Max
|
|
« เมื่อ: 21 มิถุนายน 2550, 13:50:56 » |
|
เข้ามาเปิดกระทู้ไว้ก่อนครับ แล้วจะเอาบทความเกี่ยวกับการลงทุน มาลงให้อ่านครับ
ไม่ก็แนวทาง แนวคิดด้านการ บริหารมาลงครับ :wink:
เรียนเชิญ พี่ ๆ เพื่อนๆ นะครับ มาแบ่งปันความเข้าใจกันครับ
ยังไงซ้า....ชีวิตเรา ก็หนีไม่พ้นเรื่องเงินๆ ทองๆ ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2550, 13:54:42 » |
|
ช่วงแรก ผมเอาบทความ ของพี่คนนี้มาครับ คุณนรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ เป็นพี่ที่ออฟฟิศครับ แต่ตอนนี้ลาออกมาแล้วมาเขียนหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนทางด้านหุ้น แต่ว่าพี่เค้าจะเน้น Long Term ครับ คนนี้สนิทกันครับเพราะว่าตีเทนนิสด้วยกันเกือบ ทุกอาทิตย์ หากใครจะฝากขอลายเซ็นต์ก็ได้ครับ :wink: เข้าไปบล็อกของพี่เค้าได้ที่ http://api.settrade.com/blog/1001ii/
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2550, 13:56:22 » |
|
เมื่อได้ยินคำว่าตลาดหุ้น พวกเรามักรู้สึกขยาดเพราะเราต่างเคยได้ยินเรื่องราวของคนที่เล่นหุ้นแล้วขาดทุน แต่ความจริงอย่างหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบก็คือ หุ้นเป็นการลงทุนที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากธนาคารมาก และยิ่งลงทุนนานเท่าไร ผลตอบแทนก็จะยิ่งมีความแน่นอนมากขึ้นเท่านั้น แต่เหตุที่คนจำนวนมากขาดทุนในตลาดหุ้นเป็นเพราะพวกเขาต้องการเห็นผลกำไรอย่างรวดเร็ว ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนในระยะยาวเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปีทบต้น คนสองคนที่มีความสามารถในการหารายได้ได้เท่ากันตลอดชีวิต คนที่เลือกออมเงินไว้ในตลาดหุ้นจะสามารถทำให้เงินออมโตขึ้นได้เร็วกว่าคนที่ฝากธนาคารไว้เฉยๆ เป็นอย่างมาก ถ้าคุณออมเงินไว้ในตลาดหุ้นจนทำให้คุณมีเงินออมถึง 20 ล้านบาทเมื่อไร คุณก็จะสามารถอยู่เฉยๆ ได้โดยไม่ต้องทำงานเลย เพราะเงิน 20 ล้านบาทนั้น ถ้านำไปฝากธนาคารจะได้ดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่าห้าแสนบาทต่อปี คนที่จะเล่นหุ้นระยะสั้นให้ประสบความสำเร็จได้นั้นจำเป็นจะต้องเป็นคนที่มีความสามารถสูงมากทีเดียว แต่ การลงทุนในระยะยาวให้ประสบความสำเร็จนั้นง่ายมาก ขอแค่ เข้าใจความจริงนิดๆ หน่อยๆ เกี่ยวกับการลงทุนแต่อาศัยความมั่งคงทางอารมณ์ที่มากกว่าคนอื่นเป็นสำคัญ ถ้าบังเอิญคุณเกิดมาแสนธรรมดา หน้าตาธรรมดา เรียนก็ธรรมดา พ่อก็ไม่รวย คุณก็ยังสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งอย่างในชีวิตไว้เป็นความภาคภูมิใจเล็กๆ น้อยๆ ได้ง่ายๆ ด้วยการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นให้ประสบความสำเร็จ ตอนนี้คุณพร้อมที่จะไปเอาเงิน 20 ล้านหรือยังครับ ถ้าพร้อมแล้ว ตามผมมาเลย! copy from http://api.settrade.com/blog/1001ii/2007/06/08/50
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2550, 13:57:25 » |
|
การลงทุนระยะยาวนั้นเห็นผลช้าทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่รู้สึกว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล พวกเขาก็เลยพยายามเพิ่มผลตอบแทนให้มากขึ้นด้วยการห้นมาเทรดหุ้นแทน หรือที่เรียกว่าการ BLASH (Buy Low and Sell High) กล่าวคือ พยายามทำกำไรด้วยการคาดเดาทิศทางของราคาหุ้นในช่วงสั้น ยิ่งช่วงไหนทำผลงานได้ไม่ค่อยดีก็จะคิดว่าจะต้อง BLASH เพิ่มขึ้นเพื่อเป็น "เอาคืน" นักลงทุนคนไหนที่เชื่อมากๆ ว่าการ BLASH เท่านั้นที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าก็จะถึงกับพยายามซื้อๆ ขายๆ หุ้นทุกวัน วันละหลายๆ รอบเพื่อเพิ่มผลตอบแทนในระยะเวลาอันสั้น หรือที่เรียกว่า Daytrading สมมติว่าคุณมีเงินอยู่ในพอร์ต 1 ล้านบาท แล้วคุณใช้วิธีซื้อขายทุกวันให้ได้ Capital Gain เล็กๆ น้อยๆ ด้วยเงินทั้งหมดวันละหนึ่งรอบ (พอตลาดปิดช่วงเย็นก็ล้างพอร์ต ไม่เคยเหลือของกลับบ้าน) เช่นนี้ ถ้าหนึ่งปีมีวันทำงาน 200 วัน คุณจะเสียค่าคอมมิชชั่นปีละ 1,000,000x0.0025x2x200 = 1,000,000 บาท หรือเท่ากับ 100% ของเงินทุนทั้งหมดของคุณ ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนก่อนหักค่าคอมมิชชั่น 11% ต่อปี แต่ถ้าคุณเดย์เทรด คุณต้องเสียค่าคอมฯ ปีละ 100% ต่อปี นั่นแสดงว่า แค่คุณจะเดย์เทรดให้ได้ผลตอบแทนเท่ากับคนที่ลงทุนในระยะยาว คุณก็จะต้องทำผลตอบแทนก่อนหักค่าคอมมิชชั่นให้ได้อย่างน้อย 111% ต่อปี ถ้าคุณคิดจะทำกำไรด้วยการเดย์เทรด ค่าคอมมิชชั่นจะกินคุณเป็นๆ!!! copy from http://api.settrade.com/blog/1001ii/2007/06/12/69
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2550, 14:06:00 » |
|
หุ หุ
ดีครับ มีคนมาคุยเรื่องหนัก ๆ กับผมได้แล้ว ...
แต่แถวนี้ มีเซียนพระ ด้วย ...
ลงทุนเช่าพระ ก็น่าจะคล้ายๆ ในการลงทุนในทรัพย์สิน ที่ไม่ได้สร้างกระแสเงินสดไหล แต่ สร้างมูลค่าของทรัพยสิน ... :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2550, 14:42:54 » |
|
พี่ก็ไม่รู้ว่าถือเป็นการ Financing หรือเปล่าอ่ะ แต่ถ้าใจเย็นพอ แล้วมาลงทุน แบบลองเทอมด้วย ก็ลองอ่านนี้นะ พี่ว่าผลตอบแทนมันโอเค เลยอ่ะครับ "พลังของการถือหุ้นไว้เฉยๆ" เชื่อว่านักลงทุนทุกท่านคงเคยได้ยินกองทุนรวมประเภท Index Fund มาบ้าง กองทุนประเภทนี้มีวิธีการลงทุนที่แปลก กล่าวคือ ซื้อหุ้นทุกตัวที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีหุ้นอะไรสักอย่างแบบปูพรมคือซื้อทุกตัวแล้วก็ถือมันไว้เฉยๆ อย่างนั้นโดยไม่บริหารจัดการ ถ้ามีใครมาซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มก็เอาเงินที่ได้ไปซื้อหุ้นในดัชนีเพิ่มแบบปูพรมในวันนั้นทันทีอีกโดยไม่มีการรอจังหวะที่เหมาะสม ถ้าได้รับเงินปันผลจากหุ้นที่ลงทุนมาก็เอาเงินที่ได้นั้นกลับไปซื้อหุ้นเดิมอีกเช่นกัน คุณว่านโยบายการลงทุนแบบนี้จะทำผลงานได้ดีแค่ไหน? เผอิญว่าในตลาดหุ้นไทยมีกองทุนแบบนี้อยู่ด้วย นั่นคือ กองทุนรวมทหารไทย SET50 ซึ่งลงทุนในหุ้นทั้ง 50 ตัวที่อยู่ในดัชนี SET50 Index แบบปูพรม ปรากฏว่าผมเพิ่งไปเช็คมาหมาดๆ ผลตอบแทนรวมตลอด 3 ปีที่ผ่านมาของกองทุนนี้เท่ากับ 48.34% (ผลตอบแทนรวมตลอด 1 ปีที่ผ่านมาเท่ากับ 20.94%) ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเจอทั้ง ซึนามิ ไข้หวัดนก สถานการณ์ภาตใต้ รัฐประหาร มาตรการ 30% และระเบิดกลางกรุง แต่การถือหุ้น "ไว้เฉยๆ" โดยไม่พยายามขายหนีความเสี่ยงมาถือเงินสดไว้ชั่วคราว หรือพยายาม BLASH ให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น กลับทำผลงานได้ถึง 48.34% หรือเพิ่มขึ้นมาเกือบครึ่งหนึ่งของพอร์ตเลยทีเดียว เห็น "พลังของการถือหุ้นไว้เฉยๆ" มั้ยครับ การถือหุ้นไว้เฉยๆ นั้นจริงๆ แล้วไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ในระยะสั้นราคาหุ้นอาจผันผวนบ้างตามข่าวที่เข้ามากระทบ แต่ในระยะยาวแล้วราคาหุ้นจะขึ้นไปตามกำไรที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นของธุรกิจ แล้วลองเปรียบเทียบกับผลงานของพอร์ตแบบซื้อๆ ขายๆ ของคุณดูสิครับ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา คุณสร้างผลตอบแทนโดยรวมได้สักเท่าไร? copy from http://api.settrade.com/blog/1001ii/2007/06/13/70
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
LadyBamboo
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 402
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2550, 21:06:44 » |
|
คุณน้อง MAX คะ คนแถวบ้านพี่ถือหุ้นไอทีวีอยู่เฉยๆ เลยค่ะ ตอนนี้ ฮือๆๆๆๆ แล้ว CSLOX มันจะขยับไปถึง 9-10 บาทได้ไหมคะ..... ตอนที่ซื้อมัน 11 บาท และทำท่าจะรุ่ง แต่ตอนนี้มันหล่นแอ้กลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ชินมีปัญหาอ่ะค่ะ วิเคราะห์ให้ฟังหน่อยสิคะ ขอบคุณค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
As long as you wish beautiful, you will be beautiful!
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2550, 22:40:25 » |
|
ข้อมูลในการลงทุน หรือ แนวคิดในการลงทุม ผมมักจะใช้ เวป นี้ www.thaivi.comเป็นแหล่งข้อมูล web นี้เป้นแนว ที่คนถือหุ้น มักจะถือยาว โดยพยายามที่จะเลือกหุ้นดี ๆ ไว้สักตัว ... ผมว่าเป็นแห่งข้อมูลแนวคิดที่ดีนะครับ สำหรับการเร่มต้น หรือ คนที่มีมุมมองของการซื้อหุ้นเป็นหารลงทุน มากกว่า การพนัน ... การถือหุ้นระยะยาว มีเงื่อนไขคือ ต้องถือในบริษัท ที่มีกำไร ต่อเนื่องในระยะยาวด้วย ... และ จังหวะในการลงทุน ก็จะช่วยให้ เรามีต้นทุนในการลงทุนที่ต่ำที่สุด เท่าที่จะทำได้ ... ซึ่งการที่จะ รู้ว่าบริษัทไหนมีกำไรต่อเนื่องในระยะยาว นั้น ก็ต้องอาศัยการอ่าน ศึกษาข้อมูลบริษัท ระบบการทำงาน และ ที่สำคัญ ผู้บริหาร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะ ถ้าเรามีความรู้สึกไม่ไว้ใจ (ถึงแม้ผลประกอบการจะดีมาก ๆ ก็ตาม) ก็ไม่ควรลงทุน เพราะ ผลประกอบการ สามารถ พลิงจากกน้ามือ เป็น หลังมือ ได้ เพียง ไม่กี่เดือน หรือ ไม่กี่ปี ซึ่งกว่าเราจะรู้ก็สาย เกินไป ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2550, 23:16:36 » |
|
ส่วนบริษัท ที่ผมชื่นชอบคือ ปูนซิเมนต์ไทย ครับ เพราะ ถ้าเราถือหุ้น ตั้งแต่เข้าตลาดมา ผลตอบแทน สูงมาก กี่พันเท่าไม่รู้ เห็นเขาทำสถิติเก็บไว้อยู่ แต่ ณ. วันที่เข้าตลาดนั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่า บริษัท นี้จะโตได้ขนาดนี้ ? ซึ่งนี้เป็นความยาก ในการลงทุน ที่ต้องอาศัย ข้อมูลจากหลายด้าน หลายศาสตร์ เข้ามาวิเคราะห์ประเมิน ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หล้า
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2550, 23:18:40 » |
|
ขอบคุณพี่ๆ ที่ให้ความรู้เรื่องการลงทุนค่ะ เอาไว้จะรบกวนปรึกษาพี่ๆหลังไมค์นะคะ :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2550, 23:19:11 » |
|
พี่ครับ ผมยังไม่เก่งขนาดวิเคราะห์ขนาดนั้นอ่ะครับ
อย่างมากทำได้แค่ หามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นตัวนี้อ่ะครับ
แล้วก็เทียบกับราคาปัจจุบันน่ะครับว่า เราควรถือหรือว่า ขายดี
เพราะว่ายังไงหุ้นที่มันมีมูลค่าที่แท้จริงดี มันก็ต้องสะท้อนราคาดีออกมาครับ
ไว้ผมจะถามๆ พี่ๆ พวก Fund Manager ให้นะครับว่าอนาคตดีไหม
แต่เห็นว่าส่วนใหญ่จะบอกว่ายังไงสิ้นปีน่าจะแตะ 800 ครับ
ที่แนะนำเพื่อนๆ ส่วนใหญ่อยากจะแนะนำให้ saving ในรูปแบบหุ้นมากว่าน่ะครับ
ไม่อยากให้มองเป็นการเก็งกำไรครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2550, 23:35:03 » |
|
พี่ Max ดีเลยครับ ... พอมีข้อมูลการคำนวณมูลค่าหุ้น ตามกระบวนการ DCF หรือเปล่าครับ ผมพยายามหาอ่านใน เวป หลายที่ ก็ยังไม่เข้าในในตัวแปรหลายตัวที่นำมาคิดน่ะครับ (อันนี้จริงจัง ครับ ) ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 02:28:04 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 10:32:26 » |
|
พี่ Max ดีเลยครับ ... พอมีข้อมูลการคำนวณมูลค่าหุ้น ตามกระบวนการ DCF หรือเปล่าครับ ผมพยายามหาอ่านใน เวป หลายที่ ก็ยังไม่เข้าในในตัวแปรหลายตัวที่นำมาคิดน่ะครับ (อันนี้จริงจัง ครับ ) ... ชาร์ป พี่ว่าถ้ามุ่งมุ่นไปเรียน Finance เลยก็ดีอ่ะ เรียนตอนแก่แบบพี่นี่ เข้าหัวช้าว่ะ พวกหลักสูตรปีเดียวภาคภาษาอังกฤษของที่จุฬาก็มีนะ DCF(Discount Cash Flow) มีอ่ะ แต่วันควรอ่านที่มาที่ไปของตัวอื่นก่อนด้วยอ่ะ พวก CAPM อีก พี่แนะนำหนังสือก่อนนะที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ของ อ. เริงรัก จำปาเงินน่ะ อ่านเข้าใจง่าย จะได้ความรู้ด้านอื่นๆ ด้วย พวก Bond ด้วยครับ ในนั้นมี DCF อยู่ด้วยนะ :wink: แล้วก็จะได้รู้นโยบายการเงินต่างๆ ของบริษัท คือจะได้รู้ว่าผู้บริหารเค้าคิดอะไรจะทำอะไรต่อ ตอนนี้ถืออยู่กี่ตัวอ่ะ แล้วก็มีหนังสือที่แบบภาษาเข้าใจง่ายของพี่คนที่แนะนำนี่แหละ คุณนรินทร์ ชื่อ การวัดมูลค่าหุ้นด้วยตนเองอันนี้ก็ดีนะ ลองดู พี่เค้าใช้ นามแฝงว่า สุมาอี้ ไม่รู้เคยได้ยืนไหมนะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Imm
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 237
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 10:43:44 » |
|
คนไม่มีวินัยทางการเงินอย่างข้าเจ้าขอเข้ามาดูอย่างเดียว ^^
ปล. ตอนนี้ทำ PR กะ Event plan ให้กองทุนรวมอยู่ ปวดหัวมั่กๆ งงแอนด์เง็ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 11:20:09 » |
|
คนไม่มีวินัยทางการเงินอย่างข้าเจ้าขอเข้ามาดูอย่างเดียว ^^
ปล. ตอนนี้ทำ PR กะ Event plan ให้กองทุนรวมอยู่ ปวดหัวมั่กๆ งงแอนด์เง็ง บลจ. อะไรอ่ะ แต่คงไม่ใช่บริษัทเราอ่ะ เพราะว่าไม่มีเงินจ้างอ่ะ :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Imm
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 237
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 18:10:14 » |
|
ด้วยจรรยาบรรณจึงมิอาจเปิดเผยรายชื่อลูกค้าให้สาธารณชนได้ทราบก่อนได้ เป็นกองทุนรวมน้องใหม่ยังไม่เปิดตัวเป็นทางการละกัน
อะ...เลียนแบบไทยรัดหน่อยก็ล่าย ดารารายนี้มีตัวย่อว่า S อิอิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 01:14:01 » |
|
พี่ Im Strongly Reccomend ทีให้ลงทุนเสียแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะ คนที่มีแนวโน้มโสดสูง จะได้มีกระแสเงินสดไว้ใช้ตอนไม่มีงานทำ หรือ เลิกงานแล้ว (เพราะ ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีใครดูแล หุ หุ) ปล. การออมที่ไปฝากธนาคารก็ถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เพราะ เราได้ผลตอบแทนคือ ดอกเบี้ย (เท่านั้นเอง แต่มูลค่าสินทรัพย์ไม่เพิ่ม ดังนั้นผลตอบแทนดอกเบี้ยเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อก็เลย ต่ำมาก ... งงมั้ย) พี่ Max จะลองหาซื้อดูครับ ... แต่ความจริงที่ถามเพราะ ผื่อพี่ Max มีเอกสาร sheet จะได้ขอ Xerox :lol: คุณ สุมาอี้ ผมรู้จักแต่ใน web www.thaivi.com นี้ละ ครับ เขาเข้ามา post บ่อยเหมือนกัน แต่เข้าใจว่าเก่งเรื่อง เศรษฐศาสตร์มหภาค ตอนนี้ไม่ได้ถือแล้วครับ เพราะ ขายเอาเงินมาซื้อหุ้นบริษัทแทน (เป็นนโยบายบริษัทน่ะ ที่ให้ engineer ที่ทำงานมานาน 5 ปีขึ้นไป และผลงานเข้าตา มีสิทธิ์ซื้อหุ้นได้ .. ยังกะบรฺษัท ฝรั่ง ที่อเมริกา แต่ที่นี้เป็นของคนไทย 100% ครับ) เคยถือ หลายหุ้น เช่น HT, CPI, STA, RCL, ACL,TEAM,AYUD,QH, BSBM ... ไม่ได้ถือทีเดียวทั้งหมดหรอกครับ switch ปรับไปเรื่อย ช่วงเริ่มเล่น นั้นไม่รู้อะไรมาก ถือ 4 ตัว กำไร 1 ตัว เท่าทุนอีก 3 ตัว เปลี่ยนมาเรื่อย ๆ จนมาได้กำไร ที่มากสุดคือ TEAM ... 200 - 300% ตอนที่เลือกจะถือ ก็ดูหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการปันผล และ ค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร เพราะ จะเป็นตัวประเมินผู้บริหาร และ เรื่องปันผล ก็กันเหนียว เพราะ ถ้าหุ้นไม่ขึ้นก็ยังได้ปันผล อ้อ ... อีกอย่างคือ กำไร ต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ หรือไม่ จะได้สบายใจเวลาหุ้นตก เดี๋ยวก็ขึ้น ... ซึ่งพยายามเลือก ตัวที่ไว้ใจ (แต่อาจจะไม่ใช่ตัวที่ดีที่สุด ตามที่คนเล่นหุ้นเก่งเขาดูกันเป็น) เพราะอย่างน้อยถือยาวไม่ต้องกลัวมูลค่าตก แถมปันผลดีกว่าฝาก แบงค์ อีก ... บางครั้ง credit ภาษีได้ด้วย (บางบริษัทนะ) ... เพราะ ฉะนั้นช่วงฤดูกาล ขอ credit ภาษี ก็จะได้เงินคืนกลับมา 3-4 พันบาท (สำหรับผมนะ) ... อยู่ได้เป็นเดือน .... ส่วนเรื่องกองทุนนั้น .. ไม่ได้ซื้อเลยครับ เพราะ เล่นหุ้นเอง ได้ผลตอบแทนดีกว่าอีก (ถ้าขยันหาข้อมูลหน่อย) ไม่ต้องแบ่งผลกำไรให้ผู้บริหาร ... และอย่างน้อย เวลาเราตัดสินใจพลาด ก็โทษตัวเองดีกว่า ข้อดีของกองทุนคือ การ credit ลดหย่อนภาษีครับ คล้ายกับประกัน นั่นล่ะครับ เช่น เรามีฐานภาษี 10% เรา credit ภาษีได้ 50000 บาท/ปี เราก็จะลดหย่อนภาษีได้ 5000 บาท/ปี ... แต่ต้องแลกกับเงินลงทุนของเรา 50000 บาท/ปี ที่ถ้าเราไม่พร้อมก็จะทำให้ขาดสภาพคล่องได้ครับ จะเห็นว่าเรื่อง credit ภาษี นี้เป็นเกมของคนรวยที่มีเงินเหลือ รายได้สูงครับ เพราะ เขาไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง แถม credit ภาษีได้อีก และ ได้สะสมทรัพย์สินที่โอกาสมูลค่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย ... เหตุผลที่คนรวย ยิ่งรวยครับ ... เพราะ สามารถหาช่องทางเสียภาษีได้น้อยกว่า พนักงานบริษัทอีก ทั้ง ๆ ที่รายได้มากกว่า... เห็นภาพกันง่าย ๆ เราทำงาน 12 เดือน โดนหักภาษี 10% ของรายได้ ก็ 1 เดือนเข้าไปแล้ว คล้าย ๆ กับว่ารายได้เราจริง ๆ11 เดือน (ทำงานใฟ้รัฐบาลไป 1 เดือน) .... เดี๋ยวจะเข้าเรื่องภาษีอีก ... มีรายละเอียดเยอะ และผมก็ไม่รู้อีกเยอะครับ ... เอาเป็นว่า สำหรับผมเวลาซื้อหุ้น ก็อ่านทุกอย่างของบริษัท เท่าที่จะทำได้ก่อนซื้อ เช่น กำไร ขาดทุน บริษัทมีรายได้จากใหน ใช้จ่ายอะไรบ้าง ระบบการทำงานเป็นอย่างไร นโยบายเป็นอย่างไร การจัดการสินค้าคงคลังเป็นอย่างไร การจัดหาบุคลากรเข้าบริษัทมีรโยบายอย่างไร บลา ๆ ๆ ซึ่งจำเป็นต้งใช้องค์ความรู้เยอะมาก ...แต่ผม ดีหน่อยที่ ลักษณะงานประจำที่ทำ เอื้ออำนวยในการทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วย ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 20:02:02 » |
|
555..แบบว่างูๆปลาๆ..
