเพียงใด ฟังบ่อยเข้าก็จะแหนงหน่ายคลายความยินดีจนได้ในที่สุด

 

๓) ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งกระทบรอบตัว

หากช่วงต้นชีวิตมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นซ้ำๆ ที่บั่นทอนศรัทธา หรือกีดกั้นให้คุณดูถูกเรื่องกรรมวิบาก ก็ขอให้ทราบว่านั่นอาจเป็นผลกรรมของการที่เคยเป็นผู้ผิดศีลมาอย่างหนัก หรืออีกทางหนึ่งคืออาจเป็นผู้หลงผิด และยุยงให้คนอื่นเห็นผิด ให้นึกว่ากรรมวิบากไม่มีจริง ทำบุญทำบาปไม่มีผล (ซึ่งถ้าหนักหนาสาหัส ก็มีความเป็นไปได้น้อยที่คุณจะอ่านหนังสือมาจนถึงบรรทัดนี้) สรุปว่าต้นทุนเก่าของคุณไม่ดีเท่าที่ควร

แต่ถ้าคุณเกิดใฝ่ใจ อยากศึกษา อยากเข้าให้ถึงซึ่งศรัทธาในกรรมวิบาก จนกระทั่งในที่สุดเอาชนะความเป็นผู้มี ‘ศรัทธาด้าน’ ได้ ก็แปลว่านั่นคือกำไรแล้วจะจะ ยิ่งถ้าหากช่วยส่งเสริมหรือแนะแนวให้คนรอบตัวหันมาสนใจและเลื่อมใสกฎแห่งกรรมวิบากได้ ผลเข้าตัวจะยิ่งมากขึ้น คือใจยิ่งน้อมลงสู่ความนุ่มนวล ฟังธรรมะแล้วต้านน้อยกว่าเก่า จนกระทั่งถึงขั้นลงใจในที่สุด

ณ จุดของความลงใจจริงๆ ไม่ฝืนแสร้งแกล้งเชื่อเพื่อให้เกิดผลพิสูจน์ คุณจะพบว่าเหตุการณ์ภายนอกและสิ่งกระทบทั้งหลายค่อยๆแปลกเปลี่ยนไป จากร้ายกลายเป็นดี จากดีกลายเป็นดียิ่งๆขึ้น นั่นแหละครับ การแสดงตัวของกำไรอย่างแท้จริง ส่งเสริมให้คุณเกิดกำลังใจมุมานะทำดีหนักกว่าเดิม

ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าได้เข้าใจว่าทำดีแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตจะดีหมด กรรมเป็นเรื่องคาดการณ์ยาก ผลของอกุศลบางอย่างนั้นอาจเกิดขึ้นเรื่อยๆหาจุดจบยากไม่ว่าคุณจะดีสักขนาดไหน แต่ที่แน่นอนคือเมื่อศรัทธาเรื่องกรรมวิบากอย่างมั่นคงแล้ว ใจคุณจะไม่เป็นทุกข์ เพราะเจตนาทำชั่วไม่มีด้วยกรณีใดๆ และแม้ถูกทำร้าย ความอาฆาตแค้นพยาบาทฝังใจก็ไม่ปรากฏ เมื่อไม่คิดทำชั่ว ไม่ผูกใจเจ็บ เท่านี้จิตก็ใส ใจก็เบา เหมือนลอยคออยู่ในทะเลแห่งความสุขกันแล้วเห็นๆ เหตุยั่วยุให้ทำชั่วจะน้อยหรือเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อจิตคุณใส ใจคุณถึงจริงๆ

ในทางตรงข้าม หากยิ่งวันคุณยิ่งเจอเหตุการณ์ประดังเข้ามาให้เสื่อมศรัทธาในกรรมวิบาก ประเภทหนักผิดปกติหรือบ่อยเกินงาม ทั้งที่เดิมก็ธรรมดาๆ ไม่หนักไม่เบานัก อันนั้นก็เป็นเครื่องชี้ได้เหมือนกันว่าคุณกำลังถูกดึงดูดเข้าไปสู่ความหลงผิด นั่นอาจหมายถึงคุณกำลังถูกชักชวนเข้าไปหาอบายมุข เที่ยวผู้หญิงบ่อย กินเหล้าหนัก หมกมุ่นกับการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตรสนิทสนม กระแสอบายมุขจะนำเรื่องเลวร้ายสารพัดสารเพทยอยมากระหน่ำย่ำยีคุณตามระดับหนักเบาของการเข้าไปมั่วสุมคลุกคลี

