นายป้อ
|
|
« เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 11:22:51 » |
|
"โลกร้อน"พาโลกมนุษย์ ย้อนกลับสู่ยุคไดโนเสาร์!
คริส โทมัส นักวิทยาศาสตร์สังกัดมหาวิทยาลัยยอร์ก กล่าวในที่ประชุมสมาคมเพื่อความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ ประเทศอังกฤษ ว่า สภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง หรือ "ภาวะโลกร้อน" จะทำให้อุณหภูมิของโลกภายในห้วงระยะเวลาอีกประมาณ 100 ปีข้างหน้า หรือปี ค.ศ.2100 (พ.ศ.2643) เพิ่มสูงขึ้นกว่าปัจจุบันอีก 2-6 องศาเซลเซียส
ขณะเดียวกันคาดว่าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ก็จะพุ่งขึ้นไปอยู่ในระดับที่สุดที่สุดในรอบ 24 ปีเช่นกัน "ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ส่วนใหญ่ถูกปล่อยออกมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงในโรงงานและยานพาหนะ จะกลายเป็นตาข่ายดักไม่ให้ความร้อนหลุดออกจากชั้นบรรยากาศโลก" โทมัสกล่าว
โทมัสระบุด้วยว่า สภาพโลกร้อนใน 100 ปีข้างหน้าจะทำให้อุณหภูมิของโลกย้อนกลับไปสู่ยุคที่ "ไดโนเสาร์" ยังมีชีวิตอยู่ นอกจากนั้นยังจะส่งผลให้สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างๆ กว่าครึ่งหนึ่งที่อยู่ในโลกเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
ล่าสุดมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่า สายพันธุ์สิ่งมีชีวิตบางส่วนเริ่มอพยพหนีจากถิ่นที่อยู่เดิมของตน เพราะผลกระทบจากโลกร้อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 11:33:53 » |
|
10 ปรากฎการณ์ประหลาด ผลกระทบวิกฤต"โลกร้อน!"
สารภูมิแพ้แพร่ระบาด
ปรากฎการณ์ประหลาดขึ้นทุกๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ประชาชนไอ จาม ป็นภูมิแพ้ และหอบหืดกันง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ พบว่า วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปกับสภาพมลพิษในอากาศ เป็นสาเหตุสำคัญของอาการดังกล่าว
ชี้ให้เห็นว่า วิกฤตอุณหภูมิโลกร้อนขึ้นและมีระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมากขึ้น ปริมาณละอองเกสรที่ฟุ้งกระจายไปตามอากาศก็มากขึ้น คนที่เป็นภูมิแพ้หรือหอบหืดเมื่อสูดละอองเหล่านี้เข้าไปมากๆ อาการจึงกำเริบง่าย
สัตว์อพยพไร้ที่อยู่
ผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน ทำให้สัตว์บางชนิด เช่น กระรอก ตัวชิปมังก์ หรือแม้กระทั่งหนู ต้องอพยพหนีขึ้นไปอยู่บนที่สูงขึ้น
สัตว์ที่กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ได้แก่ "หมีขั้วโลก" ที่ในอนาคตอาจมีชีวิตอยู่ในถิ่นฐานเดิมแถบอาร์กติก ขั้วโลกเหนือไม่ได้ เนื่องจากธารน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว
"พืช"ขั้วโลกคืนชีพ
ช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ผลจากภาวะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเพราะโลกร้อน ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของพืชและสัตว์จำนวนมาก
ตามปกติ พืชแถบอาร์กติกจะถูกปกคลุมอยู่ในน้ำแข็งตลอดทั้งปี
แต่ปัจจุบัน เมื่อน้ำแข็งละลายมากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะในช่วงก่อนฤดูใบไม้ผลิต จึงทำให้พืชที่เคยถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งกลายเป็นอิสระ สามารถเริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสงและกลับมาเติบโตขึ้นอีกครั้ง
กลายเป็นอีก 1 ปรากฎการณ์ใหม่ของพื้นที่ขั้วโลกเหนือ
ทะเลสาบหายสาบสูญ
เรื่องประหลาดๆ ที่เกิดขึ้นในเขตอาร์กติก หรือ ขั้วโลกเหนือยังไม่หมดแค่นั้น
มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา "ทะเลสาบ" ประมาณ 125 แห่งได้หายสาบสูญไปจากเขตอาร์กติก เป็นสัญญาณหนึ่งที่ช่วยให้เห็นว่า ภัยโลกร้อนส่งผลกระทบเร็วมากต่อสภาพแวดล้อมแถบขั้วโลก
สาเหตุที่ทะเลสาบหายไปก็เพราะ "เพอร์มาฟรอส" ที่เป็นน้ำแข็งแข็งตัวอยู่ใต้พื้นทะเลสาบนั้นละลายหมดสิ้นไป ดังนั้น น้ำในทะเลสาบจึงซึมเข้าสู่พื้นดินข้างใต้ได้ เหมือนกับเวลาเราดึงจุกปิดน้ำออกจากอ่างอาบน้ำแล้วน้ำจึงไหลหมดไปจากอ่างนั่นเอง
นอกจากนี้ การที่ทะเลสาบขั้วโลกหายวับไป ยังส่งผลลูกโซ่ปั่นป่วนไปถึงระบบนิเวศในพื้นที่ที่พึ่งพิงน้ำจากทะเลสาบอีกด้วย
น้ำแข็งใต้พื้นโลกละลาย
ภาวะโลกร้อนไม่ได้เพียงแค่ทำให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่องเท่านั้น
แต่ยังส่งผลให้ชั้นน้ำแข็งถาวรที่มีอยู่ใต้พื้นผิวโลกค่อยๆ ละลายลดปริมาณลงไปเช่นกัน
ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นตามมาในอนาคตก็คือ จุดใต้พื้นโลก ซึ่งเคยเป็นน้ำแข็งหายไปจนเกิดเป็น "รูรั่ว" ใต้ดินขึ้นมา
เมื่อเป็นเช่นนี้สภาพทางภูมิศาสตร์ในพื้นที่ย่อมเปลี่ยนไป
สิ่งปลูกสร้าง หรือ สิ่งก่อสร้างของมนุษย์ เช่น ทางรถไฟ ถนน บ้านเรือน ฯลฯ ซึ่งตั้งอยู่เหนือจุดดังกล่าวมีโอกาสได้รับความเสียหายตามไปด้วย
ถ้าปรากฎการณ์น้ำแข็งละลายเกิดขึ้นบนที่สูง เช่น ภูเขา จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติตามมา อาทิ หินถล่มและโคลนถล่ม เป็นต้น
ชนวนเกิดไฟป่า
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยืนยันตรงกันทั่วโลก ว่า
ภัยโลกร้อนเป็นสาเหตุให้ธารน้ำแข็งละลายและพายุก่อตัวบ่อยและรุนแรงขึ้นกว่าในอดีต
ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะโลกร้อนยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด "ไฟป่า" ได้ง่ายขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก
และชาติเมืองหนาวในซีกโลกตะวันตก ซึ่งตามปกติไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไฟป่า ก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้กันแล้ว
เหตุเพราะสภาพป่าแห้งกว่าเดิม จึงเป็นเชื้อไฟอย่างดี
ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงอยู่รอด
โลกร้อนส่งผลให้หน้าหนาวหดสั้นลง และหน้าร้อนมาถึงเร็วขึ้น
บรรดา "นกอพยพ" หลายสายพันธุ์ต่างมึนงง ปรับ "นาฬิกาชีวภาพ" ในตัวของมันให้เข้ากับสภาพความผันแปรของฤดูกาลที่บิดเบี้ยวไปไม่ทัน
สัตว์ที่จะเอาชีวิตรอดจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนในทุกวันนี้ได้ต้องเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้น
ในที่สุดสัตว์ที่อยู่รอดจะต้อง "กลายพันธุ์" หรือปรับพันธุกรรมในตัวมันเสียใหม่ เพื่อรับมือภัยโลกร้อนให้ได้ และมีสัตว์หลายชนิดกำลังวิวัฒนาการตัวเองเช่นนั้นอยู่
ดาวเทียมโคจรเร็วกว่าเดิม
การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าถ่านหิน ยวดยานพาหนะ ฯลฯ คือ ตัวการสำคัญของวิกฤตโลกร้อน
ล่าสุดพบว่า เจ้าก๊าซตัวเดียวกันนี้เองที่ขึ้นไปสะสมมากขึ้นในชั้นบรรยากาศโลก ได้กลายเป็นต้นเหตุทำให้ "ดาวเทียม" ที่อยู่ในวงโคจรโลกเคลื่อนที่เร็วกว่าเดิม
ตามปกติ อากาศในบรรยากาศชั้นนอกสุดของโลกจะเบาบาง แต่โมเลกุลของอากาศจะยังคงมีแรงดึงดูดมากพอในการทำให้ดาวเทียมโคจรช้าๆ ดังนั้น เราอาจเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างว่า ผู้ควบคุมต้องจึดระเบิดดาวเทียมเป็นระยะๆ เพื่อให้ดาวเทียมโคจรต่อไปอย่างถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์ลอยไปสะสมในบรรยากาศชั้นล่างมากไป จะทำแรงดึงดูดของบรรยากาศชั้นนอกสุดลดกำลังลง ดาวเทียมจึงโคจรเร็วกว่าปกติ
ภูเขากระเด้งตัวเหนือพื้นโลก
ภูเขาและเทือกเขาสูงหลายแห่งทั่วโลกกำลังขยายตัว "สูง" ขึ้น เพราะผลจากโลกร้อน!