เลยมิกล้า..อ่านอย่างเดียวยังไม่รู้เรื่องเลย..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
dto80
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 471
|
|
« ตอบ #19 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 21:47:57 » |
|
เห็นภาพกันง่าย ๆ เราทำงาน 12 เดือน โดนหักภาษี 10% ของรายได้ ก็ 1 เดือนเข้าไปแล้ว คล้าย ๆ กับว่ารายได้เราจริง ๆ11 เดือน (ทำงานใฟ้รัฐบาลไป 1 เดือน)
อธิบายงี้เด๋วคนไม่ทำงานกันพอดี อิ อิ 10 % ของรายได้หลังหักค่าลดหย่อนไม่ใช่เหรอ ? ภาษีที่เสียให้รัฐอ่ะ ่? เล่นหุ้น หรือซื้อกองทุนรวมเพื่อเพิ่มค่าลดหย่อน ได้น่ะ (หาทางไม่เลี่ยงภาษีนั่นเอง อิ อิ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2550, 01:13:19 » |
|
แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า บ้านเมืองเรามันไม่นิ่งนัก
กองทุนรวมเค้ามีพวก inside มากกว่าเยอะครับ ข่าวข้อมูลยังไงก็ต้องซื้อครับ
แล้วก็พวก Fund Manager เนี่ย เอาเงินเค้ามาบริหาร
เห็นพี่ๆ แต่ล่ะคน แมร่งเครียดอ่ะ อัดบุหรี่กันเป็นว่าเล่นเลยอ่ะ
แบบ พวกเก่งโคดๆ ก็มีอ่ะคิด Model ทางด้าน Finance อ่ะ
ถ้าใคร อยากลองดูซื้อเรื่อยๆ บวกใจแข็ง ลองดู set index fund
ที่ผมเอาข้อมูลมาลงให้ดูก็ได้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2550, 01:15:36 » |
|
กองทุน รับประกันเงินต้น
เพื่อน มาดูกันว่าเค้าทำงานกันยังไง มันถึงมารับประกันเงินต้นของเรา
สมมุติ ผมมีเงิน หนึ่งร้อยบาท ที่ได้มาจากนักลงทุน
ผมก็จะเอาเงินสักประมาณ เก้าสิบแปดบาทไปลงทุน
ในพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งถือได้ว่ามีความเสี่ยงน้อยที่สุด
สมมุติว่า มีอายุของกองที่สองปี ผมก็จะหาลงทุนพันธบัตรที่มีอายุสองปี
ที่ให้ผลตอบแทนจากการที่ลงทุนไป เก้าสิบแปดบาทเพื่อใด้ได้สองบาทกลับมา
ซึ่งกลายเป็นร้อยบาท ส่วนสองบาทที่เหลือ ผมก็จะเอาไปลงทุน
อะไรก็ได้แล้วแต่ความเหมาะสม ซึ่งถ้าได้กำไรขึ้นมาก็จะมีผลตอบแทน
ต่อผู้ลงทุน แต่ถ้าหากว่า ขาดทุนขึ้นมาก็จะไม่กระทบต่อเงินต้นครับ
:wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2550, 15:07:15 » |
|
เห็นภาพกันง่าย ๆ เราทำงาน 12 เดือน โดนหักภาษี 10% ของรายได้ ก็ 1 เดือนเข้าไปแล้ว คล้าย ๆ กับว่ารายได้เราจริง ๆ11 เดือน (ทำงานใฟ้รัฐบาลไป 1 เดือน)
อธิบายงี้เด๋วคนไม่ทำงานกันพอดี อิ อิ 10 % ของรายได้หลังหักค่าลดหย่อนไม่ใช่เหรอ ? ภาษีที่เสียให้รัฐอ่ะ ่? เล่นหุ้น หรือซื้อกองทุนรวมเพื่อเพิ่มค่าลดหย่อน ได้น่ะ (หาทางไม่เลี่ยงภาษีนั่นเอง อิ อิ) จริง ๆ แล้วพยายามให้เห็นภาพ ง่าย ๆ ถ้าจะให้ละเอียด กลัวเดี๋ยวยิ่ง งง ... :lol: เพราะ มันจะมีระดับเงินเดือน อยู่ระดับหนึ่งที่ไม่เสียภาษี (ที่ไม่เสียเพราะ มีการหักค่าลดหย่อยแล้ว ไม่เข้าเกณฑ์ รายได้ให้เสียภาษี) ใช่จะบอกว่า หาทางเลี่ยงไม่เสียภาษีหรือเปล่า ครับ อืม ... ก็คล้าย ๆ กันครับ หาทางลดการเสียภาษี โดยถูกกฎหมายแล้วกัน หุ หุ (เพราะ เดี๋ยวบอกว่าเลี่ยงภาษี เดี๋ยวเข้าใจว่าทำผิดกฎหมายอีก ... ) แต่ซื้อหุ้น นี้ จะไม่ได้รับลดหย่อนภาษี จากเงินที่ซื้อ ... แต่ถ้าชื้อกองทุน LTF (ที่มีนโยบายซื้อหุ้น .. ไว้ระยะยาว) จะลดหย่อนภาษีได้ ... กฎหมายนี้ออกสมัย นายก ทักษิน .. (แต่มีทั้งดี และไม่ดีนะครับ กฎหมายนี้ วิเคราะห์ กันดี ๆ จะได้ไม่เข้าปรนะเด็นการเมืองมากไป หุ หุ) แต่ก็ต้องระวัง ... ผมมีตัวอย่างการซื้อกองทุนหุ้นกู้ ที่ไปเข้าซื้อหุ้นกู้ของ PICNI ... (gas Picnic นั้นล่ะครับ ... น้าแครม เคยทำงานที่บริษัทนี้ ...แกคงรู้ดีว่าเป็นอย่างไร หุ หุ) ที่พอครบกำหนดสัญญาการจ่ายคืนดอกเบี้ยให้กับผู้ถือหุ้นกู้ แล้ว PICNI ผิดสัญญา ไม่สามรถหาเงินมาจ่ายได้ ... คราวนี้ ผู้ถือกองทุน ก็เร่กันขายกองทุน เพื่อถอนเอาเงินออกมาก่อน ... ผลที่ได้ ก็คล้าย ๆ กับ ผู้ฝากเงินกับ Bank แห่กันถอนเงินออกมาหมด แล้ว Bank ไม่มีเงินจ่าย เท่านั้นเอง ... แต่ต่างกันที่กองทุนนั้น ไม่มีภาระรับผิดชอบเงินลงทุนของเรา ... เพราะ การลงทุนมีความเสียง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้รอบคอบก่อนลงทุน ... ... เพราะ ฉะนั้นการลงทุนทุกอย่างมีความเสียง ... (ฝากเงินใน Bank แล้ว Bank ล้มละลาย ก็ถือว่ามีความเสี่ยง) ... คนที่เขาลงทุนเก่ง ๆ นั้น เขาจะรู้มากจนที่บอกว่าเสี่ยงนั้น จะไม่เสี่ยงสำหรับเขาเลย ... พี่ Max มีรายละเอียด กองทุนประกันเงินต้น มากกว่านี้หรือเปล่าครับ ... น่าจะลองมา comment กันดูได้ครับ เป็น Question and Ask ถือเป็นความรู้ ให้คนที่สนใจการลงุน ได้นะเนี่ย ... ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
dto80
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 471
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2550, 20:07:24 » |
|
แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า บ้านเมืองเรามันไม่นิ่งนัก
กองทุนรวมเค้ามีพวก inside มากกว่าเยอะครับ ข่าวข้อมูลยังไงก็ต้องซื้อครับ
แล้วก็พวก Fund Manager เนี่ย เอาเงินเค้ามาบริหาร
เห็นพี่ๆ แต่ล่ะคน แมร่งเครียดอ่ะ อัดบุหรี่กันเป็นว่าเล่นเลยอ่ะ
แบบ พวกเก่งโคดๆ ก็มีอ่ะคิด Model ทางด้าน Finance อ่ะ
ถ้าใคร อยากลองดูซื้อเรื่อยๆ บวกใจแข็ง ลองดู set index fund
ที่ผมเอาข้อมูลมาลงให้ดูก็ได้ครับ ผมเคยใส่ comment เรื่อง model ในกระทู้นี้มาทีแล้วแต่โพสไม่ติด เน็ทเจ๊งพอดี T-T เลยไม่ได้พิมพ์ใหม่ กองทุนเมกาเขาลงทุนทุกอย่างตาม model เลยครับ ใช้ computer run กันแบบ real time ทีม R&D นี่ ระดับ ป.เอก MIT ซึ่งถือว่าดังมากด้าน computer science (พี่เพื่อนผมเอง ไม่ใช่ผม T-T) รายได้ก็หลายอยู่ เพราะ model ต้องปรับตัวได้ตามข้อมูล (ทางตลาดหุ้นเมืองนอก) ซึ่งเมืองไทยคงยากครับ เพราะว่าตลาดเล็ก inside มันมาได้ ธรรมมาภิบาล มันยังไม่มีมากพอ แต่ถ้าใครทำ model ที่ปรับสภาพตามลักษณะข่าว insider ได้นี่เจ๋งมากเลยครับ (ตอนนี้ที่รู้มายังแค่ถ้ามีข่าวดี อย่างนั้นอย่างนี้ ข่าวร้าย อย่างนั้นอย่างนี้ ให้ทำไง) ป.ล. ตอนนี้ผมก็ยังไม่ต้องเสียภาษี สบายใจจัง (ดีไหมเนี้ยะ T-T)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2550, 09:25:35 » |
|
อันที่เป็นประกันเงินต้น
พี่ใช้ความรู้ตอนที่เรียนมานะครับ
หลักการที่เค้าใช้กันจะใช้แนวๆ นี้ครับ
เพื่อใครแบบที่คิดว่าชั้นซื้อแบบประกันเงินต้นดีกว่า ไม่เสี่ยงดี
จะได้เอาไปใช้ตัดสินใจน่ะครับว่าเค้าไม่ได้ ใช้ Model อะไรเท่าไหร่เลยครับ :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: 27 มิถุนายน 2550, 13:15:55 » |
|
ถ้าคุณเก็บเงินไว้เฉยๆ ใต้หมอนเพื่อนำมันออกมาใช้ในอีก 30 ปีข้างหน้าตอนเกษียณ เงินจำนวนนั้นจะมีอำนาจซื้อเหลือเพียงไม่ถึงครึ่งหนึ่งด้วยผลของเงินเฟ้อ การฝากเงินนั้นไว้ในธนาคารอาจช่วยรักษาอำนาจซื้อของเงินนั้นไว้ได้บ้างแต่วิธีการที่ดีที่สุดคือ การออมเงินเอาไว้ใช้ในอีก 30 ปีข้างหน้าในรูปของ พอร์ตของหุ้นที่มีการกระจายอย่างเพียงพอ เพราะมันคือสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้มากที่สุดในระยะยาว มันเพิ่มขึ้นได้มากกว่าทองคำ พันธบัตร หรือเงินฝากธนาคารแบบเทียบกันไม่ติด ภาพข้างบนแสดงให้เห็นถึงการเก็บเงินหนึ่งดอลล่าร์ไว้ในรูปแบบต่างๆ เป็นเวลา 200 ปี ถ้าเลือกเก็บไว้ในตลาดหุ้นเงินหนึ่งดอลล่าร์นั้นจะกลายเป็น 8.8 ล้านเหรียญเลยทีเดียวซึ่งสูงกว่าวิธีอื่นๆ ทั้งหมด แม้จะเห็นกันชัดขนาดนี้ว่าควรออมเงินระยะยาวของเราไว้ในหุ้น แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่กล้าออมเงินไว้ในหุ้นอยู่ดี ด้วยเหตุผลข้อเดียวก็คือ เรารู้สึกกลัวความผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้น ทั้งที่รู้ว่าในระยะยาวแล้วมันจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าวิธีอื่นอย่างมากก็ตาม เซอร์ จอห์น เทมเปิลตัน กล่าวว่า "เมื่อร้อยปีก่อนดาวโจนส์อยู่ที่ 100 จุด ตอนนี้อยู่ที่ 10000 จุด และอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้ามันจะต้องอยู่ที่ 1 ล้านจุดอย่างแน่นอน มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ถ้าคุณเป็นคนมีเหตุผลคุณควรเก็บเงินเกษียณของคุณไว้ในหุ้นตลอดเวลา" นักวิทยาศาสตร์บอกว่าสัตว์แต่ละชนิดจะมีความรู้สึกเรื่องเวลาไม่เท่ากัน แมลงวันจะมีความรู้สึกเรื่องเวลาที่ไวกว่ามนุษย์มาก มันมีชีวิตอยู่แค่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น เวลาหนึ่งวินาทีของมันจึงนานกว่าของมนุษย์มาก นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไม เราจึงตบแมลงวันไม่ทัน เวลาที่เราเอื้อมไม้ไปตบแมลงวันอย่างรวดเร็วนั้น แมลงวันมองเห็นการเคลื่อนที่ของไม้นั้นอย่างเชื่องช้า มันจึงหลบได้ทันเสมอ ถ้าคนเราสามารถปรับเปลี่ยนความรู้สึกเรื่องเวลาของเราใหม่ให้เร็วขึ้นเป็นต้นว่า หนึ่งปีรู้สึกว่าเหมือนหนึ่งวินาที รับรองเลยครับว่า ทุกคนจะเลือกการออมเงินเกษียณไว้ในหุ้นกันหมด เพราะเห็นชัดเจนว่าได้มากกว่า แต่ที่คนส่วนใหญ่เลือกจะออมเงินเกษียณไว้ในธนาคารนั้นเป็นเพราะพวกเขารับไม่ได้กับความผันผวนในระยะสั้น ทีนี้เห็นภาพหรือยังครับว่า ทำไมผมจึงบอกว่าการลงทุนในหุ้นให้ประสบความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องของใจมากกว่า คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ไม่ใช่เพราะไม่รู้แต่เพราะจิตใจของเขาหวั่นไหวกับความผันผวนของราคา copy from http://api.settrade.com/blog/1001ii/2007/06/12/66
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #26 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2550, 13:33:46 » |
|
.. เอามาแปะไว้นี้แล้วกัน .. | | อ้างถึง | | | | | | | | Subject: FW: ครม.อนุมัติลดหย่อนภาษีหักค่าใช้จ่าย 60%
มีผลบังคับใช้แล้ว. มนุษย์เงินเดือนเฮ ครม.อนุมัติลดหย่อนภาษีหักค่าใช้จ่าย 60% (มีผลบังคับใช้ในปี 2550) มนุษย์เงินเดือนเฮ ครม.อนุมัติเพิ่มวงเงินหักลดหย่อยค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็น 60% แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท จากเดิม 40% แต่ไม่เกิน 6 หมื่น ผู้มีเงินเดือนต่ำกว่า 19,166 บาทต่อเดือนไม่ต้องเสียภาษี พร้อมออกตัวไม่ใช่นโยบายหาเสียงเป็นเรื่องที่สรรพากรหารือมานานแล้ว ขอสรุปข้อมูลจาก Mail มาเป็นการคำนวณภาษีเงินได้เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้นค่ะ ว่ามีวิธีคำนวณการอย่างไรและมนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเราได้ประโยชน์อะไรบ้าง
การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เดิม ( 15,833 / เดือน)
ใหม่( 19,166 / เดือน) (1) เงินได้พึงประเมินทุกประเภทรวมกันตลอดปีภาษี
190,000.00
230,000.00 (2) หัก ค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด (ร้อยละ 40 ไม่เกิน 60,000.-)
60,000.00
100,000.00 (ร้อยละ 60 ไม่เกิน 100,000.-) (3 ) = (1)-(2) เหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย
130,00000
130,000.00 (4) หัก ค่าลดหย่อนต่าง ๆ (ลดหย่อนผู้มีเงินได้ 30,000.-)
30,000.00
30,000.00 (5 )= (3)-(4) เหลือเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ
100,000.00
100,000.00 (6) หัก ค่าลดหย่อนเงินบริจาค ไม่เกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด
0.00
0.00 (7) = (5-6) เหลือเงินได้สุทธิ
100,000.00
100,000.00 นำเงินได้สุทธิตาม ( 7) ไปคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
จำนวนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
0.00
| | | | |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2550, 22:58:50 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2550, 23:22:12 » |
|
Nong Max ka, a really worthful text I ever had read!! I do agree with you from the word"longterm" ...yes,this is a really surely ,efficiently and ...safely! I live since almost 14 years in Germany...I ask myself why my husband not step into this "challenge"..I used to ask him why,he said"first we have to build up our base,then we can play any extra money into these stock market.we play it indirectly by invest money to any insurance,these insurance plays direct to the stock market in DAX..that why they promise us a double payback after 15-20-25 years...along the time,we have to build up any surely,dead surely base...yes,immobilien...not an expensive car,not a juwelry,not any worth hobby but a "limit" source:land,house..." Nong Max, my husband just step into stock market after we have built our third houses!!!the rest of money he had...few hundred Euro a month...then he invest now in: Daimler&Crysler(Merzedez Benz),Telekom,Deutsche Post,what else?...all of that is "dead surely" survival stock...he got a little few hundred Euro back if he sells...should he sell it??? no,it is not a short term to have money in the hand but a long term...so he change his stock from here and there...but never sells it!! What can I see from his methode??prosperous needs time to build!!needs patiently,needs a foresight and ..really really calm. good night nong p.nungning
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #29 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2550, 23:57:26 » |
|
Nong Max, do you know why in front of DAX building in Frankfurt am Main there are 2 symbols of animal?? 1. a bull 2.a bear tell me who knows the meaning of it!! or get back to read the text of ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร !!! p.nungning
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 13:02:40 » |
|
เอาอันแรกก่อนนะครับพี่ สัญญลักษณ์ที่เป็นกระทิง กับ หมี กระทิง มักจะพูดกันว่าช่วงนี้ตลาดกระทิง คือกำลังขาขึ้นครับ กรโจนทะยานเหมือนวัวกระทิง ส่วนน้องหมี นี เปรียบเสมือน กับว่าหมีกำลังจำศีล ครับ ตลาดซบเซาครับ เด๋วข้อบนผมขอเวลาทำความเข้าใจนิดนึงนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 13:29:57 » |
|
Nong Max ka, a really worthful text I ever had read!! I do agree with you from the word"longterm" ...yes,this is a really surely ,efficiently and ...safely! I live since almost 14 years in Germany...I ask myself why my husband not step into this "challenge"..I used to ask him why,he said"first we have to build up our base,then we can play any extra money into these stock market.we play it indirectly by invest money to any insurance,these insurance plays direct to the stock market in DAX..that why they promise us a double payback after 15-20-25 years...along the time,we have to build up any surely,dead surely base...yes,immobilien...not an expensive car,not a juwelry,not any worth hobby but a "limit" source:land,house..." Nong Max, my husband just step into stock market after we have built our third houses!!!the rest of money he had...few hundred Euro a month...then he invest now in: Daimler&Crysler(Merzedez Benz),Telekom,Deutsche Post,what else?...all of that is "dead surely" survival stock...he got a little few hundred Euro back if he sells...should he sell it??? no,it is not a short term to have money in the hand but a long term...so he change his stock from here and there...but never sells it!! What can I see from his methode??prosperous needs time to build!!needs patiently,needs a foresight and ..really really calm. good night nong p.nungning อืม... เท่าที่อ่านคือแฟนพี่เค้าลงทุนกับพวกบริษัทประกันภัยใช่ไหมครับเพื่อที่จะได้ผลตอบแทนจาก การที่สัญญานั้นระบุไว้ว่าจะได้เท่าไหร่ ณ เวลาไหนใช่เปล่าครับพี่ ซึ่งจากที่เรียนมานะครับ การวิเคราะห์ว่าผลตอบแทนที่ได้นี่จะคุ้มค่ากับการลงทุนที่บริษัทประกันภัยจะยื่นให้เรามานั้น คุ้มค่ากับผลตอบแทนที่เราจะได้จากการลงทุนประเภทอื่นหรือไม่ทางการเงินเค้าจะใช้วิธี ทาง Time Value of money นะครับ ซึ่งมันจะมีการหาค่าของ Future Value กับ Present Value ครับ ซึ่งโดยมากแล้วการลงทุนกับประกันจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่า กองทุนรวม (FundX นะครับ แต่ว่า ที่ลงทุนนั้นเพื่อหวังผลทางด้านการลดภาษีครับ (ผมไม่รู้ว่าที่เยอรมันเค้ามีสิทธิ์ตรงนี้ด้วยไหมนะครับ) แต่ว่าหากเราไปลงทุนกับกองทุนรวม ก็มีกองทุนรวมที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ครับ (ในไทยมี LTF กับ RMF ครับ) ด้านการลงทุนผมว่าหากเราไม่ใช่คนที่ติดตามข่าวสารตลอดเวลาในการจะเก็งกำไรกับหุ้น ก็ควรจะลงทุนผ่านกองทุนรวมดีกว่านะครับเพราะว่าการที่เราจะวิเคราะห์เอง ก็ค่อนข้างใช้เวลาพอสมควรและการที่วิเคราะห์นั้นก็ต้องใช้เครื่องมือทางการเงิน อีกหลายตัวทีเดียวครับครับ นอกจากข่าวที่มักจะพูดกันว่า "เค้าว่า...." ครับ และก็อีกอย่างพวกนักวิเคราะห์เค้าเข้าถึง ข่าวกับข้อมูลเชิงลึกได้ดีกว่าเราครับ จากที่พี่บอกมานั้นหุ้นที่ถือน่าจะเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีใช่เปล่าครับ หากขายไปก็จะได้ กำไรไม่มากนัก ผมจะแนะนำยังไงดีล่ะครับ.... เอาจากที่ทำงานอยู่แล้วกันนะครับ อย่างหุ้นที่มีปันผลแน่นอน ผลตอบแทนที่จะได้รับแน่นอน เช่นพวก Property Fund ของเมืองไทยมันจะอยู่ที่ระดับ 5-7% ครับ และพวกนี้สภาพคล่องจะน้อยครับ เพราะว่าไม่ค่อยมีคนซื้อขายเพราะว่าพวกที่ถือไว้ต้องการที่จะได้เงินปันผลที่สม่ำเสมอจาก ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับครับ ตั้งแต่แรกที่คิดว่าจะซื้ออยู่แล้วครับสภาพคล่องเลยน้อยไปด้วย พี่หนุงหนิงไม่ลองดู พวก Property Fund บ้างเหรอครับ รายได้จากค่าเช่าที่แน่นอน ลองดูว่าผลตอบแทนที่ได้รับนั้นพอใจหรือเปล่าถ้าเทียบกับอัตราเงินเฟ้อหรือว่า การลงทุนตัวอื่น ไม่รู้ที่เยอรมันจะเป็นไง บ้างนะครับแต่น่าจะดีกว่าเมืองไทย ไม่รู้ผมจะตอบคำถามพี่ได้ตรงทุกข้อหรือเปล่านะครับ :wink: "การลงทุน มีความเสี่ยงครับ"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 17:20:44 » |
|
Nong Max, P.ning has not much known about this...only know about any offer from a long term paying insurance...for example,she get a money from the state for 2 children..so if she spent all these money gone monthly...it is gone.but she invest it 50 Euro/month for the next 20 years each child..we get a double plus the winning from these period(they invest my money into any fond)...not bad. then they will more money from me,they ask about my "retirement" I just apply my own insurance...also 50 Euro monthly...for the next 25 years... If you ask how many fond like those above my husband "hind" it somewhere...a few of it...can you imgine how farang...German...build up their prosperous??one generation to another...his father did the same..now he got one another"expiried" these insurance he made it 25 years ago....what he does?? he gave it his children,grand children....my husband would not use this gift from his father into any car,any travel but...he open a new sum in any fond...many attractive payment...naturally better payment than the bank... So when they drink beer at the meeting...they mouthtak about this topic...there are a lot of offer in day life...they want to collect your money...they want to win from your money....so it is totally normal that most farang will not carry/maintain their cash in the bank but invest it further all and can not break up untill....herr,herr....the next 15-20-25 years. Is it concern to your investment job?? The system is quite stable...that's mean you seldom lost your money because of any fond collaborates.or the whole system fall... So if you see a youngy-yappy farang in the age of end 20-30...herr,herr...believe me...they still have ...nothing!the heavy cash owner are....grandpa and grandma...working somewhere in their garden...they are a real....power . p.nn
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2550, 02:53:20 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: 11 กันยายน 2550, 23:48:42 » |
|
ตอนนี้ เบื่อ ๆ เรื่องลงทุน เพราะ ไม่มีตังค์ ให้ลงทุน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2550, 12:48:22 » |
|
ช่วงนี้ ใครสนใจ ขอแนะนำ กอง ETF -- > Thai Dex ของบริษัทผมครับ กองเดียวในประเทศไทย สภาพคล่องสูงครับ ใครสนใจจะส่งหนังสือชี้ชวนฉบับย่อ ทางเมลล์ให้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
BeKamon
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 235
|
|
« ตอบ #37 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2550, 12:55:04 » |
|
คือ อะไรเหรอ Max เป็นกองทุนรวมเช่นเดียวกันเหรอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Something might change, but something never changes. (The Matrix Revolution)
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #38 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2550, 15:38:27 » |
|
เป็นกองทุนครับ ถือได้ว่ามีสภาพคล่องสูงมากๆ ครับ สนใจก็เข้ามาดูที่ web บริษัทเราได้ครับ www.one-asset.comมีโปรแกรมที่หักเงินเดือนแต่ละเดือนแล้วไปลงทุนในกองทุนที่เราเลือกไว้ให้ด้วยนะ ขั้นต่ำที่ 2,000 บาท ดีตรงที่เราสามารถลงทุนในจำนวนเงินที่น้อยได้ เพราะส่วนใหญ่ลงทุนในกองทุนขั้นต่ำก็ 5,000 บาท หรือไม่ก็ 10,000 บาทครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #39 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2550, 15:43:38 » |
|
มีใครบอกได้ไหม๊ว่าทำไมช่วงนี้หุ้นขึ้น ม่ายเห็นจะมีปัจจัยอะไรที่เป็นบวกชัดเจนเรยย
ตาแคม :?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #40 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2550, 15:49:56 » |
|
ที่จริงปัจจัยพื่นฐานหุ้นบ้านเราบางตัวมันดีนะ ราคาต่ำกว่าที่คารดการณ์ไว้ก็มีหลายตัวอ่ะ โดยมากที่ตลาดขึ้นหรือว่าลงเพราะว่าฝรั่งเข้ามาซื้อและขายครับ ยังไงตาแคมสนใจลงทุน มาเลือกใช้บริการบริษัทเราได้อ่ะ แนะนำพวก Index Fund ครับ เกาะตลาดครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
party
|
|
« ตอบ #41 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2550, 15:53:01 » |
|
ที่จริงปัจจัยพื่นฐานหุ้นบ้านเราบางตัวมันดีนะ ราคาต่ำกว่าที่คารดการณ์ไว้ก็มีหลายตัวอ่ะ โดยมากที่ตลาดขึ้นหรือว่าลงเพราะว่าฝรั่งเข้ามาซื้อและขายครับ ยังไงตาแคมสนใจลงทุน มาเลือกใช้บริการบริษัทเราได้อ่ะ แนะนำพวก Index Fund ครับ เกาะตลาดครับ พี่แมกซ์ หนูก้อเคยสนใจอะ มีเพื่อนเป็น Broker เคยอยากลงทุนแต่เงินทุนต่ำไปอะ (หลักหมื่น)เพื่อนบอก เลยไม่ได้ลง ยังงัยพี่แมกซ์ช่วยบอกด้วยก้อดีนะคะ ทาง PM ก้อได้ แบบว่าสนใจคะ :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #42 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2550, 16:29:36 » |
|
เอาทางนี้แล้วกันนะครับ เผื่อ คนอื่นๆ อ่านแล้วสนใจครับ ที่บริษัทพี่เค้ามีโปรแกรมการลงทุน ชื่อว่า มิลเลียนแนร์โปรแกรมครับ คือว่าเป็นการออมเงินโดยการที่เราลงทุนในกองทุน ซึ่งเราสามารถที่จะเลือกได้ว่า จะลงทุนในกองทุนประเภทไหนครับ เช่น กองทุนรวม ตราสารหุ้น(ความเสี่ยงสูง) กองทุนรวมตราสารหนี้ (ความเสี่ยงต่ำ) กองทุนผสม ฯลฯ ซึ่งเงินขึ้นต่ำที่จะให้ลงทุนอยู่ที่ 2,000 บาทครับ ถ้าเป็นพนักงานบริษัท อย่างพี่ ถ้าจะเลือกโปรแกรมนี้ก็จะโดนหักจากบัญชีเงินเดือนอัตโนมัติไปลงทุนในกองทุน ที่พี่เลือกไว้เลยครับ แต่ถ้าเป็นคนภายนอกก็ให้แจ้งบัญชีที่เราสะดวกจะให้หักเงินครับ โดยอาจจะไปเปิดบัญชี ใหม่เพิ่มขึ้นแล้วก็ไปใส่ตังค์ทิ้งไว้ช่วงสิ้นเดือนก็ได้ครับ ข้อดี - สามารถลงทุนในกองทุนได้ในราคาที่ถูกครับ เพราะว่าเวลาซื้อกองทุนขั้นต่ำโดยมาจะอยู่ที่ 5,000 บาท ถึง 10,000 บาทครับ ข้อเสีย - ถ้าเป็นคนที่เล่นหุ้นเอง เราจะเลือกช่วงเวลาได้ว่าควรลงทุนในช่วงไหนเช่นการช้อนซื้อใน ช่วงที่ตลาดหุ้นตก แต่การลงทุนนี้จะลงทุนให้ ณ วันสิ้นเดือน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าหุ้นจะขึ้นหรือว่าตก เพราะถ้าหุ้นขึ้นเราก็จะได้ของแพงมาครับ อย่างพี่นี่ก็ลงทุนในตัวนี้เลยครับ หุ้นอย่างเดียวครับ http://www.one-asset.com/ThailandMutualFund/prospectus/FF010052.pdfถ้าสนใจก็บอกได้เด๋ว พี่ให้คุยกับน้อง marketing ให้ครับ ยังไงสนใจลงทุนที่ไหน กองไหน ต้องอ่านหนังสือชี้ชวนเค้าให้ดีก่อนนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #43 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2550, 20:11:51 » |
|
มีใครบอกได้ไหม๊ว่าทำไมช่วงนี้หุ้นขึ้น ม่ายเห็นจะมีปัจจัยอะไรที่เป็นบวกชัดเจนเรยย
ตาแคม :? เลือกตั้งใง พี่ตาแคม ข่าวดี ตกแล้วจาก ไปแตะ 9 ร้อยจุด หน่อยนึง ... สักเกต สัญญาณ ตกได้จาก ช่วงที่กองทุนต่างประเทศ เชียร์ ซื้อ อีกสักพัก ก็จะเริ่มตก :lol: อันนี้ ไม่ใช่ ทฤาฎีนะ อย่าเชื่อมากครับ อ่าน ๆ ดูแนวคิดคล้าย ๆ กับ Dollar Cost Average หรือ เปล่าครับ พอดี ตอนนี้ กำลังอ่านหนังสือเรื่อง THE INTELLIGENT INVESTOR "คัมภีร์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า" 800 หน้า อ่านไปจะถึงครึ่งทางแล้ว เห็นเขาเอ่ยถึง Dollar Cost Average ด้วย ผมว่า เป็นหนังสือการลงทุนที่น่าอ่านครับ มีเล่าเกี่ยวกับกองทุนแต่ละประเภท ที่อเมริกา ด้วยครับว่าเป็นอย่างไร สำหรับคนที่เริ่มสนใจการลงทุน น่าอ่านครับ เพราะ บางทีเราอาจจะได้เข้าใจมากกขึ้นอีกหน่อยว่า ทำไมซื้อกองทุน ทำไมซื้อหุ้น ... แล้ว ทำไมควรลงทุน ... แต่เป็ยหนังสือที่มีฐานความคิดจาก อเมริกา นะครับ ก็ อาจจะเอามาปรับใช้กับการลงทุนบ้านเราได้ ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #44 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2550, 08:05:19 » |
|
มีใครบอกได้ไหม๊ว่าทำไมช่วงนี้หุ้นขึ้น ม่ายเห็นจะมีปัจจัยอะไรที่เป็นบวกชัดเจนเรยย
ตาแคม :? เลือกตั้งใง พี่ตาแคม ข่าวดี ตกแล้วจาก ไปแตะ 9 ร้อยจุด หน่อยนึง ... สักเกต สัญญาณ ตกได้จาก ช่วงที่กองทุนต่างประเทศ เชียร์ ซื้อ อีกสักพัก ก็จะเริ่มตก :lol: อันนี้ ไม่ใช่ ทฤาฎีนะ อย่าเชื่อมากครับ ม่ายช่ายหรอกครับ ไม่ใช่ปัจจัยเลือกตั้งแน่ๆ ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #45 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2550, 18:48:10 » |
|
ซื้อ LTF กันยังครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #46 เมื่อ: 03 ธันวาคม 2550, 17:35:33 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Sleepy
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 46
|
|
« ตอบ #47 เมื่อ: 04 ธันวาคม 2550, 07:43:48 » |
|
อ่านแล้วหนุกดี เด๋ววันหลังมาอ่านใหม่ :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #49 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2551, 19:27:47 » |
|
ตอนนี้ที่บริษัท ออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ตัวใหม่ครับ ชื่อว่า พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟ็คครับ return ประมาณ 7.5% ต่อปีครับ ช่วงนี้เปิดให้จองซื้อครับ แต่ว่าไปรอซื้อช่วงเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็ได้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #50 เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2551, 18:48:12 » |
|
ไม่ค่อยรู้เรื่องเลยแฮะ..ไอ้เราก็ซื้อๆขายๆไปเรื่อย..ไม่ค่อยได้สนใจ..แต่ได้ความรู้ดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #51 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2551, 09:37:29 » |
|
ตอนนี้ที่บริษัท ออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ตัวใหม่ครับ ชื่อว่า พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟ็คครับ return ประมาณ 7.5% ต่อปีครับ ช่วงนี้เปิดให้จองซื้อครับ แต่ว่าไปรอซื้อช่วงเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็ได้ครับ งงจัง ขอรายละเอียดหน่อยแม็ค ทำไมเค้าถึงคิดว่า ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ช่วงนี้แล้วจะดีอ่ะ ตาแคม :? :? :?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #52 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2551, 10:35:05 » |
|
อ๋อ...ตัวนี้จะไม่เหมือนตัวอื่นๆ ล่ะตาแครม
คือ ตัวนี้เป็นเหมือนกองทุนรวมแบบหนึ่ง แต่ว่าจะสามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้
ซึ่งปกติแล้วกองทุนรวมจะซื้อขายกันที่ บริษัทจัดการกองทุนรวมที่เค้า ตั้งกองทุนนั้นๆ ขึ้นมาน่ะ