 

ใครจะหาว่าเข้าข้างตัวเองก็ช่างเขา แต่ขอให้เชื่อเถิดว่าเมื่อเกิดมาอยู่ใต้ร่มพุทธ มีสิทธิ์ฟังคำสอนอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าแล้วล่ะก็ ให้ตัดสินได้เลยว่าคุณมีทุนเก่ามาหนากว่าคนอื่นๆในโลกที่เขาอยู่ในประเทศซึ่งขาดโอกาสแบบเรา

ปักใจเชื่อให้เด็ดเดี่ยวแบบนี้เสียจะได้มีกำลังใจเป็นทุนใหม่ ก่อกรรมจนได้ความอุ่นใจเป็นใบเสร็จ คือยิ่งอุ่นใจมากแปลว่ากำไร ใจแห้งขอดแปลว่าขาดทุน ไม่ว่าใครจะกำไรหรือขาดทุนแค่ไหนแล้ว ก็ขอให้ลงทุนเพิ่มเข้าไปเถิด ที่พระพุทธเจ้าสอนให้คิด พูด ทำอยู่ในกรอบของทาน ศีล ภาวนา ยิ่งน้ำหนักกรรมดีมีมากขึ้นเพียงใด ความอุ่นใจก็จะยิ่งเอ่อมากขึ้นเพียงนั้น กระทั่งถึงวันหนึ่งเมื่อมีความสุขจนล้นหลาม คุณจะทราบเองว่าใจแท้ๆที่เป็นบุญเป็นกุศล ที่มีสติสัมปชัญญะ ที่มีปัญญาความฉลาดนั้น จะไม่รู้สึกเลยว่าชีวิตสิ้นสุดตอนโดนเผา คุณจะเลื่อมใสไม่ดูแคลนในบุญกุศลอย่างเต็มเปี่ยม และเห็นประจักษ์ตามธรรมชาติคือ ผู้สั่งสมบุญย่อมอยู่เป็นสุข แน่นอนครับ
[/color]


ถาม – ทำทานมาเยอะแล้ว เป็นปีๆเลยนะ แต่ทำไมไม่เห็นรวยซะทีครับ?

ก่อนอื่นต้องเห็นภาพกว้างที่สุดอย่างนี้ครับ ความรวยที่มั่งคั่งและมั่นคงแต่แรกเกิดมักจะมาจากการมีทานจิตยิ่งใหญ่สม่ำเสมอในอดีตชาติ กล่าวคือถ้าชาติใดมีความคิดเสียสละ มีความคิดอยากให้ทรัพย์แก่คนยาก มีเจตนาทำนุบำรุงสมณะนักบวชให้อยู่ดีมีความสุขในการประพฤติพรหมจรรย์ โดยทำเรื่อยๆตามควรแก่ฐานะ บุญจะสั่งสมเป็นกองภูเขา อีกทั้งจิตใจจะเปิดกว้างไม่ตระหนี่คับแคบ ซึ่งรวมรวบยอดแล้วพอสิ้นสุดภพนั้น กรรมก็จะเลือกสรรแดนเกิดใหม่ให้ โดยมีความสบายรับกับจิตที่ปราศจากโลภะ เมื่อเลือกที่เกิดให้ก็ยังไม่หมดแรงส่ง เพราะทานที่ทำทั้งชาติมีกำลังใหญ่ สายป่านยาว จึงส่งแรงอุดหนุนให้มั่งคั่งสม่ำเสมอเนิ่นนาน โอกาสร่วงหล่นจากบัลลังก์เพชรบัลลังก์พลอยนั้นยากยิ่ง