นั่นเป็นเพราะ ตามธรรมชาติที่ผ่านๆ มานับพันปี ยอดภูเขาในเขตหนาวเย็นโดยทั่วไปจะมี "น้ำแข็ง" ปกคลุมอยู่ ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับตุ้มน้ำหนักที่คอยกดทับให้ฐานล่างของภูเขาทรุดต่ำลงไปใต้พื้นผิว
เมื่อน้ำแข็งบนยอดเขามลายสูญสิ้นไป ส่วนฐานล่างที่เคยถูกกดจมดินลงไปจะค่อยๆ กระเด้งคืนตัวกลับมาเหนือผิวโลกอีกครั้ง
โบราณสถานเสียหาย
โบราณสถาน เมืองเก่าแก่ ซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ อันเป็นสิ่งแสดงถึงวัฒนธรรมอันรุ่งเรื่องของมนุษย์ในอดีตได้รับผลกระทบจากโลกร้อน
เหตุเพราะโลกร้อนทำให้อากาศทั่วโลกแปรปรวน ทั้งเกิดพายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง และล้วนแต่ยิ่งสร้างความเสียหายให้กับมรดกตกทอดทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งมีสภาพทรุดโทรมอยู่แล้ว
โบราณสถานอายุ 600 ปีในจังหวัดสุโขทัยของประเทศไทยเรา ก็เคยเสียหายอย่างหนักเพราะภัยน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากภัยโลกร้อน มาแล้วเช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 12:00:53 » |
|
โห อ้ายป้อ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 12:03:58 » |
|
สงสัยช่วงนี้ ป้อมันคงนึกอะไรออกน่ะพี่ ว่าต้องพิมพ์อะไรยาวๆ บ้างอ่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
gamo
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 621
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 13:08:14 » |
|
เพิ่งเคยเห็นป้อพิมพ์ยาวเกิน สองบรรทัดอ่ะ
แถมไม่มีตัวตาโปนด้วย
อิอิ แซวๆๆๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ป๋าบอล
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 196
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 13:39:54 » |
|
:shock:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 13:45:21 » |
|
เข้ามาซ้ำเติมครับ
:shock: :shock:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 14:15:27 » |
|
copy มา ชัวร์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! :twisted:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 16:49:55 » |
|
ถูก ก๊อบมาแน่ๆๆๆๆ
ยิ่งกว่าเดิมอีก อันนี้ไม่ได้เขียนเองซักตัว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Imm
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 237
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 18:15:10 » |
|
:shock: Oh GOSH!!!! น้องป้อมาแบบยาวๆ นึกว่าน้องจะฝักใฝ่แต่ของสั้นๆซะแระ อิอิ เอ้า เข้าเรื่องๆ ตอนนี้ Global Warming เป็นปัญหาร่วมกันของพลโลกทุกคนเลยนะ อยากให้ได้ดูสารคดีรางวัลออสการ์ของ Al Gore เรื่อง An Inconvenient Truth จริงๆ ดูแล้วต้องตั้งคำถามกับตัวเองอ่ะ ว่าวันนี้เราเริ่มทำอะไรเพื่อทำให้ปัญหาโลกร้อนนี้บรรเทาเบาบางลงรึยัง http://www.climatecrisis.netAct now people!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 10:11:38 » |
|
แต่ละคนชอบป้อทั้งนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
wara_thip
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 79
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 12:48:20 » |
|
เพราะโลกร้อนนี่เอง หมู่นี้เลยรู้สึกใจร้อนกว่าที่เคย(เกี่ยวกันไหมหว่า?) :twisted:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 12:57:22 » |
|
“ภาวะโลกร้อน” ความจริงช็อกโลก!!!