ถ้าถามว่า ทำไมเค้าถึงลงคิดว่าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ช่วงนี้ดี
เราคิดว่าคำถามตาแครมคงถามว่า ทำไมถึงคิดว่าลงทุนในหุ้นกลุ่มอสังหา ช่วงนี้ดีใช่เปล่าอ่ะ
อันนี้ไม่แน่ใจอ่ะ อาจจะเป็นเพราะว่ารัฐบาลประกาศกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะพวกอสังหาอ่ะ
เพราะว่าการกระตุ้นทางภาคอสังหาริมทรัพย์แล้วจะทำให้ภาคอื่นๆ ได้รับการกระตุ้นไปด้วย
เช่นแรงงาน ของตกแต่งบ้าน การขนส่ง ฯลฯ คือกระตุ้นอันนี้ทีเดียวแล้วได้ผลพวงเยอะน่ะ
ส่วนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่นำเสนอ นี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการได้รับผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องอ่ะ
ไม่เน้นขายเก็งกำไรเพราะผู้ลงทุนส่วนใหญ่มักจะถือกันนานไม่ค่อยขาย
ทำให้ราคาขายในตลาดหลักทรัพย์ไม่ค่อยขยับ ตามการเก็งกำไรน่ะ
ซึ่งมันก็ได้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงน่ะ 7.5% ต่อปี น่าสนนะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #53 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2551, 08:02:11 » |
|
ได้ไอเดียเรื่อง LTF/RTF มาจากพี่อาร์ตและน้องหลิม ว่าจะลองเล่นดู
ในบอร์ดมีใครแนะนำอะไรหรือเปล่า กะลังจะปิดแชร์หนึ่งวง จะได้เอาเงินไปลงทุนที่อื่นต่อ
ตาแคม :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #54 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2551, 09:39:44 » |
|
ดีครับ LTF แต่ถ้าสนใจออมตังค์ขั้นต่ำ เดือนละ 2,000 บาท โดยเลือกลงทุนในกองทุนรวมอะไรก็ได้ที่บริษัทเรามีเปิดบริการ ถ้าสนใจก็ลองเข้าไปดุรายละเอียดหน้าweb บริษัทเราก็ได้นะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #55 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2551, 19:49:05 » |
|
แล้วมาเปิดแชร์ในนี้กันดีมะ..กรูเป็นท้าวแชร์เอง..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #56 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2551, 12:28:54 » |
|
ตอนทำข้อสอบ Finance
มีการเอาเรื่องแชร์มาออกด้วยอ่ะ
ถามว่ามีกี่รูปแบบ แบบไหนให้ความเสี่ยงต่างกันยังไง บอกผลดีผลเสียมา
เสร็จเลย ....ไม่เคยเล่น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #57 เมื่อ: 04 มีนาคม 2551, 12:41:52 » |
|
พอดีมีเสี่ย บางท่านโทรมาถามว่ามีเงินนิ่งๆ อยุ่หลายสตางค์ อยากลงทุน จะลงทุนอะไรดี โดยสนใจการลงทุนในทองคำ จะดีไหม อันนี้ผมว่ามันก็แล้วแต่การคาดการณ์นะ ต้องดูว่าที่ทองคำมันขึ้นเพราะว่า อะไรด้วยมันอิงกับปัจจัยอะไร ถ้า ณ ตอนที่เราจะขายแล้วปัจจัยนั้นนันลดลง ก็จะทำให้ราคาทองทำลดลงด้วยอ่ะ (ตอนแรกคิดว่ามันจะซื้อทองคำเอาไปเป็นสินสอดอ่ะ) แต่ที่จะแนะนำอันนี้ เป็นกองทุนรวมครับ เอาตามความรู้ที่พอจะมี ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรนะครับ แบบพอรู้อ่ะ กองทุนรวมคืออะไร ? เอาคร่าว ๆ ก่อนนะครับ กองทุนรวมคือ การลงทุนประเภทหนึ่งที่ มีการระดมเงินทุนกัน ทั้งจากประชาชนทั่วไป และสถาบันการเงินระดมทุนกันมาลงทุนในสิ่งที่จะลงทุนโดยมีวัตถุประสงค์ เดียวกันครับ เช่นต้องการลงทุนในหุ้นที่เสี่ยงมากๆ ลงทุนในตราสารหนี้ที่เสี่ยงน้อยๆ เป็นต้น ซึ่งจะสามารถหาอ่านข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมได้ที่ สถาบันพัฒนาความรู้ตลาดทุนครับ www.tsi-thailand.orgการซื้อกองทุนรวม ? ตอนจะไปซื้อกองทุนรวม เราต้องถามตัวเราก่อนว่าเรามีวัตถุประสงค์แบบไหน คือโดยมากจะวัดจากความเสี่ยงครับคือ เสี่ยงมาก, เสี่ยงน้อย, ปานกลาง ซึ่งเสี่ยงมาก ก็ย่อมจะได้ return กลับมากมากตาม เสี่ยงน้อยก็จะตรงข้ามกัน อันนี้ก็อยู่ที่ใจล่ะครับ ว่าต้องการแบบไหน ซึ่งถ้าแบบไม่ได้ศึกษามาเลย กองทุนรวมที่เสี่ยงมากๆ คือกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารทุน (หุ้นอย่างเดียว) รองลงมาก็แบบผสม (หุ้นและตราสารหนี้) แล้วก็เสี่ยงค่อนข้างน้อยก็เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ ซึ่งตราสารหนี้นั้นก็จะแบ่งระดับความเสี่ยง ออกเป็นแต่ละระดับอีกครับ ซึ่ง สิ่งที่จัดได้ว่า เสี่ยงน้อยสุดคือ พันธบัตรรัฐบาล เหตุที่จัดว่าเสี่ยง ต่ำเพราะ การที่รัฐบาล ออกพันธบัตรมาให้เราถือ โดยเหมือนกับมากู้เงินเรา แล้วเราก็ได้ดอกเบี้ย จากพันธบัตรที่รัฐบาลขายให้เรา ถ้าประเทศเจ๊ง ก็เท่ากับว่าเราไม่ได้อะไรเลย เค้าเลยจัดว่า ความเสี่ยงมันเป็นศูนย์ครับ บางทีเราก็จะได้ยินพันธบัตรรัฐบาลโดนเรียกว่า Gov bond บ้าง Governtment bond บ้าง มันคืออันเดียวกันนะครับ ซึ่งเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเสี่ยงมากเสี่ยงน้อยขนาดไหน เราก็สมารถขอดู หนังสือชี้ชวน ของกองทุนนั้นว่า เค้าจะลงทุนอะไร .... เสี่ยงขนาดไหน....มีค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง.... ซื้อ หรือ ขายคืน ได้ที่ไหน ยังไงถ้าจะซื้อเราต้องขอดูตัวนี้ก่อนนะครับ Return ? คราวนี้มาดูว่าถ้าเราจะลงทุนในกองทุนรวมเราจะได้ Return อะไรมาบ้าง อันดับแรกนะครับ ก็จะได้เงินปันผล ซึ่งเราต้องดูในหนังสือชี้ชวนเค้านะครับว่า กองทุนนั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไหม (อันนี้เราจะโดนภาษีนะครับเงินปันผล) และอีกอย่างคือ ส่วนต่างของราคาตอนเราซื้อ กับตอนเราขายคือ ซึ่งราคาตอนเราซื้อ ต่อหน่วยลงทุน เค้าจะเรียกกันว่า NAV หรือ Net Asset Value หรือ มูลค่าทรัพย์สิน ต่อหน่วยลงทุน สมมุติว่า เราซื้อกองทุนหมีน้อย ซึ่งมี นโยบายการลงทุนในหุ้นอย่างเดียว แบบโคดเสี่ยงแต่ return ดีมากๆ ณ ตอนต้นปี ที่ 10 บาท ต่อหน่วยลงทุน ผ่านไปสัก สองเดือน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิมันเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจาก ผู้จัดการกองทุนนั้นๆ บริหารดี ราคากลายเป็น 14 บาท ต่อหน่วยลงทุน เวลาเราไปขายเราก็ได้ส่วนต่างที่ 4 บาทครับ แต่เราสามารถถามได้เลยนะครับว่า Return มันประมาณกี่ % พวกพนักงานขายเค้า จะบอกให้ได้ครับ พวกนี้ต้องมีใบอนุญาตทางการเงินนะครับ ส่วนการที่เราไปซื้อตามสาขา Bank นั้น ๆ ผมคาดว่าพนักงาน Bank เค้าไม่ได้มี ใบอนุญาตพวกนี้นะ ถ้าให้ได้ โทรไปถามหรือว่าซื้อที่สาขาของบริษัทนั้นๆ เลยดีกว่าครับ ได้ขอมูลที่ดีกว่าน่ะ ใครเป็นผู้บริหารกองทุน? บริษัทที่ทำหน้าหน้าที่บริหารกองทุนนั้นๆ โดยมากมันจะมีชื่อนำหน้าว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการ, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม, บลจ (บอลอจอ) .... ชื่อจะแนวๆ นี้ครับ ปัจจุบันมีทั้งหมด 21 แห่ง ซึ่งจะมี สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาด หลักทรัพย์มากำกับดูแล อีกทีหนึ่งเพื่อให้เป็นไปตามหลักกฎเกณฑ์ครับ ทำผิดมีปรับ มีโทษให้ครับ..... ส่วนคนที่บริษัทกองทุนนั้น ๆ เค้าจะเรียกกันว่า ผู้จัดการกองทุน หรือว่า Fund Manager ครับ พวกนี้นั้นจะมี ใบอนุญาต ทางการเงินครับแสดงให้เห็นว่า มีความรู้ทางด้านการเงินที่ดีที่จะมาบริหารเงินของเราได้ ซึ่งใบอนุญาตตัวนี้จะมีแบบสากล และแบบของไทยเราเองครับ แบบสากลเรียกว่า CFA ครับ ส่วนแบบไทยเรียกว่า ซีซ่า ครับ CISA ซึ่งทั้งหมดจะมี 3 Level ด้วยครบ Level 3 นั้น นับหัวได้ในเมืองไทยครับ ซึ่งกองทุนรวมนั้นถือได้ว่าเป็นนิติบุคคล อีกบุคคลหนึ่งครับ หากว่าบริษัทจัดการเจ๊งบ๊งไป กองทุนที่เราลงทุนนั้น ก็ไม่ได้เจ๊งตามไปด้วยนะครับ แต่ว่าจะถูกเปลี่ยนไปบริหารโดยที่อื่นแทน จะเลือกซื้อที่ไหน? เมื่อได้ ความเสี่ยงที่ต้องการ ประเภทที่ต้องการแล้ว ก็มาดูว่าจะซื้อของ บลจ. ไหนดีครับ ก็บอกว่าแล้วแต่สะดวกครับ เพราะว่าแต่ละที่ก็จะมีผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ที่แตกต่างกันออกไป เก่งไปคนละแบบครับ แต่ทั้งนี้ต้องดูนะครว่า เค้าอำนวยความสะดวก ในการให้ข้อมูลเราขนาดไหน ถูกต้องไหมนะครับ ** แค่นี้ก่อนแล้วกัน ใครมีไรลองถามๆ มาดูนะครับเผื่อตอบได้อ่ะ จะได้มาลงทุนกันอ่ะครับ** ** ชาร์ปมีอะไรแชร์ไหม**
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #58 เมื่อ: 10 มีนาคม 2551, 22:05:52 » |
|
หวัดดีครับ พี่น้อง พอดีตอนนี้พอมีเงินเหลือเก็บบ้างครับ เลยยสนใจจะลงทุนคร้าบ ฝากธนาคารแล้วท้อใจคร้าบ ไม่ทราบว่าพอจะแนะนำได้ไหมครับ ส่งรายละเอียดมาที่ jakkreepan@hotmail.com ได้เลยครับ :lol: คนตังค์เหลือ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #59 เมื่อ: 11 มีนาคม 2551, 18:57:30 » |
|
ไข่แล้วโดนภาษีเยอะเปล่า ถ้าโดนภาษีเยอะ ก็ให้ไปลงทุนพวก LTF น่ะ แต่ต้องลงทุน 5 ปีนะ (เงินต้องเย็นนะ ไม่ได้รีบใช้ไปขอสาวอ่ะ) แล้วรับความเสี่ยงได้ขนาดไหน เพื่อนๆ ครับ จะมีหุ้น ชื่อ PFFUND เข้าตลาดหลักทรัพย์วันที่ 20/3/51 นี้นะครับ อยู่ในหมวดอสังหาริมทรัพย์ (กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค) Return ประมาณ 7-8 % ต่อปี การันตี 5 ปีครับ แต่ว่าสภาพคล่องมันจะต่ำมากๆ น่ะครับ คือว่าซื้อแล้วต้องถือยาว ด้วย มันไม่ค่อยมีคนซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ครับ เพระว่าจะเน้นเอาปันผลกัน ถ้าสนใจก็ลองหาๆ ดูเผื่อมีคนขาย ราคาตอนวันจองอยู่ที่ 10 บาทครับ แต่ว่าตอนวัน IPO (Initial Public Offering) (วันที่เปิดซื้อขายวันแรก) ในตลาดหลักทรัพย์อาจต่ำกว่านั้นครับ ปันผลปี 2 สองครั้งครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #60 เมื่อ: 11 มีนาคม 2551, 20:41:01 » |
|
ไข่แล้วโดนภาษีเยอะเปล่า ถ้าโดนภาษีเยอะ ก็ให้ไปลงทุนพวก LTF น่ะ แต่ต้องลงทุน 5 ปีนะ (เงินต้องเย็นนะ ไม่ได้รีบใช้ไปขอสาวอ่ะ) แล้วรับความเสี่ยงได้ขนาดไหน ตอนนี้เราทำงานที่นี่ ต้องเสียภาษีให้ที่นี่ แต่รายได้เราที่ได้ไม่เกี่ยวกับภาษ๊ ทางบริษัทเค้าแยกจ่ายให้ต่างหาก เราก็เลยกำลังลังเลว่า จะเล่นกองทุนรวมดีไหม ถ้าเราหักภาษีไม่ได้ ตอนนี้ก็ดูรายละเอียดของพวกพันธบัตร กับตราสารหนี้อยู่ แต่ยอมรับเลยว่า งงชะมัด แต่ตอนนี้เจอความผันผวนของเงิน ก็แย่แล้ว เหมือนเงินเราลดลงๆเรื่อย เลยอยากจะปรึกษาว่า ทำอย่างไร จริงๆ เราสามารถแยกส่วน ที่เป็นเงินเย็นได้ เงินร้อนได้น่ะ รบกวนแนะนำแล้วกัน ว่าไปหาศึกษาข้อมูลที่ไหน พอดีเราไปตามอ่านที่พวกนายแปะๆไว้ มัน advance เกินเลยงง ขอบคุณมากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #61 เมื่อ: 11 มีนาคม 2551, 22:25:08 » |
|
เอ... รู้สึกว่าแต่ละประเทศจะมีวิธีการลงทุนที่ต่างกันนะ ว่าแต่ไข่จะลงทุนที่ประเทศไหนล่ะ... อย่างพี่บางคนที่อยู่ออสเตรเลีย เค้าก็ไปลงทุนทองคำนะ... กฎหมายและการส่งเสริมการลงทุนของแต่ละประเทศไม่เหมือนกันน่ะ... อย่างบ้านเราต้องการให้คนเอาเงินมาฝากเข้ากองทุนรวมเยอะๆ ก็เลยมีกฎหมายในเรื่องของการลดหย่อนภาษี ดังนั้น ศึกษาให้ดีก่อนการลงทุน..แหะๆๆ.. ได้ช่วยไหมเนี๊ยะ... :shock:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #62 เมื่อ: 12 มีนาคม 2551, 01:13:08 » |
|
อืม น่าคิดครับพี่ ผมไม่เคยลองศึกษาของที่นี่เลยว่าเป็นไง ต้องลอง จริงๆผมตั้งเป้าจะเอาเงินกลับไปลงทุนที่เมืองไทยอย่างเดียว ขอบคุณครับ จะลองศึกษาทางนี้ดู
แหม นี่น่าจะเชื่อแม่แต่แรก หาแฟนเรียนบัญชี ป่านนี้รวยไปแล้น :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
BeKamon
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 235
|
|
« ตอบ #63 เมื่อ: 12 มีนาคม 2551, 08:47:38 » |
|
รบกวนแนะนำแล้วกัน ว่าไปหาศึกษาข้อมูลที่ไหน พอดีเราไปตามอ่านที่พวกนายแปะๆไว้ มัน advance เกินเลยงง
ขอบคุณมากครับ
มาแนะนำแหล่งข้อมูลในการลงทุน ช่วงนี้ตลาดหลักทรัพย์เขาทำ SET Corner แจกให้กับห้องสมุดหลายๆ แห่งรวมทั้งห้องสมุดที่ทำงานอยู่ด้วยค่ะ มีหนังสือหลายๆ เล่มที่เกี่ยวกับการลงทุน ถ้ากลับมาบ้านเราว่างๆ ก็มาใช้ห้องสมุดได้นะ (สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ซ.พัฒนาการ 37) หรือจะเข้ามาทางอินเทอร์เน็ต ก็มี E-Learning ในเว็บห้องสมุด http://library.tni.ac.th แล้วคลิกที่ TSI E-Learning ค่ะ จะมีข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุน หุ้น และการออมเงิน เชิญชวนให้ช่วยใช้หน่อยนะคะ หวังว่าคงเป็นประโยชน์ได้บ้าง :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Something might change, but something never changes. (The Matrix Revolution)
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #64 เมื่อ: 12 มีนาคม 2551, 10:07:08 » |
|
พี่ก็ไม่รู้ว่าถือเป็นการ Financing หรือเปล่าอ่ะ แต่ถ้าใจเย็นพอ แล้วมาลงทุน แบบลองเทอมด้วย ก็ลองอ่านนี้นะ พี่ว่าผลตอบแทนมันโอเค เลยอ่ะครับ "พลังของการถือหุ้นไว้เฉยๆ" เชื่อว่านักลงทุนทุกท่านคงเคยได้ยินกองทุนรวมประเภท Index Fund มาบ้าง กองทุนประเภทนี้มีวิธีการลงทุนที่แปลก กล่าวคือ ซื้อหุ้นทุกตัวที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีหุ้นอะไรสักอย่างแบบปูพรมคือซื้อทุกตัวแล้วก็ถือมันไว้เฉยๆ อย่างนั้นโดยไม่บริหารจัดการ ถ้ามีใครมาซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มก็เอาเงินที่ได้ไปซื้อหุ้นในดัชนีเพิ่มแบบปูพรมในวันนั้นทันทีอีกโดยไม่มีการรอจังหวะที่เหมาะสม ถ้าได้รับเงินปันผลจากหุ้นที่ลงทุนมาก็เอาเงินที่ได้นั้นกลับไปซื้อหุ้นเดิมอีกเช่นกัน คุณว่านโยบายการลงทุนแบบนี้จะทำผลงานได้ดีแค่ไหน? เผอิญว่าในตลาดหุ้นไทยมีกองทุนแบบนี้อยู่ด้วย นั่นคือ กองทุนรวมทหารไทย SET50 ซึ่งลงทุนในหุ้นทั้ง 50 ตัวที่อยู่ในดัชนี SET50 Index แบบปูพรม ปรากฏว่าผมเพิ่งไปเช็คมาหมาดๆ ผลตอบแทนรวมตลอด 3 ปีที่ผ่านมาของกองทุนนี้เท่ากับ 48.34% (ผลตอบแทนรวมตลอด 1 ปีที่ผ่านมาเท่ากับ 20.94%) ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเจอทั้ง ซึนามิ ไข้หวัดนก สถานการณ์ภาตใต้ รัฐประหาร มาตรการ 30% และระเบิดกลางกรุง แต่การถือหุ้น "ไว้เฉยๆ" โดยไม่พยายามขายหนีความเสี่ยงมาถือเงินสดไว้ชั่วคราว หรือพยายาม BLASH ให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น กลับทำผลงานได้ถึง 48.34% หรือเพิ่มขึ้นมาเกือบครึ่งหนึ่งของพอร์ตเลยทีเดียว เห็น "พลังของการถือหุ้นไว้เฉยๆ" มั้ยครับ การถือหุ้นไว้เฉยๆ นั้นจริงๆ แล้วไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ในระยะสั้นราคาหุ้นอาจผันผวนบ้างตามข่าวที่เข้ามากระทบ แต่ในระยะยาวแล้วราคาหุ้นจะขึ้นไปตามกำไรที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นของธุรกิจ แล้วลองเปรียบเทียบกับผลงานของพอร์ตแบบซื้อๆ ขายๆ ของคุณดูสิครับ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา คุณสร้างผลตอบแทนโดยรวมได้สักเท่าไร? copy from http://api.settrade.com/blog/1001ii/2007/06/13/70เพื่อนไข่ ลองอ่านอันนี้ดูนะ คือเราเข้าใจนะว่ามันจะแบบ งงๆ แล้วมันก็มีความรู้สึกกลัวผสมด้วย เพราะมันคือการลงทุน เอาเงินเราไปลงทุน เอาอย่างนี้อยากให้ลองจัดพอร์ตของเราก่อนว่าเราจะเอาตราสารหนี้เท่าไหร่ ตราสารทุนเท่าไหร่ เคยมีอาจารย์บอกว่าให้คิดง่ายๆ เหมือนจัดทีมฟุตบอล อยากได้ยิงเยอะๆ ก็ศูนย์หน้าเยอะหน่อย 4-3-3 ถ้าแบบ ไม่เสี่ยงก็กองหลังเยอะหน่อย ไว้เจอกันจะเอาหนังสือเล่มนี้ให้แล้วกัน - ลองจัดความต้องการของตัวเองดูนะว่าจะเอาแบบไหน 60-40 หรือ 50-50 คือความเห็นเรานะอายุเรายังน้อย ควรแบบเสี่ยงๆ ก่อน 70-30 หรือ 60-40 ก็ดีนะ ตราสารทุน-ตราสารหนี้ - ตราสารทุนเราอยากแนะนำ พวก Index Fund ตามที่เราเอามาให้อ่านข้างบนน่ะ คือมันจะขึ้นลงผันผวนตามดัชนีของตลาดหลักทรัพย์น่ะ เราก็ลงกองประเภทนี้อยู่น่ะ โดยเราให้บริษัทหักจากเงินเดือนเอาไปลงกองทุน ประเภทนี้เลย ซึ่งในเมืองไทย มักจะมีชื่อว่า Set50 น่ะ เราว่า return มันดีทีเดียว - Set50 คือการที่ตลาดหลักทรัพย์คัดเลือกหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีสภาพคล่อง การซื้อขายที่บ่อยๆ จำนวน 50 ว่ามีตัวอะไรบ้างน่ะ จะมีการจัดลำดับทุก ครึ่งปีมั้งถ้าจำไม่ผิด ถ้าจะลงทุนพวกนี้ก็ลองถามๆ แต่ละที่ว่า return เท่าไหร่ แล้วลองพิจารณาดู - ส่วนตราสารหนี้กองพวกนี้ return จะไม่สูงมากนัก มีแบบรับประกันเงินต้นด้วย แต่ว่าก็ต้องยอมรับกับผลตอบแทนที่ต่ำอ่ะ ต้นมันก็สนใจกองนี้อยู่ - ยังไง ลองดูที่ของตุรกี น่าจะมีพวกบริษัทที่เป็น Fund หรือ Asset Management อยู่น่ะ ลองถามๆ หากองทุน Set50 ดูเพราะว่าน่าจะคล้ายๆ กันล่ะ หนังสือหรือทฤษฎีการลงทุน มันก็เรียนๆ เล่มเดียวกันน่าจะไม่ต่างกันมากนักล่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #65 เมื่อ: 12 มีนาคม 2551, 14:01:26 » |
|
ที่ยุโรป ระวังเรื่อง suprime ที่เกิดจากสหรัฐ ด้วยนะครับ
....
ผมมีบทความมาให้อ่าน ...
สหรัฐขย่มโลก 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 00:00:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งอย่างหนักอีกครั้งในการซื้อขายเมื่อวานนี้ (10 มี.ค.) ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ร่วงไป 14.92 จุด ด้านหนึ่งอาจจะมองเป็นภาวะการเก็งกำไร ข่าวเศรษฐกิจสหรัฐเป็นระยะ แต่หากมองย้อนกลับไป จะบอกเราในตัวแล้วว่าปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐหนักหนากว่าที่คาดไว้มาก และที่ผ่านมา นักธุรกิจ นักลงทุนในตลาดหุ้น หรือรวมถึงนักเศรษฐศาสตร์บางกลุ่ม "มองดี"
โดยเชื่อว่ารัฐบาลสหรัฐสามารถที่จะจัดการปัญหาได้ เพราะเป็นแหล่งที่ระดมผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ การเงิน แถมมีนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของทุนนิยมโลก แต่เมื่อดัชนีสำคัญเศรษฐกิจสหรัฐถูกประกาศออกมา จะเห็นว่าเอาเข้าจริงแล้ว ภาพที่สวยงามของสหรัฐ เป็นแค่ "มายา" ที่ถูกหยิบมาเพื่อลวงตาชาวโลก โดยเฉพาะนักลงทุนที่หลงเป็นเหยื่อของการเก็งกำไร ที่ถูกปล่อยข่าวดีมาเป็นระยะ เพื่อเป็นเงื่อนไขล่อให้นักลงทุนเข้ามา ก่อนที่จะเทขายหุ้นในช่วงหลัง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง
วานนี้ (10 มี.ค.) ดัชนีนิกเคอิในตลาดหุ้นโตเกียวปิดตลาดปรับลงต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ลดลง 1.96% ส่วนหนึ่งเพราะได้รับผลจากการตกลงของหุ้นโซนี่ คอร์ป และหุ้นกลุ่มส่งออก ขณะที่ข้อมูลตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐลดลงกว่า 6 หมื่นตำแหน่ง ทำให้วิตกว่าสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว ตลาดหุ้นจีนที่เซี่ยงไฮ้ เมื่อปิดตลาดดัชนีคอมโพสิตทำสถิติตกต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ร่วงลง 3.59% ตลาดหุ้นอินเดียดิ่งลงกว่า 3% หรือลดลง 494.28 จุด ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ดัชนีร่วงลง 38.80 จุด หรือ 2.33% เมื่อปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 1,625.17 จุด
ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซียมีความพิเศษกว่าประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม เพราะนักลงทุนตื่นกลัวพากันถอนตัว และกังวลกับผลการเลือกตั้ง เมื่อพรรคร่วมรัฐบาลพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 50 ปี ทำให้ต้องหยุดพักซื้อขาย 1 ชั่วโมง หลังดัชนีดิ่งลงถึง 10% ตลาดหุ้นออสเตรเลียดัชนีปิดตลาดปรับลดลง 1.6% ตลาดหุ้นนิวซีแลนด์ปิดตลาดดัชนีลดลง 0.60% ตลาดสำคัญในยุโรปพากันปรับลดลงถ้วนหน้า
ปรากฏการณ์หุ้นดิ่งทั่วโลก เป็นการบ่งชี้ว่าปัญหาซับไพร์มในสหรัฐ ได้ขยายในวงกว้างและลงลึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากธนาคารขนาดใหญ่ทั้งในสหรัฐและยุโรป มียอดขาดทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ รวมถึงสภาพคล่องระหว่างธนาคารในยุโรปตึงตัว และอาจลามสร้างความเสียหายให้กับสถาบันประกันความเสี่ยงหุ้นกู้ ที่สำคัญ อาจจะเห็นธนาคารขนาดเล็กในต่างประเทศล้มละลาย "นำร่อง" ในไม่ช้า ซึ่งจะเป็นสัญญาณวิกฤติขั้นสุดท้ายของปัญหาซับไพร์ม
ซึ่งเมื่อบวกกับปัจจัยราคาน้ำมันดิบทะยานขึ้นปิดเหนือบาร์เรลละ 105 ดอลลาร์ จะยิ่งซ้ำเติมให้เศรษฐกิจทั่วโลกย่ำแย่ลงไปอีก เหตุผลหลักที่ปัญหาซับไพร์มยากแก่การยุติแถมขยายไปสู่สินเชื่อประเภทอื่น เพราะมาตรการด้านภาษีที่รัฐบาลสหรัฐคลอดออกมานั้น เป็นเพียงการบรรเทาปัญหาของประชาชน ที่ถูกยึดบ้านกันถ้วนหน้า แต่แก่นแท้ของวิกฤติมีความคล้ายคลึงกับปี 2540 ของไทย เพราะหัวใจอยู่ที่ "ภาคสถาบันการเงิน" ที่มีปัญหาเรื่องทุน ซึ่งการแก้ต้องมีการเพิ่มทุนกันจำนวนเงินมหาศาล
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มทุนในภาคสถาบันการเงินสหรัฐจะสำเร็จได้ ภาครัฐต้องมีส่วนเข้าเพิ่มทุน เช่นที่รัฐบาลไทยปฏิบัติผ่านกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เมื่อปี 2540 ซึ่งเมื่อพิจารณาจากวัฒนธรรมสหรัฐและประเทศอยู่ในช่วงเลือกตั้งด้วยแล้ว ถือว่า "ยากมาก" เพราะโดยธรรมชาติประชาชนสหรัฐจะเข้าใจตรงกันว่า หากเอกชนบริหารขาดทุนแล้ว ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง รัฐบาลไม่ควรนำภาษีประชาชนไปอุ้มสถาบันการเงิน
ดังนั้น จึงไม่มีนักการเมืองรายใดเสนอเป็นนโยบายเพื่อแก้ปัญหาแม้จะรู้ต้นตอก็ตาม ส่วนความคาดหวังที่จะให้นักลงทุนจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ หรือตะวันออกกลางเข้ามาทุ่มเม็ดเงินให้นั้น ในระยะสั้นคงยาก เพราะไม่มั่นใจว่า "ความเสียหายจะยุติเมื่อไร" หากเร่งเพิ่มทุนเข้าไปอาจจะสูญเสียได้อีก ดังนั้น จึงเลือกที่จะรอมากกว่า ดังนั้น ปรากฏการณ์วิกฤติในสหรัฐ สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องทำ คือบอกความจริงให้ประชาชนและนักลงทุนรู้ว่าปัญหานั้นรุนแรงแค่ไหน และประเทศต้องเตรียมพร้อมอย่างไร โดยเฉพาะผลกระทบต่อส่งออก ขณะเดียวกันต้องหันมาเน้นการบริโภคภายในประเทศ การลงทุนภาครัฐมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ก็เป็นเพียงชะลอผลกระทบ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยฝากชะตากรรมกับการส่งออกมานานเกินจะแก้ในระยะสั้นได้
.....
อ่านก็เก็บเป็นประเด็นมาคิดครับ อย่าเพิ่งเชื่ออะไร ...
.....
เรื่องการลงทุน ผมถนัดหุ้นมากกว่าครับ เลยไม่ค่อยสนใจกองทุนเท่าไรนัก เพราะ ไม่ค่อยเชื่อใจผู้ริหารกองทุนเท่าไรนัก แถม บางอย่าง หุ้นดีแต่ขนาดเล็ก บริษัทกองทุนก็ไม่สามารถไปซื้อได้เพราะ มีข้อจำกัด กฎบังคับอยู่ ....
ถ้าเรื่องลงทุนในหุ้น ผมแนะนำให้อ่านหนังสือ ของ ดร.นิเวศน์ ครับ เริ่มต้นผมเริ่มอ่านเรื่อง ตีแตก ... ได้ idea มาอะเลยครับ
....
การลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดคือ ทำธุรกิจ เองครับ ... ส่วนเรื่องความเสี่ยง ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้แค่ไหน
....
แต่ถ้าสำหรับเราคนฐานะปานกลาง น่าจะมีแผนการใช้เงิน และ มองยาวไปอีก 10 ปี เป็นอย่างน้อย
เช่น เราต้องการใช้เงินเดือนละ 10000 บาท ... ถ้าเราอยากมีอิสระทางการเงิน ก็ดูว่า จะถือทรัพย์สินอะไรที่ ให้ดอกเบี้ยหรือปันผล เดือนละ 10000 (ปีละ 1.2 แสน)
ถ้า พันธบัตร ให้ผลตอบแทน 5% ... เราก็บอกว่า มีพันธบัตร อยู่ 2.4 ล้านบาทก็ ok แล้ว
คราวนี้ค่อยมาคิดต่อไปว่า จะทำอย่างไร ให้มีทรัพย์ สิน(พันธบัตร)ที่ 2.4 ล้าน
ก็มาพิจารณาผลตอบแทนในการลงทุน ...แบบปีต่อปี ไปเรื่อย ๆ ว่า เราควรจะมีผลตอบแทนปีละเท่าไร และให้ทบต้นไปเรื่อย ๆ
....
..
ส่วนเรื่องกองทุน ... ผมคงเสนอว่า ดูผู้บริหารกองทุน แนวทางที่กองทุนลงทุน ทรัพย์สอนของกองทุน อย่าเพิ่งไปดูเฉพาะ ผลตอบแทนที่เกิดในอดีตอย่างเดียวครับ
...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #66 เมื่อ: 12 มีนาคม 2551, 17:20:26 » |
|
ถ้าไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลมากนัก ก็มาลงกองทุนรวมครับ บริษัทผมก็ได้ เพราะถ้าเล่นหุ้นเอง เราก็ต้องกระจายพอร์ตเป็นเพื่อกระจายความเสี่ยง ยังไงถ้าจะลงหุ้น ....ผมก็ยังเชียร์ให้ลง กองทุนรวมประเภท Index Fund หรือ Set50 ครับ พอมีความรู้สักพักแล้วค่อยไปเล่นหุ้นเองครับก็ได้ครับ เพราะยังไงข่าวสาร ความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว การตัดสินใจ สิ่งเหล่านี้ถ้าเล่นหุ้นเองผมไม่รู้นะว่าจะเข้าถึงได้ขนาดไหน ใช้บริการมืออาชีพ ก็ดีนะครับ ** ชาร์ป สนใจ Property Fund ไหม Yield ดีนะ :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #67 เมื่อ: 12 มีนาคม 2551, 18:33:25 » |
|
ขอบคุณทุกๆคนมากครับ ผึ้ง (แหมชื่อนี้แสลงใจ) ขอบคุณมากเหมาะสำหรับมือใหม่อย่างผมมาก จะรีบให้จบหลักสูตรไวไว Max and Sharp ขอบใจหลายๆ เราเห็นภาพชัดเจนขึ้นมากแล้วจะรีบอ่านและทำความเข้าใจ ไม่เกินอาทิตย์คงจะมีอะไรมาคุยด้วยแน่นอน ป.ล. Max ไว้เรากลับเมืองไทย (คงประมาณ เม.ย.นี้) อาจจะได้คุยกันละเอียดๆ ว่าแต่เปลี่ยนเบอร์รึป่าว เราเคยได้มาจากต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #68 เมื่อ: 12 มีนาคม 2551, 18:54:41 » |
|
อูย..มีแต่รวยๆไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรกันทั้งนั้นเลย...แบ่งๆมาให้แถวๆนี้ลงทุนบ้างก็ได้นะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #69 เมื่อ: 13 มีนาคม 2551, 10:17:26 » |
|
ถ้าเหลือเยอะแนะนำทำธุรกิจกับน้าแครมครับ
ไม่ยาก ขึ้นดอย รับเด็ก ส่งเด็ก รับตังค์...ง่ายมั้ยครับ
การลงทุนมีความเสี่ยง.... :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #70 เมื่อ: 09 เมษายน 2551, 08:00:34 » |
|
ถึง น้องหลิม เพื่อนแม็กซ์ และทุกๆ ท่าน ช่วงนี้มีไรเด็ดๆ ซักตัวไหม๊ เงินกะลังร้อน
ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #71 เมื่อ: 09 เมษายน 2551, 09:49:22 » |
|
น้าแคม การลงทุนมีความเสี่ยง.... ช่วงนี้ลองดูเป็นพวกกองทุนรวมที่คุ้มครองเงินต้นก็ได้นะ แล้วดูว่า ผมตอบแทนกี่ % อายุการลงทุนกี่เดือน เพราะมันจะถอนออกมาก่อนกำหนดไม่ได้ ดูว่าจะใช้เงินช่วงไหน เห็นว่ามีออกมากันเรื่อยๆ ของแต่ละ บริษัทจัดการกองทุนรวมน่ะ ซึ่งเค้าจะเงินนี้ไปลงทุนที่หลากหลายเช่น พันธบัตรรัฐบาล, ทองคำ ฯลฯ ลองดูนะ ** ไปทำรายมาอ่ะ ได้เงินมาเยอะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #72 เมื่อ: 17 เมษายน 2551, 16:14:08 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #73 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2551, 11:30:18 » |
|
ใครซื้อ LTF ไว้ ทยอยซื้อ ถัว ไว้ก็ดีนะครับ น่าจะหลุด 800 แล้วครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Sleepy
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 46
|
|
« ตอบ #74 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2551, 07:24:04 » |
|
ถามหน่อยเด่ะ Max ตอนนี้ราคาทองเป็นไงว่ะยังน่าเล่นป่าวอ่ะ ปกติที่นี่(ฮ่องกง) เพื่อนๆมันเล่นทองกัน เล่นค่าเงินบ้าง Fund ไม่ค่อยมีเพราะมันค่อนข้างนาน เล่นหุ้นมีบ้าง(แต่ขี้เกียจนั่งเฝ้าอะ แล้วก็ไม่ค่อยรู้พื้นฐานหุ้นที่นี่อะ บทวิเคราะห์หุ้นก็อ่านไม่ออก)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #75 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2551, 11:03:33 » |
|
ทองคำ ไม่ค่อยรู้อ่ะ แนะนำได้แค่ว่ามึงลองดูปัจจัยที่มันจะทำให้ทองขึ้นลงแล้วกัน อืม...เป็นนักเก็งกำไรมันเสี่ยงเน้อ ไงช่วงนี้เก็บๆ เงินอย่างเดียว แล้วลงอะไรที่มันไม่เสี่ยงมาก ใกล้ๆ กับเงินอัตราเงินเฟ้อ ก็ดีอ่ะ ค่อยดูๆ ต้นปีหน้าอีกทีแล้วกัน น่าจะดีกว่าน่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #76 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2551, 21:02:23 » |
|
มรึงช้าไปประมาณ 2 ปีว่ะ..ไอ้แบต..ตอนนี้ราคาสูงมากๆ..ย่อตัวลงนิดหน่อยประมาณ 300-500 ได้นิดๆหน่อยๆน่ะ..แต่ถ้าคิดว่าจะเฉลี่ยทรัพย์สินที่มี..ก็ OK นะ..
โอ้ย...ติดหุ้นๆๆๆ เซ็งโคดๆ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Sleepy
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 46
|
|
« ตอบ #77 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2551, 21:20:18 » |
|
เย้เงินเดือนกรูขึ้น 3% เงินบาทอ่อน อัตราแลกจาก 4.1 บาทต่อ 1 HKD ขยับเป็น 4.23 (รอกลับเป็น5.5บาท...บิ๊กจิ๋ว.จ๊ามาเป็นนายกอีกรอบนะฮะ).... :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #78 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2551, 12:25:03 » |
|
เงินเฟ้อ 8% ดีใจด้วยไอ้แบต..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #79 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2551, 12:30:41 » |
|
โต้งติดตัวไหนน่ะ.... หุ้น ต่างชาติมันก็ขายเรื่อยๆ นะ ไม่เข้ามาซื้อ ไม่รู้ว่าจะให้ลงไปถึงเมื่อไหร่ถึงเข้ามาซื้ออีกที วันก่อนไปประชุมมา บางท่านบอกว่า มีต่างชาติรายใหญ่ๆ สองรายทางการเงิน ย้ายฐาน ขายกิจการ ออกจากไทยอ่ะ ตลาดน่าจะหลุดยาวอ่ะ มีอะไรก็ใจเย็นๆ บางท่านบอกว่าน่าจะหลังไตรมาสแรกปีหน้าครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Sleepy
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 46
|
|
« ตอบ #80 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2551, 20:28:07 » |
|
สรุป 3%-8 % เชี้ย เงินเดือนลด 5% จวยเอ๋ย :x :x :x :x เด๋วเช็คเงินเฟ้อที่นี่ก่อน เด๋วนี้ข้าวแกง กทม. ก็ 35 -40 แล้วเด่ะ แสด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #81 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2551, 12:09:30 » |
|
ติดเพียบ..SCC 240 บาท PTTAR 34.25 บาท TOP ประมาณ 60 บาท..ติดตั้งพอร์ตประมาณ 8%..