ส่วนคนที่รวยปานกลาง แล้วต่อมาประกอบธุรกิจจนร่ำรวยยิ่งใหญ่เป็นอภิมหาเศรษฐีนั้น มีเหตุปัจจัยในปัจจุบันเป็นหลักตั้ง และมีบุญจากการให้ทานในอดีตเป็นส่วนเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทานที่เคยทำในอดีตชาติเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่กำลังประกอบอยู่ในปัจจุบัน เช่นอดีตเคยทำขนมถวายพระด้วยใจปรารถนาให้พวกท่านลิ้มรสดีๆเป็นประจำ แล้วชาติปัจจุบันมีความชอบใจประกอบธุรกิจทำขนม ก็จะเป็นผู้มีความฉลาดเลือกเครื่องปรุง ฉลาดแต่งรส กับทั้งมีโชคด้านการตลาด ทำมาค้าขึ้น เลื่องชื่อลือชาในฝีมือทำขนมชนิดที่ใครๆก็ต้องแห่มาที่ร้านไม่ขาดสาย แต่ถ้าชาติปัจจุบันเลือกจะเป็นลูกจ้าง บุญที่เคยทำขนมถวายพระก็ต้องเก็บไว้ก่อน เป็นต้น

สำหรับคนที่ยากจนมาแต่เกิด คิดทำงานเป็นลูกจ้างก็ไม่ค่อยได้เลื่อนขั้นเลื่อนเงินเดิน คิดลาออกมาเป็นเถ้าแก่ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดโดยไม่มีกำไรงอกเงยสักที อันนี้อาจจะขาดแรงส่งจากการทำทานในอดีตชาติ และอาจจะขาดความคิดอ่านหรือมุมมองเชิงธุรกิจในชาติปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีความเป็นไปได้ว่าอดีตอาจฉ้อฉลคดโกงคนอื่นไว้ หรือลักขโมยคนอื่นไว้มาก ชาตินี้เมื่อคิดมีทรัพย์เป็นของตัวเองจึงอาจถูกหลอก ถูกโกง หรือถูกภัยธรรมชาติย่ำยีเอา นี่พูดอย่างเป็นกลางๆตามเนื้อผ้านะครับ หากโดนใครก็โปรดอย่าเสียอกเสียใจเลย รู้เหตุรู้ผลแล้วก็จะได้ไม่ย่ำซ้ำรอยเดิมอีก

เมื่อมองภาพใหญ่ให้ได้ ๓ ระดับคร่าวๆข้างต้นแล้ว คราวนี้วกกลับมาถึงคำถามว่าทำไมทำทาน (ในชาติปัจจุบัน) มาเป็นปี ไม่เห็นมีผลเป็นความร่ำรวยปรากฏสักที? อันนี้ก็พอจะตอบได้ว่า เพราะเหตุปัจจัยในปัจจุบันยังไม่เพียงพอ ทั้งแง่ของความฉลาดหาเงิน และทั้งในแง่ของลำดับกาลให้ผลกรรมเกี่ยวกับทาน ขอจงอย่าไปยึดผิดๆว่าทานในปัจจุบันเป็นเหตุผลเดียวโดดๆที่ทำให้ร่ำรวยขึ้นได้ทันที เพราะทานที่ทำในปัจจุบันชาติมักมาในรูปของกำลังหนุน ไม่ใช่หัวรถจักรฉุดดึงฐานะทางการเงิน

ถ้าอดีตใครเคยตระหนี่มาทั้งชาติ กระแสความตระหนี่นั้นยังท่วมท้น ยังบีบให้อยู่ในภพที่คับแคบ ยังไม่หมดเวลาให้ผล มาชาติปัจจุบันถ้าไม่มีเงื่อนไข ไม่มีแรงส่งให้ถีบตัวหนีการเกาะกุมของวิบากเก่า อย่างนี้แม้พยายามทำทานก็อาจยังไม่เห็นผลเป็นความร่ำรวยเร็วนัก

ถาม – ผมเข้าใจถูกไหมว่าการทำทานเป็นเหตุแห่งความร่ำรวย? ถ้าหากเข้าใจผิด หรือยังทำบุญไม่ถูกอย่างไร จะขอคำแนะนำหน่อยได้ไหม?