ขณะที่บ้านเราเจอภาวะฝนตกน้ำท่วม ไม่มีฤดูหนาว หรือแม้กระทั่งแผ่นดินไหวที่ จ.เชียงใหม่ อีกด้านในซีกโลกตะวันตก ผู้คนกำลังเผชิญหน้ากับภาวะโลกร้อน ร้อนจนร่างกายทนไม่ไหว ทำให้คนในยุโรปเสียชีวิตถึง 30,000 ศพ และในอินเดีย มีผู้เสียชีวิตไป 1,500 ศพ เมื่อปี 2003 ที่ผ่านมา
เหตุที่เกิดปรากฏการณ์เหล่านี้ในทางวิทยาศาสตร์ ระบุว่า เป็น “ภาวะโลกร้อน” อันเป็นผลจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซ อื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติดักจับความร้อนออกไปยังบรรยากาศของโลก ก๊าซเหล่านี้จะรวมตัวกันจนกลายเป็นผ้าห่มหนา ๆ ดักจับความร้อนของดวงอาทิตย์ และทำให้โลกมีอุณหภูมิร้อนขึ้น ยิ่งก๊าซเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น ความร้อนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ซึ่งเมื่อเกิดปรากฎการณ์เหล่านี้อาจส่งผลให้บางพื้นที่กลายเป็นทะเลทราย สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถปรับตัวได้ก็จะสูญพันธ์ บางพื้นที่อาจประสบปัญหาน้ำท่วม น้ำแข็งขั้วโลกและบนยอดเขาสูงละลาย ทำให้ปริมาณ น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น พื้นที่ชายฝั่งทะเลได้รับผลกระทบ บางพื้นที่อาจจมหายไปอย่างถาวร และประชาชนอาจจะเจอคลื่นความร้อนที่มีอำนาจทำลายล้างแรงกว่าที่เคยพบมา
เหตุการภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นกำลังเตือนภัยอะไรเราชาวโลก ซึ่งหากเรายังปล่อยให้เกิด "ภาวะโลกร้อน" อยู่เช่นนี้ เชื่อได้ว่า อาจเกิดปรากฎการณ์ความจริง ช็อกหัวใจชาวโลกขึ้นอีกครั้งแน่นอน ทางแก้ที่ดีที่สุดก็คือ ทุกคนต้องลดใช้พลังงาน อันเป็นบ่อเกิดของมลพิษเพื่อให้โลกได้ปรับสมดุล และช่วยกันปลูกป่า เพื่อให้ธรรมชาติกลับคืนมาโดยเร็วที่สุด ไม่งั้น หากเกิน 10 ปี โลกเราอาจเข้าสู่จุดที่ไม่ สามารถกลับตัวได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 12:58:19 » |
|
:lol: กทม.ปีนี้ ร้อนทะลุ 40 องศา
ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์เครือข่ายวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ภัยร้อนเริ่มรุนแรง โดยคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าแดดเริ่มร้อนจัดตั้งแต่ช่วงสายของแต่ละวันและรู้สึกร้อนอบอ้าวมาก ซึ่งสาเหตุมาจากอากาศนิ่งและความชื้นในอากาศสูง จนรู้สึกร้อนกว่าผิดปกติ เนื่องจากการระบายความร้อนของคนระบายด้วยไอน้ำระเหยจากผิวหนัง ถ้าอากาศร้อนก็ระบายได้น้อยจึงเกิดความร้อนสะสมทำให้รู้สึกว่าร้อนมาก
ดร.อานนท์กล่าวต่อว่า แต่อย่างไรก็ตามช่วงที่จะร้อนมากที่สุดคือเดือน เม.ย.คาดว่าอุณหภูมิเฉลี่ยจะสูงขึ้นราว 1-2 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะเขต กทม. ซึ่งปกติหน้าร้อนก็มีอุณหภูมิเฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 38-39 องศา แต่ปีนี้มีแนวโน้มโอกาสจะเกิน 40 องศาอย่างแน่นอน รองลงมาคือภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ทั้งนี้ ถึงแม้จะมีความร้อนสูงขึ้น แต่ไม่ต้องห่วงว่าคนไทยจะเผชิญกับปรากฏการณ์คลื่นความร้อนเหมือนในแถบประเทศยุโรปและอเมริกา