เงินเฟ้อ 8%..หุ้นลบอีก 8%..ได้ปันผลประมาณ 5% สรุปขาดทุน 10%...โอ้ มาย กอด...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #82 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2551, 12:34:21 » |
|
เพื่อนโต้ง เราอยากรู้อ่ะ ที่พวกผู้ใหญ่เค้าบอกว่า โครงการก่อสร้าง พวกใหญ่ๆ จะหยุดสร้าง หรือหยุดชะงักน่ะ จริงเปล่า... ได้ข่าวเปล่า....ที่หยุดเพราะต้นทุนสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะเหล็ก ถ้าจริง....มีนักวิเคราะห์บางท่านบอกว่ามันจะเข้า Cycle ของอสังหา อีกรอบน่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #83 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2551, 21:38:55 » |
|
หยุดแน่นอนเพื่อน max ที่บริษัทเรามีฝ่ายหาลูกค้า ทำท่าจะเซ็นต์สัญญาตั้งหลายงาน กลายเป็นหยุดนิ่งหมดเลย เหล็กขึ้นจาก 25 บาทเป็น 40 บาทภายในประมาณ 3 เดือน และค่าน้ำมันด้วย..
ขนาดโครงการทางลอดแยกอะไรจำไม่ได้ประมาณ 300 ล้าน ผู้รับเหมาเคาะลดราคา 25 สตางค์แล้วหยุดกันทุกรายเลย..
งานนี้อีกนาน..และมันสาหัสกว่าปี 40 เพราะว่า คนที่ได้รับผลกระทบรอบนี้..เป็นทุกๆคนในประเทศ รากหญ้า พนักงานบริษัท โดนกันหมด ตอนโน้นยังจำกัดคนที่ได้ผลกระทบและค่าครองชีพยังถูก..กำหนดการแก้ปัญหามีระยะเวลาชัดเจน..
แต่ตอนนี้..มันยังทะเลาะกันไม่เลิก..ที่คุยกับเจ้าของโครงการ..ตอนนี้..ไม่มีหนี้ดีที่สุด ประคองไปประมาณ 2 ปีเป็นอย่างน้อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #84 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2551, 07:38:05 » |
|
ช่วงนี้ ผมเอาดัชนีของผมเองเป้นตัววัดว่ะ เพราะผมอยู่ในด้านงานขาย คุยกับหลายๆ ราย หลายๆ คน มีแนวโน้มเดียวกัน คือ การซื้อชะลอตัวลง การลงทุนชะลอตัวลง แต่ก้อไม่ต้องตกใจ โวยวาย โลกจะแตกอะไรไป เพียงแค่ อย่าทำตัวหวือหวา ไม่จำเป็นอย่าเป็นหนี้ เก็บตังค์ ประคองตัวกันไป อย่างที่ไอ้โต้งบอก ซัก 2 ปี รอดูกันต่อปายยยย ถึง ไอ้แม็กซ์ มรึง ลืม ตรู หรือเปล่า อีแมวตรู tapirat@hotmail.comตาแคม :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #85 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2551, 15:56:13 » |
|
ขอปรึกษา ช่วงนี้เงินบาท อ่อนตัวลง มาชดเชยอัตราเงินเฟ้อพอดี ตอนนี้ถือดอลล่าร์อยู่ กำลังชั่งใจว่าจะเปลี่ยนไปถือยูโร จะมีเสถียรภาพมากกว่าไหม แต่ก็ไม่แน่ใจ แม้ว่าเฟด ออกมาคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะยังไม่มีแนวโน้ม ที่ดีขึ้นจนกว่าจะปลายปี แต่เท่่าที่ดูตอนนี้ก็ไม่มีผลกระทบ ต่อเสถียรภาพของค่าเงินมากนัก ในขณะที่สภาพการเงิน ของธนาคารในยุโรปส่งสัญญานแปร่งๆ ใครรู้วานบอก เงินมีน้อย ค่อยๆใช้ เก็บไว้ไม่บูด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #86 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2551, 19:16:59 » |
|
ก็แบ่งกันถือสิ..กระจายถือ..เพราะยูโรก็ดี..นิ่งดี..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #87 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2551, 20:57:49 » |
|
ถืือยูโร...เห็นด้วยครับ ผมว่าภาพรวมทางยุโรปน่าจะแข็งแรงและดีกว่าทางอเมริกาและเอเซีย...ล่าสุดที่บริษัทเค้าไปเยอรมันมา แลกบาทไปแลกบาทกลับ กำไรนิดหน่อย...ช่วงนี้ค่าบาทไม่น่าแข็งเพราะหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอก...(คุมได้บ้างไม่ได้บ้าง) สุดท้ายผมเห็นว่ายูโร น่าจะดี..ครับไมมีพลิก ฮอลแลนด์น่าจะมา สเปนแหล่ม..โปรตุเกส ดูดี...ฟันธง!!! (เกี่ยวกันมั้ยว้า)
:? :? :?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #88 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2551, 15:51:46 » |
|
ทองราคาดิ่งๆ แบบนี้ เอาเงินมาซื้อทองดีไหมครับ พี่น้อง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #89 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2551, 21:28:35 » |
|
ทองราคาดิ่งๆ แบบนี้ เอาเงินมาซื้อทองดีไหมครับ พี่น้อง เด็ดขาดครับ ก็ว่าจะเล่นอยู่เหมือนกัน ติดอยู่เรื่องเดียว..เรื่องอย่างว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #92 เมื่อ: 17 กันยายน 2551, 08:10:39 » |
|
ซื้อประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ของ AIA ไว้ เจอข่าวเลห์แมน + AIG เข้าไป รู้สึกใจตุ๊บๆ ต่อมๆ แฮะ ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #93 เมื่อ: 17 กันยายน 2551, 10:30:43 » |
|
ช่วยลุ้นด้วยค่ะ เมื่อเช้าดูข่าวว่า AIA ในเมืองไทยมีความแข็งแกร่งในตัวเองมาก มีหลักแสนล้านเลย ไม่น่าเป็นห่วงนะ เห็นบอกว่าจะมีการเข้ามาช่วยเหลือกับ AIG นี่คะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #94 เมื่อ: 17 กันยายน 2551, 12:02:21 » |
|
^ ^ แหม๋ พี่ระดับ พันล้านล้าน อย่างพี่เลห์แมนคว่ำมาแล้ว กะอีแค่แสนล้านอะไรก็เกิดขึ้นได้ อีกอย่าง คงไม่มีใครออกมาบอกว่าบริษัทตัวเองแย่แล้วหรอก ต้องดูสถานการณ์กันต่อปายยยยยย
ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #95 เมื่อ: 17 กันยายน 2551, 18:58:52 » |
|
เศร้า...ติดหุ้น..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #96 เมื่อ: 17 กันยายน 2551, 19:19:15 » |
|
ตลาดเอเชียรับผลมากน้อยขนาดไหนคะ? p.nn
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #97 เมื่อ: 17 กันยายน 2551, 20:20:38 » |
|
ไม่ได้ถือหุ้นนานแล้ว ... เลยไม่ได้ติดตามข่วงสาร เท่าไรนัก ...
รู้แต่ว่า อย่าให้ประกัน AIG ล้มเลย ซื้อประกันเขาอยู่นะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #98 เมื่อ: 17 กันยายน 2551, 20:22:44 » |
|
ถือทองแทนก็ไม่พ้น..เหอๆ p.nn
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #99 เมื่อ: 18 กันยายน 2551, 07:43:22 » |
|
ตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ต้นปี ต่างชาติเทขายทิ้งอย่างเดียวครับ (เสียวดีจริงๆ เลยเว้ยยยยย) การลงทุนย่อมมีความเสี่ยว เอ้ย เสี่ยง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #100 เมื่อ: 18 กันยายน 2551, 12:18:18 » |
|
ช่วงนี้ถ้ามีสตางค์ เป็นเงิน โคต เย็น ไม่คิดจะใช้เลย ก็ลองเก็บหุ้นพื้นฐานดีๆ ไว้ก็ดีนะครับ อยากให้ลองนึกถึงตอนที่มีวิกฤต ต้มยำกุ้ง ดูนะครับ ตลาดมันแย่ขนาดไหน แล้วตอนนั้น คือเป็นวิกฤตที่บ้านเมืองเรา แต่ตอนนี้เป็นที่ US ตอนนั้นใครที่กลั้นใจซื้อพวก ปตท ไว้ จะมีตังค์เพิ่มขนาดไหน ซื้อถัว ทยอยซื้อ ก็ดีครับ ถ้ากลัวมัน เหวี่ยงมาก จากการเล่นหุ้นรายตัว ก็เอาพวก กองทุน SET50 ก็ดีครับ จะได้ลดการเหวี่ยงน้อยลงไปครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #101 เมื่อ: 18 กันยายน 2551, 14:45:58 » |
|
น่าช้อนที่ซู๊ดดดดดดด ว่าแต่คิดยังไงกับ SCC อ่ะ รูดดิ่งเหวเลย ดูจากพื้นฐานองค์กรแล้วก็น่าจะไหว แต่ไม่แน่ใจเรื่องพื้นฐานธุรกิจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #102 เมื่อ: 18 กันยายน 2551, 15:08:12 » |
|
ลองดูบทวิเคราะห์ของพวกโบรก ก็ได้ตาไข่ ว่ามูลค่าแท้จริงมันกี่บาทต่อหุ้นน่ะ ส่วนมากวิธีการวิเคราะห์มันก็จะใช้ คล้ายๆ กันแต่ละโบรกล่ะ แต่ต้องถือยาวๆๆๆ นะ เก็งกำไรช่วงนี้แย่เลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #103 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2551, 00:08:07 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #104 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2551, 09:58:31 » |
|
อยากให้ PTT มันต่ำกว่า 150 บาทอ่ะ
ช่วงนี้ดูตัวนี้อยู่ตัวเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #105 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2551, 14:02:57 » |
|
เอางั้นเลยเหรอ ไม่สน THAI เหรอ มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของสายการบินแห่งชาติในราคารถเมล์ปรับอากาศ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #106 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2551, 17:30:42 » |
|
ขาดทุนไม่เอาอ่ะ
ปตท. หุ้นในดวงใจ
เพื่อนไข่ ถ้ามีเงินเย็นๆ แบบไม่เดือดเนื้อร้อนตัว
อันไหนน่าสนก็ทยอยๆ เก็บก็ได้ ไม่เสียหลาย มีขึ้นก็ต้องมีลง อ่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #107 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2551, 13:00:28 » |
|
เห็นตลาดล่วงอย่างนี้
ตั้งเป้าใหม่ PTT ต่ำกว่า 90 บาท แล้วจะสอย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #108 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2551, 18:13:40 » |
|
ช่วงนี้มี ข่าว ให้ออกจากงานกันเยอะ แค่ในเมืองไทย เพื่อนผมคนนึง ให้ออกจากงานสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้แล้ว ทำงานในแวดวงมือถือ ซึ่งค่ายนี้กะไม่ทำตลาดในเมืองไทยเลยครับ เลยลอยแพ พนักงานเลย เพื่อนอีกคนทำงานบริษัทฝรั่ง ด้านการลงทุน มี อีเมลล์กำหนด วันพ้นจากงานบริษัทให้เรียบร้อย เมื่อวานซื้อหนังสือมาอ่าน มีเมืองนึงใน เมกา ปิด ร้านที่มีสาขา 150 สาขาทั่วรัฐ ลอยแพพนักงาน อันนี้แค่สินเชื่อเรื่องบ้านที่อยู่อาศัย นะครับ ถ้าคนตกงานกันเยอะ มันจะลามไปที่สินเชื่อรถยนต์ และบัตรเครดิต ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #109 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2551, 20:25:05 » |
|
เรื่องจริงจากคนที่กลับจากเมกา..wall mart เงียบ ร้านค้าเงียบ..โรงพยาบาลเงียบ..คนไม่มีเงินรักษา..คนตกงานเลยมีปัญหา เลื่อนผ่าตัดไปก่อน..
เรื่องจริงนะเนี่ยะ..มันแย่ขนาดคนเลื่อนการรักษาตัวเองไปน่ะ..สุดๆล่ะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #110 เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2551, 17:32:06 » |
|
เมืองไทยก็โดนไม่ใช่น้อยคับ
Nikon ลอยแพ DHL เก็บบัตรพนักงาน โรงงานทยอยปิด GM สมัครใจให้ลาออก ISZUZU ลดการผลิต Mitshubishi ก็ด้วย...
เอากันเข้าไป...ซวยกันหมด แต่อย่าลึมขับรถมีน้ำใจต่อกันน๊ะครับ บ้านเมืองจะได้ไม่เครียด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #111 เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2551, 19:05:37 » |
|
ในวิกฤต มันต้องมีโอกาส
ต้องหากันต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #112 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2551, 07:39:44 » |
|
ขนาด Citi Group ก็ยังเอนเลยครับ แต่รัฐบาลมะกันก็โดดเข้าไปอุ้ม
ใจจริงๆ แล้ว ลองคิดดูแบบ เห็นแก่ตัวนิดนึง ไม่อยากให้อุ้มเลยอ่ะครับ ก็พี่แกเล่นลงทุนไปในที่ที่มันเสี่ยงๆ เพื่อหาผลประโยชน์เข้าบริษัท กันเยอะๆ หวังฟันกำไรกันเต็มที่ ไอ้พวกนักลงทุนก็คิดว่าตัวเองเจ๋งกันเสียเต็มประดา พอจะล่ม ก็มีคนมาอุ้ม อีกหน่อยมันจะเข็ดกันไหม๊ พอฟื้น เดี๋ยวจะกลับไปทำซ้ำรอยเดิมอีก อยากถามนิดนึง ถ้ามันเกิดได้กำไรขึ้นมา มันจะเอามาแบ่งพวกเราไหม๊เนี่ย
ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #113 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2551, 18:13:49 » |
|
จริงๆก็อยากให้ล้างหน้าไพ่เหมือนกันนะ..มนุษย์เราจะได้สำนึกหนักๆ..ดีต่อสิ่งแวดล้อมด้วยล่ะ..โลกจะยั่งยืน
ดูปู่เย็นซิ..แค่นี้ไม่ตายหรอก..คนเราอดตายมีน้อย..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #114 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2551, 20:49:32 » |
|
การโลภและการเก็งกำไรแบบสุดโต่ง ครับ พากันเจ๊งไปหมด แต่เท่าที่ดูผลประกอบการ ไตรมาสสาม พวกกลุ่มอาหาร โดยเฉพาะ อาหารกระป่องเนี่ย กำไรดี สวนทางเศรษฐกิจเลยนะครับ หนักสุดก็ กลุ่มปิโตรครับ เห็นราคาแล้วสยองครับ แถมกำไรรูดสุดๆ จะหวังปันผลก็อดแดก RMF, LTF ใครแอบมาดูคงจะตกใจเล็กน้อย ว่าเงินช้านไปไหน เงินไปเที่ยว เดี๋ยวเดียวก็กลับ เงินทองเป็นมายา ข้าวปลาเป็นของจริง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #115 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2551, 20:55:28 » |
|
ที่รู้ๆ...รมต.เศรษฐกิจใหม่ในคณะของ Obama.. ไปจิ๊ก(ซิวตัว)มาจากผู้อำนวยการ Wallstreetนั่นแหละ Director of Dow Jones?? p.nn
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Khun28
Full Member
ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์
รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784
|
|
« ตอบ #116 เมื่อ: 26 พฤศจิกายน 2551, 16:23:28 » |
|
ส่วนคนที่คาดว่าจะเป็นรัฐมนตรีคลังคน ใหม่ คือ Timothy Geithner ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานธนาคารกลางแห่งนิวยอร์ก (คนที่เก้า) และน่าจะยังฟังหรือพูดภาษาไทย ได้บางคำด้วยซ้ำ เพราะเขาเรียนหนังสือระดับมัธยม ที่โรงเรียนนานาชาติกรุงเทพฯ หรือ International School of Bangkok เหตุเพราะคุณพ่อของทิม นั้น ชื่อ Peter Geithner เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้แทนของมูลนิธิฟอร์ด ประจำประเทศไทย และภูมิภาคนี้อยู่หลายปี จึงพาลูกชายคนนี้มาอยู่เมืองไทย และให้เรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ จนเข้ามหาวิทยาลัยจึงไปเรียนต่อที่สหรัฐ คุณปีเตอร์ เป็นคนทำงานด้านการส่งเสริมการศึกษาและสังคมสำหรับประเทศไทยอย่างมุ่งมั่น และมีเพื่อนฝูงกว้างขวางในวงการต่างๆ และทุกวันนี้ ก็ยังเดินทางไปมาหาสู่ผู้คนในแวดวงการศึกษา และกิจกรรมช่วยเหลือสังคมในประเทศไทยเป็นระยะๆ ส่วนลูกชายทิมนั้น เมื่อจบมัธยมจากกรุงเทพฯ ก็ไปเข้า Dartmouth College จบปริญญาตรีทางรัฐศาสตร์ และเชี่ยวชาญด้านเอเชียศึกษา จากนั้นก็ไปทำปริญญาโทที่มหาวิทยาลัย Johns Hopkins อันโด่งดังโดยก็ยังสนใจเอเชียตะวันออกศึกษาเป็นพิเศษอย่างต่อเนื่อง คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีคลังใน รัฐบาลโอบามา คนนี้เรียนทั้งภาษาจีน และญี่ปุ่น และได้ใช้ชีวิตการเรียนหนังสือ และทำงานอยู่หลายประเทศ อาทิเช่น แอฟริกาตะวันออก อินเดีย จีน ญี่ปุ่น และประเทศไทย ช่วงที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งของประเทศไทยนั้น ทิมเป็นผู้ช่วยของรัฐมนตรีคลัง ที่ชื่อ Larry Summers ภายใต้ประธานาธิบดีบิล คลินตัน บันทึกความทรงจำของคลินตัน ยังกล่าวถึง วิกฤติเศรษฐกิจของไทยขณะนั้นโดยเขายอมรับว่ารัฐบาลมะกัน ตอบสนองคำเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยขณะนั้นช้าไป จนทำให้เกิดความรู้สึกทางลบจากคนไทยไม่น้อย ข่าวล่าสุดบอกว่า Larry Summers จะเป็นหัวหน้าสภาเศรษฐกิจในทำเนียบขาว ทำงานใกล้ชิดกับประธานาธิบดีโอบามา เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ เพื่อประสานกับรัฐมนตรีคลังอีกด้านหนึ่ง วันนี้ โอบามา กับทิม ไกน์เนอร์ คงต้องแสดงความเข้าใจเอเชียมากกว่ารัฐบาลก่อนๆ ของอเมริกา โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องเกี่ยวกับการทำความเข้าใจกับปัญหาของเอเชียที่เกี่ยว ข้องกับสหรัฐ ในแง่ของความร่วมมือและการทำมาค้าขายกันและกัน พอข่าวรั่วออกมาว่าโอบามา จะตั้งไกน์เนอร์ เป็นรัฐมนตรีคลัง เพื่อตั้งรับวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์อย่างจริงจัง ตลาดหุ้นสหรัฐก็ขานรับทางบวกทันที เพราะเขาได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐมนตรีคลังเฮนรี พอลสัน คนปัจจุบันในการแก้ปัญหาวิกฤติสถาบันการเงิน และฟื้นฟูเศรษฐกิจพอสมควร ว่ากันว่า ไกน์เนอร์ (ปีนี้อายุ 47) มีบทบาทสำคัญยิ่งในการเจรจากับ Lehman Brothers ก่อนที่ธนาคารนวธนกิจแห่งนี้ เข้าสู่ภาวะล้มละลาย อีกทั้งยังเป็นคนหาทางเข้าไปอุ้มบริษัทประกันยักษ์อย่าง AIG และธนาคารนวธนกิจ JP Morgan ให้รอดจากการที่ต้องเจ๊งไปอีกด้วย ดูเหมือนว่าฝีไม้ลายมือของทิม ไกน์เนอร์ ในด้านการบริหารวิกฤติทางด้านการเงินจะเป็นที่ยอมรับของวงการนี้ในระดับหนึ่ง และหวังว่าประสบการณ์ของการเคย เติบโตที่อินโดฯ ของโอบามา และที่เมืองไทยของทิม ไกน์เนอร์ จะทำให้รัฐบาลใหม่ที่วอชิงตัน มีความเห็นอกเห็นใจเอเชียมากกว่าที่ผ่านมา (เกาะติดความเห็นต่อสถานการณ์ร้อนๆ ทั้งในและต่างประเทศ ได้ที่ www.suthichaiyoon.com ตลอด 24 ชั่วโมง)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #117 เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2551, 02:53:49 » |
|
ดูเหมือนส่า Obama จะเป็น new hope ของทั้งโลกแล้วล่ะครับเนี่ย ... อเมริกา ก็ยัง เป็นอเมริำกา ... เหมือนเป็นจุดศูนย์กลางของระบบการเงินโลก ... ... ไม่แน่ ว่า อเมริกา จะเริ่มนำแนวคิด ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปรับใช้ ... เพราะ รมต. เศรษฐกิจ ก็เรียนมัธยมที่เมืองไทย ทุนนิยมเสรี ไปไม่รอด เพราะ เจอปัญหาความโลภ เอะอะ ก็กำไร มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ... ต้องเบรคด้วย ความพอเพียงแล้ว ....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #118 เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2551, 18:01:12 » |
|
จิงๆ ที่ตัวระบบเอง ไม่ได้ผิดอะไรมากมาย แต่ว่ากฎกติกามันหย่อนยาน สบช่องให้เกิดการเก็งกำไร มากจนไร้สติ ความโลภของมนุษย์เนี่ย น่ากลังจิงๆ ทำลายได้ทุกอย่าง ไม่เว้นกระทั่งตัวเอง ป.ล. ปีหน้ามี Gold future ให้เล่นแล้ว ไม่ต้องไม่ง้อร้านทองก็ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #119 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2551, 18:18:25 » |
|
ระวังน้า...ซื้อทองไม่ได้ทอง..ได้กระดาษแทน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #120 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2551, 03:42:51 » |
|
เค้าว่า ช่วงนี้แบงค์พันปลอมระบาด ระวังกันหน่อยเน้อ พี่น้อง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #121 เมื่อ: 01 ธันวาคม 2551, 12:54:04 » |
|
มันก็เหมือนกับช่วงจตุคามบูมแหละ อิอิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #122 เมื่อ: 01 ธันวาคม 2551, 17:25:57 » |
|
อ๊ะ..ไอ้นี่..กวนตรีนนน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #123 เมื่อ: 01 ธันวาคม 2551, 18:18:49 » |
|
บริษัทในตลาดหุ้นเจอเศรษฐกิจโลกวูบ ไตรมาส 3 กำไรหดไม่ถึงแสนล้าน บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ รายงานว่า 463 บริษัทในตลาดหุ้น ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญตัวหนึ่งของเศรษฐกิจและเสียภาษีนิติบุคคลสูงสุดเริ่มอ่อนแรงลง โดยมีกำไรสุทธิเพียง 97,053 ล้านบาท หรือเฉลี่ยลดลง 1.6% แต่หากไม่รวมธุรกิจการเงินจะมีกำไรสุทธิเพียง 67,377 ล้านบาท หรือลดลงถึง 38.2% จากไตรมาส 2 บล.ทิสโก้ ระบุว่า กำไรที่ลดลงส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มพลังงานปิโตรเคมี ขณะที่ภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้นแย่ลง อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และความสามารถในการชำระดอกเบี้ยก็ลดลงเพราะหนี้สินเพิ่มขึ้น โดยคาดว่ากำไรปีหน้าจะโตติดลบ นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า 9 เดือนปีนี้ บริษัทในตลาดหุ้นมีกำไรสุทธิรวม 394,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากงวดเดียว กันของปีก่อน และมียอดขาย5,753,163 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% ไตรมาส 3 ยอดขายเพิ่มขึ้น 34% เป็น 2,006,448 ล้านบาท
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #124 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2551, 19:28:28 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #125 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2551, 22:23:11 » |
|
emo43เข้ามาดู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #126 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2551, 18:49:17 » |
|
ซื้อ LTF หรือยังครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #127 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2551, 07:00:58 » |
|
SET ขาลงแบบนี้ เพื่อนแม็ก มีการลงทุนอะไรแนะนำไหมครับ คิดยังไงกะการเล่น อนุพันธ์ Future/option
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #128 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2551, 07:19:03 » |
|
ขาลงอย่างงี๊ เค้าบอกว่า LTF น่าลุ้นกว่า RTF คับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #129 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2551, 13:21:06 » |
|
ถูกต้องคร้าบบบ..สำหรับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยง..มองระยะยาวครับ..อย่าคิดมาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #130 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2551, 11:53:48 » |
|
ผมเอส ครุ รุ่นrcu 81 ครับ เป็นนักวิเคราะห์ ที่ บล. เอเซียพลัสครับ Koraphat@asiaplus.co.th ใครสนใจเรื่องการลงทุนสอบถามได้ครับ ผมจะส่งข้อมูลให้เพื่อให้เพื่อนๆ พี่ๆชาวหอได้บริหารการลงทุน ฝึกเรื่องการลงทุน และแลกเปลี่ยนความคิดกันครับ โทรมาคุยก็ได้ครับ 0811344889
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #131 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2551, 21:33:45 » |
|
น่าสนใจมาก เอส..เรื่องการลงทุน แต่อีท่าไหนถึงได้ไปเป็นนักวิเคราะห์ได้ว๊ะเนี่ยะ... การลงทุนมีความเสียง การลงแรงมีความเหนื่อย..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #132 เมื่อ: 27 ธันวาคม 2551, 23:13:56 » |
|
มันเป็นเรื่องบังเอิญว่ะหลิม เราก้งงว่าทำไปทำมามาอยู่ที่นี่ได้ไง 555
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #133 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2551, 05:14:38 » |
|
แล้วถ้าหักภาษีไม่ได้ล่ะ (ไม่ได้เสียภาษี) ตัวไหนน่าสนใจที่สุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #134 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2551, 11:07:46 » |
|
ถ้าไม่ได้เสียภาษีผมว่าอย่าซื้อกองทุนเลยครับ ซื้อหุ้นดีกว่านะครับ ผมแนะนำ ปูนใหญ่ SCC ราคาตำกว่าร้อยน่าทยอยเก็บนะครับ ธุรกิจปิโตรเคมีปีหน้าจะเลวร้ายสุดตาม Cycle ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลงมามากตอบรับข่าวแล้ว ซื้อและถือยาวๆ หน่อย รับปันผล กับ Capital Gain ได้ รอตลาดฟื้นราคาก้ขึ้นตามตลาดได้มากโข แนะนำเก้บปูนใหญ่ครับ ฟันทิ้ง 5555
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #135 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2551, 18:22:33 » |
|
1. แนะนำ เพื่อนไข่ อ่านหนังสือที่ให้ไปจนหมดเล่ม ก่อนเลยอ่ะ ทำหายยังอ่ะ เพราะจะได้รู้ว่าเราจะจัด พอร์ต ยังไง 2. ถ้าไม่ชอบความเสี่ยง ไปที่กองทุนตราสารหนี้ก่อนครับ เอาแบบที่มัน สามารถถอนตังค์มาใช้พรุ่งนี้หรืออีก 2 วันได้ เน้นสภาพคล่องก่อนครับ 3. เก็บหุ้นด้วยครับ ของดีราคาถูก เพราะยังไงถ้ามันขาขึ้นแล้ว เรามักจะชอบพูดว่า " รู้งี้...." กันครับ ตอนนั่งเรียน ยังเคยนั่งนึกเลยว่า จะมีไหมหนอ ที่ PTT จะมาอยู่ที่ ร้อยกว่าบาท อ่ะ แถมมีแช่ง อีกว่า อยากให้เศรษฐกิจมัน เจ๊ง แบบต้มยำกุ้งจัง จะได้เก็บๆ พวกนี้บ้างอ่ะ ชั่วป่ะ.... 4. ประมาณต้นปี มันจะมีพวกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ออกมาครับ ขายหลายกองทุนเราจะได้ปันผลประมาณ 7-9 % ครับ เน้นที่มันลงสิทธิ์ขาดในที่ดินและอาคาร เพราะว่า พวกนี้ตอนมันขายทรัพย์สินออกไปเราจะได้กำไรจากตรงนี้ด้วยเพราะว่าราคาทรัพย์สินอย่างที่รู้ราคาจะปรับครับ แล้วก็ ระหว่างทางเราก็ได้ผลตอบแทน เปรีบบเสมือนดอกเบี้ย ที่ 8-10 % น่าสนครับเพราะว่ายังไงมันก็มากกว่าตราสารหนี้และเงินฝาก และ ดีน้อยกว่าหุ้น แต่ความเสี่ยงน้อยกว่า นอกจากกว่าตึกจะถล่ม แต่ ยังไงก็มีประกันภัยอยู่ดี (ทำตรงส่วนนี้อยู่) ** Future Option ถ้าเล่นเป็นก็ดีครับเพื่อนไข่หัวไว เราว่าเข้าใจได้ง่าย แต่ว่าความเสี่ยงก็สูงเช่นกัน ถ้าอยู่เมืองไทยก็ดี มันจะมีอบรมฟรีของตลาดหลักทรัพย์ เกี่ยวกับพวกนี้อยู่น่ะ จะมีวิทยากรมาพูดให้ฟังเพราะเค้าต้องการระดมทุนในตลาดทุน กันอ่ะ แต่ถ้าเอาไว้ดูข้อมูลก็ได้ครับ เช่น ราคาน้ำมัน ทองคำ ฯลฯ เพราะราคาพวกนี้มันก็จะตามๆ ตลาด Future ไปอ่ะ จะได้ดูแนวโน้ม สิ่งต่างๆ ที่มันเอามาทำ Future กันได้นะ ที่จริงที่เกาหลี เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดนะ มันเล่นกันทุกอณูอ่ะ ขนาดพวกแม่บ้านยังเล่นอ่ะ อารมณ์หวยหุ้น เก็งถูก็ได้กำไรไป ไม่ถูกก็เสียตังค์ อืม...มันยาว ต้องหาหนังสืออ่าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #136 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2551, 18:28:24 » |
|
หวัดดีครับ P'Max RCU 79 เน้อ ครุฯ ธุรกิจ พอนึกออกป่ะ พี่พอจำเราได้น่ะ แต่จำไม่ได้ว่า เคยร่วมทำกิจกรรมอะไรกันอ่ะ เหอๆๆ พี่ทำอยู่ บลจ.วรรณ ครับ ฝ่ายจัดการกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เป็นนักวิเคราะห์ แสดงว่าได้ พวก CISA หรือ CFA แล้วซิ ไม่มาลองทำพวก Fund บ้างอ่ะ เพื่อจะได้เป็น Fund Manager
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #137 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2551, 08:03:46 » |
|
จำได้ครับพี่แม็ก ผมไม่อยากเป็น Fund Manager แต่อยากเป็นผู้จัดการการฟัน อ่ะครับ 555
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #138 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2551, 10:15:03 » |
|
เบื่อคนมีตังค์..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #139 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2551, 12:00:27 » |
|
อ่ะนะ งั้นปรึกษา พี่ๆ ในบอร์ดรุ่นนี้ก็ได้ น่าจะถนัดด้านนี้หลายคน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #140 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2551, 12:00:52 » |
|
ดูแลแต่เงินชาวบ้านอ่ะ แต่เงินตัวเองไม่มี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #141 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2551, 12:57:24 » |
|
อ่ะนะ งั้นปรึกษา พี่ๆ ในบอร์ดรุ่นนี้ก็ได้ น่าจะถนัดด้านนี้หลายคน [/quote] ขอคำชี้แนะจากทุกท่านครับ ด้านนี้ผมยังไม่ประสานัก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #142 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2551, 04:31:26 » |
|
เรื่องที่น้องต้องการ หลังไมค์ พี่ตาแคมได้เลย ของเค้าดีจิงๆ ไอ้ฟันๆอะไรนี่
ยาวหน่อยนะ
คุณ "สาธิต บวรสันติสุทธิ์" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาดการลงทุน บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า การบริหารภาษีจัดเป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการบริหารพอร์ตลงทุนได้ ซึ่งผู้ลงทุนสามารถบริหารภาษีด้วยการใช้เทคนิค "ลดภาษี เพิ่มผลตอบแทน" ด้วยกลวิธี 8 แนวทาง
กลวิธีที่ห นึ่ง ใช้สิทธิ์ "หัก" ค่าใช้จ่ายและ "ค่าลดหย่อน" ให้ครบถ้วน
- ไล่กันตั้งแต่ ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิต สิทธิ์ลดหย่อนภาษีกองทุน "อาร์เอ็มเอฟ" (RMF) และกองทุน "แอลทีเอฟ"(LTF) ดอกเบี้ยเงินกู้ ตลอดจนการลดหย่อน "เงินบริจาค"
- ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2551 รัฐบาลได้ออกมาตรการใหม่เพิ่มสิทธิ์ลดหย่อน "ค่าเบี้ยประกันชีวิต" หักได้ไม่เกิน 100,000 บาท จากเดิม 50,000 บาท