ขอสรุปง่ายๆคือถามว่าทำบุญอย่างไรจึงจะรวยเร็วทันตาเห็นนะครับ ประทานโทษ นี่พูดตามเนื้อผ้า ไม่ได้ว่ากระทบกัน แต่ผมเห็นคนตั้งคำถามแบบนี้หรือคิดทำนองนี้เมื่อใด ดูแล้วทำบุญด้วยจิตของนักเก็งกำไรทุกที คือคิดในแง่การลงทุนที่ต้องการได้ผลตอบแทน ไม่ใช่ทำทานด้วยจิตคิดสละเอาเลย และเมื่อไม่ได้ทำทานด้วยจิตคิดสละ ไม่ได้ทำเพราะอยากอนุเคราะห์อย่างแท้จริง ทานนั้นก็มักมีผลน้อย หรือให้ผลช้า เนื่องจากความโลภเป็นของหนัก นอกจากทำจิตให้ทึบ ไม่ปลอดโปร่งเป็นกุศลเต็มที่แล้ว ยังบั่นทอนกำลังบุญ หรือหน่วงเหนี่ยวไม่ให้เกิดผลเร็วอีกด้วย

ลงทุนทำธุรกิจยังมีความเสี่ยง ยังผิดหวังบ้าง สมหวังบ้าง แล้วลงทุนในรูปแบบของทาน จะให้ได้ดังใจทุกครั้งอย่างไรไหว? กฎแห่งกรรมวิบากเขาไม่ได้ทำงานแบบให้ทานแล้วต้องรวยทันทีเสมอไปครับ เขาดูก่อนว่าคุณคิดให้ด้วยเจตนาอะไร ดูว่าใจคุณ ‘จริง’ แค่ไหน ถ้าตรวจสอบแล้วผ่าน เขาก็ให้ ไม่มีการอั้นไว้ ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชังใดๆอย่างแน่นอน

เพื่อให้เปรียบเทียบง่ายว่าทานที่ดีต้องหลีกเลี่ยงอาการท่าไหน ผมจะพาสำรวจการทำงานของจิตขณะให้ทานแบบเก็งกำไรดังนี้

๑) ก่อนให้มีความโลภครอบงำ จิตจึงมืด ไม่สว่าง

๒) ขณะให้อาจมีความรู้สึกดีๆบ้าง จิตจึงอาจสว่าง แต่ก็ยืนอยู่บนฐานของความโลภอยู่ดี

๓) หลังทำจะมีความคาดหวัง รอคอย ชนิดแทบจะชะเง้อออกมานอกหน้าต่างทุก ๕ นาทีว่าเมื่อไหร่ลาภจะชะลอลงมาจากฟากฟ้า

เห็นชัดๆทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำอย่างนี้ ลองหาให้เจอสิครับว่ากุศลจิตขนานแท้อยู่ตรงไหน กฎแห่งกรรมวิบากที่ชัดเจนข้อหนึ่งคือถ้าก่อกรรมโดยมีโลภะ โทสะ โมหะเจืออยู่ กรรมนั้นจะเป็นอกุศล หรือกระเดียดไปในทางอกุศล หรืออย่างน้อยที่สุดถึงตั้งต้นเป็นกุศลจริงก็จะถูกแย่งพื้นที่ความสว่างไป ด้วยเพราะมีเงาอกุศลทาบทับอยู่ดี

ไม่ใช่ว่าทำบุญแบบเก็งกำไรแล้วสูญเปล่าหรอกนะครับ ผลบุญยังมีอยู่ดี เพียงแต่จะมาช้า แล้วก็ไม่หนักแน่น ทำนองเดียวกับนักดนตรีที่เล่นไม่เก่ง ใช่ว่าทำให้เสียงดนตรีดังไม่ได้ แต่ดังแล้วไม่เพราะ ไม่ได้จังหวะจะโคน ไม่หนักแน่นเร้าใจเท่านั้นเอง

มาถึงข้อที่ว่าทำทานอย่างไรจะเรียกว่าเป็นทานอย่างแท้จริง เป็นบุญที่อำนวยผลใหญ่รวดเร็ว ก่อนอื่นคุณต้องเลื่อมใสว่าทานมีผลทั้งปัจจุบันและอนาคต

ผลปัจจุบันคือมีความสุขที่จะให้ มีความสุขกับการได้ช่วยเหลือ มีความสุขจากการสละขยะหมักหมมพะรุงพะรังออกจากจิต พูดง่ายๆคือได้เสพสุขจากจิตอันทรงภาวะเมตตากรุณานั่นเอง