เพราะคลื่นความร้อนจะเกิดในเขตละติจูดสูงกว่าบ้านเราซึ่งจะมีระบบลมมรสุมจากทะเลพัดเข้ามา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คงต้องติดตามระดับอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนต่อไป เพราะถึงแม้เส้นดัชนีจะลดต่ำลงมาแล้ว แต่ผลสืบเนื่องตามมาจากปรากฏการณ์นี้คือช่วงฤดูร้อนจะร้อนและแล้ง แต่ก็ไม่ควรประมาท เพราะอาจจะมีฝนตกมากกว่าเกณฑ์ปกติในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. ปีนี้เช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 13:05:15 » |
|
ไทยเราเองมีเอี่ยวทำโลกร้อน ติดอันดับ 9 โลกปล่อยก๊าซสูงสุด...นะครับ
รศ.ดร.สิรินทรเทพ เต้าประยูร ประธานสายสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) กล่าวว่า ประเทศไทยติดอันดับ 9 ของโลก ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน ข้อมูลการวิจัยเมื่อปี 2543 ระบุว่า คนไทย 1 คนปล่อยก๊าซโลกร้อนมากถึงปีละ 2.18 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 0.8% เมื่อเทียบกับประชากรทั่วโลก
ขณะที่คนญี่ปุ่นปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 9.41 ตันต่อคน ส่วนยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐ มีส่วนในการสร้างภาวะโลกร้อนคนละ 19.68 ตันต่อปี หากเมื่อพิจารณาตามภาคอุตสาหกรรมสำคัญ พบว่าก๊าซโลกร้อนมาจากกิจกรรมของภาคการผลิตไฟฟ้า 43% ภาคการขนส่ง 32% และภาคอุตสาหกรรม 25%
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 14:17:05 » |
|
‘ก๊าซเรือนกระจก’ ประกอบด้วยอะไรบ้าง ? มาๆๆรู้จักกัน มาจาก www.climatecrisis.net และนิตยสารสารคดี ปีที่ 23 ฉบับที่ 265 มีนาคม 2550/ www.sarakadee.com นะครับลองเข้าไปดูได้นะ นอกจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว ก๊าซเรือนกระจกยังประกอบด้วยอะไรบ้าง ก๊าซเรือนกระจกประกอบด้วยก๊าซที่สำคัญ คือ 53 % ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (380 ppm) ทุกวันนี้ในชั้นบรรยากาศมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 380 โมเลกุลในทุกๆ 1 ล้านโมเลกุลของมวลอากาศ หรือ 380 ppm (parts per million) และมีการเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 1% เมื่อเทียบกับราว 100 ปีก่อน ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ระดับความเข้มของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศอยู่ที่ประมาณ 280 ppm นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าในอีก 100 ปีข้างหน้า ถ้าไม่มีการแก้ไขหรือชะลอการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 1,000 ppm ซึ่งเป็นการเพิ่มในอัตราที่เร็วกว่าที่ผ่านมาอย่างมาก! 