- ขณะเดียวกันได้เพิ่มสิทธิ์ภาษีเงินค่าซื้อ "กองทุนอาร์เอ็มเอฟ" หักได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ และเมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกบข.ในปีภาษีนั้นแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
- ส่วนเงินค่าซื้อกองทุนแอลทีเอฟ หักได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ และไม่เกิน 500,000 บาท จากกฎหมายเดิมให้ไม่เกิน 300,000 บาท
- นอกจากนี้ ตามมาตรการใหม่ของรัฐบาล ยังกำหนดให้ผู้ที่มีรายได้ต่ำสุดไม่เกิน 150,000 บาทต่อปีไม่ต้องเสียภาษี จากเดิมที่มีรายได้ต่ำสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี
- การบริจาคเงินการกุศล ก็เป็นอีกกลวิธีช่วยลดภาษีได้ดีอีกทางหนึ่ง
สำหรับเงินบริจาคได้ โดยแยกเงินบริจาคได้ 3 ประเภท กล่าวคือ
หนึ่ง.เงินบริจาคด้านการศึกษา ที่เรียกว่า "จ่าย 1 ได้ 2 " เพราะสามารถหักได้ 2 เท่าของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้หลักหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
สอง.. เงินบริจาคด้านกีฬา หักได้ 1.5 เท่าของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 20% ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
สาม..เงินบริจาคทั่วไป หักได้เท่าที่บริจาค แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อนและเงินบริจาคการศึกษาและเงินบริจาคเกี่ยวกับกีฬา
"ถ้ามีรายได้มากที่ฐานภาษี 37% แนะนำให้บริจาคเต็มเพดานที่กฎหมายกำหนดจะคุ้มค่าที่สุด เช่น บริจาคเงินที่ 100 บาท จะลดหย่อนได้ 200 บาท หักภาษี 37% จะได้คืนเงิน 74 บาท หรือเงินทุก 100 บาทที่บริจาคจะได้รับผลตอบแทนกลับคืน 11% มากกว่าการไม่บริจาค"
การบริจาคเงิน..นอกจากจะได้บุญแล้ว ยังได้กำไรอีกต่อหนึ่งด้วย
กลวิธีสอง..ย้ายรายได้ไปยังบุคคลที่มีฐานรายได้ต่ำกว่า
เช่น จาก ก. ไป ข. ,ชิงโชคในชื่อลูก,ฝากเงินในชื่อลูก หรือขายประกันโดยใช้ชื่อลูก เป็นต้น
สาธิต บอกว่า กรณีที่เมื่อใดควรจะฝากเงินและใช้สิทธิ์ยื่นภาษีเงินได้ในชื่อลูกนั้น ภาษีที่ได้คืนจากการใช้สิทธิ์ลดหย่อนลูกต้องน้อยกว่า หรือเท่ากับภาษีที่ได้คืนจากการนำดอกเบี้ยเงินฝากลูกไปยื่นภาษี
วิธีการก็คือ หากดอกเบี้ยเงินฝากไม่เกิน 5 แสนบาท แนะนำให้นำมารวมเป็นฐานเงินได้ เพราะอัตราภาษีของเงินได้ที่ไม่เกิน 5 แสนบาท สูงสุดอยู่ที่อัตรา 10% ซึ่งต่ำกว่าภาษีหัก ณ ที่จ่ายของ ดอกเบี้ยที่ 15%
แต่หากกรณีที่ดอกเบี้ยเงินฝากเกิน 5 แสนบาท ให้ลองคำนวณภาษีดูก่อน
และดอกเบี้ยต่ำสุดที่ควรฝากในชื่อลูก ให้คิดจากภาษีที่ได้คืนจากการใช้สิทธิ์ลดหย่อนลูกที่ศึกษา หารด้วย 15%(ภาษีดอกเบี้ย) เปรียบเทียบ
ทั้งนี้ในการฝากเงินในชื่อลูกนั้น กฎหมายได้กำหนดไว้ว่า กรณีพ่อและแม่ฝากเงินร่วมกับลูกผู้เยาว์ ดอกเบี้ยให้ถือเป็นเงินได้ของพ่อหรือแม่
แต่หากพ่อหรือแม่ฝากเงินเพื่อบุตรผู้เยาว์ ดอกเบี้ยที่ได้รับให้ถือเป็นเงินได้ของลูก
และดอกเบี้ยเกิน 1.5 หมื่นบาท พ่อแม่จะไม่สามารถนำมาเป็นเงินได้ของพ่อแม่
แยกหน่วยภาษี.. เป็นกลวิธีที่สาม
สาธิต กล่าวว่า การแยกหน่วยภาษีและย้ายเงินได้เพื่อกระจายฐานภาษี เช่น การจัดตั้งคณะบุคคล จะทำให้ได้ประโยชน์จ่ายภาษีในอัตราต่ำ และได้ค่าลดหย่อนซ้ำโดยคณะบุคคลละ 6 หมื่นบาท
"เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นวิธีการก็คือ ควรจะแยกรายได้ไปให้ลูกเพื่อเริ่มฐานภาษีใหม่ เพื่อทำให้จ่ายภาษีในอัตราต่ำ หรือใช้วิธีการจัดตั้งคณะบุคคลประกอบกิจการอะไรก็ได้ร่วมกันตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป เช่น ตั้งคณะบุคคลฝากเงินธนาคารกินดอกเบี้ย ซึ่งการจัดตั้งสามารถจดทะเบียนซ้ำ และยื่นภาษีแยกกันได้"
ต่อมากลวิธีที่สี่..ยืดระยะเวลาในการเสียภาษี
วิธีการอย่างหนึ่งก็คือ การรับรู้รายได้คนละปีภาษี เช่น การคงเงินไว้ใน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพกรณีที่มีอายุงานต่ำกว่า 5 ปี ก็จะทำให้เสียภาษีในอัตราที่ "ต่ำกว่า" การถอนเงินออกจากกองทุนสำรองเลี้ยงก่อนครบอายุสมาชิก 5 ปี
"การที่สมาชิกใช้วิธีพักเงินไว้กับกองทุนในกรณีลาออกจากงานแล้วยังไม่งานใหม่ จะทำให้เสียภาษีในฐานต่ำกว่า หรือหากได้งานใหม่ก็สามารถโยกเงินกองทุนไปบริษัทใหม่ จะทำให้นับอายุกองทุนต่อเนื่อง แต่ถ้าลาออกจากสมาชิกกองทุน แล้วนำเงินมารวมเป็นรายได้ปลายปี จะเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่า"
กลวิธีที่ห้า..เลือกออมเงินแบบ "ยกเว้นภาษี"
สำหรับผู้ที่มีเงินออมโดยที่ไม่ได้นำไปลงทุน จะด้วยกลัวความเสี่ยง หรือมีเหตุผลใด ๆ ก็ตาม และหลีกเลี่ยงไม่ต้องการจ่ายภาษีเงินฝากในอัตราที่สูง
สาธิตแนะนำว่า ผู้ออมเงินควรจะเลือกออมเงินในกิจกรรมที่ได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งปัจจุบันมีทางเลือกหลากหลาย เช่น การซื้อสลากออมสิน ฝากเงินออมสินเผื่อเรียกของรัฐบาล ฝากเงินออมทรัพย์ที่ได้รับดอกเบี้ยไม่เกิน 2 หมื่นบาท เงินฝากประจำแบบผูกพันหรือมีระยะเวลา เงินฝากประจำสำหรับผู้สูงอายุ
แม้แต่การลงทุนในหุ้นหรือกองทุน เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการลงทุน เป็นต้น
กลวิธีที่หก.. เลือกเสียภาษีในรูปแบบที่ได้ประโยชน์ "สูงสุด"
ทางเลือกนี้เหมาะสำหรับคนที่ลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งสามารถเลือกระหว่างการขายหุ้นเอากำไร หรือรับเงิน ปันผลแล้วใช้สิทธิประโยชน์ภาษี
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาดการลงทุน บอกว่า หากผู้ลงทุนเลือกที่จะรับเงินปันผล ก็จะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากที่บริษัทหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% โดยสามารถเลือกนำมาคำนวณปลายปีหรือไม่ก็ได้ แต่กรณีที่เสียภาษีในอัตรา 30% เขาแนะนำให้ควรนำมารวมคำนวณภาษีปลายปีจะคุ้มค่ากว่า
" คนเล่นหุ้นสามารถเลือกที่จะเอากำไร ซึ่งไม่ต้องเสียภาษี หรือจะรอรับปันผล ก็สามารถขอเครดิตภาษีคืนทีหลังได้ แต่ทั้งนี้ผู้ลงทุนจะต้องตรวจสอบก่อนว่าหุ้นหรือบริษัทที่จ่ายปันผลนั้นมีอัตราภาษีอยู่ที่เท่าไร
หากมีอัตราภาษี 30% การรวมภาษีปลายปีและขอเครดิตภาษีเงินปันผลคืนจะคุ้มค่ามากสุด แต่หากบริษัทได้รับยกเว้นภาษีบีโอไอ ก็ไม่ควรรวมรายได้ปลายปีเพื่อขอเครดิตภาษีคืน"
ส่วนกลวิธีที่เจ็ด..ทางเลือกลงทุนในหลักทรัพย์
เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษี ได้แก่ การซื้อเบี้ยประกันชีวิต ซื้อกองทุน RMF หรือ LTF ตลอดจนลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกบข. จะทำให้ได้ประโยชน์ทางภาษีมากกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ
สุดท้าย กลวิธีที่แปด..ใช้สิทธิ์เรียก "คืนภาษี" ให้เร็วที่สุด
สาธิตบอกว่า กรณีการลงทุนใน RMF หรือ LTF ระหว่างปี จะทำให้ได้ประโยชน์สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ภายในปี เท่ากับจะทำให้มีรายได้ในแต่ละเดือนเพิ่มขึ้น ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นยังสามารถนำมาซื้ออาร์เอ็มเอฟ หรือ แอลทีเอฟ ตลอดจนลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ ให้เกิดผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้อีก
นอกจากนั้น ในกรณีที่เป็นการลงทุนในหุ้น หรืออาร์เอ็มเอฟและแอลทีเอฟ การซื้อระหว่างปียังช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนได้ดีกว่าซื้อครั้งเดียวในช่วงปลายปี
"หลายคนมักจะมาซื้อ RMF และ LTF ในช่วงปลายปี นอกจากจะซื้อหุ้นที่ราคาแพงแล้ว (หุ้นมักขึ้นในช่วงปลายปี ) และหมดสิทธิ์ในการเลือกซื้อหุ้นที่ราคาต่ำ ๆ แล้ว ยังเสียประโยชน์การลดหย่อนภาษีอีกด้วย
การซื้อระหว่างปีผู้ลงทุนจะสามารถหักลดหย่อนได้ทันที (โดยไม่ต้องยื่นภาษีในช่วงเดือนมีนาคมของปีถัดไป) ทำให้มีเงินเพิ่มขึ้นนำกลับไปซื้อกองทุนได้อีกต่อหนึ่ง และโดยปกติผลตอบแทนของกองทุนอาร์เอ็มเอฟ และแอลทีเอฟ จะได้มากกว่าเงินฝากอยู่แล้ว" สาธิต กล่าว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #143 เมื่อ: 05 มกราคม 2552, 07:08:51 » |
|
หรือ หน้าไมค์เลยดีไหม๊ ไม่ค่อยเกรงใจใครอยู่แล้ว ฮ่าๆๆๆๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #145 เมื่อ: 06 มกราคม 2552, 19:13:03 » |
|
เก่งคร้าบบบบ...เก่งมากๆเลยคร้าบบบบบ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #146 เมื่อ: 07 มกราคม 2552, 12:20:50 » |
|
อยากทราบว่า ธนาคารไหนมั่นคงที่สุดตอนนี้ และเค้าดูกันยังไงอ่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #147 เมื่อ: 07 มกราคม 2552, 12:53:49 » |
|
น่าจะดูที่หนี้เสียมั้งครับพี่
ว่ามีปริมาณมาแค่ไหน
เพราะว่าถ้ามีเยอะแล้วทวงคืนไม่ได้นี่ก็แย่เลย
หรือ Finanace สมัยก่อนที่มันล้ม เพราะมันปล่อยหนี้โดยที่ไม่มีหลักประกันก็มีครับพี่
รอท่านอื่นว่าต่อครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #148 เมื่อ: 07 มกราคม 2552, 12:54:48 » |
|
ไม่มีตังค์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #149 เมื่อ: 07 มกราคม 2552, 13:06:12 » |
|
พี่โจ้ไม่มีตังแล้ว ใครจะมีหว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #150 เมื่อ: 07 มกราคม 2552, 14:40:45 » |
|
อืม พี่ตี๋พิจารณาจากโครงสร้างสินเชื่อได้ครับ ยามเศรษฐกิจถดถอยเนี่ย ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงเช่น SME ก็อาจทำให้ธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อตรงนี้สูงมีปัญหา จากลูกหนี้ผิดชำระได้มากเช่นกัน อีกทั้งกลุ่มที่มีเช่าซื้อรถยนต์ก็อาจเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทำนองเดียวกัน สรุปหลักๆ ก็คือคุณภาพของสินเชื่อที่ปล่อย แต่ทุกวันนี้ธนาคารขนาดใหญ่ของไทยที่ผ่านปี 40 มา ก้มีความเข้มงวดเรื่องการปล่อยสินเชื่อมาก อีกทั้งหลายๆ แบงค์ขนาดใหญ่ ก็มีสัดส่วน LLR/NPL(เงินตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญ/หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) ที่สูงกว่า 79% ไม่ว่าจะเป็น BBL,SCB,KBANK พวกนี้สถานะการเงินแข็งแกร่งครับ รวมทั้งเงินลงทุนสัดส่วนเงินลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงก็มีค่อนข้างน้อย ไม่เหมือนธนาคารพาณิชย์และวาณิชย์ธนกิจในสหรัฐและยุโรป ที่ล้มๆ ไปเนี่ยเกิดจากสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ค่อนข้างสูง เช่น ตราสาร CDS, CDO เมื่อเกิดปัญหาราคาสินทรัพย์ด้อยค่าเช่นราคาอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ ตราสารพวกนี้ที่อ้างอิงลูกหนี้จำนองสินเชื่อบ้านจะตกเร็วมาก ทำให้ขาดสภาพคล่อง เพราะมีแต่คนขายไม่มีใครอยากได้ จึงทำให้เกิดวิกฤตครั้งนี้ แต่ถ้าช่วง 3-4 ปีก่อน ตราสารพวกนี้ก็ให้ผลตอยแทนสูงมากเนื่องจากมูลค่าขึ้นตามราคาอสังหาริมทรัพย์ครับ กล่าวโดยสรุปก็คือไอ้บริษัทพวกนี้โตเร็วใน 3-4 ปีก่อนมากจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ไม่ได้โตจากรากฐานคุณภาพสินเชื่อที่มั่นคง พอเกิดฟองสบู่ในราคาอสังหาริมทรัพย์ก็เลยแย่ตามไปด้วย คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ สหรัฐมันแพ้ภัยตัวเองครับ จากนวัตกรรมทางการเงินที่มันพัฒนาขึ้น และการบริโภคที่เกินพอดี แต่โชคร้ายกลับตกกับทุกประเทศ ทำให้คนอื่นคอยซวยไปด้วย เฮ้อ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #151 เมื่อ: 07 มกราคม 2552, 22:11:29 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #152 เมื่อ: 08 มกราคม 2552, 18:23:38 » |
|
สำหรับผม..ถ้าถามเรื่องความมั่นคง..ตอนนี้เท่ากันทุกแบงค์ เพราะรัฐบาลค้ำประกันเงินฝากเต็มวงเงิน..ไม่ต้องซีเรียสมากครับ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #153 เมื่อ: 08 มกราคม 2552, 21:47:13 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #154 เมื่อ: 09 มกราคม 2552, 07:14:22 » |
|
จริงแล้วเราโดนไปก่อนมันนานแล้ว แต่ไอ้เรามันเป็นเพียงสยามประเทศ เลยไม่ค่อยมีคนนอกซวยมากนัก ขอบคุณที่มาให้ความรู้ ขออีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #155 เมื่อ: 13 มกราคม 2552, 16:51:40 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #156 เมื่อ: 14 มกราคม 2552, 09:54:29 » |
|
เห็นด้วยกับบทความของเพื่อนชาร์ป สิ่งสำคัญที่สุดคือการตัดสินใจของเราเองครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #157 เมื่อ: 27 เมษายน 2552, 10:23:48 » |
|
PTT เข้าได้ป่าว ถือยาว 3 เดือน ไม่งั้นขอเจ๋งๆซัก 2 ตัวครับน้อง eddy ที่ไม่ใช่พลังงานก็ได้..
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #158 เมื่อ: 27 เมษายน 2552, 16:49:44 » |
|
TICON BSEC ปั่น แปะ ตาดีได้ ตาร้ายเสีย
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #159 เมื่อ: 28 เมษายน 2552, 07:00:56 » |
|
โหแต่ละตัว..เล่นหุ้นนะโว้ย..เป็นการลงทุน..ไม่ใช่แทงม้า..
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #160 เมื่อ: 29 เมษายน 2552, 10:55:58 » |
|
ถามเหล่านักพยากรณ์หน่อย
คาดว่าปีนี้ Baht/USD อ่อนสุดจะเกิน 38 Baht/USD ป้ะ จะเอาไปคำนวณอะไรบางอย่าง
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #161 เมื่อ: 29 เมษายน 2552, 11:39:28 » |
|
ตอบยากครับตาแคม อย่างปีที่แล้วมันยังแกว่งตัวได้ 31.2-35.6 อย่างปีนี้ก็เคยแกว่งไปแตะ36กว่าๆอยู่พักนึง แต่ด้วยความพยายาม ของแบงค์ชาติคงจะไม่ปล่อยให้ลอยไปถึง38กระมัง แต่ถ้าได้ก็ดี จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2388 01 ม.ค. - 03 ม.ค. 2552 ดูขยายใหญ่ ดอลลาร์-ทุนไหลออก-การเมือง แกว่ง 'ค่าบาท' ปี2552 รอบปี 2551 สถานการณ์ความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ถูกกำหนดโดยปัจจัยหลัก หลายประการ เช่น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เงินสกุลหลักในภูมิภาคเอเชีย ความเชื่อมั่นต่อปัจจัยในประเทศทั้งการเมืองและพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ฯลฯ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศตัวเลขค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯรายไตรมาส ไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค.) อยู่ที่ 32.42 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ไตรมาสที่ 2 (เม.ย.-มิ.ย.) อยู่ที่ 33.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และไตรมาส 3 (ก.ค.-ก.ย.) อยู่ที่ 33.89 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และในเดือนตุลาคม 2551 เฉลี่ยค่าเงินอยู่ที่ 34.43 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ระดับของค่าบาทแข็งค่าสุด ในปี 2551 อยู่ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2551 และอ่อนค่าที่สุดที่ระดับเกือบ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯในเดือนพฤศจิกายน 2551 อย่างไรก็ตามตลอดทั้งปี ไม่ว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในทิศทางที่อ่อนค่าเร็วเกินไปหรือแข็งค่าเร็วเกินไป ธปท.ได้เข้าดูแล (แทรกแซง) ค่าเงินให้มีเสถียรภาพ เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับสกุลเงินหลักในภูมิภาค เพื่อไม่ให้เสียเปรียบทางการแข่งขันกับคู่แข่ง (ดูตารางเปรียบเทียบค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับสกุลเงินหลักในภูมิภาค) ****ทิศทางบาทปี 52 ไปทางไหน แนวโน้มค่าเงินบาทในปี 2552 มีปัจจัยภายนอกที่มีผล คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และเงินสกุลหลักในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงผลจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับไปยังสหรัฐอเมริกาจากผลกระทบของวิกฤติการเงิน ขณะเดียวกันปัจจัยในประเทศที่สำคัญ ซึ่งมีผลต่อค่าเงินบาท เช่น สถานการณ์การเมือง อัตราดอกเบี้ยที่เข้าสู่แนวโน้มขาลง ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งขณะนี้ต่างเป็นที่ประมาณการว่าจะเข้าสู่ภาวะขาดดุลทั้งคู่ในปี 2552 ซึ่งเป็นผลให้เงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางที่อ่อนค่า 'กรณ์ จาติกวณิช' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความเห็นว่า จากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยในขณะนี้และแนวโน้มในปี 2552 ที่คาดว่า การส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้ในอัตราที่ลดลงจากปี 2551 คือ ลดลงจาก 3.4% ต่อจีดีพี เป็น -0.6% ถึง 1.6% ต่อจีดีพี ในปี 2552 ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2552 คาดว่าจะอยู่ในระดับติดลบ -2.4% ถึง -0.4% ต่อจีดีพี จึงทำให้ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลงไปได้อีกจากปัจจุบัน "เป็นหน้าที่ของ ธปท. ที่จะต้องรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทไม่ให้เกิดความผันผวน หรือขึ้นลงเร็วเกินไปในลักษณะผิดปกติ และต้องรักษาระดับค่าเงินบาทให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับค่าเงินของกลุ่มประเทศในภูมิภาคเดียวกัน โดยเฉพาะกับประเทศคู่ค้าต่างๆ" รมว.คลังกล่าว วงการตลาดเงินคาดการณ์สถานการณ์แนวโน้มค่าเงินบาทต่างมุมมอง เช่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ใช้สมมติฐานแนวโน้มค่าเงินบาทปี 2552 ไว้ที่ 34-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ นักบริหารเงินและนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ระดับของค่าเงินบาทแข็งค่าสุดและอ่อนค่าสุดไว้ตั้งแต่ 33.50-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ "อุสรา วิไลพิชญ์" นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ประเทศไทย) มองแนวโน้มครึ่งแรกของปี 2552 ค่าเงินสกุลหลักในภูมิภาคเอเชียและค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดยกลางปี 2552 เคลื่อนไหวเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งค่าเงินบาทในปีหน้าจะถูกกำหนดด้วยปัจจัยต่างประเทศเป็นสำคัญ ทั้งการเคลื่อนย้ายเงินทุน และภาคเศรษฐกิจจริง โดยปีนี้มีโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเอเชีย โดยเฉพาะภาคการส่งออก ดังนั้นดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจะได้รับผลกระทบมาก ขณะที่ความเห็นของ ดร.บันลือศักดิ์ ปุสสะรังสี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัยสายบริหารความเสี่ยง ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มค่าบาทปี 2552 ผันผวนตามค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ โดยต้นปีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากการขาดดุลจำนวนมากของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นขาดดุลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แต่ในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะดีดกลับขึ้นมาแข็งค่าขึ้นได้อีก จากการไหลเข้าของเงินทุนเคลื่อนย้ายที่จะไหลกลับเข้าสหรัฐฯ "ธิติ ตันติกุลานันท์" ผู้บริหารธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) ระบุว่า คาดว่าค่าเงินบาทไตรมาสแรกจะแกว่งอยู่ระหว่าง 33.50-35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ปัจจัยแวดล้อมยังผันผวนและมีความถี่ในการเปลี่ยนเป็นรายสัปดาห์จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทางด้าน "เผด็จ วิรุฬห์สิทธิ์" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด(มหาชน) กล่าวถึงทิศทางค่าเงินบาทปีหน้าน่ามีเสถียรภาพ โดยไตรมาสแรกมีแนวโน้มแข็งค่าอยู่ระหว่าง 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ สาเหตุหลักจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะโดยสภาพทั่วไปการที่สหรัฐฯยังคงพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้อย่างไม่หยุดยั้งโดยไม่รู้ว่าจะสร้างภาระผูกพันงบประมาณมากแค่ไหนในอนาคต อีกทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ที่ผ่านมา ยังสะท้อนระยะปานกลาง 1-2 ปี เศรษฐกิจสหรัฐฯยังถดถอย ประกอบกับสถาบันการเงินที่ยังค่อนข้างเปราะบาง แนวโน้มดอลลาร์สหรัฐฯจะแข็งค่าได้อย่างไร ****ลดดบ.นโยบายไม่กดดันค่าเงิน ในส่วนของปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจากอัตราดอกเบี้ยที่เข้าสู่ขาลง หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก 3.75% เหลือ 2.75% ซึ่งมีผลเมื่อ 3 ธันวาคม 2551 ที่ผ่านมาและคาดการณ์ว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจปรับลดลงจนถึงกลางปี 2552 ก่อนหน้านี้ "สุชาดา กิระกุล" ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน แบงก์ชาติ เคยให้ความเห็นไว้ว่า หลังจากที่กนง.มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาร์/พีลง 1.0% ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยไม่ได้มีความแตกต่างจากประเทศอื่นๆมากนัก เนื่องจากหลายประเทศได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ดังนั้นส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจึงไม่ได้สร้างแรงกดดันต่อค่าเงิน นอกจากนี้ หากเทียบค่าเงินบาทในช่วงก่อนและหลังปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเอาค่าเงิน ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2551 เทียบวันที่ 1 ธันวาคม 2551 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 0.88% ซึ่งอยู่อันดับที่ 8 ในภูมิภาค นับว่ายังเป็นไปตามภูมิภาค อย่างไรก็ตามหากค่าเงินเคลื่อนไหวเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4 - 5% นับว่าค่อนข้างมีเสถียรภาพ เงินบาทปี 2552 จะเคลื่อนไหวในทิศทางที่อ่อนค่าหรือแข็งค่า มีทั้งปัจจัยภายนอกและในประเทศเป็นตัวกำหนด ซึ่งท้ายที่สุดแล้วปีนี้คงเป็นอีกปีที่ "แบงก์ชาติ" ในฐานะผู้ดูแลเสถียรภาพต้องเหนื่อยหนัก
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #162 เมื่อ: 29 เมษายน 2552, 22:07:46 » |
|
ถ้ามีคนบอกว่า PTT จะเจ๊ง จะเชื่อเค้าป่ะ ??
แล้วถ้าไม่เชื่อ... ขอเหตุผลทีดิว่า...ทำไม ??
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #163 เมื่อ: 30 เมษายน 2552, 12:08:44 » |
|
Thank you ตาไข่ ตีเอาไว้ที่ 37 Baht/USD กันเหนียว
ส่วนของแม็กซ์ ถ้าดูจากภาพทั่วๆ ไป เช่น การเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นโรงกลั่นและโรงแยก เกือบจะทั้งหมดของเมืองไทย คงจะตอบได้ว่า น่าจะเจ๊งยาก
แต่ถ้าจะเจ๊ง ก็อาจจะเป็นสาเหตุเดียวกับการบินไทย คือ การบริหาร และการเมืองภายใน (ล่ะมั้ง)
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #164 เมื่อ: 05 พฤษภาคม 2552, 12:02:16 » |
|
ทำไม..ไอ้แครมมมจะนำเข้าจิมแคนจากญี่ปุ่นเหรอ..ต้องรู้เรื่องค่าเงินบาทซะด้วย..
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #165 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2552, 09:05:12 » |
|
ไปบวชกลับมาเพื่อนๆ รวยเลยเละ สังสัยเป็นผลบุญที่เราต้องใจปฏิบัติและอุทิศให้ เชียร์ขายของตั้งแต่วันนี้ครับ ดีดขึ้นสูงๆ ขาย แม้สัญญาณต่างชาติยังซื้อหนักอย่างต่อเนื่อง แต่สถานะ Long Future ของต่างชาติที่เปิดสะสมมาตั้งแต่ 400 ตอนนี้เริ่มปิดสถานะ มาเปิด Short หนักๆ แล้ว แนะนำทยอยขายตัวใหญ่ๆ เช่นขายเรือ ขายถ่านหิน พลังงาน จังหวะดีดขึ้นแรงๆ ลดพอร์ตนะครับ เปลี่ยนเป็นเล่นสั้นซื้อตอนย่อแรงๆ รอดีด ไม่แนะนำสะสม ป.ล. ที่พี่โต้งถามมาโทษทีครับ ผมไม่ได้มาอ่าน หลายวัน เลยไม่ได้แนะให้เก็บอะไร คาดว่าคงยังมีบ้านปูอยู่ พี่ทยอยขายไปก่อนได้นะครับ ขอให้รวยๆ กันทุกท่าน
“ข้อมูลเหล่านี้ รวบรวมจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่ผู้เขียนมิได้มีเจตนาชี้นำเพื่อการลงทุน และไม่รับรองความถูกต้องของข้อมูลใดๆ การซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ เป็นการตัดสินใจของผู้ลงทุนเอง ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความนี้หรือไม่ ผู้เขียนม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ขอรับผิดชอบทุกกรณี การลงทุนนั้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดใช้วิจารณญาณในการลงทุน”
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #166 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2552, 09:06:24 » |
|
รอจังหวะซื้ออรอบใหม่ ครับ ตลาดใกล้ปรับฐานแล้ว
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #167 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2552, 10:35:38 » |
|
จริงอ่ะ .. ข่าวดี ๆ ๆ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #168 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2552, 13:48:23 » |
|
เอาตรงเท่าไหร่ดีน้องชาย..banpu กับ ptt ซื้อนะ..
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #169 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2552, 16:24:31 » |
|
รอดู ดัชนี 450 ผมว่าน่าจะมีแรงเทคล่ะ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #170 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2552, 17:06:27 » |
|
เฮ้ย..วันนี้มัน 540 แล้วนา..แล้วจะได้ซื้อเหรอ..ตอนนี้จะขายก็ไม่กล้าขาย จะซื้อก็ไม่กล้าซื้อ
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #171 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2552, 22:30:23 » |
|
น่าสนใจ ยังไงช่วยแนะนำ้บ้างครับ...
ปล. ไม่มีเงินแต่หน้าด้านอยากลงทุน ใครให้ยึมบ้าง
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #172 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2552, 10:30:15 » |
|
อ้าววันนั้นผม เขียนผิด 540 นั่นล่ะ หลังจากไปเทส 550 ก็มีแรงเทค 30 กว่าจุด ถามว่าวันนี้ทำไง วันนี้ขึ้นมา 555 อีกแล้ว ผมแนะนำขายนะครับวันนี้ เด่วนี้ รอดูว่ามันยืน 560 ได้มั้ย หากยืนได้ set จะวิ่งต่อไป 600 ถึง 610 ดังนั้นยืน 560 ค่อยกลับมาซื้อใหม่ ปล. บ้านปู ขึ้นมากมาย ตามหุ้น ถ่านหินทั่วโลกที่นักวิเคราะห์ทั้งโลกให้นำหนักการลงทุนเป็นมากกว่าตลาด ผมเช็คดัชนีหุ้นถ่านหินโลก ปีนี้กำลังส่ง Setiment เชิงบวก new high ของปีนะครับ อย่างต่อเนื่อง ช่วงนี้รวยกันถ้วนหน้า ทุกคนนะครับ เศรษฐกิจแย่ๆ คือโอกาสของเราที่มีเงินสะสมไว้บ้าง
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #173 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2552, 10:36:48 » |
|
ทีเด็ดนะครับ หาก SET จะไปต่อ เลือก TTA ครับสำหรับคนชอบเสียวๆ แรงๆ BANPU อุ่นใจไปกับพื้นฐาน IRP นั่งนิ่งๆ ยาวๆ ขึ้นเรื่อยๆ รอ 10 บาท
“ข้อมูลเหล่านี้ รวบรวมจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่ผู้เขียนมิได้มีเจตนาชี้นำเพื่อการลงทุน และไม่รับรองความถูกต้องของข้อมูลใดๆ การซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ เป็นการตัดสินใจของผู้ลงทุนเอง ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความนี้หรือไม่ ผู้เขียนม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ขอรับผิดชอบทุกกรณี การลงทุนนั้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดใช้วิจารณญาณในการลงทุน”
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #174 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2552, 11:45:52 » |
|
แทงหวยๆ..หุ หุ
ขายไปจนของจะหมดแล้ว เลยรอดูเฉยๆรอซื้ออยู่น่ะ..