ผลในอนาคตคือการสะท้อนตอบแบบให้ไปย่อมได้มา คุณช่วยคนอื่น ก็คือการสร้างแรงขึ้นมาแรงหนึ่งส่งออกไป ย่อมมีแรงสะท้อนกลับเป็นการมีมือมนุษย์ช่วยเหลือ หรือมีเหตุการณ์ประจวบเหมาะช่วยเหลือ หรือถือกำเนิดใหม่ในแดนเกิดที่พร้อมช่วยเหลือให้คุณอยู่สบายไม่เดือดร้อน

การมีความเลื่อมใสว่าทานมีผลนั้น แตกต่างจากการโลภว่าทำทานต้องได้ผลตอบแทนคืนมา จิตคุณจะเชื่อมั่นว่ากำลังทำดี สร้างทางน่าอบอุ่นใจให้ตนเองเดินทั้งในปัจจุบันและอนาคต ก่อนทำคุณไม่คาดหวังว่าต้องได้ผลคืนเป็นเงินทองเท่าใด ขณะทำคุณเป็นสุขกับบุญอันวิเศษ หลังทำคุณอิ่มใจที่ประกอบกรรมดีสำเร็จ

เมื่อไหร่ที่คุณให้จนเกิดความรู้สึกราวกับซื้อของให้ตัวเอง นั่นแหละคุณ ‘ทำทาน’ อย่างแท้จริง ฝึกจนถึงจุดจริงๆจะรู้ครับว่ารู้สึกอย่างไร เหมือนดีใจที่ได้ของเอง เพราะเข้าใจล่วงหน้าอย่างลึกซึ้งว่าผู้รับเขาจะเกิดปีติสุขและอิ่มเอมกับการใช้ของขนาดไหน แล้วคุณพลอยร่วมยินดีในระดับเดียวกันหรือเกินกว่าเขา

สิ่งที่เกิดขึ้นจริง และทุกคนเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็คือมีคนจนมากกว่าคนรวย ซึ่งก็สอดคล้องกันดีกับความจริงที่ว่ามีคนอยากเอามากกว่าอยากให้ นี่เป็นกฎธรรมชาติ และธรรมชาติก็แสดงผลให้ดูกระจะตาอยู่ตลอดเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ เพียงแต่สิ่งมีชีวิตทั่วไปไม่อาจจับเหตุมาชนผลได้ถูก ต้องอาศัยผู้รู้เช่นพระพุทธเจ้ามาประกาศ ท่านทั้งยืนยันและตรัสในลักษณะคะยั้นคะยอให้ทำบุญอย่างถูกต้อง ทำบุญให้มากเถิด ผลคือความสุขความสวัสดีย่อมบังเกิดอย่างแน่นอน

จะว่าไปถ้าคิดตามสามัญสำนึกของคนทั่วไปที่ถูกครอบงำด้วยความไม่รู้และอุปาทาน ก็เป็นเรื่องน่าเห็นใจเหมือนกันนะครับ เพราะหลักการเบื้องต้นฟังขัดแย้งกันชอบกล อยากมีมาก แต่หากให้คนอื่นไปแล้วมันจะมีมากได้อย่างไร ก็ต้องมีน้อยลงน่ะซี เห็นด้วยตาเปล่าชัดๆ

นี่แหละ เรามัวแต่เชื่อตาเปล่าจนลืมชำเลืองกลับมาที่ใจ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง คนยิ่งคิดให้มากเท่าไหร่ จิตก็ยิ่งเบาลงจากความโลภและความตระหนี่เท่านั้น เป็นกุศลสว่างยิ่งๆขึ้นเท่านั้น

ขอให้สังเกตเถิดครับ นักให้ทานมือใหม่ โดยเฉพาะที่ให้แบบนักลงทุนเก็งกำไรนั้น จะให้แบบเกร็งๆ ยั้งๆ เหนียวๆ ไม่ค่อยให้เต็มที่หรอก สมมุติว่าในมือมีอยู่ร้อย ก็จะเจียดให้เพียงหนึ่ง หรือไม่ใจป้ำที่สุดก็สิบ แต่เวลาหวังผลจะให้คูณแสนคูณล้าน กลายเป็นเสริมความงกไปเสียนี่ พูดง่ายๆ ยิ่งจนก็ยิ่งหลงประกอบเหตุแห่งความยากจนหนักเข้าไปใหญ่