17 % ก๊าซมีเทน (1.8 ppm) เป็นก๊าซที่เกิดจากปลูกข้าว การเลี้ยงสัตว์ และการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล แม้ว่าก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศจะมีเพียงเล็กน้อย แต่โมเลกุลของก๊าซมีเทนสามารถดูดกลืนรังสีความร้อนได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า 13 % ก๊าซโอโซนระดับผิวโลก (0.03 ppm) เมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศสูงๆ ก๊าซโอโซนจะช่วยปกป้องโลกจากรังสีอัลตราไวโอเลต แต่โอโซนที่อยู่ในระดับผิวโลกจะทำหน้าที่เป็นสารออกซิแดนท์ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต ถือได้ว่าเป็นก๊าซโอโซนที่แม้จะอยู่ในบรรยากาศของโลกเพียงเล็กน้อย แต่มีความสามารถในการดูดกลืนรังสีอินฟราเรด ทำให้โลกอบอุ่นขึ้นด้วย 12 % ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (0.3 ppm) โรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตเส้นใยไนลอน อุตสาหกรรมเคมีและพลาสติก ใช้กรดไนตริกในกระบวนการผลิต จะปลดปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ รวมไปถึงปุ๋ยไนโตรเจนที่ใช้ในการทำการเกษตร และแม้ว่าในธรรมชาติจะมีการปล่อยก๊าซชนิดนี้ออกมา แต่ก๊าซไนตรัสออกไซด์จากโรงงานอุตสาหกรรมมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความร้อนในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น 5 % ก๊าซซีเอฟซี (1 ppm) ก๊าซชนิดนี้เป็นก๊าซที่มีสารประกอบคลอโรฟลูออโรคาร์บอน มีใช้อยู่ในเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น สเปรย์ น้ำยาดับเพลิง ฯลฯ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดรูโหว่ของโอโซนในชั้นบรรยากาศ ทำให้รังสีอัลตราไวโอเลตส่องลงมาถึงพื้นโลกได้มากขึ้น แม้ว่าปัจจุบันทั่วโลกได้รณรงค์ลดการปล่อยก๊าซซีเอฟซีลงได้ถึง 40 % แต่ที่ยังหลงเหลืออยู่ในชั้นบรรยากาศก็มีส่วนในการดูดกลืนรังสีอินฟราเรด จนเกิดความร้อนสะสมขึ้นประมาณ 0.28 วัตต์/ตารางเมตร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 20:14:20 » |
|
จะบอกว่า..ผมรู้เรื่องโลกร้อนตั้งแต่ ป.6..
เป็นห่วง..ตั้งแต่ตอนนี้น..แต่จนป่านนี้..ไม่เห็นมีใครทำอะไร..
สนธืสัญญาที่ลงนามกัน..มันจะลดก๊าซ CO2 ลงครึ่งหนึ่ง..ในอีกประมาณ 50 ปีข้างหน้ามั้ง..
ตายครับพี่น้อง..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Dr.Poot
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2550, 14:59:47 » |
|
ช่วงนี้ ป้อเป็นคนมีสาระจังเลยนะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #19 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2550, 17:44:35 » |
|
น่ากลัวว่า ลูกหลานของเราจะเป็นอย่างไร
อาจจะอยู่เหมือนเรื่อง Water World
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
MahDee
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2550, 18:05:25 » |
|
เป็นไปได้ครับ เมื่อวานดู National geographic รู้สึกจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกในอีกไม่กี่ล้านปีข้างหน้า ได้เห็นภาพจำลองแล้ว ขนลุกจริง ๆ ครับ :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2550, 08:35:17 » |
|
ขนาดประเทศใหญ่ๆ อย่างอเมริกามันยังไม่กล้าเซ็นสนธิสัญญาลดการปล่องก๊าซเรือนกระจกเลย ไอ้คุณบุชอยู่มาจะครบ 8 ปี ไม่ยอมเซ็น แต่พอจะพ้นตำแหน่ง ทำเป็นขยับตัวว่าอยากเซ็นต์ขึ้นมา แหม๊ ทำไปได้