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #175 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2552, 07:57:37 » |
|
ถึง ธนาคารพาณิชย์ทั้งหลาย จะรับประทานกันไปถึงไหน ดอกเบี้ยเงินฝากไม่กี่สลึง แต่ดอกเบี้ยเงินกู้ 6% นู่น แถมบวกค่าธรรมเนียมอีกตั่งหาก ท่านกรณ์ครับ โชว์พลังหน่อย อย่าโชว์แต่น้ำเสียง
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #176 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2552, 08:34:04 » |
|
มีคนตั้งประเด็นน่าสนใจ..
ตอนแบงค์จะล้ม เราเอาภาษีของเราไปอุ้ม เพื่อไม่ให้แบงค์ล้ม กลัวจะเกิดปัญหาใหญ่..
แต่ตอนนี้แบงค์ไม่ล้ม เงินเหลือเยอะ ไม่ได้มีปัญหาสภาพคล่อง แต่มีปัญหาปล่อยสินเชื่อไม่ได้ แบงค์ไม่เห็นยอมขาดทุนช่วยประชาชน..
น่าคิดว่ะ..สรุปว่าเป็นธนาคารยังไงก็รอดใช่ป่าว..
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #177 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2552, 10:48:59 » |
|
ใครยังไม่มีหุ้นวันนี้ย่อปรับฐาน ทยอยเก็บนะครับ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #178 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2552, 10:56:14 » |
|
จ้าๆ..เก็บจ้า..
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #179 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2552, 13:34:54 » |
|
เอ็ด อยากรู้หน่อยว่า บริษัท วอเทอร์เน็ท จำกัด (มหาชน) นี้มันออกจากตลาด MAI หรือยัง
พยายามหาอักษรย่อมันอยู่ หาใน settrade ไม่เจอน่ะ
จะเข้าไปดูข้อมูลหน่อยน่ะ
|
|
|
|
Surachai Chantosakun
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 114
|
|
« ตอบ #180 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2552, 10:38:50 » |
|
มีเรื่องอยากถาม อาจจะถามอย่างคนไม่รู้ ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อย
คิดอย่างไรกับระบบทุนนิยม?
ปัญหาเศรษฐกิจทุกวันนี้มันเกิดจากการล่มสลายของระบบทุนนิยมเหรอ
ถ้ามันเป็นอย่างนั้นแล้ว ระบบเศรษฐกิจมันจะเดินไปอย่างไร
มันยังคงต้องเดินย้อนรอยรูปแบบทุนนิยมแบบเดิมๆเหรอ
ถ้าไม่ มันจะมีรูปแบบแบบไหน
โดยส่วนตัว คิดว่าระบบทุนนิยมนี้มันช่างน่ารังเกลียด ไม่ยั่งยืน เป็นวิถีแห่งการบริโภค อยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง ของที่มีค่าแค่ 100 ก็สามารถทำให้มันมีค่า 1000 ได้ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ใช่ ยิ่งมีความโลภเป็นตัวนำแล้ว จะหาคำว่าจรรยาบรรณคงยาก ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเราคงต้องเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่อยู่เรื่อยๆเหรอ
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #181 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2552, 11:22:57 » |
|
เรียนพี่น้องที่มีความรู้ครับ ผมต้องการทราบอัตราการเสียภาษีบุคคลธรรมดาครับ ว่า Rate เป็นไงบ้าง
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #182 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2552, 11:59:30 » |
|
ทุนนิยม วัตถุนิยม ยังไงประเทศเราก็อยู่ในระบบนี้แล้ว คงทำได้แต่เพียงให้ระบบภายในประเทศเข้มแข็ง นอกจากว่าจะมีปฏิวัติแบบรัฐบาลทหารพม่า แล้วปิดประเทศไป ไม่ก็แบบเกาหลีเหนือ นี่นับว่ายังโชคดีที่มีการประท้วงพวกเสื้อเหลือง เสื้อแดง ก่อนที่จะมี แฮมเบอร์เกอร์ไครซิส เพราะมันลดความน่าเชื่อถือในการลงทุนไปเยอะทีเดียว พวกฝรั่งเลยไม่มายุ่งมาก หากบ้านเมืองดีช่วงนั้น คงเจ๊ง เยอะกว่านี้อ่ะ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #183 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2552, 16:17:49 » |
|
มรึงลองไป download โปรแกรมคำนวณภาษีมาสิ จากเวบสรรพากรน่ะ..กรอกไปเล่นๆเค้าก็คำนวณให้เสร็จสรรพ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #184 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2552, 16:26:43 » |
|
ระบบเศรษฐกิจไม่ค่อยเกี่ยวหรอก..กรูว่าอยู่ที่คนใช้ระบบมากกว่า..มนุษย์มีกิเลสเป็นเครื่องครอบงำอยู่แล้ว ไม่ว่าระบบไหนเจอกิเลส ก็พังหมด..
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #185 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2552, 19:50:51 » |
|
ลองไปดูนะจ๊ะน้องหลิม(เจีย) http://www.rd.go.th/publish/1780.0.htmlส่วนเรื่องทุนนิยมนี่ มาทำความเข้าใจกันก่อน ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยม (Laissez-Faire or Capitalism) ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่ให้เสรีภาพแก่ภาคเอกชนใน การเลือกดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เอกชนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน สามารถเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต เศรษฐทรัพย์ต่างๆที่ตนหามาได้ มีเสรีภาพในการประกอบธุรกิจ รวมทั้งการเลือกอุปโภคบริโภคสินค้า และบริการต่างๆ แต่ทว่าเสรีภาพดังกล่าวจะต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย กล่าวคือ การดำเนินการใดๆจะต้องไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของบุคคลอื่น ใช้ระบบของการแข่งขันโดยมีราคาและระบบตลาดเป็นกลไกสำคัญในการจัดสรรทรัพยากร โดยรัฐบาลจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จะมีหน้าที่เพียงการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและการป้องกันประเทศ ผมมองว่าปัญหาทางเศรษฐกิจของโลกที่กำลังเกิดขึ้น มีที่มาจากหลายๆสาเหตุได้แก่ ความฟุ่มเฟื่อยในการใช้จ่ายของประชาชน โดยเฉพาะในอเมริกา(บริโภคนิยมแบบเกินตัว),สถาบันการเงินปล่อยกู้ไม่เหมาะสมจนเกิดหนี้เสีย(sub-prime) และการเก็งกำไรที่ผิดพลาดของสถาบันการเงินโดยอาศัยเทคนิคทางด้านคณิตศาตร์มาดัดแปลงความเสี่ยง (CDO) ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดปัญหาให้สถาบันทางการเงินขาดสภาพคล่องและนำมาสู่การล่มสลายทางเศรษฐกิจ มองให้ดีดีก็เหมือนโรคระบาดนี่แหละ เสมือนว่าเกิดการกลายพันธุ์ในอเมริกา แต่กลับส่งผลลุกลามไปทั่วโลก โดยอาศัยระบบเสรี(แบบโครตๆ)ทางด้านการเงินของโลกเป็นพาหนะ และด้วยการที่ระบบเศรษฐกิจของโลกอิงอเมริกามากเกินไป พอล้มที่เดียวก็พากันระเนระนาดตามไปหมด ภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งคือการมีระบบเศรษฐกิจที่พึ่งตนเองเป็นหลัก จริงๆทุนนิยมก็ดีนะ แต่ยังไงก็ควรมีการควบคุมบ้าง ไม่ควรจะเสรีมากเกินไปจนละเลยความถูกต้อง มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวในโลกที่ไม่สามารถปล่อยให้ดำเนินชีวิตแบบอิสระตามสัญชาติญาน เพราะกิเลสของมนุษย์นั้นสามารถทำลายได้ทุกๆอย่าง แม้กระทั่งตัวเองและพวกพ้อง
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #186 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2552, 11:36:30 » |
|
อืม..รีบๆ save ไว้..นานๆจะได้เห็นสาระซักที..
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #187 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2552, 07:23:52 » |
|
อีกอย่าง เวลาบริษัทพวกนี้มีปัญหา เหล่านายกสมาคมทั้งหลายก็ออกมาร้องกันกระจองอแง รัฐต้องช่วยอย่างงู๊น อย่างงี๊ รัฐต้องลดภาษีนู่นนี่ เพื่อช่วยให้บริษัทลดค่าใช้จ่าย เวลาได้กำไร เห็นเงียบ
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #188 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2552, 10:00:52 » |
|
ชาร์ป มันยังไม่เข้าเทรดในตลาดนะ บริษัทขายน้ำ หยอดเหรียญ บริษัทนี้ อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลทางบัญชี เรื่องผลประกอบการอยู่ นะครับ
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #189 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2552, 16:14:20 » |
|
^ ^ ^ น่าเสียดาย ได้ยินข่าวมาว่า water net ได้รับ order ใหญ่ ตู้น้ำ มาอีก พันตู้ ติดตั้งทั่วประเทศ เลยว่าจะเข้าไปดูงบหน่อยว่าเป็นอย่างไร น่าซื้อหรือเปล่าน่ะ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #190 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2552, 16:18:10 » |
|
คุณน้อง ed ..เอาไงดี จะซื้อก็ไม่กล้า แต่กลัวตกรถ มันจะ 600 จุดแล้ว.. พลังงานเต็มพอร์ต..เพิ่งเก็บไปอีกรอบตอนประมาณ 550..
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #191 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2552, 16:25:18 » |
|
รับมาตอนนั้นโอเคแล้วพี ที่มีอยู่ให้ทยอยขายวันดีดแรงๆ ได้ครับ ใกล้ๆ 590-600 ถ้าซื้อตอนนี้ต้องเล่นเร็วมากๆ แล้วประมาณว่านั่งเฝ้า ไม่แนะนำให้ซื้อแต่ถ้าขึ้นไปยืน 600-610 ได้2-3 วัน ค่อยเก็บของได้มันจะวิ่งต่ออีกไม้ 650 แต่ตอนนี้รอดูทิศทางก่อนครับ ใครมีหุ้นที่ผมให้คงสุขสมหวังกันนะครับ รวยๆ กันทุกคน
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #192 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2552, 17:22:33 » |
|
Dear K. Jakkreepan
Thanks for your support but now I can get info. ready.
Dear K. Pornson
Why you call Nong Ed...... I wondering that why you call me I lim. please let me know.
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #193 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2552, 18:15:41 » |
|
อยากให้กรูพูดตรงๆ..หรือ อยากให้พูดแบบที่มรึงอยากได้ยินล่ะ..
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #194 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2552, 21:39:38 » |
|
อ๋อ รู้แล้ว เอ็ดเป็นตัว....ตัว.... หาเงินให้นี่เอง....ฮิ ๆ (ล้อเล่งน้าเอ็ดเอ๋ย)
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #195 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2552, 11:14:18 » |
|
รักมากกว่า ก็สนิทมากกว่า ก็เรียกแบบสนิทสนมไง..พอใจยัง
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #196 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2552, 11:18:30 » |
|
ยากรวย ทำไงดีครับ บอกหน่อย
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #197 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2552, 12:43:24 » |
|
เคยได้ยินป้ะ High Risk High Return ฆ่าตัวตายแล้วไปเกิดใหม่ ความเสี่ยงเยอะหน่อย แต่ถ้าได้ไปเกิดเป็นลูกเจ้าสัวก็คุ้ม ลองดู.....
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #198 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2552, 13:15:52 » |
|
No comment ครับ เรียกบักเอ๊ด ไอ้เอ๊ด ลิงเอ็ด บลาๆๆๆ... เรียกได้หมด No Serious แต่ที่ออฟฟิศ เรียกผม ไอ้ดำ... 555
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #199 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2552, 13:19:20 » |
|
ที่พี่แครมบอกอาจยากเกินไป แนะนำ สอยลูกสาวเจ้าสัว หรืลูกสาวเจ้าสัวอาจอายุเกินรุ่นๆ อย่างเราก็เน้นๆ หลานเจ้าสัว อันนี้จะโอเค...
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #200 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2552, 08:30:39 » |
|
พูดเหมือนมะม่วงเลยนะพวกมรึง..จะสอยเมื่อไหร่ก็อยากสอย..ทุกวันนี้ยังเอาตัวเองกันไม่รอดเล๊ยยยย..
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #201 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2552, 11:47:44 » |
|
ใครบอกล่ะ....ลองไปสอยมะม่วงหน้าหนาวซิิ ไม่มีผลหรอก....ใช่ว่าจะสอยเมื่อไหร่ก็ได้....
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #202 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2552, 12:20:09 » |
|
งั้นแนะนำให้ มีลูกเหลิม กับลูกชูวิทย์อ่ะ ลองดู จาก บธ.ม. สาขา ผู้ประกอบการ
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #203 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2552, 08:44:49 » |
|
จาก Fwd ใน board pantip ... อ่านแล้วโดนครับ ก่อนอื่นดิฉันขอสาบานว่าสิ่งที่ดิฉันพูดเป็นความจริงค่ะ ดิฉันอายุ 25 ปีค่ะ ความสูง 170 ซม. น้ำหนัก 50 กิโล ส่วนสัด 34-24-36 ผมยาว หน้าตาจัดว่าสวยมาก เซ็กซี่ มีรสนิยม ดิฉันอยากจะแต่งงานกับผู้ชายรายได้สักสองแสนบา ทอัพต่อเดือนสักคน คุณอย่าเพิ่งมองฉันโลภนะคะ รายได้ประมาณสองแสนเนี้ยแค่ชนชั้นระดับกลางๆในห้องสินธรหรือวงการตลาดหุ้นเอง ฉันไม่ได้เรียกร้องมากไปใช่ไหมคะ มีใครในพันทิพ ห้องสินธร นี้ที่รายได้เกินสองแสนบ้างคะ พวกคุณแต่งงานไปกันหมดหรือยัง กรุณาช่วยตอบดิฉันทีค่ะ คือดิฉันอยากแต่งงานกับคนรวยๆ อย่างพวกคุณ พวกที่ดิฉันคบด้วยนี่มีแต่พวกธรรมดาๆรายได้อย่างมากไม่เกินสามหมื่นเอง รายได้แค่นี้จะอุตริไปซื้อบ้านแถวสีลมเนี่ย ยังได้แค่มองเลยใช่ไหมคะ ดิฉันมีคำถามดังนี้ค่ะ กรุณาช่วยตอบด้วยนะคะ 1. หลังจากตลาดหุ้นปิด พวกคุณมักไปต่อที่ไหนกันคะ ( ชื่อร้าน , ผับ , fitness, ฯลฯ) 2. ถ้าจะแอบมองสาว คุณจะมองสาววัยไหนคะ 3. ทำไมคนที่แต่งงานกับคนรวยๆถึงมีแต่พวกอาซิ่มเฉิ่มๆ รสนิยมห่วยๆล่ะคะ 4. คุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการเลือกคนที่คุณจะแต่งงานด้วยคะ' ------------------------ หลังจากนั้นไม่เกิน 30 นาที ก็มีเมล จากชายหนุ่มคนนึงส่งมาถึงเจ้าหล่อนว่า : ถึงคุณสุดสวยครับ... หัวข้อกระทู้ของคุณน่าสนใจมากครับ และคงมีผู้หญิงหลายคนมีคำถามเดียวกันกับคุณ ขออนุญาตตอบคำถามในมุมมองของคนเล่นหุ้นแบบผมนะคับ รายได้ของผมจากการเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และลงทุนในตลาดหุ้นมากว่า 10 ปี อยู่ที่ประมาณห้าแสนบาท ต่อเดือนขาดเหลือนิดหน่อย ซึ่งก็น่าจะผ่านเกณฑ์ของคุณ ดังนั้นผมเชื่อว่าคำตอบของผม น่าจะไม่ทำให้คุณเสียเวลาอ่านนะครับ จากมุมมองของผมซึ่งเป็นนักธุรกิจ การที่แต่งงานโดยเลือกเฉพาะที่ความสวยเพียงอย่างเดียวนั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลา ด คำตอบนั้นง่ายมาก อธิบายตามตรง จากข้อมูลที่คุณให้มา คุณพยายามจะเน้นจุดแข็งของสินค้าคือ 'ความสวย' เพื่อแลกกับ 'เงิน' เมื่อคุณมีความสวย และผมมีเงิน แน่นอนว่ามัน Fair และน่าจะเป็นไปได้กับโอกาสทางธุรกิจที่คุณเสนอแต่ก็ติดปัญหาที่ว่าความสวยของคุณนั้นจืดจางลงทุกวัน ในขณะที่เงินของผมไม่ได้ไปไหน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร หรือในอีกนัยหนึ่ง รายได้ของผมมีแต่จะเพิ่มทุกปีและเงินของผมก็สามารถนำไปให้ก่อให้เกิดผลตอบแทนงอกเงยขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่คุณไม่ได้สวยขึ้นเมื่อข้ามปี และมีแนวโน้มที่จะลดลงๆ ในแต่ละปีที่ผ่านไปเช่นกัน ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ คุณคือสินทรัพย์ที่เสื่อมค่า ไม่ได้เสื่อมธรรมดานะ เสื่อมแบบอัตราก้าวหน้า ดังนั้นถ้าความสวยคือสิ่งเดียวที่คุณมี ก็จงคิดต่อว่า 10 ปีข้างหน้าจะทำอย่างไร นิยามที่เราใช้กันในตลาดหุ้น คือ ทุกๆ การ Trade มี Position การคบกับคุณก็ถือเป็น Position แต่ถ้า Value ของมันลดลง เราจะขายมันทิ้ง ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะดันทุรังเก็บมันไว้ ซึ่งหมายถึงการแต่งงานที่คุณต้องการ อาจจะแทงใจดำถ้าผมต้องบอกคุณตรงๆอย่างจริงใจว่า ถ้า Value ของ Asset ลดลงเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ขายทิ้ง เราจะ ใช้วิธีการ 'ให้เช่าซื้อ' แทน แน่นอนว่าคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทต่อเดือนฉลาดพอ พวกเขาแค่คบคุณ แต่จะไม่แต่งงานกับคุณ ดังนั้นจึงขอแนะนำคุณอย่างหวังดีว่าคุณควรที่จะหยุดที่จะหาวิธีที่จะได้แต่งงานกับคนรวย และคุณควรที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทแทนซะเอง ซึ่งในทางเทคนิคแล้วน่าจะมีโอกาสมากกว่าการหาคนรวยแต่โง่คนนึง (รวยธรรมดาอย่างเดียวไม่พอ ต้องโง่พร้อมด้วย) หวังว่าคำตอบนี้จะช่วยคุณได้บ้าง อย่างไรก็ตามถ้าหากคุณสนใจ option ในบริการ ! 'เช่าซื้อ' กรุณาติดต่อผม..... เพื่อทำ Bid offer ในโอกาสต่อไป ***** *********
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #204 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2552, 10:46:06 » |
|
ชอบมาก ขอ
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #205 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2552, 12:22:06 » |
|
momentum แบบนี้ SET มันจะไปหยุดตรงไหนแนวต้าน 1 ที่ 665 แนวต้าน 2 ที่ 685 ทั้ง 2 แนวต้านนี้บางมาก ถ้าฝรั่งไม่หยุดซื้อ วิ่งผ่านรวดเดียวแน่ เจอ 700 แนวต้านใหญ่น่าจะไปพักเหนื่อยแถวๆตรงนั้น ความเห็นส่วนตัวมากๆ นะครับ ซื้อเลย รอไปขาย 700 จุด ถ้าดูท่าไม่ดีค่อยโดด
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #206 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2552, 14:25:36 » |
|
อยากเล่นหุ้นบ้างครับ ช่วยแนะนำหน่อยซิครับ
ปล. การลงทุนมีความเสี่ยง...แต่ต้องเสี่ยงถึงจะตื่นเต้น
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #207 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2552, 14:42:12 » |
|
เปิดอินเตอร์เนต เข้าบริษัทหลักทรัพย์สักบริษัท เดี๋ยวได้เรื่อง ไม่ยาก แต่อย่านึกว่ามันมีแต่ได้ ตอนเค้าเจ๊งกันสดๆร้อนๆที่ผ่านมาปีที่แล้ว หมดตังค์กันไปเท่าไหร่รู้ป่าว คิดแล้วยังเศร้า
จะเชื่อน้อง ed วันนี้จะติดปลายนวมไว้หน่อย (แต่ชักเสียวว่ะ..)
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #208 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2552, 14:48:43 » |
|
ก็เข้า เวปตลาดหลักทรัพย์อยู่ตอนนี้ไง QLI น่าสนใจมั้ย ลูกค้าเค้าเป็นบริษัทพลังงานด้วย....
ชี้แนะด้วยท่าน
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #209 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2552, 15:13:38 » |
|
ง่ายๆ ครับเพื่อนหลิม ไปอัพ Book bank บัญชี Saving(กี่เล่มรวมกันก็ได้ หรือเป็นบัญชีกระแสรายวันก็ได้แต่วงเงินจะน้อยกว่า) มาล่าสุด เพื่อโชว์ statement วงเงินที่ได้จะประมาณ 2 เท่าของยอดที่โชว์ครับ แล้วติดต่อ MKT สวยๆ เก่งๆ ตามโบรกเกอร์ เพื่อเดินเรื่องเปิดบัญชี หลังจากเรื่องผ่านหมดแล้ว สมมติเพื่อนหลิม ได้วงเงิน 1 ล้านบาท เพื่อนหลิมอยากซื้อขายเต็มวงเงิน ต้องวางหลักประกัน 15% ก็คือโอนเงินเข้าไปฝากโบรกเกอร์ไว้ 1.5 แสนบาท จึงจะทำการซื้อขายได้ตามวงเงินนั้น หลังจากเสร็จกระบวนการนี้ เพื่อนหลิมก็ซื้อหุ้นไปเลย สมมติ MKT. สาวสวย ตั้งซื้อที่ 252 บาท จำนวน 1000 หุ้น แต่ ณ ปัจจุบัน PTT BID 254 - 256 OFFER แสดงว่าเราตั้งรอมันย่อ เนื่องจากราคาเสนอขาย(OFFER) อยุ่สูงกว่าที่เราซื้อ ถ้าราคาไม่ตกลงมาออเดอร์เราก็ไม่ Match แต่หากเราอยากได้เลยราคานี้ต้องซื้อที่ 256 บาท 1000 หุ้น เป็นเงิน 256000 บาท รวมคอม 0.25% บวก Vat 15% เป็นเงิน 256,000 +640 +96 = 256,763 บาท นะครับ ซึ่งเงินจำนวนนี้เราต้องจ่ายภายใน T +3 หมายความว่าโอนเงินเข้าบัญชีให้เค้าตัดในวันที่ 3 นับจากวันนี้ ถ้าไม่โอนเข้าตามเวลาจะมีค่าปรับและดอกเบี้ยตามมา รวมถึงการปรับลดวงเงินในการซื้อขายด้วย เนื่องจาก Credit ไม่ดี แต่หากเราซื้อและขายในวันหุ้นตัวเดียวกัน ด้วยจำนวนที่เท่ากันก็จำชำระ ใน T+3 เฉพาะส่วนต่างกำไรขาดทุนหลังหัก คอมแล้วเท่านั้น ส่วนเรื่องหลักการลงทุนเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลไปนะ...
ตัวเราเอง ถ้าภาวะตลาดปกติ เศรษฐกิจทรงตัว-ดี จะซื้อถือยาวเลย 50% ในหุ้น Value ที่เรามองว่าดี อีก 50% จะเล่นตามTheme ที่เรามอง ว่าแต่ละช่วงควรเล่นอย่างไร ตามปัจจัยบวกของแต่ละอุตสาหกรรมเป็นหลัก เข้าตัวโน้นออกตัวนี้ หาโอกาสสร้างกำไร
แต่ตลาดปัจจุบัน ซื้อถือ 0% จะเล่นรอบอย่างเดียวตลาดมันผิดปกติ ขึ้นมาด้วย Flow ขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ค่อยดี
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #210 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2552, 15:27:48 » |
|
thanks Ed
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #211 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2552, 15:32:56 » |
|
หุ้นลงมาแล้วทยอยรับครับวันนี้
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #212 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2552, 09:29:10 » |
|
อุ๊ย..ดีนะเมื่อวานเปลี่ยนใจ ตัดสินใจขาย..เก็บโลด แต่คุณน้อง ed มันไม่น่าจะหลุด 600 ใช่ป่าว กำลังดูถึง LTF ด้วยว่าจะซื้อเพิ่มไปเลย
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #213 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2552, 11:23:20 » |
|
ไม่มีตังค์ ก็นั่งดูเขาคุยกัน
รอจังหวะ ๆ
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #214 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2552, 14:13:26 » |
|
มีคนบอกว่า ถ้าเราลงทุนเพื่อให้พออยู่ได้มักจะรอด แต่พวกที่ลงทุนแล้วหวังรวยมักจะร่วง ความเสี่ยงมีจริงไม่ใช่คำขู่ ความผิดพลาด 19 ประการ ที่นักลงทุนส่วนมากกระทำ ความผิดพลาด 19 ประการ ที่นักลงทุนส่วนมากกระทำ ความผิดพลาดสามัญ 19 ประการ ที่นักลงทุนส่วนมากกระทำ (Nineteen Common Mistakes Most Investors Make) จาก How to Make Money in Stocks ของ William J. O Neil 1. รั้นที่จะถือขาดทุนไว้เมื่อเป็นจำนวนเล็กน้อยและสมเหตุสมผล (Stubbornly holding onto losses when they are small and reasonable.) ข้อนี้เป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมากเป็นอันดับหนึ่ง (นาย O Neil มีกฏให้ทำ Cut loss ทันทีเมื่อขาดทุนไป 7-8%) 2. ซื้อตอนหุ้นตก นั่นคือการตอกย้ำความลำเค็ญ (Buying on the way down in price, thus ensuring miserable results.) หุ้นที่กำลังตกลงมาถูกกว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนดูท่าว่าถูกดี -แต่ จะจ้องรับกริชที่กำลังหล่นไปไย 3. ซื้อเฉลี่ยตอนลงมากกว่าตอนขึ้น (Averaging down in price rather than up when buying.) นี่คือการเอาเงินดีไปปนเงินเลว เป็นกลยุทธแบบมือสมัครเล่นที่จะนำไปสู่การขาดทุนหนักๆ 4. ซื้อหุ้นราคาต่ำจำนวนมาก แทนที่จะซื้อหุ้นราคาสูงจำนวนน้อย (Buying large amounts of low-priced stocks rather than smaller amounts of higher priced stocks.)หุ้นคุณภาพดีราคาไม่มีต่ำ (ลองเทียบ PTT/340++ กับ TMB/1.20++)ควรซื้อหุ้นที่ดีที่สุด (ไม่ใช่ถูกที่สุด) 5. อยากรวยเร็วไม่อยากออกแรง (Wanting to make a quick and easy buck.) โลภมากใจร้อนจี๋ มีโอกาสใจด่วนโดดเข้ากองไฟแล้วเสียดายไม่อยาก Cut loss เมื่อพลาด 6. ซื้อตามเขาว่า (Buying on tips, rumors, split announcements, and other news hear from supposed market experts on TV.)หรืออีกนัยหนึ่ง เอาเงินที่ตนสะสมมาอย่างยากเย็นไปเชื่อตามคนอื่น แทนที่จะใช้เวลาฝึกศึกษาให้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร 7. เลือกหุ้นชั้นรองเพราะได้ปันผลหรือ P/E ต่ำ (Selecting second-rate stocks because of dividends or low price-earnings ratios.)มีปัจจัยข้อมูลอื่นๆอีกมากที่สำคัญกว่า เงินปันผล หรือ P/E (เช่นอัตราการเติบโต) 8. ไม่ยอมถอยแม้จะเลือกผิดและไม่รู้จริงในการหาบริษัทที่พบความสำเร็จ (Never getting out of the starting gate properly due to poor selection criteria and not knowing exactly what to look for in a successful company.)หลายคนหลงอยู่กับหุ้นปลายแถวที่มีข้อมูลคลุมเครือ 9. ซื้อหุ้นที่คุณคุ้นชื่อ (Buying old names you're familiar with.)แค่ที่คุณเคยทำงานการบินไทยไม่จำเป็นต้องเป็นเหตุให้เป็นหุ้นดีที่คุณควรซื้อ มีหุ้นดีๆเกิดใหม่ขึ้นมาได้เสมอ 10.ไม่มีปัญญาจดจำทำตามข้อมูลคำแนะนำที่ดี (Not being able to recognize (and follow) good information and advice.)ญาติ มิตร โบรกเกอร์ และ การบริการให้คำแนะนำต่างๆ อาจเป็น -ต้นตอ- ของคำแนะนำที่เลว มีนักกีฬามืออาชีพเพียงน้อยนิดที่โด่งดังโดดเด่นจริงๆ 11. ดูกราฟไม่เป็นและไม่กล้าซื้อเมื่อเป็น "new high" (Not using charts and being afraid to buy stocks that are going into new high ground in price.)คนมากกว่า 98% คิดว่าราคาที่ new high แพงไป...แล้วก็ตกรถ 12. ชอบขายหมูแต่ชอบกอดของเน่า (Cashing in small, easy-to-take profits while holding the losers.) อีกนัยหนึ่ง ควรทำตรงกันข้าม คือ ให้โอกาสเวลา เพื่อทำกำไรและรู้จัก cut loss 13. เป็นกังวลเกินไปกับค่าภาษีและค่าคอม (Worrying too much about taxes and commissions.) (บ้านเราคงไม่เป็นนักเพราะไม่แพงอย่างเขา) 14. จดจ้องรู้แต่ตอนซื้อแต่ไม่รู้ตอนขาย (Concentrating your time on what to buy and once the buy decision is made, not undetrstanding when or under what conditions the stock must be sold.) ส่วนมากทำการบ้านแค่ครึ่งเดียว 15. ไม่เข้าใจความสำคัญของการซื้อหุ้นคุณภาพและการดูทางเท็คนิคเพื่อปรับปรุงการเลือกของตน (Failing to understand the importance of buying quality companies with good institutional sponsorship and the importance of learning how to use charts to significantly improve selection and timing.) 16. ชอบเก็งกำไรหนักๆ พวก W/C เพราะเชื่อว่าเป็นทางลัดรวยเร็ว (Speculating too heavily in options or futures because they're thought to be a way to get rich quick.) (คนที่ชนะคงค้าน -แต่มีกี่คนไม่รู้) 17. ไม่ค่อยทำตามตลาดแต่ชอบเคาะเพดาน (Rarely transacting "at the market" and preferring to put price limits on their buy and sell orders.) (เลยชวดขายชวดซื้อ) 18. ละล้าละลังไม่รู้เวลาลงมือ (Not being able to make up your mind when a decision needs to be made.) (หลายคนไม่รู้เวลาจะซื้อ จะขาย จะถือ ดูกระทู้ในสินธรก็ท่วมไปหมด) 19. ซื้อหุ้นอย่างไม่มีเป้าหมาย (Not looking at stocks objectively.)ชอบซื้อตัวที่ชอบแล้วนั่งภาวนา แทนที่จะศึกษาสนใจทั้งตลาด
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #215 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2552, 15:53:32 » |
|
LTF ไม่แนะนำเลยครับพี่โต้ง ถ้าตลาดปรับฐานมันลงมาราว 550-560 เลยครับ ตอนนี้ไม่น่าซื้อ เล่นหุ้น Lead ที่พี่โต้งชอบดีแล้ว บ้านปูถือชิลๆ ดีกว่า ซื้อ LTF ตอนนี้ แต่ถ้ามอง Dollar Cost Average ก็แถวๆ 600-610 ก็ไม่น่าห่วงสำหรับ LTF ที่มีระยะ 5 ปี
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #216 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2552, 17:11:27 » |
|
แบบว่ายังไงปีนี้ก็ต้องซื้อไง เอาไว้ลดหย่อนภาษี แต่ก็กลัวว่าปลายปีมันจะไป 700 อ่ะดิ..เลยแบบว่า เอาไงดีวะ..
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #217 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2552, 19:04:20 » |
|
อ่า ผมว่าไม่มีใครรู้หรอกครับว่า จะขึ้นหรือลง และเท่าไร
อยากให้ลงทุนแล้ว ไม่เครียดใจจดใจจ่อกับมันมากไปน่ะครับ เพราะ ว่าเดี๋ยวจะไปกระทบกับเรื่องอื่น ๆ เอา
หุ้นมีขึ้นแล้วก็ลง ลงแล้วก็ขึ้น
...
และที่สังเกตุดู ช่วงที่หุ้นต่ำ ๆ ไม่ค่อยมีใครสนใจ แต่หุ้นที่อยู่สูง ๆ อย่างนี้ คนสนใจกันเยอะจัง
...