คำแนะนำที่ดีที่สุด คือประกอบสัมมาอาชีพ ขยันขันแข็งให้เต็มกำลัง และอย่าหวังรวยทางลัด การมีอาชีพซื่อสัตย์สุจริตและความขยันขันแข็งนั้น ไม่ใช่อำนวยผลเฉพาะหน้าที่การงานนะครับ แต่ยังเหมือนเป็นฐานรองรับความกินดีอยู่ดีที่สมตัวในระยะยาวด้วย

เมื่อประกอบอาชีพสุจริต มีรายได้มา ก็ลองฝึกที่จะเผื่อแผ่ เจือจาน ได้น้อยก็ทำน้อย แต่ขอให้มีใจใหญ่เป็นหลักก็แล้วกัน คุณจะพบด้วยตนเองว่าการให้ในแต่ละครั้งนั้น มีปรากฏการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับใจตน คือเบาลงเรื่อยๆ ยินดีมากขึ้นเรื่อยๆ เลื่อมใสในการให้มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงตรงนั้นต่อให้ไม่มีผลตอบแทนเป็นรูปธรรมใดๆ ใจคุณก็ไม่รอแล้ว เพราะอิ่มสุขอิ่มปีติอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว

ตรงจุดนั้นแหละครับ ความช่วยเหลือจากธรรมชาติจะเริ่มไหลมาเทมา คุณไม่อยากได้ก็ต้องได้ คุณไม่อยากรวยก็ต้องรวย เพื่อเอาไว้เป็นทุนทำทาน เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวต่อไปไงครับ
บันทึกการเข้า

คนที่เข้มแข็งที่สุดก็ยังมีนาทีที่น้ำตาไหลริน
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #3 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2550, 15:29:43 »

ถามพระอาจารย์ ว่า
การที่วัด กระตุ้น เน้นให้ทำบุญ โดยให้บริจาคทรัพย์ และบอกว่าบริจาคมากจะได้บุญมาก
จะทำให้รวยยิ้งขึ้นเป็นพูนทวี  ทำให้คนที่จะบริจาคมีความโลภ หวังรวยจากการบริจาค หวังผลจากการบริจาคทุกครั้งไป
ประเด็น คำถาม ครับ
-วัดที่ว่านี้ ทำถูกตามพุทธศาสนาหรือไม่
-คน บริจาคเพราะเชื่อทางวัด ว่าบริจาคมากจะทำให้รวยขึ้นมาก(หวังผลตอบแทน) จะได้บุญหรือไม่ อย่างไร
สาธุ
บันทึกการเข้า
วิสัชนา
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 21

« ตอบ #4 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2550, 22:11:31 »

วิสัชนา...

คนทำบุญด้วยความโลภ..ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง แม้เขาจะโลภแต่เขาก็ยังยอมเสียสละ

สละบางอย่างเพื่อให้ได้บางอย่าง

ดีกว่าบางคน..อยากได้ทุกอย่าง แต่ไม่ยอมสละอะไรสักอย่าง


จิตใจของชาวพุทธมีหลายระดับ ตั้งแต่ชั้นประถม ไปจนถึงมหาวิทยาลัย

ถึงจะเข้าวัดเพราะมีวาระซ่อนเร้น แต่ก็ยังดีกว่าคนที่ไม่เข้าวัดซะเลย

คนที่อยากรวยแล้วใช้วิธีทำบุญ

ก็ยังดีกว่าคนที่อยากรวยแล้วใช้วิธีคดโกงคนอื่น

แม้จะเข้าวัดด้วยความโลภ แต่นั่นอาจเป็นก้าวเเรกที่ทำให้เขาได้สัมผัสกับคำสอนของศาสนา