ส่วนจีน บอกว่าที่ประเทศตัวเองปล่อยเยอะอ่ะ เพราะ ประเทศอื่นๆ มาว่าจ้างให้จีนผลิตเยอะไง ต้องโทษประเทศที่ว่าจ้างเค้าด้วยนะ และก้อถ้าหารจำนวนก๊าซที่ปล่อยต่อจำนวนประชากรที่มี ถือว่าไม่เยอะนา
ครับ โทษกันไปโทษกันมา โยนกันไปโยนกันมา เริ่มกันซะที
ถ้าคิดอะไรไม่ออก มาปลูกต้นไม้คนละต้นละกัน
ตาแคม :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
gamo
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 621
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2550, 10:06:09 » |
|
ขนาดประเทศใหญ่ๆ อย่างอเมริกามันยังไม่กล้าเซ็นสนธิสัญญาลดการปล่องก๊าซเรือนกระจกเลย ไอ้คุณบุชอยู่มาจะครบ 8 ปี ไม่ยอมเซ็น แต่พอจะพ้นตำแหน่ง ทำเป็นขยับตัวว่าอยากเซ็นต์ขึ้นมา แหม๊ ทำไปได้
ส่วนจีน บอกว่าที่ประเทศตัวเองปล่อยเยอะอ่ะ เพราะ ประเทศอื่นๆ มาว่าจ้างให้จีนผลิตเยอะไง ต้องโทษประเทศที่ว่าจ้างเค้าด้วยนะ และก้อถ้าหารจำนวนก๊าซที่ปล่อยต่อจำนวนประชากรที่มี ถือว่าไม่เยอะนา
ครับ โทษกันไปโทษกันมา โยนกันไปโยนกันมา เริ่มกันซะที
ถ้าคิดอะไรไม่ออก มาปลูกต้นไม้คนละต้นละกัน
ตาแคม :wink: เน้าะ ปลูกต้นไม้กันคนละต้น น่าจะเป็นวิธีที่ดีและง่ายที่สุดในตอนนี้ ว่าแต่ ตาแคมปลูกต้นอะไรอ่ะ อิอิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yungying
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2550, 12:06:08 » |
|
ขนาดประเทศใหญ่ๆ อย่างอเมริกามันยังไม่กล้าเซ็นสนธิสัญญาลดการปล่องก๊าซเรือนกระจกเลย ไอ้คุณบุชอยู่มาจะครบ 8 ปี ไม่ยอมเซ็น แต่พอจะพ้นตำแหน่ง ทำเป็นขยับตัวว่าอยากเซ็นต์ขึ้นมา แหม๊ ทำไปได้
ส่วนจีน บอกว่าที่ประเทศตัวเองปล่อยเยอะอ่ะ เพราะ ประเทศอื่นๆ มาว่าจ้างให้จีนผลิตเยอะไง ต้องโทษประเทศที่ว่าจ้างเค้าด้วยนะ และก้อถ้าหารจำนวนก๊าซที่ปล่อยต่อจำนวนประชากรที่มี ถือว่าไม่เยอะนา
ครับ โทษกันไปโทษกันมา โยนกันไปโยนกันมา เริ่มกันซะที
ถ้าคิดอะไรไม่ออก มาปลูกต้นไม้คนละต้นละกัน ตาแคม :wink: ปลูกต้นรักช่วยได้ไม่พี่...ถ้าช่วยได้จะได้ปลูกที่ละหลายๆต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ttp://dekhorcu.multiply.com/
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2550, 12:41:28 » |
|
ขนาดประเทศใหญ่ๆ อย่างอเมริกามันยังไม่กล้าเซ็นสนธิสัญญาลดการปล่องก๊าซเรือนกระจกเลย ไอ้คุณบุชอยู่มาจะครบ 8 ปี ไม่ยอมเซ็น แต่พอจะพ้นตำแหน่ง ทำเป็นขยับตัวว่าอยากเซ็นต์ขึ้นมา แหม๊ ทำไปได้
ส่วนจีน บอกว่าที่ประเทศตัวเองปล่อยเยอะอ่ะ เพราะ ประเทศอื่นๆ มาว่าจ้างให้จีนผลิตเยอะไง ต้องโทษประเทศที่ว่าจ้างเค้าด้วยนะ และก้อถ้าหารจำนวนก๊าซที่ปล่อยต่อจำนวนประชากรที่มี ถือว่าไม่เยอะนา
ครับ โทษกันไปโทษกันมา โยนกันไปโยนกันมา เริ่มกันซะที
ถ้าคิดอะไรไม่ออก มาปลูกต้นไม้คนละต้นละกัน
ตาแคม :wink: เน้าะ ปลูกต้นไม้กันคนละต้น น่าจะเป็นวิธีที่ดีและง่ายที่สุดในตอนนี้ ว่าแต่ ตาแคมปลูกต้นอะไรอ่ะ อิอิ ตาแคมเค้าชอบปลูก ต้นรัก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|