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #218 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2552, 08:07:05 » |
|
ไอ้บักชาร์ป มรึงยังไม่รู้ว่าตอนที่มันลงแรงๆคราวที่แล้ว ทำให้กรูคิดได้เลยว่า มันต้องเฝ้าว่ะ กรูคิดแบบอนุรักษ์นิยมในตอนแรก เพราะเล่นระยะยาว แต่ตอนโดนนี่ ..กระอักเลือดเหมือนกัน จริงๆก็ดูแนวรับ แนวต้านหลักๆเท่านั้นเอง เพราะพอร์ตไม่ได้เยอะแยะอะไร เพียงแต่ข้อมูลที่ดีกว่า ก็มักจะได้เปรียบกว่าเสมอ
ตอนหุ้นขึ้นก็กลัวตกรถไฟไง..เห็นเค้าได้ก็อยากได้มั่ง จริงๆแล้วตอนลงไม่ค่อยมีใครพูดหรอก ว่าตัวเองขาดทุนเท่าไหร่
เมื่อวานลงแรง วันนี้กะดูอีกวัน ถ้าลงอีก จะทยอยเข้าแล้วเด้อ..ว่าไงน้อง ed
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #219 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2552, 08:13:01 » |
|
วันนี้ลงต่อครับลงมาใกล้ๆ 600 ทยอยเก็บของครับ ส่วนตัวมองว่าวันนี้ปิดไม่น่าหลุด 600 จุด
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #220 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2552, 09:25:34 » |
|
อยากเสียเงิน อยากเสียเงิน ใครก็ได้ช่วยที
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #221 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2552, 09:42:55 » |
|
600 แล้ว เก้บของรอเด้งดึ๋ง สั้นๆ ได้นะ อิอิอิ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #222 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2552, 12:14:55 » |
|
ซัดไปแล้ว 1 รอบ..
ว่าแต่ไอ้หลิมมันอยากมาก..หาโบรกเกอร์ให้มันโทรไปคุยหน่อยสิ..
ไม่งั้นถ้าอยากเสียเงินมากๆ มาเก็บพระแบบกรูมั๊ย..เสียตังค์สมใจแน่ๆ..
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #223 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2552, 14:57:02 » |
|
หลิม บอกเสปค มาเก็ตติ้ง มาเด่วจัดให้ ดำล่ำ ถึก หรือ เตี้ยสั้น
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #224 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2552, 09:33:15 » |
|
จิตเสีย เมื่อวานยื่น 600 ไม่ได้ มีโอกาสรูดลง เด้งมาทยอยขายไปก่อน ค่อยดูรับใหม่แถว 560-580
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #225 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2552, 09:56:18 » |
|
ส่วนตัวแนะนำให้ขายครับ ... cut loss สำหรับใครที่เพิ่งซื้อเข้าไป วันนี้ก็ตกอีก เป็น panic อะไรก็ไม่รู้
แต่ว่ามันจะมาหยุดที่จุด ๆ หนึ่งที่เขาเรียกว่าจุดตั้งรับนั่นล่ะ เป็นจุดที่คนเริ่มตั้งสติ ปริมาณขายน้อยลง ...
รอซื้อที่จุดนั้น แล้วรอ ผลดูผลประกอบการ ออกมา เพื่อดูว่า จะวิ่งขึ้นหรือจะวิ่งลง ถ้าวิ่งขึ้น คิดว่าจะถึง 700 นะ ...
นี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ... (ยังไม่มีตังค์ซื้อ แต่อยากออกความคิดเห็น อิ อิ )
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #226 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2552, 15:09:11 » |
|
หลุดแล้วเน้อ ทิศทางจะแกว่งลงต่อ ก่อนหน้านี้ช่วงเช้าเด้งมาบวกอยู่ราคครึ่งชม. คงได้ขายออกไปกันแล้วนะ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #227 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2552, 08:53:17 » |
|
ยังไม่ขาย ต้นทุนยังต่ำ ลงอีกๆ กรูชอบ..ว่าจะไปซื้อ LTF ติดไว้เป็นน้ำจิ้มก่อน
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #228 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2552, 09:38:41 » |
|
อ่า งั้นก็ทยอยซื้อ LTF ได้เลย
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #229 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2552, 07:31:19 » |
|
ทำไมมันรูดลง รูดลง อย่างนี้ล่ะ ท่าทางงานนี้ จะมีบางคนเลือดนองนะเนี่ย
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #230 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2552, 15:46:40 » |
|
โหย..สบายมาก อยากให้มันลงอีกซักหน่อยด้วยซ้ำ..เก็บ LTF ไปแล้ว 1 ชุด
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #231 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2552, 02:09:14 » |
|
"จอร์จ โซรอส"มหาเศรษฐีและนักลงทุนชื่อดัง ระบุวิกฤติการเงินโลกสิ้นสุดช่วงเลวร้ายไปแล้ว มองจีนเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 มีความเข้มแข็ง นายจอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดังของโลก กล่าวว่า ช่วงเลวร้ายที่สุดของวิกฤติการเงินโลกสิ้นสุดลงแล้ว พร้อมเรียกร้องให้มีการจัดวางกฎระเบียบระหว่างประเทศเสียใหม่ เพื่อรักษาสภาพตลาดที่เปิดกว้าง "วิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นนับว่ามีความร้ายแรงที่สุดเท่าที่เขาเคยพบ และหากไม่มีกฎระเบียบใหม่ระหว่างประเทศโลกาภิวัตน์จะล่มสลาย และอาจนำไปสู่ระบบทุนนิยมระดับรัฐอย่างในจีน" นายโซรอส ซึ่งเพิ่งเดินทางไปจีน กล่าวว่า เศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลกอย่างจีน กำลังมีความเข้มแข็ง เพราะแทบไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ" ด้านนายจัสติน หลิน รองประธานธนาคารโลก กล่าวในการประชุมประจำปีเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจที่กรุงโซล คาดหมายว่า เกาหลีใต้จะอยู่ในกลุ่มประเทศแรกๆ ที่หลุดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยจะเริ่มฟื้นตัวครึ่งหลังของปีนี้ และจะขยายตัว 2% ปีหน้า จากนั้นจะโต 4-5% ในปีถัดไป ส่วนภาพรวมของประเทศกำลังพัฒนานั้น คาดว่าจะฟื้นตัวเร็วและเป็นแรงขับดันให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ธนาคารโลกคาดว่า เศรษฐกิจโลกจะหดตัว 2.9% ปีนี้ ซึ่งเลวร้ายกว่าการคาดหมายเมื่อเดือน มี.ค.ที่ว่าจะหดตัว 1.7% ส่วนปีหน้านั้นคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะโต 2% และขยายตัว 3.2% ในปีถัดไป ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนานั้น คาดว่าจะเติบโต 1.2% ปีนี้ แต่หากไม่มีจีนและอินเดีย ก็จะติดลบ 1.6% ส่วนปีหน้าคาดว่าประเทศกำลังพัฒนาจะขยายตัว 4.4% แต่หากไม่นับรวมจีนและอินเดีย คาดว่าการเติบโตจะอยู่ที่ 2.5% ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะโต 7.2% ปีนี้ และ 7.7% ปีหน้า ส่วนเศรษฐกิจอินเดียคาดว่าจะขยายตัว 5.1% ปีนี้ และ 8% ปีหน้า สำหรับในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก คาดว่าเศรษฐกิจจะโต 5% ปีนี้ และ 6.6% ปีหน้า นอกจากนั้น ธนาคารโลกยังแสดงความวิตกเกี่ยวกับกระแสเงินทุนเอกชนที่ไหลเข้าประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งลดลง 49% เหลือ 363,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ เมื่อเทียบกับจำนวน 707,000 ล้านดอลลาร์ปีที่แล้ว ธนาคารโลกคาดด้วยว่าปริมาณการค้าในโลกจะลดลง 9.7% ปีนี้ ก่อนดีดตัวมาโตที่ 3.8% ปีหน้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #232 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2552, 14:48:47 » |
|
ซื้อได้ยัง อิ อิ
เดาว่าระยะกลาง ๆ นี้ไม่น่าต่ำกว่า 550 นะ โอกาสขึ้นมากว่าตก ...
จะลองเข้าแล้วครับ...
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #233 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2552, 16:09:10 » |
|
เอามาฝากทุกคน เวลาลงทุนให้ท่องจำไว้
กฏ 24 ข้อ เพื่อทำกำไรในตลาดหุ้น
นักค้าหุ้นต้องมีกฏเกณฑ์ในการปฏิบัติที่แน่นอนและต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัด กฏเกณฑ์ที่จะกล่าวต่อไปนี้ ได้รวบรวมจากประสบการณ์ 45 ปี ในตลาดหุ้นของ นายวิลเลี่ยม ดี แก้น ซึ่งเป็นที่เชื่อว่า หากใครสามารถปฏิบัติตามได้ก็จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น
1. จำนวนเงินลงทุน ต้องพอดีและจงแบ่งเงินลงทุนเป็นสิบส่วน เท่าๆกัน ในการซื้อขายแต่ละครั้ง อย่าลงทุนซื้อหรือขาย เกินหนึ่งในสิบของเงินลงทุน 2. ใช้คำสั่ง STOP ORDER ควรป้องกันการลงทุนโดยการตั้ง STOP ORDER 3-5 ช่วงต่ำกว่าราคาที่ซื้อ หรือ สูงกว่าราคาที่ขาย 3. อย่าซื้อหรือขายเกินตัว เพราะจะเป็นการฝ่าฝืนกฎเกี่ยวกับจำนวนเงินลงทุนในข้อ 1 4. อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน หลังจากที่ท่านมีกำไร 3 ช่วงหรือมากกว่านั้น จงยกระดับ STOP ORDER ให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันมิให้ขาดทุน 5. อย่าเริ่มก่อนแนวโน้ม ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ:ตามแผนภูมิของท่าน 6. เมื่อสงสัย ให้ออกจากตลาดและอย่าเข้าตลาดถ้ายังสงสัย 7. ซื้อขายเฉพาะหุ้นที่มีการซื้อขายมาก อย่ายุ่งกับหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวช้าหรือแน่นิ่ง 8. จงกระจายความเสี่ยง ซื้อขายหุ้นอย่างน้อย 4 ถึง 5 บริษัท ถ้าเป็นไปได้อย่างลงทุนจนหมดตัวในหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง 9. จงอย่าใช้ราคาเฉพาะ ทั้งการซื้อและการขาย จงใช้ราคาตลาด 10. อย่าขายหุ้นทิ้งโดยไม่มีเหตุผลที่ดี จงใช้ STOP ORDER เพื่อป้องกันกำไรหดหาย 11. จงสะสมกำไร หลังจากที่ท่านประสบความสำเร็จและมีกำไรติดต่อกันหลายๆ ครั้ง จงสำรองกำไรส่วนนี้ไว้ต่างหากเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินหรือตอนที่มีการตื่นตระหนก 12. อย่าซื้อ เพียงแต่เพื่อจะเอาเงินปันผล 13. อย่าเฉลี่ยการขาดทุน เพราะนี่เป็นความผิดที่เลวร้ายที่สุดที่นักค้าหุ้นไม่ควรทำ 14. อย่าออกจากตลาด เพียงเพราะว่าท่านหมดความอดทนหรือเข้าตลาด เพียงเพราะว่าท่านไม่อยากรอ 15. จงหลีกเลี่ยง การขายเพื่อเอากำไรแต่น้อยและอย่าปล่อยให้ขาดทุนมาก 16. จงอย่ายกเลิกคำสั่ง STOP ORDER ที่ท่านสั่งตอนที่ท่านซื้อขายหุ้นนั้น 17. จงหลีกเลี่ยง การเข้าและออกจากตลาดบ่อยเกินไป 18. จงพร้อมที่จะขาย เช่นเดียวกับซื้อและยึดวัตถุประสงค์ในการทำกำไรให้แน่วแน่ 19. จงอย่าซื้อ เพียงเพราะราคาต่ำและอย่าขายเพียงเพราะคิดว่าราคาสูง 20. จงระวังการพีระมิดในจังหวะที่ผิด จงรอจนกระทั่งเริ่มมีการซื้อขายมากและระดับราคาได้วิ่งขึ้นผ่านระดับต้านทานก่อนที่จะซื้อเพิ่ม และรอจนกระทั่งราคาได้วิ่งตกต่ำกว่าระดับจำหน่ายจ่ายแจกก่อนที่จะซื้อเพิ่มขึ้น 21. เมื่อซื้อ จงสะสมหุ้นในบริษัทที่มีจำนวนทุนจดทะเบียนน้อย และ ถ้ายืมหุ้นคนอื่นมาขาย จงยืมหุ้นในบริษัทที่มีจำนวนหุ้นจดทะเบียนมาก 22. อย่าป้องกันการขาดทุน ในหุ้นที่ซื้อมาโดยการยืมหุ้นจากคนอื่นมาขายไปก่อน จงขายหุ้นที่ซื้อมาไปในราคาตลาดและยอมรับการขาดทุนเพื่อคอยโอกาสครั้งต่อไป 23. อย่าเปลี่ยนสถานภาพการลงทุน (POSITION) ในตลาดโดยไม่มีเหตุผลที่ดี เมื่อท่านตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นแล้ว จงให้โอกาสตัวเองตามเหตุผลที่ดีบางประการหรือตามแผนที่กำหนดไว้ อย่าขายหรือซื้อจนกว่าจะมีสัญญาณบอกว่าแนวโน้มได้เปลี่ยนทิศทาง 24. จงหลีกเลี่ยงการเพิ่มพอร์ท หลังจากที่ประสบความสำเร็จและมีกำไรมาเป็นเวลานาน
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #234 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2552, 16:29:25 » |
|
ทำยากจัง..
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #235 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2552, 16:35:20 » |
|
พันธบัตร "ไทยเข้มแข็ง" เป็นไงบ้างครับ
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #236 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2552, 09:02:25 » |
|
ไม่ทันแล้วน้อง..รู้สึกว่ายังเหลืออีกรอบ ถ้าไม่คิดมาก ความเสี่ยงต่ำ ดอกก็พอไหว ก็ซื้อไปโลด..(หักภาษีดอกเบี้ย 15%ด้วยนะ)
สิ้นปีนี้จะเกิน 600 มั๊ยน้อง ed กำลังดูว่าจะลดพอร์ตก่อนดีรึเปล่า ดูท่ามันไม่ค่อยไปไหนเลย เก็บมาตอน 560 ชุดเล็กมาอีกชุด ถ้าไปไหนไม่รอดก็กะทยอยขายบ้างแล้ว
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #237 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2552, 09:15:13 » |
|
สิ้นปีนี้นะเหรอครับ ตอบยากมากเลยว่าสิ้นปีจะปิดเท่าไหร่ แต่ส่วนตัวมองปีนี้จะยืนเหนือ 580 จุดเป็นอย่างน้อยได้นะครับ และผมว่าตลาดหุ้นยังไม่เจอจุดสูงสุดของปี ผมมอง 670-690 จุดครับ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #238 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2552, 11:30:14 » |
|
อย่างนี้ก็ทยอยขายดีกว่าเนอะ วันนี้ขึ้นดีด้วย
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #239 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2552, 11:38:51 » |
|
^ ^ คุณพี่ข้างบนครับ คุณถามแนวโน้มตัวเลขสิ้นปีเลยเหรอ คาดว่าต้องไปขูดต้นกล้วยอ่ะนะ ถึงจะเห็นเลข หุหุ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #240 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2552, 12:42:31 » |
|
อ้าว..เค้าเป็นนักลงทุนระยะปานกลาง ก็ต้องดู 3-6 เดือนสิ..จะได้รู้ว่าเพิ่มพอร์ตดีมั๊ยน่ะตัวเอง
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #241 เมื่อ: 08 กันยายน 2552, 16:55:48 » |
|
ในที่สุดดัชนีก็มาถึงจุดที่ผมมอง ยืนเหนือ 690 จุดจนได้ พร้อมความเสี่ยงที่เปิดกว้างมากขึ้น ผมเดาแบบไม่กลัวหน้าแตกว่าดัชนี จะขึ้นไปเทส 700 จุดแล้ว วิ่งต่อไปแถว 710-715 จุด ก่อนถูกแรงขายแบบเต็มเหนี่ยว ทยอยขายทำกำไรกันเถอะ ร่ำรวยกันมาโขแล้ว ยกเว้นใครมีหุ้นนำมันยังถือได้ นำมันเตรียมดีดรอบใหม่
“ข้อมูลเหล่านี้ รวบรวมจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่ผู้เขียนมิได้มีเจตนาชี้นำเพื่อการลงทุน และไม่รับรองความถูกต้องของข้อมูลใดๆ การซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ เป็นการตัดสินใจของผู้ลงทุนเอง ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความนี้หรือไม่ ผู้เขียนม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ขอรับผิดชอบทุกกรณี การลงทุนนั้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดใช้วิจารณญาณในการลงทุน”
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #242 เมื่อ: 08 กันยายน 2552, 17:00:24 » |
|
วิธีทดสอบว่าหุ้นจะตกตอนไหน ให้เราลองถามคนข้างๆ หรือกลุ่มที่ตกขบวน กลุ่มที่รอว่าหุ้นจะตกแล้วซื้อ แต่มันไม่ตกมาให้ซื้อซักที จนทนไม่ไหวโดดเข้าตลาดจนได้ ตอนนั้นให้เราเริ่มขายแบบจริงจัง
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #243 เมื่อ: 09 กันยายน 2552, 14:12:09 » |
|
ความคิดเห็นส่วนตัว ... ขายครับ ... (เพราะผมขายไปแล้ว อิ อิ) แล้วไปซื้อหุ้นในกลุ่มที่ได้รับอานิสงค์โดยตรงจาก เศรษฐกิจ เริ่มฟื้นตัว
เช่น กลุ่มพวก อิเล็กทรอนิคส์ มี order เขามามากกว่าเมื่อต้นปี และยอดขายก็จะรับรู้ได้ใน Q4 ดังนั้น ถ้าซื้อช่วงนี้ ราคาก็จะยังต่ำอยู่ และจะเริ่มสูงขึ้นเมื่อตัวเลขยอดขายเริ่มแสดงให้เห็น
ู^_^
จะกำหนดกลยุทธ์ยังไง ตัดสินใจเองนะครับ ไม่เกี่ยวกับผม อิ อิ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #244 เมื่อ: 09 กันยายน 2552, 18:11:56 » |
|
ขึ้นเยอะ แต่ของมีน้อย (แค่ประมาณ 30%ของพอร์ต แบบว่าไม่กล้าซื้อแล้ว) พลังงานล้วนๆ เอาไงดีพี่น้อง
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #245 เมื่อ: 09 กันยายน 2552, 22:46:08 » |
|
มี Energy ก็ Let Profit Run ครับ สาเหตุที่มองว่ายังไม่ให้ขายเพราะกลุ่มนำมันราคา Laggard มาก ถ้าเทียบกับ Leader ราคานำมันกำลังดีดตัวต่อเนื่องหลังค่า Dollar Index อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก hedge Fund ยังขายดอลลาร์ต่อ เนื่องจากเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางเมื่อเทียบกับกลุ่ม G7 ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็วกว่า และ Sentiment การลงทุนกับสินทรัพย์เสี่ยงยังเป็นบวกมาก ช่วงนี้มีตัวใหญ่เป็นลาบอันประเสริฐนะครับ แต่ให้ตามตลาดนิดนึง ระวังเรื่องการเมือง
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #246 เมื่อ: 09 กันยายน 2552, 22:54:33 » |
|
อ๋อ กรณีควบรวมโรงกลั่นกับปิโตรเคมี พวก IRPC , PTTAR, TOP, PTTCH เกิดแน่นอนครับ น่าจะเป็นการจับคู่แบบ Amagamation คือ A+B=C แบบที่ปตท. เคยทำมาก่อนแล้ว เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ราคาหุ้นดังกล่าววิ่งหูตูบ ptt ที่ถือว่าได้ประโยชน์แน่นอนไม่ว่าแมวตัวไหนจับคู่กัน นิ่งเป็นบ้า ยิ่งนำมันดีดๆ คอยดูวิ่งยาวๆ พรวดๆ นี่เป็นเหตุผล 1 ที่มองตลาดไปได้ นำมันจะดันตลาดไว้ อาจมีแรงขายในวัน แต่บอกเลยส่วนใหญ่เป็นรายย่อยครับ ตลาดจะปรับฐานไม่แรงนัก ส่วนตัวชอบ IRPC กับ PTTAR นะครับ อีกอย่างพี่ไฝ เค้าเกษียนปีนี้ ควบแน่นอน
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #247 เมื่อ: 10 กันยายน 2552, 10:15:32 » |
|
หุ หุ
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #248 เมื่อ: 14 กันยายน 2552, 15:56:01 » |
|
ปรับฐานแล้ว หุหุหุ
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #249 เมื่อ: 17 กันยายน 2552, 09:04:04 » |
|
ดู Flow แล้ว ท่าจะทานไม่ไหว สั้นๆ มีโอกาสขึ้นไปเล่นกันถึงแถว 728 ได้นะครับ วันนี้นักวิเคราะห์พลังงาน Upgrade บ้านปูเป็น 505 โดยให้มุมมองเชิงบวกต่อราคาถ่านหินระยาวเพิ่มขึ้น long term & ขาจรก็เก็งกำไรได้
|
|
|
|
MORASTASIT
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #250 เมื่อ: 26 กันยายน 2552, 12:18:11 » |
|
หาอะไรลงทุนดีคับช่วงนี้
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #251 เมื่อ: 28 กันยายน 2552, 09:28:07 » |
|
RS ตัวเดียว ถือยาวประมาณต้นปี
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #252 เมื่อ: 28 กันยายน 2552, 16:22:14 » |
|
อยากให้ลงแรงๆซักที แต่มันไม่ยักกะลง ไม่กล้าทำอะไรเลยเฟร้ย
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #253 เมื่อ: 28 กันยายน 2552, 17:13:06 » |
|
ตัวที่ถือ อยู่เฉย ดันเพิ่มมา 10 กว่าเปอร์เซ็นแล้ว ในสอง สาม วันนี้ที่หุ้นมันตกน่ะ แต่ช่วงตลาดมันขึ้น มันอยู่เฉย ๆ ไม่ไปไหนเลย งง เหมือนกัน
ยังไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไร เลยไม่นู้ว่าจะขายหรือถือต่อดีเนี่ย ...
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #254 เมื่อ: 30 กันยายน 2552, 14:34:15 » |
|
มาเป็นทางเลือกในการกระจายความเสียว เอ๊ย ความเสี่ยง CPNRFเคาะราคาขายหน่วยเพิ่มทุน8.90บาท CPNRF เคาะราคาขายหน่วยเพิ่มทุน 8.90 บาทต่อหน่วย ลงทุนเซ็นทรัลปิ่นเกล้า 5.6 พันล้าน คาดผลอัตราผลตอบแทนเพิ่มเป็น 10.7–11.1 % นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิขย์ จำกัด เปิดเผยว่า คณะกรรมการลงทุนของกองทุนรวม เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 ได้มีมติกำหนดราคาเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มทุน กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทลโกรท (CPNRF) เท่ากับ 8.90 บาทต่อหน่วย โดยการออกหน่วยลงทุนเพิ่มเติมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 544,826,700 หน่วย คิดเป็นมูลค่ารวม 4,849 ล้านบาท ซึ่งจะเสนอขายให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 โดยกำหนดสิทธิในการจองซื้อในอัตราส่วน 1 หน่วยเดิมต่อ 0.2505 หน่วยใหม่ ทั้งนี้ส่วนที่เหลือจะเสนอขายให้ผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง (Private Placement) ประชาชนและผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) ในราคาเดียวกัน โดยกำหนดจำนวนหน่วยขั้นต่ำ 5,000 หน่วย คาดว่าจะสามารถเปิดจองได้ระหว่างวันที่ 16-27 ตุลาคมศกนี้ ผ่านสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์กว่า 900 แห่งทั่วประเทศ นางโชติกา กล่าวว่า เมื่อรวมกับเงินกู้ยืมจากธนาคารไทยพาณิชย์อีกจำนวน 1,000 ล้านบาท แล้วจะทำให้กองทุน CPNRF เพิ่มทุนเป็น 5,849 ล้านบาท ซึ่งภายหลังจากหักใช้จ่ายในการลงทุนในทรัพย์สินอีกประมาณ 160 ล้านบาท อาทิเช่น ค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนสิทธิการเช่าแล้ว จะทำให้กองทุน CPNRF ลงทุนเพิ่มเติมในโครงการเซ็นทรัลพลาซา ปิ่นเกล้า มูลค่ารวม 5,680 ล้านบาท โดยการเช่าอาคารศูนย์การค้า (บางส่วน) จำนวน 1 อาคาร และอาคารสำนักงาน จำนวน 2 อาคาร (ทั้งอาคาร) รวมทั้งที่จอดรถยนต์ภายในอาคาร รวมพื้นที่การเช่า 58,303 ตารางเมตร เป็นระยะเวลา 15 ปี "ราคาที่เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งนี้ เป็นราคาซึ่งอ้างอิงจากผลการสำรวจความต้องการของนักลงทุนที่เสนอราคาเข้ามา ขณะที่ราคาที่เข้าไปลงทุนเพิ่มเติมในโครงการเซ็นทรัลพลาซา ปิ่นเกล้า ก็เป็นราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพของทรัพย์สิน" การเพิ่มศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ปิ่นเกล้า เข้ามาในกองทุน จะทำให้กองทุน CPNRF มีการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น จากเดิมมีศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 และ พระราม 3 เนื่องจากเป็นการกระจายทำเล พื้นที่เช่า รายได้ ผู้เช่าและลูกค้า ทำให้มีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น โดยจะส่งให้ผลตอบแทนโดยรวมของกองทุน CPNRF ปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันที่ปรึกษาทางการเงินได้มีการประเมินผลตอบแทนของกองทุนในปี 2553 ที่ 10.7 – 11.1 % ต่อปี อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะกรรมการลงทุน ยังมีมติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานวันที่ 1 กรกฎาคม 2552 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2552 และผลการดำเนินงานของไตรมาสที่ 4 ที่เกิดขึ้นก่อนการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โครงการเซ็นทรัลพลาซา ปิ่นเกล้าครั้งนี้ในคราวเดียวกัน เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมก่อนการเพิ่มเงินทุนเพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โครงการเซ็นทรัล พลาซา ปิ่นเกล้าด้วย
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #255 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2552, 14:49:23 » |
|
รู้แล้ว .... อิ อิ TEAMออเดอร์กระฉูด คาดพลิกฟันกำไรบาน ทันหุ้น – TEAM คืนสังเวียน พื้นฐานแกร่งพ่วงสัญญาณเทคนิคสวย นักวิเคราะห์ประเมินผลงานไตรมาส 3/2552 อู้ฟู้หอบกำไรเข้ากระเป๋ามากกว่าครึ่งปีแรกที่ทำได้ 18 ล้านบาท มาอยู่ที่ 70 ล้านบาท หลังออเดอร์ชิ้นส่วนอิเล็ทรอนิกส์ใหม่ในไตรมาส 2/2552 เริ่มผลิดอกออกผลยาวถึงไตรมาส4 หนุนทั้งปีนี้สะสมกำไรเข้าพอร์ตกว่า 90 ล้านบาท ขณะที่ราคาทางสัญญาณเทคนิคยังแจ่มส่อแววไต่ระดับขึ้นแตะแนวต้านใหม่ 3.00 บาท โบรกระบุชัดอย่าประวิงเวลาหาจังหวะลุย ความ เคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท ทีมพรีซิชั่น จำกัด (มหาชน) TEAM ปิดตลาด (30 ก.ย.) ที่ 2.76 บาท เพิ่มขึ้น 0.32 บาท มีมูลค่าการซื้อขายสุทธิ 19.74 ล้านบาท นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่ง ประเมินทิศทางธุรกิจของบริษัท ทีมพรีซิชั่น จำกัด (มหาชน) TEAM โดยคาดว่า จะมีแนวโน้มประกาศผลประกอบการในไตรมาส 3/2552 ออกมาดีเกินคาด โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 25-30 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น ( EPS ) ที่ 0.12 บาท ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบทียบกับช่วงไตรมาส 2/2552 ที่มีกำไรสุทธิเพียง 15 ล้านบาท และยังสูงกว่าผลประกอบการโดยรวมในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ที่มีกำไรสุทธิ 18-19 ล้านบาท หอบกำไร 90 ล้าน ทั้งนี้ได้ประเมินจากคำสั่งซื้อ สินค้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ และงานประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCBA) ที่มีการฟื้นตัวเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/2552 และเชื่อว่า TEAM จะเริ่มทยอยรับรู้เป็นรายได้ในไตรมาส 3/2552 เป็นต้นไป อนึ่งในไตรมาส 2/2552 บริษัทมีกำไรสุทธิ 15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 12 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่งวด 6 เดือน กำไรสุทธิ 18.29 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.032 บาทลดลง 18.23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 22.37 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.04 บาท ขณะที่บริษัทมีรายได้จากการขายรวมในไตรมาส 2/2552 อยู่ที่ 423 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6% จากปีก่อน เนื่องจาก TEAM มีรายได้จากตลาดอเมริกาเพิ่มขึ้น ทำให้สัดส่วนรายได้มาอยู่ที่ 58% จาก 38% ในไตรมาส 2/2551 ซึ่งช่วยกระจายรายได้จากตลาดยุโรป และเอเชีย นอกจากนี้ประเมินว่าไตรมาส 4/2552 TEAM จะยังมีผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง และส่งผลให้ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะมีกำไรสุทธิรวมประมาณ 70-75 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับงวดครึ่งปีแรกจะมีกำไรสุทธิรวมประมาณ 90 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.16 บาท ซึ่งมากกว่าปีก่อนที่ทำได้ 73 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเพียง 0.13 บาท “ ทิศทางของ TEAM ตั้งแต่ไตรมาส 3/2552 จะเป็นขาขึ้น โดยเฉพาะในปีหน้าที่มีโอกาสจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ที่บริษัทเคยทำกำไรได้สูงสุดถึง 300 ล้านบาทเมื่อปี 2550 คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.53 บาท” นักวิเคราะห์กล่าว ทั้งนี้จะผลทำให้มูลค่าหุ้นปี 2553 ของ TEAM อ้างอิงอัตราพีอีเรโชว์ (P/E) 8 เท่า ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 4.24 บาท ซึ่งจากราคาหุ้นในช่วงนี้น่าจะเป็นจังหวะที่น่าลงทุน เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิศทางโดยภาพรวมของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ มีการฟื้นตัวดีขึ้นมาก โดยประเมินว่าในไตรมาส 3/2552 กลุ่มจะมีการประกาศผลประกอบการออกมาดีกว่าไตรมาส 2/2552 แต่คงจะต่ำกว่าหากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาส 3/2551 อุตสวาหกรรมยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ และกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องธุรกิจส่งออก จะมีความกังวลเกี่ยวกับค่าเงินบาท ซึ่งมีการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 34 บาท โดยปัจจุบันอยู่ที่ 33 บาท เทคนิคสวย “แม้ว่าทิศทางในไตรมาส 4 จะยังดีขึ้นต่อจากไตรมาส 3 แต่ก็ยังห่วงเรื่องของค่าบาทที่แข็งค่าขึ้น เพราะจะกระทบต่อรายได้ที่ลดลง” นางสาวมยุรีกล่าว สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ ฝ่ายวิจัยจะพิจารณาเป็นรายหุ้น โดยแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ DELTA ประเมินราคาเป้าหมาย 19.70 บาท แนะนำ “ทยอยสะสม” HANA ราคาเป้าหมาย 22.00 บาท และแนะนำ “เก็งกำไร” SVI ราคา 2.40 บาท KCE 3.36 บาท รวมถึง แนะนำ “ถือ” CCET ที่ราคา 3.46 บาท “หุ้น TEAM ฝ่ายวิจัยไม่ได้ดูพื้นฐานไว้ แต่ก็น่าจะได้ผลบวกตามทิศทางอุตสาหกรรม” นงสาวมยุรีกล่าว นัก วิเคราะห์สัญญาณเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด กล่าวว่า ทิศทางราคาหุ้น TEAM เป็นบวก มีสัญญาณการ “ซื้อ” โดยมีปริมาณการซื้อขายเข้ามารองรับ เชื่อว่าจะช่วยดันราคาหุ้นปรับขึ้นได้ต่อเนื่องจากวานนี้ (30 ก.ย.) โดยประเมินแนวต้านแรกไว้ที่ 2.88 บาท หากทะลุจะมีแนวต้านถัดไปที่ 3.00 บาท ส่วนแนวรับอยู่ที่ 2.64-2.48 บาท “หุ้น TEAM มีการปรับเพิ่มขึ้นมา สภาพคล่องก็มีมาก ราคาหุ้นจึงจะไปได้อีก จากจุดนี้นักลงทุนลุยได้เลย” นักวิเคราะห์กล่าว
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #256 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2552, 16:53:31 » |
|
ไม่ค่อยคุ้นชื่อพวกนี้เลย เราเล่นแต่ตัวหลัก
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #257 เมื่อ: 15 ตุลาคม 2552, 14:44:14 » |
|
ตลาดไทย กลับสู่สามัญ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #258 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2552, 15:36:14 » |
|
ดีแล้ว..เลยได้ซื้ออีกรอบ..