เมื่อมีก้าวเเรก..ก้าวต่อไปก็มีโอกาสตามมา

ถ้าไม่มีแม้แต่ก้าวแรก แล้วจะเข้าถึงศาสนาได้อย่างไร

ถ้าไม่เรียนชั้นประถมแล้วจะมีโอกาสจบมหาวิทยาลัยได้หรือ


คนที่เขาบริจาคทานเพราะอยากได้ผลตอบเเทนสูงๆ

ถึงเขาจะได้บุญน้อย แต่เมื่อเขาทำบ่อยๆ หลายๆ น้อย มันก็ค่อยๆ มากขึ้นเอง

วันข้างหน้าคนเหล่านี้ก็มีโอกาสพัฒนาจิตใจให้กลายเป็นคนที่ทำบุญโดยไม่หวังผลตอบเเทน

จบชั้นประถมแล้ว ก็มีโอกาสได้เรียนต่อชั้นมัธยม ให้เวลาเขาหน่อย  

ส่วนวัดที่ชอบกระตุ้นเน้นให้ทำบุญมากๆ ถามว่าผิดหรือถูก

คงต้องขึ้นอยู่กับเจตนาของวัดนั้นๆ ถ้าเจตนาดี อันนี้ก็ขออนุโมทนาสาธุด้วย


บางครั้งการจะตัดสินใครจากการกระทำภายนอกเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้

เพราะเจตนาที่อยู่ภายในใจก็มีผลต่อการกระทำนั้นๆ

และคนที่จะรู้ดีที่สุดก็คือ..ผู้ที่กระทำนั่นเอง


หากเราไม่มั่นใจในเจตนาของเขาแล้ว อย่าไปตัดสินเขาดีกว่า
บันทึกการเข้า

เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ จิตย่อมใส ใจย่อมสว่าง ณ กลางกมล
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #5 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2550, 18:19:39 »

กราบขอบคุณ พระอาจารย์ ด้วยความเคารพ
ผมได้รับความกระจ่าง และสามารถล้างความไม่เข้าใจที่มีอยู่เดิมได้ทั้งหมด สาธุ
(ชัดและชอบตรงที่ พระอาจารย์ว่า หากเราไม่มั่นใจในเจตนาของเขา ก็อย่าไปตัดสินเขาดีกว่า)
บันทึกการเข้า
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #6 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2550, 20:02:36 »

เจตนาที่ดี บางครั้งอาจส่งผลร้าย
ผมไม่เคยยกย่องการบริจาคลูกเมีย ของพระเวสสันดร ว่าเป็น"มหาทาน"อย่างที่ตำนานยกย่องกัน
เพราะเป็นการบริจาคที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม(อย่างน้อยก็มีลูกคนนึง ที่ไม่ต้องการไปอยู่กับชูชก)
และสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น แม้จะมีเจตนาดีก็ตาม
ผิดเจตนารมณ์ของศาสนาพุทธเห็นๆ  ที่เน้นการบริจาคที่ไม่สร้างทุกข์แก่ใคร :twisted:


และผมไม่ยอมรับแนวคิดเชิง passive ที่ให้คนเรายอมรับชะตากรรม
โดยเฉพาะชะตากรรมที่เกิดจากมนุษย์(ไม่รวมถึงชะตากรรมจากธรรมชาติ)
เพราะนั่นคือการสร้างความชอบธรรมแก่การเอารัดเอาเปรียบ! :twisted:
บันทึกการเข้า

...
yenjai
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 14

« ตอบ #7 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552, 14:48:31 »

กัณหา และชาลี ยินยอมหรือไม่

ยินยอม เพราะเหตุใด

ในขณะนั้น กัณหา และชาลี กำลังสร้างสมบารมีเช่นกันใช่ไหม
      บันทึกการเข้า
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #8 เมื่อ: 27 กุมภาพันธ์ 2554, 12:49:09 »

ขออนุญาติครับ
ในมุมขาพเจ้านั้นสรรพสิ่งล้วนเกิดมาเหมือนกัน
ซึ่ง เกิด/แก/เจ็บ/ตายแต่ในอุปทานนั้นแตกต่างกัน
ในสังคมบ้างครั้งการทำอะใรที่เหมือนกันเยอะก็เลยอาจมองว่า
เป็นธรรมดาบ้างเป็นเช่นนั้นบ้างในอุปทานหมู่นั้นๆเลยไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่สรรพล้วนเกิดมาเพื่อตนนั้นเอง แต่อย่างที่หลายท่านอาจจะมีมุมว่าเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมหรือฯ
แต่กระผมพิจารณาอีกมุมว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามธรรมชาติในสิ่งต่างๆ เช่น กรรมบ้าง คนบ้าง สัตว์บ้างฯ
ล้วนเป็นธรรมดาแต่ใจคนนั้นแลที่ไม่ธรรมดาที่ไปปรุงแต่งหรืออุปทานในสิ่งต่างๆ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #9 เมื่อ: 28 กุมภาพันธ์ 2554, 14:47:19 »

อ้างถึง
ข้อความของ Aj.O เมื่อ 14 ธันวาคม 2550, 20:02:36
เจตนาที่ดี บางครั้งอาจส่งผลร้าย
ผมไม่เคยยกย่องการบริจาคลูกเมีย ของพระเวสสันดร ว่าเป็น"มหาทาน"อย่างที่ตำนานยกย่องกัน
เพราะเป็นการบริจาคที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม(อย่างน้อยก็มีลูกคนนึง ที่ไม่ต้องการไปอยู่กับชูชก)
และสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น แม้จะมีเจตนาดีก็ตาม
ผิดเจตนารมณ์ของศาสนาพุทธเห็นๆ  ที่เน้นการบริจาคที่ไม่สร้างทุกข์แก่ใคร :twisted:


และผมไม่ยอมรับแนวคิดเชิง passive ที่ให้คนเรายอมรับชะตากรรม
โดยเฉพาะชะตากรรมที่เกิดจากมนุษย์(ไม่รวมถึงชะตากรรมจากธรรมชาติ)
เพราะนั่นคือการสร้างความชอบธรรมแก่การเอารัดเอาเปรียบ! :twisted:
ได้อ่านความเห็นนี้แล้ว
นึกถึงสมัยเมื่อลูกอายุ สัก ห้า หก ขวบ ที่อ่านเรื่องพระเวสสันดรชาดก แล้วลูกก็พูดคล้ายๆกันว่า
 น่าสงสารกัณหา ชาลี ที่ถูกไปเป็นคนใช้ ของคนอื่นลำบาก ไม่ได้อยุ่กับพ่อแม่
พ่อใจร้ายอยากได้บุญ แต่ทำให้ลูกลำบาก
ตอนนั้นก็ไม่รู้จะบอกลูกว่าอย่างไร
ได้แต่บอกว่า ไปลำบากเพื่อให้พ่อได้สะสมบุญมากขึ้น มาเป็นพระพุทธเจ้าสอนคนหมู่มาก มากกว่า
ไม่รู้บอกลูกถูกหรือผิด
แต่เด็กอีกหลายคนที่ได้อ่านก็คงจะคิดอย่างนี้เหมือนกัน
เด็ก คงเห็นใจเด็ก ว่าไปลำบากเพื่อให้พ่อได้ดี
คงจะมีพ่อแม่อีกหลายคนที่เจอคำถามคล้ายกัน ไม่รู้เขาตอบอย่างไร
เรื่องนี้ หากจะตอบเด็กจะตอบอย่างไรดี
หากจะตอบว่า จะได้บุญไปด้วยกับพ่อ คงยากที่เด็กจะเข้าใจ
เพราะกัณหา ชาลีไม่ได้สมัครใจ จนแอบหนีไปซ่อนในสระแล้ว
และเด็กก็จะคิดว่า ทำไมพ่อให้เขาไปลำบาก เพื่อสะสมบุญของตนเอง
หากมีคำตอบที่ดีให้เด็ก แนะนำก็จะดี เพราะติดค้างในใจมานานแล้ว
      บันทึกการเข้า
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #10 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 13:48:22 »

  ความคิดและคำพูดผู้อื่นคงห้ามไม่ได้...
แต่เมื่อพิจารณาตนสามารปฏิบัติได้...
      บันทึกการเข้า
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #11 เมื่อ: 20 เมษายน 2554, 23:08:25 »

ผมมองอีกมุมหนึ่งมากกว่า คือ เรื่องบริจาคลูกนั่น เป็นเรื่องการลองผิดลองถูกของพระโพธิสัตว์
ตอนนั้นท่านยังไม่บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ท่านจึงต้องลองทั้งผิดและถูก
จนกระทั่งพบหนทางที่เหมาะสมจริงๆ
แต่สังคมไทยโบราณ ชอบสอนๆกันมาว่า พระโพธิสัตว์ ต้อง"ลองถูก"เท่านั้น
เลยเชื่อไปว่า ทุกสิ่งที่กระทำ ต้องถุกต้อง 100%
      บันทึกการเข้า

...
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><