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #259 เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2552, 14:19:51 » |
|
โอกาสสะสมหุ้นครับ วันนี้ใครรอจังหวะ LTF RMF เข้าซื้อได้เลยนะครับ เช่นเดียวกับหุ้น อยู่แนวรับ 670 - 665 แล้ว แนะนำสะสมหุ้น SCC, SCCC, PTT, MINT, และ BANPU เก็บวันนี้ได้เลยครับ ถือประมาณ 1-2 เดือน เช่นเดียวกับ GOLD Future โอกาสเปิด Long แถว 18000 -18200 บาท
"การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดใช้วิจารณญาณ ตัดสินใจด้วยตนเอง ผู้เขียนไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อการตัดสินใจของท่าน"
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #260 เมื่อ: 01 ธันวาคม 2552, 13:57:59 » |
|
วันนั้นเป็น Low สุดในรอบ 4 สัปดาห์จริง ๆ ตอนนี้ ตลาดขึ้นมาแล้ว คนที่มีหุ้นกลุ่มที่แนะนำก็คงได้ผลตอบแทนชนะตลาดไปแล้ว มาถึงตอนนี้จริงๆ คิดว่าตลาดน่าจะไปต่อ และถ้าลงมาต่ำ 700 ยังน่าสะสม แต่มันมีบางเรื่องที่ผมรู้สึกกังวลใจ แบบไม่สบายใจแปลกๆ ผมจึงแนะนำช่วงนี้ตามติดตลาดนิดนึงนะครับ มีกำไรก็แบ่งๆ ขายไปบ้าง มันย่อๆ ค่อยรับใหม่
ส่วนทองคำ ยังคงแนะนำ Srong LOng ครับ ถ้าลงมา 1150 US$/onz ยิ่งควรสะสม ลุ้น 1235 US$ ม.ค. นี้
"การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดใช้วิจารณญาณ ตัดสินใจด้วยตนเอง ผู้เขียนไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อการตัดสินใจของท่าน"
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #261 เมื่อ: 01 ธันวาคม 2552, 15:49:14 » |
|
รอจะซื้อ LTF อีกซักชุดก่อนสิ้นปี ว่าแถวๆ680 ก็จะซื้ออีกรอบ เป็นไงมั่งน้อง ed
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #262 เมื่อ: 02 ธันวาคม 2552, 10:05:19 » |
|
อืมๆๆ ถ้าหลุด 700 มา ก็น่าเข้ามากๆ แล้วพี่ ถ้าจะอ่อนก็ต้องอ่อนช่วงนี้ให้เห็น เพราะกลางเดือน Fund มันทำ Window Dressing ปกติมันดันตลาด Side way Up ก่อนปิดบัญชี 1.5-2 สัปดาห์ ขณะที่ความคาดหวังกับ Fund Flow ในช่งต้นปีหน้ายังมีอยู่สูงมาก ทำให้คนรออ่อนตัวรับๆ ตลาดจึงลงลึกไป 680 อีกรอบค่อนข้างยาก เว้นแต่ มีเรื่องแรงๆ ที่น่ากังวลเกี่ยวกับการเมือง.. ตลาดอาจลงมาหนักให้เห็น ยังคงยืนยันตลาดจะปรับขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่กลางเดือน ไปจนถึง ต้นปี "การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดใช้วิจารณญาณ ตัดสินใจด้วยตนเอง ผู้เขียนไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อการตัดสินใจของท่าน"
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #263 เมื่อ: 02 ธันวาคม 2552, 15:57:58 » |
|
เย้..แบบนี้ก็ไม่ต้องขาย ปล่อยให้มันเป็นไปดีกว่า ไตรมาสแรกปีหน้าเค้าดูกันว่าจะไปถึงไหนล่ะน้อง ..800 ได้เห็นมั๊ย
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #264 เมื่อ: 03 ธันวาคม 2552, 22:19:43 » |
|
คาดไว้ราว 800-820 ครับ ถ้าไม่ตีกันตายซะก่อนนะครับ
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #265 เมื่อ: 07 ธันวาคม 2552, 20:56:39 » |
|
คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น
ว่าง ๆ ต้องศึกษาบ้างซ๊เแว้ว
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #266 เมื่อ: 09 ธันวาคม 2552, 14:42:13 » |
|
คนเล่นหุ้นก็จนได้นะเฟร้ย..
เคยเจอมั๊ย ครึ่่งวัน เงินหายไปเท่ากับดาวน์บ้านได้หลังนึงน่ะ
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #267 เมื่อ: 09 ธันวาคม 2552, 16:45:41 » |
|
อึ๊ยยยย..... มีความเสี่ยงสูงงงงงง.... จัง
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #268 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2552, 17:07:04 » |
|
ซื้อ LTF กับ บริษัทผมได้ครับ
เด๋วให้น้องๆ MKT บริการให้เพื่อนๆ ได้ครับ
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #269 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2552, 15:57:58 » |
|
แม็กซ์ มีรายละเอียดทางเวปไซท์ไหม
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #270 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2552, 16:49:09 » |
|
หมายถึงน้อง mkt ใช่ป่าว
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #271 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2552, 10:37:56 » |
|
เข้ามาดูได้ที่ www.one-asset.com ครับ ของที่บริษัทจะมีอยู่ 3 ตัวครับ ตัวแรก ปันผล กับอีกตัวไม่ปันผลครับ แต่ที่จะต่างๆ จากที่อื่น คือ 1SMART LTF ตัวนี้จะนำเรื่องตราสารอนุพันธ์ (เดลิเวอร์ทีฟ) เข้ามาเกี่ยวข้องครับ มันจะสามารถ ป้องกัน ความเสี่ยงได้เกือบเต็มๆ ครับ ซึ่ง ตัวนี้ป้องกันความเสี่ยงของจริงครับ ไม่เหมือนของที่อื่นครับ เช่น ถ้าตอนซื้อมาประมาณสัก 10 บาทต่อหน่วย ถ้าตลาดหุ้นล่วงลงแรง ๆ มันก็จะอยู่ที่ 10 บาทอยู่ดี หรือถ้าตลาดหุ้นขึ้น แรงๆ มันก็จะอยู่ที่ประมาณ เท่าเดิมอยู่ดีครับ ซึ่งจะเหมาะกับนักลงทุน ที่ไม่ต้องการความเสี่ยงอะไรเลยครับ หรือประโยชน์อีกด้าน อาจจะเอามาช่วยในเรื่องการจัด พอร์ท ครับ เช่น 70% ลงใน LTF ที่มันมีความเสี่ยงที่ต้องการ ส่วนอีก 30% ลงในตัวนี้ หากตลาดลงแรงๆ เราก็โยกกองมาลงใน กอง LTF ที่อดีตให้ผลตอบแทนดี แต่ ว่า ตอนตลาดหุ้นลง กองที่อยากจะโยกเงินไปนี้อาจจะอยู่ที่สัก 7-8 บาทต่อหน่วย ก็ทำให้เราได้ส่วนต่างตรงนี้บ้างครับ แต่อาจจจะมีเสียค่าธรรมเนียมในการโยกย้ายกองครับ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้าบอร์ดเลยยย ครับ มีอะไรให้ช่วยก็โทรมาได้เลยครับ เผื่อจะได้สอบถามข้อมูลอะไรให้ได้บ้างครับ ไม่ก็เมลล์มาที่ thanaratb@gmail.com ครับ
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #272 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2552, 10:48:53 » |
|
พูดถึงเรื่องจัดพอร์ต ครับ
มีอีกกองของบริษัทที่น่าสนใจครับ ชื่อกองว่า ONE-PROP
เผื่อช่วยเพื่อนๆ เป็นข้อมูลในการจัดพอร์ท การลงทุน ครับ
เป็น กองทุน ที่นำเงิน ไปลงทุน ในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครับ
โดยเลือกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีสภาพคล่องค่อนข้างสูง
ข้อดีของการนำเงินมาลงทุนในกองนี้ ดีกว่า นำเงินไปลงทุนในกองทุนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยตรงคือ
เรื่องสภาพคล่องครับ ถ้าเป็นไปได้ลองดูในข้อมูลใน Settrade ก็ได้ครับว่าพวกนี้บางตัว ให้ผลตอบแทนสูงมาก แต่ว่าการซื้อการขายแทบ
จะไม่มีเลย แต่ว่าถ้าลงทุนในกองทุน ONE-PROP นี้ สามารถขายคืนได้เดือนละ 2 ครั้งครับ
ข้อเสีย ก็คือ อาจจะได้ ผลตอบแทนน้อยกว่า การนำเงินไปลงทุนตรงในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์บางตัวเช่น SPF
(เป็นกองทุนที่นำเงินไปลงทุนใน สนามบินสมุยครับ) ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 13-14 % ต่อปีครับ
ดู Detail ได้ที่ http://www.one-asset.com/ThailandMutualFund/Detail_t.asp?ID=010086
ตอนนี้กองลักษณะนี้มีอยู่ประมาณ 2 กองครับ อีกกองอยู่กับ MFC ครับ
อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 8% ต่อปีครับ
ผมทำงานสาย กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ครับ ถ้าเพื่อนๆ สนใจกองทุนประเภทนี้
แล้วมีข้อสงสัย ก็ถามมาได้ครับ น่าจะพอช่วยตอบข้อสงสัยให้เพื่อนๆ ได้บ้างครับ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #273 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2552, 14:34:47 » |
|
ลดหย่อนภาษีได้ป่าว
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #274 เมื่อ: 04 มกราคม 2553, 15:05:52 » |
|
เหอ ๆ เริ่มต้นปีใหม่ ก็ได้รับเช็คคืนภาษีจาก สรรพากรเลย ของขวัญปีใหม่ ที่เฝ้ารอมาเกือบ 1 ปี ... 5 5 5
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #275 เมื่อ: 04 มกราคม 2553, 15:45:46 » |
|
ทำไมได้ช้าจังว๊ะ...หรือว่าหักลดหย่อนเยอะมันเลยตรวจสอบละเอียด
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #276 เมื่อ: 05 มกราคม 2553, 15:01:33 » |
|
กรูว่าของกรูช้าแล้วนะ..ได้ตอนเดือน ก.ค. นี่มันจะข้ามปีเลยเนี่ยะ
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #277 เมื่อ: 05 มกราคม 2553, 17:02:35 » |
|
ขึ้้นอยู่กับเจ้าหน้าที่น่ะ ของผมส่งเอกสารเพิ่มเติม ทาง e-mail เช็คใน เวบ มันก็บอกว่าได้รับแล้ว
พอปลายปีมีหนังสือมาว่ายังไม่ได้รับ เลย fax ไป แล้วโทรยืนยันกับเจ้าหน้าที่อีกที
สัปดาห์เดียวเช็คก็มาแล้ว ...
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #278 เมื่อ: 07 มกราคม 2553, 11:23:30 » |
|
ไอ้พวกนี้นะ..ไม่ใช่เงินมรึงมั่งล่ะไม่รู้สึก
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #279 เมื่อ: 08 มกราคม 2553, 13:38:56 » |
|
ไม่ได้เสียภาษีให้ประเทศ มาสามปีแล้ว เค้าจะตัดสิทธิ์ความเป็นคนไทยไหมนี่
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #280 เมื่อ: 12 มกราคม 2553, 11:41:54 » |
|
ขาย BANPU เท่าไหร่ดีน้องรัก ไม่ต้องถามทุน..หายห่วง..
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #281 เมื่อ: 12 มกราคม 2553, 11:44:51 » |
|
620-640 ก็เลือกขายได้ตามสบายเลยครับ พี่โต้ง
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #282 เมื่อ: 14 มกราคม 2553, 15:15:47 » |
|
banpu 640 แล้ว ไม่น่าไปไกลกว่านี้มากแล้ว น่าขาย switch ไป PTTEP,PTT ดีกว่าครับ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #283 เมื่อ: 14 มกราคม 2553, 15:50:18 » |
|
มีแล้วทั้งคู่..ว่าจะไปพวกอสังหามั่ง ปันผลเจ๋งๆมีป่าว
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #284 เมื่อ: 15 มกราคม 2553, 16:17:49 » |
|
SC(7%) , PRIN(9%) , SPALI(2H52 5-6%)
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #285 เมื่อ: 24 มีนาคม 2553, 11:49:39 » |
|
... ช่วงนี้หุ้นขึ้นกันถ้วนหน้า มีใครขายไปบ้างเอ่ย ... อิ อิ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #286 เมื่อ: 24 มีนาคม 2553, 15:38:22 » |
|
ขึ้นตอนไม่มีของ เซ็ง...
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #287 เมื่อ: 20 เมษายน 2553, 13:35:42 » |
|
ปีนี้ได้เช็คคืนภาษีเร็ว เพราะเปลี่ยนวิธีการส่งหลักฐานเพิ่มจาก ส่งทาง e-mail เป็นส่งลงทะเบียนตอบรับครับ
แนะนำให้ใช้วิธีนี้ครับ
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #288 เมื่อ: 20 เมษายน 2553, 14:55:32 » |
|
ยื่นผ่านเน็ต มันยังไม่โทรมาเรียกเอกสารเลย เซ็งฉิบ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #289 เมื่อ: 20 เมษายน 2553, 14:55:33 » |
|
อ้าว ไม่ทันแล้วกรู
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #290 เมื่อ: 20 เมษายน 2553, 16:09:51 » |
|
เข้าไปเช็คในเวบดีกว่าเอ็ด ว่ามีบันทึกว่าได้รับเอกสารหรือยัง และ และต้องมีเอกสารเพิ่มเติมหรือไม่ เราก็ยื่นครั้งแรกทาง net แต่ระบุให้ส่ง message ทางมือถือด้วย ก็ช่วยได้อีกทาง
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #291 เมื่อ: 20 เมษายน 2553, 16:40:08 » |
|
อ้าว เหรอ โอเค เด่วลองเช็คดู รอมันมา 2 เดือนแล้ว เงียบ
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #292 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 10:00:40 » |
|
คลังดึงประกันลงทุนรถไฟฟ้าผ่านบอนด์30ปี
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สบน.ปิ๊งไอเดียออกพันธบัตร 30 ปี มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ขายให้ประกัน เสนออัตราดอกเบี้ยเบื้องต้น 3.75% โฆษณาโดย Google ประกันสุขภาพ..สุดคุ้มจ่ายเพียง 15 บ./วัน คุ้มครอง 5 แสน คุ้มครองทั้งอุบัติเหตุและโรคร้ายแรงwww.Cigna.co.th C-FEEรถกอล์ฟไฟฟ้าของคนไทยรถพลังงานไฟฟ้า อุปกรณ์สำคัญจาก USA รับทำตามแบบMade to Order081-9870086www.c-fee.com
นางสาวพิมพ์เพ็ญ ลัดพลี ผู้อำนวยการส่วนพัฒนาตลาดตราสารหนี้รัฐบาล สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า เม็ดเงินจากธุรกิจประกันในแต่ละปีมีมูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาหลักๆ แล้วเม็ดเงินดังกล่าวจะเข้าไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ เป็นหลัก แต่ส่วนใหญ่จะซื้อในตลาดรอง เพราะในตลาดแรก ธนาคารพาณิชย์ หรือ แบงก์จะเป็นผู้ชนะการประมูล
สบน. จึงได้ออกแนวคิดใหม่เพื่อแก้ไขปัญหา การเข้าร่วมประมูลการลงทุนในตลาดตราสารหนี้รัฐบาลของกลุ่มธุรกิจประกันอย่าง จริงจัง หลังจากที่ สบน.พบว่า กลุ่มธุรกิจประกันหลายแห่ง ไม่สามารถเข้าถึงตราสารหนี้ที่ทางภาครัฐบาลออกมาเสนอขายได้ และเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว สบน. มีแนวคิดที่จะออกตราสารหนี้เฉพาะให้กับธุรกิจประกันในรูปแบบเฉพาะเจาะจง เป็นกรณีๆ ไปเพื่อใช้เป็นช่องทางพิเศษแก่ธุรกิจประกันในการเข้าถึงตราสารหนี้ที่ภาครัฐ ออกมา เพื่อใช้ในการระดมทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 สบน. มีแผนจะออกตราสารหนี้ระยะยาวเพิ่มขึ้น 2 แนวทาง คือพันธบัตรระยะยาวอายุ 50 ปี ซึ่งผลตอบแทนกำลังศึกษาดูอยู่ว่าน่าจะอยู่ที่ระดับใด เพราะปัจจุบันผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี ให้ผลตอบแทน 3.75% เพราะฉะนั้นหากยืดระยะเวลาออกไปอีก 20 ปี ผลตอบแทนก็น่าจะได้มากกว่านี้ แต่ที่ศึกษามาสบน.เสนอผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 50 ปีให้ได้แค่ 4.25% แต่เงื่อนไขของประกันต้องการผลตอบแทน 4-4.5% ก็ขึ้นอยู่ว่าประกันจะรับไหวหรือไม่ ในขณะที่ผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 20 ปี ในขณะนี้อยู่ที่ 3.2-3.5%
"สบน.ก็มีทางเลือกอย่างอื่น โดยจะออก P/N หรือ ตั๋วสัญญาใช้เงิน อายุ 12-20 ปีมาให้แทน ในวงเงิน 160,000 ล้านบาท ซึ่ง P/N จะมีค่าพรีเมี่ยมให้อีก 5-10% น่าจะมากกว่าผลตอบแทนของพันธบัตร ซึ่งก็น่าจะเป็นทางออกให้กับประกันได้ โดยตามแผนที่วางไว้ พันธบัตรอายุ 50 ปีนั้นจะออกได้ในปีงบประมาณ 2554 หรือ หากเป็นไปได้ก็น่าจะออกได้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ส่วนตั๋วสัญญาใช้เงิน คาดว่าจะออกช่วงไตรมาส 1 ปี 2554"
ทั้งนี้ วงเงินที่รัฐบาลจะออกตราสารในปีงบประมาณ 2554 นั้นอาจแบ่งได้ดังนี้คือ พันธบัตรอายุ 15 ปี 20 ปี และ 30 ปี จะออกเต็มมูลค่าวงเงิน พันธบัตรอายุ 50 ปี จะออก 5,000 ล้านบาท ตั๋วสัญญาใช้เงินจะออก 160,000 ล้านบาท รวมวงเงินที่คาดว่าจะออกในปีงบประมาณ 2554 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 650,000-700,000 ล้านบาท
นางสาวพิมพ์เพ็ญ กล่าวว่า เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ธุรกิจประกันชีวิตที่สนใจลงทุนให้หลากหลายมากขึ้น เนื่องจากมองว่าธุรกิจประกันชีวิตมีโอกาสเติบโตอีกมาก โดยปัจจุบันธุรกิจประกันมีเงินทุนอยู่ประมาณ 150,000-200,000 ล้านบาท จึงได้เกิดเสนอแนวคิดออกพันธบัตรเสนอขายให้กับประกันโดยเฉพาะ
เบื้องต้นคิดว่าโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน อย่างเช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ที่มีมูลค่า 50,000 ล้านบาท นั้น น่าจะมอบให้กับบริษัทประกันรับผิดชอบไปเลย โดยรัฐบาลจะออกพันธบัตรมูลค่า 30,000 ล้านบาท อายุ 30 ปี เสนอขายให้กับบริษัทประกันเพียงอย่างเดียว ส่วนอัตราดอกเบี้ยยังไม่สามารถระบุได้ แต่ ณ ปัจจุบันผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรอายุ 30 ปีอยู่ที่ 3.75%
สบน.เห็นว่าหากได้เงินจำนวนนี้เข้ามายังในระบบตราสารหนี้ของภาครัฐ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะรัฐบาลจะได้มีเงินไปใช้หมุนเวียนในการกระตุ้นเศรษฐกิจแทนการกู้ยืมเงิน จากแหล่งเงินกู้ต่างประเทศและเป็นผลดีต่อตัวหนี้สาธารณะที่จะลดลงได้ด้วย แม้ว่า สบน.ได้ออกตราสารหนี้พิเศษแก่ธุรกิจประกันบ้างแล้วก็ตาม แต่ฐานเงินของธุรกิจประกันยังเหลืออีกจำนวนมาก ซึ่งสามารถรองรับได้อีกจำนวนมาก
"จากการพูดคุยกับตัวแทนธุรกิจประกัน พบว่า ความต้องการการเข้ามาระดุมทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยแบบระยะยาวนั้น มีอยู่จำนวนมาก แต่ในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจประกันไม่สามารถประมูลตราสารหนี้ในตลาดแรกได้เลย เนื่องจากการประมูลในแต่ละครั้ง แบงก์เป็นผู้ที่ประมูลได้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนธุรกิจประกันก็จะประมูลได้ในตลาดรองเป็นหลัก ซึ่งเจ้าของธุรกิจประเองไม่ต้องการเป็นเช่นนั้น เพราะรายได้จากผลตอบแทนนั้นแตกต่างกันและยังต้องเสียค่าหัวคิวด้วย"
นางสาวพิมพ์เพ็ญ กล่าวว่า แผนการออกพันธบัตรรัฐบาล อายุ 30 ปี สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินให้แก่ธุรกิจประกัน ต้องเป็นการดำริและได้ความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังเป็นสำคัญ สบน.เป็นหน่วยงานหนึ่งของรัฐบาลก็จริง แต่ไม่อาจที่จะทำโดยพละการได้
หาก สบน.ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการได้อย่างเป็นทางการ สบน.ก็จะทำการศึกษาโครงการดังกล่าวอย่างละเอียดรอบครอบอีกครั้ง เพื่อให้เป็นผลดีกันทั้งสองฝ่ายต่อไป ซึ่งแผนการดังกล่าวเป็นเพียงแค่แนวคิดในการช่วยแก้ปัญหาให้กับธุรกิจประกัน เท่านั้น
"การแก้ปัญหาการร่วมประมูลตราสารหนี้ของธุรกิจประกันในเบื้องต้นมองว่า นอกเหนือจากการออกพันธบัตรอื่นๆมารองรับความต้องการของธุรกิจประกันแล้ว แนวคิดการออกพันธบัตรรัฐบาลสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินให้กับธุรกิจประกันเจ้า เดียวนั้นก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเข้าไปร่วมประมูลแข่งกับธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ยอมรับว่าเป็นเพียงแค่แนวคิดเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ขึ้นกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้เห็นชอบเป็นหลัก หากเรื่องนี้ได้รับการอนุมัติก็ถือเป็นเรืองดี"
จากการหารือในเบื้องต้นกับหน่วยงานที่กำกับภาคประกัน ก็ให้สามารถนำ P/N ไปเป็นเงินสำรองประกันภัยได้ตามกฎหมายกำหนด ทั้งหมด 100% ให้มีคุณสมบัติเทียบค่ากับพันธบัตรรัฐบาล แต่ต้องเป็น P/N ที่ออกโดยรัฐบาลเท่านั้น
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #293 เมื่อ: 08 กันยายน 2553, 13:09:43 » |
|
วางยาว 30 ปีขึ้น แต่ได้ 3% กว่าๆ คุ้มไหม๊เนี่ย ไม่ไหวม๊าง ปล. แล้วแกจะก๊อปโฆษณามาด้วยทำไม บักซ๊าป
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #294 เมื่อ: 08 กันยายน 2553, 22:01:07 » |
|
เข้ามาตามหาเสี่ยสอง! อยู่แถวนี้ป่ะ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #295 เมื่อ: 09 กันยายน 2553, 08:56:31 » |
|
แถวนี้มีแต่เสี่ยโต้งครับ..
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #296 เมื่อ: 09 กันยายน 2553, 17:22:11 » |
|
เผื่อสนใจหุ้นกู้กัน
เนื่องจากทางตลาดทุนกำลังจะเข้าไปเสนอขายหุ้นกู้ CPF และ PTT แข่งกับธนาคารกรุงเทพ โดยมีรายละเอียดหุ้นกู้ดังนี้
CPF
อันดับเครดิต A+ อายุ 4 ปี ดอกเบี้ยประมาณ 3.65%
อายุ 7 ปี ดอกเบี้ยปีที่ 1-4 ประมาณ 3.85% ดอกเบี้ยปีที่ 5-7 ประมาณ 4.85% รวมแล้วเฉลี่ย IRR=4.25%
PTT
อันดับเครติด AAA อายุ 4 ปี ดอกเบี้ยประมาณ 3.30-340%
อายุ 7 ปี น่าจะได้เฉลี่ย IRR ประมาณ 3.90-4.00%
จึงรบกวนขอการประมาณการณ์จากแต่ละเขต เพื่อรวมเป็นยอดของภาคครับ ว่าทั้ง CPF และ PTT อายุ 4 และ 7 ปีน่าจะขายได้ซักเท่าไหร่ เอาเลขที่คาดว่าจะทำได้ครับ เป็นหุ้นที่คาดเดาว่าจะเปิดขาย แต่จะต้องไปแข่งกับธนาคารกรุงเทพ ว่าใครจะได้เป็นตัวแทนในการจำหน่าย จึงเป็นแค่การคาดการณ์ จึงอยากจะทราบความต้องการของลูกค้า ว่าจะทราบยอดจองก่อน กรุณาแจ้ง ยอดให้ทราบก่อน เวลาประมาณ 13.00 น.ของวันที่ 9/9/2553 ถ้าได้เป็นผู้ขายหุ้นจริงๆ จะแจ้งให้ทราบครั้งต่อไป
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #297 เมื่อ: 09 กันยายน 2553, 19:27:38 » |
|
อุ้ย, กู้ซื้อหุ้นเหรอคะ? แบบนี้เสี่ยสองต้องไม่ชอบแน่ๆ ก็ตลาดลักทรัพย์มันไม่แน่นอนนี่คะ กู้ซื้อบ้านซื้อรถยังพอทำเนา...
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #298 เมื่อ: 09 กันยายน 2553, 20:55:54 » |
|
ไม่ใช่ครับพี่หนุงหนิง หุ้นกู้ เป็นตราสารหนี้ประเภทหนึ่ง คล้าย ๆ พันธบัตรรัฐบาลน่ะครับ แต่ออกโดยบริษัทเอกชนครับ
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #299 เมื่อ: 09 กันยายน 2553, 21:08:54 » |
|
อีกทีคะ, อธิบายให้พี่เข้าใจที
(แล้วแถมช่วยไปชกคนทุบหุ้นธนาคารวันนี้ด้วย...ร่วงรูด...ชิ)
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #300 เมื่อ: 09 กันยายน 2553, 21:47:38 » |
|
ขอบายเรื่องชกครับ ผมไม่ชอบความรุนแรง อิ อิ ลองเขามาครับพี่หนุงหนิง ตามนี้ หุ้นกู้ก็คือตราสารที่บริษัทต่างๆออกเสนอขายให้ผู้ลงทุนเพื่อต้องการกู้ยืมเงินครับ ผู้ถือหุ้นกู้หรือผู้ลงทุนในหุ้นกู้ก็คือเจ้าหนี้ของบริษัท ได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย หุ้นกู้จะมีกำหนดอายุที่แน่นอน กำหนดวันจ่ายดอกเบี้ยที่แน่นอน และอาจมีระบุเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆอีก ความเสี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้ที่สำคัญที่สุดก็คือความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับเงินต้นคืนถ้าผู้ออกหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ ในหนังสือข้อสนเทศการเสนอขายหุ้นกู้จะมีรายละเอียดสิ่งที่ผู้ออกหุ้นกู้สัญญากับผู้ลงทุนว่าจะปฏิบัติอย่างไรตลอดอายุของหุ้นกู้ เช่น รักษาสัดส่วนของหนี้สินต่อทุนไว้ไม่เกินกี่เท่า จ่ายเงินปันผลได้ไม่เกินเท่าไร เป็นต้น การลงทุนในหุ้นกู้ก็เหมือนกับการปล่อยกู้ ซึ่งเราต้องวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ก่อน นอกจากนี้กฎหมายยังบังคับให้ผู้ออกหุ้นกู้จัดให้มีการประเมินอันดับเครดิตโดยผู้จัดอันดับความน่าเชื่อถือ ข้อมูลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะช่วยให้ผู้ลงทุนสะดวกขึ้นที่จะประเมินความเสี่ยง อันดับเครดิตกลุ่มใหญ่ที่เรียงลำดับจากดีที่สุดไปดีน้อยลงคือ AAA, AA, A, BBB, BB, B, CCC, CC.....ไปเรื่อยๆจนถึง D โดยปกติหุ้นกู้ที่มีคุณภาพดีควรจะมีอันดับเครดิต BBB ขึ้นไป ในแต่ละกลุ่มใหญ่ๆข้างต้นยังแบ่งย่อยได้โดยใช้เครื่องหมาย + กับ - เพื่อแยกอันดับความน่าเชื่อถือให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่นในกลุ่ม A ก็จะมีได้ 3 อันดับคือ A+, A, A- โดยเรียงจากดีไปดีน้อยลง อันดับเครดิตที่ดี แข็งแรง ก็หมายความว่าความเสี่ยงในการเบี้ยวหนี้จะต่ำ แต่ผลตอบแทนของหุ้นกู้ก็จะต่ำกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับบริษัทที่มีเครดิตด้อยกว่า การลงทุนในหุ้นกู้ของผู้ลงทุนรายบุคคล จะต้องติดต่อซื้อขายผ่านดีลเลอร์ค้าตราสารหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่คือธนาคารพาณิชย์ กับบริษัทหลักทรัพย์รวม 46 รายที่เป็นสมาชิกศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย (TBDC) ซึ่งสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซด์ ของ TBDC คือ http://www.thaibdc.or.th/ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังเปิดให้มีการซื้อขายตราสารหนี้สำหรับรายย่อยผ่านระบบอิเลคทรอนิคส์ด้วยสำหรับหุ้นกู้บางบริษัทฯ แต่ไม่ค่อยแอคตีฟนักในปัจจุบัน แต่ในอนาคตคงจะดีขึ้นเพราะรัฐบาลมีนโยบายรวมศูนย์การซื้อขายไปไว้ที่ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคงใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ส่วนใหญ่การลงทุนในหุ้นกู้มักเป็นการซื้อขายกันระหว่างลูกค้าสถาบัน เพราะหุ้นกู้โดยทั่วไปจะดีลกันเป็นวงเงินใหญ่ๆ 10 ล้านขึ้นไป การซื้อขายออเดอร์เล็กๆมักทำยากและราคาไม่ดี ผู้ลงทุนทั่วไปจึงมักลงทุนในหุ้นกู้ผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกู้แทนการลงทุนโดยตรง เพราะไม่ต้องใช้เงินมากแล้วก็มีสภาพคล่อง รวมทั้งไม่ต้องเสียภาษีด้วยครับ
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #301 เมื่อ: 09 กันยายน 2553, 22:02:49 » |
|
คนรวยนี่... จะทำไรที... ซับซ้อนนะคะ.
brokerอีกแร้ะ ได้ยินมาแยะจัง ฮั้วกันมั่งป่าวนี่
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #302 เมื่อ: 09 กันยายน 2553, 22:17:20 » |
|
นึกอยู่หลายนาทีอยู่ ก็ให้โอเมก้าทันใด! มันคือ "bond"?
ที่เป็นเรื่องเมื่อเร็วๆนี้ เกี่ยวกะหนุ่มอังกฤษสมองใสในทางมิดี หลอกคนจากความโลภของคน...เสียหายไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ อืมม.. พี่คิดอีกแล้วเนี่ย.
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #303 เมื่อ: 09 กันยายน 2553, 22:23:55 » |
|
อิ อิ
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #304 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 13:07:59 » |
|
ตัวไหนดีวันนี้? ที่วิ่ง.. แบบstagnationสนิทไม่เอาคะ จะนั่งหลับ!!
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #305 เมื่อ: 24 มกราคม 2554, 13:59:57 » |
|
วันนี้หุ้นติดลบหนักเลย
ใกล้ได้เวลา ซื้อหุ้น หรือ พวกกองทุน LTF เพิ่มนะ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #306 เมื่อ: 24 มกราคม 2554, 17:57:55 » |
|
หนักจนกลัวเลย..
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #307 เมื่อ: 24 มกราคม 2554, 18:12:12 » |
|
ลง 40กว่าจุด....สุดโรซก! ขึ้นก็ไม่รู้จะเร็วแบบนี้มั้ย ทุกทีหุ้นใหญ่ตกไปเล่นหุ้นเล็กๆ วันนี้ตกฮวบเทเป็นน้ำ ทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ช้อนอย่างเดียวถ้ายังมีตังส์ไปช้อนนะคะ พี่น่ะ,ไปไหนไม่ได้...เลยไปนอน!
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #308 เมื่อ: 25 มกราคม 2554, 00:09:04 » |
|
สงสัยใกล้เมษา หน้าร้อน หุ้นเลยตกไว้ก่อน
|
|
|